ในยุคนี้แนวคิด ‘ใช้ชีวิตให้สุด’ หรือ ‘Live Life to the Fullest’ กลายเป็นปรัชญาที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะเราต่างเจอความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา นอกจากนั้นเทคโนโลยีทำให้เราเข้าถึงข้อมูลและประสบการณ์ใหม่ๆ หลายคนเริ่มมองหาความหมายและความสุขในชีวิตที่ไม่ได้จำกัดแค่การทำงานเท่านั้น แต่เป็นการใช้ชีวิตให้สนุกและคุ้มค่าในทุกวัน

สำหรับชาว Gen X การใช้ชีวิตให้สุดอาจเป็นการทุ่มเทให้กับการทำงานเพื่อสร้างฐานะและความมั่นคงตามที่ยึดถือมาตลอด ส่วนชาว Gen Y และ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลระหว่างการทำงานกับชีวิตส่วนตัว อาจต้องการใช้ชีวิตให้คุ้มด้วยการปาร์ตี้ข้ามวันข้ามคืน อ่านหนังสือเล่มโปรดจนถึงตีสี่ หรือดูซีรีส์แปดตอนต่อกันในช่วงเวลาหลังเลิกงาน

อย่างไรก็ตาม แม้จิตใจจะเต็มไปด้วยความสุขจากการใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า แต่กลับต้องแลกมาด้วยร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการ ‘อดนอน’ จนบางครั้งตื่นมาด้วยใบหน้าที่ดูหมองคล้ำและทรุดโทรมทั้งๆ ที่ไม่ได้ออกแดด

จะทำอย่างไรให้เราได้ใช้ชีวิตให้สุดทั้งด้านความสุขทางจิตใจ แต่ยังสามารถดูแลสภาพผิวหน้าให้ยังคงความสดใสในวันที่นอนน้อย?

วันนี้เรามีโอกาสได้พูดคุยกับ โอม-ณัฐพงศ์ นาคทอง ผู้ก่อตั้ง skinlab ถึงแนวคิดการเลือกนำเข้าเมลาโทนินสกินแคร์สำหรับคนนอนน้อย จุดเด่นของเมลาโทนินที่อยู่ในสกินแคร์ พร้อมทิศทางในอนาคตของ skinlab ที่จะช่วยให้คุณใช้ชีวิตให้สุดได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น

ทำไม skinlab เลือกนำเข้าสกินแคร์เจาะกลุ่มคนนอนน้อย

โอม: เราเห็นความสำคัญของการพักผ่อนและการฟื้นฟูผิวในยุคที่คนใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ หากคิดตามความเป็นจริง เมื่อกลับบ้านดึกคงไม่มีเวลาทาสกินแคร์ 4-5 ขั้นตอน เราจึงอยากนำเสนอสกินแคร์ที่มีความเข้มข้นและมีประสิทธิภาพสูง ใช้เพียง 1-2 ขั้นตอนก็สามารถฟื้นฟูผิวให้สดใส ดูอิ่มฟูเหมือนนอนครบ 8 ชั่วโมง ซึ่งตรงนี้ตอบโจทย์คนนอนน้อยที่ผิวโทรมจากความเหนื่อยล้า ไม่ว่าจะจากตั้งใจอ่านหนังสือจนดึก ทำงานหามรุ่งหามค่ำ หรือออกไปปาร์ตี้หนัก

‘เมลาโทนิน’ ในสกินแคร์ต่างจากส่วนผสมอื่นและตอบโจทย์คนนอนน้อยอย่างไร

โอม: ถ้าผิวหมองคล้ำจากการออกแดดต้องใช้วิตามินซีเพื่อให้ผิวกระจ่างใส หรือถ้ามีริ้วรอยก็ต้องมองหาสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของเรตินอล โอมจึงตั้งคำถามว่าแล้วถ้าผิวดูโทรมเพราะเหนื่อยล้าจากการนอนน้อยต้องใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมอะไร คำตอบคือ ‘เมลาโทนิน’

เมลาโทนินช่วยฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึกในช่วงกลางคืน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เซลล์ผิวฟื้นฟูได้ดีที่สุด นอกจากนั้นเมลาโทนินยังช่วยให้ผิวผ่อนคลาย ลดการอักเสบขณะนอนหลับ และช่วยรักษาสมดุลจังหวะเวลาชีวภาพของผิว แม้ไม่ได้เข้านอนสี่ทุ่มแต่เซลล์ผิวจะสามารถรับรู้ได้ว่าต้องซ่อมแซมผิวตามหน้าที่ผ่านกลไกของเมลาโทนิน ดังนั้นไม่ว่าจะนอนน้อยแค่ไหน เมลาโทนินจะบอกผิวว่ายังต้องฟื้นฟูให้สดชื่นและดูสุขภาพดีอยู่เสมอ

แล้วเมลาโทนินสกินแคร์ที่ skinlab เลือกมาให้คนไทยแตกต่างจากที่อื่นอย่างไร

โอม: skinlab เป็นผู้นำด้านการนำเข้าเมลาโทนินสกินแคร์สู่ตลาดสกินแคร์ในประเทศไทย โดยเลือกนำเข้าผลิตภัณฑ์ของ Zelens ซึ่งคิดค้นสูตรโดย Dr.Marko Lens ศัลยแพทย์ชื่อดัง และแบรนด์ Oskia ซึ่งเป็นแล็บผลิตอาหารเสริมผู้มีสิทธิบัตรมากมาย ผ่านการรับรองมาตรฐานจากประเทศอังกฤษ และที่สำคัญทั้งสองแบรนด์ยังมีการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มั่นใจได้เลยว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่เชื่อถือได้และมีคุณภาพสูง

ความแตกต่างระหว่าง Zelens Melatonin B12 Overnight Repair Mask และ Oskia Midnight Elixir

โอม: Zelens Melatonin B12 Overnight Repair Mask เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมผิวตามธรรมชาติ และมีส่วนผสมที่ทำงานเหมือนกับ นิวคลีโอไทด์ คอมเพล็กซ์ (Nucleotides Complex) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับ DNA ของผิวหนัง ช่วยบำรุงผิวชั้นลึกและฟื้นฟูให้กลับมาอิ่มฟู นอกจากนั้นยังเสริมเกราะป้องกันให้ผิวอย่างเป็นธรรมชาติ คำแนะนำคือใช้คู่กับ Zelens Melatonin B12 Advanced Repair Serum จะมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ในขณะที่ Oskia Midnight Elixir เป็นเซรั่มนวัตกรรมล้ำสมัยสูตรเข้มข้นด้วยส่วนผสมของเห็ดชิตาเกะและ Turkey Tail ผสมผสานกับเมลาโทนิน, โกรทแฟกเตอร์ (Growth Factors) ที่มี EGF ถึง 5 ชนิด และเปปไทด์คอมเพล็กซ์ (Peptide Complex) ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์โดยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ลดริ้วรอย เติมความกระจ่างใส และคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิว เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยและฟื้นฟูผิวให้เนียนกระชับ

ฝากถึงกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตอย่างหนัก มีเวลานอนน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ

โอม: ไม่ว่าจะเป็นคนในรุ่นไหน สิ่งสำคัญคือออกไปใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องดูแลผิวปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ skinlab ที่พร้อมเลือกสกินแคร์ที่เหมาะกับคุณ อย่าง Zelens Melatonin B12 Overnight Repair Mask และ Oskia Midnight Elixir แม้ในวันที่ต้องเผชิญกับความเหนื่อยล้าหรือการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอก็ยังสามารถช่วยฟื้นฟูผิวให้ดูสดใสเหมือนได้นอนครบ 8 ชั่วโมง และในอนาคตหากมีนวัตกรรมใหม่ๆ skinlab ก็พร้อมที่จะคัดสรรมาให้ตอบโจทย์ความต้องการของคุณอย่างแน่นอน

ในโลกที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและความท้าทาย การใช้ชีวิตให้สุดตามแบบของตัวเองไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่สิ่งสำคัญคือต้องไม่ลืมดูแลตัวเอง โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูผิวในวันที่นอนน้อยหรือไม่สามารถพักผ่อนได้เต็มที่ การเลือกสกินแคร์ที่เหมาะสม เช่น เมลาโทนินสกินแคร์จาก Zelens และ Oskia จะช่วยให้ผิวกลับมาดูสดใสและมีสุขภาพดีได้แม้ในวันที่เหนื่อยล้า ทำให้คุณสามารถใช้ชีวิตให้เต็มที่ในทุกๆ วันอย่างมั่นใจ

ค้นพบพลังแห่งเมลาโทนินและการดูแลผิวที่ล้ำลึกสำหรับคนนอนน้อยโดยเฉพาะ www.skinlabthailand.com

The post สัมภาษณ์พิเศษ ‘โอม ณัฐพงศ์’ จาก skinlab กับแนวคิดการนำเข้า ‘เมลาโทนินสกินแคร์’ ที่ช่วยดูแลผิวหน้าของคนนอนน้อย appeared first on THE STANDARD.

ช่วงเวลาก่อนที่มนุษย์จะหลีกเร้นจากความจริง มุ่งหน้าสู่การหลับใหลและความฝัน มักเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ใครหลายๆ คนรู้สึกไม่สบายตัว เพราะว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถข่มตานอนหลับได้ในทันที บ้างอาจมีเรื่องกวนใจ หรืออาจจะเกิดความเครียดเข้ามาบ่อนทำลายชั่วโมงการนอนของคุณ ดังนั้นแต่ละคนก็จะมีวิธีการหรือตัวช่วยให้ตัวเองได้หลับได้ง่ายขึ้นแตกต่างกันไป เช่น ดื่มนมอุ่นๆ กินกล้วยสุกสักหวี หรือลงไปซิตอัพบทพื้นให้เหนื่อยล้า เพื่อหวังว่าคุณจะหลับได้ง่ายขึ้น

via GIPHY

แต่หนึ่งตัวช่วยที่มีผลงานวิจัยศึกษาอย่างแพร่หลายว่ามันสามารถช่วยให้คุณหลับได้ง่ายดายขึ้น และมีชั่วโมงการนอนที่มีคุณภาพ นั่นคือเจ้าเครื่องดื่มสีสวยสดอย่าง ‘ไวน์แดง’ นั่นเอง จากงานวิจัยของศาสตราจารย์มาเซลโล อีริติ (Macello Iriti) จากมหาวิทยาลัยมิลาน ในประเทศอิตาลี ได้ค้นหาคำตอบของคำถามที่ว่า ‘ดื่มไวน์แล้วช่วยให้หลับสบายจริงหรือ?’

คำตอบก็คือ ‘ใช่’ เพราะเปลือก เนื้อ และเมล็ดขององุ่นนั้นมีส่วนประกอบของเมลาโทนิน (Melatonin) อันเป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่มีส่วนช่วยในการควบคุมการนอนหลับของมนุษย์

THE STANDARD ชวนคุณมาทดลองกันว่า ดื่มไวน์แดงแล้วหลับสบายจริงหรือ พร้อมแล้วเริ่มจากเปิดฝา รินไวน์ใส่แก้ว แล้วจิบเบาๆ ไปด้วยกัน เตรียมหมอนและผ้าห่มไว้ให้พร้อมด้วยนะ อย่าลืม!

via GIPHY

ไวน์แดงดื่มแล้วง่วง

ไม่ได้สะกดจิตคุณด้วยคำว่า ‘ง่วง’ แต่อย่างใด แต่งานสำรวจที่ชื่อว่า Global Drug Survey โดยองค์กรอิสระในประเทศอังกฤษเมื่อปี 2017 ได้ทำการสำรวจเกี่ยวกับความรู้สึกเมื่อมนุษย์ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตั้งแต่เบียร์ ไซเดอร์ เหล้า และไวน์ แบบทดสอบนี้สอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการดื่มของพวกเขา อายุ เพศ และนำคำตอบทั้งหมดมาวิเคราะห์ โดยสอบถามผ่านทั้งระบบออฟไลน์และออนไลน์ ซึ่งมีผู้ร่วมเข้าทำแบบสอบถามนี้ถึง 29,000 คน จาก 21 ประเทศทั่วโลก

ผลที่ได้พบว่า กว่า 60 เปอร์เซ็นต์นั้น ไวน์แดงทำให้พวกเขารู้สึกง่วง (Sleepy) หรือ เหนื่อยล้า (Tired) ซึ่งมากกว่าไวน์ขาวที่มีเพียง 18 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีกความรู้สึกที่ผู้ตอบแบบสอบถามได้ระบุถึงไวน์แดงเอาไว้สูงที่สุดอีกคำหนึ่งคือคำว่า ผ่อนคลาย (Relaxed) โดยมีถึง 53 เปอร์เซ็นต์ ส่วนคำว่า กระปรี้กระเปร่า (Energized) หลังจากดื่มไวน์แดงนั้นมีเพียง 7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ดังนั้นดื่มไวน์แดงแล้วไม่ง่วงให้รู้กันไปสิ!

via GIPHY

3 ชั่วโมง…ท่องไว้ว่า 3 ชั่วโมง

สิ่งหนึ่งที่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการนอนหลับอย่าง ดร.ราจกุมาร์ ดัสกุปตา (Rajkumar Dasgupta) ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากโรงเรียนการแพทย์เค็ก (Keck School of Medicine) ในมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย และนักบรรยายของสถาบันการศึกษาด้านนิทราเวชแห่งอเมริกา (The American Academy of Sleep Medicine) ได้ให้คำแนะนำไว้ว่า หากคุณวางแผนดื่มไวน์แดงเพื่อให้นอนหลับสบายในเวลา 22.00 น. คุณควรดื่มแก้วสุดท้ายในเวลา 19.00 น. เพราะร่างกายต้องใช้เวลาราว 3 ชั่วโมงในการเผาผลาญไวน์ที่ดื่มเข้าไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละบุคคลด้วย ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยของน้ำหนักหรือเพศ

อีกคำแนะนำจาก ดร.แพทริเซีย คาร์เตอร์ รองศาสตราจารย์จากโรงเรียนพยาบาลออสติน (Austin’s School of Nursing) มหาวิทยาลัยเท็กซัส สหรัฐอเมริกาได้ให้คำแนะนำว่า การดื่มไปพร้อมๆ กับมื้อค่ำเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะร่างกายจะมีเวลาเผาผลาญทั้งอาหารและไวน์ในช่วงเวลาก่อนเข้านอน ซึ่งจะช่วยให้คุณได้หลับพักผ่อนอย่างเต็มอิ่มนั่นเอง

via GIPHY

หลับก่อน บั่นทอนทีหลัง

ถึงแม้เมลาโทนินในไวน์แดงจะช่วยให้หลับสบายหรือเข้าสู่โหมดนิทราเร็วขึ้นก็จริง แต่นั่นเป็นเพราะปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งเราต้องขอบคุณแอลกอฮอล์ไว้ตรงนี้ ทั้งนี้ก่อนจะหาข้ออ้างไปตะลุยดื่ม ‘ยานอนหลับ’ ในแก้วไวน์ ควรรู้ไว้ก่อนว่าร่างกายของมนุษย์เราจะทานทนหรือคุ้นเคยกับสิ่งนี้ในเวลาเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น… นั่นหมายความว่าเมื่อคุณดื่มไวน์ในปริมาณหนึ่งแก้ว คุณจะนอนหลับสบายในวันแรกๆ แต่หากคุณดื่มติดต่อกันเกิน 3 วัน ร่างกายอันชาญฉลาดของคุณจะเริ่มปรับตัวและต้องการปริมาณแอลกอฮอล์ที่มากกว่าเดิมเพื่อส่งผลให้ร่างกายตอบรับปฏิกิริยาดังกล่าวได้เช่นเดิม และนี่อาจจะเป็นปัญหาใหญ่ที่ลุกลามไปถึงอาการติดแอลกอฮอล์เลยก็เป็นได้

ฉะนั้นทางที่ดีที่สุด เราจึงควรดื่มแบบไม่มากจนเกินไป หรืออาจจะทำตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่แนะนำให้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่เกิน 2 แก้วต่อวัน และไม่เกิน 5 วันต่อสัปดาห์ ลองดื่มสักวันสองวันแล้ว จากนั้นจึงควรพักร่างด้วยการพยายามหลับด้วยตัวเองบ้างนั่นเอง

via GIPHY

อยากรู้ว่าจริงไหม ลองหาไวน์แดงสักขวดมาเป็นเพื่อนคู่ใจบนหัวนอนของคุณ แต่ที่สำคัญอย่าลืมว่าควรกะเกณฑ์ปริมาณการดื่มให้พอดี เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณนั่นเอง

Good night and sleep tight!

อ่าน 8 เรื่องน่ารู้ที่จะเปลี่ยนมุมที่คุณมองไวน์แดงเสียใหม่ ที่นี่

ภาพประกอบ: Pichamon Wannasan

อ้างอิง:

• www.qz.com/1135494/a-new-study-confirms-liquor-makes-you-confident-and-gives-you-all-the-feels
• www.winespectator.com/webfeature/show/id/How-Does-Alcohol-Affect-Your-Sleep
• www.huffingtonpost.com/entry/how-alcohol-affects-sleep_us_595fbd02e4b0615b9e91273c

The post ไวน์แดงช่วยให้หลับง่ายกว่าจริงๆ หรือ? ดื่มกี่แก้ว ดื่มตอนไหน ถึงจะหลับสบายคลายกังวล เรามีคำตอบ appeared first on THE STANDARD.