Knight Frank – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 28 Aug 2025 12:09:48 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ไนท์แฟรงค์ฯ เปิดข้อมูลตลาดคอนโดมิเนียม Q2/68 ชะลอตัวต่อเนื่อง มีโครงการเปิดใหม่แค่ 2 โครงการ เหตุผู้ประกอบการระวังการลงทุน https://thestandard.co/nightfrank-q2-condo-market/ Thu, 28 Aug 2025 08:43:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1112661 nightfrank-q2-condo-market

บริษัทไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย ผู้นำด้านที่ปรึกษาด้านอสังหา […]

The post ไนท์แฟรงค์ฯ เปิดข้อมูลตลาดคอนโดมิเนียม Q2/68 ชะลอตัวต่อเนื่อง มีโครงการเปิดใหม่แค่ 2 โครงการ เหตุผู้ประกอบการระวังการลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>
nightfrank-q2-condo-market

บริษัทไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย ผู้นำด้านที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ของไทย ‘สรุปตลาดคอนโดมิเนียมไตรมาสที่ 2 ปี 2568’ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ตลาดคอนโดมิเนียมยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีการเปิดตัวโครงการใหม่เพียง 2 โครงการ สะท้อนความระมัดระวังของผู้ประกอบการในการลงทุนใหม่ ท่ามกลางภาวะตลาดที่ยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยหลายด้าน

 

นอกจากนี้ เหตุการณ์แผ่นดินไหวในช่วงที่ผ่านมาได้สร้างแรงกระทบเชิงจิตวิทยาต่อตลาดคอนโดฯ โดยเฉพาะโครงการที่สร้างเสร็จและเหลือขาย ส่งผลให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ลดลงอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 

ขณะที่จำนวนโครงการเปิดใหม่ก็ลดลงตามไปด้วย ผู้ประกอบการหลายรายจึงจำเป็นต้องยืดระยะเวลาในการระบายสต็อกออกไป ซึ่งอาจส่งผลต่อต้นทุนในการบริหารจัดการที่เพิ่มขึ้น

 

อีกทั้ง ปัญหาการชำระหนี้ของผู้ประกอบการบางรายในไตรมาส 2 นี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินโดยรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นำไปสู่การลดราคาขายหรือออก

 

กลยุทธ์พิเศษเพื่อเร่งยอดขายและรายได้ เพื่อให้สามารถบริหารกระแสเงินสดและภาระหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายด้าน แต่ผู้ประกอบการยังคงเดินหน้าปรับตัวและวางแผนเชิงรุก เพื่อรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2568 นี้

 

อุปทานคอนโดฯ ลดลงชัดเจน สะท้อนผู้ประกอบการชะลอการลงทุน 

 

แนวโน้มของอุปทานแสดงทิศทางลดลงอย่างชัดเจน สะท้อนภาวะตลาดที่ยังมีความระมัดระวังของผู้พัฒนาในการเปิดตัวโครงการใหม่ของไตรมาส 2 ปี 2568 ต่ำสุดในรอบ 15 ปี โดยมีการเปิดตัวเพียง 405 ยูนิต ซึ่งตั้งอยู่ชานเมืองตอนเหนือของกรุงเทพฯ จากการเปิดตัวในไตรมาสนี้มีการเปิดตัวโครงการซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2563 และลดลงอย่างมากจากค่าเฉลี่ยปกติในช่วงก่อนหน้า โดยเฉพาะช่วง ไตรมาส 2 ของปี 2565 ที่มีการเปิดตัวสูงสุดถึง 15,164 ยูนิต ซึ่งเป็นจุดสูงสุดในรอบ 5 ปี ก่อนเริ่มชะลอตัวลงอีกครั้งในปี 2566 ถึง 2568 และหลังจากไตรมาส 3 ของปี 2566 เป็นต้นมา 

 

โดยปริมาณหน่วยเปิดใหม่ต่อไตรมาสไม่เกิน 8,000 หน่วย และต่ำกว่า 3,000 หน่วย ในบางไตรมาส เช่น ไตรมาส 4 ของปี 2566 และ ไตรมาส 1 ของปี 2567 นอกจากนี้ ยอดการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2568 ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เหลือเพียง 12,183 หน่วย ซึ่งถือเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบกว่า 6 ปี สะท้อนถึงภาวะตลาดที่ชะลอตัวรุนแรงต่อเนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และปัจจัยลบต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ซื้อ ทั้งภาระหนี้ครัวเรือนสูง ค่าใช้จ่ายยังเพิ่มขึ้น และความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อจากสถาบันการเงิน

 

 สรุปตลาดคอนโด ไนท์แฟรงค์ Q2

สรุปตลาดคอนโด ไนท์แฟรงค์ Q2

 

อุปสงค์คอนโดฯ ใน Q2/68 ยังอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนกำลังซื้ออ่อนแอ 

 

อุปสงค์ของในไตรมาส 2 ปี 2568 ยอดจองคอนโดในไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 105 ยูนิต ซึ่งแม้จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังถือเป็นระดับที่ต่ำที่สุดเป็นลำดับที่สองในรอบ 5 ปี สะท้อนถึงกำลังซื้อที่ยังอ่อนแรงและความไม่มั่นใจของผู้บริโภคที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ภาระหนี้ครัวเรือน ค่าใช้จ่าย และเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อที่ยังคงเข้มงวด โดยเฉพาะในกลุ่ม Real Demand แม้ว่าจำนวน Supply ที่เปิดใหม่ในไตรมาสนี้จะอยู่ที่ 409 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นความต้องการซื้อให้กลับมาฟื้นตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ

 

สรุปตลาดคอนโด ไนท์แฟรงค์ Q2

 

การแข่งขันราคาขายยังคงสูงในหลายทำเล

 

ในไตรมาสนี้ ราคาเสนอขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมยังคงอยู่ในระดับทรงตัวโดยรวม สะท้อนถึงภาวะตลาดที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ และการแข่งขันด้านราคาที่ยังคงสูงในหลายทำเล

 

  • บริเวณใจกลางเมือง (CBD) ราคาเสนอขายเฉลี่ยอยู่ที่ 239,475 บาท/ตร.ม. โดยยังคงรักษาระดับราคาไว้ได้ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า แม้ว่าย่านสุขุมวิทจะมีการปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ย่านสาทร-สีลมยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงของราคาขาย สะท้อนถึงการชะลอตัวของดีมานด์ในกลุ่มตลาดบนที่ยังรอปัจจัยบวกใหม่ๆ
  • บริเวณรอบใจกลางเมือง (City Fringe) ราคาเฉลี่ยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 126,897 บาท/ตร.ม. โดยได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ลดลงและการแข่งขันระหว่างโครงการที่มีสต็อกเหลือขายสูง ทำให้ผู้ประกอบการต้องเสนอราคาที่ดึงดูดมากขึ้น
  •  บริเวณชานเมือง (Bangkok Suburbs) ราคาเสนอขายเฉลี่ยอยู่ที่ 72,193 บาท/ตร.ม. โดยยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความพยายามของผู้พัฒนาในการกระตุ้นการขายในกลุ่ม real demand และเร่งระบายยูนิตคงค้างในทำเลรอบนอก

 

โดยภาพรวม การที่ราคาทรงตัวหรือปรับลดในหลายพื้นที่ แสดงให้เห็นถึงภาวะตลาดที่ยังอ่อนไหวต่อปัจจัยภายนอก และการแข่งขันที่เน้นการสร้างความคุ้มค่าให้กับผู้ซื้อ มากกว่าการขยับราคาขึ้นในช่วงนี้

 

สรุปตลาดคอนโด ไนท์แฟรงค์ Q2

 

แนวโน้มตลาดคอนโดฯ ยังเผชิญปัจจัยเสี่ยงอีกหลายด้าน

 

  • ตลาดยังคงเผชิญแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและในประเทศยังเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ทั้งเรื่องหนี้ครัวเรือน ค่าครองชีพสูง และความเข้มงวดของสินเชื่อ ส่งผลให้กำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่ม real demand
  • การเปิดตัวโครงการใหม่จะยังอยู่ในระดับต่ำ ผู้พัฒนาส่วนใหญ่จะยังชะลอแผนเปิดตัวโครงการใหม่ โดยให้ความสำคัญกับการระบายสต็อกที่มีอยู่มากกว่า คาดว่าการเปิดตัวใหม่จะทยอยกลับมาในช่วงไตรมาส 4 หากมีสัญญาณบวกจากนโยบายรัฐหรือทิศทางดอกเบี้ย
  • ทำเลพรีเมียมและโครงการพร้อมอยู่มีโอกาสเติบโตได้ดีกว่าคอนโดมิเนียมในทำเลที่มีดีมานด์ชัดเจน เช่น ริมแม่น้ำ รถไฟฟ้า หรือใจกลางเมือง จะได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้มีศักยภาพและนักลงทุนต่างชาติที่มองหาความมั่นคงและคุณภาพชีวิต
  • มาตรการรัฐยังเป็นแรงพยุงสำคัญ การลดดอกเบี้ยนโยบาย ปลดล็อก LTV และลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนอง ยังคงช่วยประคับประคองตลาด โดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อที่มีความพร้อมทางการเงิน แต่ผลกระทบยังจำกัดในวงแคบ
  • การแข่งขันด้านราคายังคงสูง ผู้ประกอบการยังจำเป็นต้องใช้นโยบายส่งเสริมการขาย เช่น ส่วนลด โปรโมชั่น หรือการออกแบบแพ็กเกจการผ่อน เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ ทำให้ราคาขายในตลาดมีแนวโน้มทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อยในบางทำเล
  • การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวก็ส่งผลทางอ้อมต่อดีมานด์ในตลาดคอนโดฯ โดยเฉพาะโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลเชื่อมต่อเมืองหรือพื้นที่ที่มีนักลงทุนปล่อยเช่าเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสของตลาดในกลุ่มที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และการใช้ชีวิตในเมืองมากกว่าการอยู่อาศัยพื้นฐานเพียงอย่างเดียว

 

สรุปตลาดคอนโด ไนท์แฟรงค์ Q2

 

ด้านแฟรงค์ ข่าน หุ้นส่วน – หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านที่พักอาศัย กล่าวว่า ตลาดคอนโดมิเนียมยังคงเผชิญความท้าทายจากกำลังซื้อที่อ่อนแรงและปัจจัยเศรษฐกิจ ผู้พัฒนาโครงการจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์โดยเน้นการสร้างความคุ้มค่าและตอบโจทย์ Real Demand ให้มากขึ้น เพื่อรักษาระดับยอดขายในภาวะที่การแข่งขันสูง ขณะเดียวกัน เรายังคาดว่าการฟื้นตัวของตลาดจะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นในช่วงปลายปี โดยเฉพาะหากมีมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ และทิศทางดอกเบี้ยที่ผ่อนคลาย ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค

The post ไนท์แฟรงค์ฯ เปิดข้อมูลตลาดคอนโดมิเนียม Q2/68 ชะลอตัวต่อเนื่อง มีโครงการเปิดใหม่แค่ 2 โครงการ เหตุผู้ประกอบการระวังการลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>
คนรวย 10 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 4.4% ทั่วโลก ในปี 2024 เป็นกว่า 2.3 ล้านคน https://thestandard.co/global-wealth-10-trillion-2024/ Sat, 08 Mar 2025 06:39:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1049971

จากรายงาน Wealth Report ประจำปีโดยบริษัทที่ปรึกษาด้านอส […]

The post คนรวย 10 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 4.4% ทั่วโลก ในปี 2024 เป็นกว่า 2.3 ล้านคน appeared first on THE STANDARD.

]]>

จากรายงาน Wealth Report ประจำปีโดยบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก Knight Frank ระบุว่า จำนวนบุคคลที่มีสินทรัพย์มูลค่ามากกว่า 10 ล้านดอลลาร์ หรือราว 340 ล้านล้านบาท ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นกลุ่ม High-Net-Worth Individuals (HNWIs) เพิ่มขึ้น 4.4% ทั่วโลกในปี 2024 เป็น 2,341,378 คน โดยเฉพาะในอเมริกาเหนือที่ตัวเลขเพิ่มขึ้น 5.2%

 

รายงานดังกล่าวคาดการณ์ว่า สหรัฐฯ เป็นที่อยู่อาศัยของมหาเศรษฐีเกือบ 40% ของโลก ซึ่งมากกว่าสองเท่าของจำนวนเศรษฐีที่อาศัยอยู่ในจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐีมากเป็นอันดับสองของโลก

 

“แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวในปี 2024 แต่ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ช่วยพยุงความเชื่อมั่นของนักลงทุน” Liam Bailey หัวหน้าฝ่ายวิจัยระดับโลกของ Knight Frank กล่าวในแถลงการณ์

 

Liam กล่าวต่อว่า “แนวโน้มที่ส่งเสริมการสร้างความมั่งคั่ง เช่น การเติบโตของตลาดการเงิน โดยเฉพาะตลาดหุ้น และการพุ่งขึ้นของราคา Bitcoin ยังคงดำเนินต่อไปตลอดปี 2024”

 

ตลอดปีที่ผ่านมา ภาวะตลาดที่เป็นบวกช่วยเพิ่มผลกำไรของนักลงทุน โดยดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 23% ในปี 2024 ดัชนี Nasdaq เติบโตเกือบ 29% และ ดัชนี Dow Jones Industrial Average เพิ่มขึ้นกว่า 12%

 

“แม้จะมีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่การค้าระหว่างประเทศที่ยังคงแข็งแกร่งได้ช่วยกระตุ้นการเติบโตเพิ่มเติม” Bailey กล่าว

 

ความมั่งคั่งกระจุกตัวมากขึ้นในหมู่มหาเศรษฐี

 

จากรายงานของ Knight Frank จำนวนบุคคลที่มีทรัพย์สินไม่ต่ำกว่า 100 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 4.2% ในปี 2024 ทำให้จำนวนมหาเศรษฐีระดับนี้ทะลุ 100,000 คนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

 

ขณะเดียวกัน จำนวนมหาเศรษฐีระดับพันล้าน (Billionaires) เพิ่มขึ้นเกือบ 8% ในปีที่ผ่านมา ตามรายงานอีกฉบับของ Oxfam ซึ่งเผยแพร่ในเดือนมกราคม

 

“เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ เราอยู่ในยุคของมหาเศรษฐี” Jenny Ricks เลขาธิการกลุ่มสิทธิมนุษยชน Fight Inequality Alliance กล่าวกับ CNBC

 

รายงานของ Oxfam ยังเปิดเผยว่า มีมหาเศรษฐีหน้าใหม่ถึง 204 คนภายในระยะเวลาเพียง 12 เดือน

 

“อัตราการสะสมความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้นถึงสามเท่า และอำนาจของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน” Amitabh Behar ผู้อำนวยการบริหารของ Oxfam International กล่าวหลังจากเปิดเผยรายงาน

 

ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจนทวีความรุนแรงขึ้น

 

ตัวเลขล่าสุดสะท้อนถึงช่องว่างที่กว้างขึ้นระหว่างคนรวยกับคนจนทั่วโลก แม้ว่าสหรัฐฯ จะเป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดในโลก แต่ประชากรอเมริกันกว่า 36.8 ล้านคนยังคงอยู่ในภาวะยากจน คิดเป็น 11.1% ของประชากรทั้งหมด ตามรายงานล่าสุดของสำนักงานสำรวจสำมะโนประชากรสหรัฐฯ (U.S. Census Bureau)

 

นอกจากนี้ ชนชั้นกลางชาวอเมริกันยังเผชิญกับแรงกดดันจากสงครามการค้าและความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น

 

อ้างอิง:

The post คนรวย 10 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 4.4% ทั่วโลก ในปี 2024 เป็นกว่า 2.3 ล้านคน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดชื่อ 5 เมืองยุโรปที่เศรษฐีทั่วโลกเตรียมย้ายถิ่นฐานไปมากสุด กับเหตุผลทำไมลอนดอนหลุดอันดับ และ ‘สหราชอาณาจักร’ ไม่ใช่สวรรค์อีกต่อไป https://thestandard.co/top-european-cities-wealthy-relocate/ Sat, 07 Sep 2024 10:11:54 +0000 https://thestandard.co/?p=980879

เปิด 5 เมืองยอดนิยมในยุโรปที่บุคคลที่มีทรัพย์สินสุทธิสู […]

The post เปิดชื่อ 5 เมืองยุโรปที่เศรษฐีทั่วโลกเตรียมย้ายถิ่นฐานไปมากสุด กับเหตุผลทำไมลอนดอนหลุดอันดับ และ ‘สหราชอาณาจักร’ ไม่ใช่สวรรค์อีกต่อไป appeared first on THE STANDARD.

]]>

เปิด 5 เมืองยอดนิยมในยุโรปที่บุคคลที่มีทรัพย์สินสุทธิสูงทั่วโลกเตรียมย้ายถิ่นฐานไปมากที่สุดในปี 2024 ขณะที่กรุงลอนดอนกลับไม่ติดอันดับ และ ‘สหราชอาณาจักร’ อาจไม่ใช่สวรรค์ของเหล่ามหาเศรษฐีอีกต่อไปแล้ว

 

Knight Frank European Lifestyle Report รายงานว่า 83% ของบุคคลที่มีรายได้สุทธิสูง ซึ่งหมายถึงผู้ที่มีรายได้มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กำลังพิจารณาการย้ายถิ่นฐาน โดยปัจจัยหลักๆ นอกจากความชื่นชอบการใช้ชีวิตในเมืองเพราะได้รับโอกาสทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจแล้ว อีกกว่า 17% ระบุว่า ชอบสถานที่ในชนบทและรีสอร์ตสำหรับทิวทัศน์ธรรมชาติและการใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์

 

โดย Knight Frank สำรวจจากบุคคลที่มีรายได้สูงจำนวน 700 ราย จาก 11 ประเทศ รวมถึงสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา ผ่าน 5 ตัวชี้วัดหลัก ได้แก่ เศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม โครงสร้างพื้นฐานและความคล่องตัว และทุนมนุษย์ (ความรู้ความสามารถ)

 

ผลสำรวจพบว่าปารีสอยู่ในอันดับต้นๆ โดยมีความโดดเด่นด้านเศรษฐกิจและทุนมนุษย์ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น มหาวิทยาลัย สำนักงานใหญ่ของบริษัท และการลงทุนด้านวัฒนธรรม

 

อย่างไรก็ตาม ลอนดอนที่มักถูกมองว่าเป็นจุดหมายปลายทางและเป็นศูนย์กลางสำหรับคนรวยกลับไม่ติดอันดับ

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

โดยบริษัทที่ปรึกษาที่ติดตามแนวโน้มการย้ายถิ่นฐานระบุว่า ขณะนี้มีเศรษฐีราว 128,000 ราย กำลังวางแผนที่จะย้ายที่อยู่ทั่วโลก โดยในปี 2024 มีราวๆ 120,000 ราย นอกจากนี้ 19% ของบุคคลที่มีรายได้สุทธิสูงเป็นพิเศษ ซึ่งมีรายได้มากกว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป กำลังวางแผนที่จะสมัครหนังสือเดินทางเล่มที่สองหรือได้รับสัญชาติในประเทศอื่น

 

ปัจจัยหลักคือความปลอดภัย การจ้างงาน ภาษี และภูมิรัฐศาสตร์ ก็มีผล

 

รายงานระบุอีกว่า ลำดับความสำคัญหลักที่เศรษฐีพันล้านพิจารณาย้ายถิ่นฐานคือความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว รองลงมาคือการจ้างงาน ภาษี และการศึกษา โดยหนุ่มสาว Gen Z และ Millennial มักให้ความสำคัญกับการจ้างงานเป็นอันดับแรก

 

ในขณะที่คนรุ่นก่อนๆ มักให้ความสำคัญกับการเก็บภาษีมากกว่า ซึ่งความปลอดภัยและการเก็บภาษีมีความสำคัญต่อ High-Net-Worth Individual (HNWI) (ผู้มีความมั่งคั่งที่มีทรัพย์สินเป็นเงินสดในธนาคาร หรือ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 32 ล้านบาท) มากกว่าความกังวลเรื่องวีซ่าเมื่อย้ายที่อยู่ บวกกับความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น และความท้าทายด้านความเป็นส่วนตัวในยุคดิจิทัล

 

Kate Everett-Allen หัวหน้าฝ่ายวิจัยที่อยู่อาศัยในยุโรปของ Knight Frank กล่าวในรายงานอีกว่า ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงนโยบายกำลังผลักดันให้กลุ่ม HNWI ย้ายไปยังเขตพื้นที่อำนาจศาลที่อำนวยความสะดวกกว่า

 

โดยหากดูจากการถอนเงินอย่างรวดเร็วจำนวน 1,500 ล้านฟรังก์สวิส หรือ 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก Credit Suisse ในปลายปี 2022 พบว่า ผู้ถือบัญชีผู้มั่งคั่งหรือบุคคลที่มีฐานะร่ำรวย เป็นผู้ที่สามารถตอบสนองต่อความเสี่ยงทางการเงินที่รับรู้ได้รวดเร็ว

 

5 เมืองยอดนิยมในยุโรป

 

สำหรับ 5 เมืองยอดนิยมที่บุคคลที่มีทรัพย์สินสุทธิสูงกำลังพิจารณาย้ายถิ่นฐานมากที่สุดในปี 2024 มีดังนี้

 

  1. ปารีส
  2. เบอร์ลิน
  3. บาร์เซโลนา
  4. เวียนนา
  5. มาดริด

 

ทำไมลอนดอนหลุดอันดับ และสหราชอาณาจักรไม่ใช่สวรรค์ของเศรษฐีอีกต่อไป

 

นอกจาก ‘ลอนดอน’ จะไม่ได้อยู่ในรายชื่อ 5 เมืองที่จัดอันดับในครั้งนี้แล้ว ก่อนหน้านี้ Henley & Partners ระบุว่า สหราชอาณาจักรไม่ใช่สวรรค์ของเศรษฐีอีกต่อไป โดยคาดว่าสหราชอาณาจักรจะสูญเสียบุคคลที่มีทรัพย์สินสุทธิสูงอย่างน้อย 9,500 ราย ในปี 2024 เพิ่มขึ้นจาก 4,200 ราย ในปีก่อนหน้า

 

โดยตั้งข้อสังเกตว่าหากย้อนไปในช่วงปี 1950 และต้นทศวรรษปี 2000 ครอบครัวที่ร่ำรวยจำนวนมากจากยุโรป แอฟริกา เอเชีย และตะวันออกกลาง ต่างหลั่งไหลมายังสหราชอาณาจักร

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิด Brexit ระหว่างปี 2017-2023 สหราชอาณาจักรได้สูญเสียเศรษฐีไป 16,500 ราย และอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนรวยออกจากสหราชอาณาจักรคือการยกเลิกระบบสิทธิพิเศษทางภาษีสำหรับชาวต่างชาติที่ร่ำรวย หรือ ‘ผู้อยู่อาศัยที่ไม่มีภูมิลำเนา’ (Non-Domiciled Residents: Non-Dom) หมายความว่าที่ผ่านมาพลเมืองต่างชาติจะไม่ถูกเก็บภาษีจากรายได้ต่างประเทศ ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่มหาเศรษฐี

 

UBS Global Wealth Report เสริมว่า นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้ว เหตุผลที่เลือก 5 เมืองดังกล่าวยังมีปัจจัยที่นำมาพิจารณา ได้แก่ ค่าเรียนที่เพิ่มขึ้นของโรงเรียนเอกชนและการเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์ในอัตราที่สูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจทำให้เหล่ามหาเศรษฐีของสหราชอาณาจักรลดลง 17% โดยในปี 2023 จาก 3,061,553 คน คาดว่าจะลดลงอีก 2,542,464 คน ในปี 2028

 

อ้างอิง:

The post เปิดชื่อ 5 เมืองยุโรปที่เศรษฐีทั่วโลกเตรียมย้ายถิ่นฐานไปมากสุด กับเหตุผลทำไมลอนดอนหลุดอันดับ และ ‘สหราชอาณาจักร’ ไม่ใช่สวรรค์อีกต่อไป appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เวลา’ ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง: รู้จักโลกของนักสะสมนาฬิกา จากวินาทีสู่ความมั่งคั่งที่ไม่มีวันหมด https://thestandard.co/watch-collecting-investment/ Tue, 20 Aug 2024 04:00:34 +0000 https://thestandard.co/?p=970347

โลกใบนี้หมุนไปไม่เคยหยุด…เช่นเดียวกับ ‘เวลา’ […]

The post ‘เวลา’ ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง: รู้จักโลกของนักสะสมนาฬิกา จากวินาทีสู่ความมั่งคั่งที่ไม่มีวันหมด appeared first on THE STANDARD.

]]>

โลกใบนี้หมุนไปไม่เคยหยุด…เช่นเดียวกับ ‘เวลา’ ที่เดินไปข้างหน้าอย่างไม่เคยรอใคร และหากจะพูดถึงสิ่งที่เป็นตัวแทนของเวลาที่จับต้องได้ ก็คงหนีไม่พ้น ‘นาฬิกา’ ที่ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องบอกเวลา แต่ยังสะท้อนรสนิยม ไลฟ์สไตล์ และบ่งบอกสถานะทางสังคมได้อย่างชัดเจน นาฬิกาจึงเป็นมากกว่าเครื่องประดับ เพราะเป็นสิ่งที่บ่งบอกตัวตนและรสนิยมของผู้สวมใส่อีกด้วย

 

ในโลกของการลงทุน นาฬิกาหรูถือเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่ได้รับความสนใจไม่น้อย เมื่อผู้มีสินทรัพย์เลือกลงทุนในตลาดเงินที่ให้ผลตอบแทนน่าพอใจในแง่ตัวเลข แต่ยังมีช่องว่างเล็กๆ ในส่วนของแพสชันให้เติมเต็ม นักลงทุนจำนวนไม่น้อยก็หันมาให้ความสนใจกับ ‘นาฬิกา’ ในฐานะ Passion Investor หรืออาจเป็นหลุมหลบภัย (Safe Haven) ในบางเวลาที่ตลาดเงินผันผวน จากข้อมูลของ Knight Frank’s Luxury Investment Index ในปี 2022 พบว่า มูลค่าของนาฬิกาหรูเพิ่มขึ้นถึง 18% ซึ่งแม้ตัวเลขผลตอบแทนจะฟังดูน่าสนใจ

 

แต่…การลงทุนในนาฬิกา ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด เพราะนาฬิกาแต่ละเรือน แต่ละแบรนด์ ต่างก็มีเรื่องราว มีประวัติศาสตร์ และมี ‘คุณค่า’ ที่แตกต่างกันออกไป การทำความเข้าใจในรายละเอียดเหล่านี้ จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนและนักสะสมนาฬิกาทุกคน

 

THE STANDARD WEALTH ชวนผู้อ่านพบกับคอลัมน์พิเศษ ซึ่งเกิดจากความร่วมมือกับ UOB Privilege Banking ที่อยากพาทุกท่านท่องไปในโลกของนักสะสมนาฬิกา เพื่อทำความเข้าใจถึงแรงขับเคลื่อนเบื้องหลัง Wealth Passion ที่มีต่อ ‘นาฬิกา’ ซึ่งไม่ใช่แค่การลงทุน แต่ยังเป็นไลฟ์สไตล์ที่บ่งบอกตัวตน เราจะพาคุณไปสำรวจโลกของนักสะสมนาฬิกาแต่ละประเภท เจาะลึกถึงแรงบันดาลใจและวัตถุประสงค์ในการสะสม รวมถึงเคล็ดลับในการเลือกนาฬิกาที่เหมาะสมกับตัวคุณ

 

 

นักสะสม vs. นักเก็งกำไร: เส้นแบ่งที่อาจไม่ชัดเจน

 

ในโลกของนาฬิกา เราจะได้ยินคำว่า ‘นักสะสม’ และ ‘นักเก็งกำไร’ อยู่บ่อยครั้ง แต่…เส้นแบ่งระหว่างสองกลุ่มนี้อาจไม่ชัดเจนนัก เพราะหลายครั้ง ‘นักสะสม’ ก็อาจทำกำไรจากการขายนาฬิกา ขณะที่ ‘นักเก็งกำไร’ ก็อาจหลงใหลในเสน่ห์ของนาฬิกาจนกลายเป็นนักสะสมไปโดยไม่รู้ตัว

 

  • นักสะสม (Collector): คือผู้ที่ซื้อนาฬิกาเพราะความหลงใหลใน ‘คุณค่า’ ของตัวนาฬิกา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราว ประวัติศาสตร์ ความหายาก หรือความประณีตของชิ้นงาน โดยนักสะสมส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ และมุ่งหวังที่จะส่งต่อนาฬิกาให้กับคนรุ่นหลังมากกว่าการทำกำไร จากผลสำรวจของ Deloitte พบว่า นักสะสมนาฬิกากว่า 60% ให้ความสำคัญกับคุณค่าทางจิตใจ และเรื่องราวของนาฬิกามากกว่ามูลค่าทางการเงิน นั่นหมายความว่าสำหรับนักสะสมแล้ว นาฬิกาไม่ใช่แค่สิ่งของ แต่เป็นเสมือนตัวแทนของช่วงเวลาและความทรงจำที่มีค่า
  • นักเก็งกำไร (Investor): คือผู้ที่ซื้อนาฬิกาด้วยจุดประสงค์หลักเพื่อ ‘ทำกำไร’ โดยมองนาฬิกาเป็นเสมือนหนึ่งสินทรัพย์ทางเลือกที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา และพร้อมที่จะขายนาฬิกาเมื่อได้ราคาที่ต้องการ จากข้อมูลของ WatchCharts พบว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นาฬิกาหรูบางรุ่นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 300% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงโอกาสในการทำกำไรจากการลงทุนในนาฬิกาหรู

 

อย่างไรก็ตาม การเป็นได้ทั้ง ‘นักสะสม’ และ ‘นักเก็งกำไร’ ในเวลาเดียวกันนั้นไม่ใช่เรื่องผิด เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะซื้อนาฬิกาด้วยเหตุผลใด ก็ล้วนเป็น Wealth Passion ที่ขับเคลื่อนให้เกิดการลงทุน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับนาฬิกาเรือนนั้นๆ

 

นาฬิกา

 

เจาะลึกคาแรกเตอร์นักสะสมนาฬิกาแต่ละประเภท

 

นักสะสมนาฬิกาแต่ละคนต่างก็มี ‘คาแรกเตอร์’ และ ‘วัตถุประสงค์’ ในการสะสมที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งเราสามารถแบ่งประเภทของนักสะสมนาฬิกาได้หลากหลายรูปแบบ ดังนี้

 

The Enthusiast: กลุ่มคนที่หลงใหลใน ‘เรื่องราว’ และ ‘ประวัติศาสตร์’ ของนาฬิกา โดยมักให้ความสำคัญกับนาฬิกาวินเทจ หรือรุ่น Limited Edition ที่มีความหายาก และมีคุณค่าทางจิตใจสูง กลุ่มคนประเภทนี้มักจะศึกษาประวัติความเป็นมาของแบรนด์นาฬิกาต่างๆ อย่างลึกซึ้ง ชื่นชอบการสะสมนาฬิกาที่มีเรื่องราวน่าสนใจ เช่น นาฬิกาที่เคยใช้ในสงครามโลก หรือนาฬิกาที่ผลิตขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์

 

The Investor: กลุ่มคนที่มองนาฬิกาเป็น ‘สินทรัพย์’ ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ในอนาคต โดยมักให้ความสำคัญกับนาฬิกาจากแบรนด์ดัง ที่มีแนวโน้มว่ามูลค่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนักลงทุนประเภทนี้มักติดตามข่าวสารและแนวโน้มของตลาดนาฬิกาอย่างใกล้ชิด เพื่อตัดสินใจลงทุนอย่างชาญฉลาด

 

The Trendsetter: กลุ่มคนที่ชื่นชอบนาฬิการุ่นใหม่ๆ ที่มี ‘ดีไซน์’ โดดเด่น และทันสมัย โดยมักให้ความสำคัญกับความสวยงาม และการเป็นผู้นำเทรนด์มากกว่ามูลค่าของนาฬิกา พวกเขามักเป็นคนที่ติดตามแฟชั่นอย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะทดลองสวมใส่นาฬิการูปแบบแปลกใหม่ ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาที่มีสีสันสดใส หรือรูปทรงที่แหวกแนว โดยไม่กังวลว่าจะดูแตกต่างจากคนอื่น

 

The Completist: กลุ่มคนที่ต้องการสะสมนาฬิกาให้ ‘ครบทุกคอลเล็กชัน’ ของแบรนด์ที่ชื่นชอบ โดยมักให้ความสำคัญกับความสมบูรณ์ของคอลเล็กชันมากกว่ามูลค่าของนาฬิกาแต่ละเรือน พวกเขามีความสุขและความภาคภูมิใจเมื่อได้รวบรวมนาฬิกาทุกรุ่นในคอลเล็กชันที่ตั้งใจไว้ นักสะสมประเภทนี้มักจะติดตามข่าวสารของแบรนด์ที่ชื่นชอบอย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะซื้อนาฬิการุ่นใหม่ทันทีที่มีการเปิดตัว แม้ว่าบางรุ่นอาจไม่ได้ถูกใจมากนัก แต่ก็ยอมซื้อเพื่อให้คอลเล็กชันของตนครบตามที่ตั้งเป้าหมายไว้

 

 

 

วัตถุประสงค์ในการสะสมนาฬิกา: มากกว่าแค่การบอกเวลา

 

การสะสมนาฬิกาหรูเป็นมากกว่าเพียงแค่การมีเครื่องบอกเวลาที่สวยงามและมีราคาแพง มันเป็นการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนาฬิกาจากแบรนด์ดังและรุ่นที่หายาก ซึ่งมูลค่ามักจะเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา นักลงทุนที่มองการณ์ไกลจึงเห็นโอกาสในการทำกำไรจากการซื้อและขายนาฬิกาเหล่านี้ในตลาดมือสอง ซึ่งมักมีราคาสูงกว่าราคาเดิมอย่างมาก

 

แต่สำหรับนักสะสมหลายคน วัตถุประสงค์ในการสะสมนาฬิกาไม่ได้อยู่ที่ผลตอบแทนทางการเงินเพียงอย่างเดียว นาฬิกาแต่ละเรือนมีความหมายและคุณค่าที่แตกต่างกันออกไป บางเรือนอาจเป็นตัวแทนของความทรงจำที่มีค่า เช่น นาฬิกาที่ได้รับเป็นของขวัญจากคนสำคัญ หรือเป็นนาฬิกาที่สวมใส่ในช่วงเวลาสำคัญของชีวิต การสะสมนาฬิกาจึงเป็นเหมือนการเก็บรักษาความทรงจำและเรื่องราวเหล่านั้นไว้ให้คงอยู่ตลอดไป

 

นาฬิกา

 

โลกของนักสะสมนาฬิกา เป็นโลกที่เต็มไปด้วยสีสัน ความหลงใหล และแรงขับเคลื่อนที่เรียกว่า Wealth Passion ไม่ว่าคุณจะเป็นนักสะสม นักเก็งกำไร หรือทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำความเข้าใจใน ‘คุณค่า’ ของนาฬิกาแต่ละเรือน และเลือกสะสมนาฬิกาที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณมากที่สุด

 

UOB Privilege Banking ให้คุณค่ากับทุก Passion & Lifestyle และพร้อมที่จะช่วยส่งเสริมทุกความหลงใหลให้กลายเป็นความมั่งคั่ง ด้วยวิธีการที่สร้างสรรค์ เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้มีความมั่งคั่งทุกท่าน

 

 

ภาพ: Alexey Shatrov / Getty Images

อ้างอิง:

The post ‘เวลา’ ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง: รู้จักโลกของนักสะสมนาฬิกา จากวินาทีสู่ความมั่งคั่งที่ไม่มีวันหมด appeared first on THE STANDARD.

]]>
Gen Y เตรียมรับมรดก 3 พันล้านล้านบาท! เป็นโอกาสหรือหายนะ? เพราะขี้เกียจ-ฟุ่มเฟือย ผู้เชี่ยวชาญเตือนจะบริหารจัดการไหวไหม? https://thestandard.co/gen-y-3-trillion-baht-inheritance-management-concerns/ Wed, 10 Jul 2024 13:09:14 +0000 https://thestandard.co/?p=956160 Gen Y

บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก Knight Frank […]

The post Gen Y เตรียมรับมรดก 3 พันล้านล้านบาท! เป็นโอกาสหรือหายนะ? เพราะขี้เกียจ-ฟุ่มเฟือย ผู้เชี่ยวชาญเตือนจะบริหารจัดการไหวไหม? appeared first on THE STANDARD.

]]>
Gen Y

บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก Knight Frank คาดการณ์ว่า คน Gen Y จะกลายเป็น ‘คนรุ่นที่รวยที่สุดในประวัติศาสตร์’ จากการรับมรดกมูลค่ารวม 90 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.28 พันล้านล้านบาท) ในอีก 20 ปีข้างหน้า

 

อย่างไรก็ตาม คน Gen Y ถูกมองว่าเป็นคนขี้เกียจและใช้เงินฟุ่มเฟือย เน้นใช้จ่ายไปกับของฟุ่มเฟือยมากกว่าการออมเงิน ทำให้เกิดคำถามว่าพวกเขาพร้อมรับมือกับกระแสเงินสดที่กำลังจะหลั่งไหลเข้ามาหรือไม่

 

Salvatore Buscemi ผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วนผู้จัดการของ Brahmin Partners บริษัทบริหารจัดการทรัพย์สินครอบครัว กล่าวว่า คน Gen Y ‘ยังไม่พร้อม’ สำหรับความมั่งคั่งที่จะได้รับ เมื่อถึงเวลาที่พวกเขารับมรดก พวกเขาอาจจะอยู่ในวัย 40 ปีแล้ว และอาจไม่มีความสามารถในการเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองหรือการลงทุน

 

“พวกเขาไม่มีทักษะในการทำสิ่งนั้นตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะไม่เคยถูกผลักดัน” เขากล่าว “และปัญหาคือพวกเขาจะมีแรงจูงใจในภายหลังที่จะผลักดันตัวเองให้มีทักษะเหล่านี้หรือไม่” พร้อมเสริมว่า โดยธรรมชาติของมนุษย์แล้ว คนเรามักจะไม่ค่อยสนใจที่จะเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เมื่ออายุมากขึ้น

 

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า คน Gen Y มักจะมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายระยะสั้น ในขณะที่คนรุ่นก่อนๆ มักจะมุ่งเน้นไปที่การออมเพื่อเป้าหมายในระยะยาว เช่น การสร้างครอบครัวและการเกษียณอายุ

 

นอกจากนี้ งานวิจัยของ LendingClub บริษัทให้บริการทางการเงินยังพบว่า คน Gen Y เป็นรุ่นที่มักจะใช้เงินเดือนชนเดือน เนื่องจากเป็น ‘Sandwich Generation’ ที่ต้องดูแลทั้งพ่อแม่สูงวัยและลูกของตัวเอง

 

นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างระหว่างคนที่สร้างความมั่งคั่งด้วยตัวเองกับคนที่ได้รับมรดก โดยคนกลุ่มหลังมักจะเสียเปรียบในการบริหารจัดการทรัพย์สินหรือรับมือกับการสูญเสีย

 

อย่างไรก็ตาม Paul Hokemeyer นักจิตวิทยาคลินิก สังเกตว่า คน Gen Y มักจะมีความเข้าใจในพลังของความมั่งคั่งมากกว่า และมองว่าเงินเป็นเครื่องมือในการ ‘ปรับปรุงโลกที่พวกเขารู้สึกว่าเป็นเกียรติที่ได้อยู่’

 

ภาพ: 4 PM production /  Shutterstock 

อ้างอิง:

The post Gen Y เตรียมรับมรดก 3 พันล้านล้านบาท! เป็นโอกาสหรือหายนะ? เพราะขี้เกียจ-ฟุ่มเฟือย ผู้เชี่ยวชาญเตือนจะบริหารจัดการไหวไหม? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: ชี้ถนนพระราม 2 สร้างไม่เสร็จ ไม่กระทบราคาที่ดิน | THE STANDARD WEALTH https://thestandard.co/morning-wealth-01042024-2/ Mon, 01 Apr 2024 06:34:56 +0000 https://thestandard.co/?p=917804

ไนท์แฟรงค์ชี้ ปัญหาถนนพระราม 2 ที่ยังสร้างไม่เสร็จ ไม่ก […]

The post ชมคลิป: ชี้ถนนพระราม 2 สร้างไม่เสร็จ ไม่กระทบราคาที่ดิน | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
  • ไนท์แฟรงค์ชี้ ปัญหาถนนพระราม 2 ที่ยังสร้างไม่เสร็จ ไม่กระทบราคาที่ดินในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ราคาพุ่ง 50-80%

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 . ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: ชี้ถนนพระราม 2 สร้างไม่เสร็จ ไม่กระทบราคาที่ดิน | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
แพงกว่า 15% ก็ไม่หวั่น! ‘บันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์’ Branded Residences ใกล้เขาใหญ่ ทำยอดพรีเซลทะลุ 1 พันล้านบาท แม้พูลวิลลาจะมีราคาเริ่มต้น 70 ล้านบาท https://thestandard.co/banyan-tree-residences-creston-hill-presales/ Sun, 31 Dec 2023 06:26:56 +0000 https://thestandard.co/?p=882989 Banyan Tree Residences Creston Hill

Branded Residences เป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงในแวดวงอสังหา […]

The post แพงกว่า 15% ก็ไม่หวั่น! ‘บันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์’ Branded Residences ใกล้เขาใหญ่ ทำยอดพรีเซลทะลุ 1 พันล้านบาท แม้พูลวิลลาจะมีราคาเริ่มต้น 70 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
Banyan Tree Residences Creston Hill

Branded Residences เป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก ซึ่งจากรายงานของ Knight Frank ในปี 2023 คาดการณ์ว่า ตลาด Branded Residences ระดับลักชัวรีจะเติบโตขึ้น 55% ภายในปี 2026

 

กลายเป็นเหตุผลที่ทำให้บันยันทรี และบริษัท เครสตั้นโฮลดิ้ง จำกัด ได้ร่วมทุนกันเพื่อพัฒนาบันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์ โครงการ Branded Residences ที่ตั้งอยู่ใกล้อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยเป็นเมกะโปรเจกต์มูลค่ากว่า 1.7 หมื่นล้านบาท และโครงการตั้งอยู่บนที่ดิน 226 ไร่ 

 

“ในช่วงที่ผ่านมา การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เขาใหญ่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า โดยราคาที่ดินมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโครงการนี้ตั้งอยู่ในทำเลเปี่ยมศักยภาพ โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของเขาใหญ่และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น ทางด่วน และรถไฟความเร็วสูงในอนาคต มอบการเดินทางที่สะดวกจากกรุงเทพฯ ที่ไม่เพียงตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัย หากแต่ผลตอบแทนที่คุ้มค่าในอนาคต” ชยดิฐ หุตานุวัชร์ ประธานกรรมการ บริษัท เครสตั้นโฮลดิ้ง จำกัด กล่าว

 

ในช่วงเฟสแรก โครงการนำเสนอพูลวิลลา 4 ห้องนอนทั้งสิ้น 21 ยูนิต ที่ตกแต่งครบครัน ขนาด 435 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้นที่ 70 ล้านบาท และอาคารคอนโดมิเนียม Low Rise 16 อาคาร แบบ 1, 2 และ 3 ห้องนอน รวมถึงเพนต์เฮาส์ตั้งแต่ 64-295 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้นที่ 15 ล้านบาท

 

“ตอนนี้ยอดจองรอบพรีเซลของเราแตะ 1,000 ล้านบาทเรียบร้อยแล้ว” สจ๊วต เรดดิ้ง กรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มบริษัทบันยันทรี กล่าวพร้อมกับเสริมว่า เฟสแรกของโครงการประกอบด้วยวิลลา 21 หลัง และคอนโดมิเนียมหรู 16 อาคาร คาดว่าจะขายหมดภายในปี 2025

 

สิ่งที่น่าสนใจคือตัวเลข 1,000 ล้านบาทนั้นเกิดขึ้นพร้อมกับการยอมรับว่า บันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์ นั้นเมื่อเทียบกับ Branded Residences แห่งอื่นๆ ในเขาใหญ่ มีราคาที่สูงกว่าราว 15% ด้วยกัน ซึ่งเฉลี่ยแล้วตัวบันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์ มีราคาต่อตารางเมตรที่ 1.8 แสนบาทด้วยกัน

 

สำหรับเฟสที่สองของโครงการ จะนำเสนอพูลวิลลาเพิ่มอีก 13 หลัง และคอนโดมิเนียมหรูเพิ่มอีก 18 อาคาร โดยในเฟสนี้จะพร้อมเปิดตัวในปี 2025 และคาดว่าจะขายหมดภายในปี 2027 สำหรับการก่อสร้างของโครงการจะแบ่งออกเป็น 3 เฟส ได้แก่ ที่พักอาศัยเฟสที่ 1 (ปี 2024-2026), โรงแรม (ปี 2025-2027) และที่พักอาศัยเฟสที่ 2 (ปี 2026-2028)

The post แพงกว่า 15% ก็ไม่หวั่น! ‘บันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์’ Branded Residences ใกล้เขาใหญ่ ทำยอดพรีเซลทะลุ 1 พันล้านบาท แม้พูลวิลลาจะมีราคาเริ่มต้น 70 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
อยากเริ่มต้นสะสมไวน์ ต้องคำนึงอะไรบ้าง? https://thestandard.co/wine-collecting-factors/ Fri, 03 Nov 2023 12:20:21 +0000 https://thestandard.co/?p=862287 สะสมไวน์

รู้หรือไม่ว่า การลงทุนสะสมไวน์ชั้นดีให้ผลตอบแทนถึง 16% […]

The post อยากเริ่มต้นสะสมไวน์ ต้องคำนึงอะไรบ้าง? appeared first on THE STANDARD.

]]>
สะสมไวน์

รู้หรือไม่ว่า การลงทุนสะสมไวน์ชั้นดีให้ผลตอบแทนถึง 16% เมื่อปี 2021 ครองอันดับหนึ่งของสะสมที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดควบคู่กับนาฬิกาหรู ตามรายงานของ Knight Frank และจากข้อมูลของ London International Vintners Exchange หรือ Liv-ex ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรับตลาดไวน์ชั้นดี 

 

ขณะที่ Liv-ex Fine Wine 100 ซึ่งติดตามไวน์ชั้นดีที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด 100 รายการทั่วโลก มีตัวเลขสรุปออกมาว่า สามารถให้ผลตอบแทนรวมย้อนหลัง 1 ปี ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2022 ที่ 22.2% ซึ่งดีกว่า S&P 500 ที่สร้างผลตอบแทน -5% ในช่วงเวลาเดียวกัน 

 

ทั้งหมดนี้ทำให้การสะสมไวน์เป็นการลงทุนที่น่าสนใจ และด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันยังช่วยให้ข้อจำกัดต่างๆ ของการสะสมไวน์ลดลง ทำให้คนลงทุนในไวน์ได้ง่ายขึ้น

 

สะสมไวน์

 

ไวน์เป็นแหล่งกระจายความเสี่ยงที่ดี เพราะให้ผลตอบแทนโดยมีความสัมพันธ์กับสินทรัพย์แบบเดิมเพียงเล็กน้อย หรือไม่มีเลย อย่างไรก็ตาม สถิติตัวเลขเกิดจากการติดตามไวน์ชั้นดีเพียงจำนวนหนึ่ง ซึ่งการเลือกซื้อไวน์ก็ไม่ต่างจากการเลือกซื้อหุ้น เพราะไม่ใช่ไวน์ทุกขวดจะสร้างผลกำไร โดยต้องซื้อไวน์ให้มีความหลากหลาย หลีกเลี่ยงการให้น้ำหนักกับผู้ผลิตรายใดรายหนึ่งมากเกินไป รวมทั้งกำหนดเป้าหมายไว้ที่ไวน์เกรดการลงทุน ไม่ใช่ไวน์ราคาประหยัดที่หาซื้อได้ในซูเปอร์มาร์เก็ต 

 

สิ่งที่ต้องคำนึงในการซื้อไวน์เกรดการลงทุนคือ การให้ความสำคัญกับวินเทจ หมายถึงปีที่เก็บเกี่ยวองุ่นและผลิตไวน์ โดยสภาพอากาศในแต่ละปีจะมีผลกับคุณภาพขององุ่นที่แตกต่างกันออกไป รวมทั้งชื่อเสียงของผู้ผลิตก็มีผลอย่างมากต่อมูลค่าของไวน์ เช่น Domaine de la Romanée-Conti (DRC), Pétrus, Château Mouton Rothschild และ Château Lafite Rothschild รวมถึงไวน์จากภูมิภาคต่างๆ เช่น เบอร์กันดี และบอร์กโดซ์ จากข้อมูลของ Sotheby’s Wine Index ไวน์เบอร์กันดีมีประสิทธิภาพเหนือกว่า S&P 500 อย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่ปี 2007 ในขณะที่บอร์กโดซ์มีประสิทธิภาพเหนือกว่า S&P 500 ในช่วงปี 2005-2019

 

สะสมไวน์

 

นอกจากนี้ ศักยภาพในการบ่มไวน์และอายุของไวน์ก็มีส่วนสำคัญ ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดขององุ่น และระดับของกรดและแทนนิน ทำให้ไวน์แต่ละขวดมีอายุยืนยาวต่างกัน ส่วนใหญ่ไวน์เกรดการลงทุนมักจะบ่มได้ประมาณ 10 ปีหลังจากบรรจุขวด แต่บางชนิดก็สามารถบ่มได้นานขึ้น โดยยังรักษาคุณภาพเอาไว้ได้ 

 

ไวน์ก็ไม่ต่างจากของสะสมชนิดอื่น นั่นคือราคาขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานของตลาด ไวน์บางชนิดผลิตได้น้อย รสชาติดี ก็มีราคาสูง อย่างเช่น Domaine de la Romanée-Conti ไร่องุ่นขนาดเล็กที่ผลิตไวน์เบอร์กันดีเพียงประมาณ 450 ลังต่อปีเท่านั้น แต่มีราคาสูงจนติดอันดับต้นๆ ขณะเดียวกันก็ต้องหมั่นติดตามราคาและหาข้อมูลอยู่เสมอ โดยปกติเมื่อจะซื้อ-ขายไวน์ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อดูแนวโน้มของตลาด ราคา และประเภทของไวน์ รวมทั้งอ่านคำแนะนำจากนักวิจารณ์ที่มีชื่อเสียงและเชื่อถือได้ ก็จะทำให้การลงทุนในไวน์มีความแม่นยำมากขึ้น 

 

สะสมไวน์

 

สำหรับข้อดีของการลงทุนในไวน์คือ การกระจายพอร์ตการลงทุนโดยมีความสัมพันธ์ต่ำ หรือไม่มีเลย กับประเภทสินทรัพย์แบบดั้งเดิม และมีความผันผวนของตลาดต่ำ ทำให้ลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนได้ แต่ก็ตามมาด้วยข้อจำกัดหลายอย่าง ทั้งเม็ดเงินในการลงทุนเริ่มต้นที่สูงกว่าการลงทุนในสินทรัพย์แบบดั้งเดิม เพื่อเริ่มสร้างพอร์ตโฟลิโอไวน์ชั้นดี อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บ ตั้งแต่ตู้แช่ไวน์ หรือห้องเก็บไวน์ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ, ค่าประกันภัย และค่าขนส่ง และที่ต้องคำนึงถึงคือ ไวน์ไม่ใช่การลงทุนระยะสั้น ซึ่งไวน์ชั้นดีอาจใช้เวลา 7-10 ปี (หรือนานกว่านั้น) เพื่อให้ได้มูลค่าสูงสุด นอกจากนี้ เมื่อขายไวน์ผ่านบริษัทการประมูลอาจต้องถูกหักค่าใช้จ่ายให้กับบริษัทนั้นๆ อีกด้วย 

 

สำหรับเทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่นักดื่มไวน์ทั่วโลกคือ การเจาะลึกไปถึงวิธีการปลูกองุ่น โดยเฉพาะการปลูกองุ่นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการผลิตที่คำนึงถึงระบบนิเวศมากขึ้น ทำให้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Natural Wine กลายเป็นที่นิยมสำหรับนักดื่ม อย่างไรก็ตาม Natural Wine ก็อาจจะไม่เหมาะกับการลงทุนด้วยกรรมวิธีการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีต่ำ และใส่สารปรุงแต่งน้อย ทำให้มีความเปราะบางมากกว่าไวน์ทั่วไป จึงมีข้อจำกัดในการเก็บรักษา การขนส่ง และอายุของไวน์สั้นกว่าคือประมาณ 1 ปี แต่ก็มีทางเลือกในการสะสมรูปแบบอื่นที่ไม่ได้สะสมเป็นขวด  

 

สะสมไวน์

 

ปัจจุบันมีทางเลือกอื่นๆ สำหรับการลงทุนในไวน์โดยที่ไม่ต้องเก็บไวน์ไว้ที่ผู้ซื้อ อย่างเช่น แพลตฟอร์ม Vint หรือ Vinovest คอยจัดการพอร์ตการลงทุนในรูปแบบการเปิดบัญชีฝากเงินเพื่อซื้อไวน์และเก็บรักษาไวน์เอาไว้ โดยผู้ซื้อสามารถเรียกรับไวน์ได้เมื่อต้องการ รวมทั้งการซื้อ-ขายในรูปแบบของหุ้นเพื่อการลงทุนในไวน์ชั้นดีที่มีราคาสูงอีกด้วย 

 

นอกจากนี้ยังมีการลงทุนในรูปแบบ Wine Fund และ Wine Future หมายถึงการซื้อไวน์จากผู้ผลิตในขณะที่ยังอยู่ในถังก่อนบรรจุขวด ซึ่งมีข้อดีคือราคาถูกกว่า จึงมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น และเป็นวิธีในการรับไวน์ที่อาจเข้าถึงได้ยากเมื่อบรรจุขวดแล้วอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ต้องศึกษาประวัติของผู้ผลิตและปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ ร่วมด้วย

 

ในช่วงโควิดราคาไวน์ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก แต่ขณะนี้อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้คนใช้จ่ายน้อยลงจนราคาไวน์ลดลง แต่น่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงปีใหม่ที่ใกล้จะถึงนี้ อย่างไรก็ตาม ไวน์ชั้นดีก็ยังเป็นที่ต้องการในตลาดใหม่ๆ เช่น ในจีน อินเดีย และบางส่วนในตะวันออกกลาง ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า 

 

อ้างอิง:

The post อยากเริ่มต้นสะสมไวน์ ต้องคำนึงอะไรบ้าง? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ของสะสมชนิดใด สร้างผลกำไรดีที่สุดในปีที่ผ่านมา https://thestandard.co/the-best-collectibles-profit/ Sat, 03 Jun 2023 03:08:30 +0000 https://thestandard.co/?p=798636

แม้ทั่วโลกยังคงเผชิญกับสถานการณ์เงินเฟ้อ แต่ดูเหมือนการ […]

The post ของสะสมชนิดใด สร้างผลกำไรดีที่สุดในปีที่ผ่านมา appeared first on THE STANDARD.

]]>

แม้ทั่วโลกยังคงเผชิญกับสถานการณ์เงินเฟ้อ แต่ดูเหมือนการลงทุนในของสะสมและสินค้าหรูหรายังคงเอาชนะเงินเฟ้อได้อย่างสบายๆ ตามดัชนีการลงทุนในสินค้าหรูหราของ Knight Frank (KFLII) ซึ่งติดตามมูลค่าของการลงทุนตามความหลงใหล 10 รายการ พบว่ามีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 16% มากกว่าตราสารทุนและทองคำด้วยซ้ำ 

 

จากรายงานของ The Wealth Report 2023 ฉบับล่าสุด สินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคืองานศิลปะ ซึ่งสร้างผลตอบแทน 29% ในช่วงปี 2022 ในขณะที่รถยนต์คลาสสิกอยู่ที่ 25% สูงสุดในรอบ 9 ปี ตามมาด้วยนาฬิกาหรู ด้วยอัตราผลตอบแทน 18% ในอันดับที่ 3  

 

ส่วนแนวโน้มสินทรัพย์ที่ผู้มั่งคั่งทั่วโลกจะหันมาสะสมในปีนี้จากแบบสำรวจพบว่า สามอันดับแรก ได้แก่ ศิลปะ (59%) นาฬิกา (46%) และไวน์ (39%)

 

หนึ่งในเหตุผลหลักที่งานศิลปะทำสถิติมูลค่าได้ดีในปีที่ผ่านมา เป็นเพราะได้รับแรงหนุนจากราคาผลงานศิลปะของนักสะสมผู้มั่งคั่ง อาทิ Paul Allen ผู้ก่อตั้ง Microsoft และ Anne Bass นักลงทุนชาวอเมริกัน ที่มีมูลค่ากว่า 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่ายอดขายคอลเล็กชันในปี 2021 เป็น 2 เท่า ส่วนรถยนต์คลาสสิก Mercedes-Benz Uhlenhaut Coupé ก็ทำลายสถิติรถยนต์ที่แพงที่สุดในโลกด้วยราคา 143 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนตลาดนาฬิกาบริษัทประมูลใหญ่ๆ มีอัตราการเติบโต 33% ในปี 2022 คิดเป็นมูลค่า 475 ล้านปอนด์ และมีนาฬิกา 40 เรือนที่ขายได้มากกว่า 1 ล้านปอนด์มากกว่าปี 2021 ถึง 12 เท่า 

 

ขณะที่ดัชนีไวน์เติบโต 10% ลดลงในปี 2021 ส่วนวิสกี้หายากแม้ว่าจะเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดหากวัดในรอบ 10 ปีด้วยอัตรากำไร 373% แต่ในปี 2021 ก็มีการเติบโตเพียง 3% เท่านั้น 

 


 

ของสะสมที่แพงที่สุดในปี 2022

 

1. ภาพ Shot Sage Blue Marilyn 1964 ของ Andy Warhol ราคาประมาณ 6,779 ล้านบาท

 

 

คว้าตำแหน่งภาพศิลปะในทศวรรษที่ 20 ที่แพงที่สุดในโลกในเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว โค่นแชมป์เก่า Les Femmes d’Alger (Version O) ของ Picasso ที่ประมูลไปเมื่อปี 2015 (ราคาราวๆ 6,250 ล้านบาท) โดย Shot Sage Blue Marilyn เป็นหนึ่งในภาพที่สำคัญที่สุดของ Andy Warhol และเป็นรากฐานที่สำคัญของ Pop Art ในปัจจุบัน 

 


 

2. รถยนต์ Mercedes-Benz 300 SLR Uhlenhaut Coupé ราคาประมาณ 4,972 ล้านบาท 

 

 

นอกจากจะเป็นรถคลาสสิกที่แพงที่สุดเมื่อปีที่แล้ว Mercedes-Benz 300 SLR Uhlenhaut Coupe ปี 1955 ยังครองสถิติรถที่แพงที่สุดเท่าที่เคยมีการซื้อขายอีกด้วย โดยคันนี้เป็นหนึ่งในสองคันที่สร้างขึ้นในปี 1955 และได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่มีรางวัลมากที่สุดในประวัติศาสตร์รถยนต์ สร้างขึ้นโดยแผนกแข่งรถของ Mercedes และตั้งชื่อตามหัวหน้าวิศวกรและนักออกแบบ Rudolf Uhlenhaut

 

 


 

3. นาฬิกา Gobbi Milano-signed Patek Philippe Ref. 2499 ราคาประมาณ 268 ล้านบาท 

 

 

Patek Philippe Pink Gold 2nd Series Ref 2499 จากปี 1957 มีความพิเศษตรงที่ได้รับการลงนามสองครั้งโดยผู้ค้าปลีก Gobbi Milano ซึ่งเคยเป็นตัวแทนจำหน่าย Patek Philippe โดยเป็นของนักสะสมที่รู้จักในชื่อ The Nevadian Collector คว้าสถิตินาฬิกา Ref 2499 ที่แพงที่สุดในโลก โดยในปี 2018 Ref 2499 เคยถูกขายในราคาประมาณ 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่ Sotheby’s ในเจนีวา ซึ่งก็เป็นของนักสะสมเจ้าเดียวกัน

 


 

4. Hermès Himalaya Crocodile Kelly ราคาประมาณ 12.3 ล้านบาท 

 

 

Hermès Himalaya Niloticus Crocodile Diamond Retourne Kelly 28 ประดับด้วยทองคำขาว 18 กะรัต และฮาร์ดแวร์ประดับเพชร เป็นหนึ่งในกระเป๋าที่หายากที่สุดในโลกจาก Hermès ความพิเศษของกระเป๋าในตระกูล Himalaya คือเทคนิคการสร้างสีเทาสโมกกี้ที่จางลงเป็นสีขาวราวกับหิมะ

 


 

5. Methuselah of 2007 Domaine de la Romanée-Conti ราคาประมาณ 12.5 ล้านบาท 

 

 

ไวน์ที่ราคาแพงที่สุดประจำปีที่แล้ว ได้แก่ Methuselah of 2007 Domaine de la Romanée-Conti ด้วยความล้ำลึกของรสชาติและกลิ่นควันนิดๆ คล้ายยาสูบ จากนั้นความหวานแบบเชอร์รีแดง Methuselah Romanée-Conti 2007 มาในขวดขนาดใหญ่ ซึ่งผลิตในปริมาณน้อยและหาได้ยาก

 

อ้างอิง:

The post ของสะสมชนิดใด สร้างผลกำไรดีที่สุดในปีที่ผ่านมา appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดัชนีราคาบ้านหรูทั่วโลกติดลบครั้งแรก! นับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2009 เหตุแบงก์ชาติหลายประเทศเร่งขึ้นดอกเบี้ย https://thestandard.co/luxury-home-prices-fall-since-2009/ Thu, 11 May 2023 04:43:01 +0000 https://thestandard.co/?p=788313

ราคาบ้านหรูทั่วโลกลดลงในไตรมาสแรกของปีนี้ นับเป็นการลดล […]

The post ดัชนีราคาบ้านหรูทั่วโลกติดลบครั้งแรก! นับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2009 เหตุแบงก์ชาติหลายประเทศเร่งขึ้นดอกเบี้ย appeared first on THE STANDARD.

]]>

ราคาบ้านหรูทั่วโลกลดลงในไตรมาสแรกของปีนี้ นับเป็นการลดลงครั้งแรกตั้งแต่ปี 2009 โดยนิวซีแลนด์เป็นประเทศที่ราคาบ้านหรูลดลงหนักสุด สวนทางกับดูไบที่ราคาบ้านพุ่งถึง 44% ในไตรมาสแรกของปีนี้ หรือเพิ่มขึ้นถึง 149% จากยุคโควิด

 

ตามข้อมูลจาก Knight Frank บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ ดัชนีราคาอสังหาริมทรัพย์หรูหรา (Index of Prime Real Estate) ใน 46 เมือง ปรับตัวลดลง 0.4% ในไตรมาสแรกของปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน และนับเป็นการลดลงครั้งแรกตั้งแต่ปี 2009 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดวิกฤตการเงินโลก หลังเคยเติบโตถึง 10% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2021

 

โดยตลาดอสังหาริมทรัพย์หรูในนิวซีแลนด์นับเป็นตลาดที่เห็นราคาร่วงลงมากที่สุด  เนื่องจากราคาบ้านหรูในเวลลิงตัน โอ๊กแลนด์ และไครสต์เชิร์ช ลดลงเป็นเลข 2 หลัก ขณะที่ในเมืองใหญ่ๆ เช่น ซานฟรานซิสโก นิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส ฮ่องกง และแวนคูเวอร์ ก็เห็นราคาร่วงหนักเช่นกัน

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


 

ทั้งนี้ Knight Frank นิยามคำว่า Prime Real Estate ว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงเป็น 5% แรกของตลาด

 

Liam Bailey หัวหน้าฝ่ายวิจัยระดับโลกของ Knight Frank กล่าวว่า “การเติบโตที่ชะลอตัวของราคาบ้านได้รับแรงหนุนอย่างมากมาจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากการคุมเข้มนโยบายการเงินโลกเมื่อเร็วๆ นี้”

 

อย่างไรก็ตาม Knight Frank ยังพบว่า ราคาบ้านหรูในบางเมืองที่บริษัทสำรวจเพิ่มขึ้นในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยดูไบในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และไมอามีในสหรัฐอเมริกา มีราคาเพิ่มขึ้นเป็นเลข 2 หลัก โดยราคาบ้านหรูในดูไบพุ่งขึ้นถึง 44% จากปีก่อน หรือเพิ่มขึ้นถึง 149% จากยุคโควิด หรือจากเดือนมีนาคมปี 2020

 

อย่างไรก็ตาม ตลาดที่อยู่อาศัยหรูมีแนวโน้มที่จะเผชิญแรงกดดันที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากในช่วง 2-3 ไตรมาสข้างหน้า มีสัญญาณเล็กน้อยเท่านั้นที่บ่งชี้ว่าจะเกิดวิกฤตการเงินซ้ำอีก 

 

อ้างอิง:

The post ดัชนีราคาบ้านหรูทั่วโลกติดลบครั้งแรก! นับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2009 เหตุแบงก์ชาติหลายประเทศเร่งขึ้นดอกเบี้ย appeared first on THE STANDARD.

]]>