Luiz Inacio Lula da Silva – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 10 Jul 2025 05:48:09 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ทรัมป์สั่งใช้ภาษี 50% กับบราซิลอ้างค้าขายไม่เป็นธรรม แต่ซ่อนนัย ปกป้องพวกพ้อง ด้านประธานาธิบดีลูลา สวนกลับ ‘จะไม่ยอมให้ใครมาสั่งสอน’ https://thestandard.co/trump-tariffs-brazil-lula-fires-back/ Thu, 10 Jul 2025 05:48:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1095102

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้หันหัวเรือสงคร […]

The post ทรัมป์สั่งใช้ภาษี 50% กับบราซิลอ้างค้าขายไม่เป็นธรรม แต่ซ่อนนัย ปกป้องพวกพ้อง ด้านประธานาธิบดีลูลา สวนกลับ ‘จะไม่ยอมให้ใครมาสั่งสอน’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้หันหัวเรือสงครามการค้าพุ่งเป้าไปที่บราซิล ชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในละตินอเมริกา ด้วยการขู่จะเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 50% กับสินค้าส่งออกของบราซิล และสั่งให้มีการสอบสวนการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งอาจนำไปสู่กำแพงภาษีที่สูงยิ่งขึ้นไปอีก

 

เมื่อวันพุธ (9 ก.ค.) ที่ผ่านมา ทรัมป์ประกาศว่าสหรัฐฯ จะบังคับใช้ภาษี 50% กับสินค้านำเข้าจากบราซิล โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม ซึ่งเป็นการกระโดดขึ้นจากอัตรา 10% ที่เคยบังคับใช้เมื่อต้นเดือนเมษายนอย่างมหาศาล ในจดหมายที่ส่งถึงประธานาธิบดีลูลา ทรัมป์อ้างว่าการขึ้นภาษีครั้งนี้เป็นการตอบโต้ ‘ความสัมพันธ์ทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม’ ระหว่างสองประเทศ

 

แต่ที่พิเศษกว่าจดหมายที่ส่งถึงผู้นำชาติอื่นกว่า 20 ฉบับ คือการระบุอย่างชัดเจนว่าเป็นการลงโทษบราซิลต่อการดำเนินคดีกับอดีตประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนารู ซึ่งเป็นพันธมิตรคนสำคัญของทรัมป์

 

ทรัมป์เรียกการดำเนินคดีกับโบลโซนารูในจดหมายว่าเป็น ‘ความอัปยศระดับนานาชาติ’ และเป็นการ ‘ล่าแม่มด’ ซึ่งเป็นวาทกรรมเดียวกับที่เขาเคยใช้บรรยายคดีความต่างๆ ที่เขาเผชิญก่อนชนะการเลือกตั้งในปี 2024

 

นอกจากนี้ เขายังกล่าวหาบราซิลว่า ‘โจมตีการเลือกตั้งเสรีและสิทธิในการพูดขั้นพื้นฐานของชาวอเมริกัน’ ซึ่งน่าจะหมายถึงคำตัดสินของศาลสูงบราซิลที่อาจทำให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาของผู้ใช้ พร้อมทั้งสั่งให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เปิดการสอบสวนบราซิลภายใต้มาตรา 301 ของกฎหมายการค้าปี 1974

 

ทางด้านประธานาธิบดีลูลา ดา ซิลวา ได้ออกมาตอบโต้จดหมายของทรัมป์อย่างดุเดือด โดยยืนยันว่าจะใช้มาตรการทางการค้าตอบโต้สหรัฐฯ ‘ในระดับที่สมน้ำสมเนื้อ’ กับอัตราภาษี 50% ที่ได้รับมา ภายใต้กฎหมายเศรษฐกิจฉบับใหม่ของประเทศ “บราซิลเป็นประเทศที่มีอำนาจอธิปไตยและมีสถาบันที่เป็นอิสระ และจะไม่ยอมให้ใครมาสั่งสอน” ลูลาระบุในโพสต์บนโซเชียลมีเดีย

 

ขณะเดียวกันเขาชี้ให้เห็นว่าคำกล่าวอ้างของทรัมป์เรื่องการขาดดุลการค้านั้นไม่เป็นความจริง โดยอ้างอิงตัวเลขของรัฐบาลสหรัฐฯ เองที่ระบุว่า ในปี 2024 สหรัฐฯ กลับเป็นฝ่ายเกินดุลการค้ากับบราซิลถึง 7.4 พันล้านดอลลาร์ (ราว 2.42 แสนล้านบาท)

 

จดหมายที่ส่งถึงบราซิลครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ ‘จดหมายยื่นคำขาด’ ที่ทรัมป์ใช้กับหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งล้วนมีเนื้อหามาตรฐานที่ระบุว่าอัตราภาษีใหม่นี้แยกต่างหากจากภาษีเฉพาะภาคส่วน (เช่น เหล็ก อลูมิเนียม) และหากประเทศใดขึ้นภาษีตอบโต้ สหรัฐฯ ก็จะขึ้นภาษีในอัตราที่เท่ากัน

 

อย่างไรก็ตาม จดหมายก็ยังเปิดช่องไว้ว่า ‘อาจพิจารณาปรับแก้’ หากประเทศนั้นๆ ยกเลิกอุปสรรคทางการค้าทั้งในรูปแบบภาษีและที่ไม่ใช่ภาษี

 

น่าสนใจว่า ในขณะที่ทรัมป์กำลังเปิดศึกกับบราซิล รัฐบาลของเขากลับกำลังเข้าใกล้การบรรลุข้อตกลงกับสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งเป็นคู่ค้าทวิภาคีที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ทรัมป์กล่าวว่า EU ปฏิบัติต่อสหรัฐฯ “ดีมากในช่วงหลังนี้ ซึ่งแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง”

 

อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวทางการค้าที่รวดเร็วของทรัมป์ได้สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักภายในประเทศ

 

มอร่า ฮีลีย์ (Maura Healey) ผู้ว่าการรัฐแมสซาชูเซตส์จากพรรคเดโมแครต ตำหนิทรัมป์ถึง ‘สงครามการค้าที่ล้มเหลว’ ของเขา เธอกล่าวในแถลงการณ์ว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับเลือกมาเพื่อลดค่าครองชีพ แต่ทั้งหมดที่เขาทำคือการขึ้นราคาสินค้าและทำร้ายธุรกิจของเรา”

 

ภาพ: Wagner Meier/Getty Images

 

อ้างอิง:

The post ทรัมป์สั่งใช้ภาษี 50% กับบราซิลอ้างค้าขายไม่เป็นธรรม แต่ซ่อนนัย ปกป้องพวกพ้อง ด้านประธานาธิบดีลูลา สวนกลับ ‘จะไม่ยอมให้ใครมาสั่งสอน’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สินค้าจีนล้นจนเกิด ‘Overcapacity’ โจทย์ท้าทายผู้นำประเทศ? https://thestandard.co/chinese-products-overcapacity/ Tue, 09 Jul 2024 05:58:41 +0000 https://thestandard.co/?p=955333 สินค้าจีน Overcapacity

กำลังการผลิตที่ล้นเกิน (Overcapacity) ของจีน กำลังเป็นป […]

The post สินค้าจีนล้นจนเกิด ‘Overcapacity’ โจทย์ท้าทายผู้นำประเทศ? appeared first on THE STANDARD.

]]>
สินค้าจีน Overcapacity

กำลังการผลิตที่ล้นเกิน (Overcapacity) ของจีน กำลังเป็นประเด็นร้อนที่ทั่วโลกจับตา  ซึ่งอาจส่งผลกระทบทั้งเชิงลบและเชิงบวกต่อภาคการผลิตท้องถิ่นของแต่ละประเทศ โดยอาจทำให้แข่งขันลำบากขึ้น แต่ในอีกมุมหนึ่งก็เป็นโอกาสสำหรับผู้บริโภคที่จะได้ซื้อสินค้าราคาถูกลง 

 

โดยในบางสินค้า อย่างไทยเองก็ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทว่าความท้าทายในเรื่องกำลังการผลิตล้นของจีนกำลังสร้างความท้าทายทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ให้กับ ‘ภูมิภาคเอเชีย’ ซึ่งเป็นซัพพลายเชนสำคัญของโลก และคาดการณ์กันว่า อนาคตอันใกล้อาจมีแนวโน้มที่จะกระตุ้นให้เกิดผลกระทบแบบโดมิโนในแง่การกีดกันทางการค้าในหลายๆ ประเทศมากขึ้นตามมา เมื่อภูมิรัฐศาสตร์ การค้า ความสัมพันธ์ทางการเมืองอันแน่นแฟ้นกับจีน อาจเป็นโจทย์ท้าทายผู้กำหนดนโยบายของแต่ละประเทศ 

 

สำนักข่าว Nikkei รายงานบทวิเคราะห์ ‘Asia is set to embrace protectionism in face of China’s overcapacity’ ว่า ปีนี้เป็น ‘ปีแห่งความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและตะวันตก’ ที่กำลังจะทวีความรุนแรงขึ้นอีก หลังจากที่ โจ ไบเดน  ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการกำแพงภาษีภายใต้มาตรา 301 ของกฎหมายการค้าสหรัฐฯ สำหรับการนำเข้าจากจีนที่ครอบคลุมสินค้า เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และแบตเตอรี่ ขณะเดียวกัน คณะกรรมาธิการยุโรปเองก็มีมติเบื้องต้นในการกำหนดภาษีชั่วคราวสำหรับการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ในอัตราภาษีเพิ่มเติมจะอยู่ที่ร้อยละ 17.4-38.1% เช่นกัน 

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

จะเห็นได้ว่าในบรรดาประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) เช่น ตุรกี ประกาศกำหนดอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์จากประเทศจีนเพิ่มขึ้น 40% ในขณะที่บราซิล ก่อนหน้านี้รถยนต์ไฟฟ้าเคยได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้ามาก่อน แต่ประธานาธิบดี ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ได้บังคับใช้ภาษี 10% กับรถยนต์ EV ตั้งแต่เดือนมกราคม และจะเพิ่มขึ้นเป็น 18% ในเดือนกรกฎาคม และจะเพิ่มสูงสุดที่ 35% ในเดือนกรกฎาคม 2026 

 

เรียกว่าจะค่อยๆ ขึ้น จนในขณะนี้ทำให้ผู้บริโภคต้องรีบซื้อก่อนที่จะขึ้นราคา ในทางตรงกันข้าม ตลาดเอเชียกลับยังไม่มีมาตรการกีดกันทางการค้ากับสินค้าจีนมากนัก รายงานข่าววิเคราะห์ว่า ไม่ควรนิ่งนอนใจและอาจไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืน เมื่อความท้าทายเศรษฐกิจของเอเชียที่ต้องเผชิญกับการรับมือกำลังการผลิตส่วนเกินจากอุตสาหกรรมของจีน 

 

โดยเริ่มเห็นสินค้าอุปโภคบริโภคของจีนที่ราคาถูกหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทย อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านทางแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ กำลังการผลิตส่วนเกินและการส่งออกของจีนเหล่านี้กำลังบีบผู้ผลิต ‘โลหะและเคมีภัณฑ์’ ในประเทศในอินเดีย เวียดนาม ไทย รวมถึงเกาหลีใต้

 

อีกด้านเอเชียรับความเสี่ยงจากผลกระทบการเก็บภาษีศุลกากร เนื่องจากสหรัฐอเมริกาและยุโรปเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของจีน และลาตินอเมริกาจัดเก็บภาษีสำหรับผลิตภัณฑ์เหล็กจากจีน ส่งผลให้อุปทานส่วนนี้จึงถูกกำหนดให้เปลี่ยนเส้นทางไปยังเอเชียในที่สุด

 

การเข้ามาของ EV จีนสะเทือนไปทั่วเอเชีย

 

เริ่มจากจีนสนใจและเริ่มเจาะตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในหลายประเทศในเอเชีย   ซึ่งจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มเกิดขึ้นแล้ว

 

ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทยในปี 2023 การนำเข้ารถยนต์ของไทยมากกว่า 30% มาจากประเทศจีน เพิ่มขึ้นจาก 10% จากปี 2023 ซึ่งตามข้อมูลจากสมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของจีน จีนได้ส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าไปยังเอเชียแล้ว 312,000 คัน เมื่อเดือนพฤษภาคม 2024 แซงหน้าการส่งออกไปยังยุโรปที่ 266,000 คัน  

 

อย่างไรก็ตาม การนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นความท้าทายของตลาดเอเชีย เพราะมีการนำเข้าทั้งสินค้าที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีต่ำและสินค้าที่มีเทคโนโลยีสูง ซึ่งล้วนมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมาก

 

โดยจะเห็นว่า การนำเข้าที่เพิ่มขึ้นจากจีนอาจทำให้การผลิตของผู้ประกอบการรายเล็กๆ อย่างวิสาหกิจขนาดย่อม ขนาดเล็ก และขนาดกลาง นั่นคือธุรกิจ SMEs ต่างได้รับผลกระทบอย่างหนัก รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ในเอเชียก็ได้รับผลกระทบจาก EV จีน เนื่องจากผู้ผลิต EV ของจีนสามารถลดและกำหนดราคาส่งออกเพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาดได้ ถือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เพิ่งเริ่มเติบโตทั่วทั้งเอเชีย


บริษัทที่กำลังแข็งแกร่งก็อาจประสบกับแรงกดดันด้านอัตรากำไร เนื่องจากจีนส่งออกภาวะเงินฝืดไปยังส่วนอื่นๆ ของเอเชีย แม้แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยก็มองว่าการแข่งขันจากสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้าจากจีนในราคาต่ำอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กระทบเชิงโครงสร้างที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ในระดับต่ำอีกด้วย

 

อินเดีย เวียดนาม และมาเลเซีย ก็ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ

 

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจเอเชียบางประเทศ เช่น อินเดีย เวียดนาม และมาเลเซีย แม้กำลังได้รับประโยชน์จากกลยุทธ์จีนบวกหนึ่ง (China Plus One) แต่การพึ่งพาผลิตภัณฑ์ขั้นกลางที่นำเข้าจากจีนอย่างต่อเนื่องก็มีผลต่อการจำกัดการเพิ่มมูลค่าในประเทศ การพัฒนาระบบนิเวศการผลิตในประเทศ และจำกัดการสร้างงานด้านการผลิตในท้องถิ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

เนื่องจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ และยุโรปส่งผลกระทบต่อจีน และจีนเปลี่ยนเส้นทางกำลังการผลิตส่วนเกินไปยังตลาดใหม่ๆ การแข่งขันด้านการส่งออกจึงมีความท้าทายมากขึ้น

 

เมื่อเผชิญกับความท้าทายในการปกป้องภาคการผลิตและการจ้างงานในประเทศ จึงเป็นโจทย์ที่ผู้กำหนดนโยบายในเอเชียไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ จึงจำเป็นต้องสร้างการแข่งขันในประเทศกับจีน

 

หลายสินค้าไม่อาจเลี่ยงการพึ่งพาจีน โจทย์จึงอยู่ที่ผู้กำหนดนโยบาย  

 

อย่างไรก็ตาม แม้มีการถกเถียงกันว่าการสร้างการกีดกันการนำเข้าของจีนไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากเอเชียมีอำนาจต่อรองกับจีนน้อยกว่าสหรัฐฯ ทั้งในด้านเศรษฐกิจและภูมิศาสตร์การเมือง ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาเซียนที่ได้พัฒนาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีนมากขึ้นทั้งการค้าและการลงทุน

 

ตัวอย่างเช่น จีนเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญสำหรับการส่งออกโลหะและเหมืองแร่ของอินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย และไทยพึ่งพาอุปทานสินค้าขั้นกลางของจีนเพื่อขยายการค้า การลงทุนของจีนในการตั้งโรงงาน ฐานผลิตแห่งใหม่ในอาเซียนช่วย ผลักดันห่วงโซ่อุปทานระดับโลกได้

 

ขณะที่เกาหลีใต้เองก็ยังต้องพึ่งพาจีน โดยพึ่งพาวัตถุดิบสำคัญอย่าง ‘เซมิคอนดักเตอร์และแบตเตอรี่’ และถึงแม้จะมีสัญญาณการแยกตัวเมื่อเร็วๆ นี้ จีนก็ยังคงเป็นตลาดที่สำคัญสำหรับบริษัทเกาหลีใต้ในภาคผู้บริโภคและเซมิคอนดักเตอร์อยู่ดี

 

ดังนั้น จากข้างต้น โจทย์จึงขึ้นอยู่กับผู้กำหนดนโยบายในเอเชียจะต้องจัดการนโยบายการค้าและอุตสาหกรรมให้เข้มข้นมากขึ้น เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างสมดุล จัดลำดับความสำคัญทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น 5 ข้อเสนอที่ควรต้องเร่งแก้

 

ประการแรก ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่มีประชากรวัยทำงานจำนวนมาก จำเป็นต้องสร้างงาน สร้างอำนาจการแข่งขันที่เท่าเทียมกันกับการนำเข้าของจีน โดยควรจัดเก็บภาษีหรือภาษีศุลกากร ตัวอย่างเช่น ประเทศไทยเพิ่งอนุมัติการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีนที่ขายในราคาต่ำกว่า 1,500 บาท 

 

ในทำนองเดียวกัน แม้ว่าลัทธิกีดกันทางการค้ามักสร้างแรงกดดันต่อนโยบายการค้าโลก แต่เอเชียก็ไม่ควรมองข้ามการเก็บภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นเพื่อวางมาตรการชั่วคราว และนโยบายของรัฐบาลควรมุ่งมั่นที่จะทำให้การผลิตในท้องถิ่นสามารถแข่งขันได้มากขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังอาจจัดเก็บอยู่ในรูปแบบของภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บเกินโควตาการนำเข้าที่กำหนดก็สามารถทำได้

 

ประการที่ 2 รัฐบาลควรกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยน จากการนำเข้าไปสู่การมองหาวัตถุดิบที่มีภายในประเทศ และสนับสนุนการเติบโตของโรงงานในประเทศ 

 

ประการที่ 3 ส่งเสริมการพัฒนาภาคส่วนที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ ผู้กำหนดนโยบายสามารถเสนอเงินอุดหนุนที่ขับเคลื่อนด้วยอุตสาหกรรม Local Content และใช้นโยบายการคลัง เช่น มาตรการจูงใจทางภาษี หรือการหักค่าใช้จ่ายสำหรับสินค้าที่ผลิตในประเทศมากกว่าสินค้านำเข้า ยกตัวอย่างเกาหลีใต้ ลดนำเข้า ทำสัญญาระยะยาว

 

ประการที่ 4 ตลาดเอเชียควรลดความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน โดยต้องจัดหาแหล่งสำรองของวัตถุดิบและแร่ธาตุที่สำคัญ โดยการทำสัญญาระยะยาว เช่น ในเดือนธันวาคม 2023 กระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงานของเกาหลีใต้ได้ประกาศยุทธศาสตร์ 3050 โดยได้ระบุว่า สินค้า 185 รายการ อย่าง เซมิคอนดักเตอร์ แบตเตอรี่สำรอง รถยนต์ และการต่อเรือ สินค้าเหล่านี้ต้องสามารถลดการพึ่งพาการนำเข้าลงเหลือ 50% ภายในปี 2030 ดังนั้น ประเทศในเอเชียอื่นๆ สามารถทำตามตัวอย่างนี้ได้

 

ท้ายที่สุด การกระจายความเสี่ยงนั้นอาจเป็นเพียงเกมที่กลุ่มประเทศ G7 พยายามลดความเสี่ยงจากจีนเช่นกัน ซึ่งจะมีการตรวจสอบการค้าและการลงทุนที่ส่งผ่านประเทศที่สามเพิ่มมากขึ้น เอเชียควรตั้งเป้าหมายเชิงรุกเพื่อดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) จากฐานนักลงทุนที่หลากหลาย และยังกระจายคู่ค้าทางการค้าเพื่อลดความเสี่ยงของการกระจุกตัว

 

ทั้งหมดที่กล่าวมายังเป็นเพียงช่วงเริ่มต้น แต่การเพิ่มขึ้นของลัทธิกีดกันทางการค้าจากตะวันตกต่อจีน และความท้าทายอย่างต่อเนื่องของจีนในเรื่องกำลังการผลิตล้นของอุตสาหกรรม กำลังสร้างความท้าทายทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ให้กับเอเชีย ซึ่งอนาคตอันใกล้เชื่อว่ามีแนวโน้มที่จะกระตุ้นให้เกิดผลกระทบแบบโดมิโนกีดกันทางการค้าในประเทศต่างๆ มากขึ้นเช่นกัน

 

“สิ่งสำคัญคือการปกป้องธุรกิจ และส่งเสริมการจ้างงานในประเทศ แม้ว่าผู้กำหนดนโยบายในเอเชียจำนวนมากจะเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบาก แต่เส้นทางที่ว่ามานี้ก็เริ่มชัดเจน”

 

อ้างอิง​: 

The post สินค้าจีนล้นจนเกิด ‘Overcapacity’ โจทย์ท้าทายผู้นำประเทศ? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่องแผนเซฟป่าแอมะซอน หลังบราซิลตั้งเป้ายุติการตัดไม้ทำลายป่าภายในปี 2030 https://thestandard.co/plan-to-save-the-amazon-forest/ Tue, 06 Jun 2023 08:44:54 +0000 https://thestandard.co/?p=799879 ป่าแอมะซอน

รัฐบาลบราซิลภายใต้การนำของประธานาธิบดีลูอิส อินาซิโอ ลู […]

The post ส่องแผนเซฟป่าแอมะซอน หลังบราซิลตั้งเป้ายุติการตัดไม้ทำลายป่าภายในปี 2030 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ป่าแอมะซอน

รัฐบาลบราซิลภายใต้การนำของประธานาธิบดีลูอิส อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ได้ประกาศเป้าหมายสำคัญที่จะยุติปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าภายในปี 2030 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานที่จะช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อมโลก โดยเฉพาะผืนป่าขนาดใหญ่ในบราซิลอย่างป่าแอมะซอน

 

ลูลาและ มารินา ซิลวา รัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมบราซิล ได้เผยถึงแผนปฏิบัติงานว่าด้วยการป้องกันและควบคุมการตัดไม้ทำลายป่าในแอมะซอน (PPCDAm) ซึ่งเป็นแผนงานการประสานนโยบายเข้ากับกระทรวงต่างๆ ของบราซิลตลอดช่วงการบริหารประเทศของลูลา ไปจนถึงช่วงสิ้นสุดวาระในปี 2027

 

โดยผู้นำบราซิลคนปัจจุบันได้ทวีตข้อความระบุว่า “บราซิลได้กลับมาแสดงบทบาทนำในการรับมือกับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกอีกครั้ง หลังจาก 4 ปีที่ผ่านมาสิ่งแวดล้อมถูกปฏิบัติในฐานะอุปสรรคขัดขวางการสร้างกำไรและเม็ดเงินให้กับอภิสิทธิ์ชนส่วนน้อยบางกลุ่มในสังคม 

 

“แต่อย่างไรก็ตาม บรรดาประเทศที่ร่ำรวยมั่งคั่งทั้งหลายก็ยังจำเป็นต้องรับผิดชอบในส่วนของตัวเอง เพราะพวกเขายังคงถือเป็นกลุ่มที่ทำลายป่าไม้มากที่สุดในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา”

 

ภาพรวมแผนปฏิบัติงานเซฟป่าแอมะซอน ‘PPCDAm’ เตรียมทำอะไรบ้าง

 

  • ประสานความร่วมมือกับรัฐมนตรี 15 กระทรวง เพื่อแก้ไขปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าในบราซิลอย่างจริงจัง
  • ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะภาพถ่ายจากดาวเทียม ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อรวบรวมและติดตามการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า รวมถึงการทำเหมืองแร่และปศุสัตว์ผิดกฎหมาย 
  • พัฒนาระบบ ในการรับรองและจดทะเบียนแหล่งที่มาของไม้และสินค้าเกษตร เพื่อป้องกันและลดโอกาสการลักลอบใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศที่เปราะบางอย่างผิดกฎหมาย
  • กำหนดมาตรฐานของโฉนดที่ดินและสร้างแรงจูงใจสำหรับการทำการเกษตรแบบยั่งยืน รวมถึงกิจกรรมและโครงการรักษ์โลกอื่นๆ ในสังคมทุกระดับ
  • ประกาศต่อสู้กับการก่ออาชญากรรมด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมเพิ่มบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยเฉพาะผู้ที่รุกล้ำและลักลอบสร้างความเสียหายให้กับผืนป่าที่มีต้นไม้ใหญ่อายุเก่าแก่
  • ฟื้นฟูพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมและเพิ่มการเพาะปลูกพืชพื้นเมืองผ่านการสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ เพื่อการอนุรักษ์และการจัดการป่าอย่างยั่งยืน
  • ให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคแก่บรรดาผู้ผลิต พร้อมทั้งจัดหาโครงสร้างขั้นพื้นฐานทางพลังงานและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เพื่อให้คนทุกกลุ่มเข้าถึงองค์ความรู้และช่วยกันรับมือกับปัญหาที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมบราซิลนี้ร่วมกัน
  • เพิ่มเขตพื้นที่อนุรักษ์และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ที่สำคัญของบราซิล รวมถึงอีกหลายประเทศในแถบลาตินอเมริกา

 

บราซิลหวนคืนเวทีโลกในฐานะ ‘ผู้มีบทบาทนำ’ ในการรับมือวิกฤตสิ่งแวดล้อม

 

ข้อมูลจาก Climate Watch แพลตฟอร์มออนไลน์ด้านสิ่งแวดล้อมโดยสถาบันทรัพยากรโลก (World Resources Institute) ระบุว่า ปัจจุบันบราซิลเป็นประเทศผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับที่ 5 ของโลก คิดเป็นเกือบ 3% ของก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศโลก ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในบราซิลเกี่ยวพันกับการตัดไม้ทำลายป่า

 

บราซิลภายใต้การบริหารประเทศของอดีตประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนาโร ให้ความสำคัญกับการพัฒนามากกว่าการอนุรักษ์ ส่งผลกระทบต่อชุมชนคนพื้นเมือง และทำให้อัตราการรุกล้ำเขตพื้นที่ป่าพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดยลูลาประกาศจะนำพาบราซิลหวนคืนเวทีโลกอีกครั้ง ในฐานะผู้มีบทบาทนำในการรับมือวิกฤตสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก

 

นอกจากแผนปฏิบัติงานเซฟป่าแอมะซอนข้างต้นแล้ว ลูลายังจะปรับข้อผูกพันระหว่างประเทศในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน ‘การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด’ (Nationally Determined Contributions: NDCs) ของบราซิลใหม่ ให้กลับมาสอดคล้องกับสิ่งที่บราซิลเคยให้คำมั่นไว้ในความตกลงปารีสเมื่อปี 2015

 

บราซิลมุ่งมั่นจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 37% ภายในปี 2025 และขยับขึ้นเป็น 43% ในปี 2030 ก่อนที่จะประกาศตั้งเป้ายุติปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าภายในปี 2030 ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางอนุรักษ์ป่าในที่ประชุมว่าด้วยสภาพภูมิอากาศโลกอย่าง COP26 ที่จัดขึ้นที่เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร ในช่วงปลายปี 2021 โดยมีผู้แทนราว 145 ประเทศเห็นพ้องในจุดยืนดังกล่าว และมีรัฐบาลจาก 12 ประเทศที่ให้คำมั่นร่วมสนับสนุนเงินช่วยเหลือ 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อการปกป้องและฟื้นฟูผืนป่าและระบบนิเวศของโลก รวมถึงส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ของบรรดาชนพื้นเมืองกลุ่มต่างๆ ที่ผูกผันกับธรรมชาติอย่างมาก

 

ทั้งหมดนี้สะท้อนภาพความพยายามอย่างยิ่งยวดของบราซิลในการกลับคืนสู่เวทีโลกอีกครั้ง ในฐานะผู้นำในการรับมือกับวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง 

 

แฟ้มภาพ: Tarcisio Schnaider / Shutterstock

อ้างอิง:

The post ส่องแผนเซฟป่าแอมะซอน หลังบราซิลตั้งเป้ายุติการตัดไม้ทำลายป่าภายในปี 2030 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ประธานาธิบดีบราซิลเดินทางเยือนจีนวันนี้ หวังกระตุ้นการค้า-การลงทุน เพิ่มบทบาทในเวทีโลก https://thestandard.co/brazil-president-visit-china/ Wed, 12 Apr 2023 02:11:44 +0000 https://thestandard.co/?p=775950 ประธานาธิบดีบราซิล

ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ประธานาธิบดีบราซิล เป็นผู้ […]

The post ประธานาธิบดีบราซิลเดินทางเยือนจีนวันนี้ หวังกระตุ้นการค้า-การลงทุน เพิ่มบทบาทในเวทีโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ประธานาธิบดีบราซิล

ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ประธานาธิบดีบราซิล เป็นผู้นำประเทศคนล่าสุดที่เตรียมเดินทางเยือนจีนในวันนี้ (12 เมษายน) เพื่อเข้าพบกับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน หวังกระตุ้นการค้าและการลงทุนระหว่างทั้งสองประเทศ รวมถึงเพิ่มบทบาททางด้านการทูตของตนในเวทีโลก หลังจากกลับขึ้นมารับตำแหน่งผู้นำบราซิลอีกครั้งเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

 

ลูลาให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุบราซิลก่อนออกเดินทางว่า เราจะกระชับความสัมพันธ์กับจีน โดยลูลาจะเชิญสีจิ้นผิงเดินทางเยือนบราซิลอย่างเป็นทางการ เพื่อเจรจาหารือและประชุมทวิภาคี รวมถึงใช้เวทีดังกล่าวนำเสนอโครงการต่างๆ ที่ต้องการดึงดูดการค้าการลงทุนจากจีนแผ่นดินใหญ่

 

ทริปเดินทางเยือนจีนของลูลาในครั้งนี้เกิดขึ้นล่าช้า เนื่องจากเขาเพิ่งจะติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ และเกิดขึ้นหลังจากที่ผู้นำบราซิลเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา เพื่อเข้าพบกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน เมื่อราว 2 เดือนที่แล้ว โดยลูลากำลังเผชิญความท้าทายในหลายด้าน โดยเฉพาะการฟื้นฟูบทบาทของบราซิลในเวทีโลก รวมถึงการปกป้องผืนป่าแอมะซอนจากการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นอย่างมาก ในช่วงที่บราซิลอยู่ภายใต้การนำของ ฌาอีร์ โบลโซนาโร ประธานาธิบดีบราซิลคนก่อนหน้า 

 

ลูลามีกำหนดเดินทางเข้าร่วมแสดงความยินดีในพิธีสาบานตนของ ดิลมา รุสเซฟฟ์ อดีตประธานาธิบดีหญิงของบราซิล ที่เพิ่งจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้นำคนใหม่ของ ‘ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่’ (NDB) ของกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วอย่างกลุ่ม BRICS ที่ประกอบไปด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ ก่อนที่ลูลาจะเข้าพบกับสีจิ้นผิงในวันศุกร์นี้ (14 เมษายน)

 

ขณะที่ทางการจีนระบุว่า จีนพร้อมที่จะประสานความร่วมมือกับบราซิล โดยจะใช้โอกาสในการเดินทางเยือนครั้งนี้ยกระดับความสัมพันธ์และความร่วมมือกันระหว่างทั้งสองประเทศในมิติต่างๆ ที่หลากหลาย รวมถึงมุ่งเน้นการสร้างพลังงานเชิงบวก ตลอดจนความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ร่วมมือกันและตอบสนองต่อความท้าทายระดับโลกร่วมกัน

 

โดยความสัมพันธ์ระหว่างบราซิลและจีนในช่วงสมัยของโบลโซนาโรเป็นไปในทิศทางตึงเครียด หลังจากอดีตผู้นำบราซิล เจ้าของฉายาทรัมป์แห่งบราซิล แสดงจุดยืนต่อต้านจีนอยู่บ่อยครั้ง และสนับสนุนแนวทางของสหรัฐฯ ในสมัยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นอย่างมาก 

 

ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า บราซิลภายใต้การนำของลูลามีแนวโน้มที่จะเบี่ยงออกจากเส้นทางเผชิญหน้ากับจีน ไปสู่ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น พร้อมทั้งระบุว่า จีนเองก็มีความสนใจที่จะกระชับความสัมพันธ์กับบราซิลในระยะยาวเช่นเดียวกัน เนื่องจากจีนมองว่าบราซิลถือเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในลาตินอเมริกาและเวทีระหว่างประเทศ

 

ภาพ: Joedson Alves / AFP

 

อ้างอิง:

The post ประธานาธิบดีบราซิลเดินทางเยือนจีนวันนี้ หวังกระตุ้นการค้า-การลงทุน เพิ่มบทบาทในเวทีโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผู้ว่าการรัฐเซาเปาโลในบราซิลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หลังน้ำท่วมหนัก-ดินโคลนถล่ม เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 24 ราย https://thestandard.co/emergency-situation-brazil/ Mon, 20 Feb 2023 06:21:24 +0000 https://thestandard.co/?p=752760

ดาร์ซิซิโอ เด เฟรตัส ผู้ว่าการรัฐเซาเปาโลในบราซิล ประกา […]

The post ผู้ว่าการรัฐเซาเปาโลในบราซิลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หลังน้ำท่วมหนัก-ดินโคลนถล่ม เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 24 ราย appeared first on THE STANDARD.

]]>

ดาร์ซิซิโอ เด เฟรตัส ผู้ว่าการรัฐเซาเปาโลในบราซิล ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินบริเวณ 5 เมืองชายฝั่งทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเมื่อวานนี้ (19 กุมภาพันธ์) หลังฝนตกลงมาอย่างหนัก เป็นเหตุให้หลายพื้นที่น้ำท่วมสูงและเกิดภาวะดินโคลนถล่ม มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 24 ราย และอีกหลายร้อยรายกลายเป็นผู้ไร้ที่อยู่อาศัย

 

โดยเมืองเซาเซบาสเตียว ที่ตั้งอยู่ห่างจากเซาเปาโลไปทางทิศเหนือราว 200 กิโลเมตร และเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ผู้คนจากรุงบราซิเลีย เมืองหลวงของประเทศจะมาใช้เวลาช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ก่อนหน้าเทศกาลสำคัญทางคริสต์ศาสนาอย่างเทศกาลมหาพรต (Christian Festival of Lent) ได้รับผลกระทบอย่างหนัก และสามารถวัดระดับปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาได้สูงถึง 24 นิ้ว 

 

ทางด้าน เฟลิเป ออกุสโต นายกเทศมนตรีเมืองเซาเซบาสเตียว เผยว่า ผู้เสียชีวิต 23 ราย เป็นผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเซาเซบาสเตียว ขณะที่อีก 1 ราย เป็นเด็กผู้หญิงที่เสียชีวิตในเมืองอูบาตูบาของรัฐเซาเปาโล โดยทางการคาดว่ายอดผู้เสียชีวิตอาจเพิ่มสูงขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้

 

เบื้องต้นทางการเมืองเซาเซบาสเตียวและเมืองใกล้เคียงอย่างแบร์ติโอกา ได้ประกาศยกเลิกการจัดงานเทศกาลคาร์นิวัลในช่วงต้นปีนี้แล้ว โดยเผยว่าขณะนี้ทางการกำลังเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุน้ำท่วมและดินโคลนถล่มโดยเร็วที่สุด พร้อมชี้ว่าสถานการณ์ในเมืองเซาเซบาสเตียวขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงเวลาวิกฤตอย่างยิ่ง มีรายงานว่าบ้านพักอาศัยกว่า 50 หลังคาเรือนยุบตัวลงใต้น้ำ และอาจทับร่างผู้พักอาศัยจำนวนหนึ่งอยู่ในขณะนี้ 

 

ด้านกรมอุตุนิยมวิทยาของบราซิลชี้ว่า พายุฝนจะยังคงพัดกระหน่ำบริเวณพื้นที่ชายฝั่งของรัฐเซาเปาโลอย่างต่อเนื่อง สร้างความท้าทายให้กับทีมเจ้าหน้าที่กู้ภัยอย่างมาก และมีโอกาสที่ยอดผู้เสียชีวิตจะปรับเพิ่มสูงขึ้นอีก

 

ขณะที่ประธานาธิบดีลูอิส อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ของบราซิล เผยว่า เขาจะเดินทางเข้าไปยังพื้นที่ประสบภัยในวันนี้ (20 กุมภาพันธ์) ตามเวลาท้องถิ่น พร้อมมีคำสั่งให้หน่วยงานของภาครัฐในทุกระดับช่วยกันดูแลผู้ได้รับบาดเจ็บ ค้นหาผู้สูญหายและผู้เสียชีวิต รวมถึงช่วยฟื้นฟูระบบโครงสร้างพื้นฐาน ระบบพลังงานและโทรคมนาคมของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งนี้อย่างเต็มความสามารถ

 

ภาพ: Nelson Almeida / São Sebastião City Hall / AFP / Getty Images

อ้างอิง:

The post ผู้ว่าการรัฐเซาเปาโลในบราซิลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หลังน้ำท่วมหนัก-ดินโคลนถล่ม เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 24 ราย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ข้อมูลดาวเทียมเผย การตัดไม้ทำลายป่าในแอมะซอนลดลง หลังเปลี่ยนผู้นำรัฐบาลบราซิลใหม่ได้ 1 เดือน https://thestandard.co/deforestation-amazon-decreased/ Tue, 14 Feb 2023 13:01:17 +0000 https://thestandard.co/?p=750419

ข้อมูลดาวเทียมล่าสุดของทางการบราซิลเผย การตัดไม้ทำลายป่ […]

The post ข้อมูลดาวเทียมเผย การตัดไม้ทำลายป่าในแอมะซอนลดลง หลังเปลี่ยนผู้นำรัฐบาลบราซิลใหม่ได้ 1 เดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>

ข้อมูลดาวเทียมล่าสุดของทางการบราซิลเผย การตัดไม้ทำลายป่าในแถบแอมะซอนลดลงอย่างมากในเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้ ภายหลังจากเปลี่ยนผู้นำรัฐบาลบราซิลใหม่ได้เพียง 1 เดือน โดยมี ลูอิส อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา อดีตประธานาธิบดีบราซิล เมื่อปี 2003-2010 ที่คว้าชัยในการเลือกตั้ง กลับขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศอีกครั้งในช่วงต้นปี 2023

 

โดยข้อมูลดาวเทียมของหน่วยงานวิจัยด้านอวกาศของบราซิลอย่าง Inpe ระบุว่า ในเดือนมกราคม 2023 พื้นที่ป่าไม้ในแอมะซอนถูกทำลายไปราว 167 ตารางกิโลเมตร ซึ่งถือว่าลดลงถึง 61% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2022 ในช่วงที่บราซิลยังอยู่ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนาโร 

 

เมื่อช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมของบราซิลเดินหน้าต่อต้านการตัดไม้ทำลายป่าอย่างจริงจัง ภายใต้การสนับสนุนของประธานาธิบดีลูลา ที่ต้องการรักษาผืนป่าแอมะซอนให้มีความอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากผืนป่าแห่งนี้จะเป็นปราการสำคัญในการช่วยรับมือกับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศโลก 

 

ขณะที่ แดเนียล ซิลวา ผู้เชี่ยวชาญด้านการอนุรักษ์จากองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ในบราซิลระบุว่า สัญญาณดังกล่าวเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่เราเห็นการตัดไม้ทำลายป่าลดลงในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามอาจเร็วเกินไปที่จะพูดถึงการกลับตัวของแนวโน้มการตัดไม้ทำลายป่าในประเทศแห่งนี้ 

 

ข้อมูลดังกล่าวนี้มีขึ้นภายหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกากำลังพิจารณาสนับสนุนกองทุนพหุภาคีที่มีเป้าหมาย เพื่อต่อสู้กับปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าในแอมะซอน ซึ่งนี่อาจเป็นหนึ่งในวาระสำคัญในการหารือระหว่างประธานาธิบดีลูลาของบราซิล และประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 กุมภาพันธ์)

 

กองทุนแอมะซอนที่บริหารจัดการโดยรัฐบาลบราซิลนี้ ส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนหลักจากรัฐบาลนอร์เวย์และเยอรมนี ซึ่งกลับมาเปิดดำเนินงานอีกครั้งภายใต้การขับเคลื่อนของ มารินา ซิลวา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของบราซิล หลังจากที่กองทุนนี้เคยถูกระงับการดำเนินงานไปเมื่อปี 2019 ในช่วงที่โบลโซนาโรก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศในช่วงเวลานั้น

 

แม้ว่าบราซิลจะเริ่มต้นปี 2023 ได้อย่างสวยงาม แต่ผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่ด้านสิ่งแวดล้อมเน้นย้ำกับลูลาว่า บราซิลอาจต้องใช้ระยะเวลานานหลายปีกว่าจะบรรลุเป้าหมายในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หลังจากโบลโซนาโรตัดเงินทุนสนับสนุนในหน่วยงานสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา

 

ภาพ: Jens Büttner / Picture Alliance via Getty Images

 

อ้างอิง:

The post ข้อมูลดาวเทียมเผย การตัดไม้ทำลายป่าในแอมะซอนลดลง หลังเปลี่ยนผู้นำรัฐบาลบราซิลใหม่ได้ 1 เดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผู้นำบราซิลสั่งปลดผู้บัญชาการกองทัพบก หลังเกิดเหตุจลาจลบุกสภา https://thestandard.co/brazil-leader-fires-army-commander/ Sun, 22 Jan 2023 02:35:24 +0000 https://thestandard.co/?p=740344

ประธานาธิบดี ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ของบราซิล สั่ […]

The post ผู้นำบราซิลสั่งปลดผู้บัญชาการกองทัพบก หลังเกิดเหตุจลาจลบุกสภา appeared first on THE STANDARD.

]]>

ประธานาธิบดี ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ของบราซิล สั่งปลด พล.อ. ฮูลิโอ เซซาร์ เด อาร์รูดา ผู้บัญชาการกองทัพบก ออกจากตำแหน่ง หลังเกิดเหตุกลุ่มผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดี ฌาอีร์ โบลโซนารู หลายพันคนออกมาชุมนุมประท้วงและก่อจลาจลต่อต้านผลการเลือกตั้ง โดยบุกเข้าไปในสภาและอาคารที่ทำการรัฐบาลหลายแห่งภายในกรุงบราซิเลียเมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา

 

การสั่งปลดผู้บัญชาการกองทัพบกมีขึ้นหลังประธานาธิบดีลูลา ดา ซิลวา ต้องสงสัยว่ามีสมาชิกกองทัพหลายรายสมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มผู้ประท้วง นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า เขาได้สั่งปลดเจ้าหน้าที่กองทัพหลายนายในช่วงไม่กี่วันมานี้

 

พล.อ. อาร์รูดา เพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 30 ธันวาคมที่ผ่านมา ก่อนที่อำนาจของอดีตประธานาธิบดีโบลโซนารูจะสิ้นสุดลง ซึ่งเขาจะถูกแทนที่โดย พล.อ. โทมัส มิเกล ริเบโร ไพวา หัวหน้ากองบัญชาการกองทัพตะวันออกเฉียงใต้

 

สำหรับเหตุการณ์ในวันที่ 8 มกราคม พบว่า มีการจัดเดินขบวนประท้วงไปทั่วเมือง โดยการชุมนุมส่วนใหญ่ไม่มีเจ้าหน้าที่ขัดขวาง ซึ่งกลุ่มผู้ประท้วงได้ก่อเหตุบุกเข้าไปในอาคารทำเนียบประธานาธิบดี สภาคองเกรส และศาลฎีกา รวมทั้งทำลายข้าวของ ซึ่งพบว่ามีตำรวจหลายนายบาดเจ็บจากการเข้าควบคุมสถานการณ์ และมีผู้ถูกจับกุมในวันเกิดเหตุกว่า 2,000 ราย จนถึงตอนนี้ยังควบคุมตัวอยู่กว่า 1,200 ราย

 

ขณะที่ศาลฎีกากำลังสอบสวนสิ่งที่เกิดขึ้น รวมถึงสอบปากคำอดีตประธานาธิบดีโบลโซนารู โดยอัยการกล่าวว่า อดีตผู้นำฝ่ายขวาจัดอาจปลุกปั่นยุยงให้เกิดการจลาจล หลังโพสต์คลิปวิดีโอตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ผ่านมา ซึ่งโบลโซนารูยืนกรานปฏิเสธการมีส่วนร่วมหรือรับผิดชอบต่อการจลาจลโดยกลุ่มผู้สนับสนุนเขา

 

ภาพ: Evaristo Sa / AFP

 

อ้างอิง:

The post ผู้นำบราซิลสั่งปลดผู้บัญชาการกองทัพบก หลังเกิดเหตุจลาจลบุกสภา appeared first on THE STANDARD.

]]>
บราซิลจับกุมผู้ประท้วงกว่า 1,000 คน หลังก่อเหตุบุกรัฐสภา ขณะโบลโซนาโรเข้าโรงพยาบาลในสหรัฐฯ https://thestandard.co/brazil-arrests-more-than-1000-protesters/ Tue, 10 Jan 2023 00:53:30 +0000 https://thestandard.co/?p=734855

วานนี้ (9 มกราคม) เจ้าหน้าที่ของบราซิลได้จับกุมตัวผู้ปร […]

The post บราซิลจับกุมผู้ประท้วงกว่า 1,000 คน หลังก่อเหตุบุกรัฐสภา ขณะโบลโซนาโรเข้าโรงพยาบาลในสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>

วานนี้ (9 มกราคม) เจ้าหน้าที่ของบราซิลได้จับกุมตัวผู้ประท้วงราว 1,000 คน หลังจากที่ก่อเหตุบุกเข้าสู่อาคารรัฐสภาในกรุงบราซิเลียเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะมีรายงานว่า ฌาอีร์ โบลโซนาโร อดีตประธานาธิบดีฝ่ายขวาจัดของบราซิล เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลที่รัฐฟลอริดาของสหรัฐอเมริกา 

 

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลัง ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ประธานาธิบดีบราซิลจากพรรคฝ่ายซ้าย ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา ให้คำมั่นว่าจะนำตัวผู้ก่อเหตุรุนแรงเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ชาวบราซิลผู้สนับสนุนโบลโซนาโรได้รวมตัวกันประท้วงและก่อเหตุอาละวาดในอาคารรัฐสภา ศาลฎีกา และทำเนียบประธานาธิบดี โดยมีการทำลายหน้าต่าง เฟอร์นิเจอร์ และงานศิลปะหลายชิ้น อีกทั้งยังได้ปะทะกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยด้วย ซึ่งถือเป็นการโจมตีอาคารของรัฐครั้งเลวร้ายที่สุด นับตั้งแต่บราซิลคืนสู่ประชาธิปไตยในช่วงทศวรรษ 1980

 

วานนี้ เจ้าหน้าที่ทหารของบราซิลได้รื้อแคมป์ที่พักของผู้สนับสนุนของโบลโซนาโรที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกองบัญชาการกองทัพ อันเป็นสถานที่ที่พวกเขาใช้ปักหลักประท้วงนับตั้งแต่โบลโซนาโรพ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2022 และได้จับกุมตัวผู้ประท้วงราว 1,000 คนเพื่อไปดำเนินการสืบสวนต่อไป 

 

ขณะเดียวกัน มิเชล โบลโซนาโร ผู้เป็นภรรยา ได้โพสต์ข้อความลงบน Instagram ว่า เมื่อวานนี้โบลโซนาโรได้เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลที่เมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา เนื่องจากมีอาการปวดลำไส้ในบริเวณที่เขาเคยถูกคนร้ายใช้อาวุธมีดแทงเมื่อปี 2018 ขณะกำลังหาเสียงก่อนเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยแพทย์ระบุว่า เขามีอาการลำไส้อุดตันซึ่งไม่ร้ายแรง และน่าจะไม่ต้องผ่าตัด

 

อย่างไรก็ตาม ไม่แน่นอนว่าอนาคตของโบลโซนาโรในสหรัฐฯ จะเป็นอย่างไร หลัง วาคีน คาสโตร ส.ส. จากพรรคเดโมแครต เปิดเผยกับสำนักข่าว CNN ว่า สหรัฐฯ ไม่ควรให้ที่หลบภัยแก่ “เผด็จการที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการก่อการร้ายในประเทศ” และควรส่งโบลโซนาโรกลับไปยังบราซิล ขณะรัฐบาลสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานะวีซ่าของโบลโซนาโร

 

เนด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า บุคคลที่เข้ามาด้วยวีซ่าสำหรับเจ้าหน้าที่ต่างชาติจะต้องเดินทางออกจากประเทศภายใน 30 วัน หรือยื่นขอเปลี่ยนสถานะคนเข้าเมือง หากไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของทางการแล้ว

 

ภาพ: Mauro Pimentel / AFP

 

อ้างอิง:

 

The post บราซิลจับกุมผู้ประท้วงกว่า 1,000 คน หลังก่อเหตุบุกรัฐสภา ขณะโบลโซนาโรเข้าโรงพยาบาลในสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ลูลา สาบานตนรับตำแหน่ง ปธน.บราซิลคนใหม่ ลั่นพร้อมแก้ปัญหาจากยุคโบลโซนาโร https://thestandard.co/lula-sworn-in-as-brazil-president/ Mon, 02 Jan 2023 03:06:17 +0000 https://thestandard.co/?p=731845 ลูลา บราซิล

วานนี้ (1 ธันวาคม) ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ได้เข้า […]

The post ลูลา สาบานตนรับตำแหน่ง ปธน.บราซิลคนใหม่ ลั่นพร้อมแก้ปัญหาจากยุคโบลโซนาโร appeared first on THE STANDARD.

]]>
ลูลา บราซิล

วานนี้ (1 ธันวาคม) ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ได้เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีบราซิลเป็นครั้งที่ 3 ในชีวิต พร้อมให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าเปลี่ยนแปลงประเทศให้ประชาชนพ้นจากความยากจนและปัญหาการเหยียดเชื้อชาติ

 

ในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรสหลังเข้ารับตำแหน่งผู้นำบราซิลอย่างเป็นทางการ ลูลากล่าวว่า สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม 2022 ‘ประชาธิปไตยคือผู้ชนะที่แท้จริง’ โดยในครั้งนั้นลูลาคว้าชัยในศึกการเลือกตั้งรอบตัดสิน เฉือนเอาชนะอดีตประธานาธิบดีคนก่อนหน้าอย่าง ฌาอีร์ โบลโซนาโร ไปอย่างหวุดหวิด ด้วยคะแนนเสียง 50.9% ต่อ 49.1% 

 

“ประชาธิปไตยคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งเอาชนะภัยคุกคามที่รุนแรงที่สุดต่อเสรีภาพในการลงคะแนนเสียง และเอาชนะเรื่องโกหกและความเกลียดชังที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อวางแผนจะบงการและทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งอับอาย” ลูลากล่าว ซึ่งเป็นการโจมตีโบลโซนาโรโดยไม่เอ่ยชื่อ อีกทั้งยังระบุด้วยว่า รัฐบาลของโบลโซนาโรกระทำการ ‘ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ เนื่องจากไม่สามารถรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิดได้อย่างเหมาะสม จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตในประเทศกว่า 680,000 คน

 

สำหรับแผนการในการฟื้นฟูประเทศของผู้นำคนใหม่นั้นจะมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาที่ถูกมองข้ามไปในรัฐบาลของโบลโซนาโร ทั้งการปกป้องสิ่งแวดล้อมในป่าฝนแอมะซอน การแก้ปัญหาด้านกฎหมายควบคุมอาวุธปืน และการปกป้องชนพื้นเมืองและชนกลุ่มน้อย รวมถึงการเปลี่ยนแปลงบราซิลให้เป็นผู้นำด้านพลังงานสีเขียว

 

อนึ่ง ชัยชนะของลูลาถือเป็นการกลับมาอีกครั้งของพรรคฝ่ายซ้ายที่จะขึ้นบริหารประเทศ รวมถึงเป็นการหวนคืนสู่ตำแหน่งทางการเมืองของตัวลูลาเองด้วย โดยลูลาเป็นอดีตประธานาธิบดีคนที่ 35 ของบราซิล ที่ดำรงตำแหน่งยาวนานถึง 2 สมัยติด (2003-2011) แต่มาในปี 2018 เขาถูกศาลพิพากษาให้รับโทษในเรือนจำจากคดีทุจริตคอร์รัปชัน จนส่งผลให้ต้องจำคุกนานถึง 580 วัน แต่ภายหลังจากนั้นผู้พิพากษาสูงสุดของบราซิลได้ตัดสินให้คำพิพากษาคดีคอร์รัปชันเป็นโมฆะ จึงเปิดทางให้เขาได้ลงชิงตำแหน่งผู้นำประเทศอีกสมัย 

 

ภาพ: Andressa Anholete / Getty Images

อ้างอิง:

The post ลูลา สาบานตนรับตำแหน่ง ปธน.บราซิลคนใหม่ ลั่นพร้อมแก้ปัญหาจากยุคโบลโซนาโร appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชาวบราซิลแห่ปิดถนนประท้วงผลเลือกตั้ง ขณะโบลโซนาโรออกมาปราศรัยแล้ว แต่ไม่กล่าวยอมรับความพ่ายแพ้ https://thestandard.co/brazilians-protest-election-results/ Wed, 02 Nov 2022 03:21:01 +0000 https://thestandard.co/?p=703186 ชาวบราซิลประท้วง

วานนี้ (1 พฤศจิกายน) เจ้าหน้าที่ตำรวจบราซิลได้เข้าสลายก […]

The post ชาวบราซิลแห่ปิดถนนประท้วงผลเลือกตั้ง ขณะโบลโซนาโรออกมาปราศรัยแล้ว แต่ไม่กล่าวยอมรับความพ่ายแพ้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชาวบราซิลประท้วง

วานนี้ (1 พฤศจิกายน) เจ้าหน้าที่ตำรวจบราซิลได้เข้าสลายการชุมนุมของผู้ประท้วงหลายร้อยคน ซึ่งไม่พอใจผลการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (30 ตุลาคม) หลัง ลูอิส อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา อดีตประธานาธิบดีบราซิล คว้าชัยในศึกการเลือกตั้งประธานาธิบดีบราซิลรอบตัดสิน โดยเฉือนเอาชนะประธานาธิบดีฝ่ายขวาคนปัจจุบันอย่าง ฌาอีร์ โบลโซนาโร ไปอย่างหวุดหวิด 

 

เหตุดังกล่าวส่งผลให้ผู้ที่สนับสนุนโบลโซนาโรออกมาปิดถนนและทางหลวงหลายสาย โดยตั้งแต่ที่ผลการเลือกตั้งออกมานั้น โบลโซนาโรก็เงียบหายไปเกือบ 2 วัน ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ที่สมัครเข้าชิงตำแหน่งสำคัญจะต้องออกมาแถลงยอมรับความพ่ายแพ้ หรือออกแถลงการณ์ใดๆ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งประธานาธิบดีที่จะมีขึ้นในวันที่ 1 มกราคม 2023

 

บรรดาผู้ประท้วงกล่าวหาว่า การเลือกตั้งมีการทุจริตเกิดขึ้น แม้จะไม่มีหลักฐานใดๆ มาสนับสนุนคำกล่าวอ้างดังกล่าวก็ตาม โดยผู้ประท้วงได้เอารถบรรทุกและยานยนต์อื่นๆ มาปิดถนนหลายสาย และมีการเผายางรถยนต์ด้วย ส่งผลให้เกิดความวุ่นวายขึ้นอย่างมาก จนศาลสูงของบราซิลได้ออกคำตัดสินให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงใช้ทุกมาตรการเพื่อเคลียร์พื้นที่ และเจ้าของรถบรรทุกที่เอารถมาจอดกีดขวางการจราจรจะต้องถูกปรับถึง 100,000 เรียลต่อชั่วโมง

 

โดยภาพจากคลิปวิดีโอเผยให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่ได้พยายามสลายการชุมนุมบนทางหลวงด้วยการใช้สเปรย์พริกไทยฉีดไปที่ผู้ชุมนุม และในอีกหลายแห่ง ตำรวจได้พยายามเกลี้ยกล่อมให้ผู้ชุมนุมกลับบ้านโดยไม่ใช้ความรุนแรง แต่ถึงเช่นนั้น ก่อนที่ศาลจะมีคำตัดสินลงโทษออกมา ตำรวจทางหลวงบางคนกลับสนับสนุนผู้ประท้วง และบอกพวกเขาว่าพวกเขายืนเคียงข้างผู้ประท้วงด้วย โดยเมื่อวันอาทิตย์ เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงถูกวิจารณ์อย่างหนัก เนื่องจากมีรายงานว่าเป็นไปได้ที่พวกเขาจงใจขัดขวางการลงคะแนนเลือกตั้ง โดยสั่งหยุดรถประจำทางหลายคันที่ใช้ขนส่งประชาชนไปเลือกตั้ง โดยเฉพาะในทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ซึ่งเป็นพื้นที่ฐานเสียงของลูลา

 

จนถึงช่วงเช้าวานนี้ (1 พฤศจิกายน) เจ้าหน้าที่ได้สลายการประท้วงไปแล้วถึง 314 ครั้ง แต่ถนนหลายสายยังถูกปิดการจราจรอยู่ใน 21 รัฐของประเทศ ขณะที่เมื่อคืนวันจันทร์ (31 ตุลาคม) ถนนหลายสายที่อยู่ใกล้กับสนามบินในเซาเปาโลการจราจรติดขัดหนัก จนเป็นเหตุให้มีเที่ยวบินหลายสิบเที่ยวต้องถูกยกเลิก เพราะนักบินและลูกเรือไม่สามารถเดินทางไปสนามบินได้

 

แต่ล่าสุดเมื่อช่วงเย็นวานนี้ โบลโซนาโรก็ได้ยอมออกมากล่าวปราศรัยแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังไม่แถลงยอมรับความพ่ายแพ้ หรือแม้แต่กล่าวแสดงความยินดีกับลูลา แถมยังกล่าวอีกว่า การประท้วงที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศเป็นผลมาจากความขุ่นเคืองและความอยุติธรรมเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น และโบลโซนาโรแต่งตั้งให้ ชีโร โนเกรา หัวหน้าคณะทำงานของเขา เริ่มกระบวนการเปลี่ยนผ่านกับตัวแทนของลูลา

 

ในคำปราศรัยสั้นๆ ของเขา โบลโซนาโรพูดติดตลกว่า นักข่าวคงจะคิดถึงเขาเหลือเกิน พร้อมกล่าวขอบคุณผู้ที่ลงคะแนนเสียงให้ และย้ำว่าเขาจะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดให้มีการเปลี่ยนอำนาจในวันที่ 1 มกราคม ขณะที่โนเกรากล่าวเป็นนัยว่า รัฐบาลของโบลโซนาโรจะไม่โต้แย้งผลการเลือกตั้ง โดยจะดำเนินการตามกฎหมายเพื่อเปลี่ยนผ่านอำนาจไปสู่ประธานาธิบดีคนใหม่

 

ภาพ: Heuler Andrey / Getty Images

อ้างอิง:

The post ชาวบราซิลแห่ปิดถนนประท้วงผลเลือกตั้ง ขณะโบลโซนาโรออกมาปราศรัยแล้ว แต่ไม่กล่าวยอมรับความพ่ายแพ้ appeared first on THE STANDARD.

]]>