Apple เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระดับผู้บริหาร […]
The post Apple ปรับทัพบริหารครั้งใหญ่! ตั้ง ‘อะมาร์ สุบรามันยา’ คุมงาน ด้าน AI ขณะที่ ‘แอลัน ดาย’ ดีไซน์เนอร์ คนสำคัญ ลาออกซบ Meta appeared first on THE STANDARD.
]]>
Apple เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระดับผู้บริหาร โดยมีการประกาศสลับตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงถึง 2 ตำแหน่งพร้อมกัน การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงการปรับทิศทางของบริษัทที่หันมาให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) มากขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นสัญญาณของการสูญเสียบุคลากรคนสำคัญในสายงานออกแบบให้กับบริษัทคู่แข่ง
Apple ได้ประกาศแต่งตั้ง อะมาร์ สุบรามันยา (Amar Subramanya) ขึ้นดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายปัญญาประดิษฐ์ (vice president of AI) คนใหม่ แทนที่ จอห์น จิอันนันเดรีย (John Giannandrea) ผู้บริหารคนเก่าที่กุมบังเหียนด้าน AI ของ Apple มาอย่างยาวนาน

อะมาร์ สุบรามันยา (Amar Subramanya) รองประธานฝ่ายปัญญาประดิษฐ์ (vice president of AI) คนใหม่

จอห์น จิอันนันเดรีย (John Giannandrea) senior vice president for Machine Learning and AI Strategy
ผู้บริหารคนเก่าที่กุมบังเหียนด้าน AI ของ Apple มาอย่างยาวนาน
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างชัดเจนของ Apple ในการเร่งพัฒนาฟีเจอร์ AI ให้ก้าวหน้าและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อการแข่งขันในตลาดที่ทวีความดุเดือด ทั้งนี้ สำนักข่าว Reuters และ NDTV รายงานตรงกันว่า อะมาร์ สุบรามันยา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียง ถูกคาดหวังว่าจะเข้ามาพลิกโฉมขีดความสามารถด้าน Machine Learning และ Generative AI ของผลิตภัณฑ์ Apple ในยุคต่อไป
ในขณะเดียวกัน ก็มีข่าวช็อกวงการออกแบบเมื่อ แอลัน ดาย (Alan Dye) รองประธานฝ่ายการออกแบบอินเทอร์เฟซ (VP of Human Interface Design) ของ Apple ได้ตัดสินใจลาออกจากบริษัท

แอลัน ดาย (Alan Dye) รองประธานฝ่ายการออกแบบอินเทอร์เฟซ (VP of Human Interface Design)
CNBC และ 9to5Mac รายงานว่า แอลัน ดาย ซึ่งเป็นนักออกแบบคนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้ (UI) ผลิตภัณฑ์หลักของ Apple ทั้ง iOS, Apple Watch, Vision Pro และฟีเจอร์ Dynamic Island รวมถึงภาษาการออกแบบใหม่อย่าง Liquid Glass ได้ตัดสินใจลาออก เพื่อไปร่วมงานกับ Meta ของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg)
ล่าสุด แอลัน ดาย ได้ประกาศลาออกอย่างเป็นทางการหลังจากร่วมงานมานานกว่า 20 ปี โดยโพสต์ข้อความอำลาทีมงานผ่านทาง Instagram ส่วนตัว
“มันยากที่จะอธิบายความรู้สึกของการต้องจากลาทีมที่คุณรัก
เป็นเวลาเกือบ 20 ปี ที่ผมได้รับเกียรติให้ทำงานร่วมกับผู้คนที่ยอดเยี่ยม ที่ใส่ใจอย่างลึกซึ้งในงานฝีมือของการออกแบบและผลกระทบที่มันสร้างขึ้น
เราได้ร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งที่ผมจะภูมิใจไปตลอดชีวิต…
เราทำให้กระจกดูเหมือนของเหลว (Liquid Glass), เราทำให้การ ‘ปัด’ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการกลับหน้าโฮม, เราทำให้การ ‘ปิดวงแหวน’ (Activity Rings) กลายเป็นเป้าหมายประจำวันที่เปลี่ยนชีวิตผู้คน, เราทำให้การจ่ายเงินง่ายเพียงแค่แตะ, เราสร้างเกาะที่มีความไดนามิก (Dynamic Island), เราสร้างอีโมจิที่นำมาทั้งความสุข ความเศร้า และเป็นที่ถกเถียง
เราสร้างอินเทอร์เฟซเชิงพื้นที่ (Spatial Interface) ที่ควบคุมด้วยมือ ตา และเสียงของคุณเท่านั้น, เราสร้างระบบกล้องที่ดีที่สุดในโลก, เราทำให้ SF ไม่ใช่แค่เมืองที่ดีที่สุด แต่เป็นฟอนต์ที่ดีที่สุดด้วย, เราสร้างอินเทอร์เฟซที่ลื่นไหล สวยงาม และน่ารื่นรมย์ เราทำให้ชีวิตของผู้คนกว่า 2.5 พันล้านคนง่ายขึ้น เชื่อมต่อกันมากขึ้น สร้างสรรค์และแสดงออกได้มากขึ้น และท้ายที่สุด เราได้สร้างร่องรอยไว้ในจักรวาล
งานนี้หล่อหลอมตัวผม แต่ทีมงานหล่อหลอมผมยิ่งกว่า ความหลงใหล พรสวรรค์ และความเป็นมนุษย์ของพวกเขาทำให้ทุกวันคือเอกสิทธิ์
ผมกำลังก้าวเข้าสู่บทบาทใหม่ที่มุ่งเน้น ‘อนาคตของผลิตภัณฑ์และประสบการณ์อัจฉริยะ’ (Intelligent products and experiences) โอกาสที่จะสร้างบางสิ่งจากศูนย์ ประดิษฐ์ภาษาการออกแบบใหม่ทั้งหมด เพื่อสร้างวัฒนธรรมและทีมตั้งแต่วันแรก… เพื่อผสมผสานแฟชั่น วัฒนธรรม และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน…”
9to5Mac และ CNBC ระบุว่า แอลัน ดาย อดีตผู้บริหารระดับสูงของ Apple จะย้ายไปร่วมงานกับ Meta โดยคาดว่าจะเข้าไปดูแลโปรเจกต์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์ยุคใหม่ เช่น แว่นตาอัจฉริยะ (Smart Glasses) หรือเทคโนโลยี AR/VR ซึ่งเป็นสิ่งที่ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก กำลังทุ่มเทพัฒนาอย่างหนัก ข้อความในโพสต์ของ แอลัน ดาย ที่กล่าวถึงการ ‘สร้างบางสิ่งจากศูนย์’ และ ‘ผสมผสานแฟชั่น วัฒนธรรม และเทคโนโลยี’ จึงสอดคล้องกับรายงานดังกล่าวก่อนหน้าที่จะมีการประกาศลาออกอย่างเป็นทางการ
การสิ้นสุดบทบาทของ แอลัน ดาย ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่สืบทอดปรัชญาการออกแบบของ Apple มาอย่างยาวนาน นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับทีมดีไซน์ของบริษัท อย่างไรก็ตาม Apple ได้เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่าน โดยแต่งตั้ง สตีเฟน เลอเมย์ (Stephen Lemay) ดีไซน์เนอร์อาวุโสที่ร่วมงานกับบริษัทมาตั้งแต่ปี 1999 ขึ้นมารับตำแหน่งสำคัญนี้แทน
การปรับทัพครั้งนี้สะท้อนยุทธศาสตร์ ‘เดิมพัน AI’ ของ Apple เพื่อเร่งเครื่องหนีคู่แข่ง ขณะเดียวกันการเสียมือดีไซน์ระดับตำนานให้ Meta ชี้ให้เห็นถึงสมรภูมิ Wearable Tech ที่ดุเดือดขึ้น ซึ่ง Apple ต้องพิสูจน์ว่าการผลัดใบครั้งนี้จะยังคงรักษา DNA การออกแบบอันเป็นจุดแข็ง ควบคู่ไปกับการสร้างนวัตกรรมใหม่ได้หรือไม่
อ้างอิง:
The post Apple ปรับทัพบริหารครั้งใหญ่! ตั้ง ‘อะมาร์ สุบรามันยา’ คุมงาน ด้าน AI ขณะที่ ‘แอลัน ดาย’ ดีไซน์เนอร์ คนสำคัญ ลาออกซบ Meta appeared first on THE STANDARD.
]]>
เอกสารภายในของ Meta Platforms Inc. ที่ Reuters ได้ตรวจส […]
The post Meta ไม่แบนสแกมเมอร์ทันที เอกสารลับชี้หากระบบไม่มั่นใจถึง 95% บริษัทจะใช้วิธี ‘ขึ้นค่าโฆษณา’ แทน คาดปี 2024 กวาดรายได้กว่า 5.18 แสนล้านบาท appeared first on THE STANDARD.
]]>
เอกสารภายในของ Meta Platforms Inc. ที่ Reuters ได้ตรวจสอบพบ ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า บริษัทได้คาดการณ์เป็นการภายในเมื่อปลายปี 2024 ว่า รายได้ประมาณ 10% ของรายได้ต่อปีทั้งหมดในปี 2024 หรือคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.18 แสนล้านบาท) จะมาจากโฆษณาหลอกลวงและสินค้าต้องห้าม
เอกสารลับชุดนี้ยังแสดงให้เห็นว่า Meta ล้มเหลวในการตรวจจับและหยุดยั้งโฆษณาที่เปิดช่องให้ผู้ใช้งานหลายพันล้านคนบน Facebook, Instagram และ WhatsApp ต้องเผชิญกับการหลอกลวงด้านอีคอมเมิร์ซ, การลงทุน, คาสิโนออนไลน์ผิดกฎหมาย และการขายผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ต้องห้าม มาเป็นเวลาอย่างน้อยสามปี
เอกสารฉบับหนึ่งในเดือนธันวาคม 2024 ระบุว่า ในแต่ละวัน Meta ได้แสดงโฆษณาหลอกลวงที่มี ‘ความเสี่ยงสูง’ (Higher risk) หรือโฆษณาที่แสดงสัญญาณชัดเจนว่าเป็นการฉ้อโกง ให้ผู้ใช้งานเห็นมากถึง 15,000 ล้านครั้ง และจากโฆษณากลุ่มเสี่ยงสูงนี้เพียงกลุ่มเดียว Meta สามารถสร้างรายได้ต่อปีสูงถึง 7 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.27 แสนล้านบาท)
ที่น่าสนใจคือ นักการตลาดที่ลงโฆษณาหลอกลวงเหล่านี้ส่วนใหญ่มีพฤติกรรมที่น่าสงสัยจนระบบเตือนภัยภายในของ Meta ตรวจพบ แต่เอกสารกลับชี้ว่าบริษัทจะแบนผู้ลงโฆษณาก็ต่อเมื่อระบบอัตโนมัติคาดการณ์ว่ามี ‘โอกาส’ ที่จะฉ้อโกงสูงถึง 95% เท่านั้น
ในทางกลับกัน หากระบบตรวจพบว่าผู้ลงโฆษณามีแนวโน้มที่จะฉ้อโกง แต่ระดับความมั่นใจยังต่ำกว่าเกณฑ์ 95% นั้น Meta จะยังไม่สั่งแบนผู้ลงโฆษณารายดังกล่าว แต่จะใช้วิธี ‘ลงโทษ’ ด้วยการคิดอัตราค่าโฆษณาที่สูงขึ้นแทน โดยหวังว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้สแกมเมอร์เหล่านั้นล้มเลิกไปเอง นอกจากนี้ เอกสารยังระบุด้วยว่าผู้ใช้ที่คลิกโฆษณาหลอกลวง มีแนวโน้มที่จะเห็นโฆษณาประเภทเดียวกันนี้มากขึ้นเนื่องจากระบบปรับแต่งโฆษณาของ Meta
แซนดีป อับราฮัม (Sandeep Abraham) อดีตผู้ตรวจสอบความปลอดภัยของ Meta ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาด้านการจัดการความเสี่ยง กล่าวว่า “หากหน่วยงานกำกับดูแลไม่ยอมให้ธนาคารทำกำไรจากการฉ้อโกง พวกเขาก็ไม่ควรยอมให้บริษัทเทคโนโลยีทำเช่นกัน”
ด้าน แอนดี้ สโตน (Andy Stone) โฆษกของ Meta กล่าวว่าเอกสารที่รั่วไหลออกมานั้น “เป็นการนำเสนอมุมมองเพียงด้านเดียวที่บิดเบือนแนวทางของ Meta ในการจัดการการฉ้อโกง” เขายืนยันว่าตัวเลข 10% นั้นเป็น “การประเมินคร่าวๆ ที่รวมขอบเขตกว้างเกินไป” และบริษัทได้ค้นพบในภายหลังว่าตัวเลขที่แท้จริงนั้นต่ำกว่ามาก เพราะมีการรวมโฆษณาที่ถูกกฎหมายเข้าไปด้วย แต่เขาก็ปฏิเสธที่จะเปิดเผยตัวเลขที่ปรับปรุงแล้ว
สโตนกล่าวเสริมว่า “เราต่อสู้กับการฉ้อโกงและสแกมอย่างจริงจัง เพราะผู้คนบนแพลตฟอร์มของเราไม่ต้องการเนื้อหานี้” เขายังระบุว่าในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา บริษัทได้ลดรายงานการหลอกลวงจากผู้ใช้ลง 58% และได้ลบเนื้อหาโฆษณาหลอกลวงไปแล้วกว่า 134 ล้านชิ้นในปี 2025
แม้เอกสารบางส่วนจะแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการลดโฆษณาหลอกลวง แต่เอกสารอีกชุดหนึ่งกลับชี้ให้เห็นว่า Meta ตระหนักดีว่าผลิตภัณฑ์ของตนเองได้กลายเป็นกลายเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจการฉ้อโกงทั่วโลก โดยในเดือนเมษายน 2025 Meta ได้ทำการประเมินภายในและสรุปว่า “การลงโฆษณาหลอกลวงบนแพลตฟอร์มของ Meta นั้นง่ายกว่าบน Google”
ขณะเดียวกัน Meta ก็กำลังเผชิญแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลก โดยเอกสารภายในระบุว่า คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) กำลังสอบสวน Meta ในประเด็นการปล่อยปละละเลยให้มีโฆษณาหลอกลวงด้านการเงิน
CNBC รายงานว่า แรงกดดันนี้เกิดขึ้นในขณะที่ Meta มีรายได้รวมมหาศาล โดยในปี 2024 บริษัทมียอดขายรวมกว่า 1.645 แสนล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.32 ล้านล้านบาท) และเพิ่งรายงานยอดขายไตรมาส 3 ปี 2025 ที่ 5.124 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.66 ล้านล้านบาท)
แรงกดดันนี้ยังเกิดขึ้นท่ามกลางการที่ Meta กำลังทุ่มเงินมหาศาลเพื่อแข่งขันด้าน AI โดยมีแผนใช้จ่ายฝ่ายทุนสูงถึง 7.2 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.33 ล้านล้านบาท) ในปีนี้ ซึ่ง มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) พยายามสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนว่าธุรกิจโฆษณาสามารถสนับสนุนค่าใช้จ่ายนี้ได้ “เรามีเงินทุนจากธุรกิจของเราที่จะทำสิ่งนี้” เขากล่าวในเดือนกรกฎาคม
เอกสารภายในยังชี้ให้เห็นว่า Meta ได้ทำการประเมินค่าปรับที่อาจเกิดขึ้นไว้แล้ว โดยคาดการณ์ว่าอาจสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.24 หมื่นล้านบาท) แต่เอกสารอีกฉบับก็ระบุว่า ตัวเลขค่าปรับนี้ยังคง ‘น้อยกว่า’ รายได้ที่บริษัทได้รับจากโฆษณาหลอกลวงอยู่ดี โดยทุกๆ 6 เดือน Meta มีรายได้ 3.5 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.13 แสนล้านบาท) จากโฆษณากลุ่มที่มีความเสี่ยงทางกฎหมายสูง ซึ่งเป็นตัวเลขที่ ‘สูงกว่าค่าปรับใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นอย่างแน่นอน’
นอกจากนี้ Meta ยังได้กำหนด ‘เพดาน’ ของรายได้ที่บริษัทยอมจะสูญเสียไปจากการปราบปรามสแกมเมอร์อีกด้วย เอกสารในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ระบุว่า ทีมที่รับผิดชอบในการตรวจสอบผู้ลงโฆษณาที่น่าสงสัย ถูกจำกัดไม่ให้ดำเนินการใดๆ ที่อาจทำให้บริษัทสูญเสียรายได้มากกว่า 0.15% ของรายได้รวมทั้งหมด ซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณ 135 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4.37 พันล้านบาท) จากรายได้ 9 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.91 ล้านล้านบาท) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025
ผู้จัดการที่ดูแลเรื่องนี้เขียนกำชับว่า “เราต้องระมัดระวัง” เพราะ “เรามีเพดานรายได้ที่ชัดเจน (ที่เรายอมเสียได้)” อย่างไรก็ตาม สโตน โฆษกของ Meta ได้ชี้แจงว่าตัวเลข 0.15% นั้นเป็นเพียงการคาดการณ์ไม่ใช่ข้อจำกัดที่ตายตัว
ท่ามกลางแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น ผู้บริหารได้นำเสนอแผนการต่อ ซักเคอร์เบิร์ก ในเดือนตุลาคม 2024 โดยเลือกใช้แนวทางสายกลาง แทนที่จะปราบปรามอย่างเด็ดขาด บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่ประเทศที่เสี่ยงต่อการถูกแทรกแซงทางกฎหมายในระยะสั้นก่อน
เอกสารกลยุทธ์ระบุว่า Meta ตั้งเป้าที่จะลดสัดส่วนรายได้จากโฆษณาหลอกลวงและสินค้าต้องห้ามจาก 10.1% ในปี 2024 ให้เหลือ 7.3% ภายในสิ้นปี 2025 และลดลงเหลือ 5.8% ในปี 2027 ซึ่งเป็นการยืนยันว่าบริษัทยังคงยอมรับรายได้ส่วนนี้ต่อไปอีกหลายปี
เอกสารจากปี 2022 ชี้ให้เห็นว่าบริษัท ‘ขาดการลงทุน’ ในการตรวจจับสแกมอัตโนมัติในขณะนั้น โดย Meta มองว่าโฆษณาหลอกลวงเป็นปัญหา ‘ความรุนแรงต่ำ’ (Low severity) และเป็นเพียงการสร้าง ‘ประสบการณ์ที่ไม่ดีแก่ผู้ใช้’ เท่านั้น
เอกสารภายในยังแสดงให้เห็นว่า Meta สั่งให้พนักงานมุ่งเน้นไปที่การจัดการกับการหลอกลวงแบบปลอมเป็นคนดังหรือแบรนด์ใหญ่เท่านั้น เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะทำให้ผู้ลงโฆษณารายใหญ่และบุคคลสาธารณะไม่พอใจ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรายได้โดยตรง
ในขณะที่การเลิกจ้างพนักงานใน Meta กำลังดำเนินไป การบังคับใช้กฎก็ยิ่งหยุดชะงัก เอกสารวางแผนสำหรับครึ่งแรกของปี 2023 ระบุว่า พนักงานทั้งทีมที่จัดการข้อกังวลของแบรนด์สินค้าถูกเลิกจ้างทั้งหมด นอกจากนี้ ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ยังถูกทุ่มไปให้กับ VR และ AI มากจนทีมความปลอดภัยถูกสั่งให้ทำงานเพียงเพื่อ ‘ให้ระบบยังทำงานต่อไปได้’ เท่านั้น
เอกสารจากปี 2023 ยังยอมรับว่า Meta ได้เพิกเฉยหรือปฏิเสธรายงานที่ถูกต้องจากผู้ใช้เกี่ยวกับการหลอกลวงสูงถึง 96% และแม้แต่ในแผนการปรับปรุงในอนาคต บริษัทก็ตั้งเป้าหมายเพียงแค่ว่าจะปฏิเสธรายงานที่ถูกต้องไม่เกิน 75% เท่านั้น
เรื่องราวของนายทหารหญิงชาวแคนาดาคนหนึ่งได้ตอกย้ำถึงความล้มเหลวของระบบ เมื่อบัญชี Facebook ของเธอถูกแฮ็กและนำไปใช้หลอกลวงเพื่อนร่วมงานให้ลงทุนในคริปโต จนสูญเงินไปกว่า 4 หมื่นดอลลาร์แคนาดา แม้เธอและเพื่อนๆ จะส่งรายงานไปให้ Meta มากกว่า 100 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ จนกระทั่งความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว
ไมก์ เลเวอรี (Mike Lavery) หนึ่งในเหยื่อที่สูญเงินไป กล่าวกับ Reuters ว่า “ผมคิดว่าผมกำลังคุยกับเพื่อนที่ไว้ใจได้และมีชื่อเสียงที่ดี นั่นทำให้การป้องกันตัวของผมลดลง”
เอกสารภายในยังเปิดเผยถึงกลยุทธ์ใหม่ที่บริษัทพัฒนาขึ้นเมื่อปีที่แล้วเพื่อลดต้นทุนในการตรวจสอบ นั่นคือการ ‘เก็บเงินเพิ่ม’ จากผู้ที่ต้องสงสัยว่าเป็นสแกมเมอร์ หากระบบประเมินว่าผู้ลงโฆษณามีแนวโน้มที่จะฉ้อโกง แต่ยังต่ำกว่าเกณฑ์ที่จะถูกแบน พวกเขาจะต้องจ่ายค่าโฆษณาในอัตราที่สูงกว่าปกติเพื่อที่จะชนะการประมูลโฆษณา
สโตนกล่าวว่าเป้าหมายของความพยายามนี้คือการลดโฆษณาหลอกลวงโดยรวม โดยทำให้ผู้ลงโฆษณาที่น่าสงสัยมีความสามารถในการแข่งขันน้อยลงในการประมูลโฆษณาของ Meta ซึ่งผลการทดสอบพบว่ารายงานการหลอกลวงลดลง แต่รายได้จากโฆษณาโดยรวมก็ลดลงเล็กน้อยเช่นกัน
หมายเหตุ : ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.36 บาท ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568
ภาพ : Andrej Sokolow/picture alliance via Getty Images
อ้างอิง :
The post Meta ไม่แบนสแกมเมอร์ทันที เอกสารลับชี้หากระบบไม่มั่นใจถึง 95% บริษัทจะใช้วิธี ‘ขึ้นค่าโฆษณา’ แทน คาดปี 2024 กวาดรายได้กว่า 5.18 แสนล้านบาท appeared first on THE STANDARD.
]]>
Meta Platforms ประกาศปลดพนักงานประมาณ 600 ตำแหน่งภายในห […]
The post ‘ใหญ่เทอะทะ-แข่งกันเอง’ Meta ปลดพนักงาน AI 600 คน หวังลดขนาด-เสริมอำนาจ อเล็กซานเดอร์ หวัง appeared first on THE STANDARD.
]]>
Meta Platforms ประกาศปลดพนักงานประมาณ 600 ตำแหน่งภายในหน่วยงานปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือ Superintelligence Labs เมื่อวันพุธ (22 ต.ค.) ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการ ‘ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่’ เพื่อลดลำดับชั้นการบังคับบัญชาและเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงาน ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในสมรภูมิ AI
โฆษกของ Meta ยืนยันกับ CNBC ว่าการลดตำแหน่งงานครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อพนักงานในหลายส่วน ทั้งหน่วยวิจัย AI พื้นฐาน (FAIR), ทีมโครงสร้างพื้นฐาน AI และตำแหน่งอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ โดยเป็นการดำเนินการตามบันทึกภายในจาก อเล็กซานเดอร์ หวัง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่าย AI คนใหม่
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวระบุว่าการปลดพนักงานครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อ TBD Labs ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่และรวบรวมบุคลากร AI ระดับหัวกะทิที่บริษัททุ่มเงินดึงตัวมาร่วมงานเมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา การตัดสินใจดังกล่าวสะท้อนถึง ‘เดิมพันครั้งใหม่’ ของซีอีโออย่าง มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ที่ให้ความสำคัญกับทีมงานใหม่มากกว่าพนักงานเดิม
แหล่งข่าวภายในระบุว่า หน่วยงาน AI ของ Meta ก่อนหน้านี้ถูกมองว่ามีขนาดใหญ่เทอะทะเกินไป และทีมต่างๆ มักจะแข่งขันกันเองเพื่อแย่งชิงทรัพยากร การปลดพนักงานครั้งนี้จึงเป็นความพยายามในการลดขนาดแผนกและเสริมอำนาจให้ อเล็กซานเดอร์ หวัง ในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ AI ของบริษัท
Meta ได้ยกเครื่องแนวทางด้าน AI อย่างจริงจังในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เพื่อให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง OpenAI และ Google ได้ โดยทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์ไปกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการสรรหาบุคลากร ซึ่งรวมถึงการลงทุน 1.43 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 4.69 แสนล้านบาท) ใน Scale AI และการดึงตัว อเล็กซานเดอร์ หวัง เข้ามานำทัพ
ภายหลังการปรับลดครั้งนี้ จำนวนพนักงานใน Superintelligence Labs จะเหลืออยู่ต่ำกว่า 3,000 คน โดยพนักงานที่ได้รับผลกระทบส่วนหนึ่งได้รับแจ้งว่าวันทำงานสุดท้ายคือวันที่ 21 พฤศจิกายน และจะได้รับเงินชดเชย 16 สัปดาห์บวกกับอีกสองสัปดาห์สำหรับทุกปีที่ทำงาน
การปรับโครงสร้างนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ ซัคเคอร์เบิร์ก แสดงความไม่พอใจต่อความคืบหน้าด้าน AI ของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่โมเดล Llama 4 ซึ่งเปิดตัวเมื่อเดือนเมษายน ได้รับการตอบรับที่ไม่ดีนักจากนักพัฒนา
ขณะเดียวกัน Meta ยังคงเดินหน้าลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเมื่อวันอังคาร (21 ต.ค.) ที่ผ่านมา บริษัทได้ประกาศข้อตกลงมูลค่า 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 8.85 แสนล้านบาท) กับ Blue Owl Capital เพื่อเป็นเงินทุนในการสร้างศูนย์ข้อมูล Hyperion ขนาดใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะมีขนาดครอบคลุมพื้นที่ ‘ส่วนสำคัญของแมนฮัตตัน’ เลยทีเดียว
หมายเหตุ : ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.78 บาท ณ วันที่ 22 ตุลาคม 2568
ภาพ : REUTERS/Gonzalo Fuentes/File Photo
อ้างอิง:
The post ‘ใหญ่เทอะทะ-แข่งกันเอง’ Meta ปลดพนักงาน AI 600 คน หวังลดขนาด-เสริมอำนาจ อเล็กซานเดอร์ หวัง appeared first on THE STANDARD.
]]>
Meta Platforms Inc. ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ครั้งสำ […]
The post Meta เปิดตัว ‘แว่นตา AI มีจอ’ ครั้งแรก! ราคา 25,000 บาท ชูระบบสั่งการด้วย ‘ท่าทางมือ’ ผ่านสายรัดข้อมือ appeared first on THE STANDARD.
]]>
Meta Platforms Inc. ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ครั้งสำคัญที่สุดในรอบปี กับแว่นตาอัจฉริยะ Meta Ray-Ban Display ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่มีหน้าจอแสดงผลในตัว โดยตั้งราคาไว้ที่ 799 ดอลลาร์ (ประมาณ 25,000 บาท) การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็น ‘ก้าวสำคัญ’ ในการผลักดันให้แว่นตาอัจฉริยะกลายเป็นอุปกรณ์ที่ทุกคนต้องมี และเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ระยะยาวของบริษัทในการสร้างระบบนิเวศของตนเอง
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของบริษัท ได้กล่าวในงาน Meta Connect ประจำปีว่า แว่นตาในอนาคตของ Meta จะเป็นเหมือนยานพาหนะสำหรับ ‘สุดยอดปัญญาประดิษฐ์ส่วนตัว’ (personal superintelligence) “AI ควรให้บริการผู้คน ไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งที่อยู่ในศูนย์ข้อมูลและทำงานอัตโนมัติให้กับสังคมในวงกว้าง” เขากล่าวบนเวที
ก่อนการเปิดตัว Bloomberg ได้สัมภาษณ์ แอนดรูว์ บอสเวิร์ธ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) ซึ่งได้เรียกแว่นตารุ่นใหม่นี้ว่าเป็น “ผลิตภัณฑ์ที่จริงจังชิ้นแรก” ในตลาดนี้ และเป็นส่วนสำคัญของความพยายามในการสร้าง ‘ระบบนิเวศ’ (ecosystem) อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคของตนเอง เพื่อแข่งขันโดยตรงกับคู่แข่งอย่าง Apple และ Google
หน้าจอขนาดเล็กที่ถูกติดตั้งไว้อย่างแนบเนียนในเลนส์ด้านขวาสามารถแสดงผลได้หลากหลาย ตั้งแต่ข้อความ, การแจ้งเตือนวิดีโอคอล, แผนที่นำทาง ไปจนถึงผลลัพธ์จากการสอบถาม Meta AI นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นช่องมองภาพสำหรับกล้องบนโทรศัพท์ และแสดงข้อมูลการเล่นเพลงได้อีกด้วย
“สิ่งนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณสามารถเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าได้บ่อยขึ้นตลอดทั้งวัน” บอสเวิร์ธกล่าว เขาย้ำว่าโทรศัพท์จะยังไม่หายไปไหน แต่แว่นตาจะเป็นช่องทางที่สะดวกสบายกว่าในการเข้าถึงฟีเจอร์ที่สำคัญที่สุดของโทรศัพท์
จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของแว่นตารุ่นนี้คือระบบ ‘สั่งการ’ รูปแบบใหม่ที่ใช้ท่าทางของมือเป็นหลัก โดยอาศัยอุปกรณ์สวมใส่ข้อมือที่เรียกว่า Meta Neural Band ซึ่งจะตรวจจับการเคลื่อนไหวของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อที่มือข้างที่ผู้ใช้ถนัด
ผู้ใช้งานสามารถเลือกรายการต่างๆ ได้ด้วยการใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้หนีบเข้าหากัน, เลื่อนดูรายการด้วยการสไลด์นิ้วโป้ง, แตะนิ้วโป้งสองครั้งเพื่อเรียกผู้ช่วย AI หรือบิดข้อมือกลางอากาศเพื่อปรับระดับเสียง ซึ่งเป็นการสร้างประสบการณ์การใช้งานที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
นอกจากนี้ แว่นตายังมาพร้อมกับฟีเจอร์คำบรรยายสดที่สามารถแสดงผลคำพูดแบบเรียลไทม์ รวมถึงการแปลภาษาได้ทันที คล้ายกับคำบรรยายบนโทรทัศน์ และผู้ใช้ยังสามารถตอบข้อความด้วยการอัดเสียงพูดหรือเขียนตัวอักษรกลางอากาศได้อีกด้วย
สำหรับสเปกทางเทคนิค หน้าจอมีขอบเขตการมองเห็น 20 องศา ด้วยความละเอียด 600 x 600 พิกเซล และมีความสว่างสูงสุดถึง 5,000 nits ทำให้มองเห็นได้ดีในสภาพแสงส่วนใหญ่ ขณะที่กล้องภายนอกมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และสามารถบันทึกวิดีโอความละเอียด 1080p ได้
แบตเตอรี่ของตัวแว่นสามารถใช้งานได้นาน 6 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และเคสสำหรับชาร์จสามารถให้พลังงานเพิ่มได้อีก 30 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการสาธิตสดบนเวที ซักเคอร์เบิร์กก็ได้ประสบปัญหาทางเทคนิคเล็กน้อยกับอุปกรณ์ทั้งสองรุ่น ซึ่งเขาก็ได้กล่าวติดตลกว่า “เราซ้อมกันมาเป็นร้อยครั้งแล้วนะ”
Meta จะเริ่มวางจำหน่ายแว่นตารุ่นใหม่นี้ในวันที่ 30 กันยายน ผ่านทางร้านค้าของ Ray-Ban, Lenscrafters, Best Buy และ Verizon บางสาขา โดยในช่วงแรกจะรองรับแอปพลิเคชันอย่าง Facebook Messenger, WhatsApp และ Spotify ก่อนที่จะเพิ่มการดู Reels บน Instagram เข้ามาในภายหลัง
บอสเวิร์ธยอมรับว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ในช่วงแรกแม้แต่พันธมิตรอย่าง Ray-Ban เองก็ยังลังเลที่จะนำแบรนด์ของตนเองมาใช้กับแว่นตาที่มีจอแสดงผล และราคาที่สูงถึง 799 ดอลลาร์ก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำคัญ “คำถามที่แท้จริงคือผลิตภัณฑ์นี้จะรอดหรือไม่เมื่อต้องเจอกับตลาดจริง แต่เราก็รู้สึกมั่นใจกับผลิตภัณฑ์นี้มาก” เขากล่าว
แว่นตาอัจฉริยะรุ่นนี้ถือเป็นเพียงบันไดขั้นแรกที่นำไปสู่แว่นตา AR (Augmented Reality) เต็มรูปแบบ ที่สามารถซ้อนทับเนื้อหาอินเทอร์แอกทีฟลงบนโลกจริงได้ ซึ่ง Meta วางแผนที่จะเปิดตัวสู่ผู้บริโภคในปี 2027
บอสเวิร์ธยังได้เปรียบเทียบกับความล้มเหลวของ Google Glass ในอดีตว่า “เวลาคือทุกสิ่ง ไม่มีไอเดียที่แย่ในซิลิคอนวัลเลย์ มีแต่ช่วงเวลาที่ผิด” เขามองว่าตอนนี้คือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด ด้วยกระแส AI ที่กำลังบูม และคาดการณ์ว่าจะสามารถขายแว่นตารุ่นนี้ได้มากกว่า 100,000 ชิ้นภายในสิ้นปีหน้า
นอกเหนือไปจากแว่นตา บอสเวิร์ธยังเปิดเผยว่าโครงการสมาร์ทวอทช์เพื่อแข่งกับ Apple Watch ก็คืบหน้าไปมากแล้ว เขาระบุว่ากำลังพิจารณาแนวทางที่มีอนาคตสดใสอยู่หลายทาง และยังได้กล่าวเสริมด้วยว่า “ในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา เรามีความก้าวหน้าครั้งสำคัญในด้านประสบการณ์การใช้งานที่น่าตื่นเต้นมาก”
ขณะที่ อเล็กซ์ ฮิเมล หัวหน้าทีมพัฒนาแว่นตา ก็ได้กล่าวถึงการวิจัยเกี่ยวกับคอนแทคเลนส์ที่ในวันหนึ่งอาจเข้ามาทำหน้าที่แทนแว่นตาสำหรับเทคโนโลยี AR ได้อย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอาจจะ ‘ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง’ ก็เป็นได้ เนื่องจากมีอุปสรรคทางเทคโนโลยีที่สูงมาก พร้อมทั้งทิ้งท้ายว่า “ไม่มีอะไรที่เราไม่ได้กำลังศึกษาอยู่” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Meta กำลังสำรวจเทคโนโลยีทุกความเป็นไปได้สำหรับอนาคต
หมายเหตุ: ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 31.81 บาท ณ วันที่ 18 กันยายน 2568
ภาพ: REUTERS/Carlos Barria
อ้างอิง:
The post Meta เปิดตัว ‘แว่นตา AI มีจอ’ ครั้งแรก! ราคา 25,000 บาท ชูระบบสั่งการด้วย ‘ท่าทางมือ’ ผ่านสายรัดข้อมือ appeared first on THE STANDARD.
]]>
เบื้องหลังการทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อสร้าง ‘สุดย […]
The post คลื่นใต้น้ำที่ Meta! เบื้องหลังภารกิจสร้างสุดยอด AI ของซักเคอร์เบิร์ก ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ศึกชิงอำนาจ และพนักงานที่แห่ลาออก appeared first on THE STANDARD.
]]>
เบื้องหลังการทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อสร้าง ‘สุดยอดปัญญาประดิษฐ์ส่วนบุคคล’ (personal superintelligence) ของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก กำลังเกิดคลื่นใต้น้ำครั้งใหญ่ที่สั่นสะเทือนเสถียรภาพของ Meta Platforms Inc. โดยมีรายงานว่า เซิ่งเจีย จ้าว หนึ่งในผู้ร่วมสร้าง ChatGPT ซึ่งเพิ่งถูกซื้อตัวมาจาก OpenAI ได้ขู่ที่จะลาออกและกลับไปอยู่กับนายจ้างเก่าภายในเวลาเพียงไม่กี่วันหลังเริ่มงาน
เหตุการณ์ดังกล่าวจบลงด้วยการที่ จ้าว ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ‘หัวหน้านักด้านวิทยาศาสตร์ AI’ (Chief AI Scientist) คนใหม่ของ Meta ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามอย่างหนักของซักเคอร์เบิร์กที่จะรั้งตัวบุคลากรระดับหัวกะทิไว้ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้นำระดับสูงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ 20 ปีของบริษัท
ซักเคอร์เบิร์กซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ไม่กี่คนที่ยังคงดำรงตำแหน่งซีอีโอ กำลังปรับเปลี่ยนทิศทางการบริหารจากการพึ่งพาผู้บริหารที่ภักดีมายาวนานอย่าง คริส ค็อกซ์ ไปสู่กลุ่มผู้บริหาร AI รุ่นใหม่ที่เพิ่งถูกซื้อตัวเข้ามาอย่าง เซิ่งเจีย จ้าว, อเล็กซานเดอร์ หวัง อดีตซีอีโอ Scale AI และ แนท ฟรีดแมน อดีตซีอีโอ GitHub
การมาถึงของผู้บริหารหน้าใหม่เหล่านี้ได้สร้างแรงกระเพื่อมและความตึงเครียดไปทั่วทั้งองค์กร พนักงานปัจจุบันต้องปรับตัวเข้ากับทิศทางใหม่ ขณะที่ผู้บริหารใหม่ก็พยายามที่จะแสดง ‘อำนาจ’ และปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมการทำงานที่ซับซ้อนของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าสูงถึง 1.95 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 62.95 ล้านล้านบาท) และมีซีอีโอที่ลงมาควบคุมรายละเอียดในทุกขั้นตอน
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นไม่ได้มีเพียงแค่การขู่ลาออก แต่ยังรวมถึงการที่พนักงานใหม่หลายคนตัดสินใจลาออกไปหลังจากที่ทำงานได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ เช่น อีธาน ไนท์ นักวิทยาศาสตร์ด้าน Machine Learning หรือกระทั่ง อาวี เวอร์มา อดีตนักวิจัยจาก OpenAI ที่ผ่านกระบวนการปฐมนิเทศแล้วแต่ไม่มาปรากฏตัวในวันทำงานวันแรก
นอกจากนี้ ริชาภ อการ์วาล นักวิทยาศาสตร์ด้านการวิจัยที่เข้าร่วมงานเมื่อเดือนเมษายน ก็ประกาศลาออกผ่านทาง X โดยระบุว่าแม้ข้อเสนอของซักเคอร์เบิร์กและหวังจะน่าสนใจมาก แต่เขารู้สึกถึงแรงดึงดูดที่จะไปเสี่ยงในรูปแบบอื่น
ขณะเดียวกัน พนักงานระดับสูงที่ทำงานกับบริษัทมานานก็เริ่มทยอยลาออกเช่นกัน ซึ่งรวมถึง ชยา นายัค และ ลอเรดานา คริสซาน ที่ทำงานในฝ่าย Generative AI มาเกือบสิบปี แสดงให้เห็นว่าความปั่นป่วนครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อบุคลากรทั้งเก่าและใหม่ ซึ่ง Meta ได้ออกมาตอบโต้ว่าการลาออกเป็นเรื่องปกติสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ และไม่ให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กน้อยเหล่านี้
สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นเมื่อ Meta ได้ประกาศปรับโครงสร้างฝ่าย AI เป็นครั้งที่ 4 ในรอบ 6 เดือน ซึ่งทำให้พนักงานบางส่วนเริ่มแสดงความเหนื่อยหน่ายผ่านโซเชียลมีเดีย โดย มิแมนซา ไจสวาล นักวิจัยของบริษัทได้ทวีตข้อความติดตลกว่า “ปรับอีกสักรอบทุกอย่างก็คงจะดีขึ้น แค่อีกรอบเดียวเท่านั้นแหละ”
ผู้ที่เข้ามากุมบังเหียนฝ่าย AI ทั้งหมดคือ อเล็กซานเดอร์ หวัง อดีตซีอีโอหนุ่มวัย 28 ปี ซึ่งซักเคอร์เบิร์กได้ทุ่มเงินลงทุนในบริษัท Scale AI ของเขาไปถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4.52 แสนล้านบาท) เพื่อดึงตัวเขามาเป็นผู้นำแผนกใหม่ที่ชื่อว่า TBD ซึ่งเป็นหน่วยงานลับสุดยอดที่เต็มไปด้วยบุคลากรระดับหัวกะทิ
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าสไตล์การทำงานของ หวัง ซึ่งขาดประสบการณ์ในการบริหารทีมขนาดใหญ่ในองค์กรระดับ Big Tech ได้สร้างความขัดแย้งกับพนักงานบางส่วน นอกจากนี้ยังมีความตึงเครียดระหว่างเขากับซักเคอร์เบิร์ก ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าลงมา ‘จัดการในรายละเอียดมากเกินไป’ (micromanaging) และคอยเร่งให้ทีมงานสร้างสุดยอดปัญญาประดิษฐ์ให้ได้เร็วยิ่งขึ้น
หนึ่งในการตัดสินใจแรกๆ ของทีมผู้บริหารชุดใหม่คือการระงับแผนการปล่อยโมเดลภาษา Llama Behemoth ซึ่งเคยเป็นโมเดลเรือธงของบริษัท สู่สาธารณะ หลังจากที่ผลการทดสอบออกมาไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง และหันไปมุ่งเน้นการสร้างโมเดลที่ล้ำสมัยกว่าเดิมแทน
การปรับทัพครั้งใหญ่นี้ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้บริหาร AI รุ่นเก่า ยานน์ เลอคูน ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้านักด้านวิทยาศาสตร์ AI มายาวนาน ตอนนี้ต้องไปรายงานตรงต่อ หวัง ขณะที่ อาหมัด อัล-ดาห์เล ซึ่งเคยเป็นผู้บริหารฝ่าย Llama ก็ยังไม่มีตำแหน่งที่ชัดเจน และ คริส ค็อกซ์ ก็ถูกลดบทบาทจากการดูแล Generative AI โดยตรง
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ล่าสุด Meta ได้ประกาศ ‘ระงับการจ้างงานชั่วคราว’ ในทุกทีมของฝ่าย AI ยกเว้นตำแหน่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด พร้อมทั้งมีรายงานว่าบริษัทกำลังพิจารณาลดขนาดทีม AI ลง โดยในบันทึกถึงผู้จัดการระบุว่า การหยุดจ้างงานชั่วคราวนี้จะช่วยให้ทีมผู้นำได้วางแผนกำลังคนสำหรับปี 2026 อย่างรอบคอบไปพร้อมกับการปรับกลยุทธ์ของบริษัท
หมายเหตุ : ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.28 บาท ณ วันที่ 29 สิงหาคม 2568
ภาพ: AFP PHOTO / JIM WATSON
อ้างอิง:
The post คลื่นใต้น้ำที่ Meta! เบื้องหลังภารกิจสร้างสุดยอด AI ของซักเคอร์เบิร์ก ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ศึกชิงอำนาจ และพนักงานที่แห่ลาออก appeared first on THE STANDARD.
]]>
แซม อัลต์แมน ซีอีโอของ OpenAI กล่าวหาว่า Meta ของมาร์ก […]
The post อัลต์แมนฟาด Meta หลังซักเคอร์เบิร์กทุ่มเงินรวม 3.2 พันล้านบาท ต่อสายตรงดูดนักพัฒนา AI จาก OpenAI แก้เกมถูกมองตามหลังคู่แข่ง appeared first on THE STANDARD.
]]>
แซม อัลต์แมน ซีอีโอของ OpenAI กล่าวหาว่า Meta ของมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก กำลังพยายามแย่งชิงนักพัฒนาจำนวนมากจากทีมของเขา ด้วยการเสนอโบนัสเซ็นสัญญารวมกันสูงสุดถึง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.2 พันล้านบาท)
ข้อเสนอนี้มาพร้อมด้วยแพ็กเกจเงินเดือนประจำปีที่สูงมาก เพื่อให้ทันคู่แข่งในสมรภูมิปัญญาประดิษฐ์ที่ดุเดือด ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า Meta เต็มใจจ่ายเงินในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนเพื่อดึงบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ระดับท็อป
อัลต์แมนเปิดเผยผ่านพอดแคสต์ Uncapped ที่จัดโดยน้องชายของเขาว่า Meta ได้เริ่มยื่น ‘ข้อเสนอที่มหาศาล’ ให้กับพนักงานในทีมของเขา หลังจากที่พบว่าความพยายามด้าน AI ในปัจจุบัน ‘ยังไม่เป็นไปตามที่หวังไว้’
อัลต์แมนกล่าวว่า “ผมได้ยินมาว่า Meta มองเราเป็นคู่แข่งที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขา” และเสริมว่า “ผมคิดว่ามันสมเหตุสมผลแล้วที่พวกเขาจะพยายามต่อไป ผมเคารพความกระตือรือร้นและความพยายามที่จะลองสิ่งใหม่ๆ ของพวกเขา” อย่างไรก็ตาม อัลต์แมนยืนยันว่า หัวกะทิในทีมของเขายังไม่มีใครตอบรับข้อเสนอจากซักเคอร์เบิร์ก
Meta กำลังเร่ง ‘สงครามแย่งชิงบุคลากร’ ครั้งใหญ่ โดยพยายามดึงตัวนักวิจัยและวิศวกรชั้นนำจากบริษัทคู่แข่ง เพื่อสร้างทีม ‘superintelligence’ ใหม่ ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (Artificial General Intelligence)
แหล่งข่าวเผยว่า ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta ได้โทรศัพท์ติดต่อคัดเลือกบุคลากรด้วยตนเอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันโครงการ superintelligence นี้
แม้ซักเคอร์เบิร์กจะประกาศซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงความตั้งใจที่บริษัทจะก้าวขึ้นเป็น ‘ผู้นำด้าน AI’ แต่ Meta กลับต้องเผชิญกับความยากลำบากในปีนี้ และ ‘ตามหลังคู่แข่ง’ หลายราย
โดยมีรายงานถึงความล่าช้าหลายครั้ง เช่น การเผชิญข้อกล่าวหาว่า Llama 4 ซึ่งเป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ล่าสุดของบริษัท มีการเพิ่มประสิทธิภาพตัวชี้วัด และถูกวิพากษ์วิจารณ์ทางออนไลน์ว่าไม่ได้เผยแพร่รายงานทางเทคนิคฉบับเต็มประกอบโมเดล
อะห์หมัด อัล-ดาห์เล หัวหน้าฝ่าย GenAI ของ Meta ยอมรับว่า ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่มีคุณภาพแตกต่างกันไป แต่ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าการทดสอบประสิทธิภาพของบริษัทไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด
นอกจากนี้ Meta ยังได้เลื่อนการเปิดตัวโมเดล AI เรือธงที่ชื่อว่า Behemoth และยังถูกคู่แข่งจีนรายเล็กอย่าง DeepSeek ที่มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและใช้ต้นทุนเพียงเล็กน้อย แซงหน้าไปอย่างไม่คาดคิด
ซ้ำร้าย Meta ยังประสบปัญหาการ ‘สมองไหล’ ของบุคลากรด้าน AI โดยนักวิจัยคนสำคัญหลายคนที่สร้างโมเดล Llama ได้ลาออกในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา รวมถึง โจเอลล์ ปิโน หัวหน้าฝ่ายวิจัย AI ด้วย ซักเคอร์เบิร์ก จึงต้องปรับโครงสร้างผู้นำ Generative AI เพื่อเร่งฝีเท้าให้ทันคู่แข่ง
ในความพยายามที่จะดึงดูดบุคลากรฝีมือดี Meta ได้ทุ่มเงินมหาศาล รวมถึงการลงทุน 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ใน Scale AI สตาร์ทอัพด้านข้อมูล AI และยังได้ดึงตัว อเล็กซานเดอร์ หวัง ผู้ร่วมก่อตั้ง Scale AI มาร่วมงานด้วย ซึ่งแหล่งข่าวกล่าวว่าการเข้าซื้อหุ้นใน Scale AI 49% ของ Meta ก็เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การดึงตัวบุคลากรสำคัญนี้
นอกจากนี้ Meta ยังได้พยายามเข้าซื้อกิจการสตาร์ทอัพ AI อื่นๆ เช่น Perplexity AI และว่าจ้างบุคคลสำคัญอย่าง แดเนียล กรอส ซีอีโอของ Safe Superintelligence และ แนท ฟรีดแมน อดีตซีอีโอ GitHub มาเสริมทีม
แอนดรูว์ บอสเวิร์ธ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Meta กล่าวว่า “ตลาดกำลังกำหนดราคาสำหรับบุคลากรระดับนี้ในอัตราที่ตกใจและไม่เคยมีมาก่อนในอาชีพเทคโนโลยี 20 ปีของผม”
โฆษกของ Meta กล่าวว่า บริษัทเชื่อมั่นในอนาคตที่ AI ที่มี superintelligence จะเข้ามาช่วยเหลือมนุษย์ในทุกย่างก้าว และพวกเขากำลังระดมทีมงานทั้งภายในและภายนอกอย่างเต็มที่เพื่อไล่ตามวิสัยทัศน์นี้
อัลต์แมนวิจารณ์กลยุทธ์ของ Meta ที่ใช้ “ค่าตอบแทนล่วงหน้าจำนวนมหาศาลที่รับประกันได้” ว่าเป็นวิธีที่ผิด โดยระบุว่า Meta “มุ่งเน้นไปที่เงินมากเกินไป แทนที่จะมุ่งเน้นที่งานหรือภารกิจ” เขายังแสดงความเห็นว่า “ผมไม่คิดว่าพวกเขาเป็นบริษัทที่เก่งด้านนวัตกรรม”
เมื่อเปรียบเทียบฐานะการเงิน แม้ OpenAI จะมีรายรับประจำปีถึง 10 พันล้านดอลลาร์ แต่ยังคงขาดทุนหนัก ขณะที่ Meta มีเงินลงทุนมหาศาลและสามารถเสนอเงินเดือนที่สูงกว่า โดยเงินเดือนประจำปีของวิศวกรซอฟต์แวร์ที่ OpenAI อยู่ในช่วง 2.38 แสนดอลลาร์ – 1.34 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ Meta เสนอ 2.12 แสนดอลลาร์ – 3.7 ล้านดอลลาร์ต่อปี
ภาพ: Justin Sullivan / Getty Images
อ้างอิง:
The post อัลต์แมนฟาด Meta หลังซักเคอร์เบิร์กทุ่มเงินรวม 3.2 พันล้านบาท ต่อสายตรงดูดนักพัฒนา AI จาก OpenAI แก้เกมถูกมองตามหลังคู่แข่ง appeared first on THE STANDARD.
]]>
Alexandr Wang ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Scale AI ส่งบันทึก […]
The post Meta ทุ่ม 1.43 หมื่นล้านดอลลาร์ ปิดดีล Scale AI พร้อมจ้างซีอีโอ Alexandr Wang ทำงาน AI ให้ Meta โดยตรง appeared first on THE STANDARD.
]]>
Alexandr Wang ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Scale AI ส่งบันทึกถึงพนักงานเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (12 มิถุนายน) เพื่อยืนยันข่าวใหญ่ว่า เขากำลังจะอำลาตำแหน่งซีอีโอเพื่อไปร่วมงานกับ Meta Platforms Inc. ภายใต้ข้อตกลงการลงทุนเชิงกลยุทธ์มูลค่ามหาศาล 1.43 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5.2 แสนล้านบาท
การยืนยันครั้งนี้ถือเป็นการปิดดีลที่ทำให้ Meta กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Scale AI และดึงหนึ่งในผู้บริหารที่เก่งที่สุดในแวดวงข้อมูล AI มาร่วมทัพ ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามอย่างหนักของ Mark Zuckerberg ที่จะเร่งเครื่องสู้ศึกปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (Artificial General Intelligence – AGI) อย่างเต็มกำลัง
โฆษกของ Scale AI ยืนยันว่า ภายใต้ข้อตกลงนี้ Meta จะเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 49% แต่เป็นหุ้นที่ไม่มีสิทธิออกเสียง (Non-voting Shares) ซึ่งทำให้มูลค่าของ Scale AI หลังการระดมทุนครั้งนี้พุ่งสูงกว่า 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่า 1 ล้านล้านบาท
ในบันทึกที่เขาแชร์บนแพลตฟอร์ม X ด้วยนั้น Alexandr Wang กล่าวกับพนักงานอย่างตรงไปตรงมาว่า “อย่างที่คุณน่าจะพอทราบจากข่าวล่าสุด โอกาสที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มักจะมาพร้อมกับต้นทุนเสมอ และในกรณีนี้ ต้นทุนนั้นคือการจากไปของผม การได้รับใช้พวกคุณในฐานะซีอีโอ ถือเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผม”
ตำแหน่งซีอีโอของ Scale AI จะถูกส่งมอบให้กับ Jason Droege ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ (Chief Strategy Officer) และเคยเป็นอดีตรองประธานของ Uber นอกจากนี้ Wang ยังระบุในบันทึกด้วยว่า จะมีพนักงานของ Scale AI จำนวนหนึ่งย้ายไปร่วมงานกับ Meta ด้วย ภายใต้ข้อตกลงเดียวกันนี้
การทุ่มทุนและดึงตัวผู้บริหารครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจาก Mark Zuckerberg ประกาศให้ AI เป็นภารกิจสำคัญสูงสุดของบริษัทในปี 2568 แต่มีรายงานว่าเขาเริ่มรู้สึกผิดหวังกับความคืบหน้าของทีม โดยเฉพาะหลังจากเปิดตัวโมเดลภาษาขนาดใหญ่เวอร์ชันล่าสุดอย่าง Llama 4 เมื่อเดือนเมษายน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ค่อนข้างน่าผิดหวัง และถูกมองว่ายังตามหลังคู่แข่ง
แหล่งข่าวระบุว่า Zuckerberg เข้ามาดูแลโปรเจกต์ AI อย่างใกล้ชิด และลงมือสรรหาบุคลากรระดับหัวกะทิด้วยตนเอง การตัดสินใจดึงคนนอกอย่าง Alexandr Wang เข้ามารับผิดชอบภารกิจ Superintelligence ครั้งนี้ ถือเป็นการฉีกแนวทางเดิมๆ ของ Zuckerberg ที่มักจะโปรโมตพนักงานที่ทำงานมานานขึ้นสู่ตำแหน่งระดับสูง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเร่งด่วนที่เขามีต่อภารกิจด้าน AI
โฆษกของ Meta ยืนยันว่า “Alexandr Wang จะเข้ามาร่วมงานกับ Meta เพื่อขับเคลื่อนความพยายามด้าน Superintelligence ของเรา เราจะเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความพยายามนี้ และทีมงานที่ยอดเยี่ยมที่จะเข้ามาร่วมทีมในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า”
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ดีลนี้ซับซ้อนและน่าจับตามองคือ ลูกค้าของ Scale AI มีทั้ง Google, Microsoft และ OpenAI ซึ่งล้วนเป็นคู่แข่งสำคัญของ Meta ในสมรภูมิ AI การที่ Meta เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จึงสร้างคำถามถึงความเป็นกลางและผลประโยชน์ทับซ้อน
อย่างไรก็ตาม โฆษกของ Scale AI ออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่า การลงทุนและการจ้างงานของ Wang โดย Meta จะไม่มีผลกระทบต่อลูกค้าของสตาร์ทอัพรายอื่นๆ และ Meta จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลทางธุรกิจหรือข้อมูลใดๆ ของลูกค้ารายอื่นได้ ซึ่งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นว่า Scale AI จะยังคงดำเนินงานในฐานะผู้นำด้าน AI ที่เป็นอิสระต่อไป
ภาพ: Thrive Studios / Shutterstock
อ้างอิง:
The post Meta ทุ่ม 1.43 หมื่นล้านดอลลาร์ ปิดดีล Scale AI พร้อมจ้างซีอีโอ Alexandr Wang ทำงาน AI ให้ Meta โดยตรง appeared first on THE STANDARD.
]]>
มหากาพย์ทางกฎหมายที่อาจบั่นทอนอาณาจักรโซเชียลมีเดียมูลค […]
The post ‘อีเมล’ มัดตัว Zuckerberg? FTC ฟ้อง Meta ข้อหา ‘ผูกขาด’ ฮุบ Instagram-WhatsApp สกัดดาวรุ่ง appeared first on THE STANDARD.
]]>
มหากาพย์ทางกฎหมายที่อาจบั่นทอนอาณาจักรโซเชียลมีเดียมูลค่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ เปิดฉากแล้วที่ศาลกรุงวอชิงตันเมื่อวันจันทร์ที่ 14 เมษายน โดย FTC (คณะกรรมการการค้าสหรัฐ) กล่าวหา Meta ว่าการซื้อกิจการ Instagram และ WhatsApp เป็นการสร้าง ‘อำนาจผูกขาด’ ที่ผิดกฎหมาย
คดีนี้ไม่เพียงเป็นบททดสอบอนาคตของ Meta แต่ยังสะท้อนท่าทีของรัฐบาล Trump ต่อบิ๊กเทคและนโยบายต่อต้านการผูกขาดด้วย
Mark Zuckerberg ปรากฏตัวในศาลด้วยชุดสูทเนกไทแทนลุคเสื้อลำลองและสร้อยทองที่เขามักสวมในช่วงหลัง ทนาย FTC ได้นำเสนออีเมลภายในของ Zuckerberg เป็นหลักฐานที่แสดงเจตนาในการ ‘ซื้อหรือกำจัด’ คู่แข่ง และชี้ให้เห็นว่า Meta ขัดขวางการแข่งขันโดยซื้อกิจการ Instagram ในปี 2012 ด้วยเงิน 1,000 ล้านดอลลาร์ และ WhatsApp ในปี 2014 ด้วยเงินมหาศาลถึง 19,000 ล้านดอลลาร์
โดยในอีเมลปี 2011 เขาเขียนกังวลว่าหาก Instagram เติบโตต่อไปหรือถูก Google ซื้อ พวกเขาจะสามารถลอกเลียนแบบบริการของ Facebook ได้อย่างง่ายดาย
อีเมลปี 2012 ยิ่งแสดงความกังวลชัดเจนเมื่อ Zuckerberg ระบุว่า Instagram เป็นภัยคุกคามอย่างมาก และ Facebook จะล้าหลังในการพัฒนาบนมือถือ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ต้องพิจารณาทุ่มเงินมหาศาลซื้อ Instagram ส่วน WhatsApp เขาวิเคราะห์ว่าแอปข้อความนี้มีศักยภาพพลิกตลาดในสหรัฐฯ ที่ SMS ยังเป็นแพลตฟอร์มหลัก
ในศาล Zuckerberg ชี้แจงว่า ช่วงนั้นบริษัทกำลังเตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ ทำให้มีสภาพคล่องมากขึ้นและพิจารณาใช้เงินทุนซื้อเครื่องมือต่างๆ แทนที่จะสร้างทุกอย่างเอง จึงวิเคราะห์ทางเลือกระหว่างสร้างเอง หรือซื้อกิจการ
FTC อ้างว่า Meta มีอำนาจผูกขาดโดยการตรวจสอบพบว่าผู้ใช้ใช้เวลากับแอปของ Meta ถึง 85% เมื่อเทียบกับแอปโซเชียลมีเดียทั้งหมด
พวกเขากล่าวหาว่าการกระทำของ Meta ส่งผลเสียต่อผู้บริโภค ทั้งการเพิ่มโฆษณาใน Facebook และ Instagram อย่างมหาศาล และความล้มเหลวด้านความเป็นส่วนตัวตลอดเวลาที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ทนายยังอ้างอีเมลลับปี 2018 ที่ Zuckerberg เขียนว่า Meta พยายามสกัดการเติบโตของ Instagram เพื่อป้องกันการล่มสลายของเครือข่าย Facebook โดยในอีเมลปี 2012 เขาเคยเรียก Instagram ว่าเป็น ‘กรมธรรม์ประกันภัย’ ของบริษัท เปรียบเสมือนการซื้อไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยง แม้ว่า Meta จะปฏิเสธว่าไม่ได้หมายความว่าจะกดดันหรือลดความสำคัญของ Instagram
ฝั่ง Meta โต้แย้งว่าบริษัทไม่ได้มีการผูกขาดตลาดแต่อย่างใด ทนายของ Meta เรียกคดีนี้ว่า ‘ผิดทิศทาง’ และพยายามบิดเบือนหลักการกฎหมายต่อต้านการผูกขาด พร้อมชี้แจงว่าตัวเลขส่วนแบ่งตลาดที่แท้จริงของ Meta อยู่ที่น้อยกว่า 30% หากนับรวมเวลาที่ผู้ใช้ใช้กับแพลตฟอร์มอื่นอย่าง TikTok และ YouTube
ดังนั้น ที่ FTC อ้างว่า TikTok ไม่ได้อยู่ในตลาดเดียวกับ Instagram เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง โดยชี้ให้เห็นว่าเมื่อ TikTok หยุดให้บริการชั่วคราวในมกราคม ผู้ใช้ Facebook และ Instagram พุ่งสูงขึ้นทันที
Meta ยังอ้างว่าได้ปรับปรุงคุณภาพของ Instagram และ WhatsApp ทำให้จำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นมหาศาลตั้งแต่การเข้าซื้อกิจการ แถมยังให้บริการฟรี
ความสัมพันธ์ระหว่าง Zuckerberg และ Trump มีความเย็นชาหลัง Trump ถูกแบนจากแพลตฟอร์มของ Meta หลังเหตุจลาจลที่รัฐสภาสหรัฐเมื่อมกราคม 2021 แต่สถานการณ์เริ่มดีขึ้น โดย Meta บริจาค 1 ล้านดอลลาร์ให้กับงานพิธีเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของ Trump
และเพิ่มอดีตที่ปรึกษาของ Trump รวมถึงพันธมิตรใกล้ชิดเข้าคณะกรรมการบริษัท Meta ยังยกเลิกการใช้ผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอิสระและจ่ายเงิน 25 ล้านดอลลาร์ให้ Trump เพื่อยุติคดีฟ้องร้องเกี่ยวกับการระงับบัญชีของเขา
ผู้เชี่ยวชาญมองว่า FTC มีอุปสรรคในคดีนี้ เพราะผู้พิพากษาเคยยกฟ้องคำร้องครั้งแรกก่อนจะยอมรับคดีที่ยื่นใหม่ในปี 2022 Rebecca Haw Allensworth ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายจาก Vanderbilt Law School วิเคราะห์ว่าคำพูดของ Zuckerberg ที่ว่า ‘ซื้อดีกว่าแข่ง’ เป็นหลักฐานชัดเจนที่สุดว่า Meta ตั้งใจซื้อ Instagram เพื่อกำจัดคู่แข่งที่กำลังเติบโตแทนที่จะแข่งขันอย่างเป็นธรรม
Laura Phillips-Sawyer จาก University of Georgia มองว่า FTC มีความท้าทายในการพิสูจน์คดีนี้มากกว่าคดี Google เพราะตลาดโซเชียลมีเดียมีผู้เล่นและการแข่งขันมากกว่าตลาดค้นหาออนไลน์ที่ Google ครองส่วนแบ่งถึง 90% หากศาลตัดสินให้ Meta ผิด บริษัทอาจถูกบังคับให้ขาย WhatsApp และ Instagram ออกไป
ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร คดีนี้ส่งสัญญาณชัดเจนว่ายุคทองของยักษ์เทคที่กลืนกินคู่แข่งได้ไร้ขีดจำกัด กำลังถูกท้าทายอย่างหนักหน่วงที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ภาพ: imbriaco_photo/Shutterstock
อ้างอิง:
The post ‘อีเมล’ มัดตัว Zuckerberg? FTC ฟ้อง Meta ข้อหา ‘ผูกขาด’ ฮุบ Instagram-WhatsApp สกัดดาวรุ่ง appeared first on THE STANDARD.
]]>
แม้ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา การเปิดตัวนวัตกรรมของ Deep […]
The post บิ๊กเทคสหรัฐฯ เดินหน้าลงทุน AI รวมหลายแสนล้านดอลลาร์ ไม่หวั่นเสียงวิจารณ์ความคุ้มค่าจากกรณีของ DeepSeek appeared first on THE STANDARD.
]]>
แม้ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา การเปิดตัวนวัตกรรมของ DeepSeek จะสร้างกระแสฮือฮาให้กับวงการ AI ทั่วโลก โดยเฉพาะกับประเด็นที่สตาร์ทอัพจีนรายนี้สามารถสร้างโมเดลที่มีศักยภาพเทียบเคียงกับของสหรัฐฯ แต่ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก นั่นทำบางคนเริ่มตั้งคำถามถึงเม็ดเงินมหาศาลที่บริษัทบิ๊กเทคฝั่งสหรัฐฯ ว่าเป็นการตัดสินใจที่คุ้มค่าแล้วหรือไม่?
แต่หากมองจากท่าทีของบริษัทบิ๊กเทคสหรัฐฯ พวกเขาก็ยังคงไม่ส่งสัญญาณที่บอกได้ว่า ‘เม็ดเงินลงทุน’ สำหรับพัฒนา AI จะชะลอตัวลง และในทางตรงกันข้าม บริษัทกลุ่มนี้กลับประกาศว่าจะเพิ่มอัตราการลงทุนให้มากขึ้น
Amazon เป็นบริษัทเทคโนโลยีและอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่เพิ่งประกาศแผนการใช้จ่ายใน AI อย่างมหาศาล ซึ่งบริษัทอยู่ภายใต้การนำของซีอีโอ Andy Jassy ที่กล่าวในงานประชุมสรุปผลประกอบการประจำไตรมาส 4 ของปี 2024 ว่า Amazon จะทุ่มเงินลงทุนกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2025 โดยเงินจำนวนนี้ส่วนใหญ่จะถูกใช้สำหรับพัฒนาศักยภาพ AI ของ Amazon Web Services (AWS) ที่เป็นหน่วยธุรกิจด้านคลาวด์ของ Amazon
สำหรับตัวเลขในไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนสินทรัพย์ (CapEx) อยู่ที่ระดับ 2.63 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง Andy มองว่าเป็นระดับเหมาะสมที่จะทำให้คนเห็นภาพปริมาณการลงทุนที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2025 ทั้งปีได้ ซึ่งมองกลมๆ โดยอิงจากการใช้จ่ายในไตรมาสที่ผ่านมา นั่นหมายความว่าการใช้จ่ายปีนี้ทั้งปีก็จะอยู่ที่ราว 1 แสนล้านดอลลาร์
และตัวเลข 1 แสนล้านดอลลาร์นี่เองก็เป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากงบลงทุน 7.8 หมื่นล้านดอลลาร์ที่ Amazon ใช้ไปในปี 2024
บริษัทยักษ์ใหญ่รายนี้ไม่ได้เป็นกังวลว่า AI ราคาถูกลงจนจะกระทบต่อรายได้ของบริษัท แต่ในทางตรงกันข้าม Andy กลับมองในมุมบวกและกล่าวว่า ราคาที่ลดลงจะทำให้ AI เป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้น และ AWS ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ AI ที่หลากหลายก็จะเป็นฝ่ายได้ประโยชน์
“บางครั้งคนมักเข้าใจผิดว่า หากเขาลดต้นทุนองค์ประกอบเทคโนโลยีใดๆ ก็ตามได้สำเร็จ นั่นจะทำให้การใช้จ่ายกับเทคโนโลยีลดลง แต่เรายังไม่เคยเห็นแนวคิดนั้นเป็นจริงเลย” Andy กล่าว
นอกจากนี้บริษัทบิ๊กเทคอื่นของสหรัฐฯ ก็ออกมาแสดงท่าทีในลักษณะคล้ายกันกับการเดินหน้าลงทุนต่อ ท่ามกลางช่วงเวลาที่ DeepSeek กำลังเป็นกระแสและสร้างความกังวลในตลาดเกี่ยวกับความคุ้มค่าของผลตอบแทนจากค่าใช้จ่ายด้าน AI ที่เพิ่มสูงขึ้น
Mark Zuckerberg ซีอีโอ Meta ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าบริษัทมีแผนจะลงทุนอีกหลายพันล้านดอลลาร์กับ AI ในระยะยาว โดยให้เหตุผลว่าความต้องการใช้งานจากผู้ใช้หลายพันล้านรายเพิ่มมากขึ้น
ซึ่ง Meta ตั้งเป้าว่าปี 2025 จะใช้จ่ายอย่างน้อย 6 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อลงทุน และส่วนใหญ่จะลงทุนกับ AI
ในขณะที่ Alphabet เพิ่งเพิ่มงบลงทุนสำหรับปี 2025 มากขึ้นกว่าปีที่แล้วถึง 42% เป็น 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดย Sundar Pichai ซีอีโอของบริษัทเผยว่า การลดต้นทุนของ AI ‘จะทำให้การใช้งานใหม่ๆ เกิดขึ้นได้’
และ Microsoft ก็ได้ประกาศเมื่อเดือนที่แล้วว่าบริษัทจะลงทุน 8 หมื่นล้านดอลลาร์ในดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับ AI โดยตัวเลขมหาศาลนี้ก็เป็นเพียงการใช้จ่ายแค่ในปี 2025 เท่านั้น
Satya Nadella ซีอีโอ Microsoft ยังโพสต์ผ่าน X เกี่ยวกับ Jevons Paradox (แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่ระบุว่า เมื่อ ‘ราคา’ ของสิ่งสิ่งหนึ่งลดน้อยลง นั่นจะทำให้ความต้องการเพิ่มขึ้น) ว่า “Jevons Paradox เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อ AI มีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เราจะเห็นการใช้งานพุ่งสูงขึ้นอย่างมากจนกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่เราขาดไม่ได้”
Jevons paradox strikes again! As AI gets more efficient and accessible, we will see its use skyrocket, turning it into a commodity we just can’t get enough of. https://t.co/omEcOPhdIz
— Satya Nadella (@satyanadella) January 27, 2025
อย่างไรก็ดี การจะพิสูจน์ว่าสมมติฐานของ Satya จะเป็นไปตามคาดหรือไม่ คงมีแค่เวลาที่จะบอกได้ แต่หนึ่งสิ่งที่ตอนนี้ดูจะชัดเจนแล้วก็คือ บิ๊กเทคฝั่งสหรัฐฯ ยังไม่มีแนวโน้มจะชะลอการลงทุนเพื่อพัฒนา AI เลย
อ้างอิง:
The post บิ๊กเทคสหรัฐฯ เดินหน้าลงทุน AI รวมหลายแสนล้านดอลลาร์ ไม่หวั่นเสียงวิจารณ์ความคุ้มค่าจากกรณีของ DeepSeek appeared first on THE STANDARD.
]]>
ท่ามกลางความตื่นตระหนกในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อต้นสัปดาห์ท […]
The post ซักเคอร์เบิร์กไม่หวั่น DeepSeek เขย่าตลาด ยืนยันเม็ดเงินลงทุน AI ปีนี้อย่างน้อย 6 หมื่นล้านดอลลาร์ appeared first on THE STANDARD.
]]>
ท่ามกลางความตื่นตระหนกในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา จากความกังวลที่ว่าโมเดล AI ของ DeepSeek อาจทำให้ความต้องการชิปประมวลผลกราฟิก (GPU) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จนหุ้นของ NVIDIA บริษัทที่ก่อนหน้านี้ถูกมองว่าเป็น ‘ผู้ชนะแห่งโลก AI’ สูญมูลค่าสูงสุดไปเกือบ 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม Meta ที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับ AI ไม่ได้แสดงท่าทีที่จะถอยในการเดินหน้าลงทุนด้าน AI เพราะ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของบริษัท ประกาศว่า Meta จะทุ่มเงินลงทุน ‘อย่างหนัก’ ใน AI ถึงระดับหลายแสนล้านดอลลาร์ในระยะยาว
การประกาศอย่างแน่วแน่ครั้งนี้ของซักเคอร์เบิร์กเกิดขึ้นระหว่างการประชุมรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2024 ของ Meta เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (29 มกราคม) ซึ่งผลปรากฏว่ากำไรบริษัทโตขึ้น 49%
ซักเคอร์เบิร์กยังได้ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า Meta จะใช้จ่ายเงินมากกว่า 6-6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้ปีเดียว สำหรับการลงทุนที่ส่วนใหญ่จะเป็นดาต้าเซ็นเตอร์
สำหรับผลกระทบของ DeepSeek ต่อการใช้จ่ายเงินของธุรกิจเทคโนโลยีเพื่อ AI ซักเคอร์เบิร์กกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ TechCrunch ว่า การลงทุนในอัตราที่สูงกับโครงสร้างพื้นฐาน AI จะยังคงเป็น ‘ข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์’ ให้กับ Meta
แม้ซักเคอร์เบิร์กจะมองว่า DeepSeek เป็นคู่แข่งรายใหม่ของ Meta แต่การจะบอกว่าความต้องการชิปจะไม่เพิ่มขึ้นแล้วถือเป็นการด่วนสรุปเกินไป เพราะในปัจจุบันชิปยังสำคัญต่อการประมวลผล AI
“ณ จุดนี้ ความสามารถในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานจะเป็นข้อได้เปรียบสำคัญ ทั้งในด้านคุณภาพและความสามารถในการรองรับการใช้งาน” ซักเคอร์เบิร์กกล่าว
เป้าหมายของ Llama 4 โมเดล AI ใหม่ของ Meta คือการปั้นให้มันเป็นโมเดลที่แข่งขันได้ในตลาดระดับโลกเมื่อเทียบกับโมเดลแบบปิด (เช่น ChatGPT) โดยซักเคอร์เบิร์กกล่าวเพิ่มว่า เขาตั้งความหวังให้ Llama 4 มีความสามารถในการทำงานด้วยตัวเอง ซึ่งทั้ง OpenAI และ Anthropic ก็กำลังพัฒนาอยู่
ระหว่างนี้ Meta กำลังเรียนรู้จากสิ่งที่ DeepSeek ทำ และซักเคอร์เบิร์กคาดว่าในที่สุดทีมของเขาจะสามารถนำจุดเด่นบางอย่างมาใช้ร่วมกับ AI ของตนเองได้
อ้างอิง:
The post ซักเคอร์เบิร์กไม่หวั่น DeepSeek เขย่าตลาด ยืนยันเม็ดเงินลงทุน AI ปีนี้อย่างน้อย 6 หมื่นล้านดอลลาร์ appeared first on THE STANDARD.
]]>