MasterCard – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 28 Nov 2025 12:26:25 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 เปิดกลยุทธ์ “มาสเตอร์การ์ด x เซ็นทรัล รีเทล” เจาะนักช้อปสายรันเนอร์ ผ่านแคมเปญ ‘Shop Fun, Run Far to Tokyo Marathon 2026’ https://thestandard.co/mastercard-central-retail-tokyo-marathon/ Fri, 28 Nov 2025 12:26:25 +0000 https://thestandard.co/?p=1149263 เปิดกลยุทธ์ “มาสเตอร์การ์ด x เซ็นทรัล รีเทล” เจาะนักช้อปสายรันเนอร์ ผ่านแคมเปญ ‘Shop Fun, Run Far to Tokyo Marathon 2026’

ในยุคที่ตลาดค้าปลีกแข่งขันกันอย่างดุเดือด การลดราคาไม่ใ […]

The post เปิดกลยุทธ์ “มาสเตอร์การ์ด x เซ็นทรัล รีเทล” เจาะนักช้อปสายรันเนอร์ ผ่านแคมเปญ ‘Shop Fun, Run Far to Tokyo Marathon 2026’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดกลยุทธ์ “มาสเตอร์การ์ด x เซ็นทรัล รีเทล” เจาะนักช้อปสายรันเนอร์ ผ่านแคมเปญ ‘Shop Fun, Run Far to Tokyo Marathon 2026’

ในยุคที่ตลาดค้าปลีกแข่งขันกันอย่างดุเดือด การลดราคาไม่ใช่คำตอบเดียวอีกต่อไป เซ็นทรัล รีเทล และมาสเตอร์การ์ดจึงเลือกเดินเกมเหนือชั้น ผ่านแคมเปญ Collaboration Marketing ที่ไม่ได้ขายแค่สินค้า แต่ “ขายประสบการณ์ที่มีคุณค่า” จนเกิดเป็นโปรเจ็กต์ระดับมาสเตอร์พีซ ‘Shop Fun, Run Far to Tokyo Marathon 2026’ ซึ่งเปลี่ยนยอดช้อปให้กลายเป็น “ตั๋ววิ่ง Tokyo Marathon” หนึ่งในงานวิ่งที่หายากที่สุดในโลก

 

Mastercard ในฐานะ Official Partner ของ Tokyo Marathon และ Central Retail ผู้นำค้าปลีกที่มีฐานลูกค้ากว่า 22 ล้านคน มารวมกันอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อมอบประสบการณ์แบบ Priceless Experience ให้กับนักวิ่งและนักช้อปชาวไทยอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

โดยแคมเปญนี้เปิดให้ลูกค้าใช้จ่ายด้วยบัตรมาสเตอร์การ์ดสะสมครบทุก 200,000 บาท เพื่อชิงสิทธิ์บินไปวิ่ง Tokyo Marathon 2026 จำนวน 25 สิทธิ์

 

และมีผู้สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมกว่า 8,000 คน ซึ่งสะท้อนว่าผู้บริโภคพร้อมใช้จ่ายมากขึ้น หากสิ่งที่ได้ตอบโจทย์ความฝันและไลฟ์สไตล์ของตัวเองอย่างแท้จริง

 

นี่คือบทพิสูจน์ของโมเดล Value-Driven Experience เมื่อ “ประสบการณ์” มีค่ามากกว่า “ส่วนลด” การตัดสินใจก็เกิดอย่างทรงพลัง

 

จุดพิเศษของมาสเตอร์การ์ดและเซ็นทรัล รีเทล คือ ไม่หยุดแค่ตอนผู้ชนะได้รับสิทธิ์ แต่เดินหน้าดูแลประสบการณ์ผู้ใช้อย่างต่อเนื่อง

 

ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2025 ทั้งสององค์กรจัดงาน Winners’ Exclusive Event ให้ผู้ชนะทั้ง 25 คนได้รับรองเท้าวิ่งรุ่นท็อป ASICS METASPEED Tokyo ฟรี 1 คู่ พร้อมบริการ 3D Foot Scan แบบ Safesize วิเคราะห์สรีระเท้าเพื่อเลือกรองเท้าที่เหมาะที่สุด

 

ภายในงานยังมีการแชร์ประสบการณ์จากนักวิ่งตัวท็อปของไทย เช่น

 

  • โค้ชเดี่ยว ปฏิการ เพชรศรีชา ทำเวลา Tokyo Marathon 2025 ที่ 2:39:09
  • คุณจี้ สโรชา ศิลประสพ อันดับ 3 ฝั่งหญิงไทย
  • คุณเอิร์ธ นิโรธ รื่นเจริญ นักวิ่งสีสันประจำสนาม

 

แคมเปญนี้ถือเป็นหลักยืนยันว่า มาสเตอร์การ์ด x เซ็นทรัล รีเทล คือการสร้างวัฒนธรรมใหม่ของการตลาดไทย ที่มอบประสบการณ์เหนือระดับเป็นหัวใจสำคัญ และยังสอดคล้องกับเป้าหมายของเซ็นทรัล รีเทลในการเป็น “Central to Life ศูนย์กลางชีวิตของผู้คน” ที่ไม่ได้ตอบโจทย์แค่ด้านการช้อป แต่เชื่อมโยงกับความฝัน ไลฟ์สไตล์ และคอมมูนิตี้ของผู้บริโภคในระยะยาว

 

เปิดกลยุทธ์ “มาสเตอร์การ์ด x เซ็นทรัล รีเทล” เจาะนักช้อปสายรันเนอร์ ผ่านแคมเปญ ‘Shop Fun, Run Far to Tokyo Marathon 2026’ 1
เปิดกลยุทธ์ “มาสเตอร์การ์ด x เซ็นทรัล รีเทล” เจาะนักช้อปสายรันเนอร์ ผ่านแคมเปญ ‘Shop Fun, Run Far to Tokyo Marathon 2026’ 2
เปิดกลยุทธ์ “มาสเตอร์การ์ด x เซ็นทรัล รีเทล” เจาะนักช้อปสายรันเนอร์ ผ่านแคมเปญ ‘Shop Fun, Run Far to Tokyo Marathon 2026’ 3
เปิดกลยุทธ์ “มาสเตอร์การ์ด x เซ็นทรัล รีเทล” เจาะนักช้อปสายรันเนอร์ ผ่านแคมเปญ ‘Shop Fun, Run Far to Tokyo Marathon 2026’ 4
เปิดกลยุทธ์ “มาสเตอร์การ์ด x เซ็นทรัล รีเทล” เจาะนักช้อปสายรันเนอร์ ผ่านแคมเปญ ‘Shop Fun, Run Far to Tokyo Marathon 2026’ 5

The post เปิดกลยุทธ์ “มาสเตอร์การ์ด x เซ็นทรัล รีเทล” เจาะนักช้อปสายรันเนอร์ ผ่านแคมเปญ ‘Shop Fun, Run Far to Tokyo Marathon 2026’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
แบงก์กรุงเทพ จับมือ Mastercard เปิดตัว ‘Bangkok Bank Travel Card’ เจาะตลาดสายเที่ยวต่างประเทศ กระเป๋าหนัก ตั้งเป้าปีแรกมียอดเปิดบัตร 100,000 ใบ https://thestandard.co/bangkok-bank-travel-card/ Tue, 18 Nov 2025 11:41:21 +0000 https://thestandard.co/?p=1144713 แบงก์กรุงเทพ จับมือ Mastercard เปิดตัว ‘Bangkok Bank Travel Card’ เจาะตลาดสายเที่ยวต่างประเทศ กระเป๋าหนัก ตั้งเป้าปีแรกมียอดเปิดบัตร 100,000 ใบ

ธนาคารกรุงเทพ เปิดตัว ‘Bangkok Bank Travel Card’ บัตรเง […]

The post แบงก์กรุงเทพ จับมือ Mastercard เปิดตัว ‘Bangkok Bank Travel Card’ เจาะตลาดสายเที่ยวต่างประเทศ กระเป๋าหนัก ตั้งเป้าปีแรกมียอดเปิดบัตร 100,000 ใบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
แบงก์กรุงเทพ จับมือ Mastercard เปิดตัว ‘Bangkok Bank Travel Card’ เจาะตลาดสายเที่ยวต่างประเทศ กระเป๋าหนัก ตั้งเป้าปีแรกมียอดเปิดบัตร 100,000 ใบ

ธนาคารกรุงเทพ เปิดตัว ‘Bangkok Bank Travel Card’ บัตรเงินสดแบบเติมเงิน (Prepaid card) เจาะตลาดนักท่องเที่ยวไทยไปต่างประเทศ เสิร์ฟสิทธิพิเศษครบวงจร พาสู่ทุกจุดหมาย ภายใต้แนวคิด ‘ไป…ให้ถึง’ ครอบคลุมตั้งแต่ก่อนออกเดินทางจนถึงจุดหมาย

 

โชค ณ ระนอง ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการสายบัตรเครดิต ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สาเหตุที่ธนาคารกรุงเทพ ออกบัตร Travel Card หลังธนาคารเจ้าอื่น เพราะในช่วงที่ผ่านมา เข้มข้นกับการหาพาร์ตเนอร์ที่สามารถให้สิทธิประโยชน์ ที่คุ้มค่ากับลูกค้า โดยการร่วมมือกับ Mastercard ครั้งนี้ จะทำให้สามารถใช้ประโยชน์ จากเครือข่ายระดับโลก ทั้งร้านค้าและดิวตี้ฟรี ซึ่งจะทำให้ได้รับส่วนลดพิเศษต่างๆ มากถึง 30-50% ซึ่งธนาคารไม่สามารถทำได้

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะลงมาจับตลาด Travel Card หลังเจ้าอื่น แต่ธนาคารไม่ได้กังวลว่า จะแข่งขันไม่ได้ เนื่องจากบัตร ‘Bangkok Bank Travel Card’ ไม่คิดค่าธรรมเนียม FX Rate และไม่มีค่าธรรมเนียมบัตรรายปี จึงตอบโจทย์ กลุ่มนักเดินทาง ที่ต้องการสิทธิประโยชน์ โดยไม่ต้องเสียค่ามาร์กอัป อีกทั้งกลุ่มคนไทย ที่เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ยังเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายสูง โดยตั้งเป้าปีแรกมียอดเปิดใช้บริการบัตรไม่ต่ำกว่า 100,000 ใบ

 

“ปัจจุบันคนไทยนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับข้อมูลของสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (ทีทีเอเอ) ที่คาดการณ์ว่าในปี 2568 จะมีคนไทยไปเที่ยวต่างประเทศ (Outbound) ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน จากแรงหนุนของมาตรการฟรีวีซ่า โดยเฉพาะในประเทศที่มีวัฒนธรรม ที่น่าสนใจและธรรมชาติที่สวยงาม สายการบินเปิดให้บริการบินตรงในเส้นทางใหม่ๆ เทรนด์ Workation หรือ การทำงานระหว่างเดินทาง และราคาตั๋วเครื่องบินที่ปรับลดลง ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้นักเดินทางตัดสินใจเที่ยวต่างประเทศง่ายและบ่อยขึ้น ซึ่งบัตร ‘Bangkok Bank Travel Card’ จะไม่ใช่แค่เครื่องมือทางการเงิน แต่จะเป็นเหมือน ‘เพื่อนคู่คิด’ ด้านการเงินสำหรับนักเดินทางยุค ใหม่ที่จะช่วยให้ทุกการใช้จ่ายในต่างแดนเป็นเรื่องง่าย”

 

ชูจุดแข็งสิทธิประโยชน์ แบบไปถึง

 

1. เที่ยวคุ้มทั่วโลก รองรับการทำรายการชำระสินค้าและบริการ 150 สกุลเงินทั่วโลก ทั้งสกุลเงินที่แลกเก็บไว้ในบัตร และสกุลเงินที่นอกเหนือที่รองรับ จะทำรายการผ่านเงินสกุลไทยบาทที่เติมอยู่ในบัตร โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนของ Mastercard ณ ช่วงเวลาทำการ

 

2. ไม่มีค่าความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลต่างประเทศ 2.5% (Foreign Exchange Rate Risk : FX Rate) ในทุกการใช้จ่ายผ่านบัตร และถอนเงินสดสกุลเงินต่างประเทศผ่านเครื่อง ATM ที่ต่างประเทศที่รองรับ Mastercard ทั่วโลก

 

3. แลกเรตถูกใจ ได้ทันที สามารถตั้งค่าแจ้งเตือนเรตค่าเงินที่ต้องการไว้ล่วงหน้า ครอบคลุมสกุลเงินต่างประเทศมากถึง 11 สกุลเงิน ได้แก่ USD, GBP, EUR, JPY, HKD, SGD, CNY, AUD, NZD, CAD, และ CHF สามารถแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ด้วยตนเองตลอด 24 ชม. ผ่านโมบายแบงกิ้งธนาคารกรุงเทพ

 

4. รับความคุ้มครองประกันภัยการเดินทางต่างประเทศมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท โดย บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน)

 

5. สิทธิประโยชน์ Mastercard Flight Delay Pass เมื่อเที่ยวบินล่าช้า สามารถเข้าใช้ห้องรับรองสนามบินได้กว่า 1,500 แห่งทั่วโลก ตั้งแต่ 15 มกราคม 2569 เป็นต้นไป

 

6. สิทธิพิเศษก่อนบิน รับฟรีสิทธิเข้าใช้บริการห้องรับรองพิเศษ Miracle Lounge มูลค่า 1,500 บาท เมื่อมียอดใช้จ่ายสะสม ตามเงื่อนไขที่กำหนด และรับส่วนลดสูงสุด 30% สำหรับผู้ถือบัตรพร้อมผู้ติดตามสูงสุด 5 ท่านต่อเที่ยวบิน แบบไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อปี

 

นอกจากนี้ บัตร ‘Bangkok Bank Travel Card’ ยังมาพร้อมมาตรฐานความปลอดภัย ขั้นสูงและบริการ SMS Spending Alert เพื่อสร้างความมั่นใจในทุกการใช้จ่าย ให้ทุกการเดินทางเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขและความประทับใจแบบ ‘ไปถึง’ อย่างแท้จริง

The post แบงก์กรุงเทพ จับมือ Mastercard เปิดตัว ‘Bangkok Bank Travel Card’ เจาะตลาดสายเที่ยวต่างประเทศ กระเป๋าหนัก ตั้งเป้าปีแรกมียอดเปิดบัตร 100,000 ใบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Mastercard มองกลยุทธ์ปราบสแกมเมอร์ ชี้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือแก้ไขปัญหา https://thestandard.co/scammer-industry-15-trillion-mastercard-strategy/ Tue, 21 Oct 2025 10:38:33 +0000 https://thestandard.co/?p=1133458 scammer-industry-15-trillion-mastercard-strategy

วันนี้ (21 ตุลาคม) ในงาน GovWare 2025 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง […]

The post Mastercard มองกลยุทธ์ปราบสแกมเมอร์ ชี้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือแก้ไขปัญหา appeared first on THE STANDARD.

]]>
scammer-industry-15-trillion-mastercard-strategy

วันนี้ (21 ตุลาคม) ในงาน GovWare 2025 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Singapore International Cyber Week 2025 โดย Rigo Van den Broeck รองประธานด้านธุรกิจ Cybersecurity ของ MasterCard กล่าวว่า โลกของเราต้องเปลี่ยนความคิด ในการต่อสู้กับสแกมเมอร์จากการพยายามปกป้องเหยื่อไม่ให้ถูกสแกมเมอร์หลอกลวงอย่างเดียว ไปสู่การรบกวนการทำงานของสแกมเมอร์

 

โดยจากการคาดการณ์พบว่า ทุกวันนี้ อุตสาหกรรมสแกมเมอร์มีมูลค่าถึง 15.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐทั่วโลก ซึ่งมูลค่านี้ถ้าเทียบเป็นประเทศแล้วมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามรองจากขนาดเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและจีน และภายในปี 2027 คาดว่ามูลค่าจะเพิ่มขึ้นไปถึง 23 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งหมายถึงอุตสาหกรรมสแกมเมอร์จะมีขนาดใหญ่กว่าเศรษฐกิจของจีนทั้งประเทศ ดังนั้นสแกมเมอร์ไม่ได้สร้างความเสียหายกับเหยื่อเท่านั้น แต่ยังก่อปัญหาต่อสังคมและระบบเศรษฐกิจ รวมถึงส่งผลโดยอ้อมให้คนไม่เชื่อมั่นในการใช้จ่ายผ่านระบบดิจิทัล และยิ่งเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง Authentic AI พัฒนาขึ้น ยิ่งง่ายที่สแกมเมอร์ทั่วโลกจะนำมาใช้ในทางที่ผิด

 

“ปัญหาแรกของเรื่องสแกมเมอร์คือขนาดของการฉ้อโกง ปัญหาที่สองคือรัฐบาลประเทศใดประเทศหนึ่งไม่สามารถแก้ปัญหาได้เพราะสแกมเมอร์ไม่ใช่ปัญหาภายในประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นปัญหาข้ามชาติ เพราะสแกมเมอร์ใช้ประเทศอื่นเป็นฐานในการฉ้อโกง”

 

เขาสรุปปัจจัยที่ทำให้สแกมเมอร์เติบโตอย่างรวดเร็วคือ การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีอย่าง AI ที่ทำให้การหลอกลวงดูน่าเชื่อถือมากขึ้น อย่างที่สองคือความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ เนื่องจากความไม่แน่นอนเหล่านี้จะดึงความสนใจจากการแก้ปัญหาสแกมเมอร์ สามคือการลงทุนเพื่อสร้างธุรกิจสแกมเมอร์นั้นราคาถูกแต่ได้ผลตอบแทนที่ดี เช่นทุกวันนี้เราสามารถซื้อมัลแวร์ได้ในราคาไม่กี่ร้อยเหรียญสหรัฐ และสุดท้ายคือเมื่อทุกอย่างเข้าสู่โลกดิจิทัล ก็ทำให้มีพื้นที่ที่สแกมเมอร์จะฉ้อโกงได้มากขึ้น

 

สำหรับในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คาดการณ์ว่า สแกมเมอร์สร้างความเสียหาย 23.6 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือ 7.7 แสนล้านบาทในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา โดยประเทศที่มีความเสียหายสูงที่สุดคือสิงคโปร์ ซึ่งเสียหายเฉลี่ย 2,132 1 เหรียญหรือราว 70,000 บาทต่อคน รองลงมาคือมาเลเซียที่เสียหาย 1,035 เหรียญสหรัฐหรือ 34,000 บาทต่อคน และไทยที่เสียหาย 354 เหรียญสหรัฐหรือ 11,600 บาทต่อคน

 

“ดังนั้นปัญหาสแกมเมอร์นั้นแก้ได้ยาก ก็เพราะขนาดของอุตสาหกรรมการฉ้อโกงนี้ อีกทั้งความหลากหลายของการฉ้อโกงก็มีสูง เพราะมีทั้งการหลอกลงทุน การปลอมตัว การโกงจากการซื้อขายออนไลน์ และสแกมเมอร์ทำงานไปทั่วทุกช่องทางตั้งแต่โซเชียลมีเดีย ไปจนถึงโทรศัพท์หรืออีเมล ซึ่งเราไม่สามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด”

 

ดังนั้นการแก้ปัญหานี้จะต้องใช้การร่วมมือของทุกฝ่าย เขาสรุปว่าฝ่ายแรกที่ต้องรับผิดชอบคือรัฐบาล เพราะหน้าที่ของรัฐบาลคือต้องปกป้องประชาชน ฝ่ายที่สองคือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ที่ต้องมาร่วมแก้ปัญหา ฝ่ายที่สามคือผู้บังคับใช้กฎหมาย ซึ่งหมายถึงธนาคารหรือระบบการรับจ่ายเงินไม่ได้ควรจะเป็นผู้รับผิดชอบหลักเมื่อเกิดปัญหาขึ้น

 

“การแก้ปัญหาสแกมเมอร์นั้นต้องเปลี่ยนสมการของสแกมเมอร์ โดยต้องทำให้ต้นทุนของการฉ้อโกงสูงขึ้น และรายได้ของการฉ้อโกงลดลงจนถึงจุดที่ไม่คุ้มค่า เพราะสแกมเมอร์ก็คิดแบบนักธุรกิจซึ่งต้องคำนึงถึงผลตอบแทนจากการลงทุน ซึ่งนั่นเป็นคำตอบที่ว่าทำไมสแกมเมอร์ถึงใช้ Authentic AI เพราะแม้ว่าผลลัพธ์ที่ AI สร้างขึ้นอาจจะยังไม่เหมือนจริง 100% แต่สำหรับสแกมเมอร์แล้ว ถ้ามันสามารถหลอกคนได้ 40% ก็หมายถึงความสำเร็จถึง 40% ซึ่งถือว่ายอมรับได้ในมุมของสแกมเมอร์”

 

เขาเสริมว่า ในการแก้ปัญหาและปราบปรามสแกมเมอร์นั้น เราต้องพยายามระบุตัวตนของสแกมเมอร์ให้ได้ โดยเราต้องพยายามเก็บข้อมูลของเหยื่อ เช่น IP ของคนที่หลอกเหยื่อมาจากไหน เพราะสแกมเมอร์มักจะทำการฉ้อโกงเป็นล้าน ๆ ครั้งจากแหล่งเดียวกัน ซึ่งเราสามารถใช้เทคนิค NetFlow ที่ดูขนาดและชนิดของข้อมูลที่ส่งมาจาก IP เดียวกันเพื่อระบุตำแหน่งของต้นตอการสแกมได้

 

“เมื่อทราบตำแหน่งของสแกมเมอร์แล้ว เราต้องทำงานกับรัฐบาลหรือบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการทำลายศูนย์บัญชาการควบคุมปฏิบัติการของสแกมเมอร์ให้ได้ นั่นหมายถึงเราต้องเปลี่ยนวิธีการจากการแค่ปกป้องเหยื่อไปสู่การปราบปรามสแกมเมอร์เชิงรุกเพื่อรบกวนปฏิบัติการของสแกมเมอร์จนทำให้ศูนย์บัญชาการเสียหายหรือใช้งานไม่ได้ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายตั้งแต่รัฐบาล โซเชียลมีเดีย ตัวกลางรับจ่ายเงินอย่าง MasterCard รวมถึงผู้ให้บริการโทรคมนาคม ทุกคนต้องร่วมมือและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเพื่อจัดการสแกมเมอร์ที่ต้นตอ ทำให้ชีวิตของสแกมเมอร์ยากลำบาก เพิ่มต้นทุนให้สแกมเมอร์ จนถึงจุดที่สแกมเมอร์รู้สึกว่าไม่คุ้มที่จะดำเนินธุรกิจต่อไป”

 

สำหรับ Singapore International Cyber Week นั้นจัดขึ้นเป็นปีที่ 10 ติดต่อกัน ถือเป็นงานด้าน Cyber Security ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งรวบรวมผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรม Cyber ทั้งภาครัฐและเอกชนจากทั่วโลกเกือบ 100 ประเทศมาแลกเปลี่ยนมุมมองด้าน Cyber รวมถึงบริษัทต่าง ๆ ในอุตสาหกรรม Cyber ที่นำเสนอเทคโนโลยีล่าสุดในงาน GovWare 2025 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Singapore International Cyber Week ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-23 ตุลาคมนี้ที่สิงคโปร์เช่นกัน

The post Mastercard มองกลยุทธ์ปราบสแกมเมอร์ ชี้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือแก้ไขปัญหา appeared first on THE STANDARD.

]]>
KTC ดัน SME ไทยเติบโต ด้วย KTC Merchant App ชูจุดเด่น เงินเข้าเร็ว ค่าธรรมเนียมต่ำ รองรับลูกค้าทั้งไทยและต่างประเทศ https://thestandard.co/ktc-merchant-app/ Thu, 09 Oct 2025 10:07:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1128663 COVER - KTC App Fast Payment Low Fees

เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนจากเงินสดสู่ดิจิทัล ผู้ประ […]

The post KTC ดัน SME ไทยเติบโต ด้วย KTC Merchant App ชูจุดเด่น เงินเข้าเร็ว ค่าธรรมเนียมต่ำ รองรับลูกค้าทั้งไทยและต่างประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
COVER - KTC App Fast Payment Low Fees

เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนจากเงินสดสู่ดิจิทัล ผู้ประกอบการรายย่อยหรือ SME ไทยเผชิญโจทย์สำคัญว่าจะรับมืออย่างไรไม่ให้พลาดโอกาสการขาย KTC หรือ บัตรกรุงไทย จึงเดินหน้าพัฒนา KTC Merchant App แอปพลิเคชันรับชำระเงินดิจิทัลที่ออกแบบมาเพื่อช่วย SME ปลดล็อกข้อจำกัดด้านเงินสด ลดต้นทุน และเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินได้ทันที

 

KTC เผยกลยุทธ์สนับสนุน SME ไทยด้วยการผลักดัน ‘KTC Merchant App’ เครื่องมือดิจิทัลที่ตอบโจทย์ทั้งความสะดวกและความมั่นใจ โดยเน้นจุดแข็ง 3 ด้านสำคัญ คือ ค่าธรรมเนียมที่เป็นมิตร การโอนเงินคืนที่รวดเร็ว และการรองรับการชำระเงินจากลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ

 

เนาวรัตน์ กีรติเกษมสุข ผู้บริหารสูงสุด สายงานบริหารร้านค้าสมาชิก เคทีซี เปิดเผยว่า “เป้าหมายของเคทีซีในวันนี้เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เคทีซีต้องการให้ผู้ประกอบการธุรกิจทุกขนาด โดยเฉพาะรายย่อย เข้าถึงบริการทางการเงินได้มากขึ้น ด้วยการเป็นสถาบันการเงินที่พัฒนาโซลูชันรับชำระเงินสำหรับร้านค้า เคทีซีเห็นการเติบโตของ ‘คนตัวเล็ก’ ที่ก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสดได้อย่างรวดเร็ว เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายและขยายรายได้ แอปพลิเคชัน KTC Merchant จึงถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย ปลอดภัยสูง และควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

 

WEALTH UPDATE_KTC Merchant App ช่วย SME ไทย รุกฐานลูกค้า ‘ผู้มีบัตรเครดิต’1

 

เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จำนวนร้านค้า SME ที่เป็นสมาชิกเคทีซีเติบโตขึ้นกว่า 90% และยอดรับชำระโตถึง 142% โดยเฉพาะธุรกิจร้านคาเฟ่และร้านอาหาร แสดงถึงการเปลี่ยนผ่านของ SME ไทยที่เข้าสู่ระบบการชำระเงินดิจิทัลอย่างจริงจัง

 

โดยปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการ SME ราว 3.18 ล้านราย คิดเป็นสัดส่วนการจ้างงานกว่า 12.7 ล้านคน หรือ 71% ของการจ้างงานรวมทั้งประเทศ และสร้างมูลค่าเศรษฐกิจราว 35% ของ GDP (ข้อมูลจาก สสว. และ ธปท.) ซึ่งสะท้อนว่าการสนับสนุน SME เป็นปัจจัยสำคัญต่อความมั่นคงของเศรษฐกิจไทย

 

ครบทุกช่องทางการชำระในแอปเดียว

 

KTC Merchant App รองรับการรับบัตรเครดิตและเดบิตทุกสถาบันการเงิน ครอบคลุมเครือข่ายหลักทั้ง Visa, Mastercard, JCB และ Union Pay รวมถึงการรับชำระด้วย PromptPay QR และ QR Cross Border จาก 7 ประเทศ อีกทั้งยังเชื่อมต่อ Alipay Plus ที่รวม e-wallet จากกว่า 16 ประเทศ เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถจ่ายเงินได้สะดวก ขณะที่ร้านค้าออนไลน์ยังสามารถใช้ฟีเจอร์ ‘Link Pay’ ส่งลิงก์ให้ลูกค้าชำระเงินได้โดยตรง แม้ไม่มีหน้าร้าน

 

WEALTH UPDATE_KTC Merchant App ช่วย SME ไทย รุกฐานลูกค้า ‘ผู้มีบัตรเครดิต’2

 

เพิ่มสภาพคล่อง ลดภาระต้นทุน

 

KTC เน้นจุดขายการโอนเงินกลับร้านค้าในวันเดียวกัน หากมีรายการขายก่อนเวลา 21.00 น. ซึ่งเร็วกว่าแพลตฟอร์มทั่วไป ทำให้ SME มีเงินหมุนเวียนทันใช้ นอกจากนี้ ร้านค้าสามารถใช้อุปกรณ์มือถือหรือแท็บเล็ตที่มีอยู่แล้วโดยไม่ต้องลงทุนเครื่อง EDC ลดค่าใช้จ่ายซ่อนเร้นลงได้มาก ค่าธรรมเนียมก็อยู่ในระดับเข้าถึงง่าย เช่น PromptPay 0.55% และบัตรเครดิตเริ่มต้นเพียง 1% ภายใต้เงื่อนไขสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย

 

สร้างโอกาสและความน่าเชื่อถือ

 

การรับชำระด้วยบัตรเครดิตและดิจิทัลเพย์เมนต์ ช่วยเพิ่มยอดขายเฉลี่ยต่อครั้ง (Ticket Size) และขยายฐานลูกค้าสู่กว่า 20 ล้านผู้ถือบัตรในไทย รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ใช้ e-wallet ชั้นนำ การชำระเงินแบบดิจิทัลยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้ร้านค้าในสายตาลูกค้า และลดความเสี่ยงเรื่องเงินสด เช่น เงินปลอมหรือการทอนผิด

 

WEALTH UPDATE_KTC Merchant App ช่วย SME ไทย รุกฐานลูกค้า ‘ผู้มีบัตรเครดิต’3

 

SME ใดบ้างที่ สามารถใช้ KTC Merchant App

 

ข้อกำหนดและเงื่อนไขสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย (SME) ที่จะใช้โซลูชั่นการชำระเงินดิจิทัลของ KTC โดยเฉพาะ KTC Merchant App นั้น สามารถแบ่งออกเป็นเงื่อนไขด้านการสมัคร เงื่อนไขด้านการเงิน และข้อกำหนดด้านอุปกรณ์ที่จำเป็น ดังนี้

 

1. ประเภทผู้ประกอบการและเอกสารพื้นฐาน

 

KTC Merchant App ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับผู้ประกอบการรายย่อยและมีความยืดหยุ่นในการสมัคร

 

  • ประเภทผู้สมัคร: KTC รับสมัครทั้ง บุคคลธรรมดา (Individuals) และ นิติบุคคล (Juristic Persons)
  • เอกสารพื้นฐาน: เอกสารที่ใช้ในการสมัครเป็นเอกสารพื้นฐานที่สถาบันการเงินส่วนใหญ่มักจะขอ เช่น สำเนาบัตรประชาชน, ทะเบียนพาณิชย์ (สำหรับนิติบุคคล), Statement (รายการเดินบัญชี), ใบอนุญาตประกอบธุรกิจพิเศษ (ถ้ามี ธุรกิจที่ต้องการใบอนุญาตเฉพาะ)
  • ระยะเวลาอนุมัติ: หากผู้ประกอบการมีเอกสารครบถ้วนตามที่กำหนด KTC สามารถดำเนินการอนุมัติได้ ภายใน 1 วันทำการ และร้านค้าสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพื่อเริ่มรับชำระเงินได้เลย
  • ธุรกิจที่เหมาะสม: โซลูชั่นนี้เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการความคล่องตัวในการรับชำระเงิน เช่น ร้านคาเฟ่, ร้านอาหาร, ร้านฟาสต์ฟู้ด, ธุรกิจบริการตัวเอง, ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว, ธุรกิจความงาม, หรือร้านค้าที่ไปออกบูธในงานอีเวนต์

 

2. เงื่อนไขเฉพาะสำหรับอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษ

 

KTC เสนออัตราค่าธรรมเนียมเริ่มต้นที่ 1% สำหรับการรับชำระด้วยบัตรเครดิตผ่าน KTC Merchant App เพื่อสนับสนุนกลุ่ม SME ภายใต้เงื่อนไข ดังนี้

 

2.1 ต้องไม่เคยรับบัตรเครดิตมาก่อน

 

2.2 มีเพดานยอดรับบัตรต่อปี โดยมียอดรวมการรับชำระบัตรไม่เกินที่กำหนด ดังนี้:

 

  • สำหรับบัตรเครดิตเครือข่าย Visa: ยอดรับบัตรต้อง ไม่เกิน 2.4 ล้านบาทต่อปี
  • สำหรับบัตรเครดิตเครือข่าย Mastercard: ยอดรับบัตรต้อง ไม่เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปี

 

อย่างไรก็ตาม หากผู้ประกอบการรายย่อยมียอดรับบัตรเกินเพดานที่กำหนดนี้ จะถูกปรับไปใช้อัตราค่าธรรมเนียมปกติ (เหมือนการใช้เครื่อง EDC) ซึ่งอาจสูงกว่า 1% มาก

 

3. ข้อกำหนดด้านอุปกรณ์และการรับเงิน
KTC Merchant App มีข้อดีคือลดภาระด้านอุปกรณ์ ทำให้เงื่อนไขการใช้งานง่ายขึ้น โดยร้านค้าสามารถใช้โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตที่มีอยู่แล้วได้เลย โดยไม่ต้องซื้ออุปกรณ์ใหม่ และติดตั้งแอปพลิเคชัน สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน KTC Merchant ได้จากทั้ง Play Store (สำหรับ Android) และ App Store (สำหรับ iOS)

 

ส่วนการโอนเงินคืนนั้น เพื่อให้ได้รับเงินโอนคืนสำหรับการทำรายการขายภายในวันนั้น (รายการขายก่อน 21:00 น. จะได้รับเงินคืนภายในวันนั้นเลย) ร้านค้าจะต้องระบุ บัญชีธนาคารกรุงไทย สำหรับการรับโอนเงิน

 

นั่นหมายความว่าร้านค้าจะไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง ไม่ต้องจ่ายค่าอุปกรณ์ ไม่ต้องกังวลเรื่องยอดขายขั้นต่ำ เพื่อรักษาเครื่อง และไม่มีค่าบริการรายเดือนอื่นๆ ที่แอบแฝง โดย KTC จะคิดค่าธรรมเนียมเฉพาะจากยอดที่รูดบัตรหรือยอดที่รับชำระเท่านั้น

 

WEALTH UPDATE_KTC Merchant App ช่วย SME ไทย รุกฐานลูกค้า ‘ผู้มีบัตรเครดิต’4

 

เสียงผู้ประกอบการจริง

 

วาริส แก้วภักดี เจ้าของ Green View Farm Café จังหวัดฉะเชิงเทรา คาเฟ่แนวเกษตรและ Farm to Table กล่าวถึงประสบการณ์การใช้ KTC Merchant App ว่า

 

“สิ่งที่ประทับใจคือระบบที่เสถียรและใช้งานง่าย ลูกค้าของร้านมีทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ แอป KTC ช่วยให้รับชำระได้ทุกช่องทาง ตั้งแต่บัตรเครดิต PromptPay ไปจนถึง QR ต่างประเทศ ทำให้ร้านไม่พลาดโอกาสขาย ที่สำคัญเงินเข้าภายในวันเดียว ช่วยให้ธุรกิจเล็กๆ เดินหน้าต่อได้อย่างมั่นใจ”

 

นอกจากนี้ Green View Farm Café ยังมองว่าโซลูชันดิจิทัลจาก KTC ไม่เพียงช่วยด้านการเงิน แต่ยังสอดคล้องกับแนวคิด Gastronomy Tourism ที่เชื่อมเกษตรกรท้องถิ่นกับผู้บริโภคได้โดยตรง

 

แผนการเติบโตของ KTC

 

เนาวรัตน์ย้ำว่า เคทีซีมุ่งขยายฐาน SME ไทยให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยตั้งเป้าเพิ่มร้านค้าใหม่ไม่น้อยกว่า 3,000 รายในปีหน้า และคาดว่ายอดรับชำระจะเติบโตอีก 50% โดยโฟกัสไปที่กลุ่มคาเฟ่ ร้านอาหาร ค้าปลีก และธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งมีศักยภาพสูงในการรองรับลูกค้าทั้งไทยและต่างชาติ

 

“แนวทางทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่การให้บริการทางการเงิน แต่คือการเป็น ‘พันธมิตรทางธุรกิจ’ ที่ช่วย SME ไทยยกระดับการทำธุรกิจสู่โลกดิจิทัลอย่างมั่นคง” เนาวรัตน์กล่าวย้ำ

The post KTC ดัน SME ไทยเติบโต ด้วย KTC Merchant App ชูจุดเด่น เงินเข้าเร็ว ค่าธรรมเนียมต่ำ รองรับลูกค้าทั้งไทยและต่างประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Mastercard เตรียมเปิดใช้งานระบบชำระเงินไบโอเมตริกซ์ในเอเชียที่มีไทยเป็นประเทศหมุดหมายหัวแถว https://thestandard.co/mastercard-to-let-asian-shoppers-pay-with-a-quick-face-scan/ Wed, 06 Dec 2023 06:55:45 +0000 https://thestandard.co/?p=873908 Mastercard

Nikkei Asia รายงานความร่วมมือระหว่าง Mastercard หนึ่งใน […]

The post Mastercard เตรียมเปิดใช้งานระบบชำระเงินไบโอเมตริกซ์ในเอเชียที่มีไทยเป็นประเทศหมุดหมายหัวแถว appeared first on THE STANDARD.

]]>
Mastercard

Nikkei Asia รายงานความร่วมมือระหว่าง Mastercard หนึ่งในเครือข่ายชำระเงินระดับโลก และ NEC บริษัทเทคสัญชาติญี่ปุ่น ถึงแผนการเปิดร้านค้าที่ใช้ระบบชำระเงินแบบสแกนใบหน้า โดยเฟสทดลองจะเริ่มในปีหน้ากับตลาดอย่างสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และประเทศอื่นๆ ในเอเชีย นำหน้าตลาดฝั่งสหรัฐฯ และยุโรป

 

ความพร้อมในการเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ในประเทศฝั่งเอเชียอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง โดย 80% ของธุรกรรมจากการเปิดเผยของ Mastercard ระบุว่าเป็นธุรกรรมแบบ ‘ไร้สัมผัส’ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมบริษัททั้งสองจึงเลือกปักหมุดมาที่เอเชีย

 

Karthik Ramanathan หนึ่งในผู้บริหารของ Mastercard ให้สัมภาษณ์กับ Nikkei Asia ว่า “ในฐานะผู้ที่ดูแลตลาดในภูมิภาคเอเชีย ผมคิดว่าผู้บริโภคในพื้นที่นี้ถือเป็นกลุ่มที่มีความพร้อมในการทดลองเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่ตลอด และผมเชื่อว่าตอนนี้เอเชียพร้อมแล้วเช่นกันสำหรับประสบการณ์ชำระเงินแบบไบโอเมตริกซ์”

 

นอกจากสิงคโปร์กับอินโดนีเซียแล้ว เป้าหมายประเทศถัดมาในเอเชียก็คือไทย ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น

 

การชำระเงินด้วยวิธีไบโอเมตริกซ์นี้เพียงให้ฝั่งของผู้ใช้งานลงทะเบียนโปรไฟล์และรูปถ่ายของตนเองผ่านสมาร์ทโฟน แค่นี้ก็สามารถชำระเงินได้โดยง่าย แค่มองกล้องบนจอแท็บเล็ตและไม่ต้องสแกนหรือรูดบัตรเลย ส่วนในฝั่งของธุรกิจก็สามารถจำกัดต้นทุนในส่วนของการติดตั้งเครื่องชำระเงินแบบเดิมได้อีกด้วย

 

“หากความคาดหวังของลูกค้าคือประสบการณ์ชำระเงินที่ไร้รอยต่อ การชำระเงินแบบไบโอเมตริกซ์จะเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์นั้น และธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีจะมีความได้เปรียบ” Ramanathan กล่าว

 

การชำระเงินรูปแบบนี้ถูกพัฒนาโดยใช้ระบบจาก NEC ซึ่งเป็นระบบที่มีความแม่นยำมากที่สุดตัวหนึ่งในโลก โดย NEC มีประสบการณ์ในด้านนี้มานานตั้งแต่ปี 1991 ที่นำเทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์ไปใช้กับบัตรประชาชนของชาวสิงคโปร์ และขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองในเวลาต่อมา

 

นอกจากนี้ NEC ยังต้องการขยายการใช้งานไปยังภาคการเงิน โดยในประเทศญี่ปุ่นมีการใช้งานแล้วสำหรับการเปิดบัญชีธนาคารที่ต้องอาศัยการยืนยันตัวตนออนไลน์

 

อย่างไรก็ตาม ข้อกังวลเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวยังคงเป็นประเด็นถกเถียงกันสำหรับความเหมาะสมในการใช้งานวิธีการสแกนใบหน้า ซึ่ง Mastercard ก็ตระหนักถึงข้อกังวลเหล่านี้ และเตรียมพร้อมกฎเกณฑ์ต่างๆ ไว้เพื่อรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้แล้ว

 

สิ่งหนึ่งที่เป็นแผนการลดความเสี่ยงดังกล่าวคือข้อมูลไบโอเมตริกซ์ที่ใช้ยืนยันตัวตน ณ เวลาใดเวลาหนึ่งจะไม่ถูกเก็บไว้บนเครื่องมือสื่อสาร “มันจะต้องถูกลบโดยทันที เมื่อเป็นเช่นนั้น การแฮ็กหรือการใช้งานที่ผิดจุดประสงค์ก็แทบจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย” Ramanathan กล่าวเสริม

 

ในระหว่างที่รายละเอียดของระบบการชำระเงินนี้ยังอยู่ในช่วงพัฒนา ทาง Mastercard ยืนยันว่าผู้ใช้งานมีสิทธิ์ที่จะเป็นคนเลือกว่าพวกเขาอยากจะชำระเงินผ่านวิธีไบโอเมตริกซ์ที่ไหนบ้าง

 

“เราต้องการให้ลูกค้าเป็นผู้ควบคุมการใช้งานข้อมูลของตัวเอง เพราะเราให้ความสำคัญกับความสบายใจของผู้ใช้งานในการใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ตนสามารถเลือกเองได้”

 

อ้างอิง:

The post Mastercard เตรียมเปิดใช้งานระบบชำระเงินไบโอเมตริกซ์ในเอเชียที่มีไทยเป็นประเทศหมุดหมายหัวแถว appeared first on THE STANDARD.

]]>
ข่าวร้ายยังไม่หมด! Mastercard ประกาศยุติความร่วมมือ Binance สำหรับบริการ Crypto Card ใน 4 ประเทศ มีผล 22 กันยายนนี้ https://thestandard.co/mastercard-binance-end-crypto-card-partnership/ Fri, 25 Aug 2023 02:48:26 +0000 https://thestandard.co/?p=833628 Mastercard

สำนักข่าว Reuters รายงานอ้างอิงอีเมลของโฆษกบริษัท Maste […]

The post ข่าวร้ายยังไม่หมด! Mastercard ประกาศยุติความร่วมมือ Binance สำหรับบริการ Crypto Card ใน 4 ประเทศ มีผล 22 กันยายนนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Mastercard

สำนักข่าว Reuters รายงานอ้างอิงอีเมลของโฆษกบริษัท Mastercard ที่เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่า Mastercard ได้ยุติความร่วมมือกับ Binance แพลตฟอร์มซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนคริปโต ในโปรแกรม Crypto Card ที่มีให้บริการใน 4 ประเทศคือ อาร์เจนตินา, บราซิล, โคลอมเบีย และบาห์เรน โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 22 กันยายนเป็นต้นไป 

 

ทั้งนี้ บริการ Crypto Card ดังกล่าวได้อนุญาตให้ผู้ใช้ชำระเงินในสกุลเงินดั้งเดิม โดยมีเงินทุนจากการถือครองสกุลเงินดิจิทัลมารองรับมูลค่าในการแลกเปลี่ยน

 

นอกจากนี้ โฆษกของ Mastercard ยังระบุอีกว่า การตัดสินใจนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อโปรแกรมบัตรคริปโตอื่นๆ ของบริษัท ซึ่งรวมถึงความร่วมมือกับ Gemini 

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 

 


 

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ Binance ผจญมรสุมรอบด้าน โดยเฉพาะความท้าทายทางกฎหมายและกฎระเบียบ ซึ่งหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ ได้ยื่นเอกสารฟ้องร้อง Binance และ Changpeng Zhao ซีอีโอ เมื่อเดือนมิถุนายน หลังมีการกล่าวหาว่า Binance เป็นพื้นที่สำหรับปฏิบัติการหลอกลวง 

 

ด้าน Binance ออกโรงโต้ยืนยันถึงมาตรการรักษาความปลอดภัย พร้อมจะปกป้องตัวเอง ‘อย่างจริงจัง’

 

ก่อนหน้านี้ในเดือนเมษายน Raj Dhamodharan หัวหน้าฝ่ายคริปโตและบล็อกเชนของ Mastercard ให้สัมภาษณ์ว่า บริษัทกำลังมองหาความร่วมมือเพิ่มเติมกับบริษัทคริปโต แต่ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ Binance อย่างเฉพาะเจาะจง โดยระบุเพียงแค่ว่า โปรแกรมการ์ดใดๆ ‘ต้องผ่านการตรวจสอบสถานะอย่างครบถ้วน’ และได้รับการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง

 

ทางด้านโฆษกของ Mastercard ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นว่า เหตุใดโปรแกรม Binance จึงยุติลง หรือใครเป็นผู้ตัดสินใจ

 

ขณะที่ Binance ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ตอบกลับมา หลังผู้สื่อข่าวได้ส่งอีเมลขอความคิดเห็นไป ขณะที่บัญชีทางการของบริษัทบน X (Twitter) เมื่อเร็วๆ นี้ชี้แจงแค่ว่า Binance Card จะไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไปสำหรับผู้ใช้ในลาตินอเมริกาและตะวันออกกลาง

 

อ้างอิง: 

The post ข่าวร้ายยังไม่หมด! Mastercard ประกาศยุติความร่วมมือ Binance สำหรับบริการ Crypto Card ใน 4 ประเทศ มีผล 22 กันยายนนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เหมาแทบไม่เหลือ! 8 ใน 10 แบรนด์ที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกเป็นแบรนด์ ‘สัญชาติอเมริกัน’ https://thestandard.co/worlds-most-valuable-brands-2023/ Tue, 15 Aug 2023 07:37:00 +0000 https://thestandard.co/?p=829490

Apple แบรนด์มูลค่า 880,000 ล้านดอลลาร์ คว้าแชมป์แบรนด์ท […]

The post เหมาแทบไม่เหลือ! 8 ใน 10 แบรนด์ที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกเป็นแบรนด์ ‘สัญชาติอเมริกัน’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

Apple แบรนด์มูลค่า 880,000 ล้านดอลลาร์ คว้าแชมป์แบรนด์ที่มูลค่ามากที่สุดในโลกเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน ตามหลังมาด้วย Google และ Microsoft ในอันดับที่ 2 และ 3 ตามข้อมูลจากงานวิจัย BrandZ Most Valuable Global Brands 2023 ของบริษัท Kantar 

 

แบรนด์สัญชาติอเมริกันคว้าตำแหน่งแบรนด์ที่มูลค่าสูงที่สุดในโลกไปแล้วถึง 8 จากทั้งหมด 10 แบรนด์ ซึ่งทั้ง 10 ถูกครองอันดับด้วยแบรนด์เทคโนโลยีกว่าครึ่ง, บริการพาณิชย์ (การเงิน) 2 แบรนด์, ร้านอาหาร เครื่องแต่งกาย และเครื่องดื่มอีกอย่างละ 1 แบรนด์

 

 

แบรนด์ดังยังคงเนื้อหอม แต่ก็ต้องพร้อมสร้างความแตกต่าง

 

ผลการศึกษาที่น่าสนใจในรายงานของปีนี้ชี้ว่า แม้โลกจะผ่านมรสุมความผันผวนทางเศรษฐกิจมามากนับตั้งแต่วิกฤตโควิด แต่สิ่งที่ยังมั่นคงก็คือความชอบของผู้คนต่อแบรนด์ที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ยังเหมือนเดิม ซึ่งเป็นการตอกย้ำความสามารถในการยืนหยัดและรักษาความไว้วางใจกับลูกค้าของตัวเองได้เป็นอย่างดี

 

แบรนด์อาหารและเครื่องดื่มเป็นกลุ่มที่พาตัวเองข้ามผ่านความท้าทายได้ดีกว่ากลุ่มอื่นๆ หลังเติบโตลดลงเพียงแค่ 3% จากปีที่แล้ว ในขณะที่ค่าเฉลี่ยรวมของการเติบโตในแบรนด์ประเภทอื่นๆ ทั้งหมดลดลงกว่า 20%

 

Coca-Cola (อันดับ 10) สามารถเพิ่มมูลค่าแบรนด์ตัวเองได้ถึง 8% ทำให้พวกเขากลับมาติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของแบรนด์ที่มูลค่ามากที่สุดในโลกอีกครั้งหลังจากหายไป 7 ปี

 

ฟาสต์ฟู้ดเป็นกลุ่มแบรนด์ที่ทำได้ดีรองลงมาจากกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม โดยแบรนด์ที่มีผลการดำเนินงานยอดเยี่ยมในกลุ่มนี้ ได้แก่ Burger King, Chick-fil-A และ Starbucks สาเหตุมาจากลูกค้าพบเห็นแบรนด์ถี่ขึ้น และมีประสบการณ์ที่ดี เช่น Burger King ลดเวลารออาหารสำหรับลูกค้า Drive-Thru และเน้นลงทุนด้านการสื่อสารกับผู้บริโภคมากขึ้น ทำให้มูลค่าเติบโตได้มากขึ้น 8% จากปี 2022

 

Louis Vuitton ในอันดับที่ 8 เป็นลักชัวรีแบรนด์เพียงหนึ่งเดียวที่ติด 10 อันดับแรก อย่างไรก็ตาม Dior เป็นแบรนด์ที่เติบโตเร็วที่สุดในกลุ่มนี้ โดยโตได้ถึง 9% มีมูลค่าที่ 11,400 ล้านดอลลาร์ ทั้งที่ไม่ติดอยู่ใน 100 อันดับแรกด้วยซ้ำ โดยรวมแล้วแบรนด์กลุ่มนี้ยังแข็งแกร่งจากการใช้คาแรกเตอร์ความหรูหราที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละแบรนด์ เพื่อดึงดูดลูกค้าที่ยอมจ่ายราคาสูงแม้เศรษฐกิจจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ก็ตาม

 

จากการวิเคราะห์ของ Kantar BrandZ หัวใจสำคัญของการสร้างแบรนด์ให้ยังเติบโตสวนทางกับความท้าทายทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน คือการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าให้แน่น และต้องมีจุดเด่นที่ชัดเจน Kantar พบว่าความแตกต่างที่ชัดในสายตาลูกค้าจะเป็นกุญแจสำคัญเพื่อสร้างจุดยืนของแบรนด์ให้เกิดความเชื่อมโยงที่จะติดอยู่ในความนึกคิดของลูกค้ามากขึ้น ซึ่งสุดท้ายแล้วจะส่งผลบวกต่อมูลค่าธุรกิจในระยะยาว

 

ภาพประกอบ: เทียนจรัส วงศ์พิเศษกุล

อ้างอิง:

The post เหมาแทบไม่เหลือ! 8 ใน 10 แบรนด์ที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกเป็นแบรนด์ ‘สัญชาติอเมริกัน’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Mastercard ดึง ‘7 สตาร์ทอัพ’ ด้านคริปโตเข้าโครงการ ‘Mastercard Start Path’ หวังผลักดันวงการคริปโตและบล็อกเชน https://thestandard.co/mastercard-start-path-with-startup/ Fri, 04 Nov 2022 03:33:00 +0000 https://thestandard.co/?p=704200

Mastercard บริษัทด้านการเงินชั้นนำของโลก ประกาศดัน 7 สต […]

The post Mastercard ดึง ‘7 สตาร์ทอัพ’ ด้านคริปโตเข้าโครงการ ‘Mastercard Start Path’ หวังผลักดันวงการคริปโตและบล็อกเชน appeared first on THE STANDARD.

]]>

Mastercard บริษัทด้านการเงินชั้นนำของโลก ประกาศดัน 7 สตาร์ทอัพน้องใหม่ด้านคริปโตและบล็อกเชน เข้ามาอยู่ในโครงการ ‘Mastercard Start Path’ หวังผลักดันให้อุตสาหกรรมคริปโตและบล็อกเชนเติบโต

 

ใน 7 สตาร์ทอัพมาจาก 5 ประเทศ โดยมาจากสหรัฐฯ 3 บริษัท ได้แก่ Loot Bolt ผู้ให้บริการการชำระเงินสำหรับ Web3.0, Quadrata สตาร์ทอัพด้านความเป็นส่วนบุคคล, Uptop แพลตฟอร์มแบรนด์บนบล็อกเชน และอีก 4 บริษัทที่เหลือจะเข้ามาในภายหลังของปีนี้ จากประเทศสิงคโปร์, อาบูดาบี, โคลอมเบีย และดูไบ


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


นับตั้งแต่ก่อตั้งโครงการดังกล่าวในปี 2014 Mastercard Start Path มีการสมัครเข้ามามากว่า 1,500 สตาร์ทอัพต่อปี และมีการร่วมระดมทุนมากกว่า 350 บริษัท เป็นมูลค่ามากกว่า 3.5 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.3 แสนล้านบาท

 

และหากสตาร์ทอัพรายใดสามารถเติบโตได้ ก็จะสามารถเข้าไปอยู่ในเครือข่าย Fintech ของ Mastercard ที่จะได้โอกาสร่วมโปรเจกต์จากบริษัทในเครือ หรือมีเมนเทอร์ของ Mastercard คอยช่วยสอนในการเร่งการเติบโตไปอีกระดับหนึ่งต่อไป

 

ทั้งนี้ Mastercard ไม่ใช่บริษัทเดียวที่มีการเร่งลงทุนในอุตสาหกรรมคริปโต เพราะ Binance ก็พึ่งมีการประกาศเงินลงทุนกว่า 100 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3.6 พันล้านบาท จัดตั้ง Objective Moon เพื่อสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาของ Binance ในฝรั่งเศส และหาพนักงานที่มีความสามารถจากในประเทศหรือในภูมิภาคดังกล่าว

 

อ้างอิง:

The post Mastercard ดึง ‘7 สตาร์ทอัพ’ ด้านคริปโตเข้าโครงการ ‘Mastercard Start Path’ หวังผลักดันวงการคริปโตและบล็อกเชน appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘Mastercard’ เอาจริงด้านคริปโต! ตั้งตัวเป็นสะพานเชื่อมให้แก่สถาบันการเงินนำเสนอบริการเทรดคริปโต https://thestandard.co/mastercard-crypto-mass-adoption/ Tue, 18 Oct 2022 06:41:37 +0000 https://thestandard.co/?p=696789

Mastercard เอาจริงในด้านคริปโต หวังทำให้คริปโตสามารถเข้ […]

The post ‘Mastercard’ เอาจริงด้านคริปโต! ตั้งตัวเป็นสะพานเชื่อมให้แก่สถาบันการเงินนำเสนอบริการเทรดคริปโต appeared first on THE STANDARD.

]]>

Mastercard เอาจริงในด้านคริปโต หวังทำให้คริปโตสามารถเข้าสู่การใช้ในระดับงานสาธารณะ (Mass Adoption) ผ่านการทำให้สถาบันการเงินสามารถเสนอบริการทางด้านคริปโตแก่ลูกค้าได้ง่ายมากขึ้น

 

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (17 ตุลาคม) ทางตัวแทนของ Mastercard ได้กล่าวผ่านรายการของ CNBC ว่า ทางบริษัท Mastercard ต้องการเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง ‘Paxos’ แพลตฟอร์มเทรดคริปโตและสถาบันการเงิน เพื่อนำเสนอบริการเทรดคริปโตให้แก่เหล่าลูกค้าของสถาบันการเงินต่างๆ 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


โดยทาง Paxos และ Mastercard จะคอยดูแลเรื่องความปลอดภัย และกฎระเบียบต่างๆ ให้แก่เหล่าลูกค้าด้วยเช่นกัน

 

แม้ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดคริปโตจะเข้าสู่ภาวะขาลง ทั้งยังมีข่าวทางด้านความปลอดภัยจากการโดนแฮ็ก และประเด็นอื่นอีกมากมาย แต่ทาง Jorn Lambert ประธานเจ้าหน้าที่ด้านดิจิทัลของ Mastercard ได้เผยกับ CNBC ว่า จากการสำรวจยังพบความต้องการซื้อคริปโตอยู่พอสมควร โดย 60% ของผู้ตอบแบบสอบถามต้องการลงทุนผ่านธนาคารที่เขาเหล่านั้นใช้งานอยู่

 

ทั้งนี้ เนื่องจากลูกค้าเหล่านั้นรู้สึกไม่ปลอดภัยจากข่าวการปิดตัวลงไปของหลายแพลตฟอร์มคริปโตอย่างกะทันหัน ทำให้กลุ่มลูกค้าเหล่านั้นรู้สึกมั่นใจกว่าที่จะเทรดผ่านสถาบันการเงินที่เชื่อถือได้

 

ซึ่งทาง Mastercard มองว่าเป็นหน้าที่ของบริษัทที่จะเข้ามาช่วยในการทำให้สถาบันการเงินปฏิบัติตามกฎหมายคริปโตอย่างถูกต้อง การตรวจสอบธุรกรรม และการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

 

โดยทาง Mastercard จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ต่างๆ ภายในไตรมาสหนึ่งปีหน้า และคอยปรับปรุงสู่การขยายไปสู่ภูมิภาคอื่นๆ ต่อไป อย่างไรก็ตาม Jorn ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดถึงธนาคารที่ได้เข้ามาเซ็นความร่วมมือต่อกัน

 

ทั้งนี้ Jorn ยังกล่าวว่า “คงเป็นการขาดวิสัยทัศน์หากมองว่าการเข้าสู่ภาวะตลาดขาลงของคริปโตจะแปลว่าจุดจบของคริปโต เพราะเราไม่เห็นภาพการสิ้นสุดเหล่านั้น ซึ่งการเข้ามาของการกำกับดูแลจะทำให้คริปโตยิ่งปลอดภัย และปัญหาต่างๆ จะจบไปในอีกไม่กี่ไตรมาสข้างหน้านี้” เขายังมองว่าแม้คริปโตจะเกิดมาเพื่อปฏิวัติระบบการเงินแบบเก่า แต่เขาชี้ว่า “คริปโตคงจะเข้าสู่กระแสหลักไม่ได้ หากไม่ร่วมมือกับระบบการเงินที่มีอยู่ตอนนี้”

 

นอกจากนี้ Mastercard และ Visa ซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมการชำระเงิน ต่างมองเห็นในทิศทางเดียวกันต่อประเด็นด้านคริปโต เนื่องจาก Mastercard ได้มีการร่วมมือกับ Coinbase ในด้าน NFTs และ Bakkt ในการให้ธนาคารและร้านค้าสามารถเสนอบริการด้านคริปโตได้ ในขณะที่ Visa เองก็มีการประกาศความร่วมมือกับ FTX สำหรับการเสนอบริการคริปโตเดบิตและเครดิตการ์ด ใน 40 ประเทศ โดยมีพาร์ตเนอร์ด้านคริปโตกว่า 70 ราย

 

อ้างอิง:

The post ‘Mastercard’ เอาจริงด้านคริปโต! ตั้งตัวเป็นสะพานเชื่อมให้แก่สถาบันการเงินนำเสนอบริการเทรดคริปโต appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘Mastercard’ เปิดบริการ ‘Crypto Secure’ เพื่อตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินที่ผิดกฎหมาย https://thestandard.co/mastercard-crypto-secure/ Wed, 05 Oct 2022 10:25:34 +0000 https://thestandard.co/?p=691468 Mastercard

Mastercard บริษัทผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำของโลก รุก […]

The post ‘Mastercard’ เปิดบริการ ‘Crypto Secure’ เพื่อตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินที่ผิดกฎหมาย appeared first on THE STANDARD.

]]>
Mastercard

Mastercard บริษัทผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำของโลก รุกคริปโตเคอร์เรนซีมากขึ้น โดยประกาศปล่อยบริการ ‘Crypto Secure’ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อป้องกันและตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินที่ผิดกฎหมาย และเข้าข่ายเป็นอาชญากรรมทางการเงิน ซึ่งบริการดังกล่าวจะเข้าไปช่วยธนาคารในการระบุและระงับธุรกรรมที่มีแนวโน้มมีผิดกฎหมายจากการโอนเข้าผ่านแพลตฟอร์มเทรดคริปโต

 

โดย Crypto Secure นั้นใช้ระบบ AI (Artificial Intelligence) ในการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรมของคริปโตที่ถูกเก็บบนบล็อกเชนแบบสาธารณะ เพื่อประเมินความเสี่ยงทางธุรกรรมของลูกค้าบนแพลตฟอร์มเทรดคริปโตที่มีการทำงานบนเครือข่ายการชำระเงินของ Mastercard ว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็นอาชญากรรมทางการเงินหรือไม่ 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


บริการใหม่ดังกล่าวถูกพัฒนาโดย CipherTrace สตาร์ทอัพด้านความปลอดภัยบนบล็อกเชนสัญชาติอเมริกา ที่ทาง Mastercard เข้าซื้อไปในช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดย CipherTrace นั้นเป็นธุรกิจที่คอยช่วยเหลือภาคเอกชนและรัฐบาลในการประเมินและสอบสวนธุรกรรมที่ผิดปกติในคริปโต ซึ่ง CipherTrace นั้นก็มีคู่แข่งเป็นบริษัทด้านคริปโตสัญชาติอังกฤษชื่อดังอย่าง Chainanalysis และ Elliptic

 

ซึ่งการรุกเข้าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบธุรกรรมของ Mastercard นั้นก็มาจากการเล็งเห็นโอกาสจากการเติบโตของอาชญากรรมบนสินทรัพย์ดิจิทัลในช่วงที่ผ่านมา โดยในปี 2021 ปริมาณวอลเล็ตคริปโตที่มีความสัมพันธ์กับการก่ออาชญากรรมนั้นมากถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 5 แสนล้านบาท และในปี 2022 ก็มีการพุ่งขึ้นของความอันตรายด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเช่นเดียวกัน

 

และในบริการ ‘Crypto Secure’ นั้นจะเสนอบริการให้แก่สถาบันการเงินและผู้ออกบัตรต่างๆ สามารถดูความเสี่ยงของลูกค้าผ่านแดชบอร์ดของแพลตฟอร์ม ที่จะแสดงถึงความเสี่ยงของลูกค้าระดับตามสีต่างๆ ต้ังแต่สีเขียวสำหรับความเสี่ยงต่ำ ไปจนถึงสีแดงสำหรับความเสี่ยงสูงที่ต้องระวัง

 

Ajay Bhalla ประธานด้านไซเบอร์และระบบปฏิบัติการอัจฉริยะของ Mastercard ชี้ว่า “ไอเดียสำหรับความเชื่อมั่นที่เราได้เคยเสนอให้แก่ธุรกรรมสำหรับร้านค้าออนไลน์นั้น ก็เป็นสิ่งที่เราต้องการเสนอให้แก่ธุรกรรมบนสินทรัพย์ดิจิทัลสำหรับทั้งลูกค้า สถาบันการเงิน และร้านค้าเช่นกัน” ซึ่ง Ajay มองว่าการทำเช่นนั้นได้ก็ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดอันซับซ้อนของฝ่ายกำกับดูแล 

 

นอกจากนี้ Mastercard ยังต้องเร่งพัฒนานวัตกรรมใหม่ เพื่อให้สามารถตามคู่แข่งรายสำคัญอย่าง Visa ได้ทัน ที่มีการลงทุนในอุตสาหกรรมคริปโตมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีที่ผ่านมา Visa ก็ได้เปิดตัวบริการที่ปรึกษาทางด้านคริปโตแบบครบวงจร ตั้งแต่การออกเหรียญ จนถึง NFT

 

และในรายงานทางการเงินช่วงไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมาของ Visa ยังชี้ถึงการเติบโตของคริปโตว่า ทางบริษัทมีธุรกรรมที่บัตรถูกเขื่อมโยงกับบัญชีบนแพลตฟอร์มคริปโตสูงถึง 2.5 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 9.3 หมื่นล้านบาทเลยทีเดียว

 

อ้างอิง:

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

The post ‘Mastercard’ เปิดบริการ ‘Crypto Secure’ เพื่อตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินที่ผิดกฎหมาย appeared first on THE STANDARD.

]]>