Key Messages – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 18 Sep 2025 12:04:05 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 นัด 3 พรรคการเมือง ส่งการบ้านแก้ไขรัฐธรรมนูญ-เลือก สสร. หาหนทาง ‘เดินอ้อม’ ตามคำวินิจฉัยศาล https://thestandard.co/new-thai-constitution-process/ Thu, 18 Sep 2025 12:00:00 +0000 https://thestandard.co/?p=1120416

ประเด็นสำคัญ   พรรคประชาชน: โมเดล 2 คณะ ต่างระบบ พ […]

The post นัด 3 พรรคการเมือง ส่งการบ้านแก้ไขรัฐธรรมนูญ-เลือก สสร. หาหนทาง ‘เดินอ้อม’ ตามคำวินิจฉัยศาล appeared first on THE STANDARD.

]]>

 

กระบวนการเดินหน้าสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น หลัง 2 เหตุการณ์สำคัญ คือการทำข้อตกลงระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน หรือ MOA ที่ระบุเงื่อนไขของการเดินหน้าทำประชามติเพื่อรัฐธรรมนูญใหม่ ภายในกรอบเวลา 4 เดือน ก่อนรัฐบาลจะยุบสภา

 

อีกเหตุการณ์คือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อ 10 กันยายนที่ผ่านมา ที่ให้ความชัดเจนเรื่องจำนวนครั้งในการจัดทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 และ 2 ทำไปพร้อมกันได้ ทั้งยังได้กำหนดบรรทัดฐานว่า “รัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง”

 

สรุป 3 ขั้นตอนสำคัญสู่การทำประชามติในไทย

 

นำมาสู่การหารือกันระหว่าง 3 พรรคการเมืองหลักเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ พรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อไทย ในการประชุมกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันว่า ทั้ง 3 พรรค จะเร่งจัดทำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 ว่าด้วยการเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และนำมาเสนอในสัปดาห์ต่อมา

 

ล่าสุด วันนี้ (18 กันยายน) ถือว่าครบ 1 สัปดาห์ ของการจัดทำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว ตัวแทนของทั้ง 3 พรรคการเมือง รวมถึงกลุ่มผู้สังเกตการณ์ ทั้งสมาชิกวุฒิสภา (สว.), ภาคประชาชน, คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และฝ่ายกฎหมายของสภาฯ ได้นัดหมายมาหารือร่วมกันอีกครั้ง เพื่อติดตามความคืบหน้า

 

สรุป 3 ขั้นตอนสำคัญสู่การทำประชามติในไทย

 

พรรคประชาชน: โมเดล 2 คณะ ต่างระบบ

 

พริษฐ์ วัชรสินธุ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะตัวแทนพรรคประชาชน นำเสนอกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยระบุว่า สำหรับกระบวนการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15  พร้อมย้ำว่า จุดยืนของพรรคประชาชน ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัย เพราะเป็นการตอบเกินคำถาม และปิดกั้นกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญของประชาชนโดยตรง จึงต้องออกแบบกลไกให้ประชาชนยังคงมีส่วนร่วม นำมาสู่ข้อเสนอโมเดล 2 คณะ ประกอบด้วย

 

  1. กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ หรือคณะผู้ร่าง ซึ่งมีหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสนอต่อรัฐสภา มีที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน 70 คน 

 

โดยผู้สมัครเข้ามาเป็นทีม ทีมละไม่เกิน 70 คน เรียงลำดับเหมือน สส. แบบบัญชีรายชื่อ ประชาชนสามารถเลือกได้ 1 ทีม และนำมาคำนวณว่าผู้ใดเข้ารอบจากแต่ละทีม จากนั้นนำรายชื่อส่งให้รัฐสภาคัดเลือกให้เหลือ 35 คน โดยรัฐสภาแบ่งสัดส่วนตาม สส. สว. และพรรคการเมือง เนื่องจากหากคัดเลือกโดยเสียงเกินกึ่งหนึ่ง อาจเปิดช่องให้บางกลุ่มการเมืองผูกขาดการเลือกได้

 

  1. สภาที่ปรึกษา หรือคณะผู้แทนประชาชน มีหน้าที่เป็นเจ้าภาพรวบรวมและสะท้อนความเห็นจากประชาชน เพื่อเสนอต่อคณะผู้ยกร่าง และรายงานความคืบหน้าต่อประชาชน โดยมาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง จำนวน 100 คน ผู้สมัครตัวแทนจังหวัดอย่างน้อย 1 คน มากสุดจังหวัดละไม่เกิน 5 คน 

 

ทั้งนี้ กระบวนการเลือกทั้ง 2 คณะ จะเข้าคูหาเลือกตั้งวันเดียวกัน มีบัตร 2 ใบ คล้ายกับการเลือก สส. แบบแบ่งเขต และ สส. แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งเมื่อทั้ง 2 คณะทำงานร่วมกันเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้วเพื่อเสนอต่อรัฐสภา อาจเพิ่มกลไกว่าหากรัฐสภาไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญใหม่ อาจร้องขอให้เริ่มกระบวนการให้ทั้งหมด ตั้งแต่การเข้าคูหาเพื่อเลือกทั้ง 2 คณะได้ ซึ่งพริษฐ์ระบุว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการยกร่างใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว และหลังจากการรับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายในวันนี้แล้ว ก็จะนำมาประกอบการยกร่างเพื่อให้นำเสนอต่อรัฐสภาได้โดยเร็ว

 

สรุป 3 ขั้นตอนสำคัญสู่การทำประชามติในไทย

 

พรรคเพื่อไทย: ตัวแทนจังหวัดและตัวแทนวิชาชีพ

 

ขณะที่ จาตุรนต์ ฉายแสง สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะตัวแทนพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า พรรคเพื่อไทยได้ประชุมไปเมื่อวันอังคาร (16 กันยายน) แล้วจะมีการประชุมอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ (19 ก.ย.) คาดว่าจะยกร่างได้ภายในสัปดาห์หน้า ส่วนจะให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอย่างไร ต้องเป็นรายละเอียดที่พิจารณาต่อไป 

 

สำหรับสาระเกี่ยวกับวิธีการในกระบวนการ คือเรื่อง สสร. โดยส่วนตัวมองว่า ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยออกมาไม่สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเองที่มีแต่เดิมว่าประชาชนเป็นผู้ทรงอำนาจในการสถาปนารัฐธรรมนูญ แม้การวินิจฉัยครั้งนี้ เหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้น ศาลรัฐธรรมนูญตอบมาแล้ว  ก็มีความจำเป็นที่มิอาจไม่ปฏิบัติตามได้ 

 

“ที่ (พรรคเพื่อไทย) คิดได้ตอนนี้คือ สสร. ทั้งหมดประมาณ 140 คน โดย 200 คนมาจากการที่ประชาชนในแต่ละจังหวัดเลือกตั้งกันมาให้ได้ แล้วรัฐสภามาคัดให้เหลือ 100 คน โดยการคัด 100 คนนั้น แต่ละจังหวัดจะต้องมีตัวแทนอย่างน้อย 1 คน ส่วนอีก 40 คน มาจากภาควิชาการ ทั้งคณะนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ตัวแทนองค์กรภาคประชาชน ตัวแทนวิชาชีพ ซึ่งต้องหาวิธีให้ได้มาซึ่งตัวแทนเหล่านี้ โดยที่คงจะต้องหลีกเลี่ยงการให้เลือกไขว้กัน เป็นต้น” จาตุรนต์กล่าว

 

จาตุรนต์ระบุว่า เมื่อได้มา 140 คนแล้ว ก็ไปเลือกคณะกรรมาธิการยกร่างกันเอง จากนั้น เข้าสู่ สรร. ซึ่งจะไปรับฟังความเห็น เสร็จแล้วส่งมาให้รัฐสภาพิจารณา และอาจจะมีการให้รัฐสภาให้ความเห็นรอบหนึ่ง เพื่อให้ สสร. กลับไปพิจารณาทบทวน

 

จาตุรนต์ทิ้งท้ายว่า วันพรุ่งนี้พรรคเพื่อไทยจะพิจารณากันอีกครั้ง อย่างช้าที่สุดถ้าจะเป็นที่ยุติ จะไม่เกินวันที่ 23-24 กันยายน เพื่อให้เสนอร่างแก้ไขฯ ได้ในปลายสัปดาห์หน้า

 

สรุป 3 ขั้นตอนสำคัญสู่การทำประชามติในไทย

 

ภูมิใจไทย: ติดภารกิจ ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด

 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหนึ่งของการหารือ พริษฐ์ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ตัวแทนของพรรคภูมิใจไทย คือ ภราดร ปริศนานันทกุล สส. อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ติดภารกิจไม่สามารถมาร่วมประชุมได้ แต่ได้แจ้งว่า มีแนวคิดของโมเดลแล้ว รวมถึงเชื่อว่าจะนำมาเสนอได้ภายในสัปดาห์ แต่คงไม่เหมาะที่ตนจะเป็นผู้ชี้แจงแทน

 

ณัชปกร นามเมือง ในฐานะตัวแทนกลุ่ม Con for All ยืนยันว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ปรากฏให้เห็นนั้นเป็นเพียงแค่ฉบับย่อ ยังไม่เห็นคำวินิจฉัยฉบับเต็ม ว่าถูกตีความว่าอย่างไร ทำให้เกิดภาวะ Dilemma เท่ากับว่า รัฐสภากำลังเป็นประจักษ์พยานว่า ศาลรัฐธรรมนูญกำลังทำเกินอำนาจหน้าที่ที่ท่านมี เพราะท่านไม่มีอำนาจกำหนดว่า ที่มา สสร. จะเป็นอย่างไร เพราะอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน อีกทั้งศาลรัฐธรรมนูญยังไม่มีอำนาจในการวินิจฉัยประเด็นที่ผู้ร้องไม่ได้ถามด้วย

 

ขณะที่ฝ่ายรัฐสภาเมื่อเรายังไม่ได้ข้อยุติ ก็ไม่ควรจะตีกรอบ หรือจํากัดอำนาจไว้ล่วงหน้า ดังนั้น ขั้นต่ำที่สุดในการเสนอร่างแก้ไขมาตรา 256 ที่จะมีการเสนอนั้น ในชั้นหลักการ ควรเปิดกว้างให้ไปสู่การเลือกตั้ง สสร. ได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ห้าม และแต่ละร่างของที่พรรคการเมืองเสนอ ก็ไม่ควรจะปิดประตู รวมถึงควรเรียกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญเผยแพร่คำวินิจฉัยฉบับเต็ม เพื่อให้เป็นไปอย่างโปร่งใส 

 

นอกจากนั้น ยังมีการนำเสนอกรอบของการออกแบบการจัดทำรัฐธรรมนูญ ซึ่งควรมีหลักคิด 4D คือ Democracy เป็นประชาธิปไตยยึดโยงประชาชน Diversity (inclusive) หลากหลายครอบคลุม Deliberate มีส่วนร่วมแบบถกแถลง Delivery ส่งมอบได้จริง โดยการให้ประชาชนมีส่วนร่วมตลอดกระบวนการ คือทำให้ประชาชนอยู่ตั้งแต่ต้นน้ำ คือการเลือกผู้ร่าง กลางน้ำ คือให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการถกแถลง และปลายน้ำ คือการออกเสียงประชามติ 

 

ณัชปกรย้ำว่า ข้อเสนอเบื้องต้นนี้ อาจเป็นความบังเอิญที่ได้นำเนื้อหาของพรรคประชาชนมาอย่างละนิด และนำของพรรคเพื่อไทยมาอย่างละหน่อย คือให้ประชาชนเลือกตัวแทนทั้ง 2 รูปแบบ ซึ่งให้ประชาชนเลือกตั้งมาทั้งคู่ ด้วยระบบที่ต่างกัน คือการเลือกระดับประเทศ โดยใช้ระบบบัญชีรายชื่อ เพื่อเอื้อแนวคิด และนโยบายที่หลากหลาย มากกว่าการเลือกตามพื้นที่ รวมถึงเพิ่มการเลือกตัวแทนระดับจังหวัดเพื่อถ่วงดุล

 

สรุป 3 ขั้นตอนสำคัญสู่การทำประชามติในไทย

 

ฝ่ายกฎหมายเสนอ ให้ ครม. ดำเนินการ

 

ขณะที่ตัวแทนสำนักกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการสภาฯ เห็นว่า หากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่แต่ละพรรคที่เสนอมายังไม่สะเด็ดน้ำนั้น ทางออกที่ 1 อาจจะต้องทำโดย ครม. โดยใช้มาตรา 9 (2) ของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ เพราะว่าถ้ารอให้สภาสะเด็ดน้ำ วาระ 2-3 อาจจะไม่เกิดขึ้น ทำให้การถามคำถามประชามติครั้งที่ 1 ก็อาจจะล่วงพ้นเวลาที่เหมาะสมไป 

 

อีกแนวทางหนึ่ง การที่นำเสนอเรื่อง สสร. ของพรรคประชาชนที่แบ่งเป็น 35 คน และ 70 คนนั้น ในส่วนของ 70 คน ถ้ายังไม่ได้ข้อยุติว่า รัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภาไม่อาจเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรงนั้น ประเด็นนี้ก็อาจถูกตีความว่า 70 คนนั้น เป็นการเลือกโดยตรงจากประชาชน อีกก็เป็นไปได้

 

จาตุรนต์ตั้งข้อสังเกตอีกว่า สิ่งที่พริษฐ์สรุปไว้ ก็คิดว่าสอดคล้องกัน และควรพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ คุยกันข้ามพรรคข้ามฝ่าย แต่สุดท้ายคงไม่ใช่การเลือกกันเอง คนยกร่างต้องมีกำลังส่วนสำคัญ เช่น มีความรู้ความสามารถด้านนิติศาสตร์ เราอยากเห็นการแลกเปลี่ยนมากกว่าพยายามให้เลือกไปทางใดทางหนึ่ง ประเด็นต้องคิดมีอยู่คือ ให้ทำประชามติไปพร้อมกับการเลือกตั้ง ก็ให้ ครม. เป็นผู้เสนอ ผลทางรัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร หากทำประชามติ ประชาชนเห็นชอบแล้วอย่างไรต่อ 

 

“ถ้ามีคนมาขวางอีกว่าเอาอะไรมายืนยัน ไม่มีที่ไหนในรัฐธรรมนูญ ยังไม่มีบัญญัติตรงไหนอยู่ในรัฐธรรมนูญว่า วันหนึ่ง ครม. จะให้มีการทำประชามติ ว่ามีการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และประชาชนให้ความเห็นชอบ เป็นอันว่าการทำรัฐธรรมนูญใหม่เกิดขึ้นได้หรือไม่ ผมไม่รู้ว่าคิดมากไปหรือเปล่า แต่เราไม่คิดทีไร ก็จะมักจะเกิดเรื่องที่ทำให้คิดมากกว่านั้น เช่น คำวินิจฉัยที่ทำให้เกินมา” จาตุรนต์กล่าว

 

ทำให้ตัวแทนสำนักกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการสภาฯ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า กรณีหากให้ ครม. มีมติเรื่องการทำประชามติ สามารถให้นายกรัฐมนตรี ประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีการออกเสียงตามวันที่กำหนดได้ ซึ่งตามที่ได้หารือ กกต. เรื่องระยะเวลาคาดว่า เป็น 90 วัน ไม่เกิน 120 วัน แต่ถ้า พ.ร.บ. ฉบับใหม่บังคับใช้ลงมา ก็คือ 60 วัน หรือ 150 วัน ซึ่งสามารถกำหนดวันออกเสียงวันเดียวกับวันเลือกตั้งได้ พร้อมย้ำว่า หากมีคนตีความในเรื่องดังกล่าว ก็มิใช่เรื่องที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ

 

สรุป 3 ขั้นตอนสำคัญสู่การทำประชามติในไทย

The post นัด 3 พรรคการเมือง ส่งการบ้านแก้ไขรัฐธรรมนูญ-เลือก สสร. หาหนทาง ‘เดินอ้อม’ ตามคำวินิจฉัยศาล appeared first on THE STANDARD.

]]>
โลกปั่นป่วน ภูมิรัฐศาสตร์เปลี่ยน: ไทย-อาเซียนหาทางรอด https://thestandard.co/thailand-security-dialogue-asean/ Tue, 16 Sep 2025 12:51:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1119807 thailand-security-dialogue-asean

ท่ามกลางระเบียบโลกที่ผันผวน และเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน […]

The post โลกปั่นป่วน ภูมิรัฐศาสตร์เปลี่ยน: ไทย-อาเซียนหาทางรอด appeared first on THE STANDARD.

]]>
thailand-security-dialogue-asean

ท่ามกลางระเบียบโลกที่ผันผวน และเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ‘การเผชิญหน้าและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์’ ถือเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกมาพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในงานสัมมนาความมั่นคงระดับนานาชาติ ‘Thailand Security Dialogue 2025’ ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29-31 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งในปีนี้จัดขึ้นภายใต้ธีม ‘สันติภาพและความมั่นคงในโลกที่ปั่นป่วน’ (Peace and Security in a Global Disruption)

 

เวทีแรกของงานในปีนี้พูดคุยกันในประเด็นเรื่องการเผชิญหน้าและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์: นัยต่อยุทธศาสตร์ความมั่นคง (Geopolitical Confrontation and Conflict: Implications for Security Strategies) ที่มุ่งเน้นการทำความเข้าใจภูมิทัศน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ โดยเฉพาะระเบียบโลกหลายขั้วอำนาจและพลวัตแห่งอำนาจ โดยมีผู้บัญชาการสูงสุดของทั้งไทย และแคนาดา รวมถึงผู้อำนวยการศูนย์ Think Tank และที่ปรึกษาวิจัยอาวุโสจากสหรัฐอเมริกาและสิงคโปร์ มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองกัน

 

สภาวะโลกใหม่ในปัจจุบัน

 

พลเอก เจนนี คาริญอง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กองทัพแคนาดา ใช้คำว่า ‘โลกที่ผันผวน ไม่แน่นอน วุ่นวาย และคลุมเครือ’ (VUCA: Volatile, Uncertain, Chaotic, and Ambiguous) ในการอธิบายสภาวะของโลกปัจจุบัน พร้อมระบุว่ามีปัจจัยเร่งหลายประการที่ทำให้โลกอยู่ในสภาวะนี้ รวมถึงการรวมตัวกันของภัยคุกคามต่างๆ

 

ไม่ว่าจะเป็นการกลับมาของการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์, อิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของรัฐบาลเผด็จการและการเสื่อมถอยของประชาธิปไตย, ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี รวมถึงระบบปฏิบัติการใหม่ๆ ที่เมื่อถูกนำมาใช้ในด้านการทหารแล้ว จะเปลี่ยนสมการทางยุทธศาสตร์หรือวิธีการทำสงครามอย่างสิ้นเชิง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงการเพิ่มขึ้นของสงครามแบบอสมมาตรที่เทคโนโลยีเชิงพาณิชย์ราคาถูกสามารถลบล้างระบบเดิมที่มีราคาแพงได้ และการเผชิญหน้ากันในโดเมนใหม่ๆ เช่น ไซเบอร์ และอวกาศ โดยทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้ฉากหลังของ การแบ่งขั้วอำนาจ, ข้อมูลที่บิดเบือน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

พลเอก เจนนี เน้นย้ำว่า เหตุการณ์ในภูมิภาคหนึ่งสามารถส่งผลกระทบไปทั่วโลกได้ และอินโด-แปซิฟิกมีความสำคัญอย่างยิ่ง ‘ไม่มีประเทศใดสามารถรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ได้เพียงลำพัง’ พันธมิตรจึงมีความ ‘สำคัญมากกว่าที่เคย’

 

ความท้าทายต่อสันติภาพในอาเซียน

 

พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กองบัญชาการกองทัพไทย ชี้ว่า หนึ่งในความท้าทายที่สำคัญและเกี่ยวพันกับชีวิตประจำวันของผู้คนคือ ข้อมูลที่บิดเบือน (Disinformation) และข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง (Misinformation) ซึ่งยากที่จะรับมือและควบคุมให้เป็นไปตามหลักจริยธรรม อีกทั้งประเด็นเรื่องวิกฤตในเมียนมา ซึ่งผูกโยงอยู่กับสันติภาพอาเซียน ก็มีความท้าทายอย่างมาก แม้จะมีฉันทมติ 5 ประการ แต่การดำเนินการยังไม่เป็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมมากนัก

 

พลเอก ทรงวิทย์ มองว่า กลไกต่างๆ ของอาเซียน ควรสามารถแก้ไขความขัดแย้งและนำไปสู่การแข่งขันได้ แต่ต้องอาศัยวิสัยทัศน์และความยืดหยุ่น (Resilience) และถ้าหากอาเซียนสามารถยกระดับกลไกความร่วมมือนี้ เพื่อรวมการมีส่วนร่วมจากภายนอกภูมิภาค เช่น แคนาดา หรือประเทศอื่นๆ ก็จะยิ่งทำให้เรามีกลไกที่เข้มแข็งขึ้นในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก

 

โดยหนึ่งในประเทศมหาอำนาจที่ถือว่ามีบทบาทอย่างมากต่อสันติภาพของภูมิภาคนี้คือ ‘สหรัฐอเมริกา’ ซึ่งกำลังถูกตั้งคำถามว่า สหรัฐฯ กำลังปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบาย และหันหัวเรือออกห่างจากภูมิภาคนี้หรือไม่ 

 

ซูซานน์ ปัวนานี วาเรส-ลัม อดีตนายทหารหญิงระดับพลตรีของกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาความมั่นคงเอเชีย-แปซิฟิก แดเนียล เค. อิโนะอุเอะ (DKI-APCSS) ในสหรัฐฯ ระบุว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในทุกๆ ด้าน ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความมุ่งมั่นของสหรัฐอเมริกาที่มีต่อภูมิภาคนี้ โดย พลตรี ซูซานน์ ยืนยันว่า สหรัฐฯ ไม่ได้ถอนตัวออกจากภูมิภาคนี้ และความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ยังคงอยู่

 

เธอเน้นย้ำว่า ความสัมพันธ์และการทำงานเป็นทีมเป็นรากฐานของ ‘การบรรลุสันติภาพผ่านความแข็งแกร่ง’ (Peace Through Strength) โดยสหรัฐฯ เป็นหุ้นส่วนที่สนับสนุนอาเซียนมาอย่างยาวนาน ทั้งยังเป็นคู่เจรจาตั้งแต่ปี 1977 และให้ความช่วยเหลือกว่า 1.47 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่ปี 2002 รวมถึงมีส่วนร่วมในการฝึกซ้อมทางทหารกว่า 120 ครั้งในภูมิภาคนี้ในหนึ่งปี  ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯ ไม่ได้ถอยหนี หรือ ถอนตัวแต่ยังคงมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง 

 

ข้อมูลล่าสุดจาก Lowy Institute ระบุว่าระหว่างปี 2017-2024 สหรัฐฯ เป็นหุ้นส่วนด้านกลาโหมอันดับต้นๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยบทบาทของสหรัฐฯ ไม่ใช่การบังคับให้เลือกข้าง แต่เป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถ การทำงานร่วมกัน และความไว้วางใจ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสำคัญ

 

การเตรียมพร้อมรับมือกับการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ 

 

ดร. โจเซฟ เลียว ชิน ยง ที่ปรึกษาวิจัยอาวุโส S. Rajaratnam School of International Studies (RSIS) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง สิงคโปร์ ระบุว่า แม้จะไม่มีมุมมองที่เป็นเอกภาพในสหรัฐฯ ว่าจะรับมือกับ ‘จีน’ อย่างไร แต่ก็มีฉันทามติว่า จีนเป็น ‘ปัญหาที่กำลังเติบโตขึ้น’ สำหรับสหรัฐฯ แม้ ดร. โจเซฟ จะไม่มั่นใจว่า จะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ในเร็วๆ นี้หรือไม่ แต่เขาก็ยังเชื่อว่า ความสามารถในการพูดคุยกันยังคงมีความสำคัญอย่างมาก

 

ดร. โจเซฟยังมองว่า ที่ผ่านมา สหรัฐฯ เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ในปัจจุบันกำลังเผชิญความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงในแนวนโยบายสหรัฐฯ ที่มีความเป็น ‘ชาตินิยมทางเศรษฐกิจ’ (Economic Nationalism) มากยิ่งขึ้น โดยต้องการให้บริษัทต่างๆ กลับไปลงทุนในสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับในอดีต อีกทั้งสหรัฐฯ และจีนในปัจจุบันยังเปิดเผยมากขึ้นในเรื่องของ ‘การเลือกข้าง’ 

 

ดร. โจเซฟเสนอแนะว่า สิ่งที่ภูมิภาคนี้ทำได้คือ คิดและมองให้ไกลกว่าแค่สหรัฐฯ และจีน โดยพยายามขยายมุมมอง และให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือในภูมิภาค (Regionalism) ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และกระจายความสัมพันธ์ไปยังกลุ่มอื่นๆ

 

พร้อมทั้งคาดการณ์ถึงแนวโน้มในอนาคตว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงทั่วโลก ขณะที่ เทคโนโลยีจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและกิจการระหว่างประเทศ รวมถึงการทำสงคราม

 

ขณะที่ พลตรี ซูซานน์ เน้นย้ำถึงความสำคัญของ การจำลองสถานการณ์ และการจำลองการรบ เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่เกิดจาก AI, ระบบอัตโนมัติ (Autonomous Systems) และการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning) ซึ่งจะครอบงำเราในอีก 3-5 ปีข้างหน้า โดยเราทุกคนจะต้องจัดการและเตรียมความพร้อมเรื่องเหล่านี้ร่วมกัน

 

ทางด้าน พลเอก ทรงวิทย์ ระบุว่า ในความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐฯ ไทยและอาเซียนพร้อมที่จะเสนอพื้นที่สำหรับความร่วมมือและการมีส่วนร่วม เพื่อสร้างโลกที่ดีขึ้น แต่ในด้านการทหาร การมีส่วนร่วมทั้งหมดจะยึดผลประโยชน์ของประชาชนชาวไทยเป็นหลัก และจะร่วมมือกับทุกประเทศ ไม่ใช่แค่สหรัฐฯ และจีน แต่ยังรวมถึงประเทศจากยุโรปและอเมริกาใต้ หากเป็นประโยชน์ต่อผลประโยชน์ของไทยและภูมิภาคอาเซียนโดยรวม

 

ภาพ: THE STANDARD

The post โลกปั่นป่วน ภูมิรัฐศาสตร์เปลี่ยน: ไทย-อาเซียนหาทางรอด appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จัก ‘Eastern Sentry’ ปฏิบัติการ NATO ตอบโต้โดรนรัสเซียรุกล้ำน่านฟ้า https://thestandard.co/eastern-sentry-nato-russian-drones/ Tue, 16 Sep 2025 11:12:43 +0000 https://thestandard.co/?p=1119753 NATO เปิดตัวปฏิบัติการ Eastern Sentry รับมือโดรนรัสเซียรุกล้ำน่านฟ้าโปแลนด์และยุโรปตะวันออก

มาร์ก รุตเตอ เลขาธิการ NATO พร้อมด้วย พลเอก อเล็กซัส จี […]

The post รู้จัก ‘Eastern Sentry’ ปฏิบัติการ NATO ตอบโต้โดรนรัสเซียรุกล้ำน่านฟ้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
NATO เปิดตัวปฏิบัติการ Eastern Sentry รับมือโดรนรัสเซียรุกล้ำน่านฟ้าโปแลนด์และยุโรปตะวันออก

มาร์ก รุตเตอ เลขาธิการ NATO พร้อมด้วย พลเอก อเล็กซัส จี. กรินเควิช ผู้บัญชาการทหารสูงสุดพันธมิตรยุโรป (SACEUR) ประกาศถึงปฏิบัติการ ‘Eastern Sentry’ อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมา โดย คาโรล นาวรอคกี ประธานาธิบดีโปแลนด์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิก NATO ได้ลงนามในกฎหมาย อนุญาตให้มีกองกำลัง NATO ประจำการในโปแลนด์อย่างถาวร ภายใต้ปฏิบัติการนี้

 

‘Eastern Sentry’ คืออะไร 

 

เป็นปฏิบัติการใหม่ของ NATO ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อ ตอบโต้การรุกล้ำน่านฟ้าของบรรดาประเทศสมาชิก NATO โดยโดรนรัสเซีย ซึ่งเป้าหมายหลักคือ การเสริมการป้องกัน (Deterrence) และการสร้างความพร้อม (Defensive Posture) ให้กับสมาชิก NATO ที่มีความเสี่ยงจะถูกรุกล้ำทางอากาศจากรัสเซีย

 

ปฏิบัติการนี้เริ่มต้นขึ้นหลังจาก โดรนรัสเซียรุกล้ำน่านฟ้าโปแลนด์ อย่างน้อย 19 ลำเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ระหว่างที่รัสเซียโจมตียูเครนครั้งใหญ่ โดยโปแลนด์ได้อ้าง มาตรา 4 ของ NATO เพื่อตอบสนองต่อการรุกล้ำของโดรนรัสเซีย ซึ่งเป็นผลให้มีการเปิดตัวปฏิบัติการนี้

 

โดย Eastern Sentry มีต้นแบบมาจากปฏิบัติการ Baltic Sentry ซึ่งเปิดตัวเมื่อเดือนมกราคม 2025 เพื่อเพิ่มความมั่นคงในแถบทะเลบอลติก

 

ปฏิบัติการนี้ทำงานอย่างไร

 

ปฏิบัติการ Eastern Sentry จะดำเนินการโดยกองบัญชาการ Allied Command Operations (ACO) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการวางแผนและดำเนินการทางทหารของ NATO โดยจะร่วมมือกับ กองบัญชาการ Allied Command Transformation (ACT) เพื่อทดลอง และนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในวงกว้าง เช่น เซ็นเซอร์ตรวจจับ และติดตาม รวมถึงอาวุธต่อต้านโดรน

 

กองกำลัง NATO ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากประเทศสมาชิก NATO จะระดมเครื่องบินขับไล่ (Fighter Jets) เช่น F-16, Rafale, Eurofighter มาประจำการในจุดต่างๆ ตามแนวชายฝั่งตะวันออกของ NATO โดยจะใช้เรือรบ (Frigate) และระบบป้องกันภัยทางอากาศภาคพื้นดิน เพื่อทำหน้าที่ตรวจการณ์และตอบโต้ภัยคุกคามทางอากาศและทางทะเล

 

โดยจะมีการตรวจสอบและติดตามการเคลื่อนที่ของโดรนหรือยานอากาศที่เข้าสู่เขตน่านฟ้าของสมาชิก NATO พร้อมระบบเตือน และตอบสนอง (Scramble Jets) เมื่อเกิดการบุกรุกหรือรุกล้ำน่านฟ้า อีกทั้งยังจะมีการใช้มาตรการทางการทูตควบคู่ไปกับการทหาร เช่น การประณาม และมาตรการกดดันอื่นๆ

 

แนวโน้มและความสำคัญ

 

ปฏิบัติการนี้ เป็นการส่งสัญญาณว่า ทุกประเทศสมาชิก NATO โดยเฉพาะประเทศยุโรปตะวันออกจะไม่ยอมให้การละเมิดอธิปไตยของน่านฟ้าโดยเฉพาะจากรัสเซีย เกิดขึ้นซ้ำได้โดยที่ไม่ได้รับการตอบโต้ 

 

อีกทั้งยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์ของ NATO ที่เน้น การป้องกันเชิงรุก (Proactive Defence) มากยิ่งขึ้น โดย พลเอก กรินเควิช ระบุว่า Eastern Sentry เป็นการปรับใช้ ‘แนวทางที่ยืดหยุ่น’ มากขึ้นในการป้องกันทางปีกตะวันออกโดยรวม แทนที่จะใช้กำลังประจำการในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเพียงอย่างเดียว

 

นักวิเคราะห์มองว่า ปฏิบัติการในลักษณะนี้เพิ่มความเสี่ยงที่อาจทำให้ NATO และรัสเซียเผชิญหน้ากันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในแถบทะเลบอลติกและทะเลดำ แต่ในขณะเดียวกันก็ช่วยสร้างเสถียรภาพและความเชื่อมั่นภายในประเทศพันธมิตร NATO เช่นเดียวกันว่า NATO จะร่วมกันรับผิดชอบและปกป้องทุกตารางนิ้วของดินแดนสมาชิก NATO 

 

ภาพ: Shutterstock

อ้างอิง:

The post รู้จัก ‘Eastern Sentry’ ปฏิบัติการ NATO ตอบโต้โดรนรัสเซียรุกล้ำน่านฟ้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไมเหตุประท้วง ‘ขวางทุกอย่าง’ ถึงลุกลามทั่วฝรั่งเศส? https://thestandard.co/key-messages-block-everything/ Thu, 11 Sep 2025 09:56:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1118241

ฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับเหตุประท้วงครั้งใหญ่ที่หมายมั่นจะ […]

The post ทำไมเหตุประท้วง ‘ขวางทุกอย่าง’ ถึงลุกลามทั่วฝรั่งเศส? appeared first on THE STANDARD.

]]>

ฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับเหตุประท้วงครั้งใหญ่ที่หมายมั่นจะ ‘ขวางทุกอย่าง’ (Block Everything) โดยมีการปิดถนนและโรงเรียน รวมถึงการก่อความไม่สงบ และการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใช้แก๊สน้ำตา ซึ่งกระแสความไม่พอใจในครั้งนี้พุ่งเป้าไปที่เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส รวมถึงรัฐบาลและชนชั้นนำในแวดวงการเมืองโดยรวม ซึ่งถูกมองว่า ‘ไม่สนใจประชาชน’ ทำให้ผู้ชุมนุมต่างรู้สึกว่า การลงคะแนนเสียงของพวกเขา ‘ไร้ความหมาย’ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความกังวลเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจและสังคมที่พวกเขามองว่า เป็นการทำลายระบบสาธารณะและส่งผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อย

 

เหตุประท้วงขยายตัวเป็นวงกว้าง โดยทางการฝรั่งเศสเผยว่า มีผู้ถูกควบคุมตัวเกือบ 500 คน พร้อมได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจราว 80,000 คนกระจายกำลังไปยังทั่วประเทศ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย และควบคุมไม่ให้สถานการณ์ลุกลามบานปลาย

 

ฝรั่งเศสมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?

 

ผลจากการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาฝรั่งเศสครั้งล่าสุด มีส่วนทำให้รัฐสภาเสียงแตก และยากต่อการรวบรวมเสียงสนับสนุน จึงทำให้นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสจะต้องเผชิญกับความยากลำบากในการผ่านร่างกฎหมายต่างๆ และแผนงบประมาณประจำปี

 

ฟรองซัวส์ บายรู นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส แพ้ในการลงคะแนนเสียงไม่ไว้วางใจของสภาผู้แทนราษฎร เป็นเหตุให้ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา ท่ามกลางความวุ่นวายในรัฐสภาฝรั่งเศส ซึ่งบายรูนับเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ในรอบ 2 ปีของมาครง ผู้นำประเทศที่เผชิญกับความท้าทายอย่างมากในสมัยที่ 2 ของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี

 

บายรูสนับสนุนแนวทางการตัดลดงบประมาณรายจ่ายของภาครัฐ หลังจากมองว่า ฝรั่งเศสกำลังเผชิญวิกฤตหนี้สาธารณะครั้งสำคัญ ซึ่งเมื่อช่วงต้นปี 2025 ฝรั่งเศสมีหนี้สาธารณะอยู่ที่ 3.345 ล้านล้านยูโร หรือคิดเป็น 114% ของ GDP จึงทำให้บายรูพยายามลดการขาดดุลนี้

 

อย่างไรก็ตาม มีเสียงคัดค้านอย่างมากต่อแผนการตัดงบประมาณเพิ่มเติม โดยนักการเมืองฝ่ายซ้ายในฝรั่งเศสเรียกร้องให้มีการจัดเก็บภาษีเพิ่มเติม แทนการตัดงบ ขณะที่ประชาชนชาวฝรั่งเศสจำนวนไม่น้อยก็ไม่พอใจกับแนวทางการตัดงบของรัฐบาล รวมถึงการยกเลิกวันหยุด ซึ่งพวกเขามองว่า มาตรการเหล่านี้กดดันชนชั้นกลางและชนชั้นล่างอย่างมาก เป็นนโยบายที่ ‘ไม่เป็นธรรม’ พร้อมมองว่า รัฐบาลควรเพิ่มการจัดเก็บภาษีคนรวยและบริษัทใหญ่ มากกว่าที่จะมาลดสิทธิประโยชน์ของประชาชนทั่วไป อย่างการตัดงบสวัสดิการและบริการสาธารณะบางส่วนออก

 

อีกทั้งฝรั่งเศสกำลังเผชิญภาวะ ‘ค่าครองชีพสูง’ หากรัฐบาลประกาศรัดเข็มขัด ประชาชนกังวลว่าจะยิ่งทำให้ชีวิตลำบากยิ่งขึ้น ประกอบกับความรู้สึกที่ว่า นักการเมืองไม่เข้าใจความเดือดร้อนของประชาชน ยิ่งสะสมกระแสความไม่พอใจต่อชนชั้นการเมืองของฝรั่งเศส

 

ความท้าทายของนายกฯ คนใหม่

 

การชุมนุมประท้วงเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ เซบาสเตียน เลอกอร์นู รัฐมนตรีกลาโหมคนปัจจุบัน เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของฝรั่งเศสอีกหนึ่งตำแหน่ง หลายฝ่ายมองว่า การแต่งตั้ง เลอกอร์นู ซึ่งเป็นคนสนิทของมาครงให้มารับช่วงต่อบายรู ท่ามกลางสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในขณะนี้ นับเป็น ‘บททดสอบสุดหิน’ สำหรับนายกรัฐมนตรีคนใหม่

 

ผู้เชี่ยวชาญมองว่า เหตุชุมนุมประท้วงจะยังคงดำเนินต่อไป เพราะชาวฝรั่งเศสต่างรู้สึกว่า ท้องถนนเป็นพื้นที่ที่สามารถแสดงออกทางการเมืองได้ และมีโอกาสที่เสียงของพวกเขาจะถูกรับฟัง โดยคาดการณ์ว่า สหภาพแรงงานฝรั่งเศสเตรียมเข้าร่วมการประท้วงและนัดหยุดงานครั้งใหญ่ในวันที่ 18 กันยายนนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงรอยร้าวลึกระหว่างประชาชนชาวฝรั่งเศส โดยเฉพาะกลุ่มพี่น้องแรงงานกับผู้นำประเทศและชนชั้นการเมือง

 

ผู้เชี่ยวชาญยังระบุว่า ประชาชนรู้สึกว่า ‘ถูกทอดทิ้ง’ และเสียงของพวกเขา ‘ไม่มีตัวแทน’ ในรัฐสภาฝรั่งเศส อีกทั้งการประท้วงในครั้งนี้ก็มีความคล้ายคลึงกับ การประท้วงเสื้อกั๊กเหลือง (Yellow Vests Protests) ที่เริ่มขึ้นในปี 2018 ซึ่งเริ่มต้นจากความไม่พอใจเรื่องราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และขยายวงกว้างไปสู่ความรู้สึกไม่ยุติธรรมทางเศรษฐกิจในวงกว้าง โดยเหตุประท้วงนั้นไม่ได้ยึดโยงกับพรรคการเมืองใด สหภาพแรงงานใดๆ และไม่ได้มีใครขึ้นมาเป็นผู้นำเดี่ยวในการชุมนุมประท้วง เช่นเดียวกับเหตุประท้วง ‘ขวางทุกอย่าง’ ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้

 

ประธานาธิบดีมาครงสะสมกระแสความไม่พอใจของประชาชนชาวฝรั่งเศสอย่างต่อเนื่อง แผนปฏิรูปและแนวทางภายใต้การนำของเขา รวมถึงรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสที่เขาแต่งตั้ง มักได้รับเสียงต่อต้านจากสังคม อาทิ แผนปฏิรูปเงินบำนาญและปรับเกณฑ์เกษียณอายุจาก 62 เป็น 64 ปี จนมีกระแสจากบรรดาพรรคฝ่ายขวาเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีก่อนกำหนด

 

อย่างไรก็ตาม มาครงยืนยันว่า เขาจะไม่ลงจากตำแหน่ง จนกว่าจะสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสในปี 2027 ซึ่งนั่นจะทำให้เขาแบกรับแรงกดดันจากประชาชนอย่างมาก หากรัฐบาลฝรั่งเศสยังไม่สามารถแก้ไขวิกฤตต่างๆ ให้สอดรับกับความต้องการของประชาชนในประเทศได้

 

ภาพ: Reuters

 

อ้างอิง:

The post ทำไมเหตุประท้วง ‘ขวางทุกอย่าง’ ถึงลุกลามทั่วฝรั่งเศส? appeared first on THE STANDARD.

]]>
เกิดอะไรขึ้นที่เนปาล ทำไมกลุ่มคนรุ่นใหม่-Gen Z ประท้วงเดือด เผารัฐสภา-นายกฯ ลาออก https://thestandard.co/nepal-gen-z-protests/ Wed, 10 Sep 2025 06:15:12 +0000 https://thestandard.co/?p=1117728 ผู้ประท้วงชาวเนปาลจุดไฟเผารัฐสภา หลังไม่พอใจรัฐบาลและคอร์รัปชัน

เกิดเหตุประท้วงครั้งใหญ่ในเนปาล หลังกลุ่มนักศึกษาและคนร […]

The post เกิดอะไรขึ้นที่เนปาล ทำไมกลุ่มคนรุ่นใหม่-Gen Z ประท้วงเดือด เผารัฐสภา-นายกฯ ลาออก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผู้ประท้วงชาวเนปาลจุดไฟเผารัฐสภา หลังไม่พอใจรัฐบาลและคอร์รัปชัน

เกิดเหตุประท้วงครั้งใหญ่ในเนปาล หลังกลุ่มนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาล จากกระแสความไม่พอใจมาตรการแบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ประกอบกับปมปัญหาทุจริตคอร์รัปชันและความเหลื่อมล้ำที่ฝังรากลึกในสังคมเนปาล ก่อนเหตุปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 19 คน จะยิ่งทำให้สถานการณ์ในเนปาลบานปลายและรุนแรงมากยิ่งขึ้น 

 

กระแสความไม่พอใจยิ่งแผ่ขยายเป็นวงกว้าง ชาวเนปาลได้จุดไฟเผารัฐสภา และโจมตีอาคารของรัฐบาล รวมถึงบ้านพักของนักการเมืองทั่วประเทศ พร้อมเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 4 คนเมื่อวานนี้ (9 กันยายน) หนึ่งในนั้นคือ ภริยาของ จาลา เนธ คานัล อดีตนายกรัฐมนตรีเนปาลที่ติดอยู่ในบ้านพัก หลังกลุ่มผู้ประท้วงจุดไฟเผาบ้านหลังดังกล่าว

 

ก่อนที่ เค พี ศรรมะ โอลี นายกรัฐมนตรีเนปาล จะตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง โดยอ้างถึง ‘สถานการณ์พิเศษ’ ภายในประเทศ ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์ความไม่สงบที่เลวร้ายที่สุดของเนปาลในรอบหลายทศวรรษ

 

สาเหตุที่ทำให้กลุ่มคนรุ่นใหม่-Gen Z ในเนปาลประท้วงเดือด

 

  1. การแบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยม

 

เมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา รัฐบาลเนปาลประกาศแบนโซเชียลมีเดียยอดนิยม 26 แพลตฟอร์ม ซึ่งรวมถึง Facebook, X, YouTube, LinkedIn, Reddit และ  Snapchat โดยอ้างว่า โซเชียลมีเดียเหล่านี้ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบใหม่ของกระทรวงการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อปราบปรามข่าวปลอมและคำพูดที่สร้างความเกลียดชัง ในขณะที่คนรุ่นใหม่ในเนปาลกลับมองว่า มาตรการนี้เป็นการโจมตีเสรีภาพในการแสดงออก จึงเป็นหนึ่งในชนวนเหตุที่นำไปสู่การชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ 

 

  1. ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน

 

ผู้ประท้วงจำนวนมากมองว่า การทุจริตคอร์รัปชันที่ดำเนินมานานหลายทศวรรษเป็น ‘ปัญหาใหญ่’ ของสังคมเนปาล พวกเขาเชื่อว่า ถึงเวลาแล้วที่เนปาลจะต้องเปลี่ยนแปลง และเกิดการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง หลังผู้นำประเทศมักสั่งสมอำนาจ และสลับหมุนเวียนกันขึ้นมานั่งบริหารประเทศ โดยเฉพาะ เค พี ศรรมะ โอลี นายกรัฐมนตรีเนปาลที่เพิ่งประกาศลาออกจากตำแหน่ง เคยบริหารประเทศมาแล้วถึง 4 สมัย

 

  1. โอกาสทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่

 

เหตุประท้วงในครั้งนี้ยังเกี่ยวพันกับวิกฤตเศรษฐกิจในเนปาล สะท้อนถึงความคับข้องใจของคนรุ่นใหม่เกี่ยวกับโอกาสทางเศรษฐกิจที่ ‘มีอยู่อย่างจำกัด’ โดยข้อมูลจาก World Bank ระบุว่า อัตราการว่างงานสำหรับเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่อายุ 15-24 ปีในเนปาล สูงถึง 20.8% ในปี 2024 อีกทั้งเศรษฐกิจของเนปาลพึ่งพาเงินที่ชาวเนปาลส่งกลับประเทศเป็นอย่างมาก โดยคิดเป็นกว่าหนึ่งในสาม (33.1%) ของ GDP ประกอบกับรัฐบาลเนปาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และเพิ่มอัตราการจ้างงานได้ จึงยิ่งทำให้กระแสความไม่พอใจรัฐบาลขยายตัวมากยิ่งขึ้น

 

  1. ความเหลื่อมล้ำในสังคมเนปาล โดยเฉพาะกรณี Nepo Kids

 

ปัญหาความเหลื่อมล้ำในเนปาลเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ทำให้การชุมนุมประท้วงครั้งนี้ยกระดับยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกรณีของ ‘Nepo Kids’ หรือ บรรดาลูกหลานของนักการเมืองที่ใช้ชีวิตหรูหรา สะดวกสบาย จนเกิดเป็นกระแส #NepoKids โจมตีคนกลุ่มนี้ในโลกออนไลน์ พร้อมประณามว่า ‘ไม่เข้าใจความเป็นจริงของสังคม’ ซึ่งประชากรราว 1 ใน 4 อาศัยอยู่ ‘ต่ำกว่าเส้นความยากจน’  

 

สิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งเป็น ‘กระจกสะท้อน’ ถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำ และช่องว่างทางสังคมระหว่างกลุ่มอีลิต หรือชนชั้นนำในสังคม กับประชาชนส่วนใหญ่ในเนปาล ท่ามกลางสภาวะปัญหาสังคมและเศรษฐกิจที่รุมเร้า

 

ก่อนหน้านี้ไม่นาน ปัญหาความเหลื่อมล้ำก็เป็นชนวนสำคัญที่ก่อให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ในประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างอินโดนีเซีย หลังประชาชนแสดงความไม่พอใจ กรณีการให้เงินค่าที่พักต่อเดือน กับบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) สูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำในจาการ์ตา 10 เท่า ซึ่งสวนทางกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมของชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่ในประเทศ และสวนทางกับประสิทธิภาพการทำงานของ สส. ในขณะที่รัฐบาลอินโดนีเซียเองก็เพิ่งประกาศจะรัดเข็มขัด โดยสถานการณ์โดยรวมคลี่คลายลง หลังรัฐบาลอินโดนีเซียรับปากจะแก้ไขปัญหาดังกล่าว และรับฟังเสียงของประชาชน

 

ผลลัพธ์ที่ตามมา และท่าทีของฝ่ายต่างๆ 

 

การใช้ความรุนแรงยังคงเกิดขึ้นในหลายเมืองสำคัญ โดยเจ้าหน้าที่ความมั่นคงได้ใช้กระสุนจริง, ปืนฉีดน้ำ และแก๊สน้ำตาเข้าสลายการชุมนุม ขณะที่กลุ่มผู้ประท้วงยังคงเผาอาคารทำการของรัฐหลายแห่ง สนามบินนานาชาติถูกสั่งปิดให้บริการชั่วคราว เนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัย และมีนักโทษประมาณ 900 คนหลบหนีออกจากเรือนจำสองแห่งในเขตทางตะวันตกของเนปาล หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า ยอดผู้เสียชีวิต รวมถึงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งขณะนี้มีจำนวนหลายร้อยคน จะเพิ่มสูงขึ้นอีก

 

รามจันทระ เปาเฑล ประธานาธิบดีเนปาล เรียกร้องให้ผู้ชุมนุมหันมา ‘ร่วมมือเพื่อการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ’ โดยจะเรียกประชุมรัฐสภา ซึ่งอาจมีการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราว และเปิดพื้นที่ให้องค์กรของคนรุ่นใหม่ หรือองค์กร Gen Z ในเนปาลเข้าร่วมหารือด้วย หลัง เค พี ศรรมะ โอลี นายกรัฐมนตรีเนปาล ประกาศลาออก

 

ทางด้านกองทัพเนปาล เรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหาอย่างสันติผ่านการเจรจา และขอให้ประชาชนทุกคนใช้ความยับยั้งชั่งใจ และเตือนว่าจะเข้าควบคุมสถานการณ์ หากความไม่สงบยังคงดำเนินต่อไป

 

นอกจากนี้ยังมีเสียงประณามจากนานาชาติ โดยสำนักงานสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติแสดงความตกใจต่อการเสียชีวิตของผู้ประท้วง และเรียกร้องให้มีการสอบสวนอย่างโปร่งใส ขณะที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุว่า การใช้กำลังถึงชีวิตกับผู้ประท้วงที่ไม่เป็นภัยคุกคามต่อชีวิตหรือการบาดเจ็บร้ายแรง ถือเป็น ‘การละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง’ 

 

นักวิเคราะห์หลายคนเตือนว่า หากรัฐบาลเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องของคนรุ่นใหม่ และไม่รับฟังเสียงของพวกเขาอย่างแท้จริง อาจจะไม่สามารถยุติการเคลื่อนไหวของประชาชนในครั้งนี้ได้ เนื่องจากการประท้วงได้ขยายข้อเรียกร้องไปสู่ ‘การปฏิรูปการเมืองเชิงโครงสร้าง’ มากกว่าการเปลี่ยนตัวผู้นำเพียงอย่างเดียว แม้ผู้นำจะลาออกแล้วก็ตาม

 

ภาพ: Reuters

อ้างอิง:

The post เกิดอะไรขึ้นที่เนปาล ทำไมกลุ่มคนรุ่นใหม่-Gen Z ประท้วงเดือด เผารัฐสภา-นายกฯ ลาออก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตึกร้างแสนล้าน เมื่องบก่อสร้างกลายเป็นงบก่อซาก https://thestandard.co/thailand-abandoned-buildings-corruption/ Wed, 10 Sep 2025 04:28:47 +0000 https://thestandard.co/?p=1117678 thailand-abandoned-buildings-corruption

หัวข้อในเนื้อหานี้   ตึกร้างเต็มเมือง แต่ไม่มีใครต […]

The post ตึกร้างแสนล้าน เมื่องบก่อสร้างกลายเป็นงบก่อซาก appeared first on THE STANDARD.

]]>
thailand-abandoned-buildings-corruption

 

ตอนนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหา ‘ตึกร้าง’ จากโครงการรัฐที่ไม่เสร็จสมบูรณ์และไม่เคยถูกใช้งาน และเมื่อโครงการล้มเหลวกลับไม่มีผู้รับผิดชอบ ระบบตรวจสอบอ่อนแอ ไร้คำอธิบาย

 

จนทำให้สังคมไทยเริ่มตั้งคำถามมากขึ้นว่าปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นจากอะไร ใครจะต้องเป็นผู้ตรวจสอบตึกร้างทั่วประเทศที่สร้างขึ้นจากเงินภาษี ใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบหรือถูกลงโทษ และสังคมไทยจะสามารถหยุดวงจรอุบาทว์นี้ได้หรือไม่?

 

ตึกร้างเต็มเมือง แต่ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ

 

  • อาคารสำนักงาน กสทช. จังหวัดนนทบุรี มูลค่า 2,643 ล้านบาท ถูกทิ้งร้างตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบันการก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ

 

  • พิพิธภัณฑ์หอยสังข์ จังหวัดสงขลา มูลค่า 1,400 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างปี 2551 ผ่านมา 17 ปียังไม่แล้วเสร็จ

 

  • อาคารที่ทำการศาลแขวงพระนครเหนือ เบิกงบไปแล้วกว่า 1,377 ล้านบาท แต่สร้างไม่เสร็จตามกำหนดเพราะผู้รับเหมาทิ้งงาน 

 

  • สำนักงานเขตลาดกระบัง มูลค่า 495 ล้านบาท ยังไม่เสร็จและถูกทิ้งงาน 

 

  • อาคารศูนย์สาธิตบริการและอาคารลานจอดรถ กรมควบคุมโรค มูลค่า 480 ล้านบาท ยังไม่เสร็จและถูกทิ้งงาน

 

สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้เป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของตัวอย่างที่เกิดขึ้นทั่วไทย ยังไม่นับรวมการก่อสร้างยิบย่อยอื่นๆ อย่างสนามกีฬาที่ถูกทิ้งร้างในจังหวัดต่างๆ พิพิธภัณฑ์ที่ไม่มีคนเข้าไปเยี่ยมชม โรงเรียนที่มีแต่เสาเข็ม ประปาชุมชน หรือศูนย์บริการท่องเที่ยวตามจังหวัดต่างๆ ที่ไม่มีคนใช้ 

 

ราวกับว่าประเทศไทยมีงบประมาณเหลือใช้มากมายจนทำให้เราสามารถมีสิ่งปลูกสร้างที่ไร้ประโยชน์กระจายอยู่ทั่วประเทศ และไม่เคยมีการสำรวจหรือเก็บข้อมูลว่ามีสิ่งปลูกสร้างทิ้งร้างหรือสร้างไม่เสร็จอยู่มากน้อยเท่าไร

 

ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เชื่อว่า ความเสียหายมีมากกว่าหลักพันล้านบาท โดยสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ถูกใช้งานแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือสร้างเสร็จแล้วถูกทิ้งร้าง ส่วนอีกกลุ่มคือสร้างไม่เสร็จ โครงการไปต่อไม่ได้นานกว่า 10-20 ปี เมื่อรวมเรื่องงบผูกพันบานปลาย มูลค่าความเสียหายจึงแตะหลักแสนล้านบาท

 

เมื่อรู้ตัวอีกทีประเทศไทยเต็มไปด้วยตึกร้าง สังคมจึงเริ่มตั้งคำถามว่าเหตุใดเราถึงปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใครควรเป็นผู้ตรวจสอบ รวบรวมข้อมูล และยับยั้งไม่ให้หน่วยงานรัฐสร้างตึกแล้วปล่อยร้างอีกต่อไป

 

ปัญหาตึกร้างในมุมมองของห้องงบ

 

ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน และ สส. ซึ่งทำงานในคณะกรรมาธิการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อเนื่อง 6 ปี เธออธิบายว่างบส่วนตึกร้างอาจมองไม่เห็นความสูญเสียได้ง่ายอย่างที่หลายคนคาดคิด

 

“เอาจริงๆ ในห้องงบ เราจะไม่เห็นเรื่องว่าตึกที่เราอนุมัติงบไป เขาเอาไปใช้แล้วมันร้างหรือไม่ร้าง เพราะว่าปีต่อปีเราก็จะเห็นเฉพาะงบประมาณที่มาขอเพื่อที่จะไปสร้างใหม่ แล้วก็ถ้ากรรมาธิการไม่ได้ซักถามว่าไอ้ตึกที่เคยขอไปก่อนหน้า เอาไปทำอะไร ก็แทบจะไม่ได้เห็นข้อมูลเลยว่ามันมีตึกร้างหรือเปล่า”

 

“แต่ว่าในปีนี้เราก็สนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษเหมือนกัน เราก็พูดคุยกับหน่วยงาน ถ้าถามหน่วยงานที่ของบไปสร้างใหม่ว่าที่หน่วยงานคุณมีตึกร้างหรือเปล่า ก็จะบอกว่าไม่มี สิ่งที่กรรมาธิการงบประมาณจะเห็นคือการขอเงินทำโครงการก่อสร้างที่ยังไม่เกิดขึ้น จึงไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าในอนาคตตึกพวกนี้จะกลายเป็นตึกร้างหรือเปล่า”

 

เธอชี้ว่าปัญหาจะยิ่งชัดเมื่อโครงการที่กำหนดไว้ 10 ปี กลับยืดเยื้อเป็น 15–20 ปี โดยมักมีเหตุผลในการขอเพิ่มงบและปรับสัญญา เช่น โครงการชลประทานขนาดใหญ่ที่เจออุปสรรคระหว่างสร้างเขื่อน ทำให้ของบเพิ่มและยืดเวลาต่อเนื่อง

 

กรณีตึกอย่างพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า ที่ของบตั้งแต่ปี 2563 แต่ยังไม่เสร็จ โดยหน่วยงานอ้างความยากในการโยกย้ายไม้มีค่า เนื่องจากเป็นไม้มีค่าจึงโยกย้ายลำบาก หรือหอประชุมกองทัพบกที่อนุมัติสร้างเพื่อใช้ในการประชุมเอเปก แต่ก่อสร้างเกินเวลาจนการประชุมเสร็จสิ้นไปแล้ว อาคารยังสร้างไม่เสร็จ

 

ศิริกัญญาอธิบายเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันการเปิดเผยข้อมูลของกรมบัญชีกลางในส่วนก่อนที่จะมีการจัดซื้อจัดจ้างถือว่าทำได้ค่อนข้างดี เพราะคณะกรรมาธิการงบประมาณสามารถเข้าไปค้นหาในระบบที่เรียกว่า Electronic Government Procurement:EGP ซึ่งปัญหาของเรื่องนี้อยู่หลังจากจัดซื้อจัดจ้างเสร็จไปแล้ว

 

“แต่หลังจากที่มีการจัดซื้อจัดจ้างไปเรียบร้อยแล้วไม่มีการเปิดเผยอะไรเลย ทั้งที่จะเอาข้อเท็จจริง หน่วยงานต่างๆ ที่เข้ามาของบ เวลาที่จะต้องเบิกแต่ละงวดงาน งวดงาน เสร็จแต่ละงวด แล้วก็เบิกตังค์ จริงๆ เขาต้องมีการถ่ายรูป เขาต้องมีการบันทึกว่าตกลงโครงการนี้ถึงไหนแล้ว มีการแก้ไขสัญญาหรือไม่ ส่งเข้าไปในระบบ EGP อยู่แล้ว”

 

“เพียงแต่ว่ากรมบัญชีกลางไม่เคยเปิดเผยเรื่องนี้ อันนี้ควรจะเป็นเรื่องที่เราทำได้ง่าย เป็น quick win ที่เราสามารถสร้างความโปร่งใส แล้วก็ให้คนสามารถที่จะเข้าไปตรวจสอบได้ง่ายๆ”

 

ไร้ประสิทธิภาพ ฟุ่มเฟือย หรือคอร์รัปชัน? 

 

เมื่อเห็นว่าหลายพื้นที่มีตึกร้างของรัฐ คำถามคือ นี่คือสัญลักษณ์ของคอร์รัปชันเชิงนโยบาย หรือเป็นเพียงความไม่รู้และการใช้งบตอบสนองความต้องการของหน่วยงานรัฐ

 

ศิริกัญญาเสริมว่า เมื่อหน่วยงานรัฐต้องใช้งบลงทุน ก็มักเลือกสร้างตึก แต่เพราะขาดความชำนาญในการเขียน TOR จึงเกิดงวดงานและเงื่อนไขแปลกๆ งานยืดเยื้อเกินปกติ อีกทั้งไม่คำนึงถึงการชดเชยเมื่อโครงการล่าช้า เช่น ค่า K สำหรับชดเชยความผันผวนของราคาวัสดุ ซึ่งไม่ครอบคลุมค่าแรง ส่งผลให้งบโครงการบานปลายยิ่งขึ้น

 

“ซ้ำร้ายก็คือค่าชดเชยไม่ค่อยจ่ายนะคะ รัฐค้างจ่ายรวมกันประมาณ 3,500 ล้านบาท ถ้าผู้รับเหมายังมีสายป่านยาวอยู่ ก็ยังคงทำงานต่อไปได้ แต่ถ้าสายป่านสั้น ก็อาจจะต้องล้มหายตายจากกันไปเลยทีเดียว เพราะว่ารัฐบาลค้างจ่ายค่าชดเชยวัสดุก่อสร้างให้กับเขา”

 

“เพียงแต่ว่าในท้ายที่สุด ด้วยกระบวนการที่มีช่องโหว่ มันก็เปิดโอกาสให้คนที่สามารถหากินกับเรื่องนี้เข้ามาเกี่ยวได้ มันไม่มีนโยบายจากส่วนกลางว่าตกลงปีนี้เอาหรือไม่เอา ตึกจะเยอะแค่ไหน หรือว่าสัดส่วนในรายจ่ายลงทุนควรจะต้องเป็นก่อสร้างอาคารสำนักงานสักเท่าไหร่ แล้วควรจะต้องเป็นส่วนของการสร้างโครงสร้างพื้นฐานสักเท่าไหร่ เขาก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ หน่วยงานต่างๆ ก็แบบตึกฉันเก่ามากแล้ว ฉันจะต้องมีการเปลี่ยน เขาก็ขอมาตามสิทธิที่เขาพึงมี ตามระเบียบที่เคยมีตั้งไว้ก่อนหน้านั้น มันเป็นเรื่องนโยบายล้วนๆ ว่าแต่ละปี จะมีการก่อสร้างตึกมากแค่ไหน”

 

“มันเป็น entitlement ของข้าราชการที่รู้สึกว่าฉันสมควรที่จะต้องมี สำนักงานที่เรียกได้ว่าเป็นหน้าตา ไม่ว่าจะเป็นศูนย์ราชการมหาดไทยที่ยิ่งใหญ่อลังการ เป็นหมู่ตึกขนาดใหญ่ ทั้งสำนักปลัดคมนาคม พอสร้างใหม่ก็ต้องใหญ่โตหรูหรา ส่วนตึก สตง. ถ้าไม่ถล่มก็เป็นอาคารภาครัฐขนาดใหญ่อันหนึ่งเหมือนกัน กสทช. ทั้งๆ ที่เขาก็มีอาณาจักรของเขาอยู่แล้วที่อารีย์ ก็ยังต้องไปหาสร้างใหม่อีก 2,000 กว่าล้าน ซึ่งก็ได้ข่าวว่าก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ ผู้รับเหมาทิ้งงานเหมือนกัน ก็มีทั้ง 2 ฝั่ง ทั้งทุจริตคอร์รัปชัน แล้วก็ทั้งกฎระเบียบภาครัฐที่ไปทำร้ายเขา”

 

ศิริกัญญาชี้ให้เห็นค่านิยมฟุ่มเฟือยที่กำลังแพร่ในหน่วยงานรัฐ เช่น ตึกของสำนักปลัดคมนาคม มีข้าราชการราว 1,000 คน แต่งบก่อสร้างสูงถึง 4,000 ล้านบาท และพยายามขอเพิ่มฟังก์ชันราคาแพง แม้รัฐมนตรีชี้แจงว่าจะมีผู้ใช้ถึง 80,000 คน แต่เมื่อนับพนักงานและลูกจ้างต่างๆ จริงแล้วไม่ถึง 50,000 คน 

 

กรรมาธิการเสียงข้างมากจึงให้เหตุผล “สร้างเผื่อให้ลูกหลานใช้” ทั้งที่เกินความจำเป็น อีกทั้งยังพบรายละเอียดจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์และเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงผิดสังเกต แทรกในมูลค่างานออกแบบอาคาร

 

ในสภาพเศรษฐกิจที่ผันผวน ข้าราชการควรตระหนักเรื่องความประหยัดและการใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด ฟังก์ชันของอาคารควรเน้นการใช้งาน ไม่ใช่ความโอ่อ่าหรูหรา ทั้งศิริกัญญาและ ดร.มานะ เห็นตรงกันว่า ต้นทุนต่อตารางเมตร ต้องสมเหตุสมผล คำนวณตามจำนวนผู้ใช้งานจริง

 

นอกจากอาคารโอ่อ่าไม่จำเป็น โครงการที่ล้มเหลวจำนวนมากยังเกี่ยวพันคอร์รัปชัน ดร.มานะอธิบายว่ามีทั้งการ “ขายงานเป็นทอดๆ” หักเปอร์เซ็นต์จนผู้รับเหมาปลายทางไม่คุ้มและทิ้งงาน การสอดไส้แผนคอร์รัปชันในโครงการ การตัดราคาเพื่อชนะประมูลแล้วล็อกสเป็ก เบิกงวดคู่กับสินบนก่อนทิ้งงาน ตลอดจนการรีดไถของเจ้าหน้าที่รัฐในทุกขั้นตอน จนผู้รับเหมาขนาดกลาง-เล็กทิ้งงาน สิ่งปลูกสร้างจึงค้างคาไม่เสร็จ

 

รัฐไทยจะตัดวงจรอุบาทว์ตึกร้างอย่างไร?

 

ดร.มานะ เสนอแนวทางว่านายกรัฐมนตรีต้องให้ความสำคัญ นำปัญหาเข้าสู่คณะรัฐมนตรี และเป็นเจ้าภาพจัดระบบหน่วยงาน ตั้งคณะกรรมการรวบรวมข้อมูล ปัญหา และทิศทางแก้ไข เริ่มจากสำรวจจำนวนสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ประสบความสำเร็จ เพื่อเห็นว่าหน่วยงานใดมีตึกร้างมากที่สุด แล้วตรวจสอบทีละจุดว่าเกิดจากคอร์รัปชัน ข้าราชการขายงาน หรือความผิดของเอกชน พร้อมทั้งย้ำว่าไม่อาจโยนทั้งหมดให้ ป.ป.ช. เพราะความเสียหายมีทั้งส่วนคอร์รัปชันที่เข้าสู่ ป.ป.ช. ได้ และส่วนของความด้อยสมรรถภาพและความไม่รับผิดชอบของผู้บริหารกระทรวงต่างๆ

 

ส่วนมุมเชิงนโยบาย ศิริกัญญาเสนอให้แปลง “คำใหญ่ๆ” ให้เป็นข้อปฏิบัติจริง

 

“มันเป็นเรื่องในเรื่องเชิงนโยบายล้วนๆ ว่าแต่ละปีเราจะจัดการกับงบประมาณก้อนนี้แบบไหน เราก็จะเห็นว่าในเชิงกระบวนการ ทุกปีนายกรัฐมนตรีจะออกมาให้นโยบายในการจัดสรรงบประมาณ แล้วเราลองย้อนกลับไปดู แต่ละปีก็จะออกมาหน้าตาเหมือนๆ กันหมด ว่าต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด คุ้มค่า แล้วก็คำนึงถึงความซ้ำซ้อน 

 

“แต่ว่าในเชิงปฏิบัติ ไอ้พวกคำลอยๆ คำใหญ่ๆ พวกนี้มันไม่เคยถูกแปลงให้เป็นวิธีการปฏิบัติจริงๆ ดังนั้นตัวหัวของรัฐบาลก็คือนายกรัฐมนตรี จะต้องใช้โอกาสในการที่เขาต้องมีการแถลงนโยบายงบประมาณประจำปีกับข้าราชการแบบทุกหมู่เหล่าต้องมาฟัง ในการที่จะให้นโยบายในเรื่องนี้ว่า ก่อสร้างยังจำเป็นมั้ย เช่าเอาดีกว่ามั้ย ต่อไปนี้ไอ้ความหรูหราโอ่อ่าต้องตัดทิ้งไปให้หมด”

 

“ไม่อย่างงั้นข้าราชการเขาก็จะไม่ได้ต้องกังวล เพราะว่ามันไม่ใช่เงินเขาอยู่แล้ว ถ้าเป็นสิทธิ์ที่เขาพึงได้ เขาก็ขอแบบจัดเต็ม แถมแบบบางทีก็บวกๆ ในเรื่องของความแบบหรูหรา สะดวกสบายไปอีก โดยที่มันไม่ได้ยึดโยงอะไรกับการที่จะสร้างบริการที่ดีให้กับประชาชน สร้างความสะดวกสบายให้กับประชาชนที่เข้าไปติดต่อขอรับบริการเลย”

 

เธอยังระบุว่า ขณะนี้จำเป็นต้องมี หน่วยงานเจ้าภาพ ดูแล โดยเข้าใจว่า สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) กำลังรวบรวมข้อมูลตึกร้างที่ไม่ได้ใช้หรือใช้ไม่เต็มศักยภาพ และเมื่อรายงานเสร็จ เธอจะขอเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว

 

อีกประเด็นคือความขัดแย้งระหว่างส่วนกลางกับท้องถิ่น ตามที่ ดร.มานะ เรียกว่า “ส่วนกลางยัดเยียดสิ่งที่ท้องถิ่นไม่ได้ขอ” เช่น สนามกีฬา ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ประปา เขื่อน หรือพิพิธภัณฑ์ ที่สร้างโดยไม่ถามความต้องการของพื้นที่ จนถูกทิ้งร้างและกลายเป็นภาระ ซึ่งต้องพูดคุยกันอย่างจริงจังเรื่องความรับผิดชอบ

 

“เพราะฉะนั้นเจ้าภาพในการแก้ คือคนที่ต้องรับผิดชอบว่ามึงจะต้องแก้ เมื่อหาเจ้าภาพได้ออกคำสั่งเลยว่าถ้าสร้างไม่เสร็จ มึงห้ามสร้างใหม่ หน่วยงานนี้ ใช่มั้ย? ไม่อย่างนั้นมันไม่เดือดร้อนไง ต้องบอกเลยว่าการท่องเที่ยวมึงสร้างอันนี้ มึงมีปัญหาอยู่ 10 หลัง มึงเคลียร์ให้เสร็จก่อน ถ้าไม่เสร็จ มึงห้ามก่อสร้างเพิ่ม”

 

“อันนี้คืออีกประเด็นหนึ่งที่บอกว่า ความคุ้มค่าในการใช้งาน โดยรวมทั้งหมดมันคือเงินภาษีของประชาชน และโอกาสของประเทศในการใช้เงินเหล่านี้ไปในการบริหารจัดการประเทศ ใช้ไปในการทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ”

 

ขณะเดียวกัน ศิริกัญญายอมรับว่า กรรมาธิการกว่า 70 คน และอนุกรรมาธิการกว่า 80 คน ไม่สามารถตรวจสอบงบประมาณทั้งหมดได้ในเวลาอันสั้น เธอเชื่อว่า หากมีหน่วยงานเจ้าภาพสำรวจจำนวนตึกร้าง บันทึกและเผยแพร่ต่อสาธารณะ ประเทศไทยจะมี “ตาอีกเป็นล้านคู่” ช่วยค้นหา ตรวจสอบ วิพากษ์ และกระตุ้นให้เกิดการกำกับดูแลที่เข้มงวดยิ่งขึ้น

 

และ ดร.มานะ ได้ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ถ้าดูการใช้เงินของหน่วยงานรัฐ จะเห็นได้ชัดเลยว่าประเทศไทยไม่ได้จน เรามีเงินไว้ทำหลายสิ่งมากมาย แต่ระหว่างทางกลับเต็มไปด้วยการคอร์รัปชันหรือการใช้เงินภาษีของประชาชนอย่างไร้ความรับผิดชอบ กลายเป็นส่วนสำคัญให้ไทยสูญเสียโอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศ 

 

โดยประชาชนอย่างพวกเราก็ไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งดีๆ ที่พวกเราควรได้รับ มันได้หายไปกับความชั่วร้ายของคนบางกลุ่มในสังคมไทย

 

 

The post ตึกร้างแสนล้าน เมื่องบก่อสร้างกลายเป็นงบก่อซาก appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดคำสั่งศาลฎีกาฯ ชี้บังคับโทษ ‘ทักษิณ’ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องรับโทษจำคุกต่ออีก 1 ปี https://thestandard.co/supreme-court-order-thaksin-sentence/ Tue, 09 Sep 2025 05:39:31 +0000 https://thestandard.co/?p=1116995 ศาลฎีกา ทักษิณ

วันนี้ (9 กันยายน) เวลา 10.00 น. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผ […]

The post เปิดคำสั่งศาลฎีกาฯ ชี้บังคับโทษ ‘ทักษิณ’ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องรับโทษจำคุกต่ออีก 1 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศาลฎีกา ทักษิณ

วันนี้ (9 กันยายน) เวลา 10.00 น. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้อ่านคำสั่งคดีหมายเลขดำที่ บค1/2568 เพื่อพิจารณาว่า การบังคับโทษ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นไปตามหมายจำคุกในคดีถึงที่สุด ได้แก่ คดีหมายเลขแดงที่ อม 4/2551, อม 5/2551 และ อม 10/2552 ของศาลฎีกาฯ หรือไม่

 

โดยศาลได้ให้โจทก์ จำเลย ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ยื่นคำชี้แจงข้อเท็จจริงพร้อมเอกสารประกอบ และมีการไต่สวนพยานรวมทั้งสิ้น 31 ปาก

 

ศาลยืนยันมีอำนาจไต่สวน

ประเด็นแรกที่ต้องวินิจฉัย คือ ศาลมีอำนาจไต่สวนหรือไม่

 

ศาลเห็นว่า การตรวจสอบว่าการบังคับโทษเป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดหรือไม่ มีบทบัญญัติรับรองไว้ตามข้อกำหนดว่าด้วยการดำเนินคดีของศาลฎีกาฯ พ.ศ. 2562 ข้อ 61 วรรคสอง แม้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และอธิบดีกรมราชทัณฑ์จะมีอำนาจตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวงว่าด้วยการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 

 

แต่การส่งผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำต้องอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขทางกฎหมาย ไม่ใช่ว่าเมื่อใช้อำนาจตามกฎหมายแล้วจะไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบของศาล

 

ดังนั้น หากปรากฏข้อเท็จจริงว่าการบังคับโทษไม่เป็นไปตามหมายจำคุก ศาลฎีกาฯ ย่อมมีอำนาจตรวจสอบว่า การส่งตัวจำเลยไปรักษานอกเรือนจำและการอนุญาตให้รักษาต่อเนื่องจนได้รับการปล่อยตัวนั้นเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่

 

ไม่ใช่การพิจารณาซ้ำ

ประเด็นต่อมา คือ การไต่สวนครั้งนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคำสั่งศาลที่เคยยกคำร้องเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 และ 15 กุมภาพันธ์ 2567 หรือไม่

 

ศาลวินิจฉัยว่า ที่มาของประเด็นในครั้งก่อนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ และการทุเลาการบังคับโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 แต่ประเด็นในครั้งนี้ คือ การตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ามีการบังคับโทษไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดหรือไม่ ซึ่งยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยมาก่อน และไม่ได้อาศัยคำร้องเดิมของนายชาญชัย การไต่สวนครั้งนี้จึงไม่ถือเป็นการพิจารณาซ้ำ

 

ประเด็นหลัก: การบังคับโทษและการรักษาตัว

เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 หลังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ รับตัวจำเลยตามหมายจำคุก ได้ส่งไปคุมขังที่ห้องกักโรคแดน 7 ซึ่งเป็นสถานพยาบาล โดยมีแพทย์ราชทัณฑ์ตรวจร่างกาย พบว่า จำเลยมีโรคประจำตัว 10 โรค อาการส่วนใหญ่คงที่ ยกเว้น 3 โรคที่ควรตรวจเพิ่มเติมคือ โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท โรคหัวใจ และโรคไวรัสตับอักเสบบี เนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีแพทย์เฉพาะทาง แต่ทั้งหมดอยู่ในภาวะที่ไม่ใช่เหตุฉุกเฉิน

 

อย่างไรก็ตาม คืนเดียวกัน เวลา 22.00 น. จำเลยแจ้งว่ามีอาการอ่อนเพลีย แขนขาอ่อนแรงเล็กน้อย นอนไม่หลับ แน่นหน้าอก และความดันโลหิตสูง (178/98 มม.ปรอท) อัตราหัวใจเต้น 86 ครั้ง/นาที ออกซิเจนปลายนิ้ว 92% พยาบาลเวรจึงทำบันทึกเสนอส่งตัวออกไปรักษานอกเรือนจำ พัศดีเวรอนุญาต และเรือนจำส่งตัวจำเลยไปโรงพยาบาลตำรวจ

 

แต่ข้อเท็จจริงพบว่า การส่งดังกล่าวไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ มาตรา 55 และกฎกระทรวง เนื่องจากต้องตรวจและส่งผ่านทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อน ทั้งที่อยู่ห่างเพียง 200 เมตร อีกทั้งเมื่อไปถึงโรงพยาบาลตำรวจ ก็ถูกนำเข้าห้องพักพิเศษชั้น 14 ไม่ใช่ห้องฉุกเฉิน ขัดต่อระเบียบโรงพยาบาลตำรวจที่กำหนดให้ผู้ต้องขังเข้ารับการรักษาฉุกเฉินที่ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน

 

นอกจากนี้ ยังพบว่าในคืนดังกล่าวไม่มีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และไม่ได้ตามแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจมาตรวจทันที เพิ่งตรวจในวันถัดไป

 

ความเห็นผู้เชี่ยวชาญและข้อเท็จจริงการรักษา

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา และ ศ.นพ.ไขยรัตน์ ตรวจเวชระเบียนแล้วเห็นว่า อาการไม่ได้ฉุกเฉิน

 

นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข อดีต ผอ.ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ยืนยันว่า โรงพยาบาลราชทัณฑ์มีเครื่องมือและยาที่เพียงพอรักษาอาการในคืนนั้น

 

อาการของจำเลยตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป สามารถกลับไปรักษาที่เรือนจำหรือทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้

 

แต่กลับปรากฏว่า การรักษาในโรงพยาบาลตำรวจยืดเยื้อไปจนถึง 18 กุมภาพันธ์ 2567 โดยใช้ใบรับรองแพทย์อ้างว่า จำเลยต้องรักษาโรคเร่งด่วน เช่น สมองขาดเลือด ผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม ทั้งที่ข้อเท็จจริงพบว่าเป็นเพียงการผ่าตัดเล็ก เช่น นิ้วล็อก เอ็นหัวไหล่ ซึ่งเกิดขึ้นภายหลัง ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ต้องส่งตัวไปรักษาตั้งแต่แรก

 

ศาลจึงสรุปว่า การส่งตัวและการรักษานอกเรือนจำเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และจำเลยเองมีส่วนร่วมตัดสินใจเลือกแนวทางรักษาที่ทำให้ระยะเวลาการพักรักษายืดออกไป

 

ผลตามกฎหมาย

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 จำเลยได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือจำคุก 1 ปี แต่ศาลวินิจฉัยว่า ระยะเวลาที่พักรักษาในโรงพยาบาลตำรวจไม่อาจนับเป็นวันคุมขังได้ เพราะการบังคับโทษไม่เป็นไปตามกฎหมาย

 

ดังนั้น จำเลยยังต้องรับโทษจำคุกอีก 1 ปีเต็ม ตามพระบรมราชโองการ

 

ศาลฎีกาฯ ชี้ชัดว่า การบังคับโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เป็นไปตามกฎหมาย การพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจเป็นการดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ระยะเวลาดังกล่าวไม่สามารถนำมาหักวันคุมขังได้ ส่งผลให้ต้องรับโทษจำคุกต่ออีก 1 ปีเต็ม

The post เปิดคำสั่งศาลฎีกาฯ ชี้บังคับโทษ ‘ทักษิณ’ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องรับโทษจำคุกต่ออีก 1 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดบันทึก 7 นัดสืบพยานคดีชั้น 14 ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ศาลไต่สวนเข้มทุกมิติ https://thestandard.co/thaksin-case-floor14-trial/ Tue, 09 Sep 2025 01:15:53 +0000 https://thestandard.co/?p=1117085 การไต่สวนคดี ทักษิณ ชินวัตร ศาลฎีกาเปิดบันทึก 7 นัดพยานห้องชั้น 14

วันนี้ (9 กันยายน) เวลา 10.00 น. คือกำหนดนัดของศาลฎีกาแ […]

The post เปิดบันทึก 7 นัดสืบพยานคดีชั้น 14 ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ศาลไต่สวนเข้มทุกมิติ appeared first on THE STANDARD.

]]>
การไต่สวนคดี ทักษิณ ชินวัตร ศาลฎีกาเปิดบันทึก 7 นัดพยานห้องชั้น 14

วันนี้ (9 กันยายน) เวลา 10.00 น. คือกำหนดนัดของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อฟังคำสั่งคดีบังคับโทษ ทักษิณ ชินวัตร หรือ คดีทักษิณ ชั้น 14 โดยศาลได้มีคำสั่งให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และ ทักษิณ ในฐานะจำเลยเข้าฟังคำสั่งศาลด้วย

 

THE STANDARD ได้รวบรวมสาระสำคัญของการสืบพยานในคดีนี้ตลอด 7 นัดที่ผ่านมาไว้ในบทความนี้ ซึ่งจะสะท้อนให้เราเห็นความหลากหลายมิติของกระบวนการยุติธรรมไทย และคำให้การสำคัญของผู้ที่ล้วนแล้วมีส่วนเกี่ยวข้องทางตรงต่อการบังคับโทษของอดีตนายกรัฐมนตรี

 

ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีกำหนดนัดฟังคำสั่งคดีการบังคับโทษ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 9 กันยายน 2568 เวลา 10.00 น. 

 

ซึ่งกว่าจะมาถึงวันดังกล่าว ศาลได้เปิดกระบวนการไต่สวนพยานจำนวน 7 นัด เพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับกรณีการรักษาตัวของทักษิณที่ห้องพิเศษชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ อันเป็นที่มาของข้อกังขาทางสังคมเรื่องสิทธิพิเศษของผู้ต้องขังการเมือง 

 

13 มิถุนายน 2568 — นัดเปิดฉาก ไต่สวน ‘ผบ.เรือนจำ’ เจาะรายละเอียดการส่งตัว

 

ศาลฎีกาฯ ได้เปิดการไต่สวนคดีที่สังคมจับตามองเป็นครั้งแรก โดยมีการเรียก  มานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครคนปัจจุบัน ขึ้นเบิกความ ซึ่งถือเป็นเจ้าหน้าที่ด่านแรกที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการส่งตัวอดีตนายกรัฐมนตรีจากเรือนจำไปยังโรงพยาบาลตำรวจในคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566

 

พยานได้เล่าว่า คืนนั้นมีการตรวจพบว่าจำเลยมีอาการเหนื่อยหอบผิดปกติ เจ้าหน้าที่พยาบาลเวรเป็นผู้แจ้งแพทย์ จากนั้นแพทย์ได้อนุมัติการส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยมีการเตรียมใบส่งตัวล่วงหน้าไว้แล้วตามปกติที่ผู้ป่วยสูงอายุอยู่ในกลุ่ม 608 จะมีใบส่งต่อการรักษาในวันเวลาราชการ

 

ศาลซักถามผู้บัญชาการเรือนจำฯ เป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง พร้อมสั่งให้ส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ไม่ได้เตรียมมาแสดงต่อศาล 

 

วันดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นเรียกพยานรวมแล้วกว่า 20 ปาก ทั้งเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และฝ่ายแพทย์มาขึ้นเบิกความในนัดต่อ ๆ ไป 

 

บรรยากาศการไต่สวนเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด เพราะนี่เปรียบเหมือนการเปิดประตูสู่การตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดของห้องชั้น 14 ที่ถูกวิจารณ์ว่าคือห้องพิเศษของผู้ต้องขังคนสำคัญ

 

4 กรกฎาคม 2568 — ทีมแพทย์ รพ.ราชทัณฑ์ ให้การ ย้ำขั้นตอนปกติ

 

เข้าสู่การไต่สวนครั้งที่สอง ศาลเรียกพยานจาก โรงพยาบาลราชทัณฑ์ 5 ปาก โดยหนึ่งในนั้นคือ แพทย์หญิงชำนาญการพิเศษ ผู้ตรวจร่างกายของทักษิณในวันเข้าคุมขัง

 

พยานแพทย์เบิกความว่า ทักษิณแจ้งว่ามีอาการเหนื่อยจากการเดินขึ้นบันได พร้อมทั้งให้ข้อมูลประวัติสุขภาพและยาที่ใช้จากต่างประเทศ ซึ่งได้ถูกบันทึกไว้ในเวชระเบียนอย่างครบถ้วน การวินิจฉัยเห็นว่าจำเลยอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงอายุ (กลุ่ม 608) และโรงพยาบาลราชทัณฑ์เองไม่มียาบางชนิดที่จำเป็น จึงเห็นควรส่งตัว

 

ศาลซักถามอย่างละเอียดถึงความถูกต้องของการทำใบส่งตัว และเหตุผลที่เลือกโรงพยาบาลตำรวจเป็นหลัก พยานยืนยันว่าทุกขั้นตอนทำตามกฎหมายราชทัณฑ์ ไม่ใช่การเลือกปฏิบัติพิเศษต่อผู้ต้องขังรายใด

 

8 กรกฎาคม 2568 — เจ้าหน้าที่เรือนจำ 5 ปาก ลงรายละเอียดเรื่องการควบคุมตัว

 

การไต่สวนครั้งที่สาม ศาลเรียกเจ้าหน้าที่เรือนจำที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมและการเคลื่อนย้ายทักษิณขึ้นเบิกความอีก 5 ปาก 

 

พยานเล่าว่า ในคืนวันที่ 22 สิงหาคม มีการประสานภายในเรือนจำอย่างเร่งด่วน หลังได้รับแจ้งอาการป่วย จึงมีการเตรียมรถควบคุมผู้ต้องขังพร้อมเจ้าหน้าที่ควบคุมเต็มอัตรา ก่อนนำตัวออกไปโรงพยาบาลตำรวจ เจ้าหน้าที่ให้การตรงกันว่ามีการคุมเข้มตลอดการเดินทาง และเมื่อถึงโรงพยาบาลก็จัดวางกำลังรักษาความปลอดภัยใกล้ชิดตามมาตรฐาน

 

บรรยากาศในห้องพิจารณาเป็นไปอย่างเคร่งเครียด ศาลถามย้ำถึงขั้นตอนการอนุมัติ และ ระดับอำนาจที่สั่งการ เพื่อไขข้อสงสัยว่านี่คือการดำเนินการตามปกติ หรือมีแรงกดดันจากภายนอก

 

15 กรกฎาคม 2568 — อธิบดีกรมราชทัณฑ์ – ผู้อำนวยการ รพ.ราชทัณฑ์ ยืนยันอำนาจตามกฎหมาย

 

นัดที่สี่ศาลเชิญผู้บริหารระดับสูงจากกรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลราชทัณฑ์ รวมถึงอดีตผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ รวม 6 ปาก

 

อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เบิกความว่า การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำเป็นอำนาจที่สามารถกระทำได้ตามกฎหมายราชทัณฑ์ปี 2563 และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรณีผู้ต้องขังสูงอายุที่มีอาการป่วยซับซ้อน 

 

ส่วน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ยืนยันว่าได้ตรวจสอบเวชระเบียนและลงนามอนุมัติอย่างถูกต้องตามระเบียบ

 

ศาลสอบถามอย่างเข้มข้นถึงประเด็นที่ถูกวิจารณ์ว่าทำไมทักษิณจึงอยู่โรงพยาบาลตำรวจยาวนานเกิน 120 วัน พยานตอบว่ามีการวินิจฉัยตามความเหมาะสมของแพทย์ผู้ดูแล และการยืดระยะเวลาเป็นไปตามขั้นตอนปกติ มิใช่สิทธิพิเศษ

 

18 กรกฎาคม 2568 — ทีมแพทย์ รพ.ตำรวจ เปิดปมชั้น 14

 

การไต่สวนครั้งที่ห้าถือเป็นนัดใหญ่ เมื่อศาลเชิญ พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ อดีตนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และ พ.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่คนปัจจุบัน พร้อมทีมแพทย์ร่วมเบิกความ

 

พยานอธิบายเหตุผลที่ใช้ห้องพักชั้น 14 ว่าเป็นห้องแยกกักผู้ป่วยที่ต้องการความปลอดภัยสูง และในอดีตก็เคยใช้กับผู้ป่วยอื่น ๆ เช่นเดียวกัน ไม่ได้สร้างขึ้นเฉพาะกรณีทักษิณ ศาลยังถามถึงค่าใช้จ่ายการรักษา โดยเฉพาะยาที่อยู่นอกบัญชียาหลัก ซึ่งพยานชี้แจงว่ามีการจัดซื้อเพื่อตอบสนองอาการป่วยเฉพาะบุคคลตามมาตรฐานแพทย์

 

ศาลสั่งให้ส่งเอกสารเพิ่มเติม เช่น รายชื่อผู้ป่วยที่เคยใช้ห้องดังกล่าว เหตุผลการคัดเลือกห้องพัก และรายละเอียดค่าใช้จ่ายทั้งหมด เพื่อประกอบการพิจารณา

 

25 กรกฎาคม 2568 — กรรมการแพทยสภา 3 ปาก ฟันธงอาการป่วยทักษิณไม่ใช่ภาวะวิกฤติ

 

ศาลไต่สวนพยานผู้เชี่ยวชาญจาก แพทยสภา ได้แก่ ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, ศ.นพ.ไชยรัตน์ เพิ่มพิกุล แพทย์เวชบำบัดวิกฤติ และ ศ.นพ.กีรติ เจริญชลวานิช แพทย์ออร์โทพีดิกส์

 

ทั้งสามรายให้การไปในทิศทางเดียวกันว่า ทักษิณ ไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤติ ที่ต้องรักษาใน ICU หรือ CCU แต่เป็นเพียงการเฝ้าสังเกตอาการ และสามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นภายหลัง เช่น นิ้วมือและหัวไหล่ เป็นเพียงการผ่าตัดเล็ก ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลนาน

 

คำเบิกความนี้สร้างแรงสะเทือนในห้องพิจารณา เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่มีแพทย์อิสระยืนยันตรงกันว่าการรักษาในห้องชั้น 14 อาจเกินความจำเป็น

 

30 กรกฎาคม 2568 — วิษณุ เครืองาม เปิดเบื้องหลังทางการเมือง

 

การไต่สวนครั้งสุดท้ายศาลเชิญ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ขึ้นเบิกความ

 

ดร.วิษณุ เล่าว่า ก่อนการกลับประเทศของทักษิณ ได้มีการประชุมในฝ่ายความมั่นคงเพื่อเตรียมการ หากเกิดเหตุป่วยจะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลของรัฐ และยืนยันว่าเขาไม่ได้ไปรับที่สนามบิน แต่พบกับทักษิณที่เรือนจำ มีการหารือเรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษ และเขาเองยังได้แนะนำว่าหลังคดีสิ้นสุดควรบวช เพื่อเป็นการแสดงสัญลักษณ์ต่อสังคม

 

การเบิกความของวิษณุถือเป็นการปิดท้ายการไต่สวนที่เต็มไปด้วยมิติทั้งด้านกฎหมาย การแพทย์ และการเมือง ที่ถักทอกันแน่นหนาในคดีนี้

 

สามารถอ่านรายละเอียดของการสืบพยานแต่ละนัดได้ต่อไปนี้

 

The post เปิดบันทึก 7 นัดสืบพยานคดีชั้น 14 ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ศาลไต่สวนเข้มทุกมิติ appeared first on THE STANDARD.

]]>
มองปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ‘ยาเสพติด-ศูนย์สแกมเมอร์’ ภัยคุกคามความมั่นคงใหม่ ที่รัฐต้องบูรณาการ-แก้ปัญหาทุกมิติ https://thestandard.co/transnational-crime-drugs-scam-centers/ Tue, 09 Sep 2025 00:41:16 +0000 https://thestandard.co/?p=1117081 อาชญากรรมข้ามชาติ ในงาน Thailand Security Dialogue 2025

ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ เป็นหนึ่งในประเด็นร้อนที่ถูกหยิบ […]

The post มองปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ‘ยาเสพติด-ศูนย์สแกมเมอร์’ ภัยคุกคามความมั่นคงใหม่ ที่รัฐต้องบูรณาการ-แก้ปัญหาทุกมิติ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อาชญากรรมข้ามชาติ ในงาน Thailand Security Dialogue 2025

ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ เป็นหนึ่งในประเด็นร้อนที่ถูกหยิบยกขึ้นพูดถึงในงาน Thailand Security Dialogue 2025 งานสัมมนาความมั่นคงนานาชาติ ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29-31 สิงหาคมที่ผ่านมาภายใต้หัวข้อ ภายใต้หัวข้อ “Peace and Security in a Global Disruption” 

 

เบเนดิกต์ ฮอฟฟ์มันน์ รองผู้แทนประจำภูมิภาค สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) สำนักงานประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก กรุงเทพฯ ขึ้นกล่าวในเวทีสัมมนา หัวข้อ “อาชญากรรมข้ามชาติและผลกระทบต่อความมั่นคงในภูมิภาค” ชี้ถึงปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่ปรากฏขึ้นในหลายประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน ว่าไม่ได้เป็นเพียงปัญหาการบังคับใช้กฎหมายอีกต่อไป หากแต่ถูกจัดให้เป็นภัยคุกคามความมั่นคงรูปแบบใหม่หรือ Non-Traditional Security Threat ที่กำลังส่งผลครอบคลุมหลายมิติ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม

 

ผลกระทบของอาชญากรรมเหล่านี้เริ่มจากการสร้างความไม่มั่นคงในพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงที่มีการลักลอบข้ามพรมแดนและกิจกรรมผิดกฎหมายหนาแน่น พื้นที่เหล่านี้มักเผชิญกับภาวะบกพร่องในการปกครองหรือกำกับดูแล (Governance Deficit) รัฐไม่สามารถสถาปนาอำนาจของตนได้เต็มที่ ส่งผลให้พื้นที่ดังกล่าวกลายเป็น ‘Safe Haven’ ขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ

 

ผลที่ตามมาคือความเชื่อมโยงโดยตรงกับความขัดแย้งภายใน โดยเฉพาะในประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญของทั้งการผลิตยาเสพติดและกิจกรรมผิดกฎหมายอื่นๆ 

 

ความสัมพันธ์ระหว่างอาชญากรรมกับความขัดแย้งก่อให้เกิดวงจรซ้ำเติมที่ยากจะทำลาย อาชญากรรมข้ามชาติยังบ่อนทำลายเสถียรภาพสังคมในภาพรวม ดึงดูดการทุจริต คุกคามสถาบันของรัฐ และสร้างแรงกดดันต่อสังคมผ่านการแพร่ระบาดของยาเสพติดและอาชญากรรมไซเบอร์

 

ในทางเศรษฐกิจ องค์กรอาชญากรรมสามารถดูดทรัพยากรออกจากระบบเศรษฐกิจปกติและย้ายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจนอกกฎหมาย ทำให้ศักยภาพการเติบโตระยะยาวของประเทศลดลง ขณะเดียวกันยังสร้างความเสี่ยงด้านชื่อเสียงระหว่างประเทศ ประเทศที่ถูกระบุว่าเป็นแหล่งผลิตหรือศูนย์กลางการฟอกเงินมักเผชิญแรงกดดันทางการเมืองและการค้าจากนานาชาติ

 

การฟื้นตัวของฝิ่นและการระบาดของยาเสพติดสังเคราะห์

 

ปัญหายาเสพติดเป็นประเด็นสำคัญที่สะท้อนให้เห็นความท้าทายของอาชญากรรมข้ามชาติในภูมิภาค เริ่มจากการฟื้นตัวของการปลูกฝิ่นในเมียนมา ซึ่งในอดีตเคยลดลงต่อเนื่องเพราะเกษตรกรหันไปทำกิจกรรมเศรษฐกิจปกติ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการกลับมาปลูกฝิ่นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

 

ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมืองในเมียนมา รวมถึงการที่อัฟกานิสถานซึ่งเคยเป็นผู้ผลิตฝิ่นรายใหญ่ของโลก ลดการผลิตลงอย่างมาก ทำให้ตลาดโลกขาดแคลนและหันมาพึ่งพาแหล่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือการแพร่ระบาดของยาเสพติดสังเคราะห์ โดยเฉพาะเมทแอมเฟตามีน (Methamphetamine) หรือยาบ้า

 

ข้อมูลปี 2024 พบว่าประเทศในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการยึดยาบ้ามากถึง 236 ตัน เพิ่มขึ้นถึง 25% จากปีก่อนหน้า และกว่าร้อยละ 85 ของปริมาณทั้งหมดถูกยึดใน 5 ประเทศลุ่มน้ำโขง

 

โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการจับกุมมากที่สุด แม้จะดูเหมือนเป็นความสำเร็จของการบังคับใช้กฎหมาย แต่ราคายาบ้ากลับลดลงทั้งในระดับขายส่งและราคาตามท้องถนน ในบางส่วนของภูมิภาค มีราคาถูกกว่าเบียร์กระป๋อง ซึ่งสะท้อนถึงภาวะการผลิตยาบ้าที่ ‘ล้นตลาด (Oversupply)’ ที่ยังคงดำเนินต่อไป

 

การลักลอบขนส่งยาบ้าก็มีความซับซ้อนมากขึ้น แม้เส้นทางหลักยังคงมาจากเมียนมาเข้าสู่ภาคเหนือของไทย แต่เมื่อการกดดันจากไทยเข้มงวดขึ้น ผู้ค้ายาเสพติดได้ปรับเปลี่ยนเส้นทาง โดยหันไปลักลอบขนส่งผ่านลาวและกัมพูชา ก่อนจะส่งออกทางทะเลในอ่าวไทย อีกทั้งยังพบการขยายเส้นทางไปยังอินเดียและต่อไปยังตลาดโลก

 

กรณีของกัมพูชาถูกยกเป็นตัวอย่างสำคัญ เพราะการยึดยาบ้าในประเทศนั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่เส้นทางขนส่งยาเสพติดบริเวณชายแดนไทยเริ่มถูกปิดกั้น

 

แรงจูงใจทางเศรษฐกิจของอาชญากรยิ่งตอกย้ำความรุนแรงของปัญหา ยาบ้าที่ผลิตในรัฐฉานของเมียนมามีราคาถูก แต่เมื่อข้ามพรมแดนมาในไทย ราคาสูงขึ้นถึงสิบเท่า และเมื่อไปถึงตลาดออสเตรเลีย ราคาพุ่งสูงกว่า 400 เท่า กลไกการทำกำไรนี้ทำให้กลุ่มอาชญากรรมมีแรงจูงใจอย่างมหาศาลในการรักษาเครือข่ายและหาวิธีใหม่ ๆ ในการหลีกเลี่ยงการตรวจจับ

 

สิ่งที่น่าสนใจคือกลุ่มผู้ผลิตยาเสพติดได้ปรับกลยุทธ์โดยไม่พึ่งพาสารตั้งต้นที่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด เช่น Ephedrine หรือ Pseudoephedrine แต่หันมาใช้สารเคมีทั่วไปที่ไม่ถูกควบคุม แล้วนำไปแปรสภาพเป็นสารตั้งต้น วิธีการนี้ทำให้การตรวจสอบและควบคุมสารเคมีมีความซับซ้อนขึ้น และเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานระดับโลกของอุตสาหกรรมเคมีในเอเชีย

 

Scam Centers อาชญากรรมที่โตไวและปรับตัว

 

ศูนย์สแกมเมอร์ (Scam Centers) หรือศูนย์หลอกลวงออนไลน์ เป็นอีกหนึ่งรูปแบบอาชญากรรมที่กำลังแพร่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในภูมิภาค

 

ปรากฏการณ์นี้มี 2 แนวโน้มที่ขัดแย้งกัน ในด้านหนึ่งมีการรวมศูนย์ขนาดใหญ่ที่มีโครงสร้างถาวร เช่น คอมเพล็กซ์อย่าง KK Park และ Shwekoko ใกล้เมืองเมียวดี ซึ่งขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีการปรับตัวไปสู่รูปแบบที่คล่องตัวกว่า โดยตั้งเป็นศูนย์ขนาดเล็กหรือกลุ่มปฏิบัติการย่อย ในประเทศที่มีการปราบปรามเข้มงวด เช่น ไทยและฟิลิปปินส์

 

ความพยายามในการตัดการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การปิดกั้นอินเทอร์เน็ตหรือไฟฟ้า กลับไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากองค์กรอาชญากรรมสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว มีการใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม รวมถึงสร้างระบบผลิตไฟฟ้าเอง ทำให้ศูนย์อาชญากรรมเหล่านี้ยังดำเนินกิจการต่อไปได้โดยแทบไม่สะดุด

 

สิ่งที่น่ากังวลมากกว่าคือการที่ศูนย์สแกมเมอร์ ไม่ได้ทำงานแบบแยกส่วนอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นศูนย์กลางของ ‘บริการอาชญากรรม’ ที่ครอบคลุมหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการฟอกเงิน การซื้อขายข้อมูลในตลาดมืด การเช่าบริการด้านอาชญากรรมไซเบอร์ หรือแม้แต่การจัดหาบริการเฉพาะทางสำหรับการดำเนินอาชญากรรมขั้นสูง ตัวอย่างที่ถูกกล่าวถึงคือ HuiOne Guarantee ในกัมพูชา ซึ่งกลายเป็นแพลตฟอร์มตลาดซื้อขายออนไลน์สำหรับอาชญากร ที่ต้องการเทคโนโลยี ข้อมูลส่วนบุคคล และบริการฟอกเงินผ่านคริปโทเคอร์เรนซี

 

ลักษณะดังกล่าวทำให้ศูนย์สแกมเมอร์ พัฒนาเป็น ecosystem ที่คล้ายกับกลไกทุนนิยม มีผู้ลงทุนที่มีเงินทุนแต่ไม่มีความรู้จับมือกับผู้ที่มีทักษะทางเทคนิคแต่ขาดทุน ส่งผลให้กิจการสามารถขยายตัวได้รวดเร็วและมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง

 

ไทม์ไลน์ 15 ปี Scam Centers

 

ด้าน เจสัน ทาวเวอร์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของโครงการริเริ่มระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ (Global Initiative against Transnational Organized Crime : GI-TOC) ขึ้นกล่าวบนเวทีเดียวกัน โดยชี้ถึงปัญหาศูนย์หลอกลวงออนไลน์ว่ามีจุดเริ่มต้นย้อนไปเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เริ่มจากแก๊งอาชญากรจีนที่ย้ายมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อดำเนินการแพลตฟอร์มพนันออนไลน์ที่พุ่งเป้าชาวจีนเป็นหลัก ก่อนจะขยายตัวอย่างรวดเร็วในฟิลิปปินส์ กัมพูชาและตอนเหนือของเมียนมา โดยในช่วงปี 2015-2016 คาดว่ามีชาวจีนราว 3-5 แสนคน ที่ทำงานในขบวนการอาชญากรรมที่ให้บริการแพลตฟอร์มพนันออนไลน์ ซึ่งเพิ่มเป็นนับหมื่นแห่งในปี 2017

 

การใช้เทคโนโลยี ทั้งโซเชียลมีเดียเพื่อล่อลวงคนมาเล่นพนันออนไลน์และฟอกเงินหลบเลี่ยงการปราบปรามของทางการจีน ผ่านเทคโนโลยี Blockchain อย่างคริปโทเคอร์เรนซี ทำให้ขบวนการอาชญากรรมเหล่านี้มีความเชี่ยวชาญ และเริ่มพัฒนา ปรับเปลี่ยนรูปแบบดำเนินการมาเป็นการหลอกลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี และการหลอกลวงออนไลน์ (Online Scam) หลังจากที่แพลตฟอร์มพนันออนไลน์เพิ่มขึ้นจำนวนมาก ทำให้การแข่งขันรุนแรงมากขึ้น

 

ทาวเวอร์ กล่าวว่าผลการดำเนินการของขบวนการอาชญากรรมในช่วงนั้น ที่แม้จะยังไม่แพร่กระจายและส่งผลกระทบไปทั่วโลกโดยมีเหยื่อหลักๆ เป็นชาวจีน แต่ก็สามารถทำเงินได้หลายพันล้านดอลลาร์ 

 

การมาของวิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้ชาวจีนจำนวนมากต้องเดินทางกลับประเทศ ส่งผลให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานในขบวนการ จนทำให้เริ่มมีการบังคับค้ามนุษย์ หรือที่เรียกว่า Cyber Slave ทั้งลักพาตัวและล่อลวงคนมายังศูนย์สแกมเมอร์เพื่อบังคับให้ทำงาน

 

ขณะที่การแบนคริปโทเคอร์เรนซีของจีน ส่งผลให้การดำเนินการของขบวนการอาชญากรรมเหล่านี้ขยายไปหาเหยื่อจากทั่วโลก โดยปัจจุบันมีผู้คนมากกว่า 110 ประเทศที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการหลอกลวงออนไลน์ และมีผู้คนจาก 77 ประเทศที่ถูกบังคับค้ามนุษย์ในศูนย์สแกมเมอร์ ในหลายประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

 

ตัวอย่างเช่น ที่เมืองเมียวดี ซึ่งมี ศูนย์สแกมเมอร์ขนาดใหญ่หลายแห่ง รวมถึงชเวโก๊กโก่ และ KK Park พบว่ามีเหยื่อที่ถูกบังคับค้ามนุษย์มาจากกว่า 40 ประเทศ โดยขบวนการอาชญากรรมบางกลุ่มมีการตั้งบริษัทรักษาความปลอดภัยของตนเองเพื่อปกป้องศูนย์สแกมเมอร์เหล่านี้ และบางศูนย์ถึงขนาดมีการทำแพลตฟอร์มชำระเงินของตนเอง เช่น กลุ่มย่าไท่ (Yatai) ที่ดำเนินการเมืองชเวโก๊กโก่ มีการพัฒนา Yatai Pay เพื่อใช้ในการฟอกเงินจากคริปโทเคอร์เรนซี เป็นสกุลเงินต่างๆ ทั่วโลก

 

ผลกระทบเชิงระบบต่อสังคมและเศรษฐกิจ

 

ผลกระทบของอาชญากรรมข้ามชาติมิได้จำกัดอยู่เพียงปัญหายาเสพติดหรือการหลอกลวงทางออนไลน์ หากแต่กระทบต่อเสถียรภาพสังคมและเศรษฐกิจในวงกว้าง

 

การแพร่ระบาดของยาเสพติดราคาถูก เช่น ยาบ้า ทำให้เยาวชนและกลุ่มประชากรฐานรากเข้าถึงได้ง่ายขึ้น นำไปสู่ปัญหาสุขภาพและการเสื่อมถอยของทุนมนุษย์ อีกทั้งยังสร้างแรงกดดันต่อครอบครัวและชุมชน

 

ในด้านการเมืองและการปกครอง พื้นที่ชายแดนที่กลายเป็นแหล่งอาชญากรรมสะท้อนถึงการล้มเหลวของรัฐในการปกครอง ซึ่งทำให้ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลลดลง

 

ในทางเศรษฐกิจ เครือข่ายอาชญากรรมสามารถแทรกซึมเข้าไปในระบบเศรษฐกิจปกติ ดูดทรัพยากรออกไปจากการลงทุนที่สร้างคุณค่าแท้จริง และแทนที่ด้วยกำไรจากกิจกรรมเถื่อน ส่งผลกระทบต่อศักยภาพการเติบโตระยะยาว

 

นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงด้านชื่อเสียงต่อประเทศที่เกี่ยวข้อง เมื่อประเทศถูกมองว่าเป็นฐานการผลิตหรือศูนย์กลางฟอกเงิน ย่อมส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางการทูต การค้า และการลงทุน อาจถูกกีดกันหรือถูกใช้เป็นเหตุผลในการแทรกแซงจากต่างชาติ

 

แนวทางการตอบสนองและบทเรียนสำหรับภูมิภาค

 

เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนนี้ จำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีคิดจากการมองว่าเป็นเพียงปัญหาของการบังคับใช้กฎหมาย ไปสู่การจัดการเชิงโครงสร้างอย่างรอบด้าน โดยประเทศต่างๆ ต้องบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานด้านสังคมและเศรษฐกิจ

 

ตัวอย่างของไทยซึ่งสามารถลดการลักลอบขนส่งยาเสพติดเข้าสู่ภาคเหนือได้อย่างมาก เกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานด้านความมั่นคงหลายฝ่ายที่ทำงานร่วมกัน

 

การตอบสนองยังต้องอาศัยข่าวกรองเป็นฐาน เนื่องจากเครือข่ายอาชญากรรมมีความซับซ้อนและสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ รัฐต้องหันมาแก้ไขปัญหาความบกพร่องในการกำกับดูแลพื้นที่ชายแดน ซึ่งเป็นรากฐานของปัญหา 

 

โดยหากรัฐยังไม่สามารถสร้างเสถียรภาพการปกครองและดูแลพื้นที่เหล่านี้ได้ ปัญหาอาชญากรรมก็จะยังคง ‘ดำเนินต่อไป’

 

ที่สำคัญที่สุดคือความร่วมมือระหว่างประเทศ การแก้ปัญหาต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง และการปฏิบัติการร่วมกันในระดับภูมิภาคและระดับโลก

 

ภาพรวมทั้งหมดสะท้อนว่า อาชญากรรมข้ามชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้พัฒนาเข้าสู่ยุคใหม่ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ทั้งด้านยาเสพติดและ Scam Centers ซึ่งไม่เพียงสร้างปัญหาสังคมและเศรษฐกิจ แต่ยังบ่อนทำลายเสถียรภาพของรัฐและความมั่นคงภูมิภาค การตอบสนองจำเป็นต้องอาศัยแนวทางแบบบูรณาการ ที่ครอบคลุมทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจ การเมือง และสังคม เพื่อให้ภูมิภาคสามารถรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่นี้ได้อย่างยั่งยืน

The post มองปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ‘ยาเสพติด-ศูนย์สแกมเมอร์’ ภัยคุกคามความมั่นคงใหม่ ที่รัฐต้องบูรณาการ-แก้ปัญหาทุกมิติ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ฝันร้ายของชาวไทยริมน้ำกก คือแม่น้ำปนเปื้อนสารหนูหรือความเพิกเฉยของภาครัฐ? https://thestandard.co/kok-river-arsenic-contamination/ Mon, 08 Sep 2025 05:40:41 +0000 https://thestandard.co/?p=1116756 kok-river-arsenic-contamination

หัวข้อในเนื้อหานี้   แม่น้ำกกอาจเป็นการอาชญากรรมสิ […]

The post ฝันร้ายของชาวไทยริมน้ำกก คือแม่น้ำปนเปื้อนสารหนูหรือความเพิกเฉยของภาครัฐ? appeared first on THE STANDARD.

]]>
kok-river-arsenic-contamination

หัวข้อในเนื้อหานี้

 

 

แม่น้ำกกและแม่น้ำสายในจังหวัดเชียงรายกำลังเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมร้ายแรง จากปัญหาการปนเปื้อนของ สารหนู ซึ่งมีต้นตอมาจากการทำเหมืองแร่ขนาดใหญ่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา โดยสารพิษนี้ได้ไหลข้ามพรมแดนเข้าสู่ประเทศไทยและส่งผลกระทบในหลายด้าน

 

สารหนูดังกล่าวถูกใช้ในกระบวนการสกัดแร่จากเหมืองทองคำและโลหะในรัฐฉาน และได้ไหลปนเปื้อนลงสู่แม่น้ำสายและแม่น้ำกกก่อนจะไหลไปรวมกับแม่น้ำโขง จากการตรวจสอบพบว่าระดับสารหนูในแม่น้ำทั้งสองสายเกินค่ามาตรฐานในหลายจุด และยังตรวจพบในตะกอนดินของแม่น้ำโขงด้วย

 

ผลกระทบจากการปนเปื้อนนั้นน่ากังวลอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงแต่ทำลายระบบนิเวศทางน้ำเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของประชาชน การสัมผัสหรือบริโภคน้ำที่มีสารหนูในปริมาณสูงอาจทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เช่น อาเจียน ปวดท้อง อาการชา และอาจนำไปสู่โรคร้ายแรงอย่างมะเร็งหรือภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย นอกจากนี้ ปัญหาดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในพื้นที่ริมแม่น้ำ ทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวซบเซาและผู้ประกอบการได้รับความเสียหาย

 

แม่น้ำกกอาจเป็นการอาชญากรรมสิ่งแวดล้อม?

 

เมื่อถามว่าหลายคนอาจมองว่าแม่น้ำกกเป็นเพียงแค่ปัญหาสิ่งแวดล้อมธรรมดา แต่ในความเป็นจริงนี่อาจเป็นการก่ออาชญากรรมสิ่งแวดล้อมใช่หรือไม่ เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวว่า “แล้วแต่ว่าเราจะมองมุมไหน” พร้อมชี้ให้เห็นว่า การจะระบุว่าเป็นการก่ออาชญากรรมทางสิ่งแวดล้อมหรือไม่นั้น ต้องดูเทียบกับการทำผิดกฎหมาย แต่เนื่องจากเราไม่ทราบกฎหมายของประเทศเมียนมาว่าผู้ประกอบการต้องดูแลสิ่งแวดล้อมหรือมีการควบคุมอย่างไรบ้าง เราจึงไม่สามารถชี้ชัดได้

 

อย่างไรก็ตาม เพ็ญโฉมกล่าวว่า เมื่อมองในมิติของความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับแม่น้ำกก ตลอดจนแม่น้ำสาย แม่รวก แม่น้ำโขง และแม่น้ำอีกสายที่เพิ่งตรวจพบ ซึ่งรวมทั้งหมดเป็น 5 สายแล้ว ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นมีขนาดใหญ่และรุนแรงมาก

 

การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นอาชญากรรมสิ่งแวดล้อม เนื่องจากไม่มีกฎหมายควบคุมในพื้นที่ต้นกำเนิด ซึ่งอยู่ในเขตของกลุ่มว้าแดง 

 

“กลุ่มว้าแดงเป็นกลุ่มคนที่ไม่อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเมียนมา เป็นกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งตรงนี้ไม่มีกฎหมายของประเทศใดที่จะเข้าไปควบคุมเขาได้ เพราะเขาไม่ยอมรับการปกครองของประเทศที่อ้างว่าเป็นผู้ปกครอง จึงยังบอกไม่ได้ว่าเป็นการก่ออาชญากรรมที่ละเมิดกฎหมายเหล่านั้น” เพ็ญโฉมกล่าว

 

เพ็ญโฉม ชวนมองในมุมที่ต่างออกไปว่า “หากมองในเชิงหลักการสากล การทำเหมืองแร่ที่มีการใช้สารเคมีและก่อให้เกิดผลเสียปริมาณมาก การกระทำของเขาเป็นภัยคุกคามต่อธรรมชาติ สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน ตลอดจนเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเป็นบริเวณกว้าง”

 

นักวิชาการยอมรับการปนเปื้อน ‘แม่น้ำกก’ รุนแรงอย่างมาก

 

เพ็ญโฉม เปิดเผยว่า ในสายตาของนักสิ่งแวดล้อม รวมถึงนักวิชาการที่มีความรู้เรื่องสารพิษ ทุกคนก็ยอมรับว่าร้ายแรง เนื่องจากมลพิษที่เป็นสาเหตุของการปนเปื้อน ทั้งสารหนูและโลหะหนักอื่นๆ สามารถสร้างผลกระทบต่อร่างกายของคนเราได้

 

เมื่อสารหนูมีค่าเกินมาตรฐานและปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมทั้งน้ำและดิน หากเกิดการสะสมเป็นเวลานาน และคนหรือสัตว์สัมผัสบ่อยครั้ง อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้

 

เพ็ญโฉม ย้ำว่า การปนเปื้อนสารหนูอาจทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ผู้คนเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งผิวหนังจำนวนมากในวันข้างหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องระวัง หรืออาจทำให้สัตว์น้ำในแม่น้ำเกิดความผิดปกติทางผิวหนังและระดับยีน

 

ตรวจสอบไม่พบการปนเปื้อน ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัย

 

แม้มีการตรวจสอบแม่น้ำอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและไม่พบสารหนูเกินค่ามาตรฐาน ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าวางใจได้ เพ็ญโฉม ระบุว่า เวลาที่สารอันตรายอยู่ในสิ่งแวดล้อม เราไม่สามารถชี้ชัดและฟันธงได้ง่าย เนื่องจากสารจากการทำเหมืองมีจำนวนมาก และหากเกิดการสะสมในสิ่งแวดล้อม อาจส่งผลกระทบไม่ทางตรงก็ทางอ้อมจนก่อให้เกิดความผิดปกติ

 

พร้อมกล่าวต่อว่า บางคนมองว่าอาจเป็นการปนเปื้อนจากสารเคมีทางการเกษตร คุณเพ็ญโฉมชวนตั้งข้อสังเกตว่า “ถ้าลักษณะที่เกิดขึ้นมาจากสารเคมีทางการเกษตร ความผิดปกติก็น่าจะเกิดขึ้นในพื้นที่อื่นๆ ด้วย แต่ทำไมพื้นที่นี้จึงมีลักษณะที่เข้มข้นกว่า และพื้นที่อื่นๆ ไม่ได้มีปลาที่มีลักษณะผิดปกติเหมือนกับพื้นที่นี้ ทั้งที่มีการใช้สารเคมีในภาคการเกษตรเหมือนกันทั่วประเทศ”

 

สำหรับกรณีของปลาแค้ที่มีความผิดปกติ อาจไม่ได้เกิดจากสารหนูโดยตรง แต่การได้รับสารหนูเข้าไปอาจทำให้ภูมิคุ้มกันของปลาอ่อนแอลง จนไม่สามารถดำรงสภาพปกติได้ตามธรรมชาติ ดังนั้น สารหนูอาจเป็นสาเหตุโดยตรงหรือเป็นเพียงตัวกระตุ้นให้เกิดความเจ็บป่วยและความผิดปกติที่เกิดขึ้น

 

ชาวบ้านริมแม่น้ำกก อาจกลายเป็นคนยากจนจากภัยธรรมชาติ

 

เมื่อถามถึงความเป็นอยู่ของชาวบ้านริมแม่น้ำกก เพ็ญโฉม กล่าวว่า “ในสภาวะนี้ทุกคนก็เครียด คนที่มีชีวิตพึ่งพิงและอาศัยอยู่กับแม่น้ำ ทั้งการประมง การเกษตร หรือการท่องเที่ยวที่ใช้ความสวยงามของแม่น้ำได้รับความเดือดร้อนกันทั้งหมด พวกเขาขาดรายได้ คนทำการเกษตรก็เครียดว่า พืชผลที่ปลูกจะรับประทานได้ไหม กินแล้วจะปลอดภัยไหม หรือส่งไปขายที่อื่นจะบาปไหม”

 

พร้อมมองว่า การปนเปื้อนของแม่น้ำทำให้เกิดการสูญเสียรายได้ทางเศรษฐกิจ และอาจทำให้ชาวบ้านริมแม่น้ำกลายเป็นผู้ที่อยู่ในสถานะคนยากจนจากภัยธรรมชาติ

 

เพ็ญโฉม ย้ำว่าทุกคนกำลังอยู่ในภาวะเครียดและกังวล หากเรื่องนี้ไม่สามารถแก้ไขได้โดยเร็ว ความเครียดอาจทำให้คนจำนวนมากป่วยเป็นโรคซึมเศร้า มีภาวะทางจิตไม่ปกติ และอาจมีความเคียดแค้นได้ อาจกลายเป็นผู้อพยพย้ายถิ่นฐาน หรือจากคนที่มีฐานะดีอาจกลายเป็นคนยากจนรูปแบบใหม่ อย่างไรก็ตาม เรายังไม่เห็นมาตรการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากภาครัฐในเรื่องนี้เลย

 

ไทย-เมียนมา-จีน ความรับผิดชอบที่ถูกเพิกเฉย

 

การเคลื่อนไหวของประเทศเมียนมา เพ็ญโฉม กล่าวว่า “ทางเมียนมาอ้างว่าเขาไม่สามารถควบคุมว้าแดงได้” ดังนั้น จึงไม่สามารถจัดการการทำเหมืองในรัฐฉานซึ่งเป็นแหล่งต้นกำเนิดการใช้สารเคมีได้ เพราะเป็นพื้นที่ของกลุ่มว้าแดง เหมือนเป็นการปฏิเสธทางอ้อมว่าไม่สามารถช่วยแก้ไขเรื่องนี้ได้

 

พร้อมกล่าวว่า ความพยายามของรัฐบาลไทยยังน้อยเกินไป เพราะเรื่องนี้ไม่ควรอยู่แค่ในระดับหน่วยงานหรือองค์กรของกระทรวง แต่ควรเป็นระดับของรัฐบาลต่อรัฐบาลที่จะต้องเข้ามาแก้ไข เนื่องจากเป็นเรื่องใหญ่ข้ามพรมแดน เกินกว่าอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานอย่างกรมควบคุมมลพิษที่จะเข้ามาดำเนินการในการแก้ไขปัญหา

 

ในส่วนของประเทศจีน เพ็ญโฉม กล่าวว่าสถานทูตจีนในประเทศไทยและเมียนมาทราบเรื่องนี้แล้ว รวมถึงรัฐบาลจีนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ยังคงมีท่าทีเพิกเฉย เพราะจีนไม่ได้ปกครองเมียนมาและยังได้ประโยชน์จากการทำเหมือง

 

เพ็ญโฉม ย้ำถึงการทำงานของภาครัฐว่า “ถ้าหากรัฐบาลไม่ดำเนินการอะไรที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างจริงจังในการแก้ไขปัญหา ก็ต้องบอกว่ารัฐบาลทอดทิ้งเรื่องนี้ เพราะในปัจจุบันรัฐบาลก็ทอดทิ้งเรื่องนี้อยู่”

 

ทางออกและสิ่งที่ต้องการจากทุกภาคส่วน

 

เพ็ญโฉม เสนอว่าควรมีการตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างประเทศเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง และที่สำคัญต้องมีการพูดคุยว่าควรมีใครบ้าง ทั้งรัฐบาลไทย เมียนมา จีน และกองกำลังว้าแดง เพื่อมาเจรจาหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน

 

นอกจากนี้ เน้นย้ำอยากให้ประชาชนทั่วไปตระหนักว่า “ปัญหาแม่น้ำกกไม่ใช่เรื่องไกลตัว” เพราะแม้ผลกระทบจะเกิดขึ้นในภาคเหนือ แต่พืชผลทางการเกษตรอาจกระจายไปทั่วประเทศ รวมถึงผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในเชียงใหม่และเชียงรายที่ทุกคนคุ้นเคย หากปัญหานี้ไม่ถูกแก้ไขอาจลุกลามไปถึงแม่น้ำโขงและกระทบต่อหลายจังหวัดในภาคอีสาน รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาวและกัมพูชา ซึ่งจะสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อระบบนิเวศ

 

พวกเราทุกคนควรมีความรู้สึกร่วมต่อความเดือดร้อนของพี่น้องทางภาคเหนือ เพราะความเดือดร้อนที่เกิดจากมลพิษข้ามแดนเป็นเรื่องใหญ่ และโอกาสที่จะฟื้นฟูนั้นทำได้ยาก การกอบกู้ระบบนิเวศทั้งพื้นดิน แม่น้ำ และน้ำใต้ดิน เมื่อเกิดการปนเปื้อนแล้วยากที่จะฟื้นฟูและกำจัดมลพิษให้หมดไป

 

ดังนั้น อยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพ็ญโฉมกล่าวว่า “ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยเสียงของประชาชนทุกคนที่ช่วยกันผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหา” เพราะพวกเราทุกคนมีโอกาสเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อยทั้งทางตรงและทางอ้อม

 

สุดท้ายนี้ เพ็ญโฉม กล่าวทิ้งท้ายว่าการทำเหมืองแร่ในรัฐฉานของเมียนมา แม้จะไม่ผิดกฎหมายหรือไม่ในประเทศของเขา แต่ในหลักการสากลแล้วเป็นการกระทำที่ละเลยความรับผิดชอบต่อมนุษยชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็ถือเป็นการก่ออาชญากรรมรูปแบบหนึ่ง เพียงแต่เรายังไม่มีกฎหมายที่จะใช้จัดการได้ในปัจจุบัน

The post ฝันร้ายของชาวไทยริมน้ำกก คือแม่น้ำปนเปื้อนสารหนูหรือความเพิกเฉยของภาครัฐ? appeared first on THE STANDARD.

]]>