India – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 03 Dec 2025 02:58:49 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 เจาะลึก 10 Predictions ปี 2026: ชี้เป้า ‘อินเดีย’ ผงาด-AI เข้าสู่ยุคทำเงิน พร้อมแผนรับมือหุ้นไทย ส่อหลุด 1,200 จุด https://thestandard.co/predictions-2026-india-ai-stocks/ Wed, 03 Dec 2025 02:58:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1150876 เจาะลึก 10 Predictions ปี 2026: ชี้เป้า ‘อินเดีย’ ผงาด-AI เข้าสู่ยุคทำเงิน พร้อมแผนรับมือ หุ้นไทย ส่อหลุด 1,200 จุด

ท่ามกลางภูมิทัศน์การลงทุนโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ป […]

The post เจาะลึก 10 Predictions ปี 2026: ชี้เป้า ‘อินเดีย’ ผงาด-AI เข้าสู่ยุคทำเงิน พร้อมแผนรับมือหุ้นไทย ส่อหลุด 1,200 จุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจาะลึก 10 Predictions ปี 2026: ชี้เป้า ‘อินเดีย’ ผงาด-AI เข้าสู่ยุคทำเงิน พร้อมแผนรับมือ หุ้นไทย ส่อหลุด 1,200 จุด

ท่ามกลางภูมิทัศน์การลงทุนโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ปี 2026 เศรษฐกิจและตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงเผชิญกับความท้าทายรูปแบบใหม่ ซึ่งมี 10 Predictions สำคัญทางเศรษฐกิจที่จะมีผลกระทบต่อภาพการลงทุน รวมทั้งต้องเตรียมพร้อมรับมืออย่างไร

 

สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) ระบุว่าในปี 2026 คาดการณ์ว่าจะมี 10 การคาดการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจ หรือ 10 Predictions ปี 2026 ดังนี้

 

เปิด 10 ปรากฏการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2026:จาก Trade War สู่ K-Shape Recovery

 

สิทธิชัยประเมินภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคไว้ 10 ประเด็นสำคัญที่จะกำหนดทิศทางตลาดหุ้นโลก ดังนี้

  • ตลาดหุ้นจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) แต่จะเห็นสัญญาณการชะลอตัวลง ซึ่งยังสามารถลงทุนได้แต่ต้องคัดเลือกหุ้นมากขึ้น
  • วัฏจักรการลดดอกเบี้ย (Easing) ของธนาคารกลางทั่วโลกน่าจะยุติลงในช่วงกลางปี หรือประมาณปลายไตรมาส 2 ถึงต้นไตรมาส 3 ซึ่งรวมถึงทิศทางดอกเบี้ยของไทยด้วย
  • จีนจะหยุดการอัดฉีดเงินแบบหว่านแห และหันไปใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปีฉบับใหม่ที่เน้นการลงทุนเจาะจงในกลุ่ม Semiconductor มากกว่าการอุดหนุนทางการค้า (Trade-in Subsidies) แบบเดิม
  • สงครามการค้า (Trade War) จะกลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ อาจใช้ความได้เปรียบทางการเมืองมาเป็นข้อต่อรองกับจีน ซึ่งจะประจวบเหมาะกับช่วงที่สัญญาแร่หายาก (Rare Earth Agreement) กำลังจะหมดอายุในเดือนตุลาคมพอดี
  • ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากการปรับลดดอกเบี้ยที่เร็วและแรงของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งหากประธาน Fed คนใหม่ลดดอกเบี้ยแรงอีก ความเชื่อมั่นอาจลดลง ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าและเป็นผลดีต่อตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets)
  • K-Shape Recovery ที่ชัดเจนขึ้น ปรากฏการณ์ “คนจนจนลง คนรวยรวยขึ้น” จะรุนแรงขึ้น กลยุทธ์คือต้องเน้นหุ้นที่มี Pricing Power หรืออำนาจในการขึ้นราคาได้โดยไม่กระทบยอดขาย เช่น กลุ่มสินค้าหรูหรา (Luxury) อย่าง Benz, BMW หรือ Louis Vuitton ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจน้อยกว่า
  • การเติบโตเข้าสู่ภาวะปกติ (Normalization) โดย เศรษฐกิจโลกยังเติบโตได้ โดยคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ โต 1.5%, เศรษฐกิจโลกโต 1.3% และเศรษฐกิจเอเชียโต 1.7% ซึ่งถือเป็นการเติบโตที่ต่อเนื่อง
  • ยุโรปฟื้นตัว นำโดยเยอรมนี ซึ่งเศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะเยอรมนีที่จะฟื้นตัวได้มากที่สุดในภูมิภาค
  • ‘อินเดีย’ ไททันตัวใหม่ เศรษฐกิจอินเดียจะผงาดแซงหน้าญี่ปุ่น ขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 4 ของโลก
  • การเมืองร้อนแรง ต้องจับตาการเลือกตั้งกลางเทอม (Midterm Election) ของสหรัฐฯ และการเลือกตั้งในประเทศไทย ซึ่งจะมีผลต่อนโยบายเศรษฐกิจ

 

เจาะเทรนด์ Tech: หมดยุคเก็งกำไร Capex สู่ยุค ‘Earning Play’

 

ในฝั่งของหุ้นเทคโนโลยีที่เป็นตัวขับเคลื่อนโลก สิทธิชัยมองว่าปีหน้าจะมีความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญ โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Capex) ไปสู่การสร้างรายได้จริง (Monetization) มีประเด็นสำคัญ ดังนี้

  • ชิป 1 นาโนเมตรมาแล้ว TSMC จะเปิดตัวเทคโนโลยี 1 นาโนเมตรในช่วงปลายปี ตามด้วย Samsung และ Intel ในปี 2027 พร้อมกับการพูดถึงเทคโนโลยีควอนตัม (Quantum) ที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
  • จีนเร่งเครื่อง Semiconductor แม้จะถูกกีดกัน แต่จีนจะมีพัฒนาการก้าวกระโดด (Breakthrough) ทั้งด้าน Memory, เครื่องมือผลิตชิป และเทคโนโลยี Deep Seek
  • AI เปลี่ยนโฉมสู่ภาคปฏิบัติ โลกจะเห็นการใช้งานหุ่นยนต์ (Robotics), Humanoid Robot และระบบอัตโนมัติ (Autonomous) มากขึ้น รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้าน Cyber Security และ PC จะกลับมาฟื้นตัว
  • เน้นกลุ่มหุ้น Earning Play ยุคของการเก็งกำไรจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Capex Play) จบลงแล้ว ตลาดจะหันมาโฟกัสหุ้นที่สร้างรายได้จาก AI ได้จริง หรือหุ้นที่มีกำไรเติบโตชัดเจน โดยเน้นกลุ่ม Magnificent 7 และหุ้นที่เกี่ยวเนื่อง เช่น Space Exploration
  • สงครามยุคใหม่ กลุ่ม Defense หรือการป้องกันประเทศยังน่าสนใจ แต่รูปแบบจะเปลี่ยนจากอาวุธดั้งเดิมอย่างรถถัง เป็นระบบป้องกันภัยทางอากาศ (Air Defense System) เพื่อรองรับสงครามสมัยใหม่ เช่นในไต้หวันและเกาหลี

 

กลยุทธ์หุ้นไทย ลุ้น Q1 ไปต่อ รอจังหวะ ‘ของถูก’ เมื่อหลุด 1,200 จุด

 

สำหรับตลาดหุ้นไทย สิทธิชัยวางฉากทัศน์ (Scenario) แบ่งตามไตรมาสไว้ดังนี้:

  • ในไตรมาส 1/2026 มีมุมมองเชิงบวก คาดดัชนีแกว่งตัวในกรอบ 1,350-1,400 จุด รับอานิสงส์จากดอกเบี้ยขาลง การฟื้นตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียน และสถิติ Pre-election Rally ในช่วง 3 เดือนก่อนเลือกตั้งที่มักดันตลาดไทยขึ้นได้ 2-3%
  • ในไตรมาส 2/2026 การลงทุนต้องระมัดระวังมากขึ้น เพราะดอกเบี้ยอาจเริ่มหยุดลด จีนหยุดกระตุ้นเศรษฐกิจ และเข้าสู่ Low Season ของภาคท่องเที่ยว แนะนำให้ขายทำกำไร (Take Profit) แล้วสลับเงินไปกลุ่ม Defensive ที่มีอำนาจกำหนดราคาได้ เช่น โรงพยาบาล (Healthcare), ค้าปลีก (Commerce) และสื่อสาร (ICT)
  • ในไตรมาส 3/2026 ภาพบรรยากาศในตลาดหุ้นไทยอาจดูขมุกขมัวจากความกังวลเรื่องสงครามการค้าและเศรษฐกิจชะลอตัว แต่หากเศรษฐกิจไม่ถดถอย (Non-Recession) กลุ่มธนาคาร (Bank) อาจเป็นจุดกลับตัวที่น่าสนใจเมื่อดอกเบี้ยหยุดลด
  • ไตรมาส 4/2026 ตลาดจะฟื้นตัวรับข่าวหลังจบการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ รัฐบาลใหม่ของไทยเริ่มเบิกจ่ายงบลงทุน และเทคโนโลยีใหม่จาก TSMC มีชิป 1 นาโนเมตร เปิดตัว ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนของกลุ่มเทคโนโลยีอีกครั้ง

 

สิทธิชัย ระบุว่า ระดับดัชนีที่ 1,200 จุด หรือต่ำกว่า ถือเป็น Good Entry Point สำหรับนักลงทุนที่รอจังหวะสะสมหุ้น โดยมองว่าแม้ตลาดจะมีความผันผวน แต่ยังคงแนะนำให้ Stay Invested หรืออยู่ในตลาดต่อไป โดยเน้นเลือกหุ้นรายตัวอย่างระมัดระวัง และจับตาจังหวะการเข้าซื้อในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปีหน้า

The post เจาะลึก 10 Predictions ปี 2026: ชี้เป้า ‘อินเดีย’ ผงาด-AI เข้าสู่ยุคทำเงิน พร้อมแผนรับมือหุ้นไทย ส่อหลุด 1,200 จุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
พายุไซโคลนดิดวาห์ถล่มศรีลังกา คร่าชีวิต 200 ราย วิกฤตหนักสุดในรอบ 20 ปี https://thestandard.co/sri-lanka-cyclone-didwah-kills-200/ Mon, 01 Dec 2025 03:16:40 +0000 https://thestandard.co/?p=1150058 พายุไซโคลนดิดวาห์ ถล่ม ศรีลังกา คร่าชีวิต 200 ราย วิกฤตหนักสุดในรอบ 20 ปี

พายุไซโคลนดิดวาห์พัดถล่มศรีลังกา คร่าชีวิตประชาชน 200 ร […]

The post พายุไซโคลนดิดวาห์ถล่มศรีลังกา คร่าชีวิต 200 ราย วิกฤตหนักสุดในรอบ 20 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
พายุไซโคลนดิดวาห์ ถล่ม ศรีลังกา คร่าชีวิต 200 ราย วิกฤตหนักสุดในรอบ 20 ปี

พายุไซโคลนดิดวาห์พัดถล่มศรีลังกา คร่าชีวิตประชาชน 200 ราย ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังปฏิบัติการกู้ภัยต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ท่ามกลางความพยายามเร่งอพยพผู้ได้รับผลกระทบนับแสน นับเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงที่สุดในรอบ 20 ปีของประเทศ

 

เมื่อวานนี้ (30 พฤศจิกายน) ศูนย์จัดการภัยพิบัติศรีลังกาเปิดเผยว่า ประชาชนนับล้านคน ได้รับผลกระทบจากพายุไซโคลนดิดวาห์ โดยปัจจุบันมีรายงานตัวเลขผู้เสียชีวิต 212 ราย และผู้สูญหายอีก 218 ราย ขณะที่ทางการเร่งอพยพประชาชน 2 แสนคน ไปยังศูนย์พักพิง 1,275 แห่ง ท่ามกลางวิกฤตโครงสร้างพื้นฐาน อย่างระบบไฟฟ้า น้ำประปา และสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ยังใช้การไม่ได้

 

ก่อนหน้านี้ พายุไซโคลนดิดวาห์พัดขึ้นฝั่งศรีลังกาตั้งแต่ช่วงวันที่ 27-28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทำให้เกิดเหตุฝนตกเป็นประวัติการณ์ และเหตุดินถล่มในหลายพื้นที่ของประเทศ ขณะที่เกิดเหตุน้ำท่วมทะลักเขื่อนมาวิลอารู (Mavil Aru) ทำให้ประชาชน 2,000 ชีวิตต้องอพยพไปยังที่ปลอดภัย

 

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ อนุรา กุมาร ดิสนายาเก (Anura Kumara Dissanayake) ประธานาธิบดีศรีลังกา ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พร้อมขอความช่วยเหลือจากนานาชาติ และเปิดรับบริจาคเงินจากประชาชนในต่างประเทศ

 

ปัจจุบัน ทางการรวบรวมเจ้าหน้าที่ราว 2.4 หมื่นนาย ได้แก่ ตำรวจ กองทัพบก และกองทัพอากาศ เข้าช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำท่วม โดยกรมชลประทานศรีลังกาคาดว่า ระดับน้ำจะลดลงภายในอีก 3 วันข้างหน้า และพายุไซโคลนจะเคลื่อนตัวไปทางอินเดีย

 

ทั้งนี้ ศรีลังกาเผชิญภัยพิบัติร้ายแรงครั้งสุดท้ายในปี 2004 หรือเมื่อ 20 ปีก่อน หลังเกิดเหตุสึนามิครั้งใหญ่ในเอเชีย ซึ่งคร่าชีวิตผู้คน 3.1 หมื่น และสร้างความเสียหายให้กับผู้คนนับล้าน

 

อนึ่ง ศรีลังกาเป็นหนึ่งในประเทศเอเชียที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ นอกเหนือจากไทย เวียดนาม และมาเลเซีย ซึ่งขณะนี้ ยอดผู้เสียชีวิตของ 3 ประเทศในอาเซียน เพิ่มขึ้นทะลุ 600 ราย และมีประชาชนนับล้านรอคอยความช่วยเหลือจากทางการ

 

ภาพ: Thilina Kaluthotage / Reuters

 

อ้างอิง:

The post พายุไซโคลนดิดวาห์ถล่มศรีลังกา คร่าชีวิต 200 ราย วิกฤตหนักสุดในรอบ 20 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ค่าเงินรูปีอินเดีย ปี 2025 ร่วงหนักสุดในเอเชีย รับแรงกดดันภาษีสหรัฐฯ เงินทุนไหลออก และท่าที RBI ปล่อยค่าเงินเคลื่อนไหวตามตลาด https://thestandard.co/indian-rupee-2025-asia-drop-rbi-policy/ Sat, 29 Nov 2025 05:19:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1149475 ค่าเงินรูปีอินเดีย ปี 2025 ร่วงหนักสุดในเอเชีย รับแรงกดดันภาษีสหรัฐฯ เงินทุนไหลออก และท่าที RBI ปล่อยค่าเงินเคลื่อนไหวตามตลาด

ในปี 2025 ค่าเงินรูปีอินเดียอ่อนค่ามากที่สุดในเอเชีย แล […]

The post ค่าเงินรูปีอินเดีย ปี 2025 ร่วงหนักสุดในเอเชีย รับแรงกดดันภาษีสหรัฐฯ เงินทุนไหลออก และท่าที RBI ปล่อยค่าเงินเคลื่อนไหวตามตลาด appeared first on THE STANDARD.

]]>
ค่าเงินรูปีอินเดีย ปี 2025 ร่วงหนักสุดในเอเชีย รับแรงกดดันภาษีสหรัฐฯ เงินทุนไหลออก และท่าที RBI ปล่อยค่าเงินเคลื่อนไหวตามตลาด

ในปี 2025 ค่าเงินรูปีอินเดียอ่อนค่ามากที่สุดในเอเชีย และมีแนวโน้มปรับตัวลงสูงสุดในรอบสามปี นับตั้งแต่ปี 2022 ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันโลกพุ่งทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังรัสเซียบุกโจมตียูเครน ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศอินเดียที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบถึง 90%

 

อีกทั้งแรงกดดันในปีนี้ยังมาจาก การขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และผลประกอบการหลายบริษัทอ่อนแอลง ทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นอินเดียเพิ่มขึ้น ซึ่งกระทบต่อทิศทางของตลาดเงินทุนและทำให้เงินรูปีอ่อนค่าลงต่อเนื่อง

 

ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ได้ขายสินทรัพย์สกุลเงินต่างประเทศไปกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อพยุงค่าเงินและหลีกเลี่ยงไม่ให้รูปีร่วงลงทำจุดต่ำสุดในเดือนตุลาคม แม้มาตรการดังกล่าวจะช่วยซื้อเวลาให้ตลาด แต่แรงกดดันยังคงเพิ่มขึ้น

 

ยิ่งในวันที่ 21 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ค่าเงินรูปีดิ่งลงแตะ 89.4812 ต่อดอลลาร์ โดยไม่มีสัญญาณว่าธนาคารกลางจะลงมาป้องกัน ทำให้นักวิเคราะห์ตีความว่า RBI อาจยอมให้ค่าเงินเคลื่อนไหวตามตลาด เพื่อรักษาทุนสำรองไว้ใช้เมื่อจำเป็นจริงๆ

 

โดยปัจจุบันทุนสำรองระหว่างประเทศของอินเดียอยู่ที่ราว 6.9 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าสูงติดอันดับโลก และเพียงพอสำหรับการนำเข้าได้นานถึง 11 เดือน และล่าสุดวันที่ 26 พฤศจิกายน IMF ประกาศปรับการจัดประเภทระบบอัตราแลกเปลี่ยนของอินเดียเป็นแบบ ‘crawl-like arrangement’ หรือระบบที่ปล่อยให้ค่าเงินปรับขึ้นลงอย่างช้าๆ ตามเงินเฟ้อและเงื่อนไขการค้า แทนการป้องกันอย่างเข้มข้นแบบในอดีต ถือเป็นสัญญาณว่าธนาคารกลางกำลังปรับเข้าสู่แนวทางบริหารความผันผวนระยะยาวมากขึ้น

 

ย้อนปัจจัยสำคัญที่เข้ามากดดันค่าเงินรูปีในปี 2025

 

รูปีเริ่มอ่อนค่ามาตั้งแต่ต้นปี ก่อนฟื้นตัวเล็กน้อยในเดือนมีนาคม–เมษายน และแข็งที่สุดในต้นเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 83.7538 ต่อดอลลาร์ ช่วงที่ตลาดคาดหวังว่าอินเดียจะเป็นประเทศแรกๆ ที่บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ความหวังต่อการลดภาษีส่งออกช่วยหนุนกระแสเงินทุนและเสริมแรงซื้อค่าเงินในช่วงระยะสั้น

 

แต่ภาพรวมเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เดือนกรกฎาคม เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศตั้งภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียสูงกว่าคาด พร้อมขู่ใช้มาตรการลงโทษเพิ่มเติมจากกรณีอินเดียซื้อพลังงานและอาวุธจากรัสเซีย โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้รูปีอ่อนค่าหนักที่สุดนับตั้งแต่ปี 2022

 

จากนั้นแรงกดดันเพิ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม เมื่อสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้าจากอินเดียเป็น 50% นับว่าสูงที่สุดในเอเชีย และยังเพิ่มภาษีลงโทษอีก 25% สำหรับสินค้าที่เกี่ยวข้องกับรัสเซีย ส่งผลให้ค่าเงินรูปีทะลุระดับ 88 ต่อดอลลาร์และทำจุดต่ำสุดหลายครั้ง

 

จนถึงในเดือนกันยายน ภาพรวมซ้ำเติมหนักขึ้นอีก หลังมีรายงานว่าทรัมป์เรียกร้องให้ยุโรปตั้งภาษีลงโทษอินเดียเช่นเดียวกัน และสหรัฐฯ ยังเตรียมขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B จากที่เคยจ่ายไม่กี่ร้อยดอลลาร์ขึ้นเป็น 1 แสนดอลลาร์ สำหรับแรงงานทักษะสูง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย

 

เรียกได้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันทำให้ค่าเงินรูปีอยู่ในจุดเปราะบาง ต้องรอดูว่าความสัมพันธ์การค้าระหว่างสหรัฐฐ – อินเดียจะดีขึ้นและหากมีแนวโน้มลดภาษีจะทำให้แรงกดดันต่อค่าเงินลดลงบ้าง แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น ตลาดคาดว่า RBI อาจต้องกลับมาแทรกแซงอีกครั้ง

 

ทำไมรูปีอ่อนค่ามากกว่าสกุลเงินอื่นในเอเชีย?

 

RBI มองว่าการอ่อนค่าเป็นผลจากช่องว่างเงินเฟ้อระหว่างอินเดียกับประเทศพัฒนาแล้ว แต่ปี 2025 ค่าเงินรูปีอ่อนโดดเด่นกว่าประเทศอื่นในเอเชีย แม้ดอลลาร์สหรัฐฯ จะอ่อนค่าลงก็ตาม ขณะที่สกุลเงินอื่น เช่น ดอลลาร์ไต้หวัน ริงกิตมาเลเซีย และบาทไทยกลับแข็งค่าขึ้น สาเหตุหลัก ได้แก่

 

1. อินเดียถูกเก็บภาษีจากสหรัฐฯ มากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ทำให้ภาคส่งออกได้รับผลกระทบหนัก

 

2. สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของอินเดีย ซึ่งต่างจากประเทศอย่างมาเลเซียหรือไทยที่มีตลาดกระจายตัวมากกว่า

 

3. ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลต่อเนื่อง ทำให้ต้องซื้อดอลลาร์เพื่อนำเข้าในปริมาณมากขึ้น โดยเฉพาะพลังงานและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

 

4. เงินเอเชียอื่นแข็งค่าตามแรงขายดอลลาร์ของผู้ส่งออก เนื่องจากภาคธุรกิจในหลายประเทศเร่งขายดอลลาร์ออกมา เพื่อรับมือความไม่แน่นอนจากการเจรจาการค้าและแนวโน้มเฟดปรับลดดอกเบี้ย

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อรูปีแตะระดับใกล้ 89 ต่อดอลลาร์ในเดือนตุลาคม RBI ก็แสดงท่าทีว่าพร้อมเข้าแทรกแซงเพื่อป้องกันความผันผวนเกินจำเป็น ส่งผลให้ค่าเงินทรงตัวในช่วงสั้นก่อนกลับมาอ่อนค่าอีกครั้งในปลายเดือนตุลาคม

 

ขณะที่นักวิเคราะห์บางรายมองว่าการป้องกันค่าเงินไว้ที่ระดับประมาณ 88.8 ต่อดอลลาร์นั้นไม่ยั่งยืน เนื่องจากอินเดียกำลังเผชิญทั้งตัวเลขการค้าที่ยังอ่อนแรง กระแสเงินทุนไหลออก และทุนสำรองที่เริ่มลดลง

 

ภาพ: small1/shutterstock

อ้างอิง:

The post ค่าเงินรูปีอินเดีย ปี 2025 ร่วงหนักสุดในเอเชีย รับแรงกดดันภาษีสหรัฐฯ เงินทุนไหลออก และท่าที RBI ปล่อยค่าเงินเคลื่อนไหวตามตลาด appeared first on THE STANDARD.

]]>
รายงานสหรัฐฯ ระบุ จีนใช้ความขัดแย้งอินเดีย-ปากีสถาน เป็นสนามทดสอบอาวุธ-ส่งเสริมความสามารถทางทหาร https://thestandard.co/china-weapon-tests-india-pakistan-us-report/ Wed, 19 Nov 2025 07:55:38 +0000 https://thestandard.co/?p=1145020 รายงานสหรัฐฯ ระบุ จีนใช้ความขัดแย้งอินเดีย-ปากีสถาน เป็นสนามทดสอบอาวุธ-ส่งเสริมความสามารถทางทหาร

รายงานประจำปีของคณะกรรมการทบทวนเศรษฐกิจและความมั่นคงระห […]

The post รายงานสหรัฐฯ ระบุ จีนใช้ความขัดแย้งอินเดีย-ปากีสถาน เป็นสนามทดสอบอาวุธ-ส่งเสริมความสามารถทางทหาร appeared first on THE STANDARD.

]]>
รายงานสหรัฐฯ ระบุ จีนใช้ความขัดแย้งอินเดีย-ปากีสถาน เป็นสนามทดสอบอาวุธ-ส่งเสริมความสามารถทางทหาร

รายงานประจำปีของคณะกรรมการทบทวนเศรษฐกิจและความมั่นคงระหว่างสหรัฐฯ-จีน (US-China Economic and Security Review Commission: USCC) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งโดย รัฐสภาสหรัฐอเมริกา (Congress) อ้างว่า จีนได้ใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างอินเดียและปากีสถานในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ให้เป็น ‘สนามทดสอบจริง’ สำหรับระบบอาวุธและระบบข่าวกรองที่ทันสมัยของจีน

 

รายงานระบุว่า จีนได้ใช้ประโยชน์จากความขัดแย้ง เพื่อทดสอบและโฆษณาความซับซ้อนของอาวุธจีน โดยมีเป้าหมายเพื่อ กระตุ้นยอดขายด้านการป้องกันทั่วโลก และบั่นทอนยอดขายอาวุธของชาติตะวันตก โดยการปะทะกันในช่วงวันที่ 7–10 พฤษภาคมที่ผ่านมา ถือเป็น ‘การทดลองภาคสนามในโลกจริง’ เนื่องจากเป็น ครั้งแรกที่มีการนำระบบอาวุธสมัยใหม่ของจีนมาใช้ในการสู้รบจริง

 

ระบบอาวุธที่เปิดตัวในการรบครั้งนั้น ได้แก่ เครือข่ายป้องกันภัยทางอากาศ HQ-9, ขีปนาวุธนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยไกลเกินระยะสายตา PL-15 รวมถึง เครื่องบินขับไล่ J-10C

 

การตลาดเชิงรุกและการบิดเบือนข้อมูล

 

รายงานกล่าวอ้างว่า สถานทูตจีนได้เน้นย้ำถึงประสิทธิภาพของอาวุธจีนในความขัดแย้งอินเดีย-ปากีสถาน เพื่อ ‘สนับสนุนยอดขายอาวุธ’ ขณะที่ปากีสถานอ้างว่า ได้ใช้เครื่องบินขับไล่ J-10C ที่ผลิตร่วมกับจีน ยิงเครื่องบินของอินเดียตกอย่างน้อย 5 ลำ ซึ่งรวมถึงเครื่องบิน Rafales ที่ผลิตในฝรั่งเศสด้วย

 

การที่ปากีสถานใช้ อาวุธจีนยิงเครื่องบินขับไล่ Rafale ของฝรั่งเศสที่อินเดียใช้งาน กลายเป็น ‘จุดขายที่สำคัญ’ เป็นพิเศษ สำหรับความพยายามในการขายอาวุธของสถานทูตจีน (แม้ว่ารายงานจะระบุว่าอาจมีเครื่องบินอินเดียถูกยิงตกเพียงสามลำ และอาจไม่ใช่เครื่องบิน Rafales ทั้งหมด)

 

รายงานฉบับนี้ยังได้อ้างถึงหน่วยข่าวกรองของฝรั่งเศส โดยอ้างว่า จีนได้เปิดตัวปฏิบัติการบิดเบือนข้อมูล (Disinformation Campaign) เพื่อขัดขวางการขายเครื่องบิน Rafales ของฝรั่งเศส และสนับสนุนเครื่องบิน J-35 ของจีนเอง

 

โดยปฏิบัติการดังกล่าวได้ใช้บัญชีโซเชียลมีเดียปลอมเผยแพร่ภาพที่สร้างโดย AI และภาพจากวิดีโอเกมที่ถูกอ้างว่าเป็น ‘ซากปรักหักพัง’ ของเครื่องบินอินเดียที่ถูกทำลายด้วยอาวุธจีน

 

รายงานยังอ้างว่า เจ้าหน้าที่สถานทูตจีนยังได้โน้มน้าวให้อินโดนีเซียยุติการซื้อเครื่องบิน Rafale ที่กำลังดำเนินการอยู่ เพื่อขยายอิทธิพลของจีนในการจัดซื้อทางทหารของประเทศอื่นในภูมิภาค

 

ความสัมพันธ์อินเดีย-ปากีสถาน-จีน

 

ที่ผ่านมา ปากีสถานยังคง ‘พึ่งพาอาวุธจีนอย่างมาก’ โดยข้อมูลจากสถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสตอกโฮล์ม (SIPRI) ระบุว่า อาวุธของจีนคิดเป็น 81% ของการนำเข้าอาวุธทั้งหมดของปากีสถานในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยจีนเสนอขายเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ห้า J-35 จำนวน 40 ลำ รวมถึงเครื่องบิน KJ-500 และระบบป้องกันขีปนาวุธให้กับปากีสถานในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

 

ขณะที่อินเดีย-ปากีสถานมีปัญหาพิพาทกันบ่อยครั้ง โดยอินเดียยังไม่ได้ยืนยันจำนวนเครื่องบินที่สูญเสียไปจากเหตุขัดแย้งกับปากีสถานอย่างชัดเจน แม้ว่าเจ้าหน้าที่อาวุโสของอินเดียจะยอมรับว่ากองทัพอากาศได้รับความเสียหายจากเหตุปะทะกันในช่วงเวลานั้น

 

โดยประเด็นสำคัญที่รายงานด้านความมั่นคงของหน่วยงานสหรัฐฯ ฉบับนี้เน้นย้ำคือ การที่จีนได้ใช้ความขัดแย้งระดับภูมิภาคเป็นเหมือน ห้องปฏิบัติการกลางแจ้ง เพื่อยืนยันประสิทธิภาพของยุทโธปกรณ์ทางทหารของตน และใช้ผลลัพธ์เหล่านั้นเป็นเครื่องมือในการทำสงครามการตลาด เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งจากผู้ผลิตอาวุธตะวันตก

 

ภาพ: Rehan Waheed / Shutterstock

อ้างอิง:

The post รายงานสหรัฐฯ ระบุ จีนใช้ความขัดแย้งอินเดีย-ปากีสถาน เป็นสนามทดสอบอาวุธ-ส่งเสริมความสามารถทางทหาร appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดลิสต์ประเทศที่มี ‘เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์’ มีที่ไหนบ้าง https://thestandard.co/countries-nuclear-submarine-list/ Mon, 17 Nov 2025 12:39:21 +0000 https://thestandard.co/?p=1144305 เปิดลิสต์ประเทศที่มี ‘เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์’ มีที่ไหนบ้าง

เกาหลีใต้เตรียมเป็นประเทศที่ 7 ของโลกที่มี ‘เรือดำน้ำพล […]

The post เปิดลิสต์ประเทศที่มี ‘เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์’ มีที่ไหนบ้าง appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดลิสต์ประเทศที่มี ‘เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์’ มีที่ไหนบ้าง

เกาหลีใต้เตรียมเป็นประเทศที่ 7 ของโลกที่มี ‘เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์’ (Nuclear-Powered Submarines-SSN/SSBN) หลังบรรลุข้อตกลงความร่วมมือกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เกาหลีใต้พยายามผลักดันมานาน โดยจะให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับเกาหลีใต้เพื่อหาแหล่งที่มาของ เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ สำหรับโครงการเรือดำน้ำดังกล่าว

 

เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กในการผลิตพลังงานไฟฟ้าและขับเคลื่อน ซึ่งทำให้เรือสามารถอยู่ใต้น้ำได้เป็นระยะเวลานานมาก โดยไม่ต้องขึ้นสู่ผิวน้ำเพื่อรับอากาศมาใช้ในเครื่องยนต์ดีเซลแบบเรือดำน้ำธรรมดา (Non-Nuclear Submarines)

 

ปัจจุบันมี 6 ประเทศที่มีการยอมรับอย่างเป็นทางการว่า มีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ ประจำการในกองทัพเรือ โดยสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ทั้ง 5 ประเทศล้วนแล้วแต่ครอบครองเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ทั้งสิ้น โดยคาดการณ์ว่า สหรัฐอเมริกามีเรือดำน้ำประเภทนี้มากที่สุดถึง 66 ลำ ตามมาด้วยรัสเซีย และจีน

 

ขณะที่อินเดียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ โดยเปิดตัวเรือดำน้ำลำที่ 2 เมื่อช่วงปลายปี 2024 ส่วนประเทศอื่นๆ ที่มีแผนการจะมีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ในอนาคต เช่น ออสเตรเลีย ภายใต้ความร่วมมือ AUKUS และบราซิลที่กำลังพัฒนาเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ของตนเองภายใต้โครงการ Álvaro Alberto

 


 

เปิดลิสต์ประเทศที่มี ‘เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์’ มีที่ไหนบ้าง

 

อัปเดตและเผยแพร่ล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2025

 

ภาพประกอบ: ฉัตรชัย เฉยชิต

 

อ้างอิง:

The post เปิดลิสต์ประเทศที่มี ‘เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์’ มีที่ไหนบ้าง appeared first on THE STANDARD.

]]>
เอกนิติยืนยัน เจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ เดินหน้าต่อ ตั้งเป้าปิดดีลภายในสิ้นปี 2568 https://thestandard.co/ekniti-thailand-us-fta-deal-2025/ Mon, 17 Nov 2025 07:52:22 +0000 https://thestandard.co/?p=1144117 **เอกนิติ ยืนยัน เจรจาการค้า ไทย-สหรัฐฯ เดินหน้าต่อ ตั้งเป้าปิดดีล ภายในสิ้นปี 2568**

ดร.เอกนิติ รมว.คลัง เผย เจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ เดินหน้าต […]

The post เอกนิติยืนยัน เจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ เดินหน้าต่อ ตั้งเป้าปิดดีลภายในสิ้นปี 2568 appeared first on THE STANDARD.

]]>
**เอกนิติ ยืนยัน เจรจาการค้า ไทย-สหรัฐฯ เดินหน้าต่อ ตั้งเป้าปิดดีล ภายในสิ้นปี 2568**

ดร.เอกนิติ รมว.คลัง เผย เจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ เดินหน้าตามกรอบเดิม ย้ำยึดหลักแยกการเมืองออกจากการค้า ตั้งเป้าปิดดีลภายในสิ้นปี 2568 ชี้รัฐบาลมีแผนหาตลาดใหม่รองรับ หากการเจรจาต้องยุติ

 

วันนี้ (17 พฤศจิกายน) ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยว่า ทีมยุทธศาสตร์การเจรจาได้มีการประชุมนอกรอบกันในช่วงเช้าวันนี้ ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงต่างประเทศ และทีมงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เพื่อยืนยันว่า การเจรจาเดินหน้าตามกรอบเดิม

 

ดร.เอกนิติย้ำว่า ไทยยังคงยึดหลักการแยกการค้าออกจากการเมือง ตามที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีได้มีการหารือกับโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ

 

สำหรับประเด็นเรื่องที่สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ประกาศระงับการเจรจาการค้ากับไทย จนกว่าไทยจะปฏิบัติตาม ‘ปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา’ นั้น ดร.เอกนิติกล่าวว่า “น่าจะส่งมาก่อนที่ ท่านนายกอนุทินคุยกับท่านประธานาธิบดีทรัมป์” ดังนั้น จึงขอให้ยึดการหารือเป็นแนวข้อมูลล่าสุด ก่อนที่ผู้นำสหรัฐฯ จะมีความเคลื่อนไหวส่งผ่านมายัง USTR อย่างเป็นทางการ

 

เตรียมแนวทางรองรับ ฟื้นเชื่อมั่นภายใน พร้อมหาตลาดใหม่

 

สำหรับมาตรการรองรับ หากสหรัฐฯ ยกเลิก การเจรจาการค้ากับไทยนั้น ดร.เอกนิติ เผยว่า ได้วางแผนไว้ 2 แนวทางด้วยกัน ดังนี้

 

แนวทางที่ 1 คือ การสร้างความเข้มแข็งในประเทศ ไม่ว่าการค้าโลกจะเป็นอย่างไร ไทยต้องสามารถพึ่งพาตัวเองได้ ซึ่งจะเห็นความพยายามฟื้นความเชื่อมั่นของการบริโภคในประเทศได้ผ่าน นโยบาย คนละครึ่ง พลัส, เที่ยวดีมีคืน และมาตรการเร่งรัดเบิกจ่าย ภายใต้ เสาที่ 1 ของนโยบาย ‘Quick Big Win’

 

ส่วนแนวทางที่ 2 คือ หาตลาดใหม่ ซึ่งรัฐมนตรีพาณิชย์ได้ดำเนินการไปแล้ว ทั้งในส่วนของตลาดอาเซียน อินเดีย และจีน ซึ่งถือเป็นตลาดที่ใหญ่มาก โดยสิ่งสำคัญคือ ต้องสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้เข้มแข็งขึ้น ผ่านการส่งเสริมการลงทุน

 

สำหรับตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ในไตรมาส 3 ที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า มีการขยายตัวเพียง 1.2% YoY ด้าน ดร.เอกนิติมองว่า ในไตรมาส 4 เศรษฐกิจไทยจะกลับมาดีขึ้นได้ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่รัฐบาลดำเนินการไว้

The post เอกนิติยืนยัน เจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ เดินหน้าต่อ ตั้งเป้าปิดดีลภายในสิ้นปี 2568 appeared first on THE STANDARD.

]]>
เหตุระเบิดรถยนต์ใกล้ Red Fort ในเดลี เสียชีวิตอย่างน้อย 8 คน รู้อะไรแล้วบ้าง https://thestandard.co/delhi-car-bomb-red-fort/ Tue, 11 Nov 2025 04:31:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1141957 เหตุระเบิดรถยนต์ใกล้ Red Fort ในเดลี เสียชีวิตอย่างน้อย 8 คน รู้อะไรแล้วบ้าง

เกิดเหตุระเบิดขึ้นในรถยนต์คันหนึ่งใกล้ป้อมแดง (Red Fort […]

The post เหตุระเบิดรถยนต์ใกล้ Red Fort ในเดลี เสียชีวิตอย่างน้อย 8 คน รู้อะไรแล้วบ้าง appeared first on THE STANDARD.

]]>
เหตุระเบิดรถยนต์ใกล้ Red Fort ในเดลี เสียชีวิตอย่างน้อย 8 คน รู้อะไรแล้วบ้าง

เกิดเหตุระเบิดขึ้นในรถยนต์คันหนึ่งใกล้ป้อมแดง (Red Fort) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีผู้คนหนาแน่นในเดลี เมื่อวานนี้ (10 พฤศจิกายน) เวลา 18:52 น. ตามเวลาท้องถิ่นอินเดีย ตำรวจระบุว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 8 คน และบาดเจ็บอีก 20 คน

 

รถยนต์คันที่เกิดเหตุบรรทุกผู้โดยสาร 3 คน โดยได้เคลื่อนที่ช้าๆ และหยุดที่ไฟแดงก่อนที่จะเกิดการระเบิดขึ้น บริเวณด้านนอกสถานีรถไฟใต้ดินใกล้ Red Fort ทำให้รถยนต์ที่จอดอยู่ใกล้เคียงได้รับความเสียหายตามไปด้วย

 

เบื้องต้น ยังไม่ทราบสาเหตุของการระเบิดในขณะนี้ เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่า เป็นการโจมตีโดยเจตนาหรือไม่ แม้ว่าจะมีการคาดเดาอย่างมากในสื่ออินเดีย

 

ขณะที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของอินเดียยืนยันว่า ผู้สอบสวนกำลัง ‘สำรวจความเป็นไปได้ทั้งหมด’ ที่อยู่เบื้องหลังการระเบิด และกำลังดำเนินการสืบสวนอย่างเต็มความสามารถ โดยเจ้าหน้าที่กำลังพยายามตรวจสอบที่มาและกรรมสิทธิ์ของรถยนต์คันที่เกิดเหตุระเบิด

 

คาดการณ์ว่า เจ้าหน้าที่ความมั่นคงระดับสูงจะมีการประชุมกันในวันนี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับความคืบหน้าของการสืบสวน

 

อีกทั้งยังมีการยกระดับการเตือนภัยระดับสูงในสถานที่สำคัญต่างๆ รวมถึงในรัฐอุตตรประเทศที่อยู่ใกล้เคียง และสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งของเดลี มีการรักษาความปลอดภัยอย่างหนาแน่นที่โรงพยาบาลใกล้เคียงที่ผู้บาดเจ็บถูกนำตัวไปรักษา

 

ทางด้านนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ได้แสดงความเสียใจต่อผู้ที่สูญเสียคนที่รัก พร้อมระบุว่ากำลังตรวจสอบและติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด

 

ภาพ: Adnan Abidi / Reuters

 

อ้างอิง:

The post เหตุระเบิดรถยนต์ใกล้ Red Fort ในเดลี เสียชีวิตอย่างน้อย 8 คน รู้อะไรแล้วบ้าง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ญี่ปุ่นเนื้อหอม! นักท่องเที่ยวอินเดียทะลักเข้าประเทศช่วงดีวาลีพุ่ง 37% ธุรกิจโรงแรม-ทัวร์ ชูอาหารมังสวิรัติ รับตลาดโตแรง https://thestandard.co/india-tourism-boom-japan-veg/ Wed, 05 Nov 2025 05:41:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1139883 ญี่ปุ่นเนื้อหอม นักท่องเที่ยวอินเดียทะลักเข้าประเทศช่วง ดีวาลีพุ่ง 37% ธุรกิจโรงแรม-ทัวร์ ชูอาหารมังสวิรัติ รับตลาดโตแรง

ธุรกิจท่องเที่ยวของญี่ปุ่น เร่งปรับตัวรับนักท่องเที่ยวช […]

The post ญี่ปุ่นเนื้อหอม! นักท่องเที่ยวอินเดียทะลักเข้าประเทศช่วงดีวาลีพุ่ง 37% ธุรกิจโรงแรม-ทัวร์ ชูอาหารมังสวิรัติ รับตลาดโตแรง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ญี่ปุ่นเนื้อหอม นักท่องเที่ยวอินเดียทะลักเข้าประเทศช่วง ดีวาลีพุ่ง 37% ธุรกิจโรงแรม-ทัวร์ ชูอาหารมังสวิรัติ รับตลาดโตแรง

ธุรกิจท่องเที่ยวของญี่ปุ่น เร่งปรับตัวรับนักท่องเที่ยวชาวอินเดียที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในช่วงเทศกาลดีวาลี ซึ่งถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวฮินดูและเป็นช่วงวันหยุดยาวของชาวอินเดีย หลายธุรกิจในญี่ปุ่นเดินหน้าพัฒนาเมนูอาหารมังสวิรัติเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้โดยเฉพาะ

 

เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา บรรยากาศย่านอาซากุสะในกรุงโตเกียว เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย โดยครอบครัวหนึ่งจากมุมไบ เล่าว่า ตนเองเลือกเดินทางมาเที่ยวญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในช่วงดีวาลี เพราะชื่นชอบญี่ปุ่นที่เป็นเมืองสะอาดและผู้คนมีอัธยาศัยดี

 

สอดคล้องกับข้อมูลจาก องค์การการท่องเที่ยวญี่ปุ่น ระบุว่า ในช่วงเดือนมกราคม–กันยายนที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวชาวอินเดียเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นกว่า 233,400 คน เพิ่มขึ้นถึง 37% จากปีก่อนหน้า และสูงกว่าทั้งปี 2024 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะช่วงเดือนตุลาคม–พฤศจิกายน ซึ่งตรงกับเทศกาลดีวาลี มีนักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางเข้ามาราว 45,000 คน หรือคิดเป็น 19% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดในช่วงเวลาดังกล่าว

 

สุงูริ มิคามิ ซีอีโอของบริษัท Storytelling จากเมืองคุรุคราม ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นที่ปรึกษาช่วยธุรกิจญี่ปุ่นขยายตลาดในอินเดีย กล่าวว่า เทศกาลดีวาลีเป็นช่วงเวลาที่ธุรกิจในอินเดียจำนวนมากหยุดทำการ และผู้คนมักใช้โอกาสนี้เดินทางไปท่องเที่ยวในต่างประเทศ และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาชาวอินเดียจะนิยมเดินทางไปญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกๆ เนื่องจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่า การเพิ่มขึ้นของเที่ยวบินตรง และกระแสรีวิวจากอินฟลูเอนเซอร์บนโซเชียลมีเดียที่แสดงให้เห็นวัฒนธรรมที่หลากหลายในญี่ปุ่น

 

แนวโน้มดังกล่าวส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมในญี่ปุ่นได้รับอานิสงส์โดยตรง เครือ Seibu Prince Hotels Worldwide รายงานว่า ยอดจองจากนักท่องเที่ยวอินเดียในเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นราว 30% จากปีก่อน และคาดว่าจะพุ่งขึ้นกว่า 200% ในเดือนพฤศจิกายน ขณะที่ โรงแรม Grand Prince Hiroshima ได้จ้างพนักงานชาวอินเดียมาเพื่อดูแลแขกจากอินเดียโดยเฉพาะ

 

แน่นอนว่าอาหารก็เป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจเดินทางของนักท่องเที่ยวอินเดีย โดยประชากรอินเดียส่วนใหญ่แล้วเป็นมังสวิรัติ ด้วยเหตุผลทางศาสนาและวัฒนธรรม ก็เป็นอีกจุดที่ธุรกิจญี่ปุ่นเร่งปรับตัวเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว เห็นได้จาก บริษัท JTB Global Marketing & Travel ในโตเกียวได้เริ่มให้บริการอาหารอินเดียแบบทาลี มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2024 ส่วนนักท่องเที่ยวที่ร่วมทัวร์ชมภูเขาไฟฟูจิ ก็จะได้รับประทาน
อาหารมังสวิรัติ

 

ด้าน ทากาฮิโตะ ซูซูกิ ผู้บริหาร JTB Global Marketing กล่าวต่อว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวอินเดียคิดเป็น 10% ของลูกค้าทัวร์ Sunrise Tours เพิ่มขึ้นจากเพียง 1% ก่อนช่วงโควิด และกลายเป็นกลุ่มใหญ่ลำดับสามรองจากนักท่องเที่ยวสหรัฐฯ และออสเตรเลีย และทุกครั้งที่ชาวอินเดียมาเที่ยว พวกเขาจะรู้สึกโล่งใจทุกครั้งที่สามารถหามื้ออาหารที่เป็นมังสวิรัติได้สะดวกขึ้น ทำให้บริษัทเตรียมขยายเมนูทาลี ไปในกลุ่มทัวร์ต่างๆ ในเมืองเกียวโต นารา นิกโก และซัปโปโร

 

อย่างไรก็ตาม จากรายงานของ McKinsey คาดการณ์ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวชาวอินเดียที่เดินทางออกนอกประเทศจะเพิ่มขึ้นแตะ 80–90 ล้านคนต่อปี หรือมากกว่าปี 2022 ถึง 6–7 เท่า สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพตลาดที่มหาศาลสำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลก

 

อ้างอิง:

The post ญี่ปุ่นเนื้อหอม! นักท่องเที่ยวอินเดียทะลักเข้าประเทศช่วงดีวาลีพุ่ง 37% ธุรกิจโรงแรม-ทัวร์ ชูอาหารมังสวิรัติ รับตลาดโตแรง appeared first on THE STANDARD.

]]>
กองทัพบกเผยติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา อย่างใกล้ชิด หลังพบแรงงานต่างชาติหลบหนีจาก KK-Park ข้ามมายังฝั่งไทยกว่า 1,500 คน https://thestandard.co/army-monitors-kk-park-escape/ Sat, 01 Nov 2025 07:40:24 +0000 https://thestandard.co/?p=1138670 กองทัพบกเผยติดตามสถานการณ์ชายแดน ไทย-เมียนมา อย่างใกล้ชิด หลังพบแรงงานต่างชาติหลบหนีจาก KK-Park ข้ามมายังฝั่ง ไทยกว่า 1,500 คน

วันนี้ (1 พฤศจิกายน) กองทัพบกโดยกองกำลังนเรศวร ยังคงติด […]

The post กองทัพบกเผยติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา อย่างใกล้ชิด หลังพบแรงงานต่างชาติหลบหนีจาก KK-Park ข้ามมายังฝั่งไทยกว่า 1,500 คน appeared first on THE STANDARD.

]]>
กองทัพบกเผยติดตามสถานการณ์ชายแดน ไทย-เมียนมา อย่างใกล้ชิด หลังพบแรงงานต่างชาติหลบหนีจาก KK-Park ข้ามมายังฝั่ง ไทยกว่า 1,500 คน

วันนี้ (1 พฤศจิกายน) กองทัพบกโดยกองกำลังนเรศวร ยังคงติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา พื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก อย่างใกล้ชิด หลังปรากฏสถานการณ์ที่ทหารเมียนมาเข้าควบคุมพื้นที่โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษ KK-Park บ้านเองจีเมี่ยง อำเภอเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา

 

ส่งผลให้กลุ่มทุน พนักงานที่มีความเชื่อมโยงกับการพนัน และชาวต่างชาติภายในโครงการเกิดความหวาดกลัว และทยอยหลบหนีเข้ามายังฝั่งไทยอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม 2568

 

ขณะนี้ หน่วยเฉพาะกิจราชมนู กองกำลังนเรศวร ยังคงลาดตระเวนเฝ้าตรวจตามแนวชายแดนอย่างเข้มงวด พร้อมทั้งประสานและได้ทำหนังสือประท้วงผ่านคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นไทย-เมียนมา (TBC) เพื่อขอให้ฝ่ายเมียนมาดำเนินการอย่างระมัดระวังในการทำลายอาคารสิ่งปลูกสร้างภายในโครงการฯ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ชายแดนของทั้งสองประเทศแล้ว

 

ล่าสุด ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านด้านเมียนมา จังหวัดตาก รายงานว่า วันนี้ (1 พฤศจิกายน) เวลา 07.00 น. มีบุคคลต่างชาติ/ต่างด้าว และชาวไทย ข้ามมายังฝั่งไทยจากพื้นที่โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษจีน KK-Park รวม 1,595 คน แบ่งเป็นชาย 1,330 คน และหญิง 265 คน

 

ได้แก่ ชาวอินเดีย 465 คน (ชาย 440 หญิง 25) รองลงมาคือ ฟิลิปปินส์ 220 คน (ชาย 122 หญิง 98), จีน 185 คน (ชาย 180 หญิง 5), เวียดนาม 151 คน (ชาย 129 หญิง 22) และเอธิโอเปีย 130 คน (ชาย 118 หญิง 12)

 

นอกจากนี้ ยังมีบุคคลจากประเทศอื่นๆ อีกกว่า 20 สัญชาติ เช่น เคนยา ปากีสถาน เนปาล ยูเครน อินโดนีเซีย ลาว แอฟริกาใต้ กานา ไนจีเรีย ศรีลังกา รวันดา เมียนมา และไทย

 

มีรายละเอียดบุคคลต่างชาติ/ต่างด้าว และคนไทยผ่านการคัดกรอง/ดำเนินคดี ดังนี้

 

  • พื้นที่สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 จำนวน 860 คน
  • พื้นที่สถานีตำรวจภูธรแม่สอด 712 คน
  • โดยมีบุคคลต่างชาติ/ต่างด้าวถูกดำเนินคดี 680 คน ชำระค่าปรับ/ผลักดัน 439 คน, ไม่เสียค่าปรับ/เข้าเรือนจำ 241 คน และคนไทยเปรียบเทียบปรับ 32 คน
  • เข้าสู่กระบวนการตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ (National Referral Mechanism: NRM) 23 คน โดยเข้าสู่กระบวนการ NRM 18 คน, เข้าสถานคุ้มครองจังหวัดพิษณุโลก 1 คน และสถานคุ้มครองจังหวัดเชียงราย 4 คน

 

ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านด้านเมียนมา จังหวัดตาก ยืนยันว่าทุกคนได้รับการคัดกรองตามขั้นตอนทั้งด้านความมั่นคงและสาธารณสุข เพื่อความปลอดภัยของประเทศและประชาชนในพื้นที่ โดยอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง หน่วยเฉพาะกิจราชมนู และหน่วยความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนจังหวัดตากอย่างใกล้ชิด

The post กองทัพบกเผยติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา อย่างใกล้ชิด หลังพบแรงงานต่างชาติหลบหนีจาก KK-Park ข้ามมายังฝั่งไทยกว่า 1,500 คน appeared first on THE STANDARD.

]]>
KResearch ชี้ ข้าวไทยราคาตกยาวถึง ไตรมาส 1/2569 จากผลผลิตล้นตลาด ก่อนฟื้นเล็กน้อยปีหน้า https://thestandard.co/kresearch-thai-rice-price-drop-2026/ Sat, 01 Nov 2025 06:41:03 +0000 https://thestandard.co/?p=1138653 KResearch ชี้ ข้าวไทย ราคาตกยาวถึง ไตรมาส 1/2569 จากผลผลิตล้นตลาด ก่อนฟื้นเล็กน้อยปีหน้า

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาด ราคาข้าวไทยปี 2568 อาจหดตัวลึกถึ […]

The post KResearch ชี้ ข้าวไทยราคาตกยาวถึง ไตรมาส 1/2569 จากผลผลิตล้นตลาด ก่อนฟื้นเล็กน้อยปีหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
KResearch ชี้ ข้าวไทย ราคาตกยาวถึง ไตรมาส 1/2569 จากผลผลิตล้นตลาด ก่อนฟื้นเล็กน้อยปีหน้า

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาด ราคาข้าวไทยปี 2568 อาจหดตัวลึกถึง 10.9% ไปเฉลี่ยอยู่ที่ 11,175 บาทต่อตัน และคาดว่าจะหดตัวต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 1 ปี 2569 สำหรับภาพรวมทั้งปี 2569 ราคาข้าวไทยอาจฟื้นเล็กน้อยราว 0.8%

 

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) คาดว่า ราคาข้าวไทยในปี 2568 อาจหดตัวลึกถึง 10.9% ไปเฉลี่ยอยู่ที่ 11,175 บาทต่อตัน นับเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 4 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้ มีราคาเติบโตดีเฉลี่ยถึง 6.4% ต่อปี ในช่วงปี 2565-2567

 

สำหรับปัจจัยฉุดราคาที่สำคัญมาจากผลผลิตข้าวในระดับสูง ด้วยสภาพอากาศที่เป็นปรากฏการณ์ลานีญาเอื้อต่อการผลิต โดยไทยมีผลผลิตข้าวพุ่งแตะ 35.8 ล้านตัน สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตถึง 1.11 เท่า สอดคล้องไปกับผลผลิตข้าวโลกที่เพิ่มขึ้น 3.3% ดันสต็อกข้าวโลกเพิ่ม 5% และมีอุปทานส่วนเกินโลกสูงถึง 8.98 ล้านตัน

 

นอกจากนี้ อินเดียยังได้เร่งส่งออกข้าวเพิ่มกว่า 34.2% จากแรงหนุนด้านผลผลิตในประเทศที่สูงถึง 150 ล้านตัน ฉุดราคาข้าวโลกให้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งฟิลิปปินส์ยังได้สั่งงดนำเข้าข้าวตั้งแต่เดือน ก.ย. 2568 ส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกและราคาข้าวไทยปรับลดลง

 

คาดไตรมาส 1 ปี 2569 ลดอีก 0.9%

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ราคาข้าวไทยคาดยังปรับลดลงในไตรมาสแรกปี 2569 ที่ 0.9% จากผลผลิตยังสูงและอุปสงค์ที่ลดลงในผู้นำเข้าหลัก

 

เนื่องจากสภาพอากาศที่ยังเอื้อต่อการผลิตของปรากฏการณ์ลานีญาที่คงมีอยู่ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2569 จะช่วยหนุนผลผลิตข้าวไทยให้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในฤดูข้าวนาปรังที่จะมีผลผลิตออกสู่ตลาดราว 41.8% ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด จะส่งผลให้ราคาข้าวปรับลดลง

 

นอกจากนี้ ยังมีอีกปัจจัยที่ทำให้ราคาข้าวปรับลดลง คือ ผู้นำเข้าหลักอย่างฟิลิปปินส์ที่งดการนำเข้าข้าวไปจนถึงเดือน เม.ย. 2569 ซึ่งจะส่งผลให้อุปทานข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น และจะยิ่งกดดันราคาข้าว อีกทั้งยังส่งผลต่อการส่งออกข้าวไทยไปฟิลิปปินส์ให้ลดลงด้วย ทั้งนี้ ฟิลิปปินส์เป็นตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญของไทยเป็นอันดับที่ 5 คิดเป็น 6.2% ของปริมาณการส่งออกข้าวทั้งหมดของไทย

 

คาดปี 2569 ราคาข้าวไทยอาจฟื้นเล็กน้อยราว 0.8%

 

อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ทั้งปี 2569 ราคาข้าวไทยอาจฟื้นขึ้นได้เล็กน้อยราว 0.8% เป็นไปตามราคาข้าวโลกที่เผชิญอุปสงค์ส่วนเกิน ทำให้คาดว่าราคาข้าวไทยทั้งปี 2569 จะขยับขึ้นเล็กน้อยไปเฉลี่ยอยู่ที่ 11,264 บาทต่อตัน เป็นไปตามราคาข้าวโลกที่เผชิญอุปสงค์ส่วนเกิน

 

สำหรับปัจจัยหนุนราคาข้าวในตลาดโลกทั้งปี 2569 มีดังนี้

 

  • อุปสงค์ส่วนเกินของโลกอยู่ที่ 1.1 ล้านตัน โดยคาดว่าความต้องการบริโภคอยู่ที่ 542.2 ล้านตัน ขณะที่ผลผลิตอยู่ที่ 541.1 ล้านตัน ทั้งนี้ ผลผลิตอาจเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อยเพียง 0.03% เนื่องจากผลกระทบของสภาพอากาศที่ร้อนแล้งขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จนอาจเกิดเป็นปรากฏการณ์เอลนีโญ
  • สต็อกข้าวของโลกลดลง 0.6% ไปอยู่ที่ 187.3 ล้านตัน
  • อินเดียส่งออกข้าวในอัตราที่ชะลอลง คาดว่าอินเดียจะมีปริมาณส่งออกข้าวโตชะลอลงมาที่ 4.2% เทียบจากปีก่อนที่โตพุ่งถึง 34.2% สอดคล้องไปกับผลผลิตข้าวในประเทศที่โตชะลอลงมาที่ 0.7% เทียบจากปีก่อนที่โตสูงกว่า 8.8%

 

อย่างไรก็ดี แม้ว่าภาพรวมราคาข้าวไทยทั้งปี 2569 จะฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้าง แต่หากพิจารณาในประเภทข้าวจะพบว่า ข้าวขาว น่าจะยังมีราคาหดตัวอยู่ เนื่องจากเป็นประเภทข้าวที่มีการแข่งขันด้านราคากันอย่างรุนแรงในตลาดโลก ซึ่งข้าวขาวไทยยังแข่งขันได้ยากจากราคาที่แพงกว่าคู่แข่งทั้งอินเดียและเวียดนาม เพราะไทยมีต้นทุนการผลิตสูงและผลผลิตต่อไร่ต่ำกว่าคู่แข่ง

The post KResearch ชี้ ข้าวไทยราคาตกยาวถึง ไตรมาส 1/2569 จากผลผลิตล้นตลาด ก่อนฟื้นเล็กน้อยปีหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>