Influencer – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 30 Dec 2024 08:05:07 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ผลวิจัยชี้ อินฟลูเอ็นเซอร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องการ ‘อิสระทางความคิด’ มากกว่าเม็ดเงิน https://thestandard.co/sea-influencers-value-freedom/ Mon, 30 Dec 2024 08:05:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1025759

Vero บริษัทที่ปรึกษาด้านการสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ และการ […]

The post ผลวิจัยชี้ อินฟลูเอ็นเซอร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องการ ‘อิสระทางความคิด’ มากกว่าเม็ดเงิน appeared first on THE STANDARD.

]]>

Vero บริษัทที่ปรึกษาด้านการสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ และการตลาดดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยผลสำรวจล่าสุดจากอินฟลูเอ็นเซอร์กว่า 150 คนใน 5 ประเทศ พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า แม้ค่าตอบแทนจะเป็นปัจจัยสำคัญ แต่สิ่งที่อินฟลูเอ็นเซอร์ให้ความสำคัญมากกว่าคือ ‘อิสระในการสร้างสรรค์ผลงาน’ และโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับแบรนด์ 

 

ท่ามกลางการเติบโตของการตลาดอินฟลูเอ็นเซอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น โดย 72% ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่า ความต้องการเนื้อหาสปอนเซอร์เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า ‘การเล่าเรื่อง’ คือหัวใจสำคัญที่ทำให้อินฟลูเอ็นเซอร์โดดเด่นในสนามดิจิทัล 

 

โดย 34% ของอินฟลูเอ็นเซอร์ทั้งหมดยืนยันว่า นี่คือทักษะสำคัญที่สุด โดยเฉพาะในประเทศไทยและฟิลิปปินส์ที่มีตัวเลขสูงถึง 43% และ 41% ตามลำดับ

 

ที่น่าสนใจคือ 58% ของอินฟลูเอ็นเซอร์ให้ความสำคัญกับการรักษา ‘ความเป็นตัวเอง’ ในขณะที่ต้องสื่อสารตามโจทย์ของแบรนด์ โดย 37% พร้อมที่จะปฏิเสธงาน หากไม่ตรงกับอุดมการณ์และค่านิยมของตน แต่ 38% ก็ยังเปิดใจที่จะเสนอมุมมองใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์แบรนด์

 

อุมาพร วิทเทเกอร์-ทอมป์สัน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการลูกค้า และหัวหน้าแผนกอินฟลูเอ็นเซอร์ของ Vero ระบุว่า ในโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การวิจัยอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อก้าวล้ำหน้ากระแสและปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ

 

สำหรับแพลตฟอร์มยอดนิยม Instagram และ TikTok ครองแชมป์ด้วยสัดส่วน 78% และ 82% ตามลำดับ ขณะที่อินฟลูเอ็นเซอร์ไทยโดดเด่นด้วยการใช้ ‘เนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น’ หรือ UGC เป็นกลยุทธ์หลักในการสร้างการมีส่วนร่วม

 

มองไปข้างหน้าในปี 2568 อินฟลูเอ็นเซอร์ 36% จับตามองการเติบโตของ AI ในขณะที่ 33% สนใจเรื่องการขายของผ่านโซเชียลมีเดีย นอกจากนี้ 28% ให้ความสำคัญกับการสร้างคอมมูนิตี้ผ่านกิจกรรมต่างๆ และ 23% มองหาโอกาสในการร่วมมือกับอินฟลูเอ็นเซอร์คนอื่นๆ

 

ในยุคที่เม็ดเงินโฆษณาหลั่งไหลเข้าสู่วงการอินฟลูเอ็นเซอร์มาร์เก็ตติ้ง ผลวิจัยนี้ตอกย้ำว่า สิ่งที่อินฟลูเอ็นเซอร์ต้องการจริงๆ คือพื้นที่ในการแสดงออก ความสัมพันธ์ที่จริงใจ และการเติบโตไปพร้อมกับแบรนด์อย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่การได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้นเพียงอย่างเดียว

The post ผลวิจัยชี้ อินฟลูเอ็นเซอร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องการ ‘อิสระทางความคิด’ มากกว่าเม็ดเงิน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดโปงช่องโหว่ภาษีวงการไลฟ์สตรีมมิ่งจีน จากพื้นที่สีเทาสู่การปราบปรามครั้งใหญ่ เมื่อรัฐบาลท้องถิ่นเผชิญวิกฤตรายได้ พร้อมบทเรียนราคาแพงของเหล่าอินฟลูเอ็นเซอร์ https://thestandard.co/china-streaming-tax-crackdown/ Tue, 26 Nov 2024 08:18:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1012903 ภาษี จีน

หน่วยงาน ภาษี ระดับท้องถิ่นใน จีน เดินหน้าปราบปรามการเล […]

The post เปิดโปงช่องโหว่ภาษีวงการไลฟ์สตรีมมิ่งจีน จากพื้นที่สีเทาสู่การปราบปรามครั้งใหญ่ เมื่อรัฐบาลท้องถิ่นเผชิญวิกฤตรายได้ พร้อมบทเรียนราคาแพงของเหล่าอินฟลูเอ็นเซอร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาษี จีน

หน่วยงาน ภาษี ระดับท้องถิ่นใน จีน เดินหน้าปราบปรามการเลี่ยงภาษีในกลุ่มอินฟลูเอ็นเซอร์ที่ไลฟ์ขายของ ท่ามกลางรายได้จากภาษีที่ลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การตรวจสอบภาษีจะเข้มงวดขึ้นในอนาคต

 

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สำนักงานบริหารภาษีแห่งรัฐของจีนประกาศกรณีการเลี่ยงภาษี 3 กรณีที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2020-2023 โดยมีการปรับเงินจำนวนมาก 

 

ตัวอย่างเช่นในมณฑลเสฉวนทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน อินฟลูเอ็นเซอร์รายหนึ่งถูกปรับเป็นเงิน 14.31 ล้านหยวน (ประมาณ 68.52 ล้านบาท) จากการหลบเลี่ยงภาษีมูลค่า 8.05 ล้านหยวน (ประมาณ 38.55 ล้านบาท)

 

ส่วนในมณฑลเหลียวหนิงทางตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้ต้องหารายหนึ่งถูกปรับเป็นจำนวนเงินเกือบ 2 เท่าของภาษีที่ค้างชำระ 7.35 ล้านหยวน (ประมาณ 35.20 ล้านบาท) และในมณฑลเจ้อเจียงทางภาคตะวันออก ผู้ดำเนินรายการไลฟ์สตรีมมิ่งถูกปรับเป็นเงิน 2.47 ล้านหยวน (ประมาณ 11.83 ล้านบาท) จากการกระทำผิดด้านภาษี

 

หน่วยงานกำกับดูแลภาษียืนยันที่จะสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ แต่จะไม่ยอมให้มีการเลี่ยงภาษี “ในฐานะบุคคลสาธารณะ อินฟลูเอ็นเซอร์มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย และควรเป็นแบบอย่างที่ดี”

 

ขณะที่รัฐบาลท้องถิ่นเผชิญกับรายได้ที่ลดลงจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อินฟลูเอ็นเซอร์กลับทำเงินได้มหาศาล แต่ก็เสี่ยงต่อการถูกปรับหนักหากเลี่ยงภาษี

 

Peng Peng ประธานบริหาร Guangdong Society of Reform กล่าวว่า “รัฐบาลท้องถิ่นอาจเพิ่มการปราบปรามการเลี่ยงภาษี เศรษฐกิจที่อ่อนแอทำให้ธุรกิจเลี่ยงภาษีมากขึ้น และรัฐบาลท้องถิ่นจำเป็นต้องแก้ปัญหารายได้ที่ขาดดุล”

 

ในปี 2021 Viya อินฟลูเอ็นเซอร์อีคอมเมิร์ซชื่อดัง ถูกปรับ 1.34 พันล้านหยวน (ประมาณ 6.42 พันล้านบาท) ฐานเลี่ยงภาษี ซึ่งทำให้ชาวเน็ตตั้งคำถามเกี่ยวกับรายได้ที่สูงเกินจริง และการกระจายรายได้ที่ไม่เท่าเทียมในอุตสาหกรรมไลฟ์

 

Peng กล่าวว่า การเก็บภาษีอินฟลูเอ็นเซอร์ในจีนยังคงเป็นพื้นที่สีเทา เนื่องจากขาดกฎหมายภาษีที่ครอบคลุมสำหรับธุรกิจใหม่ๆ เช่น การไลฟ์

 

รัฐบาลท้องถิ่นกำลังเผชิญกับแรงกดดันทางการเงินจากรายได้ที่ดินและภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ลดลง ข้อมูลจากกระทรวงการคลังระบุว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ รัฐบาลท้องถิ่นจ่ายดอกเบี้ยพันธบัตรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.04 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 5 ล้านล้านบาท) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เกิน 1 ล้านล้านหยวนในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้

 

อ้างอิง:

The post เปิดโปงช่องโหว่ภาษีวงการไลฟ์สตรีมมิ่งจีน จากพื้นที่สีเทาสู่การปราบปรามครั้งใหญ่ เมื่อรัฐบาลท้องถิ่นเผชิญวิกฤตรายได้ พร้อมบทเรียนราคาแพงของเหล่าอินฟลูเอ็นเซอร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
The iCon Group บทเรียนที่เจ็บแบบไม่มีวันจบระหว่างประชาชนกับคนบันเทิง https://thestandard.co/lessons-from-the-icon-group-case/ Thu, 17 Oct 2024 10:47:36 +0000 https://thestandard.co/?p=997233

ประเด็นที่กำลังเป็นที่พูดถึงในสังคมในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ […]

The post The iCon Group บทเรียนที่เจ็บแบบไม่มีวันจบระหว่างประชาชนกับคนบันเทิง appeared first on THE STANDARD.

]]>

ประเด็นที่กำลังเป็นที่พูดถึงในสังคมในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาคงหนีไม่พ้นกรณีของ The iCon Group (ดิไอคอนกรุ๊ป) บริษัทจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม ที่ทำการตลาดแบบเครือข่ายจนดูคล้ายกับแชร์ลูกโซ่ โดยใช้พลังดาราดึงดูดประชาชนให้เข้าร่วมเป็นดีลเลอร์จนมีผู้เสียหายมากมาย เพราะเข้าใจว่าคนดังคือผู้บริหารขององค์กร และดูเหมือนองค์กรก็ตั้งใจให้คนเข้าใจไปแบบนั้น  

 

 

เอาเข้าจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะย้อนกลับไปราวๆ ปี 2559-2561 ในยุคที่การตลาดออนไลน์เฟื่องฟู เราได้เห็นคนดังหลายคนสวมหมวกผู้บริหารออกผลิตภัณฑ์กันจ้าละหวั่น ทั้งเจลน้ำดอกไม้, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร, คอลลาเจน และอาหารลดน้ำหนัก และแต่ละคนก็ดูจะรวยเป็นพิเศษในช่วงนั้น (คงไม่ต้องบอกว่าแบรนด์อะไร เพราะน่าจะจำกันได้) จนกระทั่งเกิดกรณีสินค้าสวมเลขทะเบียน อย. (ออกโดย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) ของแบรนด์เมจิก สกิน ซึ่งมีดาราและเน็ตไอดอล 56 คนที่รับรีวิวโฆษณาสินค้าให้ ส่งผลกระทบต่อธุรกิจดังกล่าว ทยอยล้มหายตายจากไป หากลากยาวมาถึงปัจจุบันก็คงมีประเด็นไม่ต่างจากดิไอคอนกรุ๊ป ส่วนตอนนี้คนดังเหล่านั้นรวยจริงไหม? คงไม่ต้องตอบ เพราะเราก็เห็นพวกเขารับงานในวงการจนถึงทุกวันนี้

 

หรือกรณีแชร์ลูกโซ่ชัดเจนจากการลงทุน Forex-3D ที่อ้างว่าลงทุนในสกุลเงินต่างๆ แล้วรับประกันผลตอบแทน 10-15% ทุกเดือน ซึ่งดาราเข้าไปมีเอี่ยวด้วย เช่น ดีเจแมน-พัฒนพล กุญชร ณ อยุธยา, ใบเตย-สุธีวัน ทวีสิน และ พิ้งกี้-สาวิกา ไชยเดช จนถูกตั้งข้อกล่าวหาและบางส่วนต้องเข้าไปชดใช้กรรมในคุก เหล่านี้คือกรณีศึกษาที่ไม่น่าเกิดขึ้นซ้ำ แต่ก็ยังเกิดขึ้นอีกจนได้ 

 

ภาพ: The iCon Group / Facebook 

 

ย้อนกลับมาที่กรณีของดิไอคอนกรุ๊ปของ บอสพอล-วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ซึ่งเติบโตมาจากธุรกิจขายตรง แต่จดทะเบียนบริษัทในรูปแบบ ‘การตลาดแบบตรง’ คือไม่มีพนักงานขาย เป็นการขายสินค้าหรือบริการในลักษณะของการสื่อสารข้อมูลผ่านสื่อต่างๆ ซึ่งต่างจาก ‘การขายตรง’ ที่เข้าถึงตัวผู้บริโภค โดยผู้จำหน่ายอิสระนำสินค้าไปอธิบายหรือสาธิตแก่ผู้บริโภคโดยตรง ดิไอคอนกรุ๊ปจึงเน้นการขายส่งและขายปลีก แต่กลับมีรูปแบบคล้ายธุรกิจขายตรงแบบผิดๆ โดยแม่ข่ายก็เน้นการขายสินค้าล็อตใหญ่ๆ (ซึ่งการขายตรงมีกฎระเบียบที่เข้มงวดในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะมีข้อห้ามคือ มิให้ผู้ขายกักตุนสินค้า) 

 

หลังจากได้ฟังการให้สัมภาษณ์จากสองรายการทั้ง โหนกระแส และ THE STANDARD NOW ก็ต้องบอกว่าบอสพอล ‘ไม่ตายไมค์’ และน่าจะ ‘ตายยาก’ เพราะหาทางลงด้านกฎหมายแทบจะครบทุกด้าน และข้ออ้างว่าไม่เคยรู้ความแปลกประหลาดในองค์กร โดยเฉพาะเมื่อผู้เสียหายแจ้งว่าแม่ข่ายเน้นให้ ‘ขายคน’ หมายถึงหาคนมาเป็นดีลเลอร์ต่อมากกว่า ‘ขายของ’ ทั้งที่เมื่อพูดถึงการขายคน ดิไอคอนกรุ๊ปก็ใช้วิธีนี้ผ่านคนดัง จนแทบไม่รู้ว่าบริษัทขายอะไรอยู่

 

ภาพ: The iCon Group / Facebook 

 

ถ้าจะให้นิยามอย่างถูกต้อง The iCon Group (ดิไอคอนกรุ๊ป) ใช้คนดังทั้งในฐานะพรีเซนเตอร์และแบรนด์แอมบาสเดอร์ ซึ่งมีความแตกต่างกัน อย่างเช่น โดม-ปกรณ์ ลัม, บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์, ป้อง-ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์ และ เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ เข้าข่ายเป็นพรีเซนเตอร์ คือผู้ที่แสดงโฆษณา ไม่มีการผูกพันใดๆ กับสินค้า ในขณะที่ กันต์ กันตถาวร, แซม-ยุรนันท์ ภมรมนตรี และ มิน-พีชญา วัฒนามนตรี น่าจะอยู่ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ คือนำเสนอและร่วมกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์

 

โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โฆษณาของดิไอคอนกรุ๊ปเป็นลูกค้ารายใหญ่ของป้ายบิลบอร์ดทั่วประเทศ ส่วนใหญ่ก็เน้นภาพคนดัง มีโลโก้ผลิตภัณฑ์เล็กๆ อยู่ด้านล่าง ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าผลิตภัณฑ์คืออะไรอยู่ดี ถ้าพูดให้แฟร์ก็เป็นวิธีที่ทำให้คนจดจำองค์กรได้และสร้างความน่าเชื่อถือจากชื่อเสียงของดารา แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ความพยายามสื่อสารว่าคนดังบางคนมีตำแหน่งเป็นผู้บริหาร ทำให้คนหลงเชื่อ ซึ่งมองอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องถูกต้อง

 

ในมุมของดารา เมื่อทำงานมาสักระยะหนึ่งก็อยากมีภาพลักษณ์ที่มากกว่าหล่อหรือสวยไปวันๆ แต่ทำอะไรได้มากกว่าสิ่งที่เคยทำ เมื่อมีคนหยิบยื่นด้วยตำแหน่งสวยหรูมาให้ แถมได้เงินอีกต่างหาก ก็รับไว้ โดยจะศึกษาหาข้อมูลหรือลงไปทำจริงหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าประกอบธุรกิจด้วยมายาแบบนี้ตั้งแต่ต้น ผลลัพธ์ก็ออกมาอย่างที่เห็น

 

จากการให้สัมภาษณ์ของ ดร.รพีพงค์ ยังวราสวัสดิ์ นักจิตวิทยาและนักจิตบำบัดการเงิน ใน BBC Thai ได้นิยามการใช้ดาราเป็นเครื่องมือทางการตลาดได้อย่างน่าสนใจ ด้วยคุณลักษณะความมีชื่อเสียง เป็นคนที่ประชาชนมอบความรักให้ รวมทั้งภาพลักษณ์ที่ว่า ‘ดารามักไม่มีปัญหาเรื่องเงิน’ ก็ยิ่งสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจจนอยากเข้าไปลงทุนด้วย 

 

 

ยิ่งในยุคปัจจุบัน ดาราเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่คนก็มักจะเชื่อถือมากกว่าผู้เชี่ยวชาญตัวจริงในด้านนั้นๆ และยังมีความเป็นสื่อที่เข้าถึงคนได้หลายกลุ่มผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ ในขณะที่สื่อมวลชนเริ่มมีบทบาทลดลง และพยายามหนีตายด้วยการหาโฆษณา กลายเป็นที่มาของการสัมภาษณ์บุคคลจากที่ไหนก็ไม่รู้มาเล่าชีวิตจากดินสู่ดาวสุดแฟนตาซีจนแทบจะไร้การตรวจสอบ ส่วนคนที่รับกรรมก็คือประชาชนตาดำๆ ที่ถูกทำลายทั้งความหวังและความไว้ใจ

 

สำหรับผู้เขียนเชื่อว่าครั้งนี้คงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพราะจะมีหลุมพรางใหม่ๆ ที่ซับซ้อนกว่าเกิดขึ้นอีกในอนาคต สิ่งที่ทำได้คงเป็นการสร้างความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับคนทั่วไป ขณะที่รัฐก็น่าจะมีกฎหมายที่รัดกุมกว่านี้ ส่วนคนดังก็ต้องคิดไว้เสมอว่าชื่อเสียงได้มาจากอะไร และคงไม่มีใครบังคับให้คุณเล่นตามสคริปต์ได้หากว่ามันเสี่ยงที่จะทำลายความไว้วางใจจากประชาชน 

 

อ้างอิง:

The post The iCon Group บทเรียนที่เจ็บแบบไม่มีวันจบระหว่างประชาชนกับคนบันเทิง appeared first on THE STANDARD.

]]>
7 THINGS WE LOVE ABOUT HEART EVANGELISTA แฟชั่นอินฟลูเอ็นเซอร์ผู้สร้างแรงบันดาลใจ https://thestandard.co/7-things-we-love-about-heart-evangelista/ Sun, 13 Oct 2024 12:00:54 +0000 https://thestandard.co/?p=995252

หนึ่งส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนวงการแฟชั่นนอกจากตัวแบรนด์ […]

The post 7 THINGS WE LOVE ABOUT HEART EVANGELISTA แฟชั่นอินฟลูเอ็นเซอร์ผู้สร้างแรงบันดาลใจ appeared first on THE STANDARD.

]]>

หนึ่งส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนวงการแฟชั่นนอกจากตัวแบรนด์แล้วนั้น เหล่าแฟชั่นอินฟลูเอ็นเซอร์ถือเป็นเครื่องมือชั้นดีในการเข้าถึงผู้คนเป็นวงกว้าง ซึ่งกระแสของเซเลบริตี้และอินฟลูเอ็นเซอร์ฝั่งเอเชียกำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะจากฝั่ง APAC ที่ความนิยมกำลังเติบโตและเป็นที่กล่าวถึงมากขึ้นในทุกๆ ไตรมาส แน่นอนว่าหากกล่าวถึงแฟชั่นอินฟลูเอ็นเซอร์คนสำคัญของเอเชียจะต้องมีชื่อของ Heart Evangelista 

 

จากนักแสดงสาวเชื้อสายฟิลิปปินส์ เธอก้าวเข้าสู่วงการแฟชั่นในฐานะสไตล์ไอคอนแห่งเอเชียจากอิทธิพลการแต่งตัวและมุมมองด้านแฟชั่นส่วนตัวของเธอที่สะท้อนผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียมากมาย เธอยังเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้กับภาพยนตร์ Crazy Rich Asians นำเสนอไลฟ์สไตล์อันหรูหราของเซเลบริตี้ชาวเอเชียที่เก๋และเปรี้ยวไม่แพ้ฮอลลีวูดกันเลยทีเดียว

 

และในโอกาสที่เธอกำลังโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ THE STANDARD POP จึงอยากพาแฟนชาวไทยไปรู้จักชีวิตเบื้องหลังของเธอกันให้มากขึ้น

 

EARLY LIFE

 

ย้อนกลับไปเมื่อ 39 ปีก่อน ในปี 1985 ชีวิตของ Heart Evangelista ได้กำเนิดขึ้นที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ด้วยชื่อจริงว่า Love Marie Payawal Ongpauco ซึ่งชื่อต้นเธออย่าง Love นั้นมาจากการที่เธอเกิดในวันวาเลนไทน์ (14 กุมภาพันธ์) และไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกาช่วงหนึ่ง ก่อนจะกลับเข้ามาสู่เส้นทางวงการบันเทิงที่บ้านเกิดตั้งแต่วัย 13 ปี ด้วยชื่อในวงการว่า Heart Evangelista และประสบความสำเร็จด้วยการคว้ารางวัลทั้งนักแสดงหญิงหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจากหลากหลายเวที จนกล่าวได้ว่าเด็กสาวคนนี้เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรักทั้งจากครอบครัวและแฟนคลับดังชื่อของเธอเอง

 

 


 

FROM ACTRESS TO INFLUENCER

 

หลังโลดแล่นท่ามกลางแสงสปอตไลต์ในฐานะนักแสดงสาว แน่นอนว่านอกจากผลงานการแสดงแล้ว สิ่งที่ดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้มากนั่นคือลุคบนพรมแดงและการปรากฏตัวต่อหน้าสื่อด้วยเสื้อผ้าที่มีความหรูหราและสง่างาม ซึ่งถ่ายทอดผ่านความเป๊ะในทุกท่วงท่าการโพสที่ทำให้แต่ละลุคนั้นดูโดดเด่นขึ้นไปอีก จนกระทั่งในปี 2017 เธอได้บินลัดฟ้าไปเข้าร่วม Paris Haute Couture Fashion Week เป็นครั้งแรก และกลายเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่ทำให้เธอถูกเรียกว่า สไตล์ไอคอนจากเอเชียผู้เขย่าวงการกูตูร์ บนหน้านิตยสาร Harper’s BAZAAR ในปีต่อมา พร้อมทั้งยังมีการเปิดเผยจาก Kevin Kwan นักเขียนเรื่อง Crazy Rich Asians ว่าเธอเป็น 1 ใน 4 ของเซเลบริตี้ชาวเอเชียผู้เป็นแรงบันดาลใจเบื้องหลังเรื่องราวภาพยนตร์ที่ไวรัลไปทั่วโลกอีกด้วย

 

 


 

PERSONAL STYLE

 

อีกหนึ่งคีย์สำคัญที่ทำให้เธอกลายมาเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ในยุคนี้ได้ คงไม่พ้นการเปิดบัญชีอินสตาแกรม (@iamhearte) และช่องยูทูบ Love Marie Escudero เพื่อแชร์ภาพที่ทำให้ทุกคนได้เห็นไลฟ์สไตล์ส่วนตัวของเธอได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การทำงานในแต่ละวัน การพาชมตู้เก็บรองเท้าที่น่าตื่นตาตื่นใจ เทคนิคการแต่งตัวแมตช์ลุคต่างๆ ตลอดจนอาหารการกินและสัตว์เลี้ยงตัวโปรด 

 

นอกจากนี้เธอยังเป็นที่รู้จักในด้านความชื่นชอบทางศิลปะ อย่างที่หลายคนคุ้นเคยกันอาจเป็นภาพการเพนต์กระเป๋า Hermès รุ่น Birkin ตลอดจนการจัดนิทรรศการศิลปะของตัวเอง ซึ่งนั่นทำให้ในตอนนี้จำนวนยอดผู้ติดตามของเธอนั้นพุ่งสูงถึง 16.2 ล้านคนเข้าไปแล้ว เรียกได้ว่าไม่ใช่แค่แฟนคลับงานแสดงที่ชื่นชอบตัวตนของเธอเท่านั้น แต่วินาทีนี้ไม่ว่าใครก็ต้องยอมรับว่าแอ็กเคานต์ของ Heart นั้นควรค่าแก่การติดตามจริงๆ 

 

 


 

LAUNCHING BEAUTY BRAND

 

ความทรงอิทธิพลของเธอไม่ได้หยุดอยู่แค่วงการแฟชั่นเท่านั้น แต่ Heart Evangelista ได้ก้าวขาเข้ามาในวงการบิวตี้ด้วยการก่อตั้งแบรนด์ในชื่อ Pure Living ในปี 2022 ซึ่งเน้นไปที่การให้ผู้ใช้สามารถสัมผัสประสบการณ์ความงามและการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Wellness) เน้นย้ำที่ผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน และการใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ รวมถึงจับมือกับแบรนด์เครื่องสำอางชื่อดังในการพัฒนาคอลเล็กชันพิเศษ ซึ่งแบรนด์ Pure Living ได้การตอบรับที่ดีจากทั้งแฟนคลับและคนในแวดวงบิวตี้

 

 


 

CHARITY INITIATIVES

 

อย่างไรก็ตาม ลำพังเพียงความสวย รวย เก่ง คงไม่ได้ทำให้ทุกคนรักเธออย่างเป็นเสียงเดียวกันได้ขนาดนี้ แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทุกคนพร้อมชื่นชมในตัว Heart Evangelista อยู่เสมอคือการมีจิตใจที่ดี โดยเธอมีส่วนร่วมสำคัญในกิจกรรมการกุศลต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการก่อตั้งโปรเจกต์ Heart Can เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ ให้การสนับสนุนมูลนิธิเกี่ยวกับเด็กที่ป่วยเป็นโรคหายาก โรคมะเร็ง หรือโรคสมอง การระดมทุนผ่านการประมูลภาพวาดของเธอเพื่อช่วยเหลือโครงการเกี่ยวกับสุขภาพจิต ตลอดจนเป็นที่รู้จักในด้านผู้สนับสนุนสิทธิสัตว์มาอย่างยาวนานด้วยการร่วมมือกับโครงการที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิภาพสัตว์อย่าง Performing Animal Welfare Society (PAWS)

 

 


 

FASHION WEEK IMPACT

 

เมื่อกล่าวถึงตัวเลขอันเป็นที่ประจักษ์สำหรับความทรงพลังในด้านแฟชั่นของเธอ ล่าสุดมีรายงานจาก Lefty ว่าในช่วง Paris Fashion Week ซีซัน Spring/Summer 2025 ที่ผ่านมา Heart สามารถสร้างมูลค่าสื่อโดยประมาณ (EMV) ได้สูงถึง 5.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการเข้าร่วม 15 โชว์ ซึ่งนับเป็นหนึ่งในเซเลบริตี้ Top 10 ของโลกที่สร้างมูลค่าสื่อได้สูงที่สุดร่วมกับคนดังคนอื่นๆ เช่น Kylie Jenner, Cardi B และ Cha Eun Woo อีกทั้งทางแพลตฟอร์ม Launchmetrics ยังเปิดเผยเมื่อเดือนมิถุนายนว่า นักแสดงสาวคนนี้เป็นหนึ่งใน Top 5 ด้านแฟชั่นและสปอร์ตแวร์ ด้วยการสร้าง Media Impact Value ไว้สูงถึง 85 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นยอดที่วัดจากจำนวนรีแอ็กชันโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับเธอบนโซเชียลมีเดียในช่องทางต่างๆ นั่นเอง

 

 


 

EMPOWERMENT INSPIRATION

 

ส่วนสุดท้ายที่เราอยากกล่าวถึง คือความสำเร็จจากทั้งด้านแฟชั่น ความงาม และการช่วยเหลือสังคมทั้งหมดนั้น ทำให้เธอถูกขนานนามว่าเป็นผู้หญิงที่เป็นแบบอย่างให้กับใครหลายคนที่อยากจะทำตามความฝันตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นผู้ผลักดันให้ผู้คนหันมาสำรวจความชอบในสไตล์ของตัวเอง อีกทั้งยังเป็นบุคคลสำคัญในด้านการสร้างความตระหนักรู้เรื่องสุขภาพจิต และเป็นพันธมิตรผู้สนับสนุนกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ จนได้รับรางวัล Equality Champion Award จาก Lagablab Network ในฟิลิปปินส์ ซึ่งทำให้ชื่อของ Heart Evangelista ได้รับการจดจำในฐานะผู้สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ในประเทศฟิลิปปินส์อย่างแท้จริง

 

 

ภาพ: Heart Evangelista, Getty Images, Edward Berthelot

The post 7 THINGS WE LOVE ABOUT HEART EVANGELISTA แฟชั่นอินฟลูเอ็นเซอร์ผู้สร้างแรงบันดาลใจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อย่าหลงยอด Follower! แบรนด์ต้องเข้าใจ ‘กลุ่มเป้าหมาย’ ก่อนเลือกอินฟลูเอ็นเซอร์ https://thestandard.co/understand-your-target-audience-before-choosing-an-influencer/ Sat, 12 Oct 2024 09:58:59 +0000 https://thestandard.co/?p=995375

ปฏิเสธไม่ได้ว่ายุคนี้อินฟลูเอ็นเซอร์ คือ ‘ราชินี’ แห่งว […]

The post อย่าหลงยอด Follower! แบรนด์ต้องเข้าใจ ‘กลุ่มเป้าหมาย’ ก่อนเลือกอินฟลูเอ็นเซอร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ปฏิเสธไม่ได้ว่ายุคนี้อินฟลูเอ็นเซอร์ คือ ‘ราชินี’ แห่งวงการ! เปิดโซเชียลมีเดียปุ๊บก็เจอเหล่าตัวท็อปมาป้ายยากันให้เพียบ ไม่ว่าจะแบรนด์เล็กแบรนด์ใหญ่ต่างก็งัดกลยุทธ์ Influencer Marketing มาใช้ หวังโกยยอดขายสร้างแบรนด์ให้ปัง แต่ความจริงคือใช่ว่าใช้แล้วจะรุ่งเสมอไป หลายแบรนด์พลาดท่าเสียหายหนักจนต้องกุมขมับก็มี

 

แล้วจะทำอย่างไรให้ Influencer Marketing ปังจริงโดนใจผู้บริโภคทุกเจน? วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) มาเฉลยกลยุทธ์ที่จะเปลี่ยนอินฟลูเอ็นเซอร์จาก ‘ตัวผ่าน’ ให้กลายเป็น ‘ตัวจริง’ แห่งวงการ

 

Influencer Marketing แม้จะบูมหนักมากในช่วงไม่กี่ปีมานี้ แต่จริงๆ แล้วมีรากฐานมาจากการตลาดแบบปากต่อปากยุคโบราณ ที่บอกต่อกันแบบคนสู่คน แต่ความว้าวของยุคดิจิทัลคือเข้าถึงคนได้ไวและกว้างกว่า เจาะกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด โน้มน้าวใจได้ง่าย

 

ตัวเลขชี้ชัดว่าตลาดอินฟลูเอ็นเซอร์โตแบบก้าวกระโดดจาก 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2016 เป็น 2.11 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 และคาดว่าจะแตะ 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024!

 

แต่ความท้าทายก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย เพราะทุกวันนี้ใครๆ ก็เป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ได้ การแข่งขันสูง ผู้บริโภคมีตัวเลือกเยอะ ข้อมูลข่าวสารก็เข้าถึงง่ายทำให้ฉลาดเลือกมากขึ้น แบรนด์จึงต้องวางแผนให้ดี CMMU จึงแนะ 5 Do 2 Don’t เลือกอินฟลูเอ็นเซอร์ให้ปังยอดขายพุ่ง!

 

DO:

 

เลือกคนที่ ‘ใช่’: บุคลิก ไลฟ์สไตล์ ภาพลักษณ์ ต้องสอดคล้องกับแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย อย่าลืมว่าอินฟลูเอ็นเซอร์เปรียบเสมือน ‘ตัวแทน’ ของแบรนด์ ดังนั้นภาพลักษณ์ของพวกเขาจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์โดยตรง เช่น แบรนด์เครื่องสำอาง คงไม่เลือกอินฟลูเอ็นเซอร์ที่แต่งหน้าจัดจ้าน หรือแบรนด์รักษ์โลก คงไม่เลือกอินฟลูเอ็นเซอร์ที่ใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือย

 

‘ตัวจริง’ ยืนหนึ่ง: ต้องมีตัวตนชัดเจน โดดเด่น เป็นธรรมชาติ ไม่เฟก ยิ่งมีความเชี่ยวชาญในสินค้ายิ่งปัง ในยุคที่ใครๆ ก็เป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ได้ ความแตกต่างคือสิ่งสำคัญ อินฟลูเอ็นเซอร์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวโดดเด่นกว่าใครย่อมดึงดูดความสนใจและสร้าง Brand Awareness ได้มากกว่า ยิ่งถ้ามีความรู้ ความเชี่ยวชาญในสินค้าหรือบริการที่โปรโมตก็จะยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือ และโน้มน้าวใจผู้บริโภคได้มากขึ้น

 

Content ต้อง ‘ว้าว’: อินฟลูเอ็นเซอร์ต้องเป็น Creative Content Creator สร้างสรรค์คอนเทนต์โดนใจ เล่าเรื่องเก่ง ดูจริงใจไม่ใช่ขายของอย่างเดียว Content is King ยังคงเป็นสัจธรรม คอนเทนต์ที่ดีดึงดูดสร้าง Engagement และกระตุ้นยอดขายได้ อินฟลูเอ็นเซอร์ต้องคิดคอนเทนต์เล่าเรื่องได้อย่างน่าสนใจ เป็นธรรมชาติ และไม่ยัดเยียดจนเกินไป

 

‘ใกล้ชิด’ แฟนๆ: ต้องแอ็กทีฟและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ติดตาม โพสต์สม่ำเสมอแต่ไม่เยอะเกินไป อินฟลูเอ็นเซอร์ต้องสื่อสารกับผู้ติดตามอย่างสม่ำเสมอ ตอบคำถาม แสดงความคิดเห็น สร้างความรู้สึกใกล้ชิดเหมือนเพื่อน เหมือนพี่น้อง แต่ต้องระวังไม่ให้มากเกินไปจนรบกวน

 

‘ความรัก’ ชนะทุกสิ่ง: เลือกคนที่แฟนคลับรัก มี Loyalty สูง เพราะความรักจะเปลี่ยนเป็นยอดขาย แฟนคลับคือกำลังสำคัญที่พร้อมจะสนับสนุนอินฟลูเอ็นเซอร์ที่พวกเขารัก ดังนั้นอินฟลูเอ็นเซอร์ที่มีฐานแฟนคลับเหนียวแน่นย่อมมีโอกาสสูงที่จะเปลี่ยนความรักนั้นให้เป็นยอดขาย

 

DON’T:

 

‘หลง’ ตัวเลข: อย่าดูแค่ยอดผู้ติดตาม ต้องดูคุณภาพและความเหมาะสมกับแบรนด์ด้วย Micro หรือ Nano ก็ปังได้ จำนวนผู้ติดตามไม่ใช่ทุกสิ่ง อินฟลูเอ็นเซอร์ที่มีผู้ติดตามน้อยแต่มี Engagement สูง มีความ Niche ที่ตรงกับแบรนด์ก็สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีได้

 

‘ตาม’ กระแส: กระแสมาไวไปไว อย่าหลงเลือกแค่คนที่ดัง ต้องมองการณ์ไกล เลือกคนที่ใช่จริงๆ กระแสอาจดึงดูดความสนใจได้ในระยะสั้น แต่ความยั่งยืนต่างหากที่สำคัญ แบรนด์ควรเลือกอินฟลูเอ็นเซอร์ที่มีคุณภาพ ภาพลักษณ์ดี และสอดคล้องกับแบรนด์ในระยะยาว

 

นอกจากนี้ แบรนด์ต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัด เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย สร้าง Key Message ที่โดน ทำ Content Guidelines และวัดผลอย่างสม่ำเสมอ

 

แต่ความสำเร็จไม่ได้หยุดอยู่แค่การเลือกอินฟลูเอ็นเซอร์ที่ใช่! CMMU ย้ำว่า หัวใจสำคัญคือการเข้าใจและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายก่อนจะเริ่มกลยุทธ์ใดๆ ยุคนี้ข้อมูลคืออาวุธ แบรนด์ต้องรู้ลึกรู้จริงเกี่ยวกับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการใช้ชีวิต ความสนใจ ไลฟ์สไตล์ รวมถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ชื่นชอบ

 

การสื่อสารก็สำคัญไม่แพ้กัน Key Message ต้องชัดเจน สอดคล้องกับเป้าหมายของแบรนด์ และโดนใจกลุ่มเป้าหมาย CMMU แนะนำให้สร้าง Content Guidelines เพื่อให้อินฟลูเอ็นเซอร์สื่อสารได้ตรงจุด ครบถ้วน และตรงกับวัตถุประสงค์ของแบรนด์

 

การวัดผลคือกุญแจสู่ความสำเร็จ แบรนด์ต้องกำหนด KPI (Key Performance Indicator) ที่ชัดเจน เช่น ยอด Engagement, Conversion Rates, ROI (Return on Investment) และติดตามประเมินผลอย่างสม่ำเสมอเพื่อปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม

 

Influencer Marketing ไม่ใช่แค่กระแส แต่เป็นกลยุทธ์ทรงพลังที่เชื่อมโยงแบรนด์กับผู้บริโภค คำถามคือ แบรนด์พร้อมหรือยังที่จะปรับตัว พัฒนา และสร้างสรรค์กลยุทธ์ Influencer Marketing ให้ปังยิ่งกว่าเดิม? และจะวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไรให้แม่นยำเพื่อเข้าถึงลูกค้าได้อย่างแท้จริง?

The post อย่าหลงยอด Follower! แบรนด์ต้องเข้าใจ ‘กลุ่มเป้าหมาย’ ก่อนเลือกอินฟลูเอ็นเซอร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ สั่งรวมคดีหลอกขายทองคำ ให้ตำรวจสอบสวนกลางเป็นศูนย์คลี่คลายคดี เตรียมเรียกดารา-อินฟลูเอ็นเซอร์กว่า 20 คนให้ปากคำ https://thestandard.co/pol-gen-kittirat-orders-consolidation-of-gold-fraud-cases/ Tue, 01 Oct 2024 04:14:38 +0000 https://thestandard.co/?p=990040

วันนี้ (1 ตุลาคม) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ […]

The post พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ สั่งรวมคดีหลอกขายทองคำ ให้ตำรวจสอบสวนกลางเป็นศูนย์คลี่คลายคดี เตรียมเรียกดารา-อินฟลูเอ็นเซอร์กว่า 20 คนให้ปากคำ appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (1 ตุลาคม) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดหลอกขายทองคำไม่ได้คุณภาพ โดยระบุว่า เบื้องต้นได้รับรายงานจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) แล้วว่ามีการจับกุมผู้กระทำผิด 2 คน ซึ่งเป็นบุคคลที่เป็นตัวการใหญ่ 

 

วันนี้จะนำตัวไปฝากขังโดยคัดค้านการประกันตัว นอกจากนี้ได้สั่งการให้ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ ผบก.ปคบ. ดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา และจากนี้ไปให้ขยายผลว่ามีผู้ใดเกี่ยวข้อง มีพฤติกรรมในการกระทำผิดเข้าข้อกฎหมายใด ซึ่งต้องไม่มีการยกเว้น ละเว้น หรือช่วยเหลือเด็ดขาด เพราะเป็นเรื่องที่กระทบต่อความรู้สึกและประชาชนถูกเอารัดเอาเปรียบ เสียเงินเสียทองเป็นจำนวนมาก จากนี้ไปก็จะเข้าสู่กระบวนการสอบสวนและขยายผลถึงผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยจะรวบรวมข้อเท็จจริงรวมถึงหลักฐาน และออกหมายเรียกหากพบว่ามีการกระทำความผิดเพิ่มเติม

 

นอกจากนี้ยังได้สั่งการทุกพื้นที่เพื่อให้รับแจ้งความ เพราะมั่นใจว่ามีผู้เสียหายหลายคนที่ไม่ได้อยู่แค่ในกรุงเทพมหานครเท่านั้น ซึ่งผู้เสียหายสามารถไปแจ้งความที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่กรุงเทพฯ เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่ได้รับความเสียหาย และคดีนี้จะได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยจะมอบหมายให้ตำรวจสอบสวนกลางเป็นผู้รับผิดชอบในคดีนี้ ส่วนจะต้องโอนคดีมาที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) หรือไม่ ขอดูรายละเอียดอีกครั้ง เนื่องจากต่างกรรมต่างวาระ

 

ด้าน พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ผบก.ปคบ.) เปิดเผยว่า หลังจากนี้จะขยายและรวบรวมหลักฐานกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีชื่อเสียงและอินฟลูเอ็นเซอร์ที่ทำหน้าที่ไลฟ์ขายของไม่ต่ำกว่า 20 คน ก็จะต้องถูกเชิญมาให้ปากคำทั้งหมด เบื้องต้นอาจมีความผิดเข้าข่ายหลาย พ.ร.บ. ขึ้นอยู่กับว่าเข้าไปเกี่ยวข้องมากน้อยแค่ไหน

 

ส่วนที่บอกว่าได้ค่าจ้าง แต่อ้างว่าไม่รู้ว่าเป็นสินค้าไม่ได้มาตรฐาน พล.ต.ต. วิทยา กล่าวว่า ประเด็นนี้ต้องตรวจสอบว่าเหตุผลฟังขึ้นหรือไม่ แต่ทุกอย่างจะต้องเข้าสู่กระบวนการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน ถ้ามีพฤติการณ์ใดที่เข้าข่ายความผิดก็จะดำเนินคดีทุกรายและต้องดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา ผิดก็คือผิด ห้ามเข้าไปเกี่ยวข้องและช่วยเหลือเด็ดขาด

 

รวมทั้งเรื่องเส้นทางการเงินและทรัพย์สินของผู้ต้องหา ตรงนี้ได้เชิญสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มาร่วมตรวจสอบแล้ว ส่วนทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ อยู่ระหว่างประสานเพื่อตรวจสอบว่าเป็นทรัพย์สินที่แปรสภาพหรือไม่ เพราะที่ผ่านมา บก.ปคบ. ได้เฝ้าติดตามข่าวสารและพฤติกรรมของผู้ต้องหามาโดยตลอด

The post พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ สั่งรวมคดีหลอกขายทองคำ ให้ตำรวจสอบสวนกลางเป็นศูนย์คลี่คลายคดี เตรียมเรียกดารา-อินฟลูเอ็นเซอร์กว่า 20 คนให้ปากคำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อธิบดีอัยการ สคช. ชี้ ดารา-อินฟลูเอ็นเซอร์ร่วมไลฟ์ขายทองแม่ตั๊กเสี่ยงผิด พ.ร.บ.คอมฯ-ฉ้อโกงประชาชน ตำรวจจะพิจารณาในชั้นสอบสวน https://thestandard.co/join-the-livestream-of-mae-tak-risk/ Tue, 01 Oct 2024 02:21:18 +0000 https://thestandard.co/?p=989984

วันนี้ (1 ตุลาคม) โกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง อธิบดีอัยการส […]

The post อธิบดีอัยการ สคช. ชี้ ดารา-อินฟลูเอ็นเซอร์ร่วมไลฟ์ขายทองแม่ตั๊กเสี่ยงผิด พ.ร.บ.คอมฯ-ฉ้อโกงประชาชน ตำรวจจะพิจารณาในชั้นสอบสวน appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (1 ตุลาคม) โกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง อธิบดีอัยการสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี (สคช.) กล่าวถึงกรณีที่ปรากฏข้อมูลว่ามีดาราและอินฟลูเอ็นเซอร์ไปร่วมไลฟ์ขายทองออนไลน์กับ กรกนก หรือ แม่ตั๊ก และ กานต์พล หรือ ป๋าเบียร์ ผู้ต้องหาหมายจับศาลอาญา ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน-พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ว่าจะมีส่วนร่วมกระทำผิดด้วยหรือไม่

 

โกศลวัฒน์กล่าวว่า คดีนี้เมื่อประชาชนผู้เสียหายเข้าแจ้งความ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีอำนาจสอบสวนตามที่กฎหมายกำหนดทันที โดยการสอบสวนจะต้องสอบสวนทั้งผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหาให้ได้ความจริง ในส่วนที่จะมีใครไปเกี่ยวข้องในการกระทำผิดด้วยหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการสอบสวนข้อเท็จจริง 

 

ส่วนลักษณะที่ว่า คนที่ร่วมไลฟ์อาจโดนข้อกล่าวหาว่าร่วมกระทำความผิด คือกรณีที่คุณรู้ว่าเป็นความเท็จแล้วคุณยังไลฟ์หลอกลวง กรณีนั้นสุ่มเสี่ยงที่จะผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มีบางกรณีที่รู้ว่าเป็นความเท็จแต่ไม่ได้ประโยชน์จากการซื้อขายก็อาจผิดบางข้อหา ไม่ได้เป็นตัวการร่วมฉ้อโกงฯ เพราะไม่ได้ผลประโยชน์ แต่อาจโดนฐานสนับสนุนให้เกิดการกระทำความผิดได้ ขึ้นอยู่กับการสอบสวน 

 

โกศลวัฒน์กล่าวว่า ผู้ถูกกล่าวหามีโอกาสพิสูจน์ในชั้นสอบสวนของตำรวจ ชั้นพิจารณาคดีของอัยการ หรือแม้กระทั่งเมื่อฟ้องแล้วก็ไปพิสูจน์ในศาล แต่ก่อนอื่นต้องพิสูจน์ในขั้นสอบสวนก่อน จึงจะบอกได้ว่าใครเข้าข่ายร่วมกันกระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชนหรือเป็นผู้สนับสนุนหรือไม่

The post อธิบดีอัยการ สคช. ชี้ ดารา-อินฟลูเอ็นเซอร์ร่วมไลฟ์ขายทองแม่ตั๊กเสี่ยงผิด พ.ร.บ.คอมฯ-ฉ้อโกงประชาชน ตำรวจจะพิจารณาในชั้นสอบสวน appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘Influencer Marketing’ ดาบวิเศษที่ใช้ในการต่อสู้กับยอดขายที่ซบเซา คาดปีนี้แบรนด์เทงบโฆษณาให้ 8 พันล้านบาท https://thestandard.co/influencer-marketing-boosts-sales/ Fri, 20 Sep 2024 10:32:17 +0000 https://thestandard.co/?p=986022

สภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่ถาโถมมาตั้งแต่ปีก่อน กำลังทวีความร […]

The post ‘Influencer Marketing’ ดาบวิเศษที่ใช้ในการต่อสู้กับยอดขายที่ซบเซา คาดปีนี้แบรนด์เทงบโฆษณาให้ 8 พันล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>

สภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่ถาโถมมาตั้งแต่ปีก่อน กำลังทวีความรุนแรงขึ้นในปีนี้ราวกับพายุลูกใหญ่ ผู้บริโภคกำลังเผชิญหน้ากับค่าครองชีพที่พุ่งขึ้น ในขณะที่รายได้กลับหดหาย จึงส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายเม็ดเงินโฆษณาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด หลังจากวิกฤตโควิดที่เขย่าโลกเมื่อ 3-4 ปีก่อน พฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกโฉม ตลาดและผู้บริโภคในประเทศไทยเข้าสู่ยุค Social-Driven Society อย่างเต็มตัว (Social-Driven Society = ยุคที่ผู้บริโภคฟังและเชื่อถือผู้บริโภคด้วยกันมากขึ้น) 

 

และนี่คือจุดที่ ‘Influencer Marketing’ ก้าวขึ้นมาเป็นพระเอกตัวจริง เพราะไม่ใช่ถูกมองเป็นแค่เครื่องมือทางการตลาดธรรมดา แต่เป็นดาบวิเศษที่นักการตลาดใช้ต่อสู้กับยอดขายที่ซบเซา เพราะ Influencer มีหน้าที่หลักในส่วน Lower Funnel เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดแอ็กชันต่อแบรนด์สินค้าและบริการนั้นๆ เพื่อเพิ่มยอดขายราวกับมีพลังวิเศษ

 

Influencer Marketing ถูกใช้เป็นเครื่องมือหลักทางการตลาด ดันเม็ดเงินในส่วนนี้เติบโตแบบก้าวกระโดดเฉลี่ยแตะมากกว่า 30% ของงบโฆษณาในแต่ละแคมเปญ เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากที่เคยใช้ 15-20% (ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า ขนาดของแคมเปญ และงบประมาณ) และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ยังไม่นับรวม Affiliate Marketing (การตลาดแบบช่วยขายแล้วแบ่งกำไร) 

 

เหล่านี้เป็นตัวผลักดันหลักให้จำนวน Influencer ในไทยพุ่งแตะกว่า 2 ล้านราย กลายเป็นเหมือนกองทัพนักรบดิจิทัลของแบรนด์ต่างๆ ที่พร้อมจะพิชิตใจผู้บริโภคทุกคน

 

ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด หรือ MI GROUP มองว่า การเติบโตของ Influencer มาจากมุมมองของคนรุ่นใหม่ที่เห็นว่าทำแล้วได้เงิน จึงกระโดดเข้ามาสู่แวดวง Influencer ยิ่งไทยเป็นสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยกระแสโซเชียล ยิ่งทำให้แบรนด์เทงบไปใช้ Influencer มากขึ้น จนคาดว่าปีนี้จะมีมูลค่าการใช้เงินโฆษณาในส่วนนี้กว่า 8,000 ล้านบาท 

 

“ลูกค้าส่วนใหญ่ลดการใช้เงินเพราะยอดขายที่ไม่ได้เติบโต จึงเน้นสื่อที่ตอบโจทย์การขายโดยตรง กลุ่ม Influencer จึงได้ประโยชน์จากทิศทางนี้ด้วย ช่วยแบรนด์ให้ขายของได้เลย และไม่ใช้เงินกับโฆษณาที่สร้างการรับรู้ที่ไม่จำเป็นในช่วงเวลานี้ แต่ตัว Influencer ก็มีความท้าทายตรงที่เมื่อมีตัวเลือกเยอะก็ต้องเลือกให้ถูก ไม่อย่างนั้นแทนที่จะได้ยอดขายกลับมาก็จะเสียเงินไปเปล่าๆ”

 

ทว่าในขณะที่ Influencer Marketing กำลังเฟื่องฟู ภาพรวมของวงการโฆษณากลับไม่สดใสนัก จากที่เคยคาดว่าจะเติบโต 3.3% สู่ 87,617 ล้านบาท กลับต้องปรับลดเหลือติดลบ 0.2% เหลือเพียง 84,688 ล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในโค้งสุดท้ายของปี

 

การเพิ่มขึ้นของเงินในกลุ่ม Influencer ไม่ได้แปลว่างบโฆษณาในภาพรวมจะเติบโต กลับกัน จากที่เคยประเมินว่าตลาดอาจเติบโตได้สัก 3.3% สู่ 87,617 ล้านบาท แต่เมื่อเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้จากสุญญากาศทางการเมือง ส่งผลต่อการขับเคลื่อนนโยบายและการใช้จ่ายงบประมาณต่างๆ ดังนั้นคาดว่าภาพรวมจะลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เหลือเพียง 84,688 ล้านบาทเท่านั้น

 

เมื่อมองเข้าไปยังอุตสาหกรรมโฆษณาจะพบว่า มีเพียงสื่อดิจิทัลและสื่อนอกบ้านเท่านั้นที่ยังเติบโต ยกเว้นสื่อดั้งเดิมที่เผชิญพายุใหญ่ โดยสิ่งที่ต้องจับตามากที่สุดคือผู้ที่กุมเงินโฆษณาใหญ่ที่สุดอย่าง ‘ทีวี’ ที่แม้จะมีสัดส่วน 39.3% แต่ก็เป็นตัวเลขที่ลดลงกว่า 6% และมีแนวโน้มที่จะลดลงต่อเนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปใช้สื่อดิจิทัลแทน 

 

สื่อทีวีเองก็อยู่เฉยไม่ได้ แม้อัตราค่าโฆษณาอย่างเป็นทางการจะไม่ได้ปรับลด แต่ก็ใช้วิธีอื่นๆ แทน เช่น แถมโฆษณาในช่วงเวลาอื่นๆ ที่ไม่ได้มีเรตติ้งที่สูงมาก ขณะเดียวกัน การมีช่องทีวีนับสิบในวันนี้ก็ถือว่ามากเกินกว่าที่เค้กก้อนนี้จะแบ่งอย่างทั่วถึง ดังนั้น ในท้ายที่สุดการแข่งขันที่ดุเดือดอาจทำให้เหลือช่องทีวีที่อยู่รอดเพียง 4-5 ช่องเท่านั้น นี่คือการปฏิวัติครั้งใหญ่ในวงการสื่อที่กำลังจะเกิดขึ้น และทำให้เราต้องจับตามองกันต่อไป 

The post ‘Influencer Marketing’ ดาบวิเศษที่ใช้ในการต่อสู้กับยอดขายที่ซบเซา คาดปีนี้แบรนด์เทงบโฆษณาให้ 8 พันล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
Partipost บุกไทย! ชี้ผู้ติดตาม 200 คนก็เป็น ‘อินฟลูเอ็นเซอร์’ ได้ วางเป้าขยายเครือข่าย 1 แสนคนในปีนี้ https://thestandard.co/partipost-200-followers-influencer/ Tue, 27 Aug 2024 11:46:22 +0000 https://thestandard.co/?p=976125

Partipost แพลตฟอร์มอินฟลูเอ็นเซอร์มาร์เก็ตติ้ง ประกาศเป […]

The post Partipost บุกไทย! ชี้ผู้ติดตาม 200 คนก็เป็น ‘อินฟลูเอ็นเซอร์’ ได้ วางเป้าขยายเครือข่าย 1 แสนคนในปีนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

Partipost แพลตฟอร์มอินฟลูเอ็นเซอร์มาร์เก็ตติ้ง ประกาศเปิดตัวให้บริการอย่างเป็นทางการในประเทศไทย หลังจากที่ก่อนหน้านี้บุกมาแล้วในสิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ไต้หวัน, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม และฮ่องกง

 

การเคลื่อนไหวครั้งนี้สะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดอินฟลูเอ็นเซอร์ในประเทศไทย และการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาให้ความสำคัญกับความคิดเห็นและคำแนะนำจากอินฟลูเอ็นเซอร์มากขึ้น

 

“เรารู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่งที่ได้นำ Partipost มาสู่ประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงสำหรับการตลาดด้วยอินฟลูเอ็นเซอร์” Jonathan Eg ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้ง Partipost กล่าว

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

Partipost เล็งเห็นโอกาสจากแนวโน้มสำคัญในตลาดออนไลน์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่พบว่าแบรนด์ให้ความสำคัญกับไมโครอินฟลูเอ็นเซอร์และนาโนอินฟลูเอ็นเซอร์มากขึ้น เนื่องจากกลุ่มนี้สามารถสร้างอัตราการมีส่วนร่วม (Engagement Rate) ที่สูงกว่า และสร้างการเชื่อมต่อที่จริงใจกับกลุ่มผู้ชมได้ 

 

ตลอดจนความนิยมที่เพิ่มขึ้นของเนื้อหาวิดีโอสั้นบนแพลตฟอร์มอย่าง TikTok, Instagram Reels และ YouTube Shorts ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ควบคู่ไปกับการใช้งานไลฟ์สตรีมมิงที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับการเปิดตัวสินค้า, การถาม-ตอบ และกิจกรรมการช้อปปิ้ง

 

สำหรับประเทศไทย หมวดสินค้าที่ยังคงได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ ความงาม, แฟชั่น, อาหาร และท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญไปยังหมวดหมู่เฉพาะกลุ่มที่มีอิทธิพลเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันประเภทคอนเทนต์ยอดนิยม 3 อันดับแรกของไทย ได้แก่ 1. ความงามและแฟชั่น 2. ศิลปะและบันเทิง 3. อาหารและเครื่องดื่ม 

 

“ภาพรวมของตลาด กลุ่มแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มมีการใช้จ่ายงบประมาณสำหรับแคมเปญอินฟลูเอ็นเซอร์มากที่สุด โดยคิดเป็น 39% ของงบประมาณทั้งหมด ตามมาด้วยความงามและแฟชั่น 17.4% และหมวดหมู่แก็ดเจ็ตและยานยนต์ก้าวขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 3 โดยครองส่วนแบ่งงบประมาณถึง 10.6%”

 

Jonathan ย้ำว่า จุดแข็งที่เป็นเอกลักษณ์ของ Partipost อยู่ที่การเปิดกว้างและให้โอกาสกับทุกคน ซึ่งต่างจากแพลตฟอร์มทั่วไปที่เน้นอินฟลูเอ็นเซอร์ที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว เราเปิดโอกาสให้คนทั่วไปสามารถเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ได้ แม้จะมีผู้ติดตามเพียง 200 คนก็ตาม และหากเข้าร่วมกับ Partipost ต้องมีอายุมากกว่า 17 ปี และมีบัญชีธนาคารที่ถูกต้อง

 

“จุดเด่นของเราอยู่ที่ความมุ่งมั่นในการนำเสนอความเป็นจริง เราเน้นใช้ไมโครและนาโนอินฟลูเอ็นเซอร์ที่มีความสัมพันธ์ที่แท้จริงและเชื่อถือได้กับกลุ่มเป้าหมายของพวกเขา สิ่งนี้สร้างการมีส่วนร่วมที่ลึกซึ้งและมีความหมายมากขึ้นสำหรับแบรนด์ ซึ่งยากที่จะหาได้จากการทำตลาดแบบอินฟลูเอ็นเซอร์ในรูปแบบดั้งเดิม”

 

การเข้าสู่ตลาดใหม่ย่อมมาพร้อมกับความท้าทายเสมอ ในประเทศไทย หนึ่งในอุปสรรคที่ Partipost คาดการณ์ไว้คือการเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการตลาดอินฟลูเอ็นเซอร์ แบรนด์หลายแห่งยังคงเน้นไปที่อินฟลูเอ็นเซอร์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งอาจทำให้พลาดโอกาสในการใช้พลังของเสียงคนทั่วไป เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ Partipost จะเน้นการให้ความรู้และพิสูจน์แนวคิด พร้อมสร้างพันธมิตรในท้องถิ่นที่แข็งแกร่ง

 

Partipost ยังให้ความสำคัญกับปัญหาในอุตสาหกรรม เช่น การซื้อผู้ติดตามและกิจกรรมผิดกฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความมั่นใจว่า Partiposters ทุกคนมีความจริงใจและน่าเชื่อถือ โดยตั้งเป้าหมายขยายเครือข่ายอินฟลูเอ็นเซอร์ให้มากกว่า 1 แสนคนภายใน 6-12 เดือนข้างหน้า

The post Partipost บุกไทย! ชี้ผู้ติดตาม 200 คนก็เป็น ‘อินฟลูเอ็นเซอร์’ ได้ วางเป้าขยายเครือข่าย 1 แสนคนในปีนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
The Influencer กะเทาะเปลือกอินฟลูเอ็นเซอร์เมื่อต้องออกจากเซฟโซน https://thestandard.co/the-influencer-netflix/ Mon, 19 Aug 2024 09:28:09 +0000 https://thestandard.co/?p=972816

“เพื่อการเป็นจุดสนใจ คนเราไปได้สุดแค่ไหน?” นี่คือคำถามท […]

The post The Influencer กะเทาะเปลือกอินฟลูเอ็นเซอร์เมื่อต้องออกจากเซฟโซน appeared first on THE STANDARD.

]]>

“เพื่อการเป็นจุดสนใจ คนเราไปได้สุดแค่ไหน?” นี่คือคำถามที่เกิดขึ้นในใจระหว่างดู The Influencer รายการแนวเซอร์ไววัลทาง Netflix ซึ่งรวบรวมเหล่าอินฟลูเอ็นเซอร์ 77 คนของเกาหลีใต้ให้เข้ามาอยู่ในเกมชิงเงินรางวัลสูงถึง 300 ล้านวอน หรือราว 7.7 ล้านบาท อย่างที่รู้กันว่าผู้ทรงอิทธิพลในโลกออนไลน์มีความหลากหลาย ทำให้ในเกมนี้มีคอนเทนต์สารพัดรูปแบบ ไม่ว่าคุณจะ Like หรือ Dislike ไม่สำคัญ ขอแค่ได้รับความสนใจเท่านั้นพอ จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมเกาหลีใต้ว่านี่คือความน่าอับอายระดับชาติเลยทีเดียว

 

 

เอาจริงๆ รายการนี้ก็ไม่ได้เลวร้าย ประเด็นส่วนใหญ่ที่ถูกโจมตีก็คือการขายเรือนร่างของอินฟลูสายเซ็กซี่ หากมองด้วยความยุติธรรมนั่นก็คือคอนเทนต์ของพวกเขา และถ้ามองอีกแง่นี่คือการเจาะลึกโลกของอินฟลูออนไลน์ที่มีอิทธิพลต่อผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าขับเคลื่อนด้วยอะไร

 

รายการเปิดตัวด้วยการแนะนำผู้เข้าแข่งขันเด่นๆ ที่มีตั้งแต่ช่างทำผม ช่างแต่งหน้า นางแบบเซ็กซี่ แรปเปอร์ เกมเมอร์ ครูสอนฟิตเนส เชฟ หรือแม้กระทั่งหมอผี ซึ่งก็ค่อนข้างสุ่มเสี่ยงในตลาดต่างประเทศของ Netflix เพราะคนดูนอกเกาหลีแทบไม่รู้จักคนพวกนั้นเลย โชคยังดีที่มีสองนักแสดงคือ คีอึนเซ และ จางกึนซอก มาดึงดูดความสนใจได้บ้าง

 

 

สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้คือรายการนี้มีความเสียดสีเบาๆ โดยผู้เข้าแข่งขันต้องใส่ปลอกคอเหมือนหนัง Battle Royale แสดงจำนวนตัวเลขผู้ติดตามที่มีตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงยี่สิบล้านคน ซึ่งจะใช้ถูกคำนวณสัดส่วนเงินรางวัลติดตัวเหมือนการแบ่งชนชั้นกลายๆ ทั้งเสริมสร้างและสลาย ‘ความมั่น’ ของแต่ละคนไปด้วย โดยผู้ที่ตกรอบจะต้องมอบเงินรางวัลให้กับผู้ที่เหลืออยู่ จนกระทั่งถึงคนสุดท้ายที่จะได้เงินรางวัลทั้งหมดไปคนเดียว

 

ส่วนเกมแรกก็เหมือนพาทุกคนออกจากเซฟโซน จากที่เคยได้เอ็นเกจจากผู้ติดตาม ทางรายการก็มอบ 15 Likes และ 15 Dislikes ให้กับผู้เข้าแข่งขัน โดยไม่ได้บอกว่ามีผลอะไร แน่นอนว่าทุกคนไล่ล่ายอด Like จากความสนิทสนมส่วนตัวเป็นอันดับแรก ตามมาด้วยการสกัดดาวรุ่งด้วยยอด Dislike ที่ไม่ได้เกิดจากความหมั่นไส้ แต่เป็นการวางกลยุทธ์ในเกมมากกว่า คนที่โดนส่วนใหญ่ก็มาจากข้อได้เปรียบของบางอย่าง เช่น จางกึนซอก ที่คนอื่นคิดว่าได้เปรียบเพราะเป็นคนดัง หรือ YouTuber คิดว่า TikToker มีผู้ติดตามมากกว่า ทั้งที่คุณภาพคอนเทนต์ด้อยกว่า รวมทั้งอยากกำจัดคนที่มีเงินรางวัลสูงๆ จะได้เอายอดมาเฉลี่ยกัน ฯลฯ

 

ความสนุกยังไม่จบแค่นั้น เมื่อทางรายการเปิดเวทีให้อินฟลูที่เต็มใจได้ขึ้นไปพรีเซนต์ตัวเอง ผลที่ตามมาส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ออกมาในเชิงบวก เข้าทำนองทำตัวเด่นจะเป็นภัย…ใดๆ แล้วก็ใช้ไม่ได้ในเกมนี้ เมื่อทุกอย่างเฉลยว่าการเดินสายกลางไม่ใช่คำตอบ แต่สปอตไลต์ต่างหากที่สำคัญที่สุดสำหรับ The Influencer

 

 

ความน่าสนใจของรายการนี้คือจะใช้อะไรเป็นมาตรวัดความสำเร็จก็ได้ ในเมื่ออินฟลูแต่ละคนก็เชี่ยวชาญคอนเทนต์ในรูปแบบของตัวเอง และคอนเทนต์ที่ดีหรือแย่ก็แล้วแต่คนจะมอง บทสรุปจึงไปอยู่ที่การได้รับความสนใจ ทำให้รายการมีเพียงกฎกติกาหลวมๆ ส่วนวิธีการก็ขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละคน บอกได้เลยว่าเป็นกลยุทธ์ที่เราได้เห็นผ่านโลกออนไลน์แทบทั้งหมด แถมเพิ่มดีกรีให้เข้มข้นขึ้นไปอีก เมื่อคนที่เด่นอยู่แล้วยังอยากเด่นที่สุดในกลุ่ม

 

อีกส่วนก็คือการเฉลี่ยความได้เปรียบ-เสียเปรียบด้วยเกมหลายรูปแบบ เพราะอินฟลูมาจากหลากหลายแพลตฟอร์ม ทั้งวิดีโอสั้น วิดีโอยาว และภาพนิ่ง เราจึงได้เห็นเกมท้าทายทักษะเพื่อพิสูจน์ว่าแต่ละคนจะทำให้คนสนใจได้มากแค่ไหน อย่างเช่น การไลฟ์ ซึ่งต้องงัดกลยุทธ์ทุกอย่างรั้งผู้ชมไม่ให้หนีไปไหน ยิ่งเวลาผ่านไปนานก็เหมือนทุกคนหลังชนฝา จนต้องหาวิธีการพิลึกพิลั่นเข้าไปทุกที เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่าคอนเทนต์ที่คนสนใจก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคอนเทนต์ที่ดีเสมอไป และกลายเป็นอีกประเด็นที่รายการนี้ถูกโจมตีอย่างหนักเหมือนกัน

 

Evoto

 

หรืออย่างในเกมภาพนิ่งที่ดูเหมือนง่าย แต่ท้าทายแนวคิดเรื่องการสื่อสารอย่างมาก เมื่อภาพที่ดึงดูดความสนใจอาจไม่ใช่ภาพที่สวยที่สุด แปลกที่สุด ถึงขั้นไม่จำเป็นต้องเป็นภาพถ่ายด้วยซ้ำไป แต่ต้องสื่อสารออกมาอย่างง่ายที่สุด ดึงดูดที่สุดต่างหาก ซึ่งความยากอยู่ตรงนี้ และก็เป็นอีกครั้งที่ได้เห็นเหล่าอินฟลูงัดทุกอย่างของตัวเองมาใช้ประโยชน์

 

อย่างเช่น จางกึนซอก ซึ่งถูกมองว่าได้เปรียบจากชื่อเสียงในวงการบันเทิง แต่เอาเข้าจริงๆ ในรายการนี้เขาเป็นเพียงผู้เล่นที่อ่อนด้อยกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ เพราะเพิ่งก้าวเข้ามาทำคอนเทนต์ออนไลน์ ส่วนงานในวงการบันเทิงก็ห่างหายไปนาน ขณะเดียวกันก็เป็นข้อได้เปรียบ เพราะสลัดภาพลักษณ์ความเป็นดาราไปบางส่วนแล้ว ทำให้เขากล้าทำอะไรนอกกรอบกว่าเพื่อนดาราอย่าง คีอึนเซ อีกอย่างคือทนต่อแรงเสียดทานต่อคอมเมนต์ลบๆ และรู้จักบริหารชื่อเสียงตัวเองแล้วก็ได้ประโยชน์ไปเต็มๆ ในเกมภาพนิ่งนี้

 

 

ยิ่งเข้ารอบลึกขึ้นเท่าไร The Influencer ก็ยิ่งท้าทายโลกของผู้ทรงอิทธิพลออนไลน์มากขึ้นเท่านั้น เราได้เห็นอินฟลูหลายคนอยู่ดีๆ ก็เป็นคน ‘ไม่มีคอนเทนต์’ เมื่อหลุดจากกรอบที่ตัวเองคุ้นเคย และได้อีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่าความซื่อสัตย์ต่อฐานแฟนคลับของตัวเอง แม้จะไม่หวือหวาแต่ก็มั่นคง อย่างเช่น กรณีของอินฟลูด้านบิวตี้ อีซาแบ ซึ่งแตกต่างจากการวางกลยุทธ์แพรวพราวของ จีซูจาง ในรอบสุดท้ายของการแข่งขัน

 

จริงๆ แล้ว The Influencer เต็มไปด้วยประเด็นดราม่าอีกมากมาย แต่ก็ทะลุทะลวงไปขึ้นอันดับ 1 ของ Netflix เกาหลีใต้ แถมยังคว้าอันดับ 4 ของรายการที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษของ Netflix ทั่วโลกได้อีกต่างหาก ณ จุดนี้เราไม่พูดเรื่องความดี-ไม่ดี แต่ The Influencer ก็เป็นไปตามรูปแบบของรายการ คือไม่ว่าคุณจะ Like หรือ Dislike ไม่สำคัญ ขอแค่ได้รับความสนใจเท่านั้นพอ

The post The Influencer กะเทาะเปลือกอินฟลูเอ็นเซอร์เมื่อต้องออกจากเซฟโซน appeared first on THE STANDARD.

]]>