Kyoto – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 28 Oct 2025 00:54:33 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 teamLab Biovortex Kyoto ท่องโลกงานศิลปะสุดล้ำแห่งใหม่ในกรุงเกียวโต https://thestandard.co/new-teamlab-biovortex-kyoto/ Tue, 28 Oct 2025 00:54:33 +0000 https://thestandard.co/?p=1136305 teamLab Biovortex Kyoto ท่องโลกงานศิลปะสุดล้ำแห่งใหม่ในกรุง เกียวโต

เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับ teamLab Biovortex Kyot […]

The post teamLab Biovortex Kyoto ท่องโลกงานศิลปะสุดล้ำแห่งใหม่ในกรุงเกียวโต appeared first on THE STANDARD.

]]>
teamLab Biovortex Kyoto ท่องโลกงานศิลปะสุดล้ำแห่งใหม่ในกรุง เกียวโต

เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับ teamLab Biovortex Kyoto พิพิธภัณฑ์ศิลปะถาวรแห่งใหม่ใจกลางกรุงเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ผลงานล่าสุดจากทีมศิลปะนานาชาติ teamLab ที่จะชวนผู้ชมให้ไปสำรวจโลกแห่งอิมเมอร์ซีฟอาร์ตในพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งใหม่และกำลังจะกลายเป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่สายอาร์ตไม่ควรพลาด!

 

ดังนั้น THE STANDARD POP จึงมีโอกาสร่วมเดินทางไปยังเมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่นกับสายการบิน Thai Air Asia X เพื่อไปชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้ ซึ่งเราก็ไม่พลาดที่จะเก็บเรื่องราวสนุกๆ มากมายมาให้สายอาร์ตได้ลองชมเป็นทีเซอร์เรียกน้ำย่อยกันก่อนด้วย

 

teamLab Biovortex Kyoto มีพื้นที่ครอบคลุมมากกว่า 10,000 ตารางเมตร ซึ่งถือเป็นพิพิธภัณฑ์ถาวรของ teamLab ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น พร้อมจัดแสดงผลงานศิลปะจากกลุ่มศิลปินจาก teamLab มากกว่า 50 ชิ้น รวมทั้งผลงานใหม่ที่ไม่เคยจัดแสดงในญี่ปุ่นมาก่อน ซึ่งผลงานแต่ละชิ้นก็จะสะท้อนให้เห็นภาพของธรรมชาติ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศิลปะเดินทางมาบรรจบกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

ไม่ว่าจะเป็น งานประติมากรรมลอยขนาดยักษ์ที่ทำจากทะเลฟองสบู่ ประติมากรรมที่ลอยอยู่รอบตัวเราที่คล้ายกับพายุลูกบอล พื้นที่ที่เต็มไปด้วยกลุ่มของแสงนับไม่ถ้วน ตลอดจนงานศิลปะที่มีแสงสีเสียงสุดล้ำที่ทำให้เหมือนเราหลุดไปอยู่ในอีกจักรวาลหนึ่ง

 

หรือจะเป็นชิ้นงานศิลปะ ‘Future Park’ ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนมีส่วนร่วมกับการสร้างสรรค์กับงานศิลป์ เช่น การวาดภาพบนกำแพงที่มีโลกของคนตัวจิ๋วอาศัยอยู่ การวางสิ่งของต่างๆ ลงไปในโลกของพวกเขา รวมทั้งการวาดภาพของสัตว์ทะเลที่จะไปปรากฏในมหาสมุทรวาดภาพ (Sketch Ocean) ที่อยู่บนกำแพง ซึ่งพื้นที่นี้ก็น่าจะถูกใจเหล่าคุณหนูๆ อยู่ไม่น้อย เพราะเด็กๆ จะได้มีส่วนร่วมกับผลงานศิลปะ เติมเต็มจินตนาการของพวกเขา และรูปเหล่านั้นก็สามารถนำไปทำเป็นของที่ระลึกกลับบ้านได้อีกด้วย

 

อีกหนึ่งโซนไฮไลต์ก็คือโซนที่มีชื่อว่า Athletics Forest ซึ่งเป็นโซนที่ทำให้เราสามารถสัมผัสศิลปะด้วยร่างกายของเราได้ เช่น กระโดดบนลูกบอลหมุนลวดลายหนอนผีเสื้อ การเดินบนก้อนหินที่ทำให้เกิดแสงและเสียง การปีนป่ายบาร์แนวนอนหลากสีสัน การลื่นไถลไปตามทางลาดงานศิลปะ หรือจะเป็นการแต่งแต้มสีให้กับพื้นด้วยการกระโดดตามลวดลายสิ่งมีชีวิตต่างๆ

 

ในขณะที่บางห้องก็จะมีงานศิลปะบางอย่างที่คล้ายจะเชื่อมโยงเข้ากับวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่มีความเฉพาะตัว เช่น ห้องที่มีแสงสว่างจากโคมไฟนับร้อยดวงที่เปลี่ยนสีไปตามฤดูกาล พื้นที่ภาพอิมเมอร์ซีฟอาร์ตที่ฉายภาพสวนดอกไม้หลากหลายสายพันธ์ุ รวมทั้งดอกเบญจมาศ (Kiku) ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำชาติของญี่ปุ่น รวมทั้งพื้นที่ที่มีการจัดเรียงสวนอัญมณีอย่างประณีตด้วยเช่นกัน

 

และสิ่งที่ teamLab ให้ความสำคัญก็ยังคงเป็นคำว่า ‘ทีม’ เพราะงานศิลปะในแต่ละชั้นต้องอาศัยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างชิ้นงานและผู้เข้าร่วมหลายๆ คนเพื่อให้ผลงานกลายเป็นศิลปะที่มีชีวิตชีวา เช่น ภาพของความต่อเนื่องลื่นไหลที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เราเดินชมงานจากพื้นที่หนึ่งไปสู่อีกพื้นที่หนึ่ง งานศิลปะตัวอักษรพู่กันจีนที่กลายเป็นธรรมชาติเมื่อเราสัมผัส เช่น หากเราจับตัวอักษรที่เขียนว่าฝน ก็จะมีฝนตกลงมา ถ้าเป็นตัวอักษรภูเขา ก็จะมีภาพภูเขาปรากฏขึ้น ซึ่งก็ต้องอาศัยการละเล่นหลายๆ คน เพื่อให้เกิดเป็นภาพธรรมชาติที่สมบูรณ์นั่นเอง

 

หากคุณอ่านจบแล้วแต่อาจจะยังนึกภาพไม่ออก เราขอแนะนำให้คุณตามมาสัมผัสประสบการณ์เสพงานศิลปะที่สร้างความประทับใจได้ไม่รู้ลืมด้วยตัวของคุณเองได้ที่ teamLab Biovortex Kyoto โดยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.teamlab.art/e/kyoto/

 

teamLab Biovortex Kyoto ท่องโลกงานศิลปะสุดล้ำแห่งใหม่ในกรุง เกียวโต 1

Photo: teamLab, Forest of Resonating Lamps: One Stroke – a Year in the Mountains © teamLab

 

teamLab Biovortex Kyoto ท่องโลกงานศิลปะสุดล้ำแห่งใหม่ในกรุง เกียวโต 2

Photo: teamLab, Massless Amorphous Sculpture © teamLab

 

 

teamLab Biovortex Kyoto ท่องโลกงานศิลปะสุดล้ำแห่งใหม่ในกรุง เกียวโต 3

Photo: teamLab, Morphing Continuum © teamLab

 

teamLab Biovortex Kyoto ท่องโลกงานศิลปะสุดล้ำแห่งใหม่ในกรุง เกียวโต 4

Photo: teamLab, Continuous Life and Death at the Now of Eternity © teamLab

 

teamLab Biovortex Kyoto ท่องโลกงานศิลปะสุดล้ำแห่งใหม่ในกรุง เกียวโต 5

Photo: teamLab, Rapidly Rotating Bouncing Spheres in the Caterpillar House © teamLab

 

teamLab Biovortex Kyoto ท่องโลกงานศิลปะสุดล้ำแห่งใหม่ในกรุง เกียวโต 6

Photo: teamLab, Silent Radiance Within © teamLab

 

teamLab Biovortex Kyoto ท่องโลกงานศิลปะสุดล้ำแห่งใหม่ในกรุง เกียวโต 7

Photo: teamLab, Sketch Ocean © teamLab

 

teamLab Biovortex Kyoto ท่องโลกงานศิลปะสุดล้ำแห่งใหม่ในกรุง เกียวโต 8

Photo: teamLab,Sea of Solidified Light © teamLab

 

teamLab Biovortex Kyoto ท่องโลกงานศิลปะสุดล้ำแห่งใหม่ในกรุง เกียวโต 9

Photo: teamLab, Crows are Chased and the Chasing Crows are Destined to be Chased as well © teamLab

 

teamLab Biovortex Kyoto ท่องโลกงานศิลปะสุดล้ำแห่งใหม่ในกรุง เกียวโต 10

Photo: teamLab, Resonating Microcosms – Solidified Light © teamLab

 

         

The post teamLab Biovortex Kyoto ท่องโลกงานศิลปะสุดล้ำแห่งใหม่ในกรุงเกียวโต appeared first on THE STANDARD.

]]>
เช็กก่อนไป! ญี่ปุ่น ขึ้นภาษีที่พักในเกียวโตพุ่ง 10 เท่า หวังช่วยดันรายได้ และสู้ปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมือง https://thestandard.co/kyoto-hotel-tax-increase/ Tue, 07 Oct 2025 04:50:17 +0000 https://thestandard.co/?p=1127443 ภาษีที่พัก เกียวโต

รัฐบาลญี่ปุ่นไฟเขียวให้เมืองเกียวโตสามารถจัดเก็บภาษีที่ […]

The post เช็กก่อนไป! ญี่ปุ่น ขึ้นภาษีที่พักในเกียวโตพุ่ง 10 เท่า หวังช่วยดันรายได้ และสู้ปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมือง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาษีที่พัก เกียวโต

รัฐบาลญี่ปุ่นไฟเขียวให้เมืองเกียวโตสามารถจัดเก็บภาษีที่พักในระดับสูงสุดได้ตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2026 เป็นต้นไป โดยนักท่องเที่ยวที่เข้าพักในโรงแรมหรูอาจต้องจ่ายภาษีสูงสุดถึง 1 หมื่นเยน (ราว 2.5 พันบาท) ต่อคนต่อคืน ซึ่งถือเป็นมาตรการใหม่เพื่อรับมือกับปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมือง และยิ่งเพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

 

รัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่า นักท่องเที่ยวควรมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาการท่องเที่ยวล้นเมือง

 

สำหรับโครงสร้างภาษีใหม่ 1. โรงแรมราคาประหยัด มีอัตราภาษีเริ่มต้นที่ 200 เยนต่อคืน (ราว 45 บาท) 2. โรงแรมหรู ราคาเกิน 1 แสนเยนต่อคืน มีอัตราภาษีสูงสุดอยู่ที่ 1 หมื่นเยนต่อคนต่อคืน (ราว 2.5 พันบาท)

 

เรียกได้ว่าอัตราภาษีดังกล่าวสูงกว่าภาษีที่พักสูงสุดในประเทศญี่ปุ่นที่มีอยู่เดิมถึง 10 เท่า ซึ่งจากเดิมภาษีที่ถูกเก็บเพียง 1 พันเยน (ราว 25 บาท)

 

โคจิ มัตสึอิ นายกเทศมนตรีเมืองเกียวโต กล่าวว่า เกียวโตจะนำรายได้จากภาษีที่พักมาใช้สร้างเมืองท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้มาเยือนและประชาชนชาวเกียวโตเอง

 

หากย้อนไปในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากเงินเยนอ่อนค่าลง รวมถึงนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ยกเว้นวีซ่าให้กับผู้ถือหนังสือเดินทางครอบคลุม 71 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย จนทำให้เกิดภาวะนักท่องเที่ยวล้นเมือง

 

สอดคล้องกับ อเล็กซ์ เคอร์ นักประวัติศาสตร์ในญี่ปุ่นเคยกล่าวไว้ว่า ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางเข้ามาในญี่ปุ่นมากขนาดนี้ ซึ่งก็สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวให้ได้ 60 ล้านคนภายในปี 2030 แต่ในทางกลับกันรัฐบาลญี่ปุ่นต้องเพิ่มมาตรการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยว เพราะถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้อาจทำให้พื้นที่ทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติเสื่อมโทรมลง

 

อย่างไรก็ตาม โครงสร้างภาษีใหม่เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น จนทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์และเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของคนท้องถิ่น ตั้งแต่กรณีที่สถานที่ท่องเที่ยวที่เปิดให้สัมผัสวัฒนธรรมเกอิชาในญี่ปุ่น ย่านกิออน (Gion) ในเกียวโต ซึ่งเป็นย่านที่ถูกนักท่องเที่ยวรุมถ่ายรูปอย่างไม่เหมาะสม ไปจนถึงโรงเรียนบางแห่งต้องยกเลิกทัศนศึกษาในเกียวโต เนื่องจากปัญหาความแออัดและค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูงขึ้น

 

ภาพ: Mo Wu / shutterstock

อ้างอิง:

The post เช็กก่อนไป! ญี่ปุ่น ขึ้นภาษีที่พักในเกียวโตพุ่ง 10 เท่า หวังช่วยดันรายได้ และสู้ปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมือง appeared first on THE STANDARD.

]]>
จิตวิญญาณแห่งมัทฉะ การยืนหยัดของชาวญี่ปุ่นในกระแสธารความคลั่งไคล้ชาเขียวที่โหมกระหน่ำ https://thestandard.co/matcha-uji-japan/ Fri, 30 May 2025 11:18:10 +0000 https://thestandard.co/?p=1080452 ภาพใบชาเขียวมัทฉะจากเมืองอูจิ ประเทศญี่ปุ่น ที่ยังคงใช้วิธีปลูกและเก็บเกี่ยวแบบดั้งเดิม

ห่างออกไปจากทางตอนใต้ของเมืองเกียวโต นครหลวงเก่าของชาวญ […]

The post จิตวิญญาณแห่งมัทฉะ การยืนหยัดของชาวญี่ปุ่นในกระแสธารความคลั่งไคล้ชาเขียวที่โหมกระหน่ำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาพใบชาเขียวมัทฉะจากเมืองอูจิ ประเทศญี่ปุ่น ที่ยังคงใช้วิธีปลูกและเก็บเกี่ยวแบบดั้งเดิม

ห่างออกไปจากทางตอนใต้ของเมืองเกียวโต นครหลวงเก่าของชาวญี่ปุ่นที่กลายเป็นศูนย์รวมของความอึกทึกในเวลานี้ออกไปเพียงแค่ 12 กิโลเมตร มีเมืองเล็กๆ สงบๆ แห่งหนึ่งเร้นกายอยู่

 

อูจิ เมืองน้อยที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำอูจิซึ่งไหลทอดมาจากทะเลสาบบิวะ มีทั้งธรรมชาติที่สวยงามโดยเฉพาะยามหน้าซากุระผลิบานนั้นก็จะบานสะพรั่งไปทั้งเมืองสดสวยยิ่งนัก การนั่งทอดลมหายใจไปเรื่อยที่ริมแม่น้ำ เป็นกิจกรรมที่โปรดปรานของทั้งชาวเมืองและผู้ที่มีโอกาสได้มาเยือน

 

ที่นี่ยังมีสะพานอูจิ หนึ่งในสามสะพานที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น ซึ่งถัดไปไม่ไกลนักจะพบรูปปั้นหญิงสาวอยู่ริมน้ำ หญิงสาวท่านนี้คือ มุราซากิ ชิคิบุ ผู้ประพันธ์วรรณกรรม ‘ตำนานเก็นจิ’ (The Tale of Genji) นิยายเก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น

 

ใครมาเยือนอูจิยังต้องไปวัดเบียวโดอินที่ประดิษฐานพระอมิตาภพุทธะ พระพุทธรูปแกะสลักจากไม้ ประทับบนฐานดอกบัวซึ่งกลีบบัวทำด้วยโลหะ โดยที่ในวัดมีอาคารที่สวยงาม ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วย

 

แต่ทั้งหมดนั้นดูจะไม่สำคัญนักสำหรับเหล่านักเดินทางในเวลานี้ เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการจากเมืองอูจิไม่ใช่ความเงียบ ความสงบ หรือความสวยงาม แต่เป็นชาเขียวนานาชนิดที่มีจำหน่ายบนถนนสายหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากวัดเบียวโดอินมากนัก

 

ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาชาวเมืองอูจิไม่ได้เพียงแค่ต้อนรับ แต่กลับต้อง ‘รับมือ’ กับนักเดินทางที่ต้องกาชาเชียวชั้นเลิศ ซึ่งเป็นผลผลิตแห่งความภาคภูมิใจของชาวเมืองอูจิ จากกระแสความคลั่งไคล้ที่กลายเป็นความบ้าคลั่ง โดยมีเหล่า ‘อินฟลูเอนเซอร์’ เป็นผู้จุดกระแส

 

ปัญหาคือไม่ใช่ทุกคนจะยินดีกับเรื่องนี้ เหมือนเช่นเรื่องราวของ จินทาโร ยามาโมโตะ ทายาทของร้านชาเขียวที่ต้องต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ขอ ‘เหมา’ ชาเขียวหมดทั้งร้านของเขาหวังจะใส่ได้เต็มกระเป๋าเดินทางใบย่อม และต้องพบกับความผิดหวังกลับไปเพราะตอนนี้ไม่ว่าจะร้านไหนก็ไม่มีชาเขียวจำนวนมากขนาดนั้น

 

เรื่องนี้กำลังนำไปสู่คำถามของชาวเมืองอูจิ

 

พวกเขาจะเลือกเดินทางไหนดี ในกระแสความคลั่งไคล้ที่บ้าคลั่ง จนอาจทำลายธุรกิจและจิตวิญญาณที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ

 

ภาพใบชาเขียวมัทฉะจากเมืองอูจิ ประเทศญี่ปุ่น ที่ยังคงใช้วิธีปลูกและเก็บเกี่ยวแบบดั้งเดิม

ภาพปก: afotostock / Shutterstock

 

จากหัวใจถึงใบชา

ร้านชาของจินทาโร ไม่ต่างอะไรจากร้านชาทั้งหลายบนถนนสายชาเขียวที่อยู่ห่างจากวัดเบียวโดอินเพียงแค่ 5 นาที

 

ธุรกิจร้านชาเหล่านี้ต่างเป็นกิจการที่สืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่ยุคไทโช (ศตวรรษที่ 19) บางร้านจำหน่ายมัทฉะ (Matcha ชาเขียวที่บดเป็นผงละเอียด) หรือบางร้านเช่นร้านของจินทาโรที่ยังมีเทนฉะ (Tencha ใบชาเขียวก่อนบดเป็นมัทฉะ) จำหน่าย

 

บางร้านนำชาเขียวมาเป็นส่วนผสมอาหารหรือขนมได้กลมกล่อมน่ารับประทาน เช่น โซบะรสชาเขียว ซอฟต์ครีมชาเขียว หรือพาร์เฟต์ชาเขียวที่โปะด้วยถั่วแดง โมจิ (แน่นอนว่าทำจากชาเขียวเหมือนกัน) ครีมสด และส้มที่ตัดกับสีเขียวที่สาวๆ โปรดปราน

 

ชาเขียวเหล่านี้มาจากไร่ชาของพวกเขาเองที่จะเริ่มเก็บเกี่ยวใบชากันในช่วงเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นฤดูใบไม้ผลิที่สวยงาม ซึ่งยังคงเก็บเกี่ยวด้วยมือของคนเท่านั้นไม่ใช้เครื่องจักร และจะเลือกเด็ดยอดใบชาอ่อนเพียง 3 ใบแรกของต้นเท่านั้น

 

โดยในฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่มีเพียงแค่ปีละ 2 สัปดาห์ จินทาโรและเหล่าแรงงานจะค่อยๆ เก็บเกี่ยวใบชาที่ได้คุณภาพดีที่สุดไว้เพราะได้รับการปกป้องใบชาที่ห้ามโดนแสงแดดก่อนเก็บเกี่ยว 1 สัปดาห์ด้วยวิธีดั้งเดิมจากฟางและวัสดุธรรมชาติไม่ได้ใช้ถุงพลาสติกสีดำคลุมแบบที่ไร่ชาส่วนใหญ่ใช้ ก่อนจะนำไปสู่กระบวนการผลิตขั้นต่อไป

 

ความพิถีพิถันเช่นนี้ คือสิ่งที่คนสมัยใหม่เรียกว่าความ ‘คราฟต์’ และเรื่องราวของมันยิ่งทำให้ชาเขียวของอูจิกลายเป็นที่ต้องการของผู้คนเพราะเป็นของชั้นเลิศหรือที่เรียกว่า ‘พรีเมียม’ โดยเฉพาะผงชาเขียวที่เรียกว่า ‘มัทฉะ’ (Matcha) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย ที่มีการแยกย่อยอีกหลายเกรด 

 

เกรดที่สูงที่สุดคือเกรด ‘พิธีการ’ (Ceremonial grade) ซึ่งสำหรับชาวญี่ปุ่นแล้วพิธีชงชา (ซาโด (茶道)) ไม่ได้เป็นเพียงแค่การทำเครื่องดื่ม แต่เป็นวิถี ศิลปะ วัฒนธรรม และจิตวิญญาณของพวกเขาเลยทีเดียว

 

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เหล่าผู้คนที่กำลังคลั่งไคล้ชาเขียวสนใจ

 

พวกเขาแค่ต้องการชาเขียวที่ดีที่สุดที่จะหาได้ และอูจิคือเมืองของชาเขียวชั้นเลิศที่ดีที่สุด

 

 

การชี้นำของผู้ทรงอิทธิพล

ความผิดหวังของนักเดินทางชาวไทยที่มาถึงร้านของจินทาโรแล้วไม่ได้มัทฉะที่ต้องการกลับไป และผลิตภัณฑ์อื่นที่ทำจากชาเขียวก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาหรือเธอเหล่านั้นต้องการ

 

กระแสความคลั่งไคล้ในชาเขียวนี้เพิ่งเริ่มก่อตัวได้ไม่นาน แต่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยตาพายุเกิดจากการแนะนำของเหล่านักสร้างเนื้อหาที่เรียกว่า ‘อินฟลูเอนเซอร์’ ซึ่งช่วยแนะนำการดื่มชาเขียวที่ชงขึ้นเองว่าเป็นเครื่องดื่มที่ดี มีประโยชน์​ต่อสุขภาพ ลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็ง ช่วยการทำงานของตับและสมอง รวมถึงช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย

 

และที่สำคัญชาเขียวที่ชงขึ้นสดๆ ก็เป็นเครื่องดื่มที่ ‘ขึ้นกล้อง’ (Photogenic) เสียด้วย

 

การชี้นำของผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดของโลกสมัยใหม่นำไปสู่การตามล่าค้นหาชาเขียวไปทุกที่ ไม่ต่างอะไรจากลูฟี่ออกเดินทางเพื่อตามหาวันพีซ และความมหัศจรรย์ของมันคือมันได้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่ส่งผลกระทบในระดับอุตสาหกรรมชาเขียวทั้งวงการ

 

ตามรายงานจาก Japan Tea Export Promotion Council เปิดเผยว่าในปี 2024 ญี่ปุ่นส่งออกชาเขียวจำนวน 8,798 ตัน ซึ่งสูงกว่าที่เคยส่งออกเมื่อ 20 ปีที่แล้วถึง 10 เท่าด้วยกัน โดยในจำนวนนี้ชาเขียวในรูปแบบของผงมัทฉะมากถึง 58 เปอร์เซ็นต์

 

โดยที่แนวโน้มนั้นจะสูงขึ้นเรื่อยๆ จากกระแสความคลั่งไคล้ในชาเขียวที่เกิดขึ้น

 

ภาพ: ปวรุตม์ งามเอกอุดมพงศ์ / THE STANDARD LIFE

 

เพียงแต่สำหรับผู้ประกอบการไร่ชาเขียวซึ่งตั้งอยู่รายรอบจังหวัดเกียวโต ศูนย์กลางของการผลิตมัทฉะในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงไร่ชาระดับพรีเมียมของเมืองอูจิแล้ว พวกเขายังไม่แน่ใจกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเท่าไรนัก

 

ว่ามันเป็นความนิยมที่จริงแท้และยั่งยืน

 

หรือเป็นเพียงแค่สายลมอุ่นของใบไม้ผลิที่พัดผ่านมาพร้อมกลิ่นชาแล้วผ่านไป

 

 

ความตายของใบชา

ไม่ว่ากระแสชาเขียวจากญี่ปุ่นจะได้รับความนิยมมากสักแค่ไหนก็ตาม สำหรับผู้ประกอบการแล้วพวกเขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้สักเท่าไร

 

เพราะปัญหาใหญ่ที่สุดไม่ใช่เรื่องของพืชผล แต่คือเรื่องของ ‘คน’

 

ชาวไร่ชาในเมืองอูจิ หรือเมืองอื่นยังคงใช้วิธีการเก็บเกี่ยวแบบดั้งเดิม เช่น ในไร่ของจินทาโรที่เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเข้าฤดูใบไม้ผลิ เขาจะจ้างแรงงานเพื่อเก็บเกี่ยวใบชาโดยจะใช้จำนวนคนราว 20 คน

 

แรงงานนี้ไม่ได้เป็นแรงงานต่างชาติที่เข้ามาทำงานภายในประเทศ แต่เป็นบรรดาแม่บ้านที่มีเวลาว่างมาช่วยกันเด็ดใบชาคัดใส่ตะกร้า ซึ่งแม่บ้านเหล่านี้โดยส่วนใหญ่อายุมากกว่า 65 ปีแล้ว โดยที่คนรุ่นใหม่ก็ไม่ได้สนใจงานด้านนี้

 

“การเก็บใบชาไม่ได้น่าดึงดูดสำหรับเด็กรุ่นใหม่อีกต่อไป และชาวไร่ของเราจำนวนมากก็ไม่มีผู้สืบทอดด้วย” เคียวเฮ ซุกิโมโตะ ประธานบริษัทชา Sugimoto Seicha และผู้ผลิตชาที่ตั้งอยู่ในแคว้นชิสุโอกะ อีกหนึ่งทำเลทองของการปลูกชาเล่าถึงปัญหาใหญ่

 

“พวกเขาไม่ต้องการส่งต่อธุรกิจให้กับคนในครอบครัวอีกต่อไป”

 

ฟังแล้วหัวใจหล่นลงแก้วชาทันที…

 

Demand มีแต่ Supply ไม่ไหวแล้ว

นอกจากร้านค้าในถนนสายชาเขียวของเมืองอูจิจะต้องต้อนรับนักเดินทางจำนวนมหาศาลที่ต่างปรารถนาจะได้ชาเขียวชั้นเลิศมาครอบครอง หรือนำไปขายต่อเพื่อทำกำไรแล้ว ร้านค้าในแถบจังหวัดเกียวโตก็ประสบปัญหาแบบเดียวกัน

 

ไม่มีของจะขาย หรือหากมีก็น้อยจนต้องจำกัดจำนวนการซื้อ

 

ในเว็บไซต์ของ Ippodo ร้านชาชั้นนำของเกียวโตขึ้นประกาศชัดเจนว่า “สินค้าหมด” ขณะที่ Marukyu Koyamaen คู่แข่งซึ่งมีร้านค้าในจังหวัดเกียวโตและเมืองอูจิต้องจำกัดจำนวนการซื้อโดยจะขายให้เพียงแค่ 1 ผลิตภัณฑ์ต่อนักท่องเที่ยว 1 คน พร้อมเตือนว่าจะไม่มีการเปิดเผยแผนการรีสต็อกของในคลังล่วงหน้าอีก

 

“จากปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์มัทฉะในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ในเวลานี้ความต้องการได้เกินกำลังการผลิตของเราไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”​ แถลงการณ์จากบริษัท Marukyu Koyamaen “นั่นส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มัทฉะเหลือน้อยมากในคลังในเวลานี้”

 

โชโก นากามูระ ซีอีโอของบริษัทชา Nakamura Tokichi Honten ซึ่งเป็นเจ้าของร้านผลิตภัณฑ์จากชหลายแห่งในเมืองอูจิมองว่ากระแสความคลั่งไคล้ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่ยั่งยืน และชาวไร่ชาก็เจ็บปวดจากการที่แม้จะปลูกชาแต่รายได้ก็ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ขณะที่กระแสความคลั่งไคล้ที่เกิดขึ้นพวกเขาก็ไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตหรือมองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในแง่บวก

 

“ข้อเสียของกระแสที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วคือ ผู้คนจะเบื่อมันอย่างง่ายดาย”

 

ใบชาและกระจกยาตะ

ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่นแล้ว ‘ยาตะ โนะ คากามิ’ หรือ ‘กระจกยาตะ’ กระจก 8 ด้านซึ่งเป็นหนึ่งในไตรราชกกุธภัณฑ์ สมบัติของพระจักรพรรดิและเป็นสมบัติล้ำค่าของญี่ปุ่นมีพลังของเทพที่สามารถเปิดเผยความจริงทั้งปวง

 

เล่าขานตามตำนานว่าครั้งที่ ‘อามาเทราสึ’ เทพีแห่งพระอาทิตย์ ต่อสู้กับเทพ ‘ซุซาโนโอะ’ แห่งทะเลและวายุผู้เป็นน้องชาย เทพีได้หลบหนีเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่งทำให้จักรวาลตกอยู่ในความมืดมนอนธการ จนผู้คนเดือดร้อนไปทุกย่อมหญ้า

 

ร้อนถึงเทพซุซาโนโอะและเทพองค์อื่นๆ ต้องออกอุบายจัดงานรื่นเริงขึ้นหน้าถ้ำที่มีกระจกยาตะวางอยู่ เมื่อเทพีอามาเทราสึออกมาดู ก็ตกใจกับภาพของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกยาตุ เหล่าเทพจึงใช้โอกาสนี้ดึงตัวอามาเทราสึออกมาจากถ้ำได้สำเร็จ ก่อนที่จะยอมคืนดีกับน้องชายทำให้แสงสว่างก็กลับคืนสู่จักรวาลอีกครั้ง

 

เช่นนั้นเมื่อนำกระจกยาตะมาส่องดูใบชา ก็จะพบกับความจริงที่น่าตกใจ เพราะเทนฉะนั้นไม่ได้มีมูลค่าสูงเหมือนอย่างที่เกิดกระแสขึ้นเลย

 

ปัญหาสำหรับผู้ผลิตชาคือราคาของใบชาชนิดเทนฉะต่ำลงยิ่งกว่าเมื่อปี 2012 ถึงแม้ว่าจะมีแรงพอดีดตัวกลับมาให้สูงกว่าราคาในปี 2020 โดยปัจจุบันอยู่ที่กิโลกรัมละ 2,168 เยน (490 บาท) แต่ก็ยังไม่ได้สูงอะไรมากมายอยู่ดี 

 

ภาพ: ปวรุตม์ งามเอกอุดมพงศ์ / THE STANDARD LIFE

 

อย่างไรก็ดีในขณะที่การบริโภคชาเขียวภายในประเทศลดลง โดยในปี 2024 จำนวนการบริโภคชาเขียวลดลงเหลือ 74,000 ตัน ลดลงจากในปี 2004 ถึง 27 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่การบริโภคภายในประเทศลดลงจากปี 

 

แต่ปริมาณการผลิตเทนฉะกลับสูงขึ้น ในปี 2023 ผลิตเป็นสถิติมากถึง 4,176 ตัน มากกว่าในปี 2008 ถึงเกือบ 3 เท่า ถึงแม้ว่าในภาพรวมแล้วจะเป็นเพียงจำนวน 5.6 เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตชาเขียวทั้งหมดก็ตาม

 

เทนฉะในประเทศญี่ปุ่นนั้นมีหลายแหล่งผลิต โดยที่เกียวโตไม่ได้เป็นอันดับหนึ่งอีกต่อไปเมื่อเบอร์หนึ่งคือจังหวัดคาโกชิมะ ขณะที่การบริโภคมัทฉะภายในญี่ปุ่นนั้นปัจจุบันได้ถูกนำไปใช้ในการทำเครื่องดื่มบรรจุขวดและผลิตภัณฑ์อาหารมากกว่าการใช้ในพิธีการชงชา 

 

แม้ชาเขียวจากคาโกชิมะจะไม่ได้โด่งดังเหมือนเกียวโตหรือชิซุโอกะแต่เป็นฐานการผลิตที่สำคัญที่รองรับความต้องการในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งต้องแข่งขันกับชาเขียวจากประเทศจีนและเกาหลีใต้ที่เป็นคู่แข่งด้านการส่งออกด้วย

 

มีใจให้มัทฉะ

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามสำหรับจินทาโร ชาวเมืองอูจิ รวมถึงชาวไร่ชารอบเกียวโตแล้ว สิ่งที่สำคัญเหนือกว่าความสนใจในชาเขียวที่พวกเขาผลิตคือความรู้สึกของพวกเขาที่มีต่อใบชาสีเขียวสดเหล่านี้ที่ปลูกและเก็บเกี่ยวด้วยมือและหัวใจ

 

คำตอบที่ได้ในเวลานี้ไม่ใช่การร้อนรนทำตามกระแส เร่งกำลังการผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองความบ้าคลั่งจากโซเชียลมีเดียที่ในแง่หนึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี ยิ่งผลิตมากก็ยิ่งมีรายได้มาก แต่ในอีกด้านกระแสเหล่านี้ก็บ่อนทำลายสิ่งดีๆ บนโลกใบนี้มาแล้วหลายอย่าง

 

มัทฉะของอูจิจะรักษาตัวตนและจิตวิญญาณของตัวเองเอาไว้ วางตำแหน่งของพวกเขาในระดับสินค้าพรีเมียม เกรดพิธีการที่จะไม่ยอมไหลตามกระแสอย่างเด็ดขาด

 

และความรักในใบชาที่ถ่ายทอดลงมาถึงผงชาสีเขียวคือสิ่งที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกมีใจให้มัทฉะไปกับพวกเขาด้วย

 

ปัจจุบันในประเทศญี่ปุ่นมีแฟนชาเขียวตัวยงอย่าง แคทรีนา ไวลด์ ที่เริ่มสนใจในการชงชาในช่วงกีฬาโอลิมปิกที่กรุงโตเกียวเมื่อปี 2021 ก่อนจะได้พบหน้ากับผู้ประกอบการไร่ชาตัวจริงของญี่ปุ่นผ่าน Zoom และได้รับการถ่ายทอดทั้งความรู้และความรักในเรื่องของชา 

 

จนในเวลานี้เธอผ่านการฝึกฝนงานและได้เข้ามาเป็นพนักงานของไร่ชา Obubu Tea Farms

 

ขณะที่เคนตะ โฮโซอิ เจ้าของ Hosoi Farm หนึ่งในผู้ผลิตชาเขียวในเมืองวาซุกะ ซึ่งอยู่ตอนตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองอูจิอีกที ถ่ายทอดเรื่องราวของชาเขียว เช่น การเก็บเกี่ยวใบชา การคัดเลือกใบชา ลงบน Instagram และได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากคนทั่วโลก

 

สิ่งที่เคนตะทำได้ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีไม่เพียงต่อแบรนด์ Hosoi และภาพลักษณ์ของชาเขียวของญี่ปุ่นที่ ‘เอาจริงเอาจังในเรื่องของคุณภาพ’

 

ภาพ: ปวรุตม์ งามเอกอุดมพงศ์ / THE STANDARD LIFE

 

ภาพลักษณ์นี้ทำให้คนทั่วโลกยังคงเชื่อมั่นและหลงรักชาเขียวจากอูจิ เกียวโต และจังหวัดใกล้เคียง โดยสถิติที่น่าสนใจคือการบริโภคชาเขียวนั้นกระจายไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก โดยมีสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่นำเข้าผงชาเขียวมากที่สุดถึงจำนวน 2,200 ตัน หรือคิดเป็น 44 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณชาเขียวที่ญี่ปุ่นส่งออก ตามมาด้วยเยอรมนี, มาเลเซีย และประเทศไทยในอันดับที่ 4

 

ถึงชาเขียวจะกลายเป็นกระแสในเวลานี้ แต่ในมุมผู้เชี่ยวชาญอย่าง แซ็ค แมนแกน ผู้ก่อตั้ง Kettl บริษัทนำเข้าชาเขียวในนิวยอร์ก เชื่อว่าการเติบโตของชาเขียวในหัวใจของชาวโลกเป็นเรื่องที่ยั่งยืน

 

คนที่ดื่มชาเขียวอยู่เดิมนั้นมีอยู่แล้วและเป็นตลาดใหญ่ที่เป็นเอกเทศจากตลาดกาแฟและชา ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคคนละกลุ่ม

 

คนที่มีใจให้มัทฉะก็จะมีใจให้มัทฉะเสมอ

 

และใครที่เผลอให้ลิ้นได้เริ่มลิ้มลองมัทฉะแล้ว กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ยากที่จะเปลี่ยนใจแล้ว

 

ภาพ: Stefan Tomic / Getty Images

อ้างอิง:

The post จิตวิญญาณแห่งมัทฉะ การยืนหยัดของชาวญี่ปุ่นในกระแสธารความคลั่งไคล้ชาเขียวที่โหมกระหน่ำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
SeCret Kyoto ทริปสุดเอ็กซ์คลูซีฟเพื่อสมาชิกรู้ใจคลับ จากโครงการลูกบ้าน SC Asset เท่านั้น https://thestandard.co/life/secret-kyoto-sc-asset/ Thu, 24 Apr 2025 07:30:37 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1065334 SeCret Kyoto SC Asset

SC Asset ดูแลหลังการขายอย่างมืออาชีพ ใส่ใจลูกค้าทุกคนอย […]

The post SeCret Kyoto ทริปสุดเอ็กซ์คลูซีฟเพื่อสมาชิกรู้ใจคลับ จากโครงการลูกบ้าน SC Asset เท่านั้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
SeCret Kyoto SC Asset

SC Asset ดูแลหลังการขายอย่างมืออาชีพ ใส่ใจลูกค้าทุกคนอย่างดีตลอดไป

 

การจะเลือกซื้อที่อยู่อาศัยสักแห่ง นอกจากคุณภาพของสินค้าแล้ว บริการหลังการขายก็เป็นเรื่องสำคัญที่ใช้ในการประกอบการตัดสินใจ ซึ่งทาง SC Asset ถือเป็นบริษัทที่ใส่ใจในเรื่องนี้อย่างมาก ทางแบรนด์ต้องการจะเป็นผู้นำในด้านการดูแลลูกบ้านหลังการขาย โดยเชื่อมต่อสินค้า และบริการ รวมถึงสิทธิพิเศษที่เหนือกว่าด้วย Morning Coin หรือ MNC เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับสมาชิกรู้ใจคลับผ่านรู้ใจแอป (RueJai App) ภายใต้ SC Asset Reward Program ‘The S.U.N.’ ที่ประกอบด้วย 

 

SeCret Kyoto SC Asset

 

S – Special: ดูแลคุณแบบคนสำคัญด้วยสิทธิพิเศษและดีลสุดพิเศษต่างๆ, U – Unique: แตกต่างด้วยประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากที่ไหน เช่น Good Morning Sunshine เป็น Private Concert หรือ Luxury Shopping Experience, N – Network: สร้างเครือข่ายและกิจกรรมต่างๆ ให้ลูกบ้านได้มีส่วนร่วมด้วยกัน อย่างเช่น Sunshine Market ตลาดนัดลูกบ้าน SC

 

และล่าสุดทาง SC Asset ได้จัดทริปสุด Unique กับแคมเปญ SeCret Kyoto…อยู่บ้านเอสซี รู้อีกทีได้ไปเกียวโต ซึ่งเป็นสิทธิพิเศษเฉพาะลูกค้า SC Asset โดยใช้ Morning Coins มาแลกรับสิทธิลุ้นเที่ยวทริปลับนี้ที่เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่นแบบ Exclusive พาเดินทางสู่ย่านลับ พักในโรงแรมระดับพรีเมียม กินดื่มเที่ยวในร้านดังที่จองยาก แค่ฟังก็ตื่นเต้นแล้ว วันนี้เรามีโอกาสได้นั่งคุยกับลูกบ้านที่เพิ่งกลับจากทริปนี้มาสดๆ ร้อนๆ เราเลยอยากให้มาแชร์ประสบการณ์ว่า ไปเที่ยวทริปเกียวโตกับ SC Asset มีความพิเศษอย่างไร และอะไรคือ ความประทับใจที่หาไม่ได้จากทริปอื่น

 

 

ทริป SeCret Kyoto นี้ ได้มีโอกาสพาลูกบ้านที่ได้รางวัลไปเกียวโต รวม 3 ครอบครัว ซึ่งเราได้มีโอกาสพูดคุยกับสองผู้โชคดีอย่าง คุณติ๊ก-วิภาภรณ์ โบว์เสรีวงศ์ และคุณชมพู่-วนิชา สังวรเวชภัณฑ์ ทั้งสองท่านเป็นลูกบ้านจากโครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด พระราม9-2 ที่ใช้ Morning Coin แลกสิทธิในการลุ้นเป็นผู้โชคดีร่วมทริป Secret Kyoto ซึ่งทั้งสองท่านเป็นนักเดินทางตัวจริงอยู่แล้ว การันตีจากการไปทริปหลายสิบทริปในหนึ่งปี ถึงจะไปเยอะขนาดนี้แต่ทั้งสองท่านยืนยันว่า “ทริปนี้พิเศษแบบไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน”

 

 

สิ่งที่ทำให้ทั้งสองท่านประทับใจทริปนี้มากๆ คือความใส่ใจในทุกรายละเอียด ตั้งแต่สนามบินที่มีทีมงาน SC Asset มารอรับ และช่วยดำเนินการทุกอย่างให้เรียบร้อย ความใส่ใจนี้ยังรวมถึงการที่ SC Asset จัดการจองทุกอย่างไว้ล่วงหน้า ไม่ว่าจะสถานที่ท่องเที่ยว หรือแม้แต่ร้านอาหารที่จองยากๆ ทางทีมก็สามารถจองให้ได้ แถมทุกอย่างเป๊ะในระดับที่ ไปถึงสถานที่นั้นแล้ว เที่ยวได้เลย หรือ กินได้เลยแบบไม่ต้องต่อคิว เรียกได้ว่าทาง SC Asset คิดและออกแบบให้ลูกบ้านทุกอย่าง ตั้งแต่แพลน การพักอาศัย เพื่อให้ได้รับความสะดวกสบาย และประทับใจมากที่สุด 

 

SeCret Kyoto

 

นอกจากความใส่ใจในรายละเอียดแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ คุณติ๊ก และ คุณชมพู่ ประทับใจนั่นคือความเอ็กซ์คลูซีฟที่ทริปนี้มอบให้ และหาไม่ได้จากทริปอื่น อย่างเช่น การได้พักในที่พักสุดหรู หนึ่งในที่พักที่จองยาก ที่ซ่อนตัวอยู่ในย่านกิออน มีเพียง 9 ห้องเท่านั้น ออกแบบโดยสถาปนิกระดับโลกชาวญี่ปุ่น รวมถึงการดูแลของพนักงาน และการบริการต่างๆ ในโรงแรมนั้นดีเกินโรงแรม 6 ดาวเลยทีเดียว  และอีกหนึ่งความเป็นส่วนตัวคือ อ่างอาบน้ำที่ทำจากไม้ Hinoki ทำให้เหมือนได้แช่ออนเซ็นส่วนตัว และระเบียงที่มองเห็นแม่น้ำชิราคาวะ  

 

SeCret Kyoto SC Asset

 

ตัวอย่างเช่น ทาง SC Asset ได้พาลูกบ้านไปทานอาหารที่ ร้าน Honke Owariya ร้านโซบะเก่าแก่ที่สุดในเกียวโต เปิดกิจการมา 500 กว่าปี และเป็นร้านที่ส่งโซบะให้กับพระราชวังอิมพีเรียลเป็นประจำ ซึ่งปกติคิวจะยาวมาก แต่ทีมงานก็จัดสรรเวลาได้ดี ทำให้ไม่ต้องรอนาน และได้ทานโซบะเย็นในแบบที่ไม่เคยทาน เสิร์ฟมาในชามซ้อนกันหลายๆ ชั้น เวลาทานก็ค่อยๆ ใส่เครื่องเคียงได้ตามใจชอบ หรืออีกร้านก็จะเป็นเทปปันยากิในพื้นที่ส่วนตัว ซึ่งความพิเศษคือทาง SC Asset ได้จองที่นั่งที่ดีที่สุด มองเห็นวิวปราสาทชัดที่สุดไว้ให้ผู้โชคดี ซึ่งบอกเลยว่าที่นั่งตรงนี้จองกันเป็นปี !

 

 

หรือจะเป็นการพาผู้โชคดีทุกท่านย้อนยุคกลับไปสมัยเอโดะ ใส่ชุดกิโมโน และชุดยูกาตะแบบดั้งเดิม นั่งรถลากโบราณ ชมวิวป่าไผ่ที่ Arashiyama Bamboo Grove  และเซอร์ไพรส์ในทริปคือการได้ชมการแสดงพิเศษ และพูดคุยแบบเป็นกันเองกับไมโกะ หรือเกอิชาฝึกหัด ซึ่งปกติไมโกะจะไม่ออกมาโชว์นอกสถานที่ และยากมากที่จะได้ใกล้ชิดแบบนี้ ซึ่งหาไม่ได้จากในทริปอื่น!

 

 

ต้องบอกว่านี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความใส่ใจที่ SC Asset มีต่อลูกบ้าน ซึ่งทางคุณติ๊ก และ คุณชมพู่ บอกกับเราว่า “SC Asset ดูแลไม่ได้เหมือนเป็นแค่ลูกบ้าน แต่เป็นเหมือนครอบครัว ที่ดูแลใส่ใจในทุกรายละเอียดตั้งแต่ก่อนเป็นลูกบ้าน และหลังเป็นลูกบ้าน” 

 

เนื่องจากทริปนี้ทาง SC Asset ได้พาลูกบ้านไปร่วมเดินทางกับทริป SeCret Kyoto ถึง 3 ครอบครัว เราเลยเก็บความประทับใจที่ทุกท่านมีต่อทริปนี้ และการได้เป็นครอบครัวเดียวกันกับ SC Asset

 

 

คุณแมน-คุณอาโป ลูกบ้านโครงการบางกอก บูเลอวาร์ด รามคำแหง-วงแหวน บอกว่า บ้านของทาง SC Asset มีระบบรักษาความปลอดดีเยี่ยม ต้นไม้ร่มรื่น เวลามีปัญหาอะไร ทีมหลังบ้านช่วยเหลือได้เร็วมาก ซ่อมแซมแก้ไขเรียบร้อยมาก

 

และประสบการณ์จากการไปทริป SeCret Kyoto “ประทับใจมากครับ ทีมงานและไกด์ดูแลอย่างดี ทำให้ทุกอย่าง ยกเว้นเดินแทนแค่นั้นเอง ที่พักหรูหรา ของกินจัดเต็ม ขอบคุณมากๆ ครับ”

 

SeCret Kyoto SC Asset

 

คุณมีน ลูกบ้านโครงการเวนิว ไอดี เวสต์เกต ได้บอกกับเราว่า รู้สึกคุ้มค่ากับราคาบ้านที่ต้องจ่าย เพราะทั้งฟังก์ชันในบ้าน ทำเลที่ตั้ง คุณภาพบ้านที่ได้รับ ระบบรักษาความปลอดภัย บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม และมี RueJai App สำหรับลูกบ้าน 

 

และได้เล่าถึงประสบการณ์จากการไปทริป SeCret Kyoto ว่า “ประทับใจทุกอย่างสำหรับทริปนี้ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ที่พัก สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ามากๆ ขอบคุณทาง SC Asset ที่จัดกิจกรรมดีๆ แบบนี้ และขอให้มีกิจกรรมแบบนี้อีกเรื่อยๆ ครับ”

 

ภาพ: SC Asset

The post SeCret Kyoto ทริปสุดเอ็กซ์คลูซีฟเพื่อสมาชิกรู้ใจคลับ จากโครงการลูกบ้าน SC Asset เท่านั้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
MOTOÏ Bangkok ร้านอาหารมิชลิน 10 ปีซ้อนจากเกียวโตมาถึงไทยแล้ว https://thestandard.co/life/motoi-bangkok/ Sat, 19 Oct 2024 02:37:01 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=997826 MOTOÏ Bangkok

หากใครเคยไปเกียวโตแล้วได้ยินชื่อร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งชื่อ […]

The post MOTOÏ Bangkok ร้านอาหารมิชลิน 10 ปีซ้อนจากเกียวโตมาถึงไทยแล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
MOTOÏ Bangkok

หากใครเคยไปเกียวโตแล้วได้ยินชื่อร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งชื่อดังอย่าง MOTOÏ Kyoto ที่ได้ดาวมิชลินติดต่อกันถึง 10 ปีซ้อน แต่ยังไม่มีโอกาสได้ลิ้มลองสักที ข่าวดีคือตอนนี้ เชฟโมโตอิ มาเอดะ (Motoi Maeda) เปิดร้านอาหารในเมืองไทยแล้ว

 

เราขอเล่าให้ฟังสักนิดว่า เชฟโมโตอิเป็นเชฟที่ทำร้านอาหารได้รับ 1 ดาวมิชลินติดต่อกันถึง 10 ปีซ้อน ถือเป็นร้านขึ้นชื่อในกรุงเกียวโตเลยก็ว่าได้ ซึ่งจุดเริ่มต้นของเชฟก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะตัวเชฟแม้เป็นชาวญี่ปุ่นแต่ก็เริ่มทำงานในร้านอาหารจีนก่อนเป็นเวลากว่า 3 ปี และฝึกฝนในโตเกียวอีก 7 ปี จากนั้นจึงบินไปทำงานในร้านอาหารฝรั่งเศสที่เมือง Beaune ประเทศฝรั่งเศส อยู่พักใหญ่ ก่อนกลับมาทำงานที่ร้านอาหาร 3 ดาวมิชลินในญี่ปุ่น จนตัดสินใจเปิดร้านอาหารของตัวเองในปี 2012 และประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในชื่อ MOTOÏ Kyoto

 

 

และด้วยความที่เชฟมีประสบการณ์และทักษะการทำอาหารหลากสัญชาติ เสน่ห์ของ MOTOÏ Kyoto จึงเป็นร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งฝรั่งเศสสมัยใหม่ ที่มีกลิ่นอายของความพิถีพิถัน เคารพต่อธรรมชาติ และความเรียบง่ายแบบ Wabi-Sabi ของชาวเกียวโต ทำให้อาหารของเชฟโมโตอิ แม้จะเป็นไฟน์ไดนิ่งแต่ยังมีความอบอุ่น ถ่อมตน และเข้าถึงได้ง่ายในแบบของอาหารญี่ปุ่นที่เราหลงรัก

 

เชฟโมโตอิ มาเอดะ (Motoi Maeda)

 

The Vibe

 

การออกแบบของ MOTOÏ Bangkok ได้รับแรงบันดาลใจจากสไตล์ Wabi-Sabi ที่อยากให้แขกสัมผัสกับบรรยากาศที่เรียบง่ายแต่หรูหรา เน้นการใช้วัสดุจากธรรมชาติและหน้าต่างขนาดใหญ่ที่เปิดรับทัศนียภาพของสวนสไตล์เซนด้านนอก ตั้งแต่ประตูทางเข้าที่เราเห็นสวน ช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย สงบ และตัดสิ่งรบกวนจากภายนอก ภายในร้านมีที่นั่งตรงเคาน์เตอร์จำนวน 8 ที่นั่ง ที่เราสามารถมองเห็นการทำงานของทีมเชฟได้อย่างใกล้ชิด  

 

MOTOÏ Bangkok

 

The Taste 

 

MOTOÏ Bangkok นำเสนออาหารแบบ Tasting Menu จำนวน 15 คอร์ส ที่เชฟขอเรียกว่า ‘Selection de la Saison’ ซึ่งจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาลและวัตถุดิบที่หาได้ในช่วงเวลานั้นๆ ทั้งจากในประเทศไทยและทั่วโลก และอย่างที่บอกว่าเชฟมีความเชี่ยวชาญทั้งอาหารฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และจีน ทำให้เมนูแต่ละจานที่ออกมามีความสร้างสรรค์และคาดเดาได้ยากว่าจานถัดไปจะเป็นอย่างไร ถือเป็นคอร์สที่มอบประสบการณ์การกินที่หลากหลาย ทั้งในแง่การมองเห็น รสสัมผัส และการนำเสนอวัฒนธรรมผ่านทางอาหารของชาตินั้นๆ ได้อย่างน่าสนใจ เช่น รีซอตโตเป๋าฮื้อ, ปานีปูรี ซึ่งเป็นอาหารว่างของอินเดีย, ไข่ตุ๋นที่เสิร์ฟแบบเย็น ตัวโฟมมีส่วนผสมของอูนิและมีคาเวียร์ด้านบน และเปาะเปี๊ยะทอดที่ห่อแป้งมาอีกที ด้านในมีไส้เป็นกุ้งชิ้นโต จานนี้ชวนให้นึกถึงอาหารจีน 

 

MOTOÏ Bangkok

ปานีปูรีและเปาะเปี๊ยะทอด 

 

รีซอตโตเป๋าฮื้อ

 

วันที่ไปลองเราชื่นชอบหลายจานที่เชฟโมโตอินำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นจานเรียกน้ำย่อยอย่างสลัดผักที่เชฟใส่ผักและสมุนไพรกว่า 50 ชนิด ซึ่งมีรสสัมผัสที่แตกต่างและรสชาติของผักที่กินพร้อมๆ กันแล้วดีมาก จานหลักมีให้เลือกระหว่างเนื้อและเป็ด จานเนื้อใช้เนื้อไทยที่มีรสค่อนข้างชัด ถูกใจคนชอบเนื้อที่แม้ไม่ละลายในปากแต่ก็ได้รสเนื้อที่เข้มข้น เข้ากันได้ดีกับซอส 

 

ส่วนจานสุดท้ายของอาหารคาว ค่อนข้างเซอร์ไพรส์ที่เชฟไม่ได้นำเสนอข้าวแต่เสิร์ฟมาเป็นราเมนที่ใช้เส้นทำเองจากร้าน No Name Noodle ตัวซุปเป็นโชยุ ถึงหน้าตาเรียบง่ายไม่หวือหวา แต่อิ่มทั้งรสชาติ ปริมาณ และความรู้สึก ถือเป็นจานจบของคาวที่อบอุ่น น่าประทับใจ

 

MOTOÏ Bangkok

จานหลักเราเลือกเนื้อ ปิดท้ายด้วยราเมน 

 

Good for 

 

คนที่อยากลองอาหารไฟน์ไดนิ่งสไตล์ฝรั่งเศส-ญี่ปุ่นที่ดีและคุ้มค่า คอร์สเมนูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เข้าใจง่าย และที่สำคัญราคาไม่สูงจนเกินไปนัก ถือเป็นร้านที่เรากลับไปกินซ้ำได้เรื่อยๆ  

 

 

MOTOÏ Bangkok

Location: โครงการ Patom Organic Living สุขุมวิท 49 

Open: วันอังคาร-อาทิตย์ (ปิดวันจันทร์) รอบการจอง 17.00 น. และ 20.00 น. จองผ่านเว็บไซต์ https://www.tablecheck.com/en/motoi-bangkok/reserve/message หรือ LINE: motoi_bkk

Contact: โทร. 06 5504 1668 และ LINE: motoi_bkk

Budget: 15 Course Tasting Menu ‘Selection de la Saison’ ราคา 3,800++ บาท / 4 Glasses Alcohol Pairing ราคา 2,200++ บาท

Map: 

 

The post MOTOÏ Bangkok ร้านอาหารมิชลิน 10 ปีซ้อนจากเกียวโตมาถึงไทยแล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดรูทเดินเขาเส้นทางใหม่ ‘เกียวโต-อามาโนะฮาชิดาเตะ’ ทริปชิลๆ 8 วัน 7 คืน ระยะทาง 70 กิโลเมตร https://thestandard.co/life/kyoto-amanohashidate/ Fri, 17 May 2024 03:00:42 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=934528

สายเดินเทรล ชอบปีนเขาชมธรรมชาติ เรามีรูทใหม่ในประเทศญี่ […]

The post เปิดรูทเดินเขาเส้นทางใหม่ ‘เกียวโต-อามาโนะฮาชิดาเตะ’ ทริปชิลๆ 8 วัน 7 คืน ระยะทาง 70 กิโลเมตร appeared first on THE STANDARD.

]]>

สายเดินเทรล ชอบปีนเขาชมธรรมชาติ เรามีรูทใหม่ในประเทศญี่ปุ่นมาบอก เผื่อว่าใครเบื่อการเดินเล่นชมเมือง และอยากเดินขึ้นเขาเข้าป่าดูบ้าง โดยรูทนี้จะอยู่ในจังหวัดเกียวโต เส้นทางแวะทั้งหมด 9 จุด ก่อนไปสิ้นสุดที่ ‘อามาโนะฮาชิดาเตะ’ จุดชมวิวริมชายฝั่งตอนเหนือของเกียวโต ซึ่งเป็น 1 ใน 3 จุดชมวิวที่สวยที่สุดของประเทศญี่ปุ่น

 

เส้นทาง Kyoto: Mountains to the Sea จะใช้เวลา 8 วัน 7 คืน รวมระยะทางเดินทั้งหมดกว่า 70 กิโลเมตร ทุกคนจะได้ชมวิวธรรมชาติ แวะออนเซน กินอาหารท้องถิ่นแบบคนญี่ปุ่น รวมถึงแวะเที่ยวแลนด์มาร์กต่างๆ ที่ไม่ใช่จุดท่องเที่ยวทั่วไป เช่น หมู่บ้านโบราณ ศาลเจ้าเก่าแก่ หรือถนนในประวัติศาสตร์ โดยระยะทางเดินเท้าต่อวันประมาณ 7-15 กิโลเมตร (ระดับความยาก 4 เต็ม 6 ดาว)

 

สถานที่ที่ทุกคนจะได้เดินทางไป เริ่มต้นจากเกียวโต-ฮิโยชิ-มิยามะ-สึรุงะโอกะ-อายาเบะ-ฟุกุจิยามะ-โอเอะ-โยซาโนะ และจบที่มิยาสุ ซึ่งเป็นที่ตั้งของจุดชมวิวอามาโนะฮาชิดาเตะ

 

ทว่าอย่าเพิ่งตกใจไป เพราะเราไม่ได้เดินเท้าทั้งทริป บางจุดจะมีรถรับ-ส่ง หรือใช้รถไฟในการเดินทางด้วย ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมด Walk Japan นักจัดทริป Walking Tour ในประเทศญี่ปุ่น ได้รวมไว้ให้ในแพ็กเกจแล้ว เช่นเดียวกับที่พักตลอดทริปและอาหารบางมื้อ

 

เส้นทาง Kyoto: Mountains to the Sea จัดเฉพาะเดือนมีนาคม-มิถุนายน และกันยายน-พฤศจิกายน เท่านั้น จำกัดนักเดินไม่เกิน 12 คนต่อทริป โดยราคา 430,000 เยนต่อคน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ walkjapan.com/tour/kyoto-mountains-to-the-sea

 

 

ภาพ: Walk Japan

The post เปิดรูทเดินเขาเส้นทางใหม่ ‘เกียวโต-อามาโนะฮาชิดาเตะ’ ทริปชิลๆ 8 วัน 7 คืน ระยะทาง 70 กิโลเมตร appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จัก Tatcha แบรนด์สกินแคร์ที่ได้แรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมความงามและสุขภาพแห่งเกียวโต https://thestandard.co/life/tatcha/ Wed, 03 Jan 2024 06:36:32 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=883943 Tatcha

Tatcha เป็นแบรนด์สกินแคร์ระดับพรีเมียมที่น่าสนใจทั้งที่ […]

The post รู้จัก Tatcha แบรนด์สกินแคร์ที่ได้แรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมความงามและสุขภาพแห่งเกียวโต appeared first on THE STANDARD.

]]>
Tatcha

Tatcha เป็นแบรนด์สกินแคร์ระดับพรีเมียมที่น่าสนใจทั้งที่มาและส่วนผสม ก่อตั้งโดย Vicky Tsai ที่ได้แรงบันดาลใจในการสร้างแบรนด์มาจากการออกเดินทางเพื่อความสุขในปี 2009 เพื่อฮีลใจตัวเอง หลังจากที่เธอประสบปัญหาสุขภาพผิวอย่างรุนแรง รวมถึงความผิดหวังในอาชีพ เธอตัดสินใจไปเยือนเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ที่นั่นเองได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมการดูแลผิวของญี่ปุ่นที่ประกอบด้วยความสมดุล ความงาม และสุขภาพ จนนำไปสู่การก่อตั้งแบรนด์ Tatcha และใช้สูตรการดูแลผิวที่คิดค้นขึ้นที่สถาบันในโตเกียว โดยผสานความลงตัวของสมุนไพรญี่ปุ่นดั้งเดิมกับนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ นำเสนอการดูแลผิวที่ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อร่างกาย แต่ยังรวมถึงจิตใจและอารมณ์อีกด้วย LIFE จะพาทุกคนไปรู้จักกับ Tatcha ให้มากขึ้น 

 

 

What is it?

 

Tatcha ก่อตั้งขึ้นโดย Vicky Tsai เธอได้ไอเดียสร้างแบรนด์สกินแคร์จากประสบการณ์ส่วนตัวในการไปเยือนเกียวโต ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำไปสู่การค้นพบความสมดุลและสุขภาพผิวที่แท้จริง แบรนด์สกินแคร์ Tatcha นั้นเป็นแบรนด์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากปรัชญาความงามแบบญี่ปุ่น และมีการใช้ส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติอย่างหลากหลาย ผลิตภัณฑ์ของ Tatcha ออกแบบมาเพื่อให้เหมาะกับทุกสภาพผิว และเป็นที่รู้จักในเรื่องของคุณภาพและการใช้ส่วนผสมที่อ่อนโยน โดยให้ความสำคัญกับการรักษาความสมดุลของผิว พร้อมทั้งมุ่งเน้นไปที่การบำรุงผิวให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก และสูตรการดูแลผิวของ Tatcha ถูกคิดค้นขึ้นที่สถาบันในโตเกียวที่มีการผสมผสานระหว่างสมุนไพรดั้งเดิมของญี่ปุ่นและนวัตกรรมวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงแค่ดีต่อผิวให้มากที่สุด 

 

 

The Ingredients

 

ผลิตภัณฑ์ของ Tatcha มักจะมีส่วนผสมอย่างเช่น ชาเขียว ข้าว และสาหร่าย ซึ่งเป็นส่วนผสมที่มีประโยชน์และมีการใช้ในวัฒนธรรมการดูแลผิวของญี่ปุ่นมายาวนาน แบรนด์นี้ยังมีความมุ่งมั่นในการผลิตสินค้าที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและไม่ทดสอบกับสัตว์ด้วย 

 

 

The Product Range

 

หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่นิยมของ Tatcha คือ The Water Cream ซึ่งเป็นครีมบำรุงผิวที่มีความเบาสบายและช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้น เป็นมอยส์เจอไรเซอร์สูตร Anti-Aging มีสารสกัดจากพืชญี่ปุ่น และเติมความชุ่มชื้นให้ผิวได้ดี นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกมากมายที่ได้รับความนิยม เช่น เซรั่มบำรุงผิว The Dewy Serum, มาสก์หน้า The Clarifying Clay Mask และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวอย่าง The Rice Polish Foaming Enzyme Powder เป็นแป้งล้างหน้าที่ใช้ผสมกับน้ำเปล่าแล้วนวดวนทำความสะอาดผิวได้อย่างหมดจดล้ำลึก 

 

 

The Sustainability Efforts

 

ความมุ่งมั่นและอุดมการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมของ Tatcha คือการใช้ส่วนผสมธรรมชาติและมีการคัดสรรอย่างรอบคอบ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ 

 

ใช้บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน โดยได้ปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้สามารถรีไซเคิลได้ หรือทำจากวัสดุที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง ซึ่งรวมถึงการใช้พลาสติกที่รีไซเคิลได้ และกระดาษที่ได้จากแหล่งที่ยั่งยืน

 

Tatcha

 

ไม่ทดสอบกับสัตว์ เป็นนโยบายที่ชัดเจนซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของพวกเขาในการสร้างความงามที่มีจิตสำนึก นอกจากนี้ยังให้การสนับสนุนชุมชน โดยมีโครงการและกิจกรรมต่างๆ ที่ช่วยสนับสนุนชุมชนและฝ่ายบริการสังคม นอกจากนี้ยังทำงานร่วมกับองค์กรไม่แสวงผลกำไรเพื่อสนับสนุนในด้านการศึกษาและการอนุรักษ์ ลดการใช้ทรัพยากรในกระบวนการผลิต และพยายามใช้วิธีการที่มีประสิทธิภาพเพื่อลดการสิ้นเปลืองพลังงานด้วย

 

ภาพ: Tatcha / Instagram

The post รู้จัก Tatcha แบรนด์สกินแคร์ที่ได้แรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมความงามและสุขภาพแห่งเกียวโต appeared first on THE STANDARD.

]]>
Dusit Thani Kyoto พาชมโรงแรมแห่งแรกของดุสิตธานีในประเทศญี่ปุ่น https://thestandard.co/life/dusit-thani-kyoto-2/ Mon, 02 Oct 2023 02:00:19 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=848765 Dusit Thani Kyoto

เราคนหนึ่งที่ตื่นเต้นพอรู้ว่าแบรนด์โรงแรมไทยอย่าง ดุสิต […]

The post Dusit Thani Kyoto พาชมโรงแรมแห่งแรกของดุสิตธานีในประเทศญี่ปุ่น appeared first on THE STANDARD.

]]>
Dusit Thani Kyoto

เราคนหนึ่งที่ตื่นเต้นพอรู้ว่าแบรนด์โรงแรมไทยอย่าง ดุสิตธานี มาเปิดโลเคชันแรกในประเทศญี่ปุ่น แถมอยู่ในเมืองเกียวโตที่เต็มไปด้วยความเก่าแก่ ดั้งเดิม และเป็นเมืองโปรดของหลายๆ คนด้วย แม้แต่เราที่เคยไปครั้งแรกยังสนุกกับการเดินชมเมืองเลย

 

แต่สิ่งที่หลายคนน่าจะสงสัยใคร่รู้มากที่สุดตอนนี้ก็คือ ‘Dusit Thani Kyoto’ จะผสมผสานความเป็นไทยเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างไรบ้าง ด้านในโรงแรมมีอะไรน่าสนใจ และมีประสบการณ์แบบไหนรอทุกคนอยู่

 

วันนี้เราเลยจะมาเล่าให้ฟัง หลังจากบินไปนอนพักมา 3 วัน 2 คืนที่ Dusit Thani Kyoto โรงแรมแห่งแรกในประเทศญี่ปุ่นของแบรนด์ดุสิตธานี

 

 

Why here?

 

สิ่งแรกที่เราชอบในการมาพักที่ Dusit Thani Kyoto คือโลเคชัน โรงแรมอยู่ในย่าน Gojo ไม่ไกลจากสถานที่ท่องเที่ยว สามารถเดินเท้าไป Kyoto Tower และสถานีรถไฟเกียวโตได้ ประมาณ 10-15 นาทีถึง ซึ่งย่านนั้นถือเป็นย่านคึกคัก มีห้างสรรพสินค้า คาเฟ่ ร้านอาหาร หรือใครมีแพลนนั่งรถไฟ JR ไปเที่ยวเมืองอื่นก็มาขึ้นได้ที่นี่

 

รอบๆ โรงแรม Dusit Thani Kyoto เองก็มีร้านน่าสนใจๆ เยอะเหมือนกัน จะเป็นร้านแนวเรโทร สไตล์ญี่ปุ่นโบราณๆ ทว่าหลายร้านอาจปิดเร็วสักหน่อย เพราะเป็นย่านที่อยู่อาศัย มีวัด (เดินจากโรงแรมได้ 6 นาที) และเคยเป็นเขตโรงเรียน ซึ่งตัวโรงแรม Dusit เองนี่แหละ ที่เคยเป็นอดีตโรงเรียนเก่า ก่อนนำมารีโนเวตใหม่ให้กลายเป็น Dusit Thani Kyoto

 

 

พูดถึงการตกแต่ง ด้านนอกโรงแรมจะเด่นด้วยการใช้ระแนงไม้แบบญี่ปุ่น เข้ามาจะพบล็อบบี้ที่ได้แรงบันดาลใจจาก ‘พวงมาลัย’ ของไทย ผสมกับศิลปะการจัดดอกไม้ ‘อิเคบานะ’ มองลงไปชั้นล่างจะพบสวนญี่ปุ่นใจกลางโรงแรมที่จะเปลี่ยนสีไปตามฤดูกาล น่าจะเป็นวิวที่หลายคนชอบที่สุด

 

ห้องพักอยู่ตั้งแต่ชั้น 1-4 มีฟิตเนส สระว่ายน้ำ และสปา ชั้นล่างสุดเป็นสวน ห้องจัดอีเวนต์ และห้องอาหาร ได้แก่ Ayatana (อายะตานะ) ห้องอาหารเช้าที่จะกลายเป็นห้องอาหารไทยไฟน์ไดนิ่งตอนกลางวันและเย็น ห้องนี้ได้เชฟโบ-เชฟดีแลน แห่ง Bo.lan มาช่วยดูแลเมนูทั้งหมด โดยเน้นใช้วัตถุดิบญี่ปุ่นผสมวัตถุดิบไทย เสิร์ฟรสชาติอย่างไทย ไฮไลต์คือการใช้กะทิคั้นสดจากลูกมะพร้าวที่ทำเองทุกวัน เช่นเดียวกับ Kati (กะทิ) ร้านขนมไทยที่เน้นใช้วัตถุดิบจากมะพร้าว

 

ห้องอาหาร Ayatana (อายะตานะ) ในโรงแรม Dusit Thani Kyoto

ห้องอาหาร Ayatana (อายะตานะ) 

 

ห้องอาหารเทปปันยากิ Kōyō (โคโย) ในโรงแรม Dusit Thani Kyoto

ห้องอาหารเทปปันยากิ Kōyō (โคโย)

 

บาร์ค็อกเทล Den Kyoto (เด็น เกียวโต) ในโรงแรม Dusit Thani Kyoto

บาร์ค็อกเทล Den Kyoto (เด็น เกียวโต)

 

พื้นที่จัดพิธีชงชาญี่ปุ่น Tea Salon (ที ซาลอน)

 

การแสดงรำไมโกะ (Maiko Dance)

 

The Gallery (เดอะ แกลเลอรี) พื้นที่จิบชายามบ่ายและของฝาก

 

Kōyō (โคโย) เป็นห้องอาหารเทปปันยากิสไตล์ Chef’s Table เมื่อกินเสร็จสามารถเดินทะลุไปบาร์ค็อกเทล Den Kyoto (เด็น เกียวโต) ได้เลย ส่วนบนชั้นล็อบบี้จะมี Tea Salon (ที ซาลอน) อีกไฮไลต์ของโรงแรม ทุกคนนั่งจิบชา ชมพิธีชงชาแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมได้ที่นี่ ซึ่งตรงนี้จะมี The Gallery (เดอะ แกลเลอรี) พื้นที่สำหรับนั่งจิบ Afternoon Tea ด้วย

 

 

ห้องพักที่เรานอนเป็น Premier Garden View มีเฉพาะบนชั้น 1 (ชั้นล็อบบี้) แต่เงียบสงบ เพราะแยกกันคนละส่วน ถ้าใครอยากได้ห้องวิวสวนญี่ปุ่นและไม่ต้องกดลิฟต์บ่อยๆ ให้เลือกห้องชั้นนี้ โดยทุกห้องจะมีของตกแต่งที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการจับจีบสไบและกิโมโน มีอ่างแช่น้ำแบบญี่ปุ่น และมีความสงบเรียบง่ายที่รับรองว่าหลับสนิท

 

ส่วนห้องไฮไลต์ที่สุดคือ Imperial Suite อยู่ชั้นบนสุดของโรงแรม มีห้องเดียวและขนาดใหญ่ 173 ตารางเมตร เพราะมีครบทุกอย่าง โดยเฉพาะมองเห็นวิว Kyoto Tower ได้เลยจากหน้าต่างห้อง

 

ห้อง Deluxe Suite 

 

ห้อง Premier Suite

 

Worth it

 

Dusit Thani Kyoto เป็นโลเคชันแรกของเครือดุสิตธานีในประเทศญี่ปุ่น เราชอบการออกแบบที่ยังมีความเป็นไทย แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเป็นญี่ปุ่นด้วย เพราะโรงแรมตั้งใจอยากเป็นส่วนหนึ่งของย่าน และไม่ใช่แค่ตัวโรงแรมเท่านั้น Dusit Thani Kyoto มีการทำงานร่วมกับเกษตรกรท้องถิ่นอีก เช่น ใบชาที่ใช้ในโรงแรมเป็นใบชาออร์แกนิกจากไร่ของโรงแรมเอง ซึ่งปลูกโดยชาวญี่ปุ่น หรือผักบางชนิดก็มาจากไร่ออร์แกนิกโดยชาวญี่ปุ่นเช่นกัน 

 

ไร่ชาออร์แกนิกของโรงแรม

 

ฟาร์มผักออร์แกนิกท้องถิ่น

 

Good for

 

จากที่พูดมาทั้งหมด เราว่าถ้าใครชอบนอนพักโรงแรมที่สงบ เรียบง่าย มีความหรูหรา น่าคุ้นเคย หรืออยากพักในย่านที่ไม่พลุกพล่าน แต่ก็เดินไปเที่ยวสะดวก เราว่า Dusit Thani Kyoto เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

 

เพราะอย่างเรานอนพักแค่ 3 วัน 2 คืน ลองไปเดินเที่ยวรอบๆ โรงแรมก็รู้สึกสนุกแล้ว แถวนั้นมีทั้งร้านแกงกะหรี่ อิซากายะ เบเกอรี คาเฟ่ ร้านสาเก ดองกิโฮเต้ หรือแม้กระทั่งเดินไปย่าน Pontocho และ Gion ที่มีบ้านโบราณ วัดเก่าๆ หรือบาร์เจ๋งๆ ก็สามารถทำได้ ถ้าหากคุณชอบเดินน่ะนะ

 

วัด Nishi Hongan-ji ด้านหลังโรงแรม

 

ทางเดินไปวัด Nishi Hongan-ji 

 

วัด Higashi Hongan-ji ห่างจากโรงแรม 6 นาที

 

ระหว่างเดินจากโรงแรมไป Kyoto Tower ผ่านวัด Higashi Hongan-ji

 

Dusit Thani Kyoto

Location: เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น

Budget: เริ่มต้นคืนละ 10,000 บาทต่อห้อง

Contact: www.dusit.com/dusitthani-kyoto/

Map:

 

 

The post Dusit Thani Kyoto พาชมโรงแรมแห่งแรกของดุสิตธานีในประเทศญี่ปุ่น appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เกียวโต’ กำลังจะตาย? เรื่องเหลือเชื่อของเมืองที่รักของนักท่องเที่ยวที่ใกล้ ‘ล้มละลาย’ ทางการคลัง https://thestandard.co/kyoto-is-dying/ Sat, 09 Sep 2023 11:14:04 +0000 https://thestandard.co/?p=839607

ว่ากันว่าในช่วงมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงก่อนที่จะมีกา […]

The post ‘เกียวโต’ กำลังจะตาย? เรื่องเหลือเชื่อของเมืองที่รักของนักท่องเที่ยวที่ใกล้ ‘ล้มละลาย’ ทางการคลัง appeared first on THE STANDARD.

]]>

ว่ากันว่าในช่วงมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงก่อนที่จะมีการตัดสินใจทิ้งระเบิดปรมาณู 2 ลูกอันเป็นผลงานจากโปรเจกต์แมนฮัตตันที่ประเทศญี่ปุ่น เมืองหนึ่งที่อยู่ในข่ายการพิจารณาเพราะเป็นเมืองที่มีความสำคัญคือ ‘เกียวโต’ ในฐานะเมืองหลวงเก่าที่ทรงคุณค่าอย่างมากต่อชาวอาทิตย์อุทัย

           

“เกียวโต เมืองนี้ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม” หนึ่งในผู้พิจารณากล่าว “แต่ขอไว้แล้วกัน ผมกับภรรยาไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กันที่เมืองนี้”

           

หากนั่นจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เกียวโตรอดพ้นจากโศกนาฏกรรมได้ ก็คงเป็นเพราะความสวยงามของสถานที่ ความสงบ เรื่องราว และเสน่ห์บางอย่างที่ไม่อาจพบได้ที่ไหนอีก ซึ่งทำให้ใครต่างก็ตกหลุมรักเมืองแห่งนี้ได้ไม่ยากนักหากได้มาเยือนสักครั้ง หรือบางครั้งอาจจะตกหลุมรักตั้งแต่ยังไม่เคยมาเยือนด้วยซ้ำไป

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

ใครบ้างจะไม่หลงรักธรรมชาติอันงดงาม และป่าไผ่อันสูงใหญ่ตระการตาของอุทยานประวัติศาสตร์อาราชิยามะ ใครบ้างจะไม่ตะลึงไปกับความสงบของวัดคิโยมิซุ และตระการตาไปกับอารามสีทองของวัดคินคะคุจิ หรือเสาโทริอินับพันต้นของวัดฟูชิมิอินาริ และใครบ้างจะไม่อยากเดินชมความงดงามของย่านกิออน

           

ในแต่ละปีมีนักเดินทางจำนวนมากมายที่มาเยือนเมืองแห่งนี้ ภาพของผู้คนคราคร่ำเบียดเสียดทั้งตามสถานที่ท่องเที่ยว ไปจนถึงในระบบขนส่งสาธารณะทั้งรถบัสและรถไฟ และร้านอาหารที่ผู้คนต่อคิวกันแน่นขนัด

           

แต่ทั้งหมดนั้นเป็นภาพของเกียวโตจากภายนอกที่สวยงาม

           

สิ่งที่คนมากมายไม่ได้ล่วงรู้มาก่อนคือ เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยปัญหามากมาย และปัญหาเหล่านั้นอาจทำให้เกียวโตถึงแก่ความตายได้เลยทีเดียว

           

เกิดอะไรขึ้นกับเมืองอันเป็นที่รักของนักเดินทาง?

 

เกียวโตกำลังจะล้มละลาย

 

“เรากำลังเผชิญกับสถานการณ์วิกฤต มีโอกาสที่เราจะล้มละลายใน 10 ปี”

           

คำกล่าวนี้หากมาจากพ่อค้าแม่ขายตามสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย (เกียวโตเมืองเดียวมีมรดกโลกที่ได้รับการรับรองจากยูเนสโกมากถึง 17 แห่ง) ก็อาจฟังดูไม่เท่าไร แต่เมื่อมันเป็นคำพูดจากพ่อเมืองอย่าง ไดซากุ คาโดคาวา นายกเทศมนตรีเมืองเกียวโต ที่เปิดเผยต่อสาธารณะเมื่อปี 2021 เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที

           

นั่นเพราะคำว่าล้มละลายเป็นคำที่รุนแรง และไม่ใช่คำที่จะพูดกันส่งเดช

           

สาเหตุที่ทำให้นายกเทศมนตรีออกมาพูดนั้นเป็นเพราะสถานการณ์หนี้สินของเมืองเกียวโตเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังวิกฤตโควิด เมืองที่เคยรองรับนักท่องเที่ยวมากถึง 31 ล้านคนเมื่อปี 2019 แทบไม่เหลือนักท่องเที่ยวเลย

 

ภาพ: Getty Images

 

ในปี 2021 มีนักท่องเที่ยวมาเยือนเกียวโตแค่เพียง 250,000 คนเท่านั้น น้อยที่สุดตั้งแต่เคยมีการเก็บข้อมูลสถิติเอาไว้เมื่อปี 1964

 

การหายไปของนักท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เกียวโตกำลังเผชิญกับภาวะหนี้สินมากมาย มีการพยากรณ์ว่าหนี้สินจะแตะถึงระดับ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 70,440 ล้านบาทภายใน 10 ปีข้างหน้า จากวันที่นายกเทศมนตรีคาโดคาวาได้บอกไว้ หรือจะเกิดขึ้นภายในปี 2031

           

ภาระหนี้สินจำนวนดังกล่าวมากมายเกินกว่าที่เมืองจะแบกรับได้ไหว และหากแบกรับไม่ไหวนั่นอาจหมายถึงการล้มละลายทางการคลัง ซึ่งจะเป็นปัญหาใหญ่ยิ่ง

 

ทางรถไฟสายยมทูต

 

ถ้าหากการหายไปของนักท่องเที่ยวคือต้นตอของปัญหา การกลับมาของนักท่องเที่ยวภายหลังจากที่ญี่ปุ่นเริ่มเปิดประเทศ (และมีคนไทยมากมายที่ไปเที่ยวโดยไม่สนว่าค่าตั๋วเครื่องบินและที่พักจะเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน) นั่นก็น่าจะทำให้สถานการณ์ในตอนนี้ดีขึ้นบ้างแล้วใช่ไหม?

           

คำตอบนั้นมีทั้งใช่และไม่ใช่

 

           

การกลับมาของนักท่องเที่ยวหมายถึงภาคธุรกิจที่กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหลังจากซบเซาเหงาเงียบมานาน ร้านค้าคึกคัก ข้าวของขายดี ร้านอาหารคิวแน่นทะลัก

           

แต่ปัญหาของเกียวโตลึกและยากมากกว่านั้น เพราะต้นตอของวิกฤตที่เกิดขึ้นแล้ว และยังดำเนินต่อไปในทุกวันนั้นมาจาก ‘รถไฟใต้ดิน’

           

เรื่องนี้ฟังผิวเผินอาจยากจะเข้าใจ การมีระบบขนส่งสาธารณะอย่างรถไฟใต้ดินมันไม่ดีตรงไหน? ชาวเมืองหรือนักท่องเที่ยวต่างก็ใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ดีต่อสภาพแวดล้อม อากาศเมืองเกียวโตจึงได้สดชื่นไง

           

สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ การมีระบบขนส่งขนาดใหญ่อย่างรถไฟใต้ดินเป็นเรื่องดีก็จริง แต่มันหมายถึงการลงทุนมหาศาลด้วยเช่นกัน ซึ่งสำหรับเมืองเกียวโตมีรถไฟใต้ดินอยู่ด้วยกัน 2 สาย หนึ่งคือสายคาราสุมะ ซึ่งเปิดใช้งานตั้งแต่ปี 1981 และอีกหนึ่งสายคือสายโตไซ

           

สายคาราสุมะถือว่าเป็นสายหลักสำหรับนักท่องเที่ยว เพราะผ่านแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่ง ทำให้มีรายได้เพียงพอที่จะดูแลตัวเองได้ ปัญหาจึงอยู่ที่สายโตไซซึ่งเป็นปัญหาตั้งแต่เริ่มอนุมัติการก่อสร้าง

           

ปัญหานั้นเริ่มตั้งแต่เรื่องใหญ่ที่สุดอย่างปัญหาเรื่อง ‘ต้นทุน’ ในการก่อสร้าง เนื่องจากเป็นรถไฟใต้ดินสายที่เกิดขึ้นใหม่ ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างจึงสูงมาก อีกทั้งยังเกิดอุปสรรคมากมายในการก่อสร้าง เมื่อมีการพบโบราณวัตถุในระหว่างการก่อสร้าง ทำให้ทุกอย่างต้องหยุดชะงักเป็นพักๆ

           

เมื่อรวมกับการก่อสร้างในยุคฟองสบู่ ต้นทุนในการก่อสร้างจึงบานปลายมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึง 40% ด้วยกัน กลายเป็น 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.4 แสนล้านบาท

           

สิ่งที่แย่ที่สุดคือต้นทุนสูง แต่รายได้กลับต่ำกว่าที่ควรจะเป็นมาก ตั้งแต่เริ่มเปิดใช้งานสายโตไซเมื่อปี 1997 ก็ไม่เคยมีตัวเลขสีเขียวให้ชื่นใจเลย เพราะนักท่องเที่ยวกลับใช้สายคาราสุมะเป็นหลักมากกว่า

           

สายโตไซจึงเผชิญกับภาวะการขาดทุนมาโดยตลอด

           

เพื่อห้ามเลือดสภาเมืองจึงต้องช่วยเหลือ แต่การกู้เงินเพื่อมาประคับประคองกิจการไม่ได้เป็นการแก้ปัญหา ในทางตรงกันข้ามมันกลับเป็นการสร้างปัญหาในระยะยาวแทน

           

และที่เลวร้ายกว่านั้นคือมันไม่ได้เป็นแค่ปัญหาใหญ่ปัญหาเดียว

 

เกียวโตไม่มีสตางค์

 

เกียวโตยังมีปัญหาจากการบริหารงานที่ผิดพลาด เช่น การปรับปรุงที่ว่าการของเมืองใหม่ให้มีความทันสมัยและสวยงามขึ้น ติดตั้งบานกระจกรอบอาคารที่มีการตกแต่งกำแพงในแบบสถาปัตยกรรมยุโรป มีห้องชงชาแบบญี่ปุ่น มีรูฟท็อปด้านบน และชั้นใต้ดินที่เชื่อมกับสถานีรถไฟใต้ดิน

           

การปรับปรุงที่ว่าการเมืองใช้งบประมาณถึง 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ​ หรือกว่า 4.2 พันล้านบาท ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการใช้เงินอย่างเปล่าประโยชน์เพราะแทบไม่มีใครมาใช้

           

แต่นั่นก็ไม่เท่ากับปัญหาใหญ่ที่มองไม่เห็นทางออก เพราะมันยากจะเชื่อว่าเกียวโตเป็นเมืองที่มีปัญหาเรื่องของโครงสร้างรายได้ เพราะในความยิ่งใหญ่อันงดงามด้วยประวัติศาสตร์ของเมืองนั้น แลกมาด้วยการที่เมืองไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

 

           

อย่างที่เรารู้กันว่าเกียวโตเป็นเมืองหลวงเก่าที่ต้องการอนุรักษ์ไว้ ในแง่หนึ่งคือการเก็บรักษาสิ่งดีๆ เอาไว้ให้คนรุ่นต่อไป แต่ในอีกด้านคือปัญหาจุกอก เพราะภาษีก้อนใหญ่ที่จะเรียกเก็บเพื่อนำมาใช้บริหารจัดการเมือง อย่างภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไม่สามารถจัดเก็บได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย

           

นั่นเป็นเพราะเกียวโตมีกฎหมายในการกำหนดความสูงของอาคารที่จะไม่ยอมให้มีการก่อสร้างอาคารสูงง่ายๆ แม้กระทั่งสถานีเกียวโตอันยิ่งใหญ่สวยงามก็เคยถูกต่อต้านมาก่อน หรือหากคิดจะต่อเติมอาคารก็จะต้องให้มีการตรวจสอบจากหน่วยงานที่จะใช้สุนัข (ใช่แล้วน้องหมานี่แหละ) ในการสำรวจพื้นที่ก่อนว่ามีโบราณวัตถุฝังอยู่ใต้ดินหรือไม่ ซึ่งมันมีประเด็นตรงที่ถ้าเป็นบ้านเรือนทางการจะดูแลค่าใช้จ่ายให้ แต่เป็นอาคารพาณิชย์จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด นั่นทำให้การก่อสร้างอาคารพาณิชย์ในเกียวโตยากอย่างยิ่ง

           

เมื่อไม่มีอาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ก็หมายถึงความหวังในการเก็บเงินภาษีจากส่วนนี้หายไปเป็นจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเมืองหลวงใหม่อย่างโตเกียวที่มีแต่ตึกสูงมากมายเต็มไปหมด

           

ครั้นจะมาหวังพึ่งพากับภาษีท้องถิ่นที่จัดเก็บจากผู้มีรายได้ในเมืองก็ไม่มีวันเพียงพอ เพราะเกียวโตมีประชากรเพียงแค่ 1.5 ล้านคนเท่านั้น โดยที่เมืองไม่ได้มีการขยายตัวของจำนวนประชากรในแบบที่เคยคาดไว้เมื่อ 40 ปีที่แล้วด้วยซ้ำไป

           

และในจำนวน 1.5 ล้านคน ยังเป็นนักศึกษาถึง 150,000 คน หรือคิดเป็น 10% ของเมือง เพราะเกียวโตเป็นเมืองแห่งมหาวิทยาลัย นั่นหมายถึงมีคนที่เสียภาษีท้องถิ่นจริงๆ เพียงแค่ 43.1% ของเมือง น้อยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น

           

ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวอย่างวัดวาอารามที่คนไปเที่ยวกันมากมายมหาศาลนั้น ด้วยความเป็นศาสนสถานจึงไม่ต้องเสียภาษีที่ดิน ไปจนถึงเรื่องภาษีเงินบริจาค การจำหน่ายเครื่องรางของขลังต่างๆ มีเพียงแค่รายได้เล็กๆ น้อยๆ จากการจำหน่ายสินค้าอย่างของที่ระลึก ค่าเช่าที่จอดรถ ค่าเช่าสถานที่ของร้านค้าเท่านั้นที่จัดเก็บภาษีได้

 

ทางรอดของเกียวโต

 

หนี้สินมหาศาลแต่รายได้น้อยนิด คือคำจำกัดความที่น่าจะเข้าใจได้ง่ายที่สุดสำหรับวิกฤตการณ์ทางการคลังของเกียวโต ซึ่งเกิดจากหนี้สินของการก่อสร้างรถไฟฟ้าที่ขาดทุน จนเมืองต้องนำเงินที่เตรียมไว้ใช้จ่ายสำหรับอนาคตมาอุดหนุนและสูญเสียสภาพคล่อง โดยที่ไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้เพียงพอ

           

ดังนั้นถึงนักท่องเที่ยวจะกลับมาแล้ว และต่อให้คนเที่ยวจนเมืองแตกก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์อะไรดีขึ้นสักเท่าไร เพราะมีแค่ภาษีที่จัดเก็บได้จากก้อนภาษีท้องถิ่นที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่มาก ขณะที่ภาษีที่ดินและสิ่งก่อสร้างได้เท่าๆ เดิม

           

เพื่อให้รอดพ้นจากการล้มละลายทางการคลัง เมืองเกียวโตจึงต้องออกนโยบายในการ ‘รัดเข็มขัด’ ครั้งใหญ่ เพราะไม่เช่นนั้นเกียวโตจะกลายเป็นท้องที่ที่รัฐเข้ามาจัดการในฐานะท้องถิ่นที่ต้องฟื้นฟูทางการคลัง ซึ่งเป็นทางเลือกสุดท้าย

           

สิ่งที่เกียวโตทำมีหลายอย่าง เริ่มจากการร่างแผนฟื้นฟูสภาพการเงินการคลังภายในระยะเวลา 5 ปี โดยในแผนหลักใหญ่อยู่ที่การควบคุมรายรับรายจ่ายอย่างเคร่งครัด ผ่านวิธีการต่างๆ เช่น

 

  • ปรับลดจำนวนเจ้าหน้าที่
  • ปรับลดเงินค่าจ้าง
  • ปรับลดการอุดหนุนบัตรโดยสารของผู้สูงอายุ
  • ขึ้นราคาค่าโดยสารของระบบขนส่งสาธารณะ

 

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นส่วนหนึ่งการทำเพื่อแก้ไขปัญหาก็จริง แต่มันก็สร้างปัญหาใหม่ขึ้นอีก เพราะสร้างความไม่พอใจให้แก่ชาวเมืองอย่างมาก เพราะกระทบต่อสวัสดิการที่ประชาชนเคยได้รับ

           

ยังมีปัญหาลึกๆ ที่น่าเป็นห่วงอย่างการปรับเพิ่มค่าเลี้ยงดูบุตร ซึ่งกระทบต่อชาวเมืองในวัยเลี้ยงดูบุตร เพราะเกียวโตเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘เบอร์ 1’ เรื่องสภาพแวดล้อมการเลี้ยงดูบุตรและการศึกษา ปกติแล้วพี่เลี้ยง 1 คนจะดูแลเด็ก 5 คน ซึ่งถือว่าดีกว่ามาตรฐานทั่วไปของประเทศ แต่เมื่องบประมาณถูกตัดทอนก็ทำให้มีคนทยอยย้ายออก

 

           

ไม่นับเรื่องของค่าใช้จ่ายหลักอย่างค่าอสังหาริมทรัพย์ในเกียวโตที่พุ่งทะยานขึ้น หลังจากนักลงทุนจีนที่เข้ามาลงทุนด้วยการซื้อบ้านตากอากาศ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็ไม่ต่างจากในหลายประเทศ (รวมถึงไทย) คือการที่ชาวเมืองไม่สามารถสู้กับค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่นี้ได้ไหว จึงเกิดการย้ายถิ่นฐานขึ้น

           

และแน่นอนว่าถ้าคนหายไป ก็ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างจะยิ่งเลวร้ายลงไปอีก

           

เรียกได้ว่าสถานการณ์ของเกียวโตน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะดูเหมือนจะยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ และมีความเป็นไปได้สูงที่รัฐจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เหมือนที่ต้องเคยเข้ามาจัดการเมืองยูบาริ อดีตเมืองเหมืองถ่านหินที่เคยรุ่งเรือง ก่อนจะล่มสลายทางการคลังในปี 2006

           

แต่ก่อนจะถึงจุดนั้น เกียวโตต้องพยายามดูแลตัวเองให้ดีที่สุด

           

ไม่ใช่ในฐานะเพียงเมืองที่รักของนักท่องเที่ยว ที่เต็มไปด้วย ‘ความทรงจำ’ ที่เกิดขึ้นมากมายจากอดีต

 

เกียวโตต้องอยู่ให้ได้ต่อไปถึงในอนาคต เพื่อลูกหลานของพวกเขาในวันข้างหน้าด้วย

 

ภาพเปิด: Getty Images

อ้างอิง:

The post ‘เกียวโต’ กำลังจะตาย? เรื่องเหลือเชื่อของเมืองที่รักของนักท่องเที่ยวที่ใกล้ ‘ล้มละลาย’ ทางการคลัง appeared first on THE STANDARD.

]]>
Dusit เปิดตัวโรงแรมใหม่ 3 แห่ง ปักหมุด สามย่าน สาทร และเกียวโต https://thestandard.co/life/dusit-launch-3-hotels/ Tue, 09 May 2023 07:00:52 +0000 https://thestandard.co/?p=787457 Dusit

กลุ่มดุสิตธานีเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจโรง […]

The post Dusit เปิดตัวโรงแรมใหม่ 3 แห่ง ปักหมุด สามย่าน สาทร และเกียวโต appeared first on THE STANDARD.

]]>
Dusit

กลุ่มดุสิตธานีเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจโรงแรมอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เตรียมเปิดให้บริการโรงแรมใหม่อีก 3 แห่ง Dusit D2 Samyan Bangkok, ASAI Sathorn และ ASAI Kyoto Shijo ภายในวันที่ 1 มิถุนายน นี้ 

 

สำหรับ Dusit D2 Samyan Bangkok จะเปิดให้บริการในวันที่ 12 พฤษภาคม โดยตั้งอยู่บนถนนสี่พระยา ซึ่งเป็นถนนคู่ขนานกับถนนสีลม ด้านในตกแต่งทันสมัย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย พื้นที่อเนกประสงค์สำหรับการจัดประชุม สระว่ายน้ำมองเห็นวิวกรุงเทพฯ แบบพาโนรามา และอาหารอร่อยหลากรูปแบบ ตั้งแต่สไตล์ Grab & Go ไปจนถึงบาร์บนชั้นดาดฟ้าวิวสวย

 

ขณะที่ ASAI Bangkok Sathorn โรงแรมแห่งที่ 2 ภายใต้แบรนด์ ASAI จะเปิดให้บริการในวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ สานต่อความสำเร็จของ ASAI Bangkok Chinatown ที่เพิ่งครบรอบ 2 ปี ไม่นานมานี้ โดยจะตั้งอยู่ในซอยสาทร 12 ห่างจากรถไฟฟ้า BTS สถานีเซนต์หลุยส์ เพียงเดิน 5 นาที ห้องพัก 106 ห้อง มาพร้อมเตียงนุ่มสบาย ห้องน้ำพร้อมเรนชาวเวอร์ และพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่พร้อมเป็นทุกอย่างได้ตามความต้องการ ทั้งที่นั่งทำงาน บาร์ ที่นี่ยังได้ เชฟโบ-ดวงพร ทรงวิศวะ และ เชฟดีแลน โจน มาดูแลเรื่องอาหารด้วย

 

สำหรับแห่งสุดท้าย ASAI Kyoto Shijo จะเปิดให้บริการภายในวันที่ 1 มิถุนายน โดยยึดทำเลทองในย่านชิโจ-คาราสุมะ ซึ่งอยู่ใจกลางของเมืองเกียวโตมาเป็นสถานที่ตั้ง ASAI Kyoto Shijo จะประกอบด้วยห้องพัก 114 ห้อง เน้นนอนสบาย ใช้พื้นที่ส่วนคุ้มค่าตามฉบับแบรนด์ ASAI แต่จะมีห้องอาหารในบรรยากาศสบายๆ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสตรีทฟู้ดในกรุงเทพฯ ให้บริการด้วย ทั้งยังทำโครงการร่วมกับชุมชน สนับสนุนโปรดักต์ท้องถิ่น 

 

นอกจากทั้ง 3 แห่ง กลุ่มดุสิตธานียังมีแผนเปิดโรงแรมทั่วโลกอีก 9 แห่ง ทั้งที่เนปาล ญี่ปุ่น อินเดีย และอื่นๆ ซึ่งจะทำให้มีโรงแรมในพอร์ตโฟลิโอทั้งหมด 62 แห่ง (รวม 13,700 ห้อง) ดำเนินงานใน 18 ประเทศทั่วโลก ภายในสิ้นปีนี้

 

สำหรับใครที่สนใจรายละเอียดที่พักทั้ง 3 แห่ง คลิกเข้าไปดูได้ที่ dusit.com/dusitd2-samyanbangkok, asaihotels.com/locations/bangkok-sathorn และ dusit.com/asai-kyoto

 

ภาพ: Courtesy of Brand

The post Dusit เปิดตัวโรงแรมใหม่ 3 แห่ง ปักหมุด สามย่าน สาทร และเกียวโต appeared first on THE STANDARD.

]]>