Made in China – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 08 Jun 2025 03:30:25 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 China Shock 2.0? สินค้าจีนราคาถูกทะลักตลาด Nomura ชี้ ไทยเสี่ยงสุด อาจเจอภาวะเงินฝืด https://thestandard.co/china-shock-deflation-thailand/ Sun, 08 Jun 2025 03:30:25 +0000 https://thestandard.co/?p=1082907 china-shock-deflation-thailand

โลกกำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ที่ถูกขนานนามว่า ‘China Shock […]

The post China Shock 2.0? สินค้าจีนราคาถูกทะลักตลาด Nomura ชี้ ไทยเสี่ยงสุด อาจเจอภาวะเงินฝืด appeared first on THE STANDARD.

]]>
china-shock-deflation-thailand

โลกกำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ที่ถูกขนานนามว่า ‘China Shock 2.0’ เมื่อภาวะกำลังการผลิตล้นเกิน (Overcapacity) และอุปสงค์ภายในประเทศที่ซบเซาของจีน กำลังผลักดันให้สินค้า Made in China ราคาถูกทะลักเข้าสู่ตลาดโลก สร้างแรงสั่นสะเทือนทางเศรษฐกิจที่เป็นเหมือนดาบสองคม

 

ด้านหนึ่งคือ ‘แสงสว่างปลายอุโมงค์’ (Silver Lining) ที่ช่วยบรรเทาแรงกดดันเงินเฟ้อให้กับหลายประเทศ แต่ในอีกด้านหนึ่งคือภัยคุกคามร้ายแรงต่ออุตสาหกรรมท้องถิ่นที่อาจถูกสินค้าราคาถูกกว่าตีตลาดจนพังทลาย โดยนักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันการเงินชั้นนำอย่าง Nomura ชี้ว่า ประเทศไทย คือประเทศที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดและมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด (Deflation) ในปีนี้

 

ซัพพลายเออร์จีนแห่ลดราคาสู้พิษเศรษฐกิจ

 

สัญญาณของปรากฏการณ์นี้ปรากฏชัดเจนจากเรื่องราวของ วินเซนต์ ซู ผู้ประกอบการร้านค้าของชำออนไลน์ Webuy Global ในสิงคโปร์ เผยว่า นับตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ซัพพลายเออร์ในจีนกว่า 1 ใน 3 ซึ่งเผชิญกับปัญหาสินค้าคงคลังล้นสต็อก ได้เสนอส่วนลดให้เขาสูงถึง 70%

 

“ตลาดในประเทศจีนแข่งขันกันสูงเกินไป ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่บางรายกำลังดิ้นรนเพื่อระบายสต็อกสินค้า เนื่องจากอุปสงค์ผู้บริโภคที่อ่อนแอ” ซูกล่าว

 

สถานการณ์นี้มีต้นตอจากภาวะที่ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของจีนอยู่ในภาวะเงินฝืด ติดลบมานานกว่า 2 ปี ขณะที่เงินเฟ้อผู้บริโภค (CPI) อยู่ใกล้ศูนย์ แต่รัฐบาลจีนกลับเลือกที่จะเดินหน้าเต็มกำลังกับภาคการผลิตและมุ่งเน้นการส่งออกเพื่อชดเชยการบริโภคในประเทศที่ซบเซา

 

ข้อมูลศุลกากรจีนสะท้อนภาพนี้ชัดเจน โดย 4 เดือนแรกของปีนี้ การส่งออกของจีนไปยังกลุ่มอาเซียนเพิ่มขึ้น 11.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่การส่งออกไปยังสหรัฐฯ หดตัว 2.5% โดยเฉพาะในเดือนเมษายนเพียงเดือนเดียว การส่งออกไปอาเซียนพุ่งขึ้นถึง 20.8% สวนทางกับการส่งออกไปสหรัฐฯ ที่ดิ่งลงกว่า 21%

 

Nomura ชี้ ‘ไทย’ เสี่ยงสูงสุด อาจเจอภาวะเงินฝืด

 

นักเศรษฐศาสตร์จาก Nomura คาดการณ์ว่า “แรงกดดันด้านการลดลงของเงินเฟ้อ (Disinflationary Forces) มีแนวโน้มที่จะแผ่ขยายไปทั่วเอเชีย” และประเทศในเอเชียจะรู้สึกถึงผลกระทบจาก China Shock ที่เร่งตัวขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

 

ที่น่ากังวลที่สุด Nomura คาดการณ์ว่า “ประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจาก ‘China Shock’ ครั้งนี้ ถึงขั้นอาจเข้าสู่ภาวะเงินฝืดในปีนี้” ขณะที่อินเดีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ก็จะเห็นอัตราเงินเฟ้อลดลงต่ำกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางเช่นกัน

 

ปรากฏการณ์ China Shock นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ถึงต้น 2000 โลกเคยเผชิญกับสถานการณ์คล้ายกันที่สินค้าราคาถูกจากจีนช่วยกดเงินเฟ้อทั่วโลกให้ต่ำ แต่ก็ต้องแลกมากับการสูญเสียตำแหน่งงานในภาคการผลิตของหลายประเทศ และดูเหมือนว่าประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยอีกครั้ง

 

แรงกดดันเงินเฟ้อที่ลดลงจากปรากฏการณ์นี้ อาจปูทางให้ธนาคารกลางในเอเชียสามารถ ‘ปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้มากขึ้น’ และดำเนินนโยบายการเงินที่แตกต่างไปจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Decouple from the Fed) ได้มากขึ้น Nomura คาดการณ์ว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้:

 

  • ธนาคารกลางอินเดียอาจลดดอกเบี้ยได้อีก 1%
  • ไทยและฟิลิปปินส์อาจลดได้ 0.75%
  • ออสเตรเลียและอินโดนีเซียอาจลดได้ 0.50%
  • เกาหลีใต้อาจลดได้ 0.25%
  •  

‘ดาบสองคม’ ช่วยลดเงินเฟ้อ แต่บั่นทอนผู้ผลิตในประเทศ

 

เอสวาร์ ปราสาด ศาสตราจารย์อาวุโสด้านนโยบายการค้าและเศรษฐศาสตร์จาก Cornell University กล่าวว่า “ทุกประเทศทั่วโลกกำลังกังวลว่าจะถูกถล่มด้วยสินค้าส่งออกจากจีน หลายประเทศเริ่มตั้งกำแพงเพื่อกีดกันสินค้านำเข้าจากจีนแล้ว”

 

ซึ่งในความเป็นจริง หลายประเทศในเอเชีย เช่น อินเดีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ได้เริ่มใช้มาตรการปกป้องทางการค้า เช่น ภาษีต่อต้านการทุ่มตลาด (Anti-dumping Duties) มาก่อนหน้ามาตรการภาษีของทรัมป์เสียอีก

 

แต่อีกด้านหนึ่ง นักเศรษฐศาสตร์มองว่านี่คือ ‘แสงสว่างปลายอุโมงค์’ สำหรับประเทศที่เหนื่อยล้าจากภาวะเงินเฟ้อสูง นิค มาร์โร นักเศรษฐศาสตร์หลักของ Economist Intelligence Unit ชี้ว่า สำหรับตลาดที่มีฐานการผลิตจำกัด สินค้านำเข้าราคาถูกจากจีนอาจช่วยบรรเทาวิกฤตค่าครองชีพและลดแรงกดดันเงินเฟ้อได้ ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารกลางมีช่องว่างในการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อประคองการเติบโตของเศรษฐกิจได้มากขึ้น ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น

 

อ้างอิง:

The post China Shock 2.0? สินค้าจีนราคาถูกทะลักตลาด Nomura ชี้ ไทยเสี่ยงสุด อาจเจอภาวะเงินฝืด appeared first on THE STANDARD.

]]>
Xi Jinping พิจารณาแผน ‘Made-in-China’ ฉบับใหม่ แม้สหรัฐฯ เรียกร้องปรับสมดุลเศรษฐกิจ https://thestandard.co/xi-jinping-new-made-in-china-plan/ Tue, 27 May 2025 01:33:25 +0000 https://thestandard.co/?p=1078879 Xi Jinping

รัฐบาลของประธานาธิบดี Xi Jinping กำลังพิจารณาแผนแม่บทฉบ […]

The post Xi Jinping พิจารณาแผน ‘Made-in-China’ ฉบับใหม่ แม้สหรัฐฯ เรียกร้องปรับสมดุลเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Xi Jinping

รัฐบาลของประธานาธิบดี Xi Jinping กำลังพิจารณาแผนแม่บทฉบับใหม่เพื่อส่งเสริมการผลิตสินค้าทางเทคโนโลยีชั้นสูง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของจีนในการควบคุมภาคการผลิตอย่างเหนียวแน่น ในขณะที่ประธานาธิบดี Donald Trump ของสหรัฐฯ พยายามผลักดันให้โรงงานต่างๆ กลับไปตั้งในสหรัฐฯ มากขึ้น

 

เจ้าหน้าที่จีนกำลังร่างแผนใหม่ต่อยอดจากโครงการ “Made in China 2025” ของประธานาธิบดี Xi แผนในช่วง 10 ปีข้างหน้าจะให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี เช่น อุปกรณ์การผลิตชิป และอาจใช้ชื่อเรียกที่แตกต่างออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงเสียงวิจารณ์จากประเทศตะวันตก

 

นอกจากนี้ ผู้วางแผนนโยบายของจีนยังเตรียมแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับใหม่ที่จะเริ่มในปี 2026 โดยตั้งเป้ารักษาสัดส่วนภาคการผลิตในระบบเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับที่มั่นคงในระยะยาว ซึ่งสะท้อนว่าความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะผลักดันให้จีนลดการพึ่งพาภาคการผลิต อาจไม่ง่ายอย่างที่คิด

 

แหล่งข่าวระบุว่า ในระหว่างการหารือ เจ้าหน้าที่ได้พูดคุยกันว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับ 5 ปีฉบับถัดไปควรกำหนดเป้าหมายเชิงตัวเลขเกี่ยวกับสัดส่วนของการบริโภคต่อ GDP ของจีนหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ดูเหมือนว่าทางการจะยังไม่สนับสนุนแนวคิดนี้ เนื่องจากกังวลว่าไม่มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการกระตุ้นการใช้จ่ายของครัวเรือน และไม่ต้องการผูกมัดตัวเองกับตัวเลขเป้าหมายที่ชัดเจน

 

การหารือล่าสุดในกรุงปักกิ่งบ่งชี้ว่าจีนมีแนวโน้มจะยึดกลยุทธ์โดยรวมแบบเดิมเป็นส่วนใหญ่ แม้จะถูกสหรัฐฯ และยุโรปวิพากษ์วิจารณ์ว่าก่อให้เกิดความไม่สมดุลทางการค้าก็ตาม รัฐบาลของประธานาธิบดี Trump ผลักดันให้จีนหันมาเน้นการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น พร้อมทั้งใช้นโยบายควบคุมการส่งออกและการขึ้นภาษีเพื่อดำเนินยุทธศาสตร์ “แยกตัวเชิงยุทธศาสตร์” (Strategic Decoupling) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามทำให้สหรัฐฯ พึ่งพาตนเองในสาขาสำคัญ เช่น เหล็ก ยา และเซมิคอนดักเตอร์

 

การที่จีนปฏิเสธข้อเรียกร้องเหล่านี้ รวมถึงการคงมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก แสดงให้เห็นถึงความกังวลของจีนเองในด้านความมั่นคง และการที่สหรัฐฯ พยายามสกัดกั้นไม่ให้จีนเข้าถึงชิปขั้นสูงและเทคโนโลยีอื่นๆ ผู้นำจีนยังได้กล่าวถึงความจำเป็นในการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะเงินฝืดและชดเชยการส่งออกที่คาดว่าจะลดลงจากผลกระทบของภาษีศุลกากรที่รัฐบาล Trump กำหนด

 

ในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติประจำปี เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี Li Qiang ระบุว่า “การส่งเสริมการบริโภคอย่างจริงจัง” เป็นภารกิจสำคัญอันดับแรกของรัฐบาลในปีนี้ พร้อมเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่เร่งดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อ “ทำให้การบริโภคภายในประเทศเป็นเครื่องยนต์หลักและจุดยึดของการเติบโตทางเศรษฐกิจ”

 

ทางด้านสหภาพยุโรป (EU) ประกาศว่าได้ตกลงที่จะเร่งการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามการค้า ซึ่งสะท้อนถึงท่าทีที่เป็นมิตรยิ่งขึ้น เพียงไม่กี่วันหลังจากประธานาธิบดี Donald Trump ออกมาวิจารณ์ว่าทาง EU ใช้ประโยชน์จากสหรัฐฯ และถ่วงเวลาในการเจรจา

 

หลังการพูดคุยดังกล่าว Trump ได้ขยายเส้นตายการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรปในอัตรา 50% ออกไปอีกกว่าหนึ่งเดือนจนถึงวันที่ 9 กรกฎาคม เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเจรจาเพิ่มเติม

 

การเจรจาที่ผ่านมาเต็มไปด้วยปัญหาหลากหลาย และยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในการหาจุดกึ่งกลางที่จะทำให้ทั้งสองฝ่ายพอใจได้

 

ฝ่ายยุโรปแสดงความไม่พอใจว่าพวกเขาไม่รู้แน่ชัดว่าสหรัฐฯ ต้องการอะไร หรือแม้แต่ใครเป็นผู้แทนที่พูดในนามของประธานาธิบดีอเมริกัน ขณะที่ฝั่งสหรัฐฯ ก็กล่าวหาว่าสหภาพยุโรปเลือกปฏิบัติต่อบริษัทอเมริกัน โดยใช้คดีความและกฎระเบียบในการกดดันอย่างไม่เป็นธรรม

 

ภาพ: Sun Meng / VCG via Getty Images, Costfoto / NurPhoto via Getty Images

อ้างอิง:

The post Xi Jinping พิจารณาแผน ‘Made-in-China’ ฉบับใหม่ แม้สหรัฐฯ เรียกร้องปรับสมดุลเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีนตั้งกองทุนมูลค่า 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์ หนุนบริษัทในประเทศผลิตชิป Made in China https://thestandard.co/china-chip-made-in-china-funds/ Tue, 28 May 2024 04:22:47 +0000 https://thestandard.co/?p=938265 จีน กองทุน ชิป Made in China

Bloomberg รายงานว่า จีนได้จัดตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนเซม […]

The post จีนตั้งกองทุนมูลค่า 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์ หนุนบริษัทในประเทศผลิตชิป Made in China appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีน กองทุน ชิป Made in China

Bloomberg รายงานว่า จีนได้จัดตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาของประเทศจีน โดยมีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมชิปจีน โดยถือเป็นความพยายามล่าสุดของรัฐบาลจีนในการบรรลุความสามารถในการพึ่งพาตนเอง ในขณะที่เผชิญการกีดขวางจากชาติตะวันตกนำโดยสหรัฐอเมริกา 

 

รายงานอ้างอิงจาก Tianyancha ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่รวบรวมข้อมูลการจดทะเบียนบริษัทอย่างเป็นทางการ ระบุว่า กองทุนดังกล่าวคือกองทุนเพื่อการลงทุนอุตสาหกรรมวงจรรวมแห่งชาติระยะที่ 3 หรือที่รู้จักกันในชื่อ Big Fund III ก่อตั้งเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม มีมูลค่ารวม 3.44 แสนล้านหยวน (ราว 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยเป็นทุนจัดสรรจากรัฐบาลกลาง บรรดาธนาคาร และองค์กรของรัฐหลายแห่ง รวมถึง Industrial and Commercial Bank of China Limited

 

หลายฝ่ายมองว่า เครื่องมือการลงทุนล่าสุดนี้ เน้นย้ำถึงการผลักดันครั้งใหม่จากรัฐบาลประธานาธิบดีสีจิ้นผิงในการสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีนให้แข็งแกร่งและอยู่ในระดับแนวหน้าของโลก หลังเผชิญกับกระแสกดดันและกีดกันอย่างหนักหน่วงจากสหรัฐฯ นำโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในการซื้อชิปขั้นสูงและอุปกรณ์การผลิตชิป โดยอ้างเหตุผลด้านความปลอดภัย ซึ่งล่าสุดสหรัฐฯ กำลังเรียกร้องให้บรรดาชาติพันธมิตร เช่น เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น เพิ่มมาตรการควบคุมให้เข้มงวดยิ่งขึ้น และอุดช่องโหว่ในการควบการส่งออกที่มีอยู่

 

ทั้งนี้ ภายหลังการประกาศจัดตั้งกองทุนไม่นาน หุ้นของบริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของจีนในตลาดฮ่องกงปรับตัวพุ่งขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (27 พฤษภาคม) โดยมีหุ้นของบริษัท Semiconductor Manufacturing International Corp. ผู้ผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในจีน เพิ่มขึ้นมากถึง 8.1% ในขณะที่หุ้นของ Hua Hong Semiconductor Ltd. ซึ่งเป็นคู่แข่งรายเล็ก เพิ่มขึ้นมากกว่า 10%

 

ในส่วนของกองทุน Big Fund III ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดคือกระทรวงการคลังจีน ขณะเดียวกันก็มีบริษัทการลงทุนของรัฐบาลท้องถิ่นในเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้ง และกรุงปักกิ่ง เข้ามาให้การสนับสนุนด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในเซินเจิ้นที่รัฐบาลท้องถิ่นได้สนับสนุนโรงงานผลิตชิปหลายแห่งในมณฑลกวางตุ้งทางตอนใต้ของจีน

 

ด้านชาติมหาอำนาจฝั่งตะวันตก นำโดยสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ระดมทุนได้เกือบ 8.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการผลักดันการผลิตเซมิคอนดักเตอร์รุ่นต่อไป โดย CHIPS and Science Act ของสหรัฐฯ ที่ได้รับการอนุมัติในปี 2022 ประกอบด้วยเงินช่วยเหลือ 3.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับผู้ผลิตชิป ตลอดจนสินเชื่อและการค้ำประกัน 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ 

 

ความเคลื่อนไหวล่าสุดของจีนสอดคล้องกับนโยบายอุตสาหกรรมเชิงรุกของประเทศที่มีมาอย่างยาวนาน โดยนอกจากกองทุน Big Fund III แล้ว จีนกำลังเดินหน้าพัฒนาความพร้อมของประเทศในหลายๆ ด้าน หนึ่งในนั้นคือโครงการ Made in China 2025 ซึ่งเป็นร่างเป้าหมายการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ ยานพาหนะไฟฟ้า และเซมิคอนดักเตอร์ โดยได้รับเงินทุนสนับสนุนหลักจากรัฐบาลจีน 

 

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า กองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนชิปแห่งชาติ เปิดตัวเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว โดยมีเงินลงทุนประมาณ 1 แสนล้านหยวน 

 

อ้างอิง: 

The post จีนตั้งกองทุนมูลค่า 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์ หนุนบริษัทในประเทศผลิตชิป Made in China appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไม่เอาแล้ว Made in China! บริษัท Dell วางแผนที่จะเลิกใช้ชิปและส่วนประกอบอื่นๆ ที่ผลิตในจีนภายในปี 2024 คาดจะถูกย้ายไปปักหลักที่ ‘เวียดนาม’ แทน https://thestandard.co/dell-no-made-in-china-2024/ Thu, 05 Jan 2023 09:35:22 +0000 https://thestandard.co/?p=733181

Nikkei Asia รายงานว่า Dell ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ของสหรัฐอเ […]

The post ไม่เอาแล้ว Made in China! บริษัท Dell วางแผนที่จะเลิกใช้ชิปและส่วนประกอบอื่นๆ ที่ผลิตในจีนภายในปี 2024 คาดจะถูกย้ายไปปักหลักที่ ‘เวียดนาม’ แทน appeared first on THE STANDARD.

]]>

Nikkei Asia รายงานว่า Dell ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ของสหรัฐอเมริกา ตั้งเป้าที่จะหยุดใช้ชิปและส่วนประกอบอื่นๆ ที่ผลิตในจีนภายในปี 2024 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการกระจายห่วงโซ่อุปทาน ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับวอชิงตัน-ปักกิ่งที่ตึงเครียด

 

ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่อันดับสามของโลกบอกกับซัพพลายเออร์เมื่อปลายปีที่แล้วว่า มีเป้าหมายที่จะลดการใช้ชิปที่ผลิตในจีนลงอย่างมาก รวมถึงชิปที่ผลิตในโรงงานของผู้ผลิตชิปที่ไม่ใช่ชาวจีน โดยเป้าหมายของ Dell คือการใช้ชิปที่ผลิตนอกแดนมังกรทั้งหมด

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นตัวอย่างล่าสุดที่แสดงให้เห็นว่าสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน กำลังเร่งความพยายามของผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการกระจายการผลิตออกจากประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย

 

“การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องเฉพาะชิปที่ผลิตโดยผู้ผลิตชิปในจีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโรงงานในจีนของซัพพลายเออร์ที่ไม่ใช่คนจีนด้วย” แหล่งข่าวกล่าว “หากซัพพลายเออร์ไม่มีมาตรการตอบสนอง พวกเขาอาจสูญเสียคำสั่งซื้อจาก Dell ได้ในที่สุด”

 

ไม่ใช่แค่ Dell แต่คู่แข่งอย่าง HP ได้เริ่มสำรวจซัพพลายเออร์เพื่อประเมินความเป็นไปได้ในการย้ายการผลิตและการประกอบออกจากประเทศจีนเช่นกัน 

 

“มีส่วนประกอบนับพันสำหรับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก และระบบนิเวศก็เติบโตและสมบูรณ์มากในจีนมาหลายปีแล้ว” ผู้บริหารของซัพพลายเออร์ชิปของทั้ง Dell และ HP กล่าวกับ Nikkei Asia “ก่อนหน้านี้เราทราบดีว่า Dell มีแผนที่จะกระจายการลงทุนจากจีน แต่ครั้งนี้พวกเขาไม่ต้องการให้ชิปผลิตในจีนด้วยซ้ำ โดยอ้างถึงความกังวลเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ”

 

Dell ไม่ได้ให้ความเห็นในรายละเอียดเกี่ยวกับแผนกระจายความเสี่ยง แต่กล่าวกับ Nikkei Asia ว่า “เพื่อตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของลูกค้าและคู่ค้าของเราอย่างดีที่สุด เราจึงมีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ ความยืดหยุ่น และความเสถียรที่สร้างขึ้นในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกของเรา”

 

วอชิงตันเพิ่มมาตรการปราบปรามอุตสาหกรรมชิปของจีนมากขึ้น โดยอ้างถึงความกังวลด้านความมั่นคงของชาติ ความตึงเครียดเหล่านี้เป็นแรงผลักดันให้บริษัทต่างๆ ย้ายซัพพลายเชนของตัวเอง รวมถึงการประกอบชิ้นส่วนให้ห่างไกลจากประเทศจีน แม้จะใช้มานานหลายสิบปีก็ตาม

 

Dell และ HP ซึ่งร่วมกันจัดส่งคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะมากกว่า 133 ล้านเครื่องในปี 2021 ตามข้อมูลของผู้ให้บริการข้อมูล Canalys มีการประกอบส่วนใหญ่ในเมืองคุนชาน มณฑลเจียงซู ของจีน และเมืองฉงชิ่ง มณฑลเสฉวน

 

สิ่งที่น่าสนใจคือเวียดนามกำลังเป็นหมุดหมายที่ Dell อาจจะไปปักหมุด ซึ่งก่อนหน้านี้ Apple วางแผนที่จะเริ่มผลิตคอมพิวเตอร์ MacBook ในเวียดนามภายในกลางปีนี้

 

Ivan Lam นักวิเคราะห์เทคโนโลยีของ Counterpoint กล่าวกับ Nikkei Asia ว่า ฐานการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนภายใน 5-10 ปีข้างหน้า โดยศูนย์กลางการผลิตระดับภูมิภาคจะเกิดขึ้นในอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในลาตินอเมริกาด้วย

 

อ้างอิง:

The post ไม่เอาแล้ว Made in China! บริษัท Dell วางแผนที่จะเลิกใช้ชิปและส่วนประกอบอื่นๆ ที่ผลิตในจีนภายในปี 2024 คาดจะถูกย้ายไปปักหลักที่ ‘เวียดนาม’ แทน appeared first on THE STANDARD.

]]>
โลกกังขาความปลอดภัย ‘วัคซีนโควิด-19’ Made in China https://thestandard.co/made-in-china-coronavirus-vaccine/ Tue, 03 Nov 2020 05:58:51 +0000 https://thestandard.co/?p=416226 โลกกังขาความปลอดภัย ‘วัคซีนโควิด-19’ Made in China

ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายออกโรงแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับประ […]

The post โลกกังขาความปลอดภัย ‘วัคซีนโควิด-19’ Made in China appeared first on THE STANDARD.

]]>
โลกกังขาความปลอดภัย ‘วัคซีนโควิด-19’ Made in China

ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายออกโรงแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับประเด็นด้านความปลอดภัย และมาตรฐานของวัคซีนรักษาและป้องกันโควิด-19 ของบรรดาบริษัทผู้ผลิตในจีน หลังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดของการผลิตที่ชัดเจน

 

บลูมเบิร์กรายงานว่า แม้บริษัทผู้ผลิตสัญชาติจีนจะแสดงให้เห็นศักยภาพที่น่าทึ่งในการพัฒนาวัคซีนเพื่อจัดการกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ทว่า ความราบรื่นในการพัฒนาวัคซีน ซึ่งแตกต่างจากคู่แข่งในฝั่งตะวันตกที่มีรายงานการพบข้อผิดพลาดหรือผลข้างเคียงต่างๆ ได้จุดชนวนให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญเริ่มตั้งคำถามถึงความเข้มงวดในการตรวจสอบ และประเด็นด้านความปลอดภัยของการผลิตวัคซีนของบริษัทสัญชาติจีน

 

ความไม่ชัดเจนในด้านกรรมวิธีการทดสอบและมาตรฐานด้านความปลอดภัยดังกล่าว ยิ่งทำให้ผู้เชี่ยวชาญวิตกกังวลมากยิ่งขึ้น เมื่อทางการจีนได้จัดการแจกจ่ายวัคซีนบางส่วนไปใช้ในกลุ่มอาสาสมัครทดลองจำนวนมาก และเริ่มมีกระแสตอบรับที่จะเข้าร่วมใช้วัคซีนที่ผลิตในจีนจากบางประเทศบ้างแล้ว

 

ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการผลิตวัคซีนของจีนมีขึ้นหลังจากที่บริษัทผู้ผลิตยาชั้นนำในยุโรปและสหรัฐฯ อย่าง AstraZeneca ของอังกฤษ กับ Johnson & Johnson ของสหรัฐฯ ประกาศยุติการทดสอบวัคซีนชั่วคราว เมื่อผู้เข้าร่วมการทดสอบมีอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้วัคซีน สวนทางกับรายงานของกระทรวงวิทยาศาสตร์จีนที่ออกมาเปิดเผยว่า บรรดาบริษัทสัญชาติจีนได้ฉีดวัคซีนให้กับอาสาสมัครราว 60,000 คนในการทดสอบขั้นสุดท้าย และไม่รายงานผลข้างเคียงร้ายแรงใดๆ เลย

 

ทั้งนี้ การพัฒนาและผลิตวัคซีนเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ซับซ้อน และค่อนข้างละเอียดอ่อน เนื่องจากมีโอกาสที่การนำไปใช้ในคนหมู่มากจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อระบบประสาท หรือก่อให้เกิดพิษในบางรายได้ ดังนั้นการผลิตวัคซีนเพื่อประชากรส่วนใหญ่จึงต้องอาศัยระยะเวลา และการดำเนินการทดสอบหลายต่อหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่บริสุทธิ์ที่สุด และปลอดภัยที่สุด

 

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายเริ่มออกมาเรียกร้องให้เห็นความสำคัญของความปลอดภัยของวัคซีนโควิด-19 มากขึ้น ควบคู่ไปกับการแข่งขันกันผลิตวัคซีนออกมาให้ใช้ได้เร็วที่สุด โดยขณะนี้บรรดานักวิจัยทั่วโลกต่างเร่งทำงานแข่งกับเวลาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ภายใต้กระแสกดดันทางการเมือง และความเร่งด่วนที่ต้องสกัดกั้นการระบาด ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 1 ล้านคน

 

ด้านบริษัทผู้ผลิตและพัฒนาวัคซีนในจีนส่วนหนึ่ง รวมถึงทางการจีนเอง ต่างออกมายืนยันว่า วัคซีนที่จีนผลิตได้มีความปลอดภัย และมีผลข้างเคียงที่พบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยผู้ที่ได้รับวัคซีนมีไข้ต่ำ มีอาการปวดบริเวณที่ฉีด มีอาการเหนื่อยล้า คัน และวิงเวียน ซึ่งล้วนเป็นอาการทั่วไปที่พบได้ในผู้ที่รับการฉีดวัคซีนไข้หวัดทั่วไป

 

Sinovac Biotech Ltd. หนึ่งในผู้ผลิตวัคซีนโควิด-19 สัญชาติจีน กล่าวว่า การที่ไม่มีรายงานผลข้างเคียงรุนแรงไม่ได้หมายความว่าบริษัทไม่ได้ผลิตยาอย่างโปร่งใส และการใช้แนวทางการพัฒนาวัคซีนที่แตกต่างกันย่อมส่งผลต่อผลข้างเคียงจากวัคซีนที่แตกต่างกันด้วย

 

แม้จะมีความพยายามออกมายืนยัน พร้อมแสดงหลักฐานการผลิตทดสอบวัคซีนจากฝั่งจีน กระนั้น นักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะจากฝั่งตะวันตกก็ไม่อาจเชื่อมั่นในวัคซีนที่ผลิตจากจีนได้ เนื่องจากเห็นว่ามาตรฐานการทดสอบวัคซีนในจีนมีความเข้มงวดไม่เท่ากับระดับของฝั่งตะวันตก

 

โดย William Haseltine อดีตนักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พบผลข้างเคียงร้ายแรงในการทดสอบการฉีดวัคซีนให้แก่คนมากกว่า 100,000 คน และหากจีนต้องการที่จะได้รับความเชื่อถือจากนานาประเทศทั่วโลก จีนจะต้องเต็มใจที่จะเปิดเผยข้อมูลมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

The post โลกกังขาความปลอดภัย ‘วัคซีนโควิด-19’ Made in China appeared first on THE STANDARD.

]]>