Mark Milley – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 10 Nov 2022 12:13:07 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 สหรัฐฯ ประเมินทหารรัสเซีย-ยูเครน เสียชีวิตและบาดเจ็บจากสงคราม ฝ่ายละประมาณ 1 แสนนาย https://thestandard.co/us-assesses-russian-ukrainian-troops-killed/ Thu, 10 Nov 2022 12:13:07 +0000 https://thestandard.co/?p=707395

พล.อ. มาร์ก มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมกองทัพสหรัฐฯ […]

The post สหรัฐฯ ประเมินทหารรัสเซีย-ยูเครน เสียชีวิตและบาดเจ็บจากสงคราม ฝ่ายละประมาณ 1 แสนนาย appeared first on THE STANDARD.

]]>

พล.อ. มาร์ก มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมกองทัพสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขประมาณการผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากสถานการณ์สงครามในยูเครน โดยคาดว่าแต่ละฝ่าย ทั้งรัสเซียและยูเครนนั้น มีทหารเสียชีวิตและบาดเจ็บพอๆ กัน ฝ่ายละประมาณ 1 แสนนาย 

 

“คุณกำลังมองดูทหารรัสเซียกว่า 1 แสนนายที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ และสิ่งเดียวกันนี้ก็อาจเกิดในฝั่งยูเครน” เขากล่าวระหว่างแถลงในนครนิวยอร์ก

 

ข้อมูลที่ พล.อ. มิลลีย์ เปิดเผยนั้น มาจากการประเมินตัวเลขสูงสุดโดยเจ้าหน้าที่ชาติตะวันตก โดยนอกจากนี้พบว่าพลเรือนที่ติดอยู่ท่ามกลางการสู้รบในยูเครนนั้นอาจเสียชีวิตถึงประมาณ 40,000 คน

 

พล.อ. มิลลีย์ ชี้ว่า ขนาดของความสูญเสียที่เกิดขึ้นนั้นอาจโน้มน้าวให้ทั้งมอสโกและเคียฟจำเป็นที่จะต้องหันหน้าเข้าเจรจากันในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง ซึ่งการสู้รบอาจชะลอตัวลงจากสภาพอากาศเยือกแข็ง 

 

โดยเขาสังเกตเห็นว่ามีหลายสัญญาณที่รัฐบาลเคียฟยินดีที่จะกลับเข้าร่วมการพูดคุยกับมอสโก ซึ่งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน ยังได้ยกเลิกเงื่อนไขที่กำหนดว่าประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ต้องถูกถอดจากอำนาจเสียก่อน การเจรจาจึงจะเริ่มต้นใหม่ได้

 

ขณะที่เขาชี้ว่าการเจรจาที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น ทั้งฝ่ายรัสเซียและยูเครนจะต้อง ‘ยอมรับร่วมกัน’ ว่าชัยชนะในสงครามอาจไม่สามารถทำได้ด้วยวิธีการทางทหาร ดังนั้นจึงต้องหันไปหาวิธีอื่น

 

ทั้งนี้รัฐบาลเครมลินเปิดเผยตัวเลขความสูญเสียของทหารรัสเซียในสงครามยูเครนล่าสุดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยระบุจำนวนทหารรัสเซียที่เสียชีวิตนับตั้งแต่เริ่มสงครามทั้งสิ้น 5,937 นาย 

 

ขณะที่ เซอร์เก ชอยกู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรัสเซีย ปฏิเสธรายงานข่าวอื่นๆ ที่ระบุว่ายอดรวมทหารรัสเซียที่เสียชีวิตนั้นสูงกว่าที่เครมลินรายงานมาก

 

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขประมาณการที่ พล.อ. มิลลีย์เปิดเผยนั้นถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับจำนวนทหารโซเวียตที่เสียชีวิตจากการสู้รบในอัฟกานิสถานระหว่างปี 1979-1989 ซึ่งมีประมาณ 15,000 หมื่นนาย 

 

ภาพ: Yuriy Dyachyshyn / AFP

 

อ้างอิง:

The post สหรัฐฯ ประเมินทหารรัสเซีย-ยูเครน เสียชีวิตและบาดเจ็บจากสงคราม ฝ่ายละประมาณ 1 แสนนาย appeared first on THE STANDARD.

]]>
กองทัพสหรัฐฯ เฝ้าจับตาใกล้ชิด หากจีนตัดสินใจโจมตีไต้หวัน พร้อมยื่นมือเข้าช่วยเหลือ https://thestandard.co/us-army-watching-china-taiwan-attack/ Mon, 04 Jul 2022 09:09:50 +0000 https://thestandard.co/?p=649862 Mark Milley

วานนี้ (3 กรกฎาคม) พล.อ. มาร์ก มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิก […]

The post กองทัพสหรัฐฯ เฝ้าจับตาใกล้ชิด หากจีนตัดสินใจโจมตีไต้หวัน พร้อมยื่นมือเข้าช่วยเหลือ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Mark Milley

วานนี้ (3 กรกฎาคม) พล.อ. มาร์ก มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการร่วม (CJCS) อันเป็นหน่วยงานที่ปรึกษาทางทหารระดับสูงสุดในกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา ชี้ชัดว่า ทางการจีนพัฒนาขีดความสามารถทางการทหารอย่างมาก และอาจนำไปสู่การโจมตีไต้หวันในอนาคต แม้แนวโน้มการเกิดขึ้นของเหตุการณ์ดังกล่าวจะยังไม่ใช่เร็วๆ นี้ แต่ทางกองทัพสหรัฐฯ จะเฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิด พร้อมจะช่วยสนับสนุนไต้หวันหากต้องเผชิญหน้าทำสงครามกับจีนแผ่นดินใหญ่

 

ความตึงเครียดระหว่างจีนและไต้หวัน ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมหาอำนาจตะวันตกอย่างสหรัฐฯ เริ่มค่อยๆ ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น หลังทางการจีนส่งเครื่องบินรบบินเข้ามาใกล้กับน่านฟ้าของไต้หวัน ซึ่งอาจเป็นการรุกล้ำอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนในสายตาไต้หวันและสหรัฐฯ ในขณะที่การที่กองทัพเรือสหรัฐฯ แล่นเรือเข้ามายังน่านน้ำของไต้หวันเองก็อาจดูเป็นการยั่วยุและอาจนำไปสู่ความขัดแย้งด้านความมั่นคงในสายตาจีนได้เช่นกัน

 

โดยก่อนหน้านี้ทางการจีนประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนว่า หากไต้หวันประกาศเอกราชจากจีนอย่างเป็นทางการ รัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่อาจจำเป็นต้องตอบโต้ด้วยกำลังทางทหารหากมีความจำเป็น อีกทั้งทางการจีนยังมองว่าความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันระหว่างสหรัฐฯ กับไต้หวัน มีการร่วมมือกันในมิติต่างๆ โดยเฉพาะทางการทหาร รวมถึงการประกาศจะร่วมปกป้องอำนาจอธิปไตยของไต้หวันนั้น ถือเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของจีน และละเมิดหลักการจีนเดียว

 

แต่อย่างไรก็ตาม ต่างฝ่ายต่างตระหนักดีถึงต้นทุนที่ต้องเสียไปหากสงครามเปิดฉากขึ้น ไม่เพียงแต่จีนที่จะได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง แต่หมายรวมถึงประเทศต่างๆ ในประชาคมโลกก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย ทั้งนี้ทางการจีนยังพยายามเน้นย้ำการส่งเสริมให้ทั้งจีนแผ่นดินใหญ่และไต้หวันกลับมารวมกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างสันติหากเป็นไปได้

 

ในขณะที่ประชาชนชาวไต้หวันส่วนใหญ่ต่างสนับสนุนให้รัฐบาลไต้หวันพยายามรักษาสมดุล (Status Quo) ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ไว้ แม้จะมีชาวไต้หวันจำนวนหนึ่งที่ต้องการให้ไต้หวันประกาศเอกราชจากจีนแผ่นดินใหญ่อย่างเป็นทางการ ซึ่งนั่นอาจเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่อาจบานปลายกลายเป็นสงครามใหญ่ 

 

ภาพ: Alex Wong / Getty Images

อ้างอิง:

The post กองทัพสหรัฐฯ เฝ้าจับตาใกล้ชิด หากจีนตัดสินใจโจมตีไต้หวัน พร้อมยื่นมือเข้าช่วยเหลือ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผู้นำเหล่าทัพของสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ประณามเหตุม็อบบุกอาคารรัฐสภา พร้อมย้ำเตือนกำลังพลถึงหน้าที่ในการปกป้องรัฐธรรมนูญ https://thestandard.co/us-army-leaders-condemn-parliament-mob/ Thu, 14 Jan 2021 01:22:18 +0000 https://thestandard.co/?p=442775 ผู้นำเหล่าทัพของสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ประณามเหตุม็อบบุกอาคารรัฐสภา พร้อมย้ำเตือนกำลังพลถึงหน้าที่ในการปกป้องรัฐธรรมนูญ

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ผู้นำเหล่าทัพขอ […]

The post ผู้นำเหล่าทัพของสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ประณามเหตุม็อบบุกอาคารรัฐสภา พร้อมย้ำเตือนกำลังพลถึงหน้าที่ในการปกป้องรัฐธรรมนูญ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผู้นำเหล่าทัพของสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ประณามเหตุม็อบบุกอาคารรัฐสภา พร้อมย้ำเตือนกำลังพลถึงหน้าที่ในการปกป้องรัฐธรรมนูญ

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ผู้นำเหล่าทัพของสหรัฐฯ รวม 8 คน ออกแถลงการณ์ประณามการบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งลงนามโดย มาร์ก มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมของกองทัพสหรัฐฯ และเสนาธิการร่วม ซึ่งสมาชิกประกอบด้วยผู้นำจากเหล่าทัพต่างๆ รวมถึงกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ 

 

แถลงการณ์เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงความไว้วางใจที่ประชาชนมีให้ต่อกำลังพลในการปกป้องประชาชนและรัฐธรรมนูญ และระบุถึงสิ่งที่เคยปฏิบัติมาโดยตลอด อาทิ การเชื่อฟังคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายจากผู้นำพลเรือน การสนับสนุนเจ้าหน้าที่พลเรือนในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สิน รับรองความปลอดภัยสาธารณะ คุ้มกันและปกป้องรัฐธรรมนูญ จากนั้นจึงกล่าวถึงการบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม พร้อมไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว

 

“เราได้รับรู้ถึงการกระทำที่เกิดขึ้นในอาคารรัฐสภาซึ่งไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม สิทธิของเสรีภาพในการพูดและการชุมนุมมิได้ให้สิทธิ์แก่ผู้ใดในการใช้ความรุนแรง การปลุกระดมและการจลาจล” แถลงการณ์ดังกล่าวซึ่งเผยแพร่เมื่อวันอังคารตามเวลาท้องถิ่นระบุ

 

สำนักข่าว CNN ระบุว่า ถ้อยแถลงส่วนหนึ่งที่เตือนบรรดากำลังพลเกี่ยวกับภาระหน้าที่ในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญนั้นแสดงถึงความกังวลของบรรดาผู้นำเหล่าทัพ ที่โดยปกติจะหลีกเลี่ยงการแสดงท่าทีทางการเมืองที่หวือหวา แต่สำหรับครั้งนี้บรรดาผู้นำเหล่าทัพรู้สึกว่าจำเป็นที่จะต้องออกแถลงการณ์ ทั้งนี้เพื่อแสดงถึงความสำคัญอย่างยิ่งของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของ โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 20 มกราคมนี้

 

“ในฐานะกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ พวกเราจะต้องแสดงให้เห็นถึงคุณค่าและอุดมการณ์ของประเทศนี้ พวกเราสนับสนุนและปกป้องรัฐธรรมนูญ การกระทำใดๆ ที่รบกวนกระบวนการทางรัฐธรรมนูญนั้นไม่เพียงแค่ขัดแย้งกับประเพณี ค่านิยม และคำปฏิญาณของพวกเราเท่านั้น แต่ยังผิดกฎหมายอีกด้วย” แถลงการณ์ดังกล่าวระบุ

 

แถลงการณ์นี้ยังกล่าวต่อไปถึงการรับรองผลการเลือกตั้งของสภาคองเกรส และระบุว่า “ว่าที่ประธานาธิบดีไบเดนที่จะเข้ารับตำแหน่ง และจะกลายเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนที่ 46 ของเรา”

 

CNN ระบุว่า คำแถลงนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความพยายามของกองทัพในการตรวจสอบว่ามีกำลังพลบางตำแหน่งที่อาจเห็นพ้องกับเป้าหมายและความเชื่อของกลุ่มหัวรุนแรงที่ถูกเผยแพร่โดยผู้สนับสนุนทรัมป์บางราย โดยมีข้อมูลว่ากองทัพบกสหรัฐฯ ทำงานร่วมกับหน่วยสืบราชการลับเพื่อตรวจสอบว่ามีทหารรายใดที่จะทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยในพิธีสาบานตนที่ต้องผ่านกระบวนการคัดกรองประวัติด้านความเห็นพ้องกับกลุ่มหัวรุนแรงบ้าง ส่วนกองกำลัง National Guard ของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ก็เพิ่มการอบรมให้กับกำลังพลว่า หากพบเห็นหรือได้ยินสิ่งที่ไม่เหมาะสมก็ควรรายงานตามลำดับการบังคับบัญชา เช่นเดียวกับนโยบายของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่ให้กำลังพลทุกคนได้รับการอบรมเป็นประจำทุกปี ภายใต้โครงการที่ต้องการให้กำลังพลของกระทรวงรายงานข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมหัวรุนแรงที่ทราบหรือต้องสงสัย ซึ่งอาจเป็นภัยคุกคาม นอกจากนี้กองทัพบกสหรัฐฯ ยังร่วมมือกับสำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐฯ (FBI) ในการสืบสวนหาผู้ที่มีส่วนร่วมกับเหตุจลาจลและอาจเชื่อมโยงกับกองทัพบกด้วย

 

แถลงการณ์พิเศษฉบับนี้เน้นย้ำถึงระดับของความท้าทาย ความไม่แน่นอนและความกังวลในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งเจ้าหน้าที่จากหน่วยความมั่นคงของสหรัฐฯ ต่างรีบเร่งที่จะจัดการผลพวงกับความโกลาหลที่เกิดที่อาคารรัฐสภาและทั่วสหรัฐฯ โดยเฉพาะเมื่อทั้ง 50 รัฐต่างเฝ้าระวังความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้น ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่รัฐในส่วนกลางก็กำลังตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีที่ดีที่สุดในการคุ้มกันบรรดาสมาชิกในฝ่ายนิติบัญญัติ เมื่อมีข้อมูลปรากฏเพิ่มขึ้นว่าผู้สนับสนุนทรัมป์วางแผนที่จะโจมตีและสร้างความปั่นป่วนในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของโจ ไบเดน การเฝ้าระวังเหล่านี้ของหน่วยงานความมั่นคงเกิดขึ้นท่ามกลางฉากดราม่าทางการเมืองสหรัฐฯ เมื่อสภาผู้แทนราษฎรคาดว่าจะลงมติในญัตติถอนถอนทรัมป์ครั้งที่สองในวันพุธนี้ และเริ่มเกิดความเห็นต่างที่สำคัญ เมื่อ ส.ส. จากพรรครีพับลิกันบางคนตัดสินใจโหวตเห็นชอบในญัตติถอดถอนทรัมป์ด้วย

 

ขณะเดียวกันทรัมป์ยืนยันว่าเขาเชื่อว่าเขาไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อการจลาจลที่เกิดขึ้นโดยผู้สนับสนุนของเขา แต่ก็ยังไม่ได้เรียกร้องอย่างชัดเจนให้บรรดาผู้สนับสนุนไม่ก่อเหตุโจมตีอาคารรัฐสภาซ้ำอีกครั้ง

 

สถานการณ์ในกรุงวอชิงตันขณะนี้กำลังมีการเตรียมความพร้อมสำหรับทุกเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ มีความพยายามในการรักษาความปลอดภัยตั้งแต่การรับมืออย่างทันท่วงทีไปจนถึงขั้นตอนต่อเนื่องโดยตำรวจรัฐสภา มีการประกาศปิดถนนรอบอาคารรัฐสภาอย่างไม่มีกำหนด นอกจากนี้ยังมีความพยายามครั้งใหญ่โดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ที่จะจำลองเหตุการณ์วันที่ 6 มกราคมขึ้นมาใหม่ รวมถึงตามหาตัวผู้กระทำความผิดในวันนั้นด้วย โดยเจ้าหน้าที่สืบสวนของรัฐบาลกลางระบุว่า ขอบข่ายของการสอบสวนที่เกิดขึ้นนั้นกว้างขวางอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ของ FBI และกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ และกำลังปะติดปะต่อภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นที่อาจจะช็อกความรู้สึกของผู้คน การสืบสวนนี้ยังมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต

 

ขณะที่บรรดาสมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติกำลังหารือกันเกี่ยวกับการป้องกันตัวเองหลังเกิดเหตุการณ์จลาจลดังกล่าว โดยอ้างว่ามีสมาชิกสภาคองเกรสจากพรรครีพับลิกันบางคนที่อาจติดต่อสื่อสารหรือร่วมมือกับผู้ก่อจลาจล หรือพกปืนเข้ามาในอาคารรัฐสภาซึ่งขัดต่อกฎระเบียบ ขณะที่สำนักข่าว CNN อ้างแหล่งข่าวซึ่งเป็นผู้ช่วยของสมาชิกสภาคองเกรสรายหนึ่งและตำรวจรัฐสภาอีกรายหนึ่งว่า ตำรวจรัฐสภาได้ติดตั้งเครื่องตรวจจับโลหะ ซึ่งบรรดาทีมงานของสภา สมาชิกสภา ตลอดจนผู้ช่วยสมาชิกสภาจะต้องเดินผ่านเครื่องตรวจนี้

 

ด้าน คริส แวน ฮอลเลน วุฒิสมาชิกจากรัฐแมรีแลนด์ก็ระบุกับ CNN หลังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัยในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของโจ ไบเดน ว่า จำนวนผู้ที่คาดว่าจะเดินทางมาที่วอชิงตัน รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกลุ่มหัวรุนแรงที่ติดอาวุธนั้น ‘น่ากลัว’ อย่างไรก็ตาม เขามั่นใจว่าทุกคนจะเตรียมตัวเป็นอย่างดี และการเตรียมการด้านความปลอดภัยทั้งหมดสำหรับพิธีนี้ถือเป็นแนวทางที่ดำเนินการโดยประสานทุกภาคส่วนของรัฐบาล เขายืนยันว่ามีความพยายามในการทำให้พิธีสาบานตนนี้ประสบความสำเร็จให้ได้ ซึ่งตามรายงานพบว่ามีการนัดประชุมเจ้าหน้าที่รัฐเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เพื่อหารือข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของพิธีสาบานตนในเชิงลึก และหารือเกี่ยวกับความกังวลที่ว่าบางกิจกรรมในกรุงวอชิงตันอาจกลายเป็นความรุนแรง

 

ภาพ: Andrew Caballero-Reynolds / AFP

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง:

The post ผู้นำเหล่าทัพของสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ประณามเหตุม็อบบุกอาคารรัฐสภา พร้อมย้ำเตือนกำลังพลถึงหน้าที่ในการปกป้องรัฐธรรมนูญ appeared first on THE STANDARD.

]]>