Minor Group – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 17 Jul 2024 10:25:46 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 Minor เชื่อมั่นพลัง ‘คน’ เผย 5 เทรนด์เปลี่ยนเกมธุรกิจบริการ [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/minor-5-service-business-trends/ Wed, 17 Jul 2024 10:25:46 +0000 https://thestandard.co/?p=958352

ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ลูกค้าในปัจจุบันม […]

The post Minor เชื่อมั่นพลัง ‘คน’ เผย 5 เทรนด์เปลี่ยนเกมธุรกิจบริการ [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ลูกค้าในปัจจุบันมีข้อมูลรอบด้าน ความคาดหวังมีรายละเอียดมากกว่าเดิม เกิดเป็นโจทย์ใหม่ท้าทายผู้ให้บริการว่าจะจัดการกับความต้องการที่ไม่มีสูตรสำเร็จของลูกค้าได้อย่างไร

 

Minor ผู้นำธุรกิจบริการ โรงแรม ร้านอาหาร และไลฟ์สไตล์ ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ประสบการณ์มากกว่า 50 ปีในสนามนี้ ฝ่าฟันคลื่นความผันผวนมาลูกแล้วลูกเล่า จนเชื่อว่า ‘คน’ คือ Game Changer ที่สำคัญที่สุด จึงให้ความสำคัญและกล้าลงทุนกับการพัฒนาศักยภาพคนเสมอมา

 

 

ปัจจุบัน Minor มีพนักงานกว่า 70,000 คนทั่วโลก แม้ว่าสำนักงานใหญ่จะตั้งอยู่ที่ประเทศไทย แต่รายได้ 70% มาจากธุรกิจที่ดำเนินการในต่างประเทศ ฉะนั้นนี่คือองค์กรระดับโลกอย่างแท้จริง

 

 

โมเดล 70:20:10

 

Minor International ใช้โมเดล 70:20:10 ในการบริหารทรัพยากรบุคคล โดยโจทย์สำคัญคือ คนทั้งองค์กรในทุกระดับต้องเห็นภาพใหญ่และพุ่งไปที่เป้าหมายเดียวกัน ในขณะที่ยังสามารถรักษาเอกลักษณ์ของสิ่งที่ทำไว้ได้ อรกานดา อรรถวิภัชน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล Minor International อธิบายให้เห็นภาพดังนี้:

 

70% – Localized Approach: การจัดการต้องยืดหยุ่น เอื้อต่อการปรับใช้ให้เหมาะกับบริบทท้องถิ่น

 

20% – Co-creation: เน้นการสร้างสรรค์ร่วมกัน สร้างพื้นที่ให้เกิดการแบ่งปันประสบการณ์ และ Best Practices เพื่อยกระดับมาตรฐานการทำงาน ก่อเกิดเป็นนวัตกรรม

 

10% – Group Agendas: มุ่งเน้นวาระหลักขององค์กร แม้จะเป็นส่วนเล็กที่สุด แต่คือจุดที่ขาดไม่ได้ บริษัทฯ ยังคงมีเป้าหมาย วิสัยทัศน์ และวัฒนธรรมองค์กรโดยรวมที่พนักงานทุกคนต้องยึดมั่น เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินงานของบริษัทสอดคล้องทั่วโลก 

 

สุดท้ายแล้ว Minor ส่งเสริมให้ทุกคนคิดเหมือนเป็นเจ้าของธุรกิจ

 

DNA การทำงานคือการทำงานด้วยแพสชันและจิตวิญญาณของผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Spirit) เพื่อส่งมอบประสบการณ์อันยอดเยี่ยม เหนือความคาดหมาย สร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า

 

 

Minor Awards of Excellence and Leadership Summit: เวทีแห่งพลัง

 

ในทุกปีจะมีการจัดงาน Minor Awards of Excellence and Leadership Summit อีเวนต์ภายในครั้งใหญ่ที่รวมทีมผู้บริหารจากทุกส่วนของ Minor และพันธมิตรสำคัญจากทุกกลุ่มธุรกิจทั่วโลกมาร่วมฉลองความสำเร็จ มอบรางวัล และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันแบบ Face-to-Face โดยมีงาน Global Leadership Summit เป็นหนึ่งไฮไลต์ในงาน

 

 

Global Leadership Summit: อัปเดตเทรนด์ พัฒนาทักษะผู้นำ

 

ภายในงาน Minor Awards of Excellence and Leadership Summit ยังมีไฮไลต์พิเศษอย่าง Global Leadership Summit ที่มีผู้เชี่ยวชาญระดับโลกมาบรรยายและอัปเดตเทรนด์ล่าสุด เพื่อจุดประกายไอเดียและพัฒนาทักษะผู้นำ โดยในปีนี้ Minor ได้เชิญ Daniel Levine Trend Expert ระดับโลกมาพูดในหัวข้อ ‘Innovation Trends and Masterclass – Expanding Horizons in Hospitality, Food & Lifestyle’

 

 

บนเวทีมีการเผยอินไซต์ที่มีประโยชน์มากมาย และในช่วงท้ายของบทความ Minor หยิบยกเป็น Key Takeaways ที่เป็นประโยชน์มาแบ่งปันให้กับผู้ประกอบการไทย

 

Consumer Trends 2025

 

1. Braggable Experiences

 

ผู้คนต้องการ ‘ประสบการณ์ที่น่าอวด’ เพื่อแชร์บนโซเชียลมีเดียของพวกเขา ธุรกิจจึงต้องสร้าง ‘สินค้า’ และ ‘บริการ’ ที่เอื้อต่อการถ่ายภาพหรือวิดีโอ และง่ายต่อการแชร์ในโซเชียล

 

2. Bleisure Travel

 

ผู้คนกำลังเริ่มใช้ชีวิตโดยไม่แยกออกจากการทำงาน ดังนั้นในการเดินทาง พวกเขาจะมองหา ‘สถานที่พักผ่อน’ ที่สามารถทำงานได้สะดวก ธุรกิจจึงต้องออกแบบ ‘พื้นที่’ และ ‘บริการ’ ที่รองรับไลฟ์สไตล์ใหม่นี้

 

3. Transparency

 

ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับ ‘ความโปร่งใส’ และต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการอย่างละเอียด ดังนั้นธุรกิจจึงต้องสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา

 

4. Luxury vs. Technology

 

แนวโน้มหลังจากนี้ เทคโนโลยีจะราคาถูกลง บริการจากคนจะแพงขึ้น มีคุณค่ามากขึ้น ดังนั้นต่อไป ‘ความหรูหรา = มนุษย์’

 

5. Clear Purpose

 

จากนี้ความต้องการของลูกค้าจะมีความละเอียดขึ้น และธุรกิจไม่สามารถเป็นทุกอย่างให้กับทุกคนได้ ซึ่งลูกค้าก็จะสามารถ Customize รูปแบบบริการของตนเองได้ ดังนั้นหน้าที่ของธุรกิจคือการสื่อสาร Purpose ออกมาให้ชัด แล้วลูกค้าที่ใช่จะวิ่งมาหาเราเอง 

 

Minor และ THE STANDARD ชวนผู้ประกอบการและคนทำงานในธุรกิจบริการทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคแบบลงลึกถึงระดับความคิด คว้าโอกาสจาก ‘Mindset Trends’ ได้ก่อนใครกับบทสัมภาษณ์สุด Exclusive ที่ช่อง The Secret Sauce https://www.youtube.com/watch?v=9rA-xAJGZ4E

 

The post Minor เชื่อมั่นพลัง ‘คน’ เผย 5 เทรนด์เปลี่ยนเกมธุรกิจบริการ [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไมเนอร์ยอมรับ ผิดหวังกับผลประกอบการไตรมาส 2/2563 แต่มั่นใจ ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว https://thestandard.co/minor-admit-disappointment-on-second-quarter-turnover/ Thu, 13 Aug 2020 09:54:10 +0000 https://thestandard.co/?p=388221

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เป็นอีกห […]

The post ไมเนอร์ยอมรับ ผิดหวังกับผลประกอบการไตรมาส 2/2563 แต่มั่นใจ ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เป็นอีกหนึ่งยักษ์ใหญ่ที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างหนักจากการระบาดของโรคโควิด-19 โดยผลประกอบการไตรมาส 2/2563 ซึ่งเป็นช่วงที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด จนทำให้มีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 8.4 พันล้านบาท เทียบกับกำไรสุทธิจำนวน 1.8 พันล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2562 

 

การลดลงดังกล่าวเป็นผลโดยตรงมาจากการดำเนินธุรกิจอย่างจำกัดของทั้งสามธุรกิจของไมเนอร์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนเมษายนและพฤษภาคม) เนื่องจากต้องปิดโรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้าไลฟ์สไตล์ส่วนใหญ่ทั่วโลก เป็นการชั่วคราวในเดือนเมษายนและพฤษภาคม รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของกลุ่มโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของเองและเช่าบริหารลดลง 99% และปรับตัวดีขึ้นเป็นลดลง 89% ในเดือนมิถุนายน เนื่องจากโรงแรมเริ่มกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง เพื่อที่จะปรับตัวกับการปิดให้บริการธุรกิจเหล่านี้

 

ไมเนอร์ได้ดำเนินมาตรการการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างรวดเร็วและเข็มงวด ซึ่งไมเนอร์สามารถลดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า 50% ในไตรมาส 2 ปี 2563 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

 

โดยในไตรมาส 3 ปี 2563 สำหรับการมุ่งมั่นที่จะเร่งการกลับมาเปิดให้บริการธุรกิจในเครืออีกครั้งเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ปรับตัวดีขึ้น และประเทศต่างๆ เริ่มผ่อนคลายมาตรการการปิดประเทศลง โดย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม ไมเนอร์มีเงินสดในมือประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาท และวงเงินสินเชื่อจำนวน 2.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งรวมกันแล้วจะเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต

 

ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม เมื่อหลายประเทศเริ่มเปิดพรมแดน ด้วยมาตรการการปิดประเทศที่ผ่อนคลายลง และเริ่มกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ไมเนอร์จึงได้กลับมาดำเนินธุรกิจทั่วโลก ณ ปัจจุบัน มากกว่า 70% ของโรงแรมทั้งหมดทั่วโลก และมากกว่า 90% ของร้านอาหารทั้งหมดได้กลับมาเปิดให้บริการ และมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในแต่ละสัปดาห์

 

ทั้งนี้ ไมเนอร์มีเป้าหมายที่จะกลับมาเปิดให้บริการโรงแรมและร้านอาหารทั้งหมดภายในไตรมาส 4 ปี 2563 และจะผลักดันยอดขายเชิงรุก ในขณะที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น กลยุทธ์เฉพาะหน้าของไมเนอร์ โฮเทลส์ คือการมุ่งเน้นไปที่การท่องเที่ยวภายในประเทศที่แข็งแกร่งในช่วงที่มีการปิดพรมแดนระหว่างประเทศ ตามด้วยการเพิ่มจำนวนแขกเข้าพักจากนักท่องเที่ยวภายในภูมิภาคเมื่อประเทศต่างๆ เริ่มเปิดประเทศ และขยายตัวไปยังนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ปรับตัวดีขึ้น 

 

ในขณะที่ไมเนอร์ ฟู้ด จะยังคงใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มดิจิทัลและแพลตฟอร์มบริการจัดส่งอาหารเพื่อผลักดันยอดขาย โดยต่อยอดจากแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของยอดขายผ่านทางแพลตฟอร์มดังกล่าวในช่วงการปิดประเทศจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในขณะที่ยกระดับประสบการณ์การรับประทานอาหารภายในร้านอาหารของลูกค้า และเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง และยังมีการเปิด Cloud Kitchens เข้ามาเป็นช่องทางใหม่ๆ ด้วย 

 

“ไตรมาส 2 เป็นไตรมาสที่ท้าทายที่สุด ไม่เพียงแต่สำหรับไมเนอร์เท่านั้น แต่รวมถึงผู้ประกอบการรายอื่นๆ ในภาคการบริการและการท่องเที่ยวทั่วโลก เรามีความผิดหวังกับผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 นี้ แต่บริษัทได้มีการดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อลดผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของเรา” ดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าว พร้อมเสริมว่า “บริษัทเชื่อว่าเราได้ผ่านช่วงที่เลวร้ายที่สุดมาแล้ว และเมื่อสถานการณ์ของโลกดีขึ้น ไมเนอร์มีความมุ่งมั่นที่จะกลับมาสร้างการเติบโตของธุรกิจและกลับมาสร้างผลตอบแทนเชิงบวกให้กับผู้ถือหุ้นอีกครั้ง”

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

The post ไมเนอร์ยอมรับ ผิดหวังกับผลประกอบการไตรมาส 2/2563 แต่มั่นใจ ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไมเนอร์เดินหน้าฟ้อง Marriott ในศาลไทย เรียกค่าเสียหาย 570.61 ล้านบาท จากกรณี JW Marriott Phuket https://thestandard.co/minor-suing-marriott-from-jw-marriott-phuket-case/ Thu, 16 Jul 2020 12:54:44 +0000 https://thestandard.co/?p=380649

ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้แจ้งความคืบหน้ากรณีการฟ้อง […]

The post ไมเนอร์เดินหน้าฟ้อง Marriott ในศาลไทย เรียกค่าเสียหาย 570.61 ล้านบาท จากกรณี JW Marriott Phuket appeared first on THE STANDARD.

]]>

ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้แจ้งความคืบหน้ากรณีการฟ้องร้อง Marriott ในศาลไทย โดยระบุว่า ได้ให้บริษัท เอ็มไอ สแควร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ดำเนินการทางกฎหมายต่อบริษัท แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ในการบริหารงานโรงแรม JW Marriott Phuket Resort and Spa ซึ่งไมเนอร์เป็นเจ้าของ และบริหารโดยบริษัทย่อยของ Marriott โดยไมเนอร์ได้เรียกร้องค่าเสียหายจาก Marriott เป็นจำนวนเงิน 570,605,134 บาท

 

ไมเนอร์ระบุว่า สาเหตุที่ต้องฟ้องนั้นเป็นเพราะ Marriott ได้กระทำการที่ไม่สุจริตและได้ละเมิดภายใต้กฎหมายไทยอย่างร้ายแรงและบ่อยครั้ง รวมถึงการละเมิดตามกฎหมาย เช่น แข่งขันอย่างต่อเนื่องและเปิดเผยกับ JW Marriott Phuket ผ่านการดำเนินงานของโรงแรมคู่แข่งอื่นๆ ภายใต้กลุ่มโรงแรม Marriott, ใช้สินทรัพย์ของ JW Marriott Phuket เพื่อโฆษณาโรงแรมอื่นๆ ภายใต้เครือ Marriott ซึ่งเป็นคู่แข่งกับ JW Marriott Phuket

 

นำข้อมูลที่ไมเนอร์เป็นเจ้าของและที่เป็นความลับไปใช้ในทางที่ผิด เพื่อส่งเสริมการขายโรงแรมอื่นๆ ของ Marriott ซึ่งเป็นคู่แข่งกับ JW Marriott Phuket และเพื่อผลประโยชน์ของ Marriott ในขณะที่ไมเนอร์ได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ยังบังคับให้ JW Marriott Phuket รับกลุ่มลูกค้าที่มีความสามารถในการทำกำไรที่ต่ำในจำนวนมาก ผ่านโปรแกรมความภักดีของ Marriott และมีการดำเนินโปรแกรมความภักดีโดยไม่สุจริตและขัดต่อผลประโยชน์

 

Marriott พยายามอย่างหนักเพื่อหลีกเลี่ยงการฟ้องร้องดำเนินคดีในศาลไทย ถึงแม้ว่าโรงแรม JW Marriott Phuket จะตั้งอยู่ในประเทศไทย มีเจ้าของที่เป็นสัญชาติไทย และมีการร้องเรียนตามกฎหมายไทย โดย Marriott ได้ขอแทรกแซงจากคณะอนุญาโตตุลาการจากต่างประเทศ เพื่อที่จะยับยั้งการฟ้องร้อง ดำเนินคดีในศาลไทย แต่ประสบกับความล้มเหลวในความพยายามดังกล่าว และได้รับการตัดสินเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ปี 2563 ที่ผ่านมา

 

ไมเนอร์ยืนยันว่า จะดำเนินการตามกฎหมายกับ Marriott ในศาลไทย และจะเรียกร้องค่าเสียหายและการเยียวยาอย่างเต็มที่ภายใต้กฎหมายไทย อีกทั้งไมเนอร์อยู่ในระหว่างการพิจารณาแผนการที่จะดำเนินคดีทางกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับบริษัทย่อยของ Marriott ต่อไป โดยไมเนอร์มีความมั่นใจในความสำเร็จในการดำเนินคดีต่อ Marriott 

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

The post ไมเนอร์เดินหน้าฟ้อง Marriott ในศาลไทย เรียกค่าเสียหาย 570.61 ล้านบาท จากกรณี JW Marriott Phuket appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไมเนอร์พร้อมกลับมาเปิดโรงแรม 535 แห่งทั่วโลกเต็มรูปแบบ ประเมินหลังวิกฤตผ่าน นักท่องเที่ยวจะออกเดินทางมากขึ้น https://thestandard.co/minor-group-ready-to-reopen-535-locations-worldwide/ Wed, 17 Jun 2020 07:18:48 +0000 https://thestandard.co/?p=372650

หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ลุกลามตั้ […]

The post ไมเนอร์พร้อมกลับมาเปิดโรงแรม 535 แห่งทั่วโลกเต็มรูปแบบ ประเมินหลังวิกฤตผ่าน นักท่องเที่ยวจะออกเดินทางมากขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>

หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ลุกลามตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 เป็นระยะเวลากว่า 4 เดือน จนส่งผลกระทบเชิงลบต่อระบบเศรษฐกิจระดับโลกในวงกว้าง ได้เริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะ ‘ภาคการท่องเที่ยว’ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เริ่มส่งสัญญาณบวกที่จะกลับมารองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวอีกครั้งในหลายประเทศ 

 

ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไมเนอร์ได้เตรียมความพร้อมของกลุ่มธุรกิจโรงแรมในเครือทั่วโลกที่จะกลับมาปฏิบัติการในรูปแบบ New Normal อีกครั้งเช่นกัน โดยกำหนด Reopening แบบเต็มรูปแบบดังนี้

 

สำหรับโรงแรมในประเทศไทย จำนวน 28 แห่ง (5,009 ห้อง) สัดส่วนรายได้ 14% ซึ่งเริ่มทยอยกลับมาเปิดให้บริการ โดยเริ่มจากโรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ ในปลายเดือนพฤษภาคม โรงแรมในหัวหินในช่วงต้นเดือนมิถุนายน ส่วนโรงแรมบางแห่งในจังหวัดภูเก็ต เกาะสมุย พัทยา และขอนแก่น มีกำหนดกลับมาเปิดให้บริการในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมนี้

 

โรงแรมในภูมิภาคเอเชีย จำนวน 29 แห่ง (2,988 ห้อง) โดยไม่นับรวมโรงแรมในประเทศไทย สัดส่วนรายได้ 4% โดยโรงแรมในประเทศจีนและเวียดนามประสบความสำเร็จในการกลับมาเปิดให้บริการแล้ว ตามการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียที่ส่งสัญญาณบวกตั้งแต่เดือนเมษายน ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจโรงแรมในเครือของไมเนอร์ที่ตั้งในภูมิภาคนี้ เพราะกลุ่มลูกค้าของโรงแรมมากกว่า 60% อยู่ในภูมิภาคเอเชีย

 

โรงแรมในเครือ NH Hotel Group จำนวน 343 แห่ง (51,151 ห้อง) สัดส่วนรายได้ 67% จะกลับมาให้บริการอย่างเร็วที่สุด โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการโรงแรมประมาณ 60% ภายในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ หลังจากหลายประเทศในภูมิภาคยุโรปเริ่มมีมาตรการคลายล็อกดาวน์ หรือแม้แต่ออกประกาศการสิ้นสุดของการแพร่ระบาด

 

ขณะเดียวกันภาครัฐของประเทศต่างๆ ได้ออกมาตรการช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจและสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของโลก อาทิ รัฐบาลเวียดนามออกแคมเปญพิเศษเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวของคนในประเทศ เช่น การลดราคาโรงแรม-ที่พักและตั๋วเครื่องบิน รัฐบาลไต้หวันได้วางแผนช่วยสมทบทุนธุรกิจในภาคการท่องเที่ยว ที่รวมไปถึงส่วนลดค่าสาธารณูปโภค รวมถึงการให้เงินสงเคราะห์แรงงานในอุตสาหกรรมนี้ ส่วนประเทศนอร์เวย์ออกมาตรการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งใช้กับการขนส่งผู้โดยสารที่พัก กิจกรรมทางวัฒนธรรม และสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่จนถึงสิ้นเดือนตุลาคมนี้ เป็นต้น

 

สำหรับประเทศไทย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เสนอแผนการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศของภาครัฐ ซึ่งในแผนนี้ประกอบด้วยมาตรการ อาทิ เที่ยวปันสุข ซึ่งไมเนอร์มีแผนการจัดกิจกรรมทางการตลาดให้สอดคล้องกับมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐบาลไทยดังกล่าว เพื่อสนับสนุนการใช้จ่ายของกลุ่มลูกค้าคนไทยอย่างเหมาะสมต่อไป

 

“ไมเนอร์เชื่อมั่นว่าสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นตามลำดับ โดยภาคธุรกิจต่างๆ จะค่อยๆ กลับมาฟื้นตัว ซึ่งเมื่อผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ นักท่องเที่ยวจะออกเดินทางมากขึ้น และเพื่อความปลอดภัยในด้านสุขอนามัยของลูกค้าอันเป็นหัวใจสำคัญ ธุรกิจโรงแรมในเครือทั้งหมด 530 โรงแรมทั่วโลกจะปฏิบัติตามคำสั่งและแนวทางจากรัฐบาลแต่ละประเทศและองค์การอนามัยโลก”

 

อย่างไรก็ตาม ไมเนอร์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสุขภาพและความปลอดภัย ที่ประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงและผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพื่อกำกับดูแลการพัฒนามาตรการด้านสุขอนามัยให้ลูกค้าตามมาตรฐานอันเข้มงวด ตลอดจนให้ความสำคัญกับกิจกรรมต่างๆ ของแขกผู้เข้าพัก ทั้งด้านอาหาร การท่องเที่ยว ช้อปปิ้ง ฯลฯ เป็นต้น ทั้งหมดนี้จะทำให้ผู้เข้าพักได้รับประสบการณ์พักผ่อนที่น่ารื่นรมย์ควบคู่ไปกับความปลอดภัยด้านสุขภาพ

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

The post ไมเนอร์พร้อมกลับมาเปิดโรงแรม 535 แห่งทั่วโลกเต็มรูปแบบ ประเมินหลังวิกฤตผ่าน นักท่องเที่ยวจะออกเดินทางมากขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไมเนอร์ทุ่ม 4,483 ล้านเป็นเจ้าของ Bonchon ดีลนี้คุ้มค่าแค่ไหน เจาะเบื้องหลังความกรอบของไก่ทอดเกาหลี https://thestandard.co/minor-group-bought-boncon-worth-it-or-not/ Fri, 06 Mar 2020 05:15:21 +0000 https://thestandard.co/?p=338500

ในห้วงเวลา 5 เดือนที่ผ่านมา ‘ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล’ […]

The post ไมเนอร์ทุ่ม 4,483 ล้านเป็นเจ้าของ Bonchon ดีลนี้คุ้มค่าแค่ไหน เจาะเบื้องหลังความกรอบของไก่ทอดเกาหลี appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในห้วงเวลา 5 เดือนที่ผ่านมา ‘ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล’ บริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยที่มีทั้งธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหาร ได้ตัดสินใจใช้เงิน 2 รอบเป็นมูลค่า 4,483 ล้านบาท ผ่านบริษัทลูกที่ดูแลธุรกิจอาหารในการเป็นเจ้าของ ‘Bonchon’ เชนร้านไก่ทอดสไตล์เกาหลีชื่อดัง

 

ครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน 2562 ใช้เงิน 2,000 ล้านบาท เข้าซื้อ Bonchon ทั้งสิ้น 40 สาขา

 

ครั้งที่ 2 สดๆ ร้อนๆ ในเดือนมีนาคม 2563 ใช้เงินอีก 2,483 ล้านบาท ครั้งนี้ไม่ได้เข้าซื้อสาขาเหมือนเคย แต่เข้าถือหุ้นในบริษัท Spoonful Pte. Ltd. ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์ของ Bonchon ในไทย และบริษัท สพูนฟูล (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการร้าน Bonchon ที่ขยายต่อไปในประเทศไทย

 

ตีความหมายง่ายๆ คือตอนนี้ไมเนอร์ได้เข้าไปถือหุ้น 70% ของมาสเตอร์แฟรนไชส์ Bonchon ทำให้ต่อไปไมเนอร์คือผู้ดำเนินธุรกิจร้าน Bonchon ในไทย ตลอดจนเป็นเจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์ในระยะเวลา 20 ปี แต่เพียงผู้เดียว รวมถึงให้สิทธิ์ในการให้แฟรนไชส์ต่อ 

 

น่าสนใจว่า ‘ไมเนอร์’ มองเห็นอะไรในตัว Bonchon จึงได้ทุ่มเงินเกือบ 4,500 ล้านบาทในการเป็นเจ้าของครั้งนี้ 

 

 

‘ตลาดไก่’ ยังโตได้อีกมาก 

ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ฉายภาพให้ THE STANDARD เห็นว่าเหตุผลที่ไมเนอร์ตัดสินใจเข้าซื้อ Bonchon แบบเบ็ดเสร็จ นอกเหนือจากในพอร์ตร้านอาหารจะยังไม่มีร้านไก่ทอดแล้ว ‘ตลาดไก่’ ยังเติบโตได้อีกมาก 

 

ข้อมูลจาก Euromonitor ระบุว่าช่วง 10 ปี ตั้งแต่ปี 2551-2561 ‘ตลาดไก่’ เติบโตถึง 229% จากมูลค่า 7,000 ล้านบาท เป็น 24,000 ล้านบาท 

 

ตัวเลขนี้มากกว่ามูลค่าของตลาดร้านอาหารอื่นๆ ที่ไมเนอร์มีอยู่แล้ว ทั้งตลาดเบอร์เกอร์ที่เติบโตเพียง 196% จากมูลค่า 3,000 ล้านบาท เป็น 10,000 ล้านบาท, ตลาดพิซซ่า เติบโต 53% จาก 4,000 ล้านบาท เป็น 6,000 ล้านบาท และตลาดไอศกรีม เติบโต 104% จาก 4,000 ล้านบาท เป็น 9,000 ล้านบาท

 

ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)

 

ความหวังสร้างการเติบโต

แต่ที่ลึกไปมากกว่านั้น ไมเนอร์ต้องการให้ Bonchon เป็นดั่งเครื่องยนต์ไอพ่นที่เข้ามาดึงการเติบโตให้กับธุรกิจอาหาร เพราะสิ่งที่ไมเนอร์กำลังเจอในปี 2562 ที่ผ่านมาคือการขายต่อร้านเดิม (Same-Store-Sales) ลดลง 3% ฉุดให้กำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA Margin) ลดลง 3% และกำไรสุทธิลดลง 20%

 

แม้รายได้รวมจะเติบโต 3% มาอยู่ที่ 24,233 ล้านบาท หากรายได้ที่เพิ่มขึ้นล้วนมาจากการเปิดสาขาใหม่ทั้งสิ้น ซึ่งปี 2562 ไมเนอร์เปิดสาขาใหม่ในทุกแบรนด์รวมกัน 107 สาขา 

 

ทว่าปัญหาใหญ่ที่ไมเนอร์กำลังเจอไม่ได้เกิดกับ Bonchon ที่แม้ในปี 2563 ธุรกิจร้านอาหารส่วนใหญ่กำลังเจอวิกฤตโควิด-19 ระบาดจนทำให้ผู้บริโภคไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปในร้าน แต่สำหรับ Bonchon แล้ว ยอดขายต่อร้านในช่วง 2 เดือนแรกของปียังแข็งแกร่ง ซึ่งมีสาเหตุมาจากบริการส่งแบบเดลิเวอรีเข้ามาช่วยพยุงยอดขายไว้ 

 

ภาพ: ธนทัต จันทารักษ์ / THE STANDARD

 

‘เดลิเวอรี’ จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้ไมเนอร์ตัดสินใจเข้าเป็นเจ้าของ Bonchon ข้อมูลจาก Euromonitor ระบุว่าตลาดเดลิเวอรีเพิ่มขึ้นจาก 52,000 ล้านบาทในปี 2556 มาเป็น 84,000 ล้านบาทในปี 2561 หรือ 5 ปีมานี้เติบโตเฉลี่ย 10% 

 

ยิ่งไปกว่านั้นยังประเมินเพิ่มเป็น 1.11 แสนล้านบาทในปี 2564 เหล่านี้ล้วนเป็นโอกาสทั้งสิ้น เพราะไมเนอร์เองก็ต้องการบุกเดลิเวอรีอยู่แล้ว ด้วยเป็นพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มองข้ามไม่ได้ 

 

ขยายได้มากถึง 200 สาขา 

ความน่าสนใจของ Bonchon ยังไม่หมดแค่นั้น ด้วยจำนวนสาขาที่มีเพียง 42 สาขา ชัยพัฒน์บอกว่า Bonchon ยังเติบโตได้อีกมากเมื่อเทียบกับร้านอื่นๆ ในเครือ เช่น The Pizza Company 570 สาขา, Swensen’s 322 สาขา, Sizzler 65 สาขา, Dairy Queen 522 สาขา และ Burger King 128 สาขา (ตัวเลขสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562)

 

Bonchon ยังมีโอกาสขยายเพิ่มได้ถึง 200 สาขา โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัดที่ Bonchon ยังไม่ได้ไป ซึ่งหากเทียบกับคู่แข่งในสังเวียนหลักอย่าง KFC ที่มีไม่น้อยกว่า 700 สาขา มวยรองบ่อนอย่าง Bonchon จึงมองว่ามีโอกาสอยู่อีกมาก เพราะเมื่อมองดีๆ Bonchon เองก็มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกับมวยรุ่นเก๋า และพร้อมขึ้นชกอย่างสบายๆ 

 

 

“เบื้องต้นไมเนอร์วางแผนขยายสาขา 5 ปีจะเปิดให้ครบ 150 สาขา ซึ่งหากมีโอกาสจะขยายให้เป็น 200 สาขา เฉพาะปี 2563 จะเปิดให้ครบ 70 สาขา พร้อมวางแผนบุกหัวเมือง เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น หรือภูเก็ต” 

 

ดีลนี้มองอย่างไรก็ ‘คุ้ม’

ยิ่งไปกว่านั้นความหอมหวนของ Bonchon ยังอยู่ที่อัตราคืนทุนเฉลี่ยแล้วน้อยกว่า 1 ปี ซึ่งปกติแล้วร้านอาหารจะมีอัตราคืนทุนเฉลี่ย 3 ปี แปลได้ง่ายๆ คือกำไรของ Bonchon มีตัวเลขที่สูงเป็นอย่างมาก

 

จุดนี้สร้างความมั่นใจให้กับไมเนอร์ว่าทั้งกำไรขั้นต้นและกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA Margin) จะช่วยให้ Bonchon สามารถรับมือกับความสามารถในการทำกำไรที่อาจลดลง อันเนื่องมาจากสภาพแวดล้อมการดำเนินงานที่ท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือวิกฤตโรคโควิด-19 ที่ยังไม่มีทีท่าจะคลี่คลายในเร็ววันนี้ 

 

นี่ยังไม่รวมกับฐานลูกค้าหลักที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ (กลุ่ม Millennial และ Gen Z) ซึ่งมีความภักดีสูง จนสามารถนำไปต่อยอดกับร้านอาหารอื่นๆ ในเครือได้

 

ภาพ: ธนทัต จันทารักษ์ / THE STANDARD

 

“ดีลนี้มองอย่างไรก็คุ้ม ถ้าไม่คุ้มเราไม่ซื้อ และราคาที่จ่ายก็ไม่ได้แพงเลยเมื่อเทียบกับศักยภาพของ Bonchon ที่มีอยู่” ชัยพัฒน์ย้ำกับ THE STANDARD เมื่อถูกถามว่าคุ้มไหมกับการจ่ายเงิน 4,483 ล้านบาท 

 

ขณะเดียวกัน ชัยพัฒน์ยังขอไม่เปิดเผยว่าเมื่อ Bonchon เข้ามาอยู่ในเครือแล้วจะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ที่แน่ๆ Bonchon จะได้พลังจากเครือข่ายที่มีอยู่ในมือ โดยเฉพาะซัพพลายเชนที่จะทำให้ต้นทุนลดลง 

 

รวมไปถึงอำนาจในการต่อรอง ‘แลนด์ลอร์ด’ หรือเจ้าของพื้นที่เช่า ซึ่งจะทำให้ Bonchon สามารถหาทำเลดีๆ ไปปักหลัก และเกมการตลาดที่จะเข้มข้นขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา Bonchon ไม่ได้ทำอะไรกับส่วนนี้มากนัก

 

สิ่งที่ต้องจับตาต่อไปคือ Bonchon จะสร้างความคุ้มค่าอย่างที่ ‘ไมเนอร์’ หวังไว้ได้หรือไม่ น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง 

 

ภาพ: ธนทัต จันทารักษ์ / THE STANDARD

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

The post ไมเนอร์ทุ่ม 4,483 ล้านเป็นเจ้าของ Bonchon ดีลนี้คุ้มค่าแค่ไหน เจาะเบื้องหลังความกรอบของไก่ทอดเกาหลี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไมเนอร์ทุ่มอีก 2,483 ล้านบาท เป็นเจ้าของมาสเตอร์แฟรนไชส์ BonChon วางเป้า 5 ปี ขยาย 150 สาขา https://thestandard.co/minor-invest-2483-million-bahts-to-be-bonchon-franchise-owner/ Thu, 05 Mar 2020 03:04:53 +0000 https://thestandard.co/?p=338107

ก่อนหน้านี้ไม่นาน ‘ไมเนอร์’ ซึ่งมีร้านอาหารกว่า 2,300 ส […]

The post ไมเนอร์ทุ่มอีก 2,483 ล้านบาท เป็นเจ้าของมาสเตอร์แฟรนไชส์ BonChon วางเป้า 5 ปี ขยาย 150 สาขา appeared first on THE STANDARD.

]]>

ก่อนหน้านี้ไม่นาน ‘ไมเนอร์’ ซึ่งมีร้านอาหารกว่า 2,300 สาขา ใน 26 ประเทศ อยู่ในมือ เพิ่งทุ่มเงิน 2 พันล้านบาท เข้าซื้อ BonChon เชนไก่ทอดชื่อดังจากประเทศเกาหลีใต้ จำนวน 40 สาขา 

 

แต่ด้วยตัวเลขที่ไมเนอร์ประเมินว่า BonChon สามารถขยายสาขาเป็น 150-200 สาขาในอนาคตได้สบายๆ ทำให้ล่าสุด ไมเนอร์ตัดสินใจทุ่มอีก 2,483 ล้านบาท เข้าถือหุ้นในบริษัท Spoonful Pte. Ltd. ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์ของ BonChon ในไทย และบริษัท สพูนฟูล (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการร้าน BonChon ที่ขยายต่อไปในประเทศไทย

 

พูดง่ายๆ คือ ตอนนี้ไมเนอร์ได้เข้าไปถือหุ้น 70% ของมาสเตอร์แฟรนไชส์ BonChon ทำให้ต่อไปไมเนอร์คือผู้ดำเนินธุรกิจร้าน BonChon ในไทย ตลอดจนเป็นเจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์ในระยะยาวแต่เพียงผู้เดียว รวมถึงให้สิทธิ์ในการให้แฟรนไชส์ต่อ 

 

เบื้องลึกที่ทำให้ไมเนอร์ตัดสินใจทุ่มเงินรวมกันกว่า 4,483 ล้านบาท (รวมการเข้าซื้อ 2 ครั้ง) มาจากการมองว่า ตลาดไก่ทอดยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก และ BonChon ก็มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ที่สำคัญแม้จะเจอปัญหา เช่น โรคโควิด-19 แต่ยอดขายต่อร้านเดิม (Same-Store-Sales) ในช่วง 2 เดือนแรกของปี ยังแข็งเกร่ง ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากบริการส่งแบบเดลิเวอรี

 

อีกทั้งกำไรขั้นต้นและกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA Margin) จะช่วยให้ BonChon สามารถรับมือกับความสามารถในการทำกำไรที่อาจลดลง อันเนื่องมาจากสภาพแวดล้อมการดำเนินงานที่ท้าทายดังกล่าว 

 

นอกจากนี้แล้ว BonChon ยังมีโอกาสขยายสาขาได้อีกมาก โดยเฉพาะในหัวเมืองต่างจังหวัด ซึ่งปัจจุบัน BonChon มีเพียง 2 สาขา ที่อยู่นอกกรุงเทพฯ โดยไมเนอร์วางแผนที่จะขยายสาขามากกว่า 150 แห่งทั่วประเทศไทย ภายในปี 2567 

 

พอล เคนนี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารไมเนอร์ ฟู้ด กล่าวว่า การลงทุนในครั้งนี้เน้นย้ำถึงกลยุทธ์การเพิ่มแบรนด์ในเครือร้านอาหาร และสร้างความแข็งเกร่งให้กับธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งการที่ร้าน BonChon เปิดมานานเกือบ 10 ปี ทำให้มีฐานลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ (กลุ่ม Millennials และ Generation Z) ซึ่งมีความภักดีสูง จนสามารถนำไปต่อยอดได้ 

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

 

 

The post ไมเนอร์ทุ่มอีก 2,483 ล้านบาท เป็นเจ้าของมาสเตอร์แฟรนไชส์ BonChon วางเป้า 5 ปี ขยาย 150 สาขา appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ไมเนอร์’ ทุ่ม 1.1 พันล้าน เข้าซื้อหุ้น BreadTalk เชนขนมชื่อดังในสิงคโปร์ ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นเบอร์ 2 https://thestandard.co/minor-buy-breadtalk/ Tue, 25 Feb 2020 11:00:32 +0000 https://thestandard.co/?p=335023

‘ไมเนอร์’ ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจโรงแรมและอาหารของไทย เตรียมเ […]

The post ‘ไมเนอร์’ ทุ่ม 1.1 พันล้าน เข้าซื้อหุ้น BreadTalk เชนขนมชื่อดังในสิงคโปร์ ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นเบอร์ 2 appeared first on THE STANDARD.

]]>

‘ไมเนอร์’ ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจโรงแรมและอาหารของไทย เตรียมเงิน 1.1 พันล้านบาทสำหรับซื้อหุ้นใน BreadTalk Singapore เชนร้านขนมชื่อดังในสิงคโปร์

 

ตามเอกสารที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่าได้มีการจัดตั้งบริษัทใหม่ที่ชื่อ Minor BT Holding ในสิงคโปร์ เพื่อเข้าถือหุ้นใน BTG Holding ซึ่งเป็นผู้ที่จะทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดโดยสมัครอย่างมีเงื่อนไขด้วยเงินสด (Voluntary Conditional Cash Offer) ในราคา 0.77 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อหุ้น

 

หากคำเสนอซื้อหุ้นได้รับการตอบรับ 100% ไมเนอร์จะกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 2 ด้วยสัดส่วน 25.1% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ไมเนอร์ถือหุ้นอยู่แล้ว 14.2% ส่วนผู้ถือหุ้นใหญ่ 74.9% คือ Dr.George Quek ผู้ก่อตั้งแบรนด์

 

การลงทุนในครั้งนี้เป็นไปตามทิศทางในการทำธุรกิจของ ‘ไมเนอร์’ ที่สนใจลงทุนธุรกิจอาหารในจีนและสิงคโปร์ที่ยังมีโอกาสเติบโตได้สูง ซึ่ง BreadTalk มีธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ในทั้งสองประเทศอยู่แล้ว

 

BreadTalk เป็นร้านอาหารที่ก่อตั้งในปี 2543 โดยสร้างชื่อด้วยร้านเบเกอรีภายใต้แบรนด์ BreadTalk หลังจากนั้นจึงขยายออกไปสู่ร้านอาหารและศูนย์อาหารภายใต้แบรนด์อันหลากหลาย เช่น Toast Box, Food Republic, Din Tai Fung ฯลฯ

 

ปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้นกว่า 1,000 สาขา ใน 17 ประเทศ ปี 2562 มีรายได้ 665 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท

 

จริงๆ แล้วหากย้อนกลับไปสักนิด ‘ไมเนอร์’ เคยบริหาร BreadTalk ในไทยมาก่อน โดยในปี 2557 หรือ 8 ปีหลังจากที่กลุ่มบริษัท BreadTalk เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย ไมเนอร์เข้าถือหุ้น 50% ในบริษัทชื่อ บีทีเอ็ม (ไทยแลนด์) ส่วนอีก 50% บริษัทแม่ของ BreadTalk

 

ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ไมเนอร์แจ้งว่าได้ขายหุ้นที่มีอยู่ทั้งหมดให้กับ BreadTalk Singapore ด้วยมูลค่า 160 ล้านบาท

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

The post ‘ไมเนอร์’ ทุ่ม 1.1 พันล้าน เข้าซื้อหุ้น BreadTalk เชนขนมชื่อดังในสิงคโปร์ ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นเบอร์ 2 appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจาะเบื้องหลัง Minor ซื้อ BonChon ถึงเวลาขาย ‘ไก่ทอด’ กับเขาบ้างแล้ว! https://thestandard.co/minor-bonchon-deal/ Wed, 20 Nov 2019 02:18:20 +0000 https://thestandard.co/?p=305407 Minor BonChon

ในระยะเวลาเพียง 3 เดือน (กันยายนถึงพฤศจิกายน) ในแวดวงธุ […]

The post เจาะเบื้องหลัง Minor ซื้อ BonChon ถึงเวลาขาย ‘ไก่ทอด’ กับเขาบ้างแล้ว! appeared first on THE STANDARD.

]]>
Minor BonChon

ในระยะเวลาเพียง 3 เดือน (กันยายนถึงพฤศจิกายน) ในแวดวงธุรกิจอาหารของเมืองไทยเกิดดีลซื้อกิจการครั้งใหญ่ถึง 3 ครั้งด้วยกัน ครั้งแรก 6 กันยายน MK แบรนด์สุกี้คุ้นหู ได้ใช้เงิน 2,060 ล้านบาทเข้าซื้อหุ้นของ ‘แหลมเจริญซีฟู้ด’ โดยหลังจากนี้จะเข้าเป็นหุ้นใหญ่ด้วยสัดส่วน 65%

 

ตามมาติดๆ ด้วยบริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด บริษัทลูกในเครือกลุ่มบุญรอดบริวเวอรี่ เข้าซื้อหุ้นในสัดส่วนกว่า 88% ของบริษัท เคที เรสทัวรองท์ จำกัด เจ้าของร้านอาหาร ซานตา เฟ่ และ เหม็งนัวนัว ใช้เงินไปทั้งสิ้น 1,500 ล้านบาท โดยมีข่าวหลุดออกมาในวันที่ 14 ตุลาคม ก่อนที่จะมีแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 ตุลาคม

 

อ่านต่อข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 

ดีลล่าสุดเกิดขึ้นในวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด (มหาชน) ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) บริษัทย่อยถือหุ้น 99.73% ได้จัดตั้งบริษัท ไมเนอร์ ฟู้ด โฮลดิ้ง จํากัด ด้วยทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท เป้าหมายของการจัดตั้งในครั้งนี้เพื่อเข้าซื้อหุ้น 100% ในบริษัท ชิคเก้น ไทม์ จํากัด ซึ่งเป็นเจ้าของและดําเนินกิจการร้านอาหาร BonChon ในประเทศไทย โดยใช้งบลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท

 

Minor BonChon

 

‘ไมเนอร์’ ยังไม่เคยมีร้านขาย ‘เมนูไก่ทอด’ อย่างจริงจัง

ทำไมดีลนี้ถึงน่าสนใจ นั่นเพราะที่ผ่านมาถึง ‘ไมเนอร์’ จะมีร้านอาหารภายใต้พอร์ตของ ‘ไมเนอร์ ฟู้ด’ กว่า 2,200 สาขา กระจายตัวใน 26 ประเทศ ภายใต้แบรนด์ที่คุ้นหูคุ้นตาเช่น The Pizza Company, The Coffee Club, Riverside, Benihana, Thai Express, Swensen’s, Sizzler, Dairy Queen, Burger King ฯลฯ 

 

แต่ไมเนอร์ไม่เคยมีร้านที่มี ‘เมนูไก่ทอด’ อย่างจริงแม้แต่ร้านเดียว นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ไมเนอร์กระโดดเข้าสู่ ‘สงครามไก่ทอด’ อย่างเป็นทางการ หากนั่นเป็นเพียงเหตุผลเบื้องต้นเท่านั้น THE STANDARD ต่อสายถึง ‘ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์’ รองประธานเจ้าหน้าที่การเงินส่วนกลางและวางแผนกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เพื่อเจาะลึกถึงดีลนี้

 

ทำไม ‘ไมเนอร์’ ถึงสนใจ ‘เมนูไก่’ อย่างที่รู้กัน สงครามนี้ผู้ที่เป็นเจ้าตลาดคือ KFC ที่ขยายสาขาไปอย่างน้อย 700 แห่งทั่วประเทศ นี่ยังไม่นับ Texas Chicken แบรนด์ไก่ทอดเก่าแก่แดนลุงแซมที่มีเบื้องหลังเป็น ปตท. ที่พร้อมจะกดปุ่มขยายสาขาอย่างรวดเร็วด้วยเงินทุนมหาศาลที่อยู่ในมือ แม้วันนี้จะมีอยู่ราว 18 สาขาก็ตาม (ข้อมูลถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2562) รวมไปถึง McDonald’s ยักษ์ฝั่งเบอร์เกอร์ที่หันมาบุกเมนูไก่อย่างจริงจังได้ 3-4 ปีแล้ว 

 

ชัยพัฒน์ให้เหตุผลกับ THE STANDARD ว่า ไก่ถือเป็นหนึ่งในเนื้อสัตว์ที่คนไทยให้ความนิยมมากที่สุด และตลาดไก่ยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก ข้อมูลจาก Euromonitor ระบุว่า ช่วง 10 ปี ตั้งแต่ปี 2551-2561 ‘ตลาดไก่’ เติบโตถึง 229% จากมูลค่า 7,000 ล้านบาท เป็น 24,000 ล้านบาท 

 

ตัวเลขนี้มากกว่ามูลค่าของตลาดอื่นๆ ที่ไมเนอร์มีธุรกิจอยู่ ทั้งตลาดเบอร์เกอร์ที่เติบโตเพียง 196% จากมูลค่า 3,000 ล้านบาท เป็น 10,000 ล้านบาท, ตลาดพิซซ่าเติบโต 53% จาก 4,000 ล้านบาท เป็น 6,000 ล้านบาท และตลาดไอศกรีม เติบโต 104% จาก 4,000 ล้านบาท เป็น 9,000 ล้านบาท

 

Minor BonChon

‘ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์’ รองประธานเจ้าหน้าที่การเงินส่วนกลางและวางแผนกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)

 

มีรายได้และกำไรตั้งแต่วันแรกที่ซื้อ

อีกทั้ง BonChon ถือเป็นร้านที่น่าสนใจ ร้านอาหารเกาหลีและไก่ทอดสไตล์เกาหลีอายุ 17 ปีได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลก ด้วยจำนวนไม่น้อยกว่า 300 สาขา ใน 9 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, บาห์เรน, คูเวต, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, กัมพูชา, เวียดนาม, พม่า และไทย ซึ่งตั้งแต่เข้ามาในไทยตั้งแต่ปี 2554 ธุรกิจเติบโตมาโดยตลอด 

 

THE STANDARD ตรวจสอบข้อมูลผลประกอบการของบริษัท มาชิสโสะ จำกัด ซึ่งก่อนหน้านี้ปรากฏเป็นผู้ดำเนินธุรกิจร้าน BonChon ผ่านกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ปรากฏว่าได้จดทะเบียนเลิกกิจการเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2562 ส่วน บริษัท ชิคเก้น ไทม์ จํากัด ซึ่งปรากฏในเอกสารการเข้าซื้อของไมเนอร์ จัดตั้งเมื่อ 9 พฤศจิกายน 2561 หรือ 1 ปีก่อน เมื่อนำรายได้และกำไรเฉพาะบริษัท มาชิสโสะ จำกัด พบว่า 

 

  • ปี 2557 รายได้ 245 ล้านบาท กำไร 41 ล้านบาท
  • ปี 2558 รายได้ 585 ล้านบาท กำไร 111 ล้านบาท
  • ปี 2559 รายได้ 984 ล้านบาท กำไร 312 ล้านบาท
  • ปี 2560 รายได้ 1,131 ล้านบาท กำไร 313 ล้านบาท
  • ปี 2561 รายได้ 1,351 ล้านบาท กำไร 351 ล้านบาท

 

ด้วยรายได้และกำไรที่เติบโตมาตลอด ในขณะที่มีจำนวนสาขาเพียง 44 สาขา ไม่รวมอีก 2 สาขาที่กำลังจะเปิดภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะเป็นของไมเนอร์ทั้งหมด เมื่อเทียบกับการเติบโตของตลาดไก่และพฤติกรรมของผู้บริโภค รวมไปถึงจำนวนสาขาที่กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ 42 สาขา นครราชสีมา 1 สาขา และพัทยา 1 สาขา BonChon ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากโดยเฉพาะกับพื้นที่ต่างจังหวัด

 

Minor BonChon

 

ไมเนอร์ประเมิน BonChon สามารถขยายสาขาเป็น 150-200 สาขาในอนาคตได้สบายๆ ตัวเลขนี้เมื่อเทียบกับร้านอื่นๆ ที่อยู่ในพอร์ตจะพบว่า ข้อมูลสิ้นสุด 30 กันยายน 2562 The Pizza Company มี 416 สาขา, Swensen’s 292 สาขา, Sizzler 56 สาขา, Dairy Queen 518 สาขา, Burger King 109 สาขา และ The Coffee Club 62 สาขา 

 

“นอกเหนือจากชื่อแบรนด์เป็นที่รู้จัก การเติบโตของตลาดและตัวร้านเอง อีกหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ ไมเนอร์สนใจ BonChon คือศักยภาพในการคืนทุน ที่ทำได้น้อยกว่า 1 ปีเมื่อมีการเปิด 1 สาขา ขณะเดียวกัน EBITDA margin ก็สูงกว่าร้านอาหารอื่นๆ ในไมเนอร์ ฟู้ด ที่สำคัญ BonChon สามารถสร้างยอดขายและกำไรได้ตั้งแต่วันแรกที่ซื้อ”

 

นอกจากนี้ ยอดขายบางส่วนของ BonChon ยังมาจากเดลิเวอรี ข้อมูลจาก Euromonitor ระบุ ตลาดนี้จะมีมูลค่าเพิ่มจาก 84,000 ล้านบาทในปี 2561 เป็น 111,000 ล้านบาทในปี 2564 เหล่านี้ล้วนเป็นโอกาสทั้งสิ้น เพราะไมเนอร์เองก็กำลังบุกตลาดเดลิเวอรีอย่างจริงจัง จึงมั่นใจว่า BonChon จะสามารถสร้างการเติบโตในระยะกลางและยาวได้แน่นอน

 

Minor BonChon

 

ดีลนี้อย่างไรก็คุ้ม!

ดีลนี้ใช้เวลาคุยกันมาพักใหญ่ๆ ก่อนจะลงตัว หากจะถามว่าดีลนี้ถูกหรือแพง เมื่อจ่ายเงิน 2,000 ล้านบาทแลกกับ 46 สาขา บริษัท หลักทรัพย์บัวหลวง จํากัด (มหาชน) ออกบทวิเคราะห์โดยระบุว่า คาดราคาซื้อดังกล่าวอยู่บน EV to EBITDA ที่ 10-13 เท่า มองว่าเป็นราคาซื้อที่ถูกกว่านี้ยากแล้ว เพราะค่าเฉลี่ยของกลุ่มร้านอาหารอยู่ประมาณนี้ และเป็นการซื้อร้านอาหารที่ดำเนินงานอยู่แล้วในปัจจุบัน

 

โดยมี EBITDA เป็นบวกอยู่แล้วราว 150-200 ล้านบาทต่อปี ไมเนอร์จะสามารถรับรู้ผลการดำเนินงานและกำไรของ BonChon ทันที โดยเป็นกำไรส่วนเพิ่มให้ไมเนอร์ประมาณ 1.5 เดือนในไตรมาส 4 และเบื้องต้นจะเพิ่มกำไรประมาณ 2% ในปี 2563 

 

เมื่อเทียบ EV to EBITDA ซึ่งเป็นค่าที่นักลงทุนหลายๆ คนมักหยิบมาใช้แทนค่า P/E Ratio หรืออัตราส่วนราคาต่อกำไร เพราะ EV to EBITDA เป็นตัวเลขที่แสดงถึงมูลค่าความถูกแพงของกิจการได้ดีกว่า เนื่องจาก P/E ที่ยังมีบางค่าไม่สามารถตอบผลการดำเนินงานทางธุรกิจได้ทั้งหมด 

 

ชัยพัฒน์บอกว่า เมื่อเปรียบเทียบธุรกรรมและการเปรียบเทียบการซื้อขายของบริษัท F&B ในอดีต มีค่า EV to EBITDA เฉลี่ยระหว่าง 10-13x ทั้ง The Coffee Bean & Tea Leaf 14.8 และ KFC Thailand 11.0 โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 13.0 เป็นต้น ดีลนี้ถือว่าคุ้มค่าแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม 46 สาขาที่ได้มายังไม่ครอบคลุมทั้งหมด ขณะนี้ไมเนอร์กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจากับผู้ได้รับสิทธิ์ Master Franchise เพื่อขอสิทธิ์ในการขยาย BonChon ไปทั่วประเทศ

 

หากการเจรจาเป็นไปตามที่ไมเนอร์คาดหวัง ‘สงครามไก่ทอด’ ในเมืองไทยต้องร้อนระอุขึ้นอีกแน่นอน

 

Minor BonChon

Minor BonChon

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง:

The post เจาะเบื้องหลัง Minor ซื้อ BonChon ถึงเวลาขาย ‘ไก่ทอด’ กับเขาบ้างแล้ว! appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไมเนอร์เผยกำไรไตรมาส 2/2562 พุ่ง 1,786 ล้าน โตขึ้น 48% รายรับรวมครึ่งปีแตะ 6 หมื่นล้าน https://thestandard.co/minor-international-profit/ Tue, 13 Aug 2019 11:43:52 +0000 https://thestandard.co/?p=278532 Minor International

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MIN […]

The post ไมเนอร์เผยกำไรไตรมาส 2/2562 พุ่ง 1,786 ล้าน โตขึ้น 48% รายรับรวมครึ่งปีแตะ 6 หมื่นล้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Minor International

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เผยรายงานการวิเคราะห์ฐานะการเงินและผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2562 พบว่าในภาพรวมมีรายได้จากการดำเนินงานตามงบการเงินอยู่ที่ 31,455 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,786 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 

 

สำหรับช่วงครึ่งปีแรก ไมเนอร์มีรายได้รวม 60,242 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 ส่วนกำไรสุทธิลดลงเล็กน้อย 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจากผลขาดทุนจากการดำเนินงานของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ในไตรมาส 1/2562 เนื่องจากเป็นไตรมาสนอกฤดูกาลเดินทางทางธุรกิจในทวีปยุโรป ในขณะที่ในไตรมาส 1/2561 ไม่ได้มีการรวมงบการเงินของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ทั้งนี้การขายและเช่ากลับโรงแรมทิโวลี 3 แห่งในประเทศโปรตุเกสซึ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อเดือนกรกฎาคมได้สร้างกำไรสุทธิให้กับบริษัทประมาณ 2,100 ล้านบาท โดยบริษัทจะรับรู้กำไรสุทธิดังกล่าวในไตรมาส 3/2562

 

ด้านพัฒนาการสำคัญของบริษัทในไตรมาส 2/2562 ในรายงานระบุถึงการเปิดร้านอาหารเพิ่มขึ้น 14 สาขาเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2562 โดยส่วนใหญ่เป็นร้านเบอร์เกอร์คิงและแดรี่ควีนในประเทศไทย และริเวอร์ไซต์ในประเทศจีน, เปิดให้บริการโรงแรมทั้งหมด 10 แห่ง โดยอยู่ในสเปน, เยอรมนี, โปรตุเกส, เม็กซิโก, ชิลี, กัมพูชา, อินโดนีเซีย และเคนยา และมีการเบิกถอนเงินกู้ร่วมระยะเวลา 5 ปี จำนวน 329 ยูโร เพื่อชำระคืน Bridge Finance ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป

 

ส่วนแนวโน้มในอนาคต บริษัทคาดการณ์ว่าหลังการเข้าลงทุนในเอ็นเอช กรุ๊ป อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นบริษัทในไตรมาส 2/2562 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1.55 เท่า ซึ่งยังคงต่ำกว่าเงื่อนไขการกู้ยืมของบริษัทที่อยู่ที่ 1.75 เท่า ทั้งนี้บริษัทมีเป้าหมายที่จะลดอัตราหนี้สิ้นส่วนที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นให้อยู่ที่ 1.3 เท่าภายในสิ้นปี 2562 โดยมีแผนในการจัดหาเงินทุนและแผนการปรับโครงสร้างเงินกู้ที่เป็นรูปธรรม เพื่อเพิ่มคุณภาพของทั้งหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้นให้สูงสุด และลดต้นทุนทางการเงินในเวลาเดียวกัน 

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

The post ไมเนอร์เผยกำไรไตรมาส 2/2562 พุ่ง 1,786 ล้าน โตขึ้น 48% รายรับรวมครึ่งปีแตะ 6 หมื่นล้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไมเนอร์ ฟู้ด ปรับกลยุทธ์ลุยเดลิเวอรี รวม 7 แบรนด์ดังร้านอาหารครบในแอปฯ เดียว ชูโปรฯ 1 แถม 1 ถึงสิ้นเดือน https://thestandard.co/minor-food-group-1112delivery/ https://thestandard.co/minor-food-group-1112delivery/#respond Wed, 06 Mar 2019 04:50:34 +0000 https://thestandard.co/?p=215749 1112Delivery

ไมเนอร์ ฟู้ด ปรับกลยุทธ์ลุยเดลิเวอรีเต็มตัว รวม 7 แบรนด […]

The post ไมเนอร์ ฟู้ด ปรับกลยุทธ์ลุยเดลิเวอรี รวม 7 แบรนด์ดังร้านอาหารครบในแอปฯ เดียว ชูโปรฯ 1 แถม 1 ถึงสิ้นเดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
1112Delivery

ไมเนอร์ ฟู้ด ปรับกลยุทธ์ลุยเดลิเวอรีเต็มตัว รวม 7 แบรนด์ดังร้านอาหารให้เลือกสั่งผ่านแอปพลิเคชัน 1112Delivery เป็นครั้งแรก ชูเครือข่ายพนักงานส่ง 3,000 คนทั่วประเทศ ตั้งเป้าเพิ่มยอดขายเดลิเวอรี 50% ชูโปรโมชันสั่งปุ๊บ 1 แถม 1 ทุกรายการทันทีจนถึงสิ้นเดือนมีนาคมนี้

 

วันนี้ (6 มี.ค.) บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้เปิดตัวแอปพลิเคชันส่งอาหาร 1112Delivery พร้อมรวมเอาแบรนด์ร้านอาหารชื่อดังในเครือจำนวน 7 แบรนด์ ประกอบด้วย เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เลอร์, แดรี่ ควีน, เบอร์เกอร์ คิง, เดอะ คอฟฟี่ คลับ และไทย เอ็กซ์เพรส ให้ผู้บริโภคได้เลือกสั่งอาหารในแอปฯ เดียว พร้อมตั้งเป้าเพิ่มยอดขายจากช่องทางเดลิเวอรี 50% (ปี 2561 ที่ผ่านมา มียอดขายจากเดลิเวอรีประมาณ 3,000 ล้านบาท)

 

ไมเนอร์ ฟู้ด เปิดเผยว่าบริษัทได้เริ่มนำร่องให้บริการผ่านแอปฯ 1112Delivery ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลมาตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาแล้ว (บางพื้นที่จะให้บริการได้แค่ 3 แบรนด์) และจะเริ่มให้บริการครอบคลุมทุกภูมิภาคให้ได้ภายในช่วงกลางปี 2562 นี้ บนร้านอาหารในเครือกว่า 1,600 สาขา และพนักงานส่งอีกกว่า 3,000 คน

 

ทั้งนี้ผลประกอบการของบริษัทในช่วงปี 2561 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 44,000 ล้านบาท จากร้านอาหารกว่า 2,270 สาขาใน 27 ประเทศทั่วโลก ตั้งเป้าเพิ่มยอดขายเฉลี่ยทั้งเครือ 10% และเน้นขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง พร้อมเพิ่มฐานลูกค้าจากการรุกช่องทางใหม่ๆ เช่น แอปพลิเคชันและเดลิเวอรี เป็นต้น

 

พอล เคนนี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าเมื่อ 30 ปีที่แล้ว (1989) ไมเนอร์คือบริษัทแรกที่เริ่มจัดส่งอาหารให้กับผู้บริโภคถึงปลายทางในประเทศไทย ก่อนที่ในปี 1997 จะเริ่มเปิดให้บริการสั่งอาหารผ่านคอลล์เซ็นเตอร์ในไทย และในปี 2007 จะเริ่มเปิดให้สั่งอาหารบนเว็บไซต์ในไทย

 

“โลกเปลี่ยนไปแล้ว ทุกคนในที่นี้ต่างก็มีสมาร์ทโฟนและใช้ชีวิตอยู่ในนั้นด้วยกันทั้งสิ้น แอปพลิเคชัน 1112Delivery จึงเป็นวิธีที่ไมเนอร์ ฟู้ด พยายามจะเชื่อมต่อกับผู้บริโภคเพื่อให้บริการที่พวกเขาต้องการได้ครบครัน ซึ่งกลยุทธ์ของบริษัทในปี 2019 นี้เน้นยึดผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง ทุกอย่างที่เราทำจะเป็นไปเพื่อผู้บริโภค”

 

พอล เคนนี่ ยังบอกอีกด้วยว่าสิ่งที่ทำให้บริการสั่งอาหารของไมเนอร์ ฟู้ด ต่างจากผู้ให้บริการเจ้าอื่นๆ เป็นเพราะกลยุทธ์ ‘เรารู้จักคุณ คุณรู้จักเรา’ เนื่องจากบริษัทดำเนินธุรกิจในไทยผ่านแบรนด์ชื่อดังมาเป็นระยะเวลานานกว่า 50 ปี แถมยังเป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมเอาทุกแบรนด์ดังไว้บนแอปฯ เดียว

 

“ทางเดียวที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการร้านอาหารอยู่รอดได้ในยุคนี้ คือต้องทำให้ทุกอย่าง ‘ง่ายสำหรับลูกค้ามากที่สุด’ ”

 

การเปิดตัวแอปพลิเคชันสั่งอาหารของไมเนอร์ ฟู้ด มีเป้าหมายเพื่อปรับกลยุทธ์สู้การดิสรัปท์ในโลกธุรกิจดิจิทัล เนื่องจากปัจจุบันได้เกิดสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการจำนวนมากที่เริ่มหันมาจับบริการส่งอาหารมากขึ้น ซึ่งทางไมเนอร์บอกว่าเห็นสัญญาณดังกล่าวมาเป็นระยะเวลานานแล้ว แต่สาเหตุที่เพิ่งเปิดตัวแอปฯ ก็เพราะบริษัทได้พัฒนาจนกระทั่งมั่นใจแล้วว่ามีความพร้อมในการให้บริการแล้วจริงๆ

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

The post ไมเนอร์ ฟู้ด ปรับกลยุทธ์ลุยเดลิเวอรี รวม 7 แบรนด์ดังร้านอาหารครบในแอปฯ เดียว ชูโปรฯ 1 แถม 1 ถึงสิ้นเดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/minor-food-group-1112delivery/feed/ 0