Marlon Brando – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 09 May 2021 04:17:36 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 3 เมษายน 1924 – วันเกิด มาร์ลอน แบรนโด https://thestandard.co/onthisday-03041924/ Sat, 03 Apr 2021 01:00:54 +0000 https://thestandard.co/?p=472036 มาร์ลอน แบรนโด

มาร์ลอน แบรนโด คือบุคคลที่ได้รับการสดุดีว่าเป็นหนึ่งในน […]

The post 3 เมษายน 1924 – วันเกิด มาร์ลอน แบรนโด appeared first on THE STANDARD.

]]>
มาร์ลอน แบรนโด

มาร์ลอน แบรนโด คือบุคคลที่ได้รับการสดุดีว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงระดับตำนานผู้ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์วงการฮอลลีวูดนับจากอดีตถึงปัจจุบัน เขาไม่ได้มีดีแค่หน้าตาอันหล่อเหลาเพียงอย่างเดียวแต่ยังเป็นคนที่มีทักษะด้านการแสดงระดับสุดยอด อีกทั้งยังเป็นคนที่บุกเบิกและทำให้ศาสตร์การแสดงแบบ Method Acting (วิธีการถ่ายทอดบทบาทตัวละครให้ออกมา ‘สมจริง’ จนแยกไม่ออกว่าเป็นการแสดง) แพร่หลาย พร้อมสร้างแรงบันดาลใจมากมายให้แก่เหล่านักแสดงรุ่นหลัง ไม่ว่าจะเป็น แจ็ค นิโคลสัน, โรเบิร์ต เดอ นีโร, แดเนียล เดย์ ลูอิส, คริสเตียน เบล, วาคีน ฟีนิกซ์ ฯลฯ 

 

เห็นได้ชัดจากผลงานการแสดงเรื่องแรกอย่าง The Men (1950), A Streetcar Named Desire (1951), Viva Zapata! (1952), Julius Caesar (1953) รวมถึงสองภาพยนตร์ที่ทำให้เขาชนะรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายอย่าง On the Waterfront (1954) และ The Godfather (1972) โดยเฉพาะเรื่องหลังที่รับบทเป็น ดอน วีโต คอร์เลโอเน เจ้าพ่อมาเฟียผู้น่าเกรงขามซึ่งถูกยกให้เป็นตัวละครที่น่าจดจำมากที่สุดตัวหนึ่งในโลกภาพยนตร์อย่างไม่มีใครกล้าเถียง

 

แบรนโดเสียชีวิตลงในวันที่ 4 กรกฎาคม 2004 ด้วยวัย 80 ปี เขาจากไปเพียงแค่ตัว แต่ผลงานการแสดงชั้นบรมครูจะถูกทิ้งไว้เป็นตำนานและความยิ่งใหญ่ของมันจะได้รับการกล่าวขานไปชั่วนิรันดร์

 

ภาพ: Mondadori Portfolio by Getty Images

The post 3 เมษายน 1924 – วันเกิด มาร์ลอน แบรนโด appeared first on THE STANDARD.

]]>
Going 90s: ทำไม Romeo + Juliet ฉบับ บาซ เลอห์มานน์ จึงเป็นผลงานขึ้นหิ้ง https://thestandard.co/culture-film-going-90s-series-romeo-and-juliet/ https://thestandard.co/culture-film-going-90s-series-romeo-and-juliet/#respond Mon, 05 Jun 2017 07:56:30 +0000 http://thestandard.co:8000/?p=1024

  ความคลาสสิกของ Romeo + Juliet อยู่ตรงไหน  & […]

The post Going 90s: ทำไม Romeo + Juliet ฉบับ บาซ เลอห์มานน์ จึงเป็นผลงานขึ้นหิ้ง appeared first on THE STANDARD.

]]>

 

ความคลาสสิกของ Romeo + Juliet อยู่ตรงไหน

    พูดได้ว่าการที่ทุกวันนี้คนยังเอาภาพจากหนังที่ฉายเมื่อ 21 ปีก่อนไปปักหมุดอยู่ใน Pinterest เป็นประจำ แชร์อินสตาแกรมกับแคปชัน #Vibes หรือ #Mood หรือเอาเพลงประกอบหนังไปโพสต์บนเฟซบุ๊กอยู่เรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงพลังของ Romeo + Juliet ที่ไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชันวิดีโอเทป หรือไฟล์ดาวน์โหลด (อย่างถูกกฎหมายไม่พึ่งพาบิตทอร์เรนต์) ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่มีวันหมดอายุ กลายเป็นผลงานคลาสสิกที่เราจะได้เห็นและนึกย้อนไปถึงภาพในยุค 90s ตลอดกาล

 

Photo: FRANCOIS GUILLOT, AFP/Profile

กำกับ

    บาซ เลอห์มานน์ (Baz Luhrmann) เป็นผู้กำกับภาพยนต์ชาวออสเตรเลียที่ไม่ได้มีมิติเดียว เขากำกับและขับเคลื่อนภูมิทัศน์ของป็อปคัลเจอร์จากหนังไปสู่ผลกระทบต่อสังคม โดยเฉพาะภาพยนตร์ลำดับที่ 2 ของเขาเรื่อง Romeo + Juliet ในปี ค.ศ. 1996 บาซไม่ได้เอาแค่บทประพันธ์ของ วิลเลียม เชกสเปียร์ (William Shakespeare) มาดัดแปลง แต่เขาได้สร้างโลกใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยสีสัน สัญลักษณ์อันหลากหลาย การสะท้อนเรื่องเพศ และแทรกมนต์เสน่ห์ของดนตรี แฟชั่น และศิลปะแบบร่วมสมัยเข้าไปด้วย

 

 

นักแสดง

    คู่พระนางของหนังเรื่องนี้ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ (Leonardo DiCaprio) และ แคลร์ เดนส์ (Claire Danes) ได้กลายเป็นอีกหนึ่งขวัญใจของยุค 90s อย่างรวดเร็ว เคมีของทั้งคู่ถือว่ากลมกล่อม และระหว่างถ่ายทำก็มีการสปาร์กเกิดขึ้น จนทั้งคู่จำใจต้องแยกจากกันหลังสั่งคัต เดิมทีบทจูเลียตต้องตกเป็นของ นาตาลี พอร์ตแมน (Natalie Portman) แต่เนื่องจากตอนนั้นเธอเพิ่งอายุ 13 ปี และด้วยเนื้อหาของหนัง จึงทำให้การเล่นคู่กับลีโอที่อยู่ในวัย 21 ปี อาจดูไม่เหมาะสม

 

https://youtu.be/lvtWalmjqRM

 

    ตัวละครบาทหลวงลอเรนซ์ ก็มีการเปลี่ยนตัวนักแสดงเช่นกัน ก่อนที่บทจะมาถึงมือ พีต พอเซิลธ์เวต (Pete Postlethwaite) บทนี้เคยเป็นของ มาร์ลอน แบรนโด (Marlon Brando) หนึ่งในนักแสดงอมตะของฮอลลีวูดจากภาพยนตร์ไตรภาค The Godfather โดยมาร์ลอนให้เหตุผลในการไม่รับงาน เพราะปัญหาภายในครอบครัว

 

 

ดนตรี

    แค่ลิสต์ชื่อศิลปินที่รวมอยู่ในอัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ถือว่าที่สุดของยุค 90s อาทิ The Cardigans, Garbage, Des’ree และ Radiohead โดยเฉพาะเพลง Exit Music (For a Film) ที่ใช้ในฉากจบโศกนาฏกรรม บาซได้ขอให้ Radiohead ช่วยแต่งเพลงพิเศษนี้ให้ แต่เราก็เกือบไม่ได้ยินเพลงนี้ในหนัง เพราะทางวงส่งเพลงเข้ามาช้า จนทีมภาพยนตร์ต้องเตรียมเพลงสำรองไว้ใช้แทน

 

 

แฟชั่น

    ตลอด 120 นาทีของหนังเรื่องนี้ คิม บาร์เรตต์ (Kym Barrett) คนออกแบบเครื่องแต่งกายได้รังสรรค์เสื้อผ้าที่ทุกวันนี้ยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้หลายแบรนด์ เริ่มจาก Gucci หลายไอเท็มในคอลเล็กชันที่ผ่านๆ มา ผ่านการดีไซน์โดย อเลสซานโดร มิเคเล (Alessandro Michele) ครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของแบรนด์ มันทำให้เรานึกถึงหนังเรื่องนี้กับกลิ่นอายความโรแมนติกแบบอิตาเลียน ส่วน Prada เราก็ยังจะเห็นสูทสีน้ำเงินสุดคลาสสิกเหมือนที่โรมิโอใส่ในฉากแต่งงาน เพราะตัวที่เห็นในหนังนั้นดีไซน์โดย มิวเซีย ปราด้า (Miuccia Prada) เช่นกัน

    แต่หากเราต้องหยิบยกแค่หนึ่งไอเท็มจากหนังที่มีบทบาทสำคัญที่สุด ก็เห็นจะเป็นเสื้อเชิ้ตลายปรินต์สีสันจัดจ้านทรงฮาวายที่โรมิโอและเพื่อนๆ ในแก๊งมอนตะคิวใส่ ซึ่งมักกลับมาได้รับความนิยมอยู่เสมอ อย่างล่าสุดคอลเล็กชันสุภาพบุรุษ Spring/Summer 2017 ของแบรนด์ Saint Laurent ก็มีเสื้อเชิ้ตเวอร์ชันชื่อ ‘Love’ ที่มาด้วยลายปรินต์ดอกไม้และงู

 

อ้างอิง:

  • www.glamourmagazine.co.uk/gallery/leonardo-dicaprio-girlfriends-dating
  • www.etonline.com/features/201731_romeo_juliet_leonardo_dicaprio_claire_danes_on_edge_of_worldwide_stardom/

The post Going 90s: ทำไม Romeo + Juliet ฉบับ บาซ เลอห์มานน์ จึงเป็นผลงานขึ้นหิ้ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/culture-film-going-90s-series-romeo-and-juliet/feed/ 0