Indonesia – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 17 Feb 2025 08:22:18 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ทำไมเศรษฐกิจไทยโต ‘รั้งท้าย’ อาเซียนอีกปีในปี 2024 สถานการณ์น่ากังวลแค่ไหน? https://thestandard.co/wealth-in-depth-thai-economic-2024/ Mon, 17 Feb 2025 08:21:21 +0000 https://thestandard.co/?p=1042842

วันนี้ (17 กุมภาพันธ์) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสั […]

The post ทำไมเศรษฐกิจไทยโต ‘รั้งท้าย’ อาเซียนอีกปีในปี 2024 สถานการณ์น่ากังวลแค่ไหน? appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (17 กุมภาพันธ์) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยปี 2024 ขยายตัว 2.5% เร่งตัวขึ้นจากปี 2023 ที่ขยายตัว 2.0%

 

อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังคงขยายตัว ‘ต่ำที่สุด’ ในบรรดาประเทศอาเซียนทั้งหมดที่มีการเปิดเผยตัวเลข GDP อย่างเป็นทางการ 

 

โดยเศรษฐกิจอาเซียนประเทศอื่นๆ ขยายตัวดังนี้

 

  • เวียดนาม 7.1%
  • ฟิลิปปินส์ 5.6%
  • มาเลเซีย 5.1%
  • อินโดนีเซีย 5%
  • สิงคโปร์ 4%
  • ไทย 2.5%

 

ทำไม เศรษฐกิจไทย โต ‘รั้งท้าย’ อาเซียน ต้องปรับอย่างไร?

 

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH โดยระบุว่า สาเหตุที่เศรษฐกิจไทยโตล้าหลังเพื่อน มาจากปัจจัยเชิงวัฏจักร ปัจจัยเชิงโครงสร้าง และการเติบโตที่ยังเหลื่อมล้ำ

 

สำหรับ ‘ปัจจัยเชิงโครงสร้าง’ หรือศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจ (Potential GDP Growth) ของไทยกำลังลดลงเรื่อยๆ เนื่องมาจากสังคมสูงวัย การขาดแคลนแรงงาน และการขาดการลงทุน

 

“แม้จะเห็นว่ายอดการลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศ (FDI) ของไทยเข้ามาเยอะ แต่ของประเทศอื่นโตแรงกว่าเรานะ ถ้ามองดูเรายังน่าดึงดูดก็จริง แต่ยังน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่น” ดร.อมรเทพ กล่าว พร้อมทั้งแนะว่า ไทยยังสามารถเพิ่มการลงทุนได้ผ่านการผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ การดึงดูดต่างชาติให้เข้ามาทำงานมากขึ้น โดยเฉพาะแรงงานมีฝีมือ

 

อีกปัจจัยที่ทำให้ไทยโตต่ำกว่าเพื่อนคือ การเติบโตที่ยังเหลื่อมล้ำ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยปีที่ผ่านมายังคงเติบโตในระดับกลางและระดับบนเท่านั้น ท่ามกลางเหตุน้ำท่วม และปัญหาในภาคการเกษตร เป็นต้น ทำให้กำลังซื้อในต่างจังหวัดยังอ่อนแอมาก จึงมองได้ว่ามาตรการแจกเงินอาจจะช่วยเข้ามาประคองปัญหานี้ในระยะสั้นเท่านั้น ดังนั้นรัฐบาลควรเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับ SMEs ในต่างจังหวัดควบคู่กันไปด้วย 

 

“แม้ประเทศไทยจะมีจุดแข็งด้านการบริการ ค้าปลีก และท่องเที่ยว แต่จุดอ่อนของไทยยังอยู่ที่ภาคการผลิต ซึ่งเป็นตัวดึงดูด FDI และมีตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจสูง ซึ่งถ้าปล่อยทิ้งไว้ให้ซึมยาวอาจไม่เพียงพอให้ฟื้นเศรษฐกิจไทยได้” 

 

ดร.อมรเทพ ยังเตือนว่า หากไทยไม่แก้ปัญหาต่างๆ ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (Potential GDP Growth) อาจลดลงต่อเนื่อง ดังที่เคยเกิดขึ้นในอดีต โดยก่อนหน้านี้ Potential GDP Growth ของไทยเคยอยู่ที่ 7% แต่วันนี้ไม่ถึง 3% แล้ว ใน 5 ปีข้างหน้าอาจอยู่ที่ 2.5% และลงไปอีกเรื่อยๆ 

 

เมื่อสัปดาห์ก่อนธนาคารโลก (World Bank) ประเมินว่า อัตราการเติบโตตามศักยภาพของไทยจะลดลงจากค่าเฉลี่ย 3.2% ในช่วงปี 2011-2021 เหลือ 2.7% ในช่วงปี 2022-2030 หากไม่มีการปฏิรูปนโยบายอย่างเร่งด่วน ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมายในการเป็นประเทศรายได้สูงด้วย

 

 

ภาพประกอบ: ฉัตรชัย เฉยชิต

The post ทำไมเศรษฐกิจไทยโต ‘รั้งท้าย’ อาเซียนอีกปีในปี 2024 สถานการณ์น่ากังวลแค่ไหน? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชาวอินโดนีเซีย 32 คน ถูกพบขณะลักลอบเข้าไทย เผย ไม่ต้องการทำงานในเมียวดีต่อ https://thestandard.co/indonesian-workers-caught-crossing-border-maesot/ Sun, 19 Jan 2025 06:02:15 +0000 https://thestandard.co/?p=1031851 เจ้าหน้าที่ ฉก.ราชมนูและ ตม.แม่สอด จับกุมแรงงานชาวอินโดนีเซียลักลอบข้ามแดน

วันนี้ (19 มกราคม) หน่วยเฉพาะกิจราชมนู (ฉก.ราชมนู) ร่วม […]

The post ชาวอินโดนีเซีย 32 คน ถูกพบขณะลักลอบเข้าไทย เผย ไม่ต้องการทำงานในเมียวดีต่อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจ้าหน้าที่ ฉก.ราชมนูและ ตม.แม่สอด จับกุมแรงงานชาวอินโดนีเซียลักลอบข้ามแดน

วันนี้ (19 มกราคม) หน่วยเฉพาะกิจราชมนู (ฉก.ราชมนู) ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธร (สภ.) แม่สอด, ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) และฝ่ายปกครอง สนธิกำลังออกลาดตระเวนและเฝ้าตรวจบริเวณบ้านวังตะเคียนใต้ หมู่ 7 ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก

 

โดยขณะลาดตระเวนอยู่นั้นตรวจพบบุคคลกำลังเดินข้ามผ่านช่องทางธรรมชาติจากฝั่งประเทศเมียนมาข้ามมายังประเทศไทย เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตนเข้าตรวจสอบ พบว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวเป็นบุคคลสัญชาติอินโดนีเซีย ตรวจสอบทั้งหมดไม่มีวีซ่าผ่านแดน โดยลักลอบข้ามแดนมาฝั่งไทย จำนวน 32 คน เป็นชาย 30 คน หญิง 2 คน

 

จากการซักถามบุคคลทั้ง 32 คนให้การว่า ทำงานอยู่ในจังหวัดเมียวดี ประเทศเมียนมา และไม่ประสงค์จะทำงานต่อ จึงลักลอบข้ามมายังฝั่งไทยตามช่องทางธรรมชาติเพื่อเดินทางกลับประเทศของตน เจ้าหน้าที่ชุดลาดตระเวนจึงควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.แม่สอด เพื่อซักถาม และดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

 

สำหรับการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของจังหวัดตาก เป็นการทำภายใต้ศูนย์สั่งการชายแดนจังหวัดตาก โดยมี ชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก เป็นประธาน มุ่งคัดกรองบุคคลต่างชาติเข้าไปในพื้นที่ชายแดนตาก การตั้งจุดสกัด การขึ้นป้ายเตือน และการลาดตระเวนเพื่อป้องกันการลักลอบเข้าเมืองอย่างเข้มข้น

The post ชาวอินโดนีเซีย 32 คน ถูกพบขณะลักลอบเข้าไทย เผย ไม่ต้องการทำงานในเมียวดีต่อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Where to go in 2025 รวมจุดหมายปลายทางน่าไป ปี 2025 https://thestandard.co/life/where-to-go-2025-guide Thu, 16 Jan 2025 06:14:35 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1031067 จุดหมายปลายทางน่าเที่ยว 2025

ผ่านปีใหม่มาได้สองสัปดาห์ มีใครวางแผนเที่ยวแล้วบ้าง? ถ้ […]

The post Where to go in 2025 รวมจุดหมายปลายทางน่าไป ปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
จุดหมายปลายทางน่าเที่ยว 2025

ผ่านปีใหม่มาได้สองสัปดาห์ มีใครวางแผนเที่ยวแล้วบ้าง? ถ้ายังไม่รู้จะไปไหน แนะนำให้เริ่มต้นที่ เช็กปฏิทินวันหยุด-วันควรลา ปี 2568 ในเว็บไซต์ของเรา แล้วค่อยเลือกจุดหมายปลายทางที่เหมาะ ในปี 2024 เราคัดเลือกจุดหมายปลายทางน่าไปให้คุณหลายแห่ง ซึ่งมีทั้งสถานที่ยอดนิยม จุดหมายปลายทางใกล้บ้าน รวมไปถึงทริปเปิดดินแดนใหม่ที่ไม่เคยอนุญาตให้นักท่องเที่ยวสัมผัสมาก่อน ทว่าปีนี้กิจกรรมเก่าบางอย่างยังคงอยู่แต่โลเคชันเปลี่ยนไป เช่น การล่าแสงเหนือ ที่เปลี่ยนจากขับรถรอบเกาะไอซ์แลนด์มาเป็นทริปนั่งเรือริมฝั่งนอร์เวย์ ส่วนบ้านเราก็มีสถานที่เด่นๆ ไม่น้อยหน้า ‘สมุย’ กำลังจะฮอตกว่าที่เคย เพราะซีรีส์ดังเรื่อง The White Lotus Season 3 ออกฉายแล้ว 

 

ก่อนกดจองตั๋วเครื่องบินเพื่อเริ่มการเดินทางครั้งใหม่ เราอยากให้คุณแวะดูลิสต์นี้ว่ามีจุดหมายปลายทางไหนน่าไปบ้าง เผื่อจะได้ไม่พลาดอีเวนต์ใหญ่หรือเหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นในปี 2025

 

 

Bergen, Norway

 

ปีที่แล้วใครพลาดแสงเหนือ ปีนี้คุณยังมีโอกาสให้แก้ตัว เพราะยังอยู่ในช่วงเวลาที่แสงเหนือเจอง่ายและเข้มข้นที่สุดในรอบหลายปี ผลพวงจากปรากฏการณ์ ‘Solar Maximum’ วนกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งทุก 11 ปี ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ และเห็นแสงเหนือแจ่มชัดกว่าปีไหนๆ ทว่าปีนี้จุดหมายปลายทางที่เราแนะนำไม่ใช่ไอซ์แลนด์แต่เป็นนอร์เวย์ ประเทศเมืองสวยในแถบสแกนดิเนเวียที่เต็มไปด้วยพื้นที่ธรรมชาติ 

 

What to do: อันที่จริงนอร์เวย์ขึ้นชื่อเรื่องการดูแสงเหนืออยู่แล้ว แต่ไหนๆ จะไปทั้งทีต้องพิเศษกว่าใครเพื่อน เราแนะนำให้ซื้อทัวร์ของ ‘Hurtigruten’ ซึ่งเป็นทัวร์เรือเก่าแก่ของนอร์เวย์ ในเส้นทาง ‘Bergen-Kirkenes-Bergen’ ล่องเรือดูแสงเหนือไปเรื่อยตามชายฝั่งของนอร์เวย์ พร้อมนักดาราศาสตร์ เป็นเวลา 12 วันเต็ม รวมทั้งสิ้น 34 พอร์ต เป็นการดูแสงเหนือกลางทะเลที่ไม่มีสิ่งใดรบกวน ไม่ว่าจะเป็นสภาวะแสงจากเมืองหรือมลภาวะทางอากาศ แถมยังมีผู้บรรยายให้ความรู้อีก นอกจากนี้ทางทัวร์ยังการันตีด้วยว่า ถ้าไปด้วยกันแล้วไม่เจอแสงเหนือ ยอมให้คุณฟรีอีกทัวร์เพื่อมาแก้ตัวไปเลย! ใครที่อยากได้ประสบการณ์ดูแสงเหนือที่ไม่เหมือนใคร แนะนำ!

 

 

Osaka, Japan 

 

คนไทยไปญี่ปุ่นบ่อยมาก และโอซาก้าก็เป็นเดสติเนชันที่เราคุ้นเคย โอซาก้าเปรียบได้ดั่งเมืองหลวงของภูมิภาคคันไซ อยู่ห่างจากโตเกียวเพียง 3 ชั่วโมงด้วยรถไฟหัวกระสุน และยังสามารถเดินทางไปเที่ยวเมืองใกล้เคียงได้ง่าย เช่น เกียวโต นารา โกเบ ฯลฯ ในปีนี้ไม่เพียงแต่อาหารจานอร่อยและแหล่งท่องเที่ยวที่รอคอยนักเดินทางไปเยือน แต่โอซาก้ากำลังมีงานใหญ่ ‘Expo 2025’ จะจัดขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายนถึงตุลาคม ณ สถานที่ต่างๆ ทั่วเมือง งานนี้ผู้จัดงานคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานมากกว่า 28 ล้านคน โดยหวังชมนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น AI แท็กซี่บินได้ หุ่นยนต์ ฯลฯ

 

What to do: มาโอซาก้าแน่นอนว่าต้องกิน! ช่วงเวลาที่เดินเล่นยังย่านโดทงโบริ คุณสามารถหาของกินอร่อยได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นทาโกะยากิ, ราเมนน้ำใสสไตล์จีน, โอโคโนมิยากิ หรือของทองยอดนิยมอย่างคุชิคัตสึ นอกจากนี้อย่าลืมแวะไปเดินเล่นที่ ‘teamLab Botanical Garden’ ที่เนรมิตสวนสวยอย่าง Nagai Botanical Garden ให้กลายเป็นที่จัดแสดงศิลปะยามค่ำคืน สวยงามมาก  

 

 

Sumba, Indonesia

 

นักเดินทางหลายคนบินไปบาหลีเพื่อหลบหนีความวุ่นวายหวังพักกายใจ ณ Wellness Retreat สักแห่ง แต่เชื่อเราเถอะว่าบาหลียังไม่ใช่ที่สุด ถ้าคุณยังรู้สึกว่าบาหลีนั้นวุ่นวายไป และจิตวิญญาณแห่งความสงบค่อยๆ เลือนหาย เราแนะนำให้คุณปักหมุดไปยัง Sumba เกาะทางทิศตะวันออกของอินโดนีเซีย ซึ่งอยู่ห่างจากบาหลีเพียง 50 นาทีโดยเครื่องบิน แต่ให้ความรู้สึกแตกต่างราวอยู่กับอยู่คนละโลก ธรรมชาติที่นี่ยังคงสมบูรณ์ ปราศจากฝูงชน ม้าป่ายังคงเดินเตร็ดเตร่ให้เห็น ฝูงควายมีมากกว่ารถยนต์ ภูมิประเทศที่มีทั้งสระน้ำธรรมชาติ หาดทรายที่มีแต่ต้นมะพร้าว และเนินแห้งแล้งราวกับทุ่งหญ้าสะวันนาในแอฟริกา

 

What to do: เตรียมอุปกรณ์ดำน้ำและเซิร์ฟบอร์ดให้พร้อมและลากกระเป๋ามาเช็กอินที่ ‘NIHI Sumba’ รีสอร์ตสวยใกล้กับอุทยานแห่งชาติโคโมโด ที่ให้ความสำคัญกับธรรมชาติ และเชื่อว่าความสมบูรณ์ของร่างกายที่แท้จริงมาจากการเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับพลังธรรมชาติ การันตีคุณภาพด้วยอันดับ 10 โรงแรมดีที่สุดในโลกจากเวที World’s 50 Best Hotels นอกจากกิจกรรมเอาต์ดอร์อย่างการเล่นเซิร์ฟ ดำน้ำ หรือการเดินป่า ที่นี่ยังมีโปรแกรมดูแลสุขภาพแบบองค์รวมภายใต้ชื่อ ‘Wild Wellness’ ที่มีไฮไลต์เด่นเป็นกิจกรรมบำบัดพร้อมม้า ธรรมชาติ และการสานสัมพันธ์กับผู้คนท้องถิ่น

 

จุดหมายปลายทางน่าเที่ยว 2025

 

Chiayi, Taiwan

 

นี่อาจถึงเวลาที่คุณจะหวนคืนสู่ไต้หวันอีกครั้ง เพราะทางรถไฟสายประวัติศาสตร์ Alishan Forest Railway ที่พานักเดินทางขึ้นรถไฟจากสถานที่ Chiayi สู่อุทยานแห่งชาติอาลีซานกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง หลังจากปิดให้บริการนานถึง 15 ปีเต็ม เนื่องจากพายุพัดจนเส้นทางได้รับความเสียหาย อุทยานแห่งอาลีซานถือเป็นหนึ่งในอุทยานที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมมากในไต้หวัน ที่นี่มีสายพันธุ์สนโบราณหายาก 3 ใน 5 สายพันธุ์ และยังเป็นสถานที่ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นจุดดูพระอาทิตย์สวยที่สุดในไต้หวันด้วย

 

What to do: แน่นอนว่าทริปนี้ต้องไม่พลาดนั่งรถไฟสายประวัติศาสตร์ Alishan Forest Railway ที่กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง รถไฟโบราณพาคุณเข้าอุโมงค์ป่าสน ลัดเลาะไปตามเขา ผ่านเขตป่าถึง 4 รูปแบบ ก่อนไปจบยังสถานีอาลีซาน รถไฟสายนี้เปิดให้จองล่วงหน้าแค่ 14 วันเท่านั้น นอกจากอุทยานแห่งชาติอาลีซาน เมือง Chiayi ยังมีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านฮิโนกิ, พิพิธภัณฑ์กระเบื้องเก่าไต้หวัน, วัดเฉิงหวง ฯลฯ

 

 

Priorat, Spain

 

ช่วงหลังสเปนได้รับความนิยมในหมู่นักเดินทางไทยมาก และเมืองที่เราอยากแนะนำในคราวนี้คือ Priorat ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของบาร์เซโลนา ภูมิภาคนี้กำลังได้รับความสนใจจากผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์และนักดื่มไวน์ เนื่องจากสภาพดิน ฟ้า อากาศ รวมถึงกรรมวิธีดั้งเดิม ทำให้ไวน์จากเมืองนี้มีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ และที่สำคัญยังไม่ค่อยรู้จัก และมีแนวโน้มกลายเป็นสวรรค์ของนักดื่มไวน์ในภายภาคหน้า คนรักไวน์สายลึกจึงหมายตาไวเนอรีหลายแห่งใน Priorat และอยากมาปักหมุดสักครั้งก่อนผู้คนจะเริ่มหลั่งไหลเข้ามา

 

What to do: มาที่นี่ย่อมต้องปักหมุดยังไวเนอรีดังประจำถิ่น เช่น Perinet และ Clos de l’Obac โรงกลั่นไวน์แดงมีชื่อระดับโลก ขณะที่ Clos Mogador และ Cellers de Scala Dei ก็ได้นำแนวทางการผลิตไวน์แบบยั่งยืนมาใช้ เลือกไวเนอรีที่ชอบแล้วลองวางแผนฮอปปิ้งไร่และเทสต์ไวน์ได้ตลอดวัน เห็นเป็นภูมิภาคเล็กขนาดนี้ แต่ที่นี่ก็มีร้านอาหารระดับดาวมิชลินให้ลิ้มลองอย่าง Brots และ Quatre Molins และยังมีโรงแรมหรูท่ามกลางไร่องุ่น Gran Hotel Mas d’en Bruno และ Terra Dominicata – Hotel & Winery ไว้ให้บริการ บอกเลยว่าแค่บรรยากาศและวิวก็ปังมาก

 

จุดหมายปลายทางน่าเที่ยว 2025

 

 

Greenland

 

กรีนแลนด์มีภูเขาน้ำแข็งขนาดยักษ์ ทุ่งทุนดราที่ทอดยาวหลายไมล์ และแสงเหนืออันตระการตา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีเสน่ห์ไม่แพ้ไอซ์แลนด์ เพียงแต่จะมีสักกี่คนที่ได้มาสัมผัสความมหัศจรรย์นี้ และส่วนใหญ่ล้วนเดินทางโดยเรือสำราญและจอดเทียบท่าเพียงไม่กี่ชั่วโมง ในปี 2025 การเดินทางมากรีนแลนด์จะง่ายขึ้น หลัง Nuuk เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดในกรีนแลนด์ ประกาศเปิดสนามบินนานาชาติแห่งแรก โดยให้บริการเที่ยวบินจากโคเปนเฮเกนสัปดาห์ละ 5 เที่ยว คาดว่าจะมีสนามบินเพิ่มอีก 2 แห่งภายในปี 2026 ซึ่งทำให้การเที่ยวกรีนแลนด์ง่ายขึ้นและสะดวกขึ้น

 

What to do: เดินเล่นถ่ายรูปบ้านน่ารักๆ ในเขตเมืองหลวง แวะทักทายเหล่าวาฬ แมวน้ำ และหมีขาว ผ่านการล่องเรือชมฟยอร์ดน้ำแข็งและธารน้ำแข็ง ต่อด้วยการนั่ง Dogsled หรือสุนัขลากเลื่อนที่พาคุณชมภูมิประเทศอันขาวโพลนในอีกมุมมอง ส่วนสายไฮกิ้งห้ามพลาดกับเส้นทางเทรลที่เมือง Ilulissat ที่ได้ชื่อว่าเป็น The World Heritage Trail ด้วย

 

 

Penang, Malaysia 

 

ปีนังถือเป็นจุดหมายปลายทางแรกๆ ของนักท่องเที่ยวไทยทุกยุคทุกสมัย เพราะสถานที่ท่องเที่ยวสวย ไปมาง่าย ราคาถูก จะนั่งรถตู้ก็ได้ รถไฟก็ดี ยิ่งกดตั๋วเครื่องบินยามโปรโมชันยิ่งถูกไปใหญ่ ตั้งแต่หลังการแพร่ระบาดใหญ่ เราเชื่อว่าหลายคนยังไม่ได้แวะไปเช็กอินปีนังอีกครั้ง นี่อาจถึงเวลาอันดีที่คุณจะแวะไปอัปเดตเมืองอีกสักรอบ หลังจากที่ปีที่แล้วการรถไฟแห่งประเทศไทยลงนามร่วมมือกับการรถไฟมาเลเซียเตรียมนำรถไฟสาย ‘กรุงเทพอภิวัฒน์-ปาดังเบซาร์-บัตเตอร์เวิร์ธ’ กลับมาอีกครั้ง ซึ่งนั่นหมายความว่า เราสามารถนั่งรถไฟชิลๆ รวดเดียวจนถึงเมืองบัตเตอร์เวิร์ธ โดยไม่จำเป็นต้องแวะซื้อตั๋วเปลี่ยนขบวนให้มากความ 

 

What to do: George Town เป็นเมืองหลวงของรัฐปีนังที่เต็มไปด้วยอาคารสวยๆ สไตล์ชิโน-โปรตุกีสทั่วทั้งเมือง ตามตรอกซอกซอยแทรกด้วยภาพกราฟฟิตี้สวยๆ ให้เห็นเต็มไปหมด หยิบแผนที่ที่เขียนว่า ‘Street Art’ จากนั้นก็หาจักรยานปั่นหรือเดินตามล่าถ่ายภาพกราฟฟิตี้กันเลย ระหว่างทางอย่าลืมแวะ Pinang Peranakan Mansion อดีตแมนชันหลังโตของกะปิตันจุงเก็งกวี่ หัวหน้าชุมชนจีนและเศรษฐีใหญ่ประจำเมือง ซึ่งถูกแปรเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเรื่องราวชาวเปอรานากันด้วย

 

 

Rome, Italy

 

ปี 2025 เป็นปีแห่งการเฉลิมฉลอง Jubilee ของนครรัฐวาติกัน และสมเด็จพระสันตะปาปาจะทรงเปิดประตูศักดิ์สิทธิ์ 5 แห่งที่โบสถ์ต่างๆ รวมถึงมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความรอดพ้นสำหรับชาวคาทอลิก นอกจากกิจกรรมทางศาสนาแล้ว ปีนี้เป็นปีที่โครงสร้างพื้นฐานในโรมหลายโครงการกำลังจะเสร็จสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการบูรณะน้ำพุทั้ง 3 แห่งใน Piazza Navona, การปรับปรุงพื้นที่สีเขียวรอบนครรัฐวาติกัน และ Mausoleum of Hadrian หรือที่รู้จักกันในชื่อ Castel Sant’Angelo หรือแม้แต่รถไฟใต้ดินสถานีประวัติศาสตร์อย่าง Porta Metronia และ Fori Imperiali-Colosseo ที่ทำหน้าที่เป็นพิพิธภัณฑ์โบราณคดีไปในตัว นักท่องเที่ยวสามารถชมโบราณสถานผ่านผนังกระจกในขณะที่รอรถไฟ ปีนี้จึงไม่ได้เป็นปีทองของนักแสวงบุญเท่านั้น แต่ยังเป็นปีที่โรมเฉิดฉายทั้งด้านศาสนา วัฒนธรรม และเทคโนโลยี

 

What to do: นอกจากมีฐานะเป็นเมืองหลวงของอิตาลีและมีขนาดใหญ่ที่สุดแล้ว เมืองนี้ยังเป็นศูนย์รวมของศิลปะและสถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่กว่า 2,700 ปี มาที่นี่ต้องไม่พลาดกับ ‘โคลอสเซียม’ สนามกีฬาการต่อสู้กลางแจ้งของเหล่ากลาดิเอเตอร์ที่ต่อสู้เพื่อแลกอิสรภาพและเกียรติยศ, เดินเล่นดูร่องรอยความเจริญรุ่งเรืองของกรุงโรม ณ จัตุรัสโรมัน ศูนย์รวมความรุ่งเรืองทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การเมือง และศาสนา และถ้าคุณมาในช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง การเยี่ยมชม ‘มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์’ แห่งนครรัฐวาติกัน เป็นสิ่งที่ควรค่าอย่างยิ่ง เพราะจะมีอีเวนต์พิเศษให้นักท่องเที่ยวเข้าร่วมด้วย

 

จุดหมายปลายทางน่าเที่ยว 2025

 

Samui, Thailand

 

The White Lotus ซีรีส์เรื่องดังจาก HBO มาปักหมุดถ่ายทำซีซัน 3 ในประเทศไทย และหลายฉากก็ใช้โลเคชันบนเกาะสมุย ไม่ว่าจะเป็นที่ Four Seasons Resort Koh Samui, Anantara Bophut Koh Samui Resort หรือแม้แต่บีชบาร์ไวบ์ดีอย่าง CoCo Tam’s ส่งให้ปีนี้ไปจนถึงปีหน้า สมุยจะเนื้อหอมมากในหมู่นักท่องเที่ยว สมุยเป็นเกาะใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย ตั้งอยู่ในอ่าวไทยตอนกลางในขอบเขตการดูแลของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องหาดทรายสวย น้ำทะเลใส และเงียบสงบ แม้ปัจจุบันจะมีแหล่งบันเทิงเปิดให้บริการมากขึ้น แต่สมุยก็ยังเป็นแหล่งพักกายพักใจ และมี Wellness Sanctuary เปิดให้บริการมากเป็นอันดับต้นๆ ของไทย

 

What to do: เช็กอินสองโรงแรมดังตามรอยซีรีส์ The White Lotus Season 3 ณ Anantara Bophut Koh Samui Resort และ Four Seasons Resort Koh Samui ก่อนออกไปนั่งชิลยัง CoCo Tam’s สถานที่แฮงเอาต์ยอดนิยมของเหล่านักแสดงระหว่างการถ่ายทำ วันว่างที่ฟ้าใสอากาศดีก็กระโดดขึ้นเรือไปเที่ยวเกาะเล็กใกล้สมุย ทั้งเกาะพะงัน เกาะนางยวน หรือเกาะอื่นๆ ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง

 

 

La Dolce Vita Orient Express

 

ผู้ที่ชื่นชอบรถไฟต่างรอคอยการเปิดตัวของ ‘La Dolce Vita Orient Express’ รถไฟหรูขบวนล่าสุดจากบ้าน Accor ที่กำลังเปิดตัวภายในปีนี้ เก๋ทั้งงานดีไซน์และจุดหมายปลายทางที่มีให้เลือกมากถึง 8 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางยอดนิยมอย่างเวนิสและทัสคานี ไปจนถึงพื้นที่ทางใต้ของอิตาลีที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก เช่น อับรุซโซและบาซิลิกาตา (เส้นทาง Eternal Stones of Matera) รวมถึงเส้นทางจากซิซิลีไปโรมและกลับ 

 

What to do: แนะนำให้เลือกเส้นทางใหม่ สำรวจเมืองถ้ำโบราณของ Matera พร้อมกับจัดมื้ออาหารกลางวันในถ้ำ หรือพาสำรวจเห็ดทรัฟเฟิลใน Monferrato พร้อมชิมไวน์ที่ไร่องุ่นที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO

 

 

Black Sea Coast, Turkey

 

หากคุณคิดถึงเสน่ห์ของอิสตันบูล คิดถึงบรรยากาศชิลๆ ของท้องน้ำในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แต่ไม่อยากเบียดเสียดผู้คนมหาศาล ลองปักหมุดยังแถบคาราเดนิซ หรือ Black Sea Coast แนวชายฝั่งทะเลดำ ซึ่งอยู่ทางเหนือของตุรกี ที่มอบความงามของธรรมชาติและประวัติศาสตร์ไม่แพ้อิสตันบูล แต่สภาพอากาศเย็นกว่า สบายกว่าในฤดูร้อน ไม่หนาวจัดในฤดูหนาว แถมยังมีกิจกรรมทางน้ำเจ๋งๆ ชวนอะดรีนาลีนหลั่ง และนักท่องเที่ยวน้อยกว่าอิสตันบูลมาก

 

What to do: แปลงร่างเป็นนักประวัติศาสตร์สำรวจถนนโบราณในซาฟรานโบลู เมืองเก่าแก่สำคัญทางการค้าระหว่างตะวันออกและตะวันตก ทั้งยังมีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ของชุมชนเมืองทั่วจักรวรรดิออตโตมัน ส่วนใครที่ชอบชายหาดมุ่งไปที่อะมาสรา เมืองท่าติดทะเลดำที่มีกลิ่นอายของยุคโรมันปนความโรแมนติกแบบอิตาลี 

 

นอกจากนี้ห้ามพลาดกับ Sumela Monastery อารามเก่าแก่ที่สุดในโลกที่เพิ่งเปิดให้บุคคลภายนอกเข้าชมไม่นาน ตั้งอยู่บนผาสูง ด้านในมีภาพเฟรสโก มรดกตกทอดจากชาวกรีกในศตวรรษที่ 4

 

ภาพ: Getty Image, Shutterstock, Courtesy of Brands

The post Where to go in 2025 รวมจุดหมายปลายทางน่าไป ปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
อินโดฯ เมิน Apple ลงทุน 3.5 หมื่นล้านบาทตั้งโรงงาน ชี้ยังไม่เพียงพอ เดินหน้าแบน iPhone 16 ไม่ยอมอ่อนข้อ https://thestandard.co/indonesia-apple-investment-iphone/ Fri, 10 Jan 2025 02:49:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1028767

อินโดนีเซียยืนกรานที่จะแบนการขาย iPhone 16 ของ Apple ต่ […]

The post อินโดฯ เมิน Apple ลงทุน 3.5 หมื่นล้านบาทตั้งโรงงาน ชี้ยังไม่เพียงพอ เดินหน้าแบน iPhone 16 ไม่ยอมอ่อนข้อ appeared first on THE STANDARD.

]]>

อินโดนีเซียยืนกรานที่จะแบนการขาย iPhone 16 ของ Apple ต่อไป แม้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ จะเสนอลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท) ในการผลิตภายในประเทศ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนด

 

รัฐบาลของประธานาธิบดี Prabowo Subianto สั่งห้ามการขาย iPhone รุ่นล่าสุดในเดือนตุลาคม เนื่องจาก Apple ไม่สามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กำหนดให้ 40% ของชิ้นส่วนในโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตต้องผลิตในประเทศ และจากกฎระเบียบดังกล่าว โทรศัพท์ Pixel ของ Google ก็ถูกแบนด้วยเช่นกัน 

 

Apple เสนอจัดตั้งโรงงานมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์เพื่อผลิต AirTag อุปกรณ์ติดตาม ด้วยความช่วยเหลือของพันธมิตรในประเทศ แต่เจ้าหน้าที่รัฐบาลระบุว่าโรงงานแห่งนี้จะไม่ช่วยให้ iPhone เป็นไปตามข้อกำหนด โดยก่อนหน้านี้ Apple เคยเสนอลงทุนเพียง 10 ล้านดอลลาร์และ 100 ล้านดอลลาร์ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมเห็นว่าไม่เพียงพอ

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

“จนถึงตอนนี้กระทรวงอุตสาหกรรมยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะออกใบรับรองสัดส่วนการผลิตในประเทศให้กับผลิตภัณฑ์ของ Apple โดยเฉพาะอย่างยิ่ง iPhone 16” Agus Gumiwang Kartasasmita รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย กล่าวเมื่อวันพุธ (8 มกราคม) ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น พร้อมเสริมว่าข้อเสนอการลงทุนของ Apple นั้นยังไม่เพียงพอ

 

อินโดนีเซียเรียกร้องให้ Apple ลงทุนเพิ่มขึ้น แม้ปัจจุบัน Apple มีสถาบันพัฒนา 4 แห่งในประเทศเพื่อฝึกอบรมนักเรียนและวิศวกรพัฒนาแอป แต่ยังไม่มีโรงงานผลิต ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าอินโดนีเซียกำลังใช้ประโยชน์จากตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ

 

อย่างไรก็ตาม หอการค้าอเมริกันในอินโดนีเซียระบุว่า เป็นเรื่องที่ท้าทายมากสำหรับบริษัทต่างชาติที่จะปฏิบัติตามเกณฑ์ เนื่องจากไม่มีผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศสำหรับบางภาคส่วน เช่น อิเล็กทรอนิกส์ 

 

ขณะที่นักธุรกิจและนักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า การแบนผลิตภัณฑ์ Apple และ Google อาจกระทบต่อความน่าดึงดูดของอินโดนีเซีย โดยประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามหรือมาเลเซียมีนโยบายที่เป็นมิตรกับการลงทุนมากกว่า

 

ล่าสุดผู้บริหารของ Apple อยู่ที่จาการ์ตาในสัปดาห์นี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับข้อเสนอการลงทุนกับรัฐบาล

 

อ้างอิง:

The post อินโดฯ เมิน Apple ลงทุน 3.5 หมื่นล้านบาทตั้งโรงงาน ชี้ยังไม่เพียงพอ เดินหน้าแบน iPhone 16 ไม่ยอมอ่อนข้อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สงครามยังไม่จบ! KFC-Starbucks ในอินโดนีเซียและมาเลเซียขาดทุนหนัก หลังถูกแบนสินค้ามากว่า 1 ปีเต็ม https://thestandard.co/kfc-starbucks-losses-indonesia-malaysia-ban/ Thu, 02 Jan 2025 07:12:45 +0000 https://thestandard.co/?p=1026482 kfc-starbucks-losses-indonesia-malaysia-ban

สงครามยังไม่จบ จะไปต่อหรือพอแค่นี้! KFC และ Starbucks ใ […]

The post สงครามยังไม่จบ! KFC-Starbucks ในอินโดนีเซียและมาเลเซียขาดทุนหนัก หลังถูกแบนสินค้ามากว่า 1 ปีเต็ม appeared first on THE STANDARD.

]]>
kfc-starbucks-losses-indonesia-malaysia-ban

สงครามยังไม่จบ จะไปต่อหรือพอแค่นี้! KFC และ Starbucks ในอินโดนีเซีย-มาเลเซียขาดทุนหนัก หลังนักเคลื่อนไหวแบนสินค้ามากว่า 1 ปีเต็ม จนต้องทยอยปิดสาขา หนุนแบรนด์ร้านอาหารท้องถิ่นโตกระฉูด

 

Nikkei Asia รายงานว่า หลังจากกลุ่มนักเคลื่อนไหวในประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซียรณรงค์ให้เลิกบริโภคสินค้าจาก Starbucks และ KFC เพื่อประท้วงที่สองบริษัทออกตัวสนับสนุนกองทัพอิสราเอล จนทำให้แบรนด์ร้านอาหารท้องถิ่นในอินโดนีเซียและมาเลเซียสร้างรายได้เติบโตขึ้นต่อเนื่อง

 

โดยแบรนด์ KFC และ Starbucks สูญเสียลูกค้าให้กับแบรนด์ท้องถิ่นอย่าง Almaz Fried Chicken ซึ่งเป็นร้านไก่ทอด มีความคล้ายกันกับ KFC และ ZUS Coffee ก็เป็นแบรนด์ร้านกาแฟคู่แข่งกับ Starbucks ซึ่งปัจจุบันทั้ง 2 แบรนด์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ออกตา วิราวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร้าน Almaz Fried Chicken กล่าวว่า จากโอกาสการเติบโตดังกล่าว บริษัทจึงเร่งขยายเครือร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดไปกว่า 37 แห่งในอินโดนีเซีย และคาดว่าจะสามารถทำกำไรได้ในช่วง 7 เดือนหลังจากเปิดให้บริการ และเราเตรียมจะบริจาค 5% ของกำไรให้กับการกุศล รวมถึงการช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์ด้วย

 

ด้าน วิโก โลมาร์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Fore Coffee กล่าวว่า บางครั้งการบอยคอตอาจช่วยให้คนท้องถิ่นหันมารักสินค้าในประเทศมากขึ้น โดยตั้งแต่เกิดความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและฮามาส Fore Coffee ก็ได้รับใบรับรองฮาลาลเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจ เพื่อรองรับลูกค้าในอินโดนีเซีย ซึ่งถือเป็นประเทศมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในโลก

 

เช่นกันกับมาเลเซีย ผู้บริโภคหันมาใช้บริการร้านกาแฟท้องถิ่น เช่น ZUS Coffee, Gigi Coffee แทนการเข้าร้าน Starbucks สอดรับกับพนักงานบาริสต้าประจำร้าน Artisan Roast Coffee ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย กล่าวว่า ตั้งแต่เริ่มมีการบอยคอตมากว่า 1 ปี ทำให้ร้านกาแฟของเรามีลูกค้าเพิ่มขึ้น และมียอดขายเพิ่มขึ้น 10-22% ท่ามกลางกระแสคนรุ่นใหม่เริ่มหันมาดื่มกาแฟมากขึ้น

 

เมื่อมาดูผลสำรวจผู้บริโภคที่เผยแพร่โดย GlobalData พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามเกือบครึ่งหนึ่งทั่วโลกมีส่วนร่วมในการบอยคอตสินค้าบางแบรนด์อยู่ประมาณ 70% หนึ่งในนั้นคือ เรณี เลสตารี พนักงานบริษัทเอกชนในอินโดนีเซีย ที่เคยใช้สินค้าจากแบรนด์ Unilever ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปซื้อสินค้าของบริษัทท้องถิ่น เช่น Wings Group

 

“แม้ความพยายามของเราอาจไม่ได้ช่วยเหลือผู้คนในฉนวนกาซาโดยตรง แต่ในฐานะที่เป็นมุสลิม เรารู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง และการบอยคอตระยะยาวหวังว่าจะสามารถกดดันสภาพเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยตรง” เรณีย้ำ

 

ด้าน โมฮัมหมัด ฮิดายาตุรเราะห์มาน อาจารย์จากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยวีราราชา ประเทศอินโดนีเซีย แสดงความเห็นว่า จากนี้การบอยคอตสินค้าแบรนด์ข้ามชาติจะยังดำเนินต่อไป เนื่องจากปัจจุบันอิสราเอลยังคงโจมตีปาเลสไตน์ ซึ่งจะเป็นโอกาสให้แบรนด์ใหม่ๆโดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคที่จะเข้ามาเจาะตลาดในประเทศมุสลิม

 

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของแนวคิดทางสังคมและการเมืองที่มีต่อพฤติกรรมการบริโภค มีส่วนทำให้ผู้บริโภคมองว่าการเลือกซื้อสินค้าจากแบรนด์ท้องถิ่นเป็นวิธีหนึ่งในการสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ และหลีกเลี่ยงการสนับสนุนบริษัทที่อาจเกี่ยวข้องกับบางประเทศที่มีนโยบายต่างกัน

 

แน่นอนว่าหลังจากนี้แบรนด์ต่างชาติ ทั้ง KFC, McDonald’s, Pizza Hut, Starbucks และ Unilever ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อกลับมาสร้างการเติบโตให้ได้ เพราะหลังจากถูกผู้บริโภคในอินโดนีเซียและมาเลเซียแบนสินค้านั้นยอดขายของหลายๆ แบรนด์ก็เริ่มลดลง

 

เห็นได้จาก Fast Food Indonesia ผู้ดำเนินการร้านอาหาร KFC ในอินโดนีเซีย รายงานผลประกอบการขาดทุนเพิ่มขึ้น 4 เท่า จนส่งผลให้บริษัทต้องปิดร้าน 50 สาขา และเลิกจ้างพนักงานประมาณ 2,000 คน รวมถึง MAP Boga Adiperkasa ผู้ดำเนินการร้าน Starbucks รายงานว่าบริษัทขาดทุน 7.9 หมื่นล้านรูเปียห์ ในขณะที่ Unilever Indonesia กำไรลดลงถึง 28% เหลือเพียง 3 ล้านล้านรูเปียห์

 

ไม่เว้นแม้แต่ QSR Brands ผู้ดำเนินการร้าน KFC และ Pizza Hut ในมาเลเซีย ได้ยกเลิกแผนการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก (IPO) เนื่องจากธุรกิจได้รับผลกระทบอย่างหนัก

 

ทั้งนี้ การขาดทุนของบริษัทต่างๆ เกิดจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด ยกตัวอย่าง McDonald’s ที่แจกเบอร์เกอร์ฟรีให้กับทหารอิสราเอล ทำให้ผู้บริโภคไม่พอใจ จนทำให้หลายแบรนด์ต้องเผชิญความยากลำบากและอยู่ระหว่างหาวิธีปรับตัวรับมือกับสถานการณ์เพื่อให้กลับมาฟื้นตัวให้เร็วที่สุด

 

ภาพ: Dr.David Sing / Shutterstock, Nedikusnedi / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post สงครามยังไม่จบ! KFC-Starbucks ในอินโดนีเซียและมาเลเซียขาดทุนหนัก หลังถูกแบนสินค้ามากว่า 1 ปีเต็ม appeared first on THE STANDARD.

]]>
สื่อมาเลเซียเผย อันวาร์เตรียมพบทักษิณกับปราโบโวที่ลังกาวี สัปดาห์หน้า หารือพัฒนาอาเซียน https://thestandard.co/anwar-to-meet-thaksin-prabowo-langkawi/ Sun, 22 Dec 2024 04:31:16 +0000 https://thestandard.co/?p=1022224 anwar-to-meet-thaksin-prabowo-langkawi

หลายสำนักข่าวท้องถิ่นของมาเลเซีย รายงานว่านายกรัฐมนตรี […]

The post สื่อมาเลเซียเผย อันวาร์เตรียมพบทักษิณกับปราโบโวที่ลังกาวี สัปดาห์หน้า หารือพัฒนาอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>
anwar-to-meet-thaksin-prabowo-langkawi

หลายสำนักข่าวท้องถิ่นของมาเลเซีย รายงานว่านายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย มีกำหนดพบปะหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดี ปราโบโว ซูเบียนโต ของอินโดนีเซีย และ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ที่ลังกาวีในช่วงสัปดาห์หน้า เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นยุทธศาสตร์ในภูมิภาคและการพัฒนาอาเซียน

 

อันวาร์กล่าวในการแถลงข่าววานนี้ (21 ธันวาคม) ว่าการหารือทวิภาคีกับปราโบโวมีกำหนดจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ (23 ธันวาคม) ส่วนการหารือกับทักษิณมีกำหนดจัดขึ้นในวันพฤหัสบดี (26 ธันวาคม) 

 

“ประธานาธิบดีปราโบโวเลือกที่จะจัดการประชุมทวิภาคีครั้งนี้เพื่อหารือเกี่ยวกับมุมมองของเราเกี่ยวกับอาเซียนและการพัฒนาอาเซียน” อันวาร์กล่าว 

 

ส่วนการพบปะกับทักษิณ อันวาร์กล่าวว่าอาจหารือในประเด็นการพัฒนาภูมิภาคต่างๆ และสำรวจแนวทางการทูตเพื่อรับมือกับความท้าทายร่วมกัน

 

โดยเขายังเน้นย้ำว่า การพบปะกับปราโบโวและทักษิณสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของมาเลเซียที่จะดำเนินบทบาทสำคัญต่อไป เพื่อให้แน่ใจว่าอาเซียนยังคงมีความเกี่ยวข้องและเป็นหนึ่งเดียวกันในการเผชิญกับความท้าทายระดับโลก

 

“คาดว่าการประชุมทวิภาคีจะส่งผลดีในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในภูมิภาค จึงมีส่วนสนับสนุนต่อเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองของอาเซียน” เขากล่าว

 

ก่อนหน้านี้อันวาร์เพิ่งประกาศแต่งตั้งทักษิณเป็นที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการสำหรับการเป็นประธานอาเซียนในปี 2025 โดยประกาศดังกล่าวมีขึ้นระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งเดินทางมาเยือนมาเลเซียเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 

 

ขณะที่มาเลเซียจะรับตำแหน่งประธานอาเซียนอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคมที่จะถึงนี้ โดยธีมการประชุมผู้นำอาเซียนของมาเลเซียในปี 2025 คือ ‘การมีส่วนร่วมและความยั่งยืน’

 

อ้างอิง:

 

The post สื่อมาเลเซียเผย อันวาร์เตรียมพบทักษิณกับปราโบโวที่ลังกาวี สัปดาห์หน้า หารือพัฒนาอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>
อินโดนีเซียไม่รอช้า! เร่งเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด 75% เล็งหาพื้นที่สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 2 แห่งใหม่ หลังหารือผู้นำรัสเซีย-สหรัฐฯ https://thestandard.co/indonesia-clean-energy-increase/ Wed, 04 Dec 2024 03:59:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1015827 อินโดนีเซีย พลังงานสะอาด

ในบรรดาเพื่อนบ้านอาเซียน เวียดนาม, ฟิลิปปินส์, เมียนมา, […]

The post อินโดนีเซียไม่รอช้า! เร่งเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด 75% เล็งหาพื้นที่สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 2 แห่งใหม่ หลังหารือผู้นำรัสเซีย-สหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อินโดนีเซีย พลังงานสะอาด

ในบรรดาเพื่อนบ้านอาเซียน เวียดนาม, ฟิลิปปินส์, เมียนมา, มาเลเซีย รวมถึงไทย ต่างมีแผนเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดโดยการมุ่งพัฒนา หนึ่งในแผนคือการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก ซึ่งตั้งเป้าว่าจะต้องแล้วเสร็จในทศวรรษหน้า หรือปี 2037 

 

เช่นเดียวกับอินโดนีเซียที่ล่าสุด South China Morning Post รายงานว่า รัฐบาลอินโดนีเซียกำลังวางแผนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 2 แห่งใหม่ คาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นหลังจากเมื่อเร็วๆ นี้ ปราโบโว ซูเบียนโต ได้หารือกับ วลาดิเมียร์ ปูติน และ โจ ไบเดน ท่ามกลางเสียงสะท้อนจากนักวิจารณ์บางฝ่ายที่ออกโรงเตือนเกี่ยวกับสารกัมมันตรังสีและต้นทุนที่สูง

 

ปราโบโว ซูเบียนโต ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ระบุว่า รัฐบาลวางแผนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใหม่ 2 แห่ง โดยเป็นหนึ่งในแผนการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด แม้ว่าผู้สนับสนุนจะผลักดันโครงการนี้ว่าเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน ซึ่งอินโดนีเซียมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ในทางกลับกันนักวิจารณ์บางกลุ่มก็มีข้อกังวลถึงสิ่งแวดล้อม สารกัมมันตรังสี และต้นทุนที่สูง

 

ฮาชิม โดโจฮาดิกูซาโม ที่ปรึกษาคนสนิทของซูเบียนโต เปิดเผยในการประชุม COP29 ที่บากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ว่า รัฐบาลมีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้ามากกว่า 100 กิกะวัตต์ในอีก 15 ปีข้างหน้า โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วน 75% จากพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด และจะมาจากพลังงานนิวเคลียร์เพิ่มอีก 5 กิกะวัตต์ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่จะปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2060

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ทั้งนี้ รายงานข่าวยังระบุอีกว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลมีแผนจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 2 แห่งที่มีกำลังการผลิตต่างกัน โดยจะก่อสร้างเครื่องปฏิกรณ์เพื่อการวิจัยโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องคำนึงถึงพื้นที่ที่ปลอดภัย ต้องทนต่อแผ่นดินไหว และไม่สร้างในบริเวณที่มีความเสี่ยงสูง

 

รวมไปถึงรัฐบาลกำลังศึกษาการพัฒนา ‘เครื่องปฏิกรณ์โมดูลาร์ลอยน้ำขนาดเล็ก’ สำหรับอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้มากถึง 300 เมกะวัตต์ 

 

ความคืบหน้าดังกล่าวเป็นผลมาจากการประชุมสุดยอด G20 ที่เมืองรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล เมื่อไม่นานนี้ ปราโบโว ซูเบียนโต เชิญชวนให้นักธุรกิจมาลงทุนในโครงการนิวเคลียร์อินโดนีเซีย

 

อีกทั้งหากย้อนกลับไปในช่วงเดือนสิงหาคมก็มีรายงานว่าเขาได้หารือถึงความร่วมมือกับ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซีย เกี่ยวกับการก่อสร้างเครื่องปฏิกรณ์โมดูลาร์ขนาดเล็กและเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์หลัก (Small Modular and Main Nuclear Reactors) ในอินโดนีเซียกับบริษัทนิวเคลียร์ของรัสเซีย 

 

พร้อมทั้งมองหาโอกาสเช่นเดียวกันนี้กับสหรัฐฯ ในการพัฒนาเครื่องปฏิกรณ์โมดูลาร์ขนาดเล็กหลังการประชุมกับ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เมื่อไม่นานมานี้

 

ปัจจุบันอินโดนีเซียมีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 3 เครื่องสำหรับการวิจัย รวมถึงเครื่องปฏิกรณ์ TRIGA ในบันดุง ซึ่งสร้างโดยสหรัฐฯ โดยเปิดตัวโดยประธานาธิบดีซูการ์โน ประธานาธิบดีคนแรก เมื่อปี 1965 

 

แม้ว่าเครื่องปฏิกรณ์ดังกล่าวจะไม่มีการใช้งานแล้ว แต่ยังมีเครื่องปฏิกรณ์อีก 2 เครื่องที่ยังสามารถเดินเครื่องได้ ได้แก่ เครื่องปฏิกรณ์ที่ผลิตในอินโดนีเซียในเมืองยอกยาการ์ตา ทางตอนกลางของจังหวัดชวา ซึ่งมีการใช้งานมาตั้งแต่ปี 1979 และเครื่องปฏิกรณ์ที่ผลิตจากประเทศเยอรมนีในเมืองเซอร์ปง ทางตะวันตกของกรุงจาการ์ตา ซึ่งใช้งานมาตั้งแต่ปี 1987

 

ทั้งนี้ อีกหนึ่งปัจจัยที่อินโดนีเซียต้องการเพิ่มโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็คือ ความพร้อมด้านบุคลากรที่มีความสามารถเพียงพอในการดำเนินการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เนื่องจากมีมหาวิทยาลัยหลายแห่งที่เปิดสอนหลักสูตรวิศวกรรมนิวเคลียร์ 

 

ไทยและเพื่อนบ้านเล็งหาทำเลสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก

 

สำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์โมดูลาร์ขนาดเล็ก หรือ Small Modular Reactor (SMR) นั้นสามารถผลิตไฟฟ้าคาร์บอนต่ำได้ด้วยกำลังผลิต 300 เมกะวัตต์ต่อหน่วย หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของการผลิตของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบดั้งเดิม กำลังเป็นหนึ่งในโซลูชันใหม่ที่หลายๆ ประเทศกำลังผลักดัน โดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียนที่โดดเด่นและมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง ไม่ว่าจะเป็นฟิลิปปินส์ เวียดนาม รวมไปถึงเมียนมา ซึ่งได้นำแผนในอดีตกลับมาปัดฝุ่น

 

รวมถึงไทยล่าสุดที่ THE STANDARD WEALTH ได้รับข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ว่า จะเร่งผลักดันร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ภายใต้แผนพลังงานแห่งชาติ เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเร็วๆ นี้ให้ทันปี 2024 โดยจะมีการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น 51% 

 

โดยเบื้องต้นสัดส่วนหลักจะมาจากโซลาร์, ก๊าซธรรมชาติ 40% และไฮโดรเจน 5% ส่วนการซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านจะรวมอยู่ในสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน และปลายแผนฯ จะมีพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) 600 เมกะวัตต์เข้ามาเป็นทางเลือกอีกด้วย

 

ภาพ: Sylvain Sonnet / Getty Images 

อ้างอิง: 

The post อินโดนีเซียไม่รอช้า! เร่งเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด 75% เล็งหาพื้นที่สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 2 แห่งใหม่ หลังหารือผู้นำรัสเซีย-สหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Link Station Group เข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ Zipevent เดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมเทค อีเวนต์ พร้อมบุกเวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย https://thestandard.co/link-station-zipevent-tech-event-expansion/ Tue, 03 Dec 2024 06:52:58 +0000 https://thestandard.co/?p=1015445 Link Station Group Zipevent

Zipevent แพลตฟอร์มการจัดการอีเวนต์และจำหน่ายบัตรชั้นนำใ […]

The post Link Station Group เข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ Zipevent เดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมเทค อีเวนต์ พร้อมบุกเวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย appeared first on THE STANDARD.

]]>
Link Station Group Zipevent

Zipevent แพลตฟอร์มการจัดการอีเวนต์และจำหน่ายบัตรชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญในการก้าวสู่ความเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคและนวัตกรรมใหม่ โดย Link Station Group ผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีจำหน่ายบัตร เข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ใน Zipevent ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่มุ่งสู่การเติบโต การลงทุน และการพัฒนาทางเทคโนโลยีของบริษัท

 

ด้วยการเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้ Zipevent จะเร่งขยายธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมสนับสนุนผู้จัดงานอีเวนต์ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยและโซลูชันที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับประสบการณ์ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออนไซต์ ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งผู้นำของ Zipevent ในอุตสาหกรรมการจัดการอีเวนต์ พร้อมทั้งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ Link Station ในการก้าวขึ้นเป็นแพลตฟอร์มจำหน่ายบัตรชั้นนำของโลก โดยมีแผนจะจดทะเบียนในตลาดหุ้น Tokyo Stock Exchange ในอนาคต

 

สร้างสรรค์นวัตกรรมและเติบโตในภูมิภาค

 

Zipevent พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเชื่อถือได้ในวงการจัดการอีเวนต์ โดยนำเสนอเครื่องมือที่ครบวงจรสำหรับการลงทะเบียน การจำหน่ายบัตร และการมีส่วนร่วมของผู้เข้าร่วมงาน การเข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่โดย Link Station นำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อให้ลูกค้าของ Zipevent ได้รับประโยชน์จากการบริการที่เหนือกว่า คุณสมบัติใหม่ และการเข้าถึงเครือข่ายความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอีเวนต์ในระดับโลก

 

“การเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้ช่วยให้เราลงทุนในแพลตฟอร์มของเราได้มากยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและบริการที่ลูกค้าของเราไว้วางใจร่วมกับ Link Station เราพร้อมที่จะนำเสนอโซลูชันที่สร้างสรรค์มากขึ้นและขยายขอบเขตธุรกิจของเรา ทำให้ Zipevent เป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมอีเวนต์ในภูมิภาคนี้” ภาโรจน์ เด่นสกุล ซีอีโอของ Zipevent กล่าว 

 

มุ่งยกระดับประสบการณ์ลูกค้า 

 

ลูกค้าของ Zipevent จะพบกับการเปลี่ยนแปลงที่ราบรื่น โดยบริษัทจะยังคงดำเนินงานอย่างอิสระ พร้อมได้รับประโยชน์จากทรัพยากรและความเชี่ยวชาญของ Link Station ความร่วมมือครั้งนี้จะนำไปสู่การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ ระบบจำหน่ายบัตรที่ล้ำหน้า และบริการที่ขยายเพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้จัดงานและผู้เข้าร่วมงาน

 

“Zipevent ยังคงยึดมั่นในการให้บริการที่ยอดเยี่ยมและนวัตกรรมแก่ลูกค้าของเรา และสิ่งนี้จะไม่เปลี่ยนแปลง ในทางตรงกันข้ามลูกค้าของเราจะเห็นการพัฒนาของฟีเจอร์ที่รวดเร็วขึ้น มีความแข็งแกร่งมากขึ้น และได้รับการสนับสนุนที่มากขึ้น เมื่อเราเริ่มต้นบทใหม่ที่น่าตื่นเต้นนี้ร่วมกับ Link Station” ภาโรจน์กล่าวต่อ 

 

เดินหน้าบุกอุตสาหกรรมอีเวนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

ในขณะที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังกลายเป็นหนึ่งในตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดสำหรับงานอีเวนต์และการประชุม ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง Zipevent และ Link Station สร้างตำแหน่งสำคัญให้กับบริษัทในอุตสาหกรรมภูมิภาคนี้ การเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้จะช่วยให้ Zipevent สามารถเข้าสู่ตลาดใหม่ เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย พร้อมกับการเสริมความแข็งแกร่งในประเทศไทย

 

การเติบโตนี้ไม่เพียงแต่ช่วยขยายการเข้าถึงของ Zipevent แต่ยังช่วยส่งเสริมพันธกิจในการทำให้งานอีเวนต์จัดการได้ง่ายและเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมอีเวนต์ในภูมิภาคนี้ไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยการสนับสนุนจาก Link Station และ Zipevent พร้อมที่จะนำเทคโนโลยีและโซลูชันใหม่ๆ เข้ามาช่วยให้ผู้จัดงานสามารถจัดการงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและง่ายดายยิ่งขึ้น

 

จ่อเข้าตลาดหุ้นญี่ปุ่นปี 2028 

 

ในขณะที่ Zipevent ขยายตัวในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง บริษัทยังมีบทบาทสำคัญในวิสัยทัศน์ระดับโลกของ Link Station การเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของ Link Station ที่จะครองตลาดจำหน่ายบัตรระดับโลก โดย Zipevent จะเป็นศูนย์กลางของการเติบโตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งสองบริษัทกำลังมุ่งสู่เป้าหมายระยะยาวของ Link Station ในการเป็นแพลตฟอร์มจำหน่ายบัตรระดับต้นๆ ของโลก ซึ่งจะนำไปสู่การจดทะเบียนในตลาดหุ้น Tokyo Stock Exchange ภายในปี 2028

The post Link Station Group เข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ Zipevent เดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมเทค อีเวนต์ พร้อมบุกเวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย appeared first on THE STANDARD.

]]>
Apple ยื่นข้อเสนอลงทุน 100 ล้านดอลลาร์ สร้างโรงงานในอินโดฯ แลกกับรัฐบาลอนุญาตให้ขาย iPhone 16 https://thestandard.co/apple-invest-100m-iphone16-indonesia/ Sat, 23 Nov 2024 08:23:54 +0000 https://thestandard.co/?p=1012027

Apple ยื่นข้อเสนอเพิ่มเงินลงทุนอีก100 ล้านดอลลาร์ (ราว […]

The post Apple ยื่นข้อเสนอลงทุน 100 ล้านดอลลาร์ สร้างโรงงานในอินโดฯ แลกกับรัฐบาลอนุญาตให้ขาย iPhone 16 appeared first on THE STANDARD.

]]>

Apple ยื่นข้อเสนอเพิ่มเงินลงทุนอีก100 ล้านดอลลาร์ (ราว 3,600 ล้านบาท) สร้างโรงงานผลิตในอินโดนีเซีย แลกกับให้ขาย iPhone 16 และหวังรักษาส่วนแบ่งการตลาดสำคัญในการสร้างรายได้

 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อินโดนีเซียเป็นตลาดสำคัญในการทำรายได้ของ Apple ด้วยจำนวนประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของโลก หรือประมาณ 280 ล้านคน ปัจจุบันมีการใช้งานสมาร์ทโฟนถึง 354 ล้านเครื่อง ซึ่งมากกว่าจำนวนประชากรทั้งหมด

 

แต่เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา บริษัทเจออุปสรรคเมื่อกระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซียสั่งห้ามจำหน่าย iPhone 16 ในประเทศ โดยให้เหตุผลว่า PT. Apple Indonesia ยังไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ให้สมาร์ทโฟนต้องมีส่วนประกอบ หรือการผลิตในประเทศอย่างน้อย 40% ซึ่ง iPhone รุ่นใหม่ยังไม่เป็นไปตามเงื่อนไขดังกล่าว 

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ในกรณีนี้ไม่ได้มีเพียงแต่ผลิตภัณฑ์ของ Apple เท่านั้นที่ถูกแบน แต่ยังมีสมาร์ทโฟน Google Pixel ก็ถูกสั่งห้ามขายด้วยเหตุผลเดียวกัน

 

ทั้งนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียยังระบุอีกว่า Apple ไม่สามารถปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาเดิมที่เคยบอกว่าจะลงทุนในประเทศด้วยมูลค่า 1.71 ล้านล้านรูเปียห์ จนถึงขณะนี้บริษัทลงทุนไปเพียง 1.48 ล้านล้านรูเปียห์เท่านั้น ซึ่งยังไม่ถึงเป้าหมายที่ตกลงไว้ ที่ผ่านมาอินโดนีเซียจึงพยายามเรียกร้องให้เพิ่มการลงทุนในประเทศ เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีโรงงานผลิตในอินโดนีเซีย

 

แม้ว่า Apple จะจัดตั้งศูนย์พัฒนาแอปพลิเคชันกว่า 4 แห่งในประเทศ เพื่อฝึกอบรมนักศึกษาและวิศวกรให้พัฒนาแอปพลิเคชัน แต่รัฐบาลอินโดนีเซียกลับบอกว่ายังไม่เพียงพอที่จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในประเทศ

 

กระทั่งล่าสุด Apple ยื่นข้อเสนอเพิ่มการลงทุนอีก 100 ล้านดอลลาร์ สร้างโรงงานผลิตอุปกรณ์เสริมและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในเมืองบันดุง จังหวัดชวาตะวันตก ถือเป็นการลงทุนเพิ่มเป็น 2 เท่าตัว เพราะก่อนหน้านี้ Apple เคยเสนอเงินลงทุนเพียง 10 ล้านดอลลาร์ (ราว 360 ล้านบาท) เท่านั้น

 

แน่นอนว่าการลงทุนดังกล่าวมีเป้าหมายแก้ไขปัญหาและปฏิบัติตามข้อกำหนดของอินโดนีเซีย และจะทำให้ผลิตภัณฑ์ iPhone สามารถกลับมาจำหน่ายในประเทศได้อีกครั้ง เพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดในอินโดนีเซีย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพสูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

ด้านกระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย กล่าวว่า เรายินดีรับข้อเสนอของ Apple และอยู่ระหว่างการเตรียมจัดการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับข้อเสนอการลงทุนดังกล่าว การเคลื่อนไหวทั้งหมดที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของอินโดนีเซีย ที่มุ่งหน้าส่งเสริมการผลิตในประเทศและสร้างมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่อุปทาน ที่ผ่านมามีการใช้กฎระเบียบทางการค้าเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา โดยเฉพาะการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก ซึ่งมีเป้าหมายกระตุ้นการเติบโตของอุตสาหกรรมท้องถิ่น แต่กฎเกณฑ์เหล่านี้กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์ในบางครั้งว่าเป็นนโยบายกีดกันทางการค้า

 

โดยหนึ่งในข้อกำหนดที่เป็นประเด็นคือ กฎการใช้ส่วนประกอบในประเทศ (Local Content Requirement) ที่กำหนดให้สินค้าในบางอุตสาหกรรมที่วางจำหน่ายภายในประเทศ ต้องมีส่วนประกอบหรือวัตถุดิบที่ผลิตภายในประเทศเป็นสัดส่วนที่กำหนด และสัดส่วนนี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรม

 

อ้างอิง:

 

The post Apple ยื่นข้อเสนอลงทุน 100 ล้านดอลลาร์ สร้างโรงงานในอินโดฯ แลกกับรัฐบาลอนุญาตให้ขาย iPhone 16 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชาวจีนไม่นิยมช้อปออนไลน์แล้ว? ทำอีคอมเมิร์ซเร่งขยายไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ Temu เจออุปสรรคเข้าอินโดนีเซียไม่ได้ รัฐบาลอ้างต้องคุมสินค้าราคาถูก https://thestandard.co/ecommerce-growth-in-southeast-asia/ Wed, 20 Nov 2024 09:36:10 +0000 https://thestandard.co/?p=1010801

ชาวจีนไม่นิยมช้อปออนไลน์แล้ว ทำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสัญช […]

The post ชาวจีนไม่นิยมช้อปออนไลน์แล้ว? ทำอีคอมเมิร์ซเร่งขยายไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ Temu เจออุปสรรคเข้าอินโดนีเซียไม่ได้ รัฐบาลอ้างต้องคุมสินค้าราคาถูก appeared first on THE STANDARD.

]]>

ชาวจีนไม่นิยมช้อปออนไลน์แล้ว ทำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสัญชาติจีนบุกโฟกัสตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขยายแคมเปญ Singles’ Day กระหน่ำลดราคาดึงลูกค้า แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายของ Temu ที่พยายามเจาะอินโดนีเซียหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ รัฐบาลชี้ ต้องคุมการนำเข้าสินค้าราคาถูกและปกป้องผู้ประกอบการรายเล็ก

 

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นิยมสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซเป็นอย่างมาก เพราะด้วยจำนวนประชากรที่มีอายุน้อยและมีการเข้าถึงโลกโซเชียลเพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดมีแนวโน้มขยายตัวอย่างรวดเร็วที่สุดในโลก 

 

สอดคล้องกับรายงานจาก Google, Temasek และ Bain & Company ระบุว่า ในปีที่ผ่านมาตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีมูลค่าการขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม (GMV) รวมสูงถึง 1.39 แสนล้านดอลลาร์ จึงทำให้ภูมิภาคนี้กลายเป็นสนามแข่งขัน สำคัญของยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซ ทั้ง Shopee, TikTok Shop, Lazada และ Temu 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

แม้ว่าจะไม่มีแพลตฟอร์มจากค่ายไหนเปิดเผยตัวเลข GMV (มูลค่ารวมของสินค้าที่ขายผ่านแพลตฟอร์ม) หรือในช่วงเทศกาลลดราคาโดยตรง แต่ก็เห็นการขยายตัวอย่างชัดเจน 

 

สำหรับในปีนี้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่สัญชาติจีนอย่าง Alibaba และ JD.com มีการขยายแคมเปญ Singles’ Day ซึ่งเป็นเทศกาลลดราคาสินค้าครั้งใหญ่ ไปยังประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

 

จริงๆ แล้ว Double 11 เป็นเทศกาลช้อปปิ้งออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยจัดขึ้นทุกวันที่ 11 พฤศจิกายนของทุกปี มีจุดเริ่มต้นมาจาก Taobao ของ Alibaba ที่เริ่มต้นจัดงานนี้ในประเทศจีนเมื่อ 15 ปีก่อน ในช่วงแรกเริ่มก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างดี แต่ปัจจุบันความนิยมในจีนเริ่มลดลง ไม่นิยมสั่งซื้อสินค้าในช่วงแคมเปญเหมือนหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากต้องเผชิญกับเศรษฐกิจชะลอตัว ต้องระมัดระวังการใช้จ่าย รวมถึงรัฐบาลมีการควบคุมสงครามราคาอีกด้วย 

 

หากสังเกตจะเห็นว่าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซส่วนใหญ่ไม่ได้มีการเปิดเผยตัวเลขการขายมา 2 ปีแล้ว และปีนี้ Tmall แพลตฟอร์มในเครือ Alibaba ก็ไม่ได้จัดงานอีเวนต์เหมือนหลายปีที่ก่อนที่เคยมีการแสดงจากนักร้องชื่อดัง เช่น Taylor Swift และ Scarlett Johansson

 

สะท้อนให้เห็นว่าตลาดในจีนเริ่มอิ่มตัวแล้ว แพลตฟอร์มของจีนจึงเปลี่ยนโฟกัส ขยายไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยใช้ประโยชน์จากการมีห่วงโซ่อุปทานขนาดใหญ่ เพื่อลดราคาสู้กับคู่แข่งในตลาดอื่นๆ แต่แพลตฟอร์มเหล่านี้ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรม ตลาด การกำกับดูแล และนโยบายการคุ้มครองตลาดในแต่ละประเทศ

 

เหมือนกับที่ Temu และ SHEIN กำลังเผชิญกับการตรวจสอบในประเทศเวียดนาม ซึ่งรัฐบาลได้เตือนผู้บริโภคเกี่ยวกับการซื้อสินค้าจากแพลตฟอร์มที่ไม่ได้จดทะเบียน และ Temu ยังพยายามจะเข้าสู่ตลาดอินโดนีเซียหลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะรัฐบาลอ้างว่าจำเป็นต้องควบคุมการนำเข้าสินค้าราคาถูก เพื่อปกป้องผู้ประกอบการรายเล็กในประเทศ 

 

เมื่อมาดูความคึกคักของตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย หากสังเกตจะเห็นว่าถนนในกรุงเทพฯ ย่านที่มีคนพลุกพล่านจะเห็น TikTok Shop แสดงแคมเปญ Double 11 บนจอ LED ขนาดใหญ่ ชวนให้ไปช้อปปิ้ง และมีการยิงโฆษณาบนแอปพลิเคชันเรียกรถอย่าง Grab ไม่เว้นแม้แต่ Lazada ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Alibaba Group ก็สร้างกระแสโปรโมชันอย่างหนักหน่วง รวมถึงแพลตฟอร์ม X ก็เต็มไปด้วยโฆษณาที่เสนอส่วนลดอย่างต่อเนื่อง 

 

ณัฐพงศ์ คู่เมือง ชาวกรุงเทพฯ วัย 28 ปี กล่าวว่า ตัวเขาซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมูลค่า 3,600 บาทบนแพลตฟอร์ม Shopee และใช้โปรโมชันส่วนลดไป ทำให้ประหยัดได้ประมาณ 20% โดยส่วนลดในช่วง Double 11 จะคุ้มกว่าแคมเปญอื่นๆ

 

รวมถึงตลาดมาเลเซียมีผู้คนมากกว่า 5 ล้านคนเข้าร่วมรับชมงาน 11.11 Mega LIVE Showdown ที่จัดขึ้นโดย TikTok Shop เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา งานนี้สร้างคำสั่งซื้อผ่านไลฟ์สตรีมประมาณ 80,000 รายการ ขณะเดียวกัน Shopee Live ในมาเลเซียก็ทำยอดขายสินค้ากว่า 2.5 ล้านชิ้นในช่วง 2 ชั่วโมงแรกของวันที่ 11 พฤศจิกายน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่าจากยอดขายในช่วงปกติ

 

ด้าน Lazada อธิบายถึงเทศกาล Singles’ Day ของปีนี้ว่า เป็นโอกาสทางธุรกิจของแพลตฟอร์ม และเน้นนำแบรนด์สินค้าที่มียอดเติบโตมาเพิ่มโปรโมชัน ให้ส่วนลด เมื่อมียอดใช้จ่ายถึงเกณฑ์ที่กำหนดและจัดส่งฟรีเพื่อดึงดูดนักช้อป โดยปีนี้ Lazada ยังรายงานด้วยว่าบรรลุเป้าหมายการทำกำไรเป็นครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม โดยวัดจากกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย 

 

พร้อมกันนี้เมื่อตลาดอีคอมเมิร์ซขยายตัวเติบโตอย่างรวดเร็ว ก็สร้างอานิสงส์ให้บริษัทขนส่งสินค้าด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 1-11 พฤศจิกายน J&T Express ซึ่งเป็นบริษัทจัดส่งพัสดุที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในแง่ของปริมาณการจัดส่งนั้นได้จัดการพัสดุมากกว่า 15 ล้านชิ้นต่อวัน เพิ่มขึ้นถึง 73% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น J&T Express จึงขยายพื้นที่คัดแยกพัสดุเพิ่มขึ้นประมาณ 19,000 ตารางเมตร และติดตั้งระบบอัตโนมัติเพิ่มอีกกว่า 13 ระบบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ควบคู่กับการเพิ่มยานพาหนะขนส่งกว่า 900 คัน และจ้างพนักงานมากกว่า 3,800 คน เพื่อเสริมความสามารถในการคัดแยก การจัดส่ง และการบริการลูกค้าให้ได้อย่างครอบคลุม

 

“สุดท้ายตลาดอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลับมาฟื้นตัวแล้ว และเข้าสู่ช่วงการเติบโตที่มั่นคงแล้วหลังผ่านพ้นช่วงวิกฤตโควิดมา” Li Jianggan ผู้ก่อตั้ง Momentum Works กล่าว

 

ภาพ: yanishevska / shutterstock

อ้างอิง:

The post ชาวจีนไม่นิยมช้อปออนไลน์แล้ว? ทำอีคอมเมิร์ซเร่งขยายไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ Temu เจออุปสรรคเข้าอินโดนีเซียไม่ได้ รัฐบาลอ้างต้องคุมสินค้าราคาถูก appeared first on THE STANDARD.

]]>