ในที่สุดก็ไถฟีดแบบเต็มจอได้สักที ! เพราะตอนนี้ Instagra […]
The post ในที่สุดก็ไถฟีดแบบเต็มจอได้สักที ! เพราะตอนนี้ Instagram มีเวอร์ชั่น iPad แล้ว appeared first on THE STANDARD.
]]>
ในที่สุดก็ไถฟีดแบบเต็มจอได้สักที ! เพราะตอนนี้ Instagram มีเวอร์ชั่น iPad แล้ว
หลังจากที่แฟนๆ เรียกร้องกันมานานกว่า 15 ปี ในที่สุด Instagram ก็เปิดตัวแอปบน iPad อย่างเป็นทางการแล้ว โดยเริ่มดาวน์โหลดได้ตั้งแต่วันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา ความต่างที่ชัดเจนคือแอปจะเปิดขึ้นมาพร้อมฟีด Reels แบบเต็มจอทันที สะท้อนยุคสมัยของวิดีโอสั้นที่กำลังครองโซเชียล ขณะเดียวกันผู้ใช้ก็ยังใช้งานฟีเจอร์หลักอย่าง Stories หรือฟีด “Following” ที่คล้ายมือถือได้เหมือนเดิม พร้อมปรับประสบการณ์ให้เหมาะกับหน้าจอใหญ่ เช่น คอมเมนต์ที่วางข้างวิดีโอ และ DM ที่เปิดดูทั้งกล่องจดหมายกับแชตได้พร้อมกัน เรียกได้ว่าเป็นการมาช้าแต่มาแน่ ที่ทำให้การใช้ Instagram บนแท็บเล็ตสะดวกและเต็มตากว่าที่เคย
ภาพ: Instagram
อ้างอิง:
The post ในที่สุดก็ไถฟีดแบบเต็มจอได้สักที ! เพราะตอนนี้ Instagram มีเวอร์ชั่น iPad แล้ว appeared first on THE STANDARD.
]]>
เบื่อกับการทำงานบนแล็ปท็อปที่หนักอึ้งหรือสมาร์ทโฟนที่จอ […]
The post 5 ฟีเจอร์เด่นของ iPad Air M3 appeared first on THE STANDARD.
]]>
เบื่อกับการทำงานบนแล็ปท็อปที่หนักอึ้งหรือสมาร์ทโฟนที่จอเล็กเกินไปหรือเปล่า? ข่าวดี Apple เพิ่งปล่อย iPad Air M3 รุ่นใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมชิป M3 ทรงพลัง ที่จะทำให้คุณทำงานได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น
View this post on Instagram
เราได้ลองใช้แล้ว ต้องบอกว่าสิ่งนี้ช่วยชีวิตเราได้มากเลยทีเดียว เพราะ iPad Air รุ่นใหม่นี้มาพร้อมฟีเจอร์ที่จะทำให้ชีวิตของเราง่ายขึ้น ทั้งในแง่การทำงานและการใช้ชีวิต มาดูกันว่า 5 ฟีเจอร์เด่นของ iPad Air M3 นั้นมีอะไรน่าสนใจบ้าง


ครั้งนี้ Apple ให้เราเลือกได้เลยว่าอยากได้จอขนาดไหน เพราะมาใน 2 ขนาด คือแบบ 11 นิ้ว และแบบใหม่ล่าสุด 13 นิ้ว (ที่ให้พื้นที่หน้าจอมากกว่า 30% เมื่อเทียบกับรุ่น 11 นิ้ว)
จอ Liquid Retina คมชัดสะใจ สีสันสวยสดใส ด้วยเทคโนโลยี P3 wide color ที่ทำให้สีสมจริงสุดๆ แถมยังมี True Tone ที่ปรับแสงให้เข้ากับสภาพแวดล้อม และเคลือบผิวกันแสงสะท้อนที่ช่วยให้ดูจอได้ชัดแม้อยู่กลางแจ้ง อยากได้สีไหน เลือกได้ 4 สี ได้แก่ น้ำเงิน, ม่วง, Starlight และ Space Gray ที่หลายคนถูกใจสีน้ำเงินใหม่เป็นพิเศษเพราะเข้ากันดีกับ Macbook Air รุ่นใหม่

สิ่งที่เราชอบที่สุดใน iPad Air ใหม่คือชิป M3 ที่ไม่ใช่แค่เร็วขึ้นธรรมดาๆ แต่แรงกว่ารุ่นเก่าที่ใช้ชิป M1 ถึง 35% สำหรับ CPU และเร็วกว่า 40% สำหรับ GPU
ลองนึกภาพดู ถ้าคุณทำงานด้าน 3D หรืองานกราฟิกหนักๆ iPad รุ่นนี้เร็วกว่ารุ่น M1 ถึง 4 เท่า แถม Neural Engine ใหม่ก็เร็วขึ้น 60% ทำให้ระบบ AI และ Machine Learning ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสุดๆ และแม้จะแรงขนาดนี้ แต่แบตยังอยู่ได้ทั้งวัน จะทำงานที่คาเฟ่ก็ไม่ต้องพกที่ชาร์จให้หนักกระเป๋า เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากพกพาอุปกรณ์ไปเยอะๆ หรือเน้นการทำงานนอกบ้านเป็นหลัก

เอาละ iPad Air มาพร้อม Apple Intelligence ในตัว ซึ่งระบบ AI ของ Apple จะช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้นเยอะ เพราะเหมือนมีผู้ช่วยส่วนตัวที่เข้าใจว่าเราต้องการอะไร ช่วยสร้างข้อความ แก้ไขรูปภาพ และทำงานข้ามแอปได้อย่างราบรื่น แถมยังปกป้องความเป็นส่วนตัวของคุณได้ด้วย

ถ้าใครเบื่อกับภาพประชุมออนไลน์ที่มุมแปลกๆ หรือคุณภาพไม่ดี iPad Air มาแก้ปัญหานี้ให้คุณแล้ว ด้วยกล้องหน้า Center Stage 12MP ที่วางอยู่ตามแนวนอน (ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการประชุมวิดีโอ) จะทำให้คุณดูดีในทุกการประชุม ส่วนกล้องหลัง Wide 12MP ก็พร้อมให้คุณถ่ายภาพคุณภาพสูง พร้อม Smart HDR 4 และวิดีโอ 4K ที่คมชัดระดับมืออาชีพ

สิ่งที่ทำให้ iPad Air เป็นมากกว่าแค่แท็บเล็ตธรรมดาคืออุปกรณ์เสริม เราชอบ Apple Pencil Pro ใหม่ที่เราสามารถวาด เขียน จด โน้ต และทำงานสร้างสรรค์ได้อย่างอิสระ ราวกับใช้ปากกาจริงๆ และที่ขาดไม่ได้สำหรับสายคอนเทนต์คือ Magic Keyboard รุ่นใหม่ ที่นอกจากจะพิมพ์ได้ดีแล้ว ยังมีแทร็กแพดกระจกขนาดใหญ่ พร้อมแถวฟังก์ชัน 14 ปุ่มที่ช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้นด้วย รวมถึงดีไซน์แบบคานยื่น (Floating Cantilever) ทำให้ปรับมุมได้ตามต้องการ


ไม่ว่าคุณจะเป็นนักออกแบบ นักเขียน นักธุรกิจ หรือแค่คนที่อยากมีอุปกรณ์ที่ใช้งานได้มากกว่ามือถือ ทำงานได้จริง และมาในขนาดพกพา iPad Air M3 คือคำตอบ แถมรุ่นใหม่นี้ยังมาในราคาเริ่มต้นที่ถูกกว่าเดิมด้วย เพราะเปิดตัวที่ 21,900 บาทเท่านั้น
ภาพ: ณัฐนิชา หมั่นหาดี
The post 5 ฟีเจอร์เด่นของ iPad Air M3 appeared first on THE STANDARD.
]]>
เป็นครั้งที่ 2 ในรอบปีที่ Apple เปิดตัวสินค้าใหม่ของตัว […]
The post Apple เปิดตัว iPad Air และรุ่นพื้นฐานใหม่ อัปเกรดชิป M3 แรงสะใจ ราคาเดิม! ท้าชน Samsung-HUAWEI ชิงตลาดแท็บเล็ต appeared first on THE STANDARD.
]]>
เป็นครั้งที่ 2 ในรอบปีที่ Apple เปิดตัวสินค้าใหม่ของตัวเองผ่านช่องทางออนไลน์ โดยครั้งนี้เป็นคิวของ iPad ที่มีทั้งรุ่น Air และรุ่นพื้นฐาน ต่อจากการเปิดตัว iPhone 16e ที่วางขายเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
iPad Air รุ่นใหม่มีให้เลือกทั้งขนาด 11 นิ้วและ 13 นิ้ว โดย Apple ระบุว่าตอนนี้อุปกรณ์ดังกล่าวมีความเร็วเป็น 2 เท่าของรุ่น M1 ซึ่งวางจำหน่ายเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา การอัปเดต iPad Air ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เร็วกว่าปกติ โดยมาหลังจากเวอร์ชันก่อนหน้าเพียง 10 เดือน
ชิป M3 ซึ่งเหมือนกับ M2 ที่นำมาใช้กับ iPad Air เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีแกนประมวลผลกราฟิกทั้งหมด 9 แกนใน GPU หรือหน่วยประมวลผลกราฟิก และแกนประมวลผลหลัก 8 แกนใน CPU หรือหน่วยประมวลผลกลาง
ที่น่าสนใจคือ Apple ระบุว่า iPad Air ใหม่มาในราคาเท่าเดิมคือ 21,900 บาท สำหรับรุ่น 11 นิ้ว และ 28,900 บาท สำหรับรุ่น 13 นิ้ว ซึ่งหากย้อนไปในการเปิดตัวรุ่น M2 ราคาจะอยู่ที่ 23,900 บาท และ 29,900 บาท แต่การที่บอกว่ามีราคาเท่าเดิมเพราะปรับลดราคาลงในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา
เช่นเดียวกับรุ่นของปีที่แล้ว Apple กำลังโปรโมต iPad Air ว่ารองรับ Apple Intelligence โดยกล่าวว่างาน AI ทำงานเร็วขึ้น 60% ในรุ่นปีนี้เมื่อเทียบกับรุ่น M1 ของปี 2022 ซึ่ง Reuters ระบุว่า การตั้งชิปที่ทรงพลังยิ่งขึ้นในอุปกรณ์ของตน ซึ่งออกแบบมาเพื่อจัดการกับงาน AI เป็นเพราะต้องการดึงดูดลูกค้าและตามทันคู่แข่ง เช่น Samsung และ HUAWEI ของจีน ที่กำลังแข่งขันกันฝัง AI ลงในผลิตภัณฑ์ของตน
ทั้ง Bloomberg และ Reuters ต่างรายงานตรงกันว่า iPad Air รุ่นใหม่เปิดให้สั่งซื้อแล้ว โดยจะเริ่มจัดส่งและวางจำหน่ายในร้านตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม แต่สำหรับประเทศไทยยังไม่มีกำหนดวางจำหน่ายซึ่ง THE STANDARD WEALTH ตรวจสอบจากเว็บไซต์ apple.com/th แล้ว
แม้ว่า iPad Air จะไม่ได้มีฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญหรือการเปลี่ยนแปลงภายนอกใดๆ รวมถึงกล้องหน้าและหลัง 12 เมกะพิกเซล อายุการใช้งานแบตเตอรี่ และรูปทรงที่ยังคงเหมือนเดิม แต่แนะนำ Magic Keyboard ใหม่เลียนแบบคุณสมบัติบางส่วนของอุปกรณ์เสริมคีย์บอร์ด iPad Pro ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ซึ่งเปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว
คีย์บอร์ด iPad Air รุ่นใหม่มีแทร็กแพดขนาดใหญ่ขึ้น บานพับโลหะ และแถวปุ่มฟังก์ชัน 14 ปุ่มใหม่ ราคา 9,990 บาท และ 10,990 บาท ตามขนาดของหน้าจอ
นอกจาก iPad Air รุ่นใหม่แล้ว Apple ยังทำการปรับโฉม iPad รุ่นพื้นฐานอีกด้วย โดย iPad รุ่นใหม่นี้มาพร้อมกับชิป A16 และหน่วยความจำที่เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในราคา 12,200 บาท แต่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะไม่รองรับ Apple Intelligence
เมื่อเปรียบเทียบกับชิป A14 ใน iPad รุ่นก่อนหน้า (รุ่นที่ 10) ชิป A16 ใน iPad รุ่นใหม่นี้ทำให้เร็วขึ้นถึง 30% และยิ่งไปกว่านั้น Apple กล่าวว่า iPad รุ่นราคาถูกที่สุดของพวกเขายังเร็วกว่าแท็บเล็ต Android ที่ขายดีที่สุดถึง 6 เท่า
ยอดขาย iPad ของ Apple อยู่ที่ 8.09 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสล่าสุด ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 7.32 พันล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลที่รวบรวมโดย LSEG บริษัทกล่าวว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาเป็นของลูกค้าที่เพิ่งเริ่มใช้ iPad
อย่างไรก็ตาม รายงานของ Bloomberg ย้ำว่า iPad Pro ไม่ได้รับการอัปเดต แต่จะมีรุ่นใหม่ที่ใช้ชิป M5 ในภายหลัง คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปี 2026 นอกจากนี้คาดว่าจะมีการเปิดตัว MacBook Air เปลี่ยนจากชิป M3 เป็นชิป M4 ในสัปดาห์นี้ด้วย
อ้างอิง:
The post Apple เปิดตัว iPad Air และรุ่นพื้นฐานใหม่ อัปเกรดชิป M3 แรงสะใจ ราคาเดิม! ท้าชน Samsung-HUAWEI ชิงตลาดแท็บเล็ต appeared first on THE STANDARD.
]]>
ปีนี้นับว่าเป็นปีทองของพระเอกหนุ่ม Byeon Woo Seok เพราะ […]
The post Byeon Woo Seok มอบ iPhone และ iPad ให้ทีมงานในเอเจนซีเพื่อเป็นการขอบคุณที่ทุ่มเททำงานมาตลอดทั้งปี appeared first on THE STANDARD.
]]>
ปีนี้นับว่าเป็นปีทองของพระเอกหนุ่ม Byeon Woo Seok เพราะเขาประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามจากการแสดงซีรีส์เรื่อง Lovely Runner และมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งในปีที่ผ่านมา Byeon Woo Seok และทีมงานต่างก็ทำงานกันอย่างหนัก และเขาได้ตอบแทนทีมงานจากเอเจนซี Varo Entertainment ของตัวเองด้วยของขวัญสุดหรูในช่วงสิ้นปี
เพื่อเป็นการขอบคุณทีมงานผู้อยู่เบื้องหลังของ Byeon Woo Seok ที่ทุ่มเททำงานกันอย่างหนักไม่แพ้กัน เขาได้มอบ iPhone และ iPad รุ่นใหม่ล่าสุดให้กับทีมงานจากเอเจนซีของตัวเอง โดยวันที่ 26 ธันวาคมที่ผ่านมา ทีมงานจากเอเจนซีของเขาหลายคน รวมไปถึงทีมช่างแต่งหน้าและช่างทำผม ได้โพสต์ภาพของขวัญจาก Byeon Woo Seok ผ่านโซเชียลมีเดีย
ทีมงานคนหนึ่งโพสต์ภาพของขวัญสุดหรูจาก Byeon Woo Seok และเขียนข้อความว่า “Woo Seok ทุ่มเงินซื้อ iPhone ให้ทีมจากเอเจนซีเพื่อฉลองปี 2024 ขอบคุณมากนะ!” ส่วนทีมงานอีกคนก็ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า “นี่คือของขวัญที่ดีที่สุดของปี 2024 เลย!”
แน่นอนว่าของขวัญจาก Byeon Woo Seok น่าจะทำให้ทีมงานมีกำลังใจทำงานกันต่อในปีหน้าที่กำลังจะมาถึง ซึ่งที่ผ่านมา Byeon Woo Seok ได้แสดงให้เห็นถึงความใจดีและความเอาใส่ใจต่อเพื่อนร่วมงานและทีมงานของเขามาโดยตลอด โดยในเดือนกันยายนที่ผ่านมา เขาได้เชิญผู้กำกับและนักเขียน รวมไปถึงทีมเบื้องหลังคนอื่นๆ จากซีรีส์ Lovely Runner ไปร่วมงานแฟนมีตติ้งของเขาที่ประเทศญี่ปุ่น อีกทั้งยังเคยซื้อลูกพีชพร้อมกับล้างลูกพีชให้กับช่างแต่งหน้าที่เดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศพร้อมกับเขาด้วยตัวเอง นอกจากนั้นเขายังไปสนับสนุนเพื่อนในวงการอย่าง Hyeri และ Roh Yoon Seo ด้วยการไปร่วมงานพรีเมียร์ภาพยนตร์ของพวกเธอไม่ว่าตารางงานของเขาจะแน่นขนาดไหนก็ตามอีกด้วย
ภาพ: Byeon Woo Seok / Instagram
อ้างอิง:
The post Byeon Woo Seok มอบ iPhone และ iPad ให้ทีมงานในเอเจนซีเพื่อเป็นการขอบคุณที่ทุ่มเททำงานมาตลอดทั้งปี appeared first on THE STANDARD.
]]>
แม้ Apple จะพยายามโฆษณาว่าผลิตภัณฑ์ของตนมาพร้อมกับ ‘ปัญ […]
The post Mark Gurman แห่ง Bloomberg ถึงกับพูดว่า หาก iPhone 16 ประสบความสำเร็จในปีนี้ สาเหตุน่าจะมาจากปัจจัยอื่นๆ ทั้งหมด ยกเว้น AI appeared first on THE STANDARD.
]]>
แม้ Apple จะพยายามโฆษณาว่าผลิตภัณฑ์ของตนมาพร้อมกับ ‘ปัญญาประดิษฐ์’ หรือ AI อันทรงพลัง แต่ความจริงกลับปรากฏว่ายักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยีรายนี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ความสามารถด้าน AI ได้อย่างแท้จริง
ผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าของ Apple เพียงเพราะหวังจะได้สัมผัสประสบการณ์ Apple Intelligence อาจต้องผิดหวัง เมื่อพบว่าเครื่องมือ AI ที่มีอยู่นั้นแทบไม่มีความหมายอะไรเลย
ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจคือ ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ AI มากแค่ไหนกันแน่? ปัจจุบันสิ่งที่ดึงดูดใจลูกค้าให้ซื้อ iPhone รุ่นใหม่กลับเป็นความก้าวหน้าของกล้องถ่ายรูปมากกว่า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
Apple เองตระหนักดีถึงจุดนี้ จึงทุ่มเทการอัปเกรดไปที่ความสามารถด้านการถ่ายภาพและวิดีโอ โดยเฉพาะปุ่ม Camera Control ที่เพิ่มเข้ามาในปีนี้
อย่างไรก็ตาม Apple ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการโน้มน้าวนักลงทุนให้เชื่อว่าตนกำลังเป็นผู้นำด้าน AI หุ้นของบริษัทพุ่งทะยานสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้มาร์เก็ตแคปของ Apple พุ่งทะลุ 3.6 ล้านล้านดอลลาร์ หรือกว่า 120 ล้านล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากความตื่นเต้นเกี่ยวกับ AI
นักวิเคราะห์บางรายถึงกับกล่าวอ้างว่า Apple Intelligence กำลังสร้าง ‘การปฏิวัติผู้บริโภคด้วย AI’ แต่ความจริงแล้วความรุ่งโรจน์ด้าน AI ของ Apple ยังคงห่างไกลอีกหลายปี
Mark Gurman นักข่าวสายเทคโนโลยีชื่อดังจาก Bloomberg ถึงกับพูดว่า หาก iPhone 16 ประสบความสำเร็จในปีนี้ สาเหตุน่าจะมาจากปัจจัยอื่นๆ ทั้งหมด ยกเว้น AI
Apple มีกำหนดรายงานผลประกอบการในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ ซึ่งจะเปิดเผยตัวเลขในไตรมาสเดือนกันยายน ทำให้นักลงทุนและนักวิเคราะห์เห็นภาพรวมการขาย iPhone 16 ในช่วงแรก
วอลล์สตรีทคาดการณ์ว่า รายได้จะอยู่ที่ประมาณ 9.42 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.14 ล้านล้านบาท) ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการของ Apple ในรายงานผลประกอบการครั้งก่อน ตัวเลขดังกล่าวแสดงถึงการเติบโต 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ล่าสุด Apple เพิ่งเปิดตัว iPad mini รุ่นใหม่ โดยเน้น AI เป็นจุดขาย แต่ฟีเจอร์ Apple Intelligence ยังไม่พร้อมใช้งานจนกว่าจะถึง 5 วันหลังจากวางจำหน่าย ซึ่งอาจทำให้ลูกค้าบางส่วนไม่พอใจ แต่ด้วยการอัปเดตระบบปฏิบัติการที่ง่ายของ Apple ในปัจจุบัน จึงไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่
อุปสรรคที่ใหญ่กว่าคือ ฟีเจอร์ Apple Intelligence ในช่วงแรกยังไม่น่าประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Google, OpenAI และ Meta การเปิดตัว iPad mini ที่เน้น AI เป็นจุดขายแต่ฟีเจอร์ AI กลับยังไม่พร้อมใช้งาน อาจทำให้ลูกค้าบางส่วนเกิดความสับสนและผิดหวังได้
จากการศึกษาภายในของ Apple พบว่า ChatGPT ของ OpenAI มีความแม่นยำมากกว่า Siri ของ Apple ถึง 25% และสามารถตอบคำถามได้มากกว่า 30% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยี AI ของ Apple ยังตามหลังผู้นำในอุตสาหกรรมอยู่มาก ยิ่งไปกว่านั้น ฟีเจอร์เด่นในช่วงแรกอย่างการสรุปการแจ้งเตือนยังขาดความน่าตื่นเต้นเมื่อเทียบกับสิ่งที่คู่แข่งนำเสนอ
อย่างไรก็ตาม ยังเร็วเกินไปที่จะตัด Apple ออกจากการแข่งขัน บริษัทมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ทรัพยากรที่ไร้ขีดจำกัด และประวัติศาสตร์ของการพลิกกลับมาประสบความสำเร็จ เช่น Apple Maps ที่ในอดีตเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แต่ปัจจุบัน Apple Maps ได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นแอปพลิเคชันแผนที่ที่ได้รับความนิยม
นอกจากนี้ Apple ยังมีข้อได้เปรียบในการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้กับอุปกรณ์จำนวนมากอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยเร่งการใช้งาน AI ในวงกว้าง การที่ Apple สามารถอัปเดตซอฟต์แวร์และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้กับอุปกรณ์จำนวนมากได้พร้อมๆ กัน เป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญที่ช่วยให้ Apple สามารถรักษาฐานผู้ใช้และสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งได้
รายงานของ Gurman ระบุว่า ในปี 2026 อุปกรณ์ Apple เกือบทุกรุ่นจะสามารถใช้งาน Apple Intelligence ได้ รวมถึง iPhone SE และ iPad รุ่นเริ่มต้น ซึ่งจะช่วยให้ Apple สามารถเข้าถึงผู้ใช้และขยายฐานลูกค้า AI ได้มากขึ้น
Apple Watch ยังไม่รองรับ AI ในขณะนี้ แต่สามารถรับการแจ้งเตือนสรุปจาก iPhone ที่เชื่อมต่ออยู่ได้ และบริษัทกำลังพัฒนา AI สำหรับ Vision Pro ชุดหูฟัง AR/VR ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Apple ให้ความสำคัญกับการพัฒนา AI ในทุกแพลตฟอร์ม ไม่ใช่แค่ใน iPhone หรือ iPad
ถึงกระนั้น Apple ก็ยังต้องพิสูจน์ตัวเองในด้าน AI ในปัจจุบัน ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ Apple เพียงเพื่อ Apple Intelligence หากผู้บริโภคเชื่อคำโฆษณาของ Apple พวกเขาอาจผิดหวังที่พบว่ามีเครื่องมือ AI ที่มีประโยชน์น้อยมากเมื่อเริ่มใช้งานอุปกรณ์ใหม่ ซึ่งอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและภาพลักษณ์ของ Apple ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรม
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร / THE STANDARD
อ้างอิง:
The post Mark Gurman แห่ง Bloomberg ถึงกับพูดว่า หาก iPhone 16 ประสบความสำเร็จในปีนี้ สาเหตุน่าจะมาจากปัจจัยอื่นๆ ทั้งหมด ยกเว้น AI appeared first on THE STANDARD.
]]>
อีกไม่กี่ชั่วโมง งานใหญ่ประจำปี Worldwide Developers Co […]
The post 3 คำถามเรื่อง AI ที่ Apple ต้องตอบให้ได้ในงาน WWDC 2024 appeared first on THE STANDARD.
]]>
อีกไม่กี่ชั่วโมง งานใหญ่ประจำปี Worldwide Developers Conference (WWDC) ของ Appleก็จะเริ่มขึ้นแล้ว โดยที่ผ่านมางานนี้จะเน้นโชว์ระบบปฏิบัติการซอฟต์แวร์ใหม่สำหรับ iPhone, Mac, iPad และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของบริษัท แต่ในปีนี้งาน WWDC ถือได้ว่าเป็นอีเวนต์ครั้งสำคัญของ Appleเนื่องจากความร้อนแรงของ AI ที่หลายฝ่ายมองว่าพวกเขาค่อนข้างตามหลังคู่แข่งในมิตินี้
ทั้ง Google, Microsoft, Samsung และ Amazon ต่างก็ประกาศชัดเจนมาก่อนหน้านี้แล้วว่า พวกเขา ‘All In’ หรือให้การสนับสนุนเต็มร้อยกับ AI ในขณะที่ Appleยังไม่มีการแถลงในทำนองเดียวกันออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน และเป็นประเด็นที่กวนใจลูกค้ากับกลุ่มผู้ถือหุ้นอยู่ไม่ใช่น้อย
ด้วยเหตุผลข้างต้น งาน WWDC ครั้งนี้จึงทำให้หลายแหล่งข่าวคาดว่าโฟกัสของ Appleจะเน้นไปที่ฟีเจอร์ AI แต่ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็จำเป็นต้องตอบคำถามใหญ่ 3 ประเด็นในเรื่องของ AI ให้ได้ โดย Michael Grothaus นักข่าวสำนัก Fast Company จำแนกออกมา ดังนี้
คงปฏิเสธได้ยากว่าสถานการณ์ของ Appleตอนนี้ในด้าน AI คือพวกเขาอยู่ในสถานะ ‘ผู้ตาม’ มากกว่า ‘ผู้นำ’ ทำให้หลายฝ่ายมองว่า Appleมีแนวโน้มที่จะจับมือกับบริษัทผู้พัฒนา AI เพื่อนำเทคโนโลยีนี้เข้ามาใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ Appleและคำถามที่ตามมาคือ ใครจะเป็นผู้ถูกเลือกโดยApple?
ข่าวลือที่ออกมาก่อนหน้านี้จาก Bloomberg รายงานเอาไว้ว่า Appleกำลังใกล้ปิดดีลความร่วมมือกับ OpenAI แล้ว แต่ทั้งนี้ รายงานอีกฉบับบอกเพิ่มเติมว่า Google ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ Appleเล็งว่าจะดึง Gemini เข้ามาใช้งานด้วย
หากมองในมุมของ Appleทั้งสองบริษัทพาร์ตเนอร์มีข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกัน ซึ่งถ้าเลือก OpenAI นั่นหมายความว่า Appleจะเข้าถึงโมเดล AI ที่สังคมเทคโนโลยีโดยรวมเชื่อว่าล้ำหน้าที่สุดของวงการ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยปัญหาความถูกต้องของข้อมูลที่ยังเป็นประเด็นถกเถียงอยู่ว่า ชุดข้อมูลที่ OpenAI นำมาใช้ฝึกเทคโนโลยีของตัวเองนั้นได้มาอย่างโปร่งใสและเป็นไปตามข้อปฏิบัติกฎหมายหรือไม่
ด้วยเหตุผลนี้ การร่วมมือกันระหว่าง Appleและ Google อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับบริษัทผู้ปฏิวัติวงการสมาร์ทโฟน แต่พวกเขาต้องยอมรับว่า Gemini จะยังไม่มีความก้าวล้ำเมื่อเทียบกับโมเดลที่ถูกใช้ใน ChatGPT และอีกข้อกังวลที่ทำให้ Appleต้องคิดหนักคือ ความแม่นยำของการสร้างคำตอบด้วย Gemini เมื่อเหตุการณ์ในสองสัปดาห์ก่อนมีผู้ใช้งานหลายรายออกมาแชร์ว่า AI ของ Google ให้คำแนะนำที่ผิดเพี้ยน เช่น แนะคนให้ใส่กาวลงบนพิซซ่าเพื่อความติดแน่นของวัตถุดิบ หรือบอกว่า Barack Obama เป็นชาวมุสลิม ซึ่งคำตอบเหล่านี้จะสร้างปัญหาเรื่องความเชื่อมั่นอย่างแน่นอน
คำถามต่อมาคือ การรับมือกับข้อกังวลของผู้ใช้งานในประเด็นความเป็นส่วนตัวกับฟีเจอร์ AI ตัวใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว
ในช่วงที่ผ่านมาเราเห็นจากหลายบริษัทบิ๊กเทคไม่ว่าจะเป็น OpenAI หรือ Google ที่มักจะมีข่าวเกี่ยวข้องกับการละเมิดข้อมูลติดลิขสิทธิ์และความเป็นส่วนตัว เพราะวิธีที่จะพัฒนาให้ AI เก่งขึ้นคือ การใส่ข้อมูลเข้าไปฝึกในโมเดลให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะถ้าบริษัทต้องการทำให้ AI สามารถทำงานได้ในระดับรายบุคคล การเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ก็อาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก
จากประเด็นความเชื่อมั่นในการจัดการความเป็นส่วนตัวนี้ทำให้ Appleต้องหาวิธีในการป้องกันและสื่อสารกับผู้ใช้งานว่าข้อมูลส่วนตัวของพวกเขาจะถูกจัดเก็บอย่างไร ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์กับ Appleก็ตาม
สำหรับฟีเจอร์ AI ขั้นพื้นฐาน เช่น การปรับแต่งรูปหรือสรุปเอกสาร Appleน่าจะเลือกใช้ให้ AI ประมวลผลบนเครื่อง คล้ายกับที่ Samsung ทำกับสมาร์ทโฟน Galaxy S24 แต่ถ้าเป็นฟีเจอร์ที่ต้องอาศัยการประมวลผลบนคลาวด์ Appleต้องอธิบายได้ว่าข้อมูลส่วนตัวจะไม่รั่วไหลสู่ผู้พัฒนา AI ที่ ‘โหยหา’ ข้อมูลในช่วงเวลานี้ได้อย่างไร
แม้ว่า Appleจะดูเชื่องช้ากับการนำ AI เข้ามาให้บริการผู้ใช้งาน แต่การที่บริษัทมีฐานผู้ใช้งานที่เปี่ยมไปด้วยอุปกรณ์นับ 2,200 ล้านเครื่องจากการรายงานล่าสุด การจะขึ้นแท่นเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของโลกในมุมของจำนวนการใช้งาน AI ก็สามารถเกิดขึ้นได้ชั่วข้ามคืน เมื่อซอฟต์แวร์ iOS 18, iPadOS 18, watchOS 11 และ macOS 15 เปิดให้ใช้งานอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม การมีอุปกรณ์ที่ถูกใช้งานมหาศาลในระดับนี้ก็มิได้เป็นเครื่องยืนยันว่าทุกอุปกรณ์จะใช้งาน AI ทั้งหมด รวมถึงอุปกรณ์รุ่นเก่าที่ไม่สามารถรองรับการประมวลผล AI บนตัวเครื่อง เนื่องจากชิ้นส่วนชิปและฮาร์ดแวร์ที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ แต่อุปกรณ์กลุ่มนั้นอาจถูกย้ายไปพึ่งพิงการประมวลผลบนคลาวด์แทน ซึ่งจะเป็นตัวจุดประเด็นความท้าทายการเก็บรักษาข้อมูลให้มีความเป็นส่วนตัว
ดังนั้นสิ่งที่ Appleต้องชี้แจงให้ชัดเจนคือ ประเภทของอุปกรณ์ที่รองรับการทำงานของ AI บนเครื่องและอุปกรณ์ที่จะต้องใช้คลาวด์สำหรับประมวลผล
งาน WWDC จะเริ่มขึ้นในเช้ามืดวันอังคาร เวลา 00.00 ตามเวลาท้องถิ่นประเทศไทย ซึ่งเราคงต้องจับตาดูกันว่า Appleจะตอบข้อสงสัย 3 ประเด็นนี้ได้อย่างไรและมากน้อยแค่ไหน
ภาพ: Justin Sullivan / Getty Images
อ้างอิง:
The post 3 คำถามเรื่อง AI ที่ Apple ต้องตอบให้ได้ในงาน WWDC 2024 appeared first on THE STANDARD.
]]>
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมา Apple ได้ประกาศเปิดตัว i […]
The post สิ้นสุดยุคเปลี่ยน iPad บ่อย? ผู้ใช้กว่า 40% ถือ iPad เกิน 3 ปีก่อนอัปเกรด ดังนั้นรุ่นใหม่อาจมาถูกจังหวะ appeared first on THE STANDARD.
]]>
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมา Apple ได้ประกาศเปิดตัว iPad รุ่นใหม่ที่หลายคนรอคอย โดย iPad Pro รุ่นใหม่นั้นบางลงกว่าเดิมและมาพร้อมชิป M4 ที่ทรงพลัง ขณะที่ iPad Air ก็มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ซื้อ iPad ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบว่าลูกค้ามีแนวโน้มที่จะใช้งาน iPad ของตนเองเป็นเวลานานขึ้น โดยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เกือบ 2 ใน 3 ของผู้ซื้อ iPad เครื่องใหม่ที่เคยเป็นเจ้าของ iPad มาก่อน ได้เก็บรักษาอุปกรณ์เก่าไว้เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี ซึ่งตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นจากปี 2022 ที่มีผู้ซื้อเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่เก็บ iPad ไว้นานถึง 2 ปี
ที่น่าสนใจคือมีจำนวนผู้บริโภคที่ถือ iPad ไว้ 3 ปีหรือมากกว่านั้นก่อนที่จะซื้อเครื่องใหม่เพิ่มขึ้น โดยกลุ่มนี้เติบโตเป็น 40% ของผู้ซื้อล่าสุด เพิ่มขึ้นจาก 28% ในปี 2022
โดยทั่วไปแล้วลูกค้ามักจะอัปเกรดเมื่ออุปกรณ์ปัจจุบันของพวกเขาประสบปัญหา เช่น แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ พื้นที่เก็บข้อมูลไม่เพียงพอ หรือปัญหาการใช้งานทั่วไป
อย่างไรก็ตาม บางคนก็รอซื้อรุ่นใหม่ที่มีฟีเจอร์ที่น่าสนใจหรือมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น นอกจากนี้พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้คนยังเปลี่ยนไปเนื่องจากการระบาดของโควิดในช่วงล็อกดาวน์ปี 2020 และ 2021 ผู้บริโภคจำนวนมากได้อัปเกรดอุปกรณ์ Apple ของพวกเขา รวมถึง iPad
การที่รอบการอัปเกรด iPad ยาวนานขึ้นยังสามารถนำมาประกอบกับคุณภาพและอายุการใช้งานที่ยาวนานของผลิตภัณฑ์ Apple ซึ่งได้สร้างมาตรฐานระดับสูงสำหรับความทนทานและประสิทธิภาพ
รูปแบบนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของนวัตกรรมในการขับเคลื่อนยอดขายในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ผู้บริโภคต้องการเหตุผลที่น่าสนใจในการเปลี่ยนอุปกรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรุ่นที่มีอยู่ยังคงทำงานได้อย่างเพียงพอ
ความท้าทายของ Apple คือการนำเสนอคุณสมบัติที่น่าสนใจอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคลงทุนในอุปกรณ์ใหม่ เมื่อมองไปข้างหน้า ตลาด iPad มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัว
เนื่องจากผู้ใช้ที่รอจังหวะที่เหมาะสมในการอัปเกรดได้ตัดสินใจแล้ว และการเปิดตัวรุ่นใหม่น่าจะทำให้ความสนใจกลับมาคึกคักอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องรอดูกันต่อไปว่า iPad รุ่นใหม่จะส่งผลต่อรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ในระยะยาวอย่างไร
อ้างอิง:
The post สิ้นสุดยุคเปลี่ยน iPad บ่อย? ผู้ใช้กว่า 40% ถือ iPad เกิน 3 ปีก่อนอัปเกรด ดังนั้นรุ่นใหม่อาจมาถูกจังหวะ appeared first on THE STANDARD.
]]>
บางขึ้น เบาขึ้น เหมาะกับเราไหม? ล่าสุด Apple สร้ […]
The post เหตุผลที่ควรใช้ iPad Pro มากกว่าแล็ปท็อป appeared first on THE STANDARD.
]]>
บางขึ้น เบาขึ้น เหมาะกับเราไหม?
ล่าสุด Apple สร้างเซอร์ไพรส์ จัดงานเปิดตัวสินค้าใหม่หลายชิ้นด้วยกัน แต่หนึ่งในสินค้าที่เรียกเสียงฮือฮาไม่น้อยคงหนีไม่พ้นเจ้า iPad Pro ตัวใหม่ที่มีให้เลือก 2 ขนาด คือ 11 นิ้ว และ 13 นิ้ว ทางแบรนด์ยืนยันว่ารุ่นนี้บางที่สุดตั้งแต่เคยทำมา แถมได้ชิปตัวใหม่ที่แรงขึ้น จอสีชัดขึ้น เห็นข้อดีเยอะแบบนี้หลายคนคงต้องมีใจสั่นกันบ้าง แต่มาคิดๆ ดู ถ้าซื้อมาใช้จริงมันจะคุ้มไหม ยิ่งคนที่ยังคงใช้แล็ปท็อปในการทำงาน ถ้าลองเปลี่ยนมาเป็น iPad Pro มันจะใช้งานได้ไหวจริงไหม เราเลยจะพามาดูว่า ถ้าคุณเปลี่ยนมาใช้ iPad Pro แทนแล็ปท็อปธรรมดา ชีวิตคุณจะสะดวกสบายขึ้นอย่างไรบ้าง

เชื่อว่าข้อแรกคงเป็นเหตุผลที่หลายคนหันมาใช้ iPad เพราะการแบกแล็ปท็อปไปตามที่ต่างๆ มันคือปัญหามาก ทั้งใหญ่และหนัก แถมบางทีคุณไปทำงานข้างนอกยังต้องตามหาปลั๊กไฟ พร้อมกับต้องพกสายชาร์จไปอีก แต่ถ้าคุณใช้ iPad Pro ตัวนี้ปัญหานั้นจะหมดไปเลย เพราะขนาดของเขาที่บางมากๆ โดยรุ่น 13 นิ้วบางเพียง 5.1 มม. และรุ่น 11 นิ้วบางเพียง 5.3 มม.

ถ้าคุณเป็นสายทำคอนเทนต์ ชอบแต่งรูป ชอบตัดคลิป แล้วยังคงต้องทำงานกับแล็ปท็อป บอกเลยว่า iPad Pro ตัวนี้สามารถทดแทนได้เลย เพราะเขาได้จอรุ่นใหม่ที่ภาพสมจริงมากๆ อย่างจอ Ultra Retina XDR สีไม่มีเพี้ยนแน่นอน ส่วนเรื่องการตัดคลิปก็ไม่ต้องห่วง เพราะได้ชิป M4 ตัวใหม่ที่แรงขึ้น แถมกินไฟน้อยลงอีกด้วย

นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่คนชอบทำกราฟิกหรือนักวาดภาพประกอบชอบทำงานใน iPad มากกว่าแล็ปท็อป เพราะมันสามารถวาดภาพลงไปได้เลย และยิ่ง iPad Pro รองรับการใช้งานกับ Apple Pencil Pro ยิ่งทำให้ทุกครั้งที่คุณเริ่มวาดอะไรลงไปมันจะสมจริงยิ่งขึ้นคือ มันสามารถรับรู้ได้ว่าระหว่างที่คุณวาดคุณหมุนปากกาตอนไหนเพื่อเส้นที่สมจริงขึ้น และอย่างที่บอกว่าเขาให้จอรุ่นใหม่มา ซึ่งมันสว่างขึ้นกว่ารุ่นก่อน เพราะฉะนั้นใครชอบทำงานนอกบ้านชิลๆ เครื่องนี้ตอบโจทย์สุดๆ

หนึ่งข้อเสียของ iPad ตัวก่อนๆ คือ เวลาเราต้องประชุมงาน มุมของกล้องหน้ามันเอื้อต่อการใช้งานแนวตั้ง ทำให้การใช้แล็ปท็อปประชุมคุณจะได้มุมภาพที่ดูดีกว่า แต่ตอนนี้เขาย้ายตำแหน่งกล้องหน้ามาอยู่ขอบของแนวนอนแล้ว คล้ายกับมุมกล้องของแล็ปท็อป ทำให้ได้ภาพที่สวยไม่แพ้กันแน่นอน
ถ้าใครอยากดูรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่เว็บไซต์ https://apple.com
ภาพ: Apple
The post เหตุผลที่ควรใช้ iPad Pro มากกว่าแล็ปท็อป appeared first on THE STANDARD.
]]>
สืบเนื่องจากการเปิดตัวไลน์อัพ iPad ตัวใหม่ของ Apple ที่ […]
The post คิดน้อยไปนิด? Apple ยอมรับผิด หลังโฆษณา iPad Pro ตัวใหม่เรียกทัวร์ลงหนัก appeared first on THE STANDARD.
]]>
สืบเนื่องจากการเปิดตัวไลน์อัพ iPad ตัวใหม่ของ Apple ที่มาพร้อมกับโฆษณาความยาวประมาณ 1 นาที ‘Crush!’ ซึ่งมีคอนเซปต์ที่แบรนด์ต้องการจะสื่อถึงประสิทธิภาพและความบางของ iPad Pro ผ่านการใช้เครื่องบีบอัดสิ่งของและชิ้นงานศิลปะต่างๆ ทั้งเปียโน ถังสี เครื่องเล่นเสียง และหนังสือ ที่ผลสุดท้ายแล้วทุกอย่างถูกทำลายจนหมดสิ้นและมารวมเข้ากันเป็น iPad Pro เครื่องเดียว
เครดิต: Apple
ต้องบอกว่าโฆษณาตัวนี้ประสบความสำเร็จในการเรียกความสนใจจากผู้ชมเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่ใช่ความสนใจที่ Apple คาดหวังสักเท่าไร เนื่องจากหลังการโพสต์โฆษณาดังกล่าวบน X โดย Tim Cook ซีอีโอของบริษัท ผู้คนก็แห่กันเข้ามาแสดงความเห็นเชิงลบเป็นจำนวนมาก โดยพวกเขาให้มุมมองว่า Crush! คงจะเป็นโฆษณาชิ้นโบแดงหากทำมาเพื่อสื่อว่าบิ๊กเทคกำลังสร้างผลกระทบกับสังคมอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อ AI เข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ
Katie Notopoulos ผู้สื่อข่าวสำนัก Business Insider ระบุในบทความของเธอว่า “แน่นอน ใจความสำคัญของโฆษณาตัวนี้คือการสื่อให้คนดูเห็นว่า iPad เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับงานครีเอทีฟ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันเรากำลังอยู่ในโลกที่หลายคนกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ AI จะเข้ามาแทนที่มนุษย์ เพราะศิลปิน ช่างภาพ นักดนตรี และนักเขียน ก็เริ่มสัมผัสได้ว่า AI กำลังเข้ามาคุกคามความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขา”
ทางฝั่งของ Paul Graham ผู้ร่วมก่อตั้ง Y Combinator ศูนย์บ่มเพาะสตาร์ทอัพระดับโลก ก็ได้ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับโฆษณาชิ้นนี้ว่าเป็นการเหยียดหยามต่อ Steve Jobs ผู้ก่อตั้งคนแรกของ Apple “Jobs คงไม่มีวันที่จะปล่อยโฆษณาชิ้นนี้ออกมาอย่างแน่นอน เพราะมันคงทำให้เขาเจ็บปวดจนทนดูต่อไปไม่ไหว” เขาตอบกลับในโพสต์ของ Cook บน X
นอกจากนี้หลายคนยังวิพากษ์วิจารณ์โดยตั้งคำถามว่า คลิปวิดีโอโฆษณา Crush! กำลังบอกอ้อมๆ ว่าบิ๊กเทคและเทคโนโลยี AI ให้ความสำคัญกับการทำกำไรมากกว่าวัฒนธรรมที่มนุษย์ให้คุณค่ามาตลอดช่วงเวลาของเราหรือไม่?
ล่าสุด Apple ได้ออกมาขอโทษผ่านจดหมายจาก Tor Myhren รองประธานฝ่ายการตลาดของ Apple ที่ Ad Age สื่อสิ่งพิมพ์ด้านโฆษณาได้รับมา โดยมีเนื้อหาที่เขียนว่า “เป้าหมายของเราที่มีมาเสมอคือการสนับสนุนช่องทางที่ให้ผู้คนสามารถแสดงความคิดสร้างสรรค์ในชีวิตได้ผ่าน iPad แต่ครั้งนี้โฆษณาของเราพลาดเองในการสื่อสารข้อความนั้น และเราต้องขอโทษด้วย”
เหตุการณ์นี้ทำให้แผนการที่จะฉายโฆษณาบนจอโทรทัศน์ตามที่ Apple วางไว้ต้องยุติลง แต่วิดีโอยังคงอยู่บนแพลตฟอร์ม YouTube ต่อไป แม้ว่าจะมีการปิดช่องแสดงความคิดเห็นแล้วก็ตาม
อย่างไรก็ดี Business Insider พบว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โฆษณาที่มีคอนเซปต์แนวนี้ถูกสร้างขึ้น เพราะเมื่อ 15 ปีที่แล้ว LG บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาติเกาหลีใต้ ก็ได้เปิดตัวโฆษณาที่มีการใช้เครื่องบีบอัดสิ่งของต่างๆ ที่สุดท้ายออกมาเป็นสมาร์ทโฟนพร้อมกล้อง ซึ่งให้อารมณ์คล้ายกันกับวิดีโอของ Apple แต่ผลตอบรับของสังคมช่างแตกต่างกันมาก เพราะในตอนนั้นหลายคนกลับชอบโฆษณาจาก LG “ฉันรู้สึกชอบโฆษณานี้อย่างบอกไม่ถูก” ผู้ใช้งานรายหนึ่งเขียนแสดงความเห็นกับวิดีโอเมื่อปี 2008
กระนั้นต้องบอกว่าในช่วงเวลาเมื่อ 15 ปีที่แล้ว เทคโนโลยียังอยู่ในยุคที่มันถูกมองว่าเป็นเครื่องมือในการสร้างโอกาสมากกว่าภัยคุกคามอย่างที่บางคนคิดในปัจจุบัน หากสถานการณ์ในปัจจุบันเป็นเช่นนั้น ไม่แน่ว่าโฆษณา Crush! ของ Apple คงไม่ถูกวิจารณ์เหมือนอย่างที่กำลังเป็นอยู่ก็ได้
ภาพ: Apple
อ้างอิง:
The post คิดน้อยไปนิด? Apple ยอมรับผิด หลังโฆษณา iPad Pro ตัวใหม่เรียกทัวร์ลงหนัก appeared first on THE STANDARD.
]]>
หลังห่างหายไปกว่า 18 เดือน นับเป็นช่วงที่ยาวนานที่สุดตั […]
The post คุ้มค่ากับการรอคอย 18 เดือนไหม? สรุปเปิดตัว iPad ใหม่ ไฮไลต์อยู่ที่รุ่น Pro นอกจากบางลง ได้จอ OLED พร้อมชิป M4 สนนราคาเริ่มต้น 39,900 บาท appeared first on THE STANDARD.
]]>
หลังห่างหายไปกว่า 18 เดือน นับเป็นช่วงที่ยาวนานที่สุดตั้งแต่ สตีฟ จ็อบส์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ iPad ครั้งแรกในปี 2010 ในที่สุด Apple ก็พร้อมแล้วที่จะเปิดตัวอัปเกรดครั้งใหญ่สำหรับ iPad Pro และ iPad Air พร้อมด้วยอุปกรณ์เสริมใหม่ล่าสุด ในวันที่ 7 พฤษภาคม ในช่วง 3 ทุ่มตรง สำหรับเวลาในประเทศไทย
ไม่ต้องลุ้นใดๆ ทั้งสิ้นเพราะตอนที่ ทิม คุก ซีอีโอของ Apple ออกมากล่าวในวิดีโอการเปิดตัว ซึ่งตั้งแต่เริ่มเขาได้ย้ำว่า ตลอดทั้งอีเวนต์นี้จะพูดถึงเรื่อง iPad ล้วนๆ ไม่มีอย่างอื่นผสม พร้อมกับกล่าวด้วยว่า “นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดของ iPad นับตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัว”
มาร์ค กูร์แมน (Mark Gurman) ผู้สื่อข่าวที่ติดตามข่าว Apple มาตลอด เขียนผ่าน Bloomberg ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมว่า นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับธุรกิจ iPad หลังจากยอดขายพุ่งสูงขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด ความต้องการสินค้าได้ลดลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
โดยยอดขายในไตรมาสล่าสุดอ่อนแอเป็นพิเศษ เนื่องจากร่วงลง 17% Apple คาดการณ์ว่ารายได้สำหรับ iPad จะกลับมาเพิ่มในช่วงนี้ โดยหวังว่าการเปิดตัวรุ่นใหม่จะช่วยดึงดูดผู้บริโภคอีกครั้ง โดย iPad นั้นเป็นสินค้าที่ทำรายได้เป็นอันดับ 2 ให้ Apple รองจาก iPhone

งานเปิดตัวออนไลน์ภายใต้ชื่อ ‘Let Loose’ ซึ่งไม่มีการรวมตัวกันของผู้สื่อข่าวรวมถึงบล็อกเกอร์ที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทในเมืองคูเปอร์ติโน รัฐแคลิฟอร์เนีย เหมือนงานปกติ แต่ Apple เลือกจะจัดงานให้สื่อทดลองสินค้าขนาดเล็กในนิวยอร์กและลอนดอนแทน
ไม่พูดพร่ำทำเพลงหลังแม่ทัพของ Apple กล่าวทักทายเล็กน้อยก็เข้าช่วงเปิดตัวผลิตภัณฑ์แรกทันที นั่นคือ iPad Air
ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มาใน 2 ขนาดนั้นคือ รุ่น 11 นิ้ว และรุ่น 13 นิ้ว ที่จอใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 30% และที่ต้องออกจอใหญ่นั้น Apple ระบุว่าเป็นเสียงเรียกร้องจากผู้บริโภค
สิ่งที่น่าสนใจคือ การใช้ชิป M2 ทำให้เร็วกว่า iPad Air รุ่นก่อนหน้าที่มีชิป M1 เกือบ 50% สำหรับงานทั่วไป โดยเมื่อเปรียบเทียบกับ iPad Air ที่ใช้ชิป A14 Bionic จะเร็วขึ้นกว่า 3 เท่า และความสามารถด้าน AI “ทำให้ iPad Air ทั้งทรงพลังและอเนกประสงค์ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ” รองประธานฝ่าย Product Marketing ของ Apple กล่าว

ขณะเดียวกันอีกสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือการที่กล้องหน้าอัลตราไวด์ 12MP บน iPad Air ที่ออกแบบใหม่ได้ย้ายมาอยู่บนขอบแนวนอน รองรับ FaceTime หรือเข้าร่วมการประชุมผ่านวิดีโอ ขณะที่กล้องหลังไวด์ 12MP บน iPad Air นั้นสามารถถ่ายภาพความละเอียดสูงและวิดีโอระดับ 4K
ตัว iPad Air ใหม่ รุ่น 11 นิ้ว และ 13 นิ้ว จะมีให้เลือกในสีฟ้า สีม่วง สีสตาร์ไลท์ และสีเทาสเปซเกรย์ในรุ่นความจุ 128GB, 256GB, 512GB และ 1TB แม้ในงานจะระบุว่า เปิดให้จองและวางขายจริงสัปดาห์หน้า แต่สำหรับประเทศไทยนั้น Apple บอกว่า ลูกค้าจะสามารถสั่งซื้อ iPad Air ใหม่พร้อมชิป M2 ได้เร็วๆ นี้
โดย iPad Air รุ่น 11 นิ้ว ราคาเริ่มต้นที่ 23,900 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi และ 29,900 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi + Cellular iPad Air รุ่น 13 นิ้ว ราคาเริ่มต้นที่ 29,900 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi และ 35,900 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi + Cellular

ทีนี้มาถึงไฮไลต์อย่าง iPad Pro แท็บเล็ตสุดล้ำและราคาแพงที่สุดของ Apple ซึ่งถูกระบุว่า “เป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในดีไซน์ใหม่ที่ทั้งเบาและบาง พร้อมด้วยจอภาพ Ultra Retina XDR สุดล้ำ และประสิทธิภาพที่เร็วสุดขีดจากชิป M4 ที่มีความสามารถด้าน AI อันทรงพลัง”

แม้จะบางอยู่แล้ว แต่ Apple ย้ำว่า iPad Pro รุ่นใหม่นี้จะบางขึ้นไปอีกโดยรุ่น 11 นิ้ว บางเพียง 5.3 มิลลิเมตร ส่วนรุ่น 13 นิ้ว บางยิ่งกว่ารุ่น 5.1 มิลลิเมตร อีกทั้งรุ่น 11 นิ้ว มีน้ำหนักไม่ถึง 500 กรัม ส่วนรุ่น 13 นิ้ว มีน้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อนหน้าถึงประมาณ 100 กรัม
iPad Pro ใหม่เปิดตัว Ultra Retina XDR มาพร้อมเทคโนโลยี OLED สองชั้นสุดล้ำที่ใช้แผง OLED สองแผง และรวมแสงจากทั้งสองแผงเข้าด้วยกันเป็นความสว่างแบบเต็มหน้าจอ รองรับความสว่างเต็มหน้าจอสูงถึง 1,000 นิต สำหรับคอนเทนต์ SDR และ HDR และมีความสว่างเฉพาะจุดสูงสุด 1,600 นิต
ตอนแรกเราก็ลุ้นว่า iPad Pro อาจมาพร้อมชิป M3 ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน แต่ที่สุดแล้ว Apple ก็เซอร์ไพรส์ด้วยการประกาศใช้ ‘ชิป M4’ สร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยี 3 นาโนเมตร รุ่นที่ 2 ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น มีประสิทธิภาพ CPU ที่เร็วกว่าชิป M2 ใน iPad Pro รุ่นก่อนหน้าสูงสุด 1.5 เท่า
Apple กล่าวว่าชิป M4 เป็น ‘ชิปที่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อสำหรับการประมวลผลด้าน AI’ ตัวอย่างที่ผู้บริหาร Apple หยิบยกมาอธิบายคือ Neural Engine ของบริษัท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชิปที่ออกแบบมาสำหรับซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์ สามารถใช้แยกวัตถุออกจากพื้นหลังในวิดีโอได้อย่างรวดเร็ว
“ดีไซน์ที่น่าทึ่งและหน้าจอที่ล้ำสมัยรุ่นนี้ ทำให้เราต้องก้าวข้ามไปสู่ชิป Apple Silicon รุ่นต่อไป” ผู้บริหารฝ่ายฮาร์ดแวร์ของ Apple กล่าว

นอกจากนี้ iPad Pro สามารถเชื่อมต่อกับเคสใหม่ที่ Apple เรียกว่า Magic Keyboard ทำจากอะลูมิเนียม เข้าคู่กับแท็บเล็ต คีย์บอร์ด และแทร็กแพด ตัว Apple ระบุว่าการใช้เคสนี้จะทำให้การใช้งาน iPad Pro เหมือนกับการใช้ MacBook โดย Magic Keyboard ใหม่ยังมีให้เลือก 2 สีที่เข้ากับ iPad Pro ใหม่ นั่นคือสีดำ พร้อมที่พักมืออะลูมิเนียมสีดำสเปซแบล็ค และสีขาวพร้อมที่พักมืออะลูมิเนียมสีเงิน
ทาง Apple เสริมว่า iPad Pro สามารถเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับโปรดิวเซอร์วิดีโอระดับมืออาชีพ พร้อมประกาศเปิดตัวแอปใหม่ชื่อ Final Cut Camera ที่สามารถควบคุมกล้องถ่ายภาพจาก iPhone พร้อมกันหลายตัว
iPad Pro มาพร้อมกับกล้องหลัง 12 ล้านพิกเซลที่สามารถถ่ายวิดีโอ 4K ได้ตามข้อมูลของ Apple และยังประกาศอัปเดตแฟลชของกล้อง ซึ่งน่าจะช่วยให้การสแกนเอกสารง่ายขึ้น
ในงานยังมีการเปิดตัว Apple Pencil Pro มาพร้อมความสามารถที่มากยิ่งขึ้นและการโต้ตอบใหม่ๆ ที่จะยกระดับประสบการณ์ Apple Pencil ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เซ็นเซอร์ใหม่ที่อยู่ในด้ามสามารถรับรู้เมื่อผู้ใช้บีบ และจะแสดงชุดเครื่องมือเพื่อให้ผู้ใช้สลับเครื่องมือ น้ำหนักเส้น และสีได้อย่างรวดเร็ว

แน่นอนด้วยสเปกระดับนี้ราคาคงไม่เบาแน่นอน เหมือนกับ iPad Air ลูกค้าคนไทยจะยังไม่ได้ซื้อเร็วๆ นี้ ตัว iPad Pro ใหม่ รุ่น 11 นิ้ว และ 13 นิ้ว มีให้เลือกทั้งสีเงินและสีดำสเปซแบล็คในรุ่นความจุ 256GB, 512GB, 1TB และ 2TB
Apple ระบุว่า iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว ราคาเริ่มต้นที่ 39,900 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi และ 47,900 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi + Cellular ส่วน iPad Pro รุ่น 13 นิ้ว ราคาเริ่มต้นที่ 52,900 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi และ 60,900 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi + Cellular

Apple Pencil Pro ใหม่สามารถใช้งานร่วมกับ iPad Pro ใหม่ได้ และมีจำหน่ายในราคา 4,990 บาท ส่วน Magic Keyboard ใหม่สามารถใช้งานร่วมกับ iPad Pro ใหม่ โดยรุ่น 11 นิ้ว มีจำหน่ายในราคา 11,990 บาท ส่วน Magic Keyboard รุ่น 13 นิ้ว มีจำหน่ายในราคา 13,990 บาท และมีเลย์เอาต์ให้เลือกมากกว่า 30 ภาษา
สมการรอคอยกันไหม หากใครที่อยากได้ iPad รุ่นใหม่มาใช้งาน อดใจอีกนิด เร็วๆ นี้ Apple คงประกาศเวลาที่จะจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการอย่างแน่นอน
ภาพ: Courtesy of Apple
อ้างอิง:
The post คุ้มค่ากับการรอคอย 18 เดือนไหม? สรุปเปิดตัว iPad ใหม่ ไฮไลต์อยู่ที่รุ่น Pro นอกจากบางลง ได้จอ OLED พร้อมชิป M4 สนนราคาเริ่มต้น 39,900 บาท appeared first on THE STANDARD.
]]>