In partnership – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 10 May 2023 01:22:53 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ไอเดียเครื่องดื่มคลายร้อนช่วง Summer ด้วยไวน์และส่วนผสมที่หาได้จากซูเปอร์มาร์เก็ต https://thestandard.co/summer-wine-now-selection/ Sun, 03 May 2020 07:18:42 +0000 https://thestandard.co/?p=360117

ชวนคุณพุ่งไปซูเปอร์มาร์เก็ต กับ 3 ไอเดียเครื่องดื่มคลาย […]

The post ไอเดียเครื่องดื่มคลายร้อนช่วง Summer ด้วยไวน์และส่วนผสมที่หาได้จากซูเปอร์มาร์เก็ต appeared first on THE STANDARD.

]]>

ชวนคุณพุ่งไปซูเปอร์มาร์เก็ต กับ 3 ไอเดียเครื่องดื่มคลายร้อนจากไวน์ ทำเองได้ง่ายๆ ที่บ้าน ในช่วงที่ยังต้อง Social Distancing!

เพิ่มเติมคลิก 🛒

th.wine-now.asia/wine-now-selection/jacob-s-creek.html

 

[IN PARTNERSHIP WITH JACOB’S CREEK]

The post ไอเดียเครื่องดื่มคลายร้อนช่วง Summer ด้วยไวน์และส่วนผสมที่หาได้จากซูเปอร์มาร์เก็ต appeared first on THE STANDARD.

]]>
เพราะโลกเปลี่ยน ไวน์จึงต้องเปลี่ยนตาม มาอัปเดตเทรนด์ไวน์ 2020 กันเถอะ! https://thestandard.co/wine-world-2020/ Fri, 17 Jan 2020 12:08:43 +0000 https://thestandard.co/?p=321828

ตลอดปีที่ผ่านมาเราได้เห็นเรื่องราวและปรากฏการณ์ทางสังคม […]

The post เพราะโลกเปลี่ยน ไวน์จึงต้องเปลี่ยนตาม มาอัปเดตเทรนด์ไวน์ 2020 กันเถอะ! appeared first on THE STANDARD.

]]>

ตลอดปีที่ผ่านมาเราได้เห็นเรื่องราวและปรากฏการณ์ทางสังคมมากมาย โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นที่พูดถึงกันในวงกว้างอย่างภาวะโลกร้อนและสิ่งแวดล้อมที่กำลังเสื่อมโทรมลง เราจึงได้เห็นการออกมาเรียกร้องให้ประชากรโลกตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว เช่น เกรตา ธันเบิร์ก เด็กหญิงวัย 17 ปี ได้ออกมาพูดถึงปัญหาดังกล่าวจนทำให้คนทั้งโลกหันไปสนใจเสียงของเธอและอนาคตของตัวเองมากขึ้น

 

แล้วประเด็นเหล่านั้นจะส่งผลกระทบอะไรกับวงการเครื่องดื่มสีสวยอย่างไวน์บ้างล่ะ เราได้รวบรวมการพยากรณ์ทิศทางของเทรนด์ไวน์ในปี 2020 ที่น่าสนใจมาให้คุณได้ลองอ่านและเตรียมตัวเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงที่แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวและการใช้เทคโนโลยีเข้ามาเพื่อสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้กับไวน์ได้อีก 

 

 

สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปคือเรื่องสำคัญ

แน่นอนว่าองุ่นทำไวน์ที่ได้รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่มีเรื่องของสภาพอากาศเข้ามาเกี่ยวข้องแน่นอน เพราะการเพาะปลูกองุ่นเพื่อทำไวน์ในสภาพอากาศที่แตกต่างกันก็ย่อมให้รสชาติที่แตกต่างกัน แต่ถ้าภูมิอากาศในท้องถิ่นนั้นๆ เปลี่ยนแปลงไปจะส่งผลกระทบต่อรสชาติของไวน์หรือไม่ คำตอบก็คือ ‘ใช่’ แต่สิ่งที่อุตสาหกรรมไวน์จำเป็นจะต้องปรับตัวในที่นี้คือการ ‘ทดลอง’ อะไรใหม่ๆ เกี่ยวกับการเพาะปลูก ซึ่งนั่นหมายถึงการที่ผู้บริโภคจะได้ลิ้มชิมรสชาติไวน์ที่แปลกใหม่ขึ้น ตามที่ Bloomberg ได้คาดคะเนไว้ ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่าไร่ไวน์ต่างๆ อาจมีการคัดสรร ดัดแปลง หรือค้นหาพันธุ์องุ่นที่เหมาะกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปมากขึ้น และนั่นคือกำไรของนักดื่มอย่างเราๆ แน่นอน!

 

 

หรือไวน์จะถูกบรรจุลงกระป๋อง?

หนึ่งในไอเดียที่ค่อนข้างจะเป็นเรื่องใหม่ของไวน์คือการสรรหาบรรจุภัณฑ์ใหม่ๆ ในการบรรจุไวน์เพื่อการค้าขาย แทนที่จะบรรจุไวน์ลงขวดแบบดั้งเดิมที่เคยเป็นมา ซึ่งการบรรจุลงกระป๋องนั้นเป็นการผลิตที่คิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองเรื่องของสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะขนาดของมันที่จะทำให้การขนส่งง่ายขึ้น ลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนได้ และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากอะลูมิเนียมอย่างกระป๋องยังสามารถนำไปรีไซเคิลได้สมบูรณ์กว่าขวดแก้ว รวมถึงการผลิตจุกขวดไวน์ที่เป็น Zero Carbon กล่าวคือผลิตโดยไม่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ ซึ่งถือเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ค่อนข้างสำคัญและน่าสนใจในปีนี้

 

ไวน์ที่บ่มในอวกาศ

เรื่องที่น่าตื่นเต้นที่สุดในปีนี้คือการที่โครงการอวกาศของประเทศลักเซมเบิร์กเพิ่งจะส่งขวดไวน์แดงขึ้นไปในอวกาศเพื่อทำการบ่มไว้ 12 เดือน ทั้งนี้ก็เพื่อทำการศึกษามวลของไวน์ที่อยู่ในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงว่าจะมีรสชาติและมวลที่แตกต่างกับไวน์ที่บ่มบนโลกมากแค่ไหน โดยมีมหาวิทยาลัยจากทั้งในบอร์โดซ์ของฝรั่งเศส บาวาเรีย และเยอรมนี เป็นผู้ร่วมทำการศึกษา

 

 

ไวน์ไร้น้ำตาล ไวน์แอลกอฮอล์ต่ำยังฮิต

จากการสำรวจของ International Wines and Spirits Record เผยว่ากลุ่มผู้ดื่มกว่า 52% ในสหรัฐอเมริกาได้พยายามลองหรือต้องการที่จะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ที่น้อยลง ซึ่งก็เป็นตลาดสำคัญของกลุ่มผู้ผลิตไวน์เช่นกันที่จะพาไวน์แอลกอฮอล์ต่ำออกมาให้ผู้ดื่มได้ชิมกัน และคาดว่าตลาดนี้จะเติบโตขึ้นอย่างมากในปีนี้ ซึ่งต่อเนื่องมาจากไอเดียของการรักษาสุขภาพที่ยังคงเป็นเรื่องสำคัญในสังคม ก่อให้เกิดกระแสเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่ำที่ทุกสำนักมองตรงกันว่ามาแรงแซงโค้งในปี 2020 นี้แน่นอน

 

#ทีมไวน์ออร์แกนิก กำลังมา!

เทรนด์ไวน์ที่คาดว่าจะมีบทบาทสำคัญในปีนี้ก็คือ ไวน์ออร์แกนิก (Organic Wine) ความหมายเบื้องต้นของมันก็เหมือนกับอาหารออร์แกนิกนั่นแหละ คือเป็นไวน์ที่จะต้องผลิตจากองุ่นออร์แกนิก ปลูกด้วยดินและปุ๋ยธรรมชาติเท่านั้น ไม่ใช้ยาฆ่าแมลงในกระบวนการเพาะพันธุ์ จึงได้มาซึ่งไวน์ที่รสชาติเยี่ยม อีกทั้งยังไร้สารเคมีตกค้าง นอกจากนี้ยังมี Natural Wine ที่เป็นอีกประเภทของไวน์ออร์แกนิกด้วย ซึ่งไวน์ชนิดนี้คือการให้ไวน์ได้เป็นไวน์ตามธรรมชาติของมัน หมักด้วยยีสต์ธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่ง ไม่กรอง เราจึงจะได้รสชาติไวน์ธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมที่สุด

 

และอีกประเภทหนึ่งคือไวน์ไบโอไดนามิก (Biodynamic Wine) คือการทำเกษตรกรรมไวน์แบบหนึ่งที่จะเน้นย้ำเรื่องการไม่ใช้สารเคมี แต่ที่พิเศษกว่าไวน์อื่นๆ คือการควบรวมศาสตร์ของการเกษตรแบบดั้งเดิมที่จะต้องเก็บเกี่ยวตามฤดูกาล มีปฏิทินสำหรับการปลูก การเก็บ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพลมฟ้าอากาศ ข้างขึ้นข้างแรม เพื่อให้ได้ผลผลิตที่เหมาะสมที่สุดในการนำมาทำไวน์ 

 

อันนี้น่าชิมมากนะ!

 

การท่องเที่ยวไปกับไวน์จะเป็นเรื่องน่าสนุก

Enotourism คำเรียกของการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมไวน์ คือการไปเที่ยวไร่ไวน์ ร่วมเทสต์ไวน์กับผู้ผลิต หรือลงมือเก็บเกี่ยวเอง ซี่งเราเคยพาคุณไปสนุกกับการท่องเที่ยวแบบนี้มาแล้วที่บารอสซาแวลลีย์ในประเทศออสเตรเลีย บ้านเกิดของ Jacob’s Creek และคุณรู้หรือไม่ว่าตามข้อมูลของ UN World Tourism Organization ได้ทำการสำรวจมาแล้วว่ามีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลไปยังไร่ไวน์เช่นนี้กว่า 6 แสนครั้งในปีที่ผ่านมา ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่น่าสนใจ เพราะนอกจากการท่องเที่ยวเช่นนี้จะได้ไปสัมผัสกับบรรยากาศของไร่ไวน์แล้ว การได้ชิม ดื่มด่ำกับรสชาติ และเพิ่มความรู้ในเรื่องไวน์ ก็เป็นการสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับนักท่องเที่ยวอีกด้วยนะ

 

Advertorial Jacob's Creek

 

ภาพ: Shutterstock

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

The post เพราะโลกเปลี่ยน ไวน์จึงต้องเปลี่ยนตาม มาอัปเดตเทรนด์ไวน์ 2020 กันเถอะ! appeared first on THE STANDARD.

]]>
คุณอาจจะปฏิเสธได้ว่าขยะไม่ใช่ของคุณ https://thestandard.co/gc-circular-living-symposium/ Sat, 28 Dec 2019 04:00:52 +0000 https://thestandard.co/?p=314295 ลุงซาเล้งกับขยะที่หายไป

“คุณอาจจะปฏิเสธได้ว่าขยะไม่ใช่ของคุณ แต่สิ่งหนึ่งที่คุณ […]

The post คุณอาจจะปฏิเสธได้ว่าขยะไม่ใช่ของคุณ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ลุงซาเล้งกับขยะที่หายไป

“คุณอาจจะปฏิเสธได้ว่าขยะไม่ใช่ของคุณ แต่สิ่งหนึ่งที่คุณปฏิเสธไม่ได้เลยคือโลกใบนี้เป็นบ้านหลังเดียวของคุณ ต้นตอจริงๆ ของปัญหามันอยู่ที่ว่าขยะไม่มีเจ้าของ มันมีคนที่เป็นเจ้าของอยู่ไม่กี่คน ก็คืออาชีพลุงซาเล้ง นอกนั้นไม่มีใครอยากได้แล้วครับ ก่อนที่เราจะมาแก้ปัญหาอะไรก็ตาม เราต้องมาเปลี่ยนความคิดนี้ก่อน”

 

เปรม พฤกษ์ทยานนท์

ผู้ประกอบการธุรกิจรีไซเคิล และเจ้าของเพจ ‘ลุงซาเล้งกับขยะที่หายไป’

 

 

INPARTNERSHIP-GC

The post คุณอาจจะปฏิเสธได้ว่าขยะไม่ใช่ของคุณ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สสส. จับมือภาคีเครือข่าย ปรับแผนแรง เน้นตรงจุด ลด เจ็บ ตาย รับ 7 วันอันตราย 2563 หวังทุกคนกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย https://thestandard.co/reducing-accidents-for-new-years-festival/ Fri, 27 Dec 2019 02:50:07 +0000 https://thestandard.co/?p=315755

เรื่องจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ตามรายงาน […]

The post สสส. จับมือภาคีเครือข่าย ปรับแผนแรง เน้นตรงจุด ลด เจ็บ ตาย รับ 7 วันอันตราย 2563 หวังทุกคนกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย appeared first on THE STANDARD.

]]>

เรื่องจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ตามรายงานเรื่อง ‘Global status report on road safety 2018’ ฉบับล่าสุด จากองค์การอนามัยโลก หรือ WHO จัดให้เราเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุสูงติดอันดับ 6 ของโลก และเป็นอันดับหนึ่งของอาเซียน ตำแหน่งที่ไม่น่าภูมิใจนัก และช่วงเทศกาลคือช่วงเวลาแห่งความสูญเสียมากที่สุด ที่ WHO ระบุชัด มียอดผู้เสียชีวิตเฉลี่ยสูงถึง 543 ราย ต่อหนึ่งเทศกาล

 

ขณะที่เมื่อเทียบกับช่วง 7 วันอันตราย ช่วงปีใหม่สามปีย้อนหลังระหว่างปี 2560-2562 มีจำนวน 1,364 ราย หรือวันละ 65 ราย ซึ่งถือเป็นความสูญเสียในระดับสูงและประเมินค่าไม่ได้ 

 

ดังนั้นปีนี้ 2563 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จับมือทั้ง สำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ มูลนิธิเมาไม่ขับ และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน จัดหนักมาตรการเข้มข้น ตรงจุด จัดเต็ม เน้นบทลงโทษแรง ร่วมรณรงค์พร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อลดการสูญเสียที่เกิดขึ้นให้ได้มากกว่าอดีตที่ผ่านมา  

 

“สถานการณ์ในช่วงปีใหม่ 2 ปีที่ผ่านมา ปี 2561-2562 ตัวเลขการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น จาก 423 ราย เป็น 463 ราย แม้ว่าจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุของปี 2562 น้อยกว่า แต่กลับเสียชีวิตเยอะกว่า แสดงว่าความรุนแรงของการชนในแต่ละครั้งเพิ่มขึ้น คือชนแล้วทำให้เสียชีวิต เพราะฉะนั้นเราทำงานมาระดับหนึ่ง เราสามารถลดจำนวนครั้งได้ แต่เราลดความรุนแรงในการเกิดอุบัติเหตุไม่ได้ ทำให้ตัวเลขการตายเพิ่มขึ้น จากการวิเคราะห์สาเหตุหลักก็มาจากความเร็วมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ และตามมาด้วยเมาแล้วขับ 

 

เมื่อตรวจเลือดคู่กรณีในที่เกิดเหตุจะพบว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์เกินที่กฎหมายกำหนด มากกว่า 50 มิลลิกรัม พบถึง 53% ที่สำคัญกรณีการเสียชีวิตมักไม่ได้เกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งอย่างเดียวเท่านั้น แต่เกิดจากปัจจัยร่วมหลายอย่าง เช่น อาจเกิดจากการขับเร็ว ความเมา อ่อนเพลีย หรือขับเร็วแล้วทำให้เกิดทัศนวิสัยไม่ดีหรืออื่นๆ แล้วก็พบว่าเมื่อดื่มแอลกอฮอล์แล้ว มีการละเลยไม่ใช้อุปกรณ์นิรภัยด้วย และมอเตอร์ไซค์ยังเป็นอันดับหนึ่งในการเกิดอุบัติเหตุ เนื่องจากประเทศไทยเราใช้มอเตอร์ไซค์เยอะ

 

พอเราเห็นสาเหตุหลักๆ อย่างนี้ สสส. จึงเร่งทำงานกับกลุ่มหลักคือมอเตอร์ไซค์ และดูแลปัจจัยสำคัญหลัก 4 เรื่อง คือ การขับรถเร็ว การดื่มไม่ขับ การใช้หมวกนิรภัย และการคาดเข็มขัด ซึ่งเป็นที่มาของการพยายามแก้ไขให้ตรงกับเหตุที่เกิดขึ้นมากที่สุด” 

 

 

รุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสังคม (สำนัก 10) สสส. ให้ข้อมูลถึงสาเหตุสำคัญของการสูญเสียที่เกิดขึ้น ก่อนกล่าวต่อถึงแผนป้องกันอันเข้มงวดจากทุกภาคีเครือข่าย ที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่กี่วันข้างหน้านับจากนี้

 

“จริงๆ เราทำงานมาตลอดทั้งปีกับภาคีเครือข่าย สสส. ทำงาน 3 พลัง ได้แก่ พลังแรก พลังวิชาการ ด้วยการสนับสนุนกรมควบคุมโรคให้เป็นเจ้าภาพหลักในการรวมฐานข้อมูลอัตราการเสียชีวิต มีทั้งข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ตำรวจ และข้อมูลจากบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ซึ่งในช่วง 7 วันอันตราย สามารถรายงานแบบเรียลไทม์ พอเช้าวันที่ 8 ก็สามารถสรุปผลได้เลย และมากไปกว่านั้น ยังสนับสนุนให้เก็บข้อมูลลงไปในทุกอำเภอด้วย

 

ส่วนพลังที่สอง เราสนับสนุนเครือข่ายในการทำงาน ให้เกิดอาสาที่เป็นลักษณะนักวิชาการ เรียกชื่อย่อเล่นๆ ว่า พี่เลี้ยง สอจร. ย่อมาจาก คณะทำงานสนับสนุนการป้องกันแก้ไขอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด จะมีอยู่ทุกจังหวัด โดยมีหน้าที่เข้าไปดูการทำงานตามนโยบายของศูนย์ป้องกันความปลอดภัยทางถนน ตั้งแต่ระดับจังหวัด อำเภอ ลงไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้กลไกทั้งสามมีกรรมการ มีแผนการดำเนินการ ว่าจะป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุตลอดทั้งปีได้อย่างไร แล้วนำมาประเมินผล และตอนนี้เราทำงานเข้าถึงระดับตำบลด้วย ทำให้เกิดนวัตกรรม อย่าง เริ่มจากครอบครัว เชื่อมไปด่านชุมชน แล้วก็ไปด่านตำรวจ หรือการมีกองร้อยน้ำหวาน ที่นำอาสาสมัครผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านเข้ามาอบรม เรื่องกฎจราจร วินัยจราจร และออกไปช่วยอำนวยความสะดวก ร่วมกับตำรวจภาค 4 ของกลุ่มจังหวัดอีสานตอนบน 13 จังหวัด ในขณะเดียวก็สังเกตพฤติกรรมไปด้วย เนื่องด้วยความเป็นผู้หญิงจะทำให้ด่านดูไม่รุนแรง ไม่ปะทะ ช่วยทำให้ตำรวจทำงานได้ง่าย และมีประสิทธิภาพขึ้น”

 

 

นอกจากนี้ รุ่งอรุณ ยังกล่าวถึงการดำเนินงานของ สสส. ในเรื่องการช่วยสนับสนุนและเสนอแนะนโยบายป้องกันให้เข้มงวดกว่าที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนมูลนิธิเมาไม่ขับ ในการประสานขอความร่วมมือกับคณะผู้พิพากษา อัยการ ศาล ตำรวจ ให้ดำเนินกฎหมายแยกชั้นโทษให้หนักขึ้น สำหรับกลุ่มที่เมาแล้วขับ สนับสนุนกระทรวงสาธารณสุขให้มีการวิจัยตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ทุกพื้นที่ในเทศกาลสำคัญ เพื่อยืนยันว่าการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์เป็นมาตรการป้องปรามผู้ดื่มออกมาขับขี่บนท้องถนน 

 

ร่วมมือกับสถานศึกษาทั่วประเทศให้ดูแลเรื่องกลุ่มเด็กและเยาวชน กลุ่มเสี่ยงหลัก ‘รถจักรยานยนต์’ เน้นมาตรการตรวจเข้มใบขับขี่ อุปกรณ์ไม่ชำรุด เยาวชนอายุต่ำกว่า 15 ปี ไม่ขี่นอกเขตชุมชน ตลอดจนการบังคับใช้พระราชบัญญัติให้ร้านค้าห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่ผู้มีอาการมึนเมา และเพิ่มเงื่อนไขเอาผิดกรณีขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี และนี่คือภาพรวมคร่าวๆ เท่านั้นที่ สสส. จับมือภาคีเครือข่าย เพื่อไม่ให้เทศกาลรื่นเริง เฉลิมฉลองปีใหม่ของคนไทย เป็น 7 วันสุดท้ายของตัวเอง ครอบครัว และคนที่เขารัก เพราะของขวัญที่ดีที่สุด คงจะไม่มีอะไรดีไปกว่าคุณได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย 

 

สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด สังคมต้องตระหนักรู้ถึงความเสียหายต่ออุบัติเหตุบนท้องถนนอย่างจริงจังเสียที และช่วยกันทำหน้าที่ลดตำแหน่งอันดับหนึ่งของอาเซียน ในเรื่องจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ก่อนขยับออกไปสู่ระดับโลกต่อไป 

 

[IN PARTNERSHIP WITH สสส.]

 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

The post สสส. จับมือภาคีเครือข่าย ปรับแผนแรง เน้นตรงจุด ลด เจ็บ ตาย รับ 7 วันอันตราย 2563 หวังทุกคนกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย appeared first on THE STANDARD.

]]>
วันนี้เราคิดว่าขยะเป็นผู้ร้าย เมื่อ 40 ปีที่แล้วขยะก็เคยเป็นพระเอกนะครับ https://thestandard.co/gc/ Wed, 25 Dec 2019 11:43:44 +0000 https://thestandard.co/?p=315559 gc

“ถุงพลาสติกในชั่วโมงนั้น เมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้วไม่ใช่ […]

The post วันนี้เราคิดว่าขยะเป็นผู้ร้าย เมื่อ 40 ปีที่แล้วขยะก็เคยเป็นพระเอกนะครับ appeared first on THE STANDARD.

]]>
gc

“ถุงพลาสติกในชั่วโมงนั้น เมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้วไม่ใช่ปัญหาขยะนะครับ แต่เอามาใช้แก้ปัญหาขยะ ในยุคนั้นเรามีปัญหาเรื่องการทิ้งขยะไม่ถูกที่ถูกทาง คือทุกวันนี้ที่เราคิดว่าขยะเป็นผู้ร้าย เมื่อ 40 ปีที่แล้วขยะก็เคยเป็นพระเอกนะครับ”

 

ดร.เกรียงศักดิ์ วงศ์พร้อมรัตน์

ผู้จัดการฝ่ายหน่วยงานพัฒนาตลาดธุรกิจปิโตรเคมีขั้นปลาย, GC

 

INPARTNERSHIP-GC

The post วันนี้เราคิดว่าขยะเป็นผู้ร้าย เมื่อ 40 ปีที่แล้วขยะก็เคยเป็นพระเอกนะครับ appeared first on THE STANDARD.

]]>
พวกเราต้องสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่ตลอดเวลา เเล้วเรากำลังสร้างโลกที่ดีขึ้นเพื่อทุกคนหรือเปล่า https://thestandard.co/gccircularliving/ Mon, 23 Dec 2019 11:00:38 +0000 https://thestandard.co/?p=314288

“ผมเคยคิดเสมอว่าในฐานะสถาปนิก เราต้องสร้างตึกอาคารใหม่ต […]

The post พวกเราต้องสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่ตลอดเวลา เเล้วเรากำลังสร้างโลกที่ดีขึ้นเพื่อทุกคนหรือเปล่า appeared first on THE STANDARD.

]]>

“ผมเคยคิดเสมอว่าในฐานะสถาปนิก เราต้องสร้างตึกอาคารใหม่ตลอดเวลา แล้วเรากำลังสร้างโลกที่ดีขึ้นเพื่อทุกคนหรือเปล่า มันเป็นคำถามที่ยิ่งใหญ่สำหรับผม ในฐานะคนที่ถูกสอนมาให้สร้างโปรเจกต์ต่างๆ”

รศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต ผู้อำนวยการศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม (Eco-Design) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

 

INPARTNERSHIP-GC

The post พวกเราต้องสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่ตลอดเวลา เเล้วเรากำลังสร้างโลกที่ดีขึ้นเพื่อทุกคนหรือเปล่า appeared first on THE STANDARD.

]]>
#ฮาวทูเล่นแอปฯ จุดประสงค์ที่ชัดเจนจะพาคุณไปเจอสิ่งที่ต้องการ (ที่ไม่ใช่แค่เซ็กซ์) https://thestandard.co/a-guide-to-tinder/ Fri, 20 Dec 2019 12:38:12 +0000 https://thestandard.co/?p=314373

“นี่เล่นแอปฯ นัดXXXด้วยเหรอ?”   คำถามของเพื่อนในกล […]

The post #ฮาวทูเล่นแอปฯ จุดประสงค์ที่ชัดเจนจะพาคุณไปเจอสิ่งที่ต้องการ (ที่ไม่ใช่แค่เซ็กซ์) appeared first on THE STANDARD.

]]>

“นี่เล่นแอปฯ นัดXXXด้วยเหรอ?”

 

คำถามของเพื่อนในกลุ่มยังคงติดตรึงในใจเราอยู่เสมอ คำถามนี้เกิดขึ้นเมื่อเพื่อนบังเอิญเหลือบไปเห็นแอปพลิเคชันสำหรับการหาคู่ในโทรศัพท์มือถือของเราในตอนนั้น ให้พูดตรงๆ ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ประสีประสาอะไรหรอก รู้แค่ว่าเราคงได้มีโอกาสได้เจอคนใหม่ๆ มีแฟนสักคน หรืออาจจะเป็นเซ็กซ์ดีๆ สักครั้ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็เป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการรับรู้ของเราที่มีต่อแอปพลิเคชันประเภทนี้

 

“แล้วมันต้องนัดXXXอย่างเดียวเลยหรือเปล่า” คำถามนี้ผมถามตัวเอง ซึ่งก็อย่างที่เข้าใจเลยว่าหลายๆ คนยังคงมองว่าการมีแอปพลิเคชันหาคู่ในเครื่องมันเป็นเหมือนการแสดงออกของการมองหาเซ็กซ์เท่านั้น และเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพจำมันคือเรื่องนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว อย่างแรกที่เราอยากทำความเข้าใจกับคุณคือกิจกรรมนัดเจอกันเพื่อมีเซ็กซ์ มันจะใช้แอปพลิเคชันไหนก็ได้! ไม่เกี่ยวหรอกว่าเป้าหมายของแอปฯ นี้คือหาเซ็กซ์ เป้าหมายของแอปฯ นั้นคือหาเพื่อน ไม่จำเป็นต้องเป็นแอปฯ หาคู่หรือแอปฯ ประเภท Social Discovery เท่านั้นหรอกคุณ ถ้าคนที่เขามีจุดประสงค์เดียวกัน เขาคุยกันรู้เรื่อง เขามองเห็นเป้าหมายเดียวกัน จะใช้แพลตฟอร์มไหนก็นัดกันได้ จริงหรือเปล่า?

 

เซ็กซ์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจากแอปพลิเคชันเท่านั้น บางคนอาจจะลองเดตกันหลายหนก่อน หรือบางคนอาจจะรู้สึกคลิกกันมากๆ หลังจากคุยจนก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์ขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้คุณได้เจอความสัมพันธ์ที่ต้องการคือ ‘ความชัดเจน’ ของตัวเองว่าคุณใช้งานสิ่งนี้เพื่อค้นหาอะไร ฉะนั้นในปัจจุบันเราจึงได้เห็นการใช้คำศัพท์อย่าง LTR หรือ Long-term Relationship เพื่อแสดงออกถึงการมองหาคนที่พร้อมมีความสัมพันธ์ระยะยาว, NSA หรือ No-String Attached เพื่อแสดงออกว่ากำลังมองหาความสัมพันธ์ที่ไม่ผูกมัดแสดงอยู่ในโปรไฟล์ของผู้ใช้งาน ซึ่งหากคุณตัดสินใจก็จะช่วยให้ไปถึงเป้าหมายได้ง่ายขึ้น มันคือการแสดงเจตจำนงที่แท้จริงในการใช้งานแอปฯ อย่างตรงไปตรงมา

 

ภาพจากภาพยนตร์เรื่อง Love, Simon (2018)

 

ในงานเขียนหนึ่งจากปี 2015 ที่ อีไล เจ. ฟินเคิล (Eli J. Finkel) ศาสตราจารย์ทางด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น ในสหรัฐอเมริกา เขียนไว้ใน The New York Times เกี่ยวกับการมองหาเพื่อนใหม่หรือเซ็กซ์จากแอปพลิเคชันว่า “คนโสดส่วนใหญ่แล้วต้องการความสนุก พวกเขาต้องการได้เจอหรือคุยกับคนที่น่าสนใจ และบางทีพวกเขาก็อยากมีความสัมพันธ์ที่จริงจังกับคนที่เจอในแอปพลิเคชัน แต่ทุกอย่างที่ว่านั้นอาจเริ่มต้นจากข้อความเร็วๆ ฉาบฉวย เพื่อค้นหาคนที่มีเคมีเข้ากันก่อนจะได้มาเจอหน้ากัน

 

“แต่สิ่งที่แท้จริงที่สุดเมื่อเราเริ่มต้นแมตช์กับใครสักคน เราอาจได้ไปเดตกับเขาจริงๆ และการที่เราได้รู้จักกันเร็ว ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องการเซ็กซ์เท่านั้น เว้นแต่ว่าคุณจะเป็นคนที่ชื่นชอบหรือมองหาอะไรที่เหมือนกันจริงๆ ซึ่งพอเราได้ลองคุยก่อนไปเจอกัน มันคือความยุติธรรมที่สุดที่เราจะรู้จักกันและกันว่าเราใช่หรือไม่ใช่ แอปพลิเคชันมันช่วยได้” ฟินเคิลกล่าว ซึ่งเราสามารถสรุปได้คร่าวๆ ว่าเหล่าแอปพลิเคชันที่เรากำลังกล่าวถึงนั้นไม่ได้มีคำตอบปลายทางเป็นเรื่องเซ็กซ์เพียงอย่างเดียว มันอยู่ที่ว่าคุณอยากจะพาตัวเองไปอยู่ในจุดไหนของการใช้งานมากกว่า การหาเซ็กซ์ไม่ใช่เรื่องผิด การหาแฟนจากแอปฯ ไม่ใช่เรื่องผิด ไม่มีอะไรผิดทั้งนั้น แต่มันคือการเพิ่มโอกาสให้ตัวเองได้เจอกับความสัมพันธ์ใหม่ๆ มากขึ้นเท่านั้นเอง

 

 

จุดประสงค์ชัดเจนจะพาให้คุณได้ไปถึงเป้าหมายที่ต้องการ คุณควรพึงระลึกไว้เสมอว่าแท้จริงแล้วคุณเป็นใคร มีสถานะความสัมพันธ์แบบไหนอยู่ในชีวิต จงเป็นตัวคุณเข้าไว้ ไม่ว่าจะเรื่องทัศนคติ การมองโลก หรือความสนใจในเรื่องต่างๆ จงจริงใจกับตัวเอง และรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรอยู่เสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงหลุมพรางของความสัมพันธ์ที่อาจเกิดขึ้น เช่น เกิดคุณอยากคบหาจริงจังกับคนที่มองหาแค่เรื่องเซ็กซ์ขึ้นมาล่ะ หรือคุณเผลอมอบความรู้สึกที่ท่วมท้นไปให้กับคนที่ยังไม่พร้อมจะมีแฟน หากเกิดขึ้นแล้วจะหงุดหงิดเสียเปล่าๆ

 

ความชัดเจนของคุณเป็นเรื่องสำคัญที่สุด และจะทำให้การ #FINDYOURMATCH เป็นเรื่องง่าย โดยเฉพาะความชัดเจนกับความต้องการของตัวเอง เพราะมีแต่คุณที่รู้ว่าตัวเองต้องการคนแบบไหนเข้ามาในชีวิต จริงไหม? 

 

tinder

 

ภาพ: Shutterstock

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

The post #ฮาวทูเล่นแอปฯ จุดประสงค์ที่ชัดเจนจะพาคุณไปเจอสิ่งที่ต้องการ (ที่ไม่ใช่แค่เซ็กซ์) appeared first on THE STANDARD.

]]>
Circular Living มันเกิดขึ้นจริง หากผู้ประกอบการทั้งหลายเห็นและคิดว่าจะนำไปพัฒนา https://thestandard.co/gc-circular-living-2/ Fri, 20 Dec 2019 09:00:53 +0000 https://thestandard.co/?p=314279 GC Circular Living

“ไม่ว่าจะอยู่สังคม ณ จุดใด การที่เราทำให้การประกอบการแล […]

The post Circular Living มันเกิดขึ้นจริง หากผู้ประกอบการทั้งหลายเห็นและคิดว่าจะนำไปพัฒนา appeared first on THE STANDARD.

]]>
GC Circular Living

“ไม่ว่าจะอยู่สังคม ณ จุดใด การที่เราทำให้การประกอบการแล้วเกิดผลที่ดีต่อสังคมชุมชน พลาสติกไม่ใช่ผู้ร้าย แล้วเราที่เป็นผู้ประกอบการ จะปรับตัวอย่างไรกับโมเดลธุรกิจของเรา เข้ามาอยู่ใน Supply Chain อย่างไร ทุกอย่างอยู่ในมือของพวกเราค่ะ”

 

จิราพร ขาวสวัสดิ์

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)

 

INPARTNERSHIP-GC

The post Circular Living มันเกิดขึ้นจริง หากผู้ประกอบการทั้งหลายเห็นและคิดว่าจะนำไปพัฒนา appeared first on THE STANDARD.

]]>
สำรวจโอกาสในโลกยุค IoT จับตา LoRaWAN เครือข่ายอัจฉริยะพลิกโฉมประเทศไทย https://thestandard.co/iot-lorawan/ Tue, 17 Dec 2019 10:15:12 +0000 https://thestandard.co/?p=312857

เมื่อโลกเดินมาสู่ยุคที่การเชื่อมต่อไร้ขีดจำกัด อินเทอร์ […]

The post สำรวจโอกาสในโลกยุค IoT จับตา LoRaWAN เครือข่ายอัจฉริยะพลิกโฉมประเทศไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>

เมื่อโลกเดินมาสู่ยุคที่การเชื่อมต่อไร้ขีดจำกัด อินเทอร์เน็ตกำลังเร่งสปีดความแรงขึ้นเรื่อยๆ และ 5G กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตผู้คนให้สามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างฉับไวมากขึ้น เทรนด์เทคโนโลยีที่เตรียมจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคตอันใกล้คือ IoT หรือ Internet of Things ที่เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ในชีวิตประจำวันของเราจะสามารถส่งข้อมูลถึงกันได้โดยอัตโนมัติ ตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน รถยนต์บนท้องถนน ไปจนถึงเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม 

 

 

แม้ IoT จะไม่ใช่เรื่องใหม่ และกำลังค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในชีวิตประจำวันของเราในหลากหลายรูปแบบ แต่ก็ยังถือเป็นเทรนด์ที่ต้องจับตาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2020 ที่คาดว่าจะมีการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ IoT สูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตในอัตรา 30% ต่อปีจนถึงปี 2023 นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2020 จะมีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตมากถึง 5 หมื่นล้านชิ้น สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสอีกมหาศาลที่จะเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีนี้ 

 

IoT จะมีบทบาทกับชีวิตเราอย่างไร และอะไรคือโอกาสที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีนี้ THE STANDARD ชวนคุยกับ ดร.ณัฏฐวิทย์ สุฤทธิกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มขายและผลิตภัณฑ์สื่อสารไร้สาย บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT ผู้นำด้านโครงข่ายดิจิทัล ที่จะฉายภาพอนาคตของประเทศไทยในวันที่ IoT กำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา

 

IoT อาวุธทรงพลังของโลกธุรกิจ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา IoT เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ Smart Wearable ที่เก็บข้อมูลในชีวิตประจำวันของผู้สวมใส่ เช่น Smart Watch หรืออุปกรณ์ Smart Home เช่น Smart Lighting ดวงไฟที่สามารถเปิด-ปิดได้จากการสั่งงานทางไกล แม้ตัวจะไม่อยู่บ้าน รวมไปถึงเซนเซอร์ตรวจวัดค่าต่างๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ชีวิตของเราเป็นเรื่องง่ายขึ้น 

 

แต่เมื่อมองภาพใหญ่กว่านั้น ดร.ณัฏฐวิทย์ เชื่อว่า IoT จะช่วยยกระดับขีดการแข่งขันทางธุรกิจ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และอาจเปลี่ยนโฉมหน้าประเทศไทยบนพื้นฐานของข้อมูลมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามาจากอุปกรณ์ต่างๆ ด้วย

 

 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือการใช้ IoT กับองค์กรขนาดใหญ่อย่างการประปานครหลวง ที่นำสมาร์ทมิเตอร์ไปติดตั้งแทนมิเตอร์แบบเดิม จากที่เคยต้องใช้พนักงานจดมิเตอร์จำนวนมากตระเวนไปจดปริมาณการใช้น้ำตามบ้านต่างๆ ก็เปลี่ยนเป็นการรอรับข้อมูลอยู่ที่เซิร์ฟเวอร์ส่วนกลางภายในเสี้ยววินาที ทั้งลดจำนวนคน ทั้งประหยัดเวลา และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ดีกว่าเดิมหลายเท่าตัว ซึ่งนี่ถือเป็น Use Case ที่เกิดขึ้นจริงแล้วจากเทคโนโลยีที่เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่าง CAT และองค์กรต่างๆ 

 

“IoT คืออะไรก็ตามที่สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ และมีขีดความสามารถในการรับ-ส่งข้อมูลจากตัวมันเอง เข้าไปที่ระบบประมวลผลกลาง หรือรับคำสั่งจากระบบประมวลผลกลางให้ทำงานตามที่ผู้ใช้งานต้องการ ผลที่ได้รับก็คือประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่เพิ่มขึ้นจากการที่เรานำ IoT ไปประยุกต์ใช้งานในด้านต่างๆ อย่างไรก็ตามผมมองว่าเทคโนโลยีนี้ยังช่วยทำให้ชีวิตเราสะดวกสบายมากขึ้น ช่วยประหยัดการใช้ทรัพยากรต่างๆ ทั้งเวลา งบประมาณ รวมถึงบุคลากรในการทำงาน ปัจจุบันลูกค้าเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของ IoT ในการเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินธุรกรรมต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ โดยกลุ่มลูกค้าที่เราให้บริการมีอยู่ด้วยกันหลายส่วน  ทั้งกลุ่มลูกค้าทั่วไป และกลุ่มลูกค้าองค์กร โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐที่เราสามารถเติมเต็มความต้องการในการทำ Digital Transformation ด้วยบริการ IoT และบริการดิจิทัลอื่นๆ ของเราได้อีกมาก” ดร.ณัฏฐวิทย์ กล่าวถึงบทบาทสำคัญของ IoT ในโลกธุรกิจ

 

แต่ IoT ไม่ใช่เรื่องของอุปกรณ์เท่านั้น เพราะการจะทำให้อุปกรณ์ต่างๆ สามารถสื่อสารถึงกันได้ จำเป็นต้องมีเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพที่ออกแบบมาสำหรับเทคโนโลยี IoT โดยเฉพาะ นั่นจึงทำให้ CAT เร่งพัฒนาเครือข่าย LoRaWAN ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อรองรับการใช้งาน IoT ในอนาคตของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

 

LoRaWAN เครือข่ายอัจฉริยะ เชื่อมต่อฉับไว สำหรับโลก IoT 

ถ้าขุมพลังสำคัญสำหรับสมาร์ทโฟนคือเครือข่าย 5G ที่จะทำให้การใช้งานอินเทอร์เน็ตเร็วขึ้น แรงขึ้นอย่างก้าวกระโดด เครือข่าย LoRaWAN ของ CAT ก็คือขุมพลังของ IoT ที่จะช่วยให้การเชื่อมต่อแบบไร้สายของอุปกรณ์ต่างๆ มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ด้วยจุดเด่นในเรื่องของระยะทางการสื่อสารที่สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้ในระยะไกล 5-15 กิโลเมตร ที่สำคัญคือใช้พลังงานต่ำ และสามารถกำหนดให้อุปกรณ์ต่างๆ เข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานในกรณีที่ไม่ได้รับส่งข้อมูลได้ ยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ IoT ให้นานยิ่งขึ้นสำหรับอุปกรณ์ IoT ส่วนใหญ่ที่ทำงานด้วยพลังงานแบตเตอรี่   

 

 

“พูดง่ายๆ คือ LoRaWAN เป็นเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อ IoT โดยเฉพาะ เพราะหลักการทำงานของมันคือ เมื่อถึงเวลาส่งข้อมูลมันก็จะตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาสั้นๆ ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน เช่น เราอาจจะตั้งค่าให้อุปกรณ์นั้นส่งข้อมูลทุก 5 นาที หรือ 6 ชั่วโมง หรือ 24 ชั่วโมงก็ตาม เมื่อส่งข้อมูลเสร็จแล้วมันก็จะเข้าสู่โหมดพัก ทำให้ประหยัดพลังงาน สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานแม้จะเป็นพื้นที่ที่ไม่มีพลังงานไฟฟ้า ซึ่งบางเคสอาจอยู่ได้นานถึง 5 ปีโดยไม่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ เหมาะสำหรับการติดตั้งในพื้นที่ห่างไกล 

 

“อีกจุดเด่นที่สำคัญคือ LoRaWAN จะมีรัศมีการรับ-ส่งข้อมูลที่ครอบคลุมได้กว้างไกล  โดยเฉพาะถ้าเป็นภูมิประเทศที่ไม่มีอะไรมาบดบังเลย คลื่นสัญญาณ LoRa สามารถส่งข้อมูลได้ไกลถึง 20 กิโลเมตรจากสถานีรับส่งสัญญาณเลยทีเดียว ตอบโจทย์เรื่องความครอบคลุมของพื้นที่ใช้งานในพื้นที่ห่างไกล เราพัฒนาเครือข่าย LoRaWAN บนโครงสร้างพื้นฐานเช่นเสาโทรคมนาคมและระบบสื่อสัญญาณเดิมของเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เราให้บริการอยู่ ทำให้เราสามารถขยายบริการได้อย่างรวดเร็วบนต้นทุนที่ต่ำ สะท้อนไปยังค่าบริการที่คุ้มค่าต่อผู้บริโภคปลายทาง ปัจจุบันเราให้บริการ IoT บนเครือข่าย LoRaWAN มาแล้วกว่า 2 ปี โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่รัฐบาลมุ่งเน้นให้เป็น Smart City อย่างเช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น รวมถึงจังหวัดในเขตพื้นที่ EEC ที่รัฐบาลกำลังผลักดันอยู่เป็นต้น”

 

ปัจจุบันเครือข่าย LoRaWAN ครอบคลุมแล้วทั่วประเทศ นั่นหมายถึงโอกาสมหาศาลที่ทั้งภาครัฐ และเอกชนจะนำเทคโนโลยีนี้ไปประยุกต์ใช้ ทั้งในแง่การบริหารจัดการจราจร การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม การเก็บข้อมูลการท่องเที่ยว และอื่นๆ อีกมากมาย

 

 

นอกจากจะเร่งพัฒนาเครือข่าย LoRaWAN ให้รองรับการใช้งาน IoT ทั่วประเทศแล้ว อีกหนึ่งความท้าทายของ CAT คือการให้บริการ Cloud Data Hosting ที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามาจากอุปกรณ์ต่างๆ รวมไปถึงการนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับลูกค้าซึ่งต้องอาศัยทักษะ Data Analytics ที่ทาง CAT กำลังเร่งสร้างทีมงานเพื่อรองรับความต้องการที่สูงขึ้นในยุคที่ว่ากันว่าเป็นยุค ‘Data is a New Oil’ เพื่อสามารถขับเคลื่อนเทคโนโลยี IoT ในประเทศไทยได้อย่างครบวงจร 

 

แม้ IoT จะเป็นเทคโนโลยีที่กำลังมาแรง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีองค์กรอีกจำนวนมากที่ยังปรับตัวไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลงซึ่ง ดร.ณัฏฐวิทย์ ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า

 

“โจทย์สำคัญคือทุกวันนี้ดิจิทัลเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการทำงาน และการดำเนินธุรกิจ ไม่ช้าก็เร็วมันก็จะเข้ามาอย่างเต็มรูปแบบ สิ่งแรกที่ทุกองค์กรต้องทำคือ การถามตัวเองก่อนว่าในอนาคตอันใกล้นี้ โลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทอย่างไรกับการทำธุรกิจ เป้าหมายของการทำ Digital Transformation ของตัวเองคืออะไร ใครที่ตระหนักก่อน ลงมือทำก่อนจะเป็นผู้ได้เปรียบ และมีโอกาสที่จะอยู่รอดในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้มากยิ่งขึ้น


“ถ้าไม่เลือกจะเปลี่ยนในวันนี้ คุณก็อาจจะโดนบังคับให้เปลี่ยนในอนาคต”

 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

The post สำรวจโอกาสในโลกยุค IoT จับตา LoRaWAN เครือข่ายอัจฉริยะพลิกโฉมประเทศไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ถ้าเรามีความสนใจที่ตรงกัน จะทำให้ความสัมพันธ์ยืดยาวกว่าจริงหรือไม่? https://thestandard.co/attention-in-relationships/ Tue, 17 Dec 2019 09:55:21 +0000 https://thestandard.co/?p=313136

สำหรับเรื่องความรักและความสัมพันธ์ เราอาจต่างมองหาคนที่ […]

The post ถ้าเรามีความสนใจที่ตรงกัน จะทำให้ความสัมพันธ์ยืดยาวกว่าจริงหรือไม่? appeared first on THE STANDARD.

]]>

สำหรับเรื่องความรักและความสัมพันธ์ เราอาจต่างมองหาคนที่ ‘เข้ากันได้’ ที่สุด เพื่อมาอยู่เคียงข้าง คนที่พร้อมจะแชร์สารทุกข์สุขดิบกับเรา ไม่ว่าเขาจะเกิดปัญหาหรือมีเหตุการณ์ประทับใจอะไรก็จะมาเล่าสู่กันฟัง เราอาจหยิบยื่นหนังโปรด เพลงโปรด แลกกันฟัง หรือถกเถียงเรื่องการเมืองด้วยกันอย่างออกรส ซึ่งมันก็คงจะเป็นเรื่องที่ดี ถ้าหากเรามีความสัมพันธ์ที่เข้าอกเข้าใจ และมีความสนใจที่คล้ายคลึงกัน เพราะนี่อาจทำให้เรารู้สึกว่า การเริ่มต้นคุยกับใครสักคนมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดี

 

แต่ก็เป็นเพียงช่วงเริ่มต้นที่อาจทำให้คุณกับเขาเข้ากันได้เร็ว หรือคลิกกันทันที แต่ถ้าในระยะยาวล่ะ? แค่มีความสนใจที่เหมือนกัน อาจไม่พอให้ความสัมพันธ์มันยืดยาวหรือเปล่า?

 

Photo: ภาพยนตร์เรื่อง Marriage Story (2019)

 

ในช่วงเริ่มต้นความสัมพันธ์กับใครสักคน แน่นอนว่า คุณต้องเคยเจอคนที่เข้ามาสานสัมพันธ์กับคุณแล้วรู้สึกว่า ‘เฮ้ย กูคุยกับเขาไม่รู้เรื่องว่ะ’ วลีที่ว่า ‘คุยไม่รู้เรื่อง’ นี่แหละที่เป็นเหมือนด่านสำคัญด่านแรกๆ ในความสัมพันธ์ เกิดคุณรู้สึกว่า คนที่คุณคบหาอยู่เกิดขึ้นจากความ ‘คุยไม่รู้เรื่อง’ มันก็น่าสงสัยนะว่า คุณจะทำอย่างไรให้ความสัมพันธ์นี้เดินหน้าต่อไปได้ จริงไหม? 

 

มาร์ก ดี. ไวต์ ศาสตราจารย์ทางด้านปรัชญาจาก The College of Staten Island ในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า การที่คุณแชร์เรื่องราวที่คุณสนใจในครั้งแรกของการออกเดตนับเป็นเรื่องที่ดี เพื่อที่คุณจะได้รู้ว่า คุณกับเขาเข้ากันได้มากแค่ไหน หรือมีความสนใจร่วมกันมากพอหรือเปล่าที่จะคบกันและทำอะไรร่วมกัน เป็นเหมือนการกะเทาะกำแพงที่ตั้งอยู่ในใจของคนสองคนให้ทลายออก และทำให้รู้จักกันและกันได้เร็วขึ้น แต่ถ้ารู้สึกว่าคุยไม่รู้เรื่องหรือไม่ถูกคอกัน ก็แค่จบความสัมพันธ์ลงแค่ตรงนั้น ซึ่งตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณเองนะว่าจะจบหรือไปต่อ 

 

ล่าสุดเราเพิ่งได้ชมภาพยนตร์เรื่อง Marriage Story ที่นำแสดงโดย สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน และ อดัม ไดรเวอร์ ที่ว่าด้วยเรื่องสองศิลปินสามีภรรยา ชาร์ลี และ นิโคล กับวงจรชีวิตระหว่างการเตรียมตัวหย่าร้าง ฝั่งหนึ่งเป็นผู้กำกับละครเวทีชื่อดัง ส่วนอีกฝ่ายนั้นเป็นนักแสดง ฟังดูจากสิ่งที่พวกเขาทำอยู่ก็น่าจะมีชีวิตอันสมบูรณ์แบบได้จากสิ่งที่พวกเขาทำ และสุดแสนเพอร์เฟกต์หากมองในมุมของคนนอก ต่างฝ่ายต่างมีความสุขกับงานที่ตัวเองทำ ทั้งยังทำงานด้วยกันในโรงละครแห่งเดียวกันด้วยซ้ำ จนกลายเป็นภาพจำว่า ‘ที่ไหนมีชาร์ลี ที่นั่นมีนิโคล’ ซึ่งดูแล้วแทบจะไม่มีเหตุผลใดๆ เลยที่จะทำให้เขาสองคนนี้ต้องเลิกรากัน 

 

แต่แล้ววันหนึ่ง สิ่งที่ทำให้เขาสองคนตัดสินใจแยกทางกันคือ เรื่องของความไม่เข้าใจกัน ชีวิตรักที่อยู่หลังม่านการแสดงนั้นกลับพังไม่เป็นท่า ด้วยเรื่องราวที่สะสมกันมาบนพื้นฐานของความไม่เข้าใจ การไม่ปรับตัว และการไม่หันหน้ามาคุยกันให้รู้เรื่อง

 

Photo: ภาพยนตร์เรื่อง Marriage Story (2019)

 

นั่นเป็นส่วนของหนังที่เล่าเรื่องราวที่น่าสนใจ และถ้ามองกลับมาที่เรื่องของความสัมพันธ์จริงๆ สิ่งที่ ลินด์ซีย์ แอนทิน นักบำบัดเรื่องความสัมพันธ์จากเบิร์กลีย์ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เคยศึกษาและได้ข้อสรุปเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ที่อยู่กันได้อย่างยืดยาว คำตอบที่ได้คือ ไม่ใช่ว่าที่คุณมีความสนใจที่เหมือนกัน แต่คือ ‘การปรับตัวได้’ ของคนทั้งสองฝ่ายต่างหาก โดยเขาใช้คำว่า ‘Adaptability’ ซึ่งการปรับตัวที่ทำให้ความสัมพันธ์ยืนยาวยิ่งขึ้นคือ การที่สองฝ่ายต่างหันมาปรับตัวและเข้าใจกัน แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรก็ตามในระหว่างที่คบกัน ผ่านไปทีละเรื่อง ทีละเรื่อง หรือแม้แต่เราไม่มีความสนใจเดียวกันแล้ว ซึ่งเราว่า มันเป็นพื้นฐานสำหรับคนที่กำลังอยู่ในความสัมพันธ์ควรนำไปปรับใช้ คุณรักอีกฝ่ายมากพอหรือเปล่าล่ะ? ที่จะยอมปรับตัวหากัน โดยไม่ละทิ้งความเป็นตัวคุณออกไป

 

 

ส่วนตัวผู้เขียนเองในฐานะที่อยู่ในความสัมพันธ์มาช่วงระยะเวลาหนึ่ง เรากลับพบว่า การที่เราต่างแชร์สิ่งที่เราสนใจในชีวิตร่วมกัน เช่น เราอาจนั่งคุยเรื่องดนตรีด้วยกันทั้งวัน หรือค้นหาดนตรีแนวใหม่ๆ มาฟัง ก็นับเป็นเรื่องที่น่าสนุกและทำให้เรามีอะไรมานั่งคุยกันทุกวัน แต่นั่นไม่ใช่การเตรียมตัวมาล่วงหน้าเหมือนจะเข้าไปพรีเซนต์งานหน้าห้องนะ แต่เรากำลังหมายถึงสิ่งที่เราสนใจจริงๆ หรือให้ความสนใจจริงๆ จะเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวคุณมีความน่าสนใจไปโดยธรรมชาติ เช่น หากคุณและเขาเป็นคนชอบฟังเพลงจริงๆ อย่างจริงจัง เวลาที่คุณเจออะไรที่น่าสนใจ หรือคิดว่าอยากแชร์ มันจะทำออกมาโดยอัตโนมัติทันที

 

แต่ถ้าหากคุณรู้สึกฝืนใจเพื่อที่จะได้อยู่กับเขา หรือฝืนที่จะคุยเรื่องเดียวกับเขา โดยที่คุณไม่ได้อินหรือชอบอะไรที่เหมือนกับเขา ลองปรับตัวเข้าหากันหรือพยายามก้าวเข้าไปในโลกของอีกฝ่ายดู อาจได้ไอเดียใหม่ๆ กลับไป แต่ถ้าคุณไม่สามารถมากพอที่จะปรับตัว ก็ถอยออกมาดีกว่า อย่าเสียเวลา

 

ฉะนั้น จะดีกว่าหรือเปล่า หากคุณได้เริ่มต้นสนทนากับใครสักคนจากสิ่งที่เขาสนใจจริงๆ ซึ่งในปัจจุบันก็มีตัวช่วยอย่างแอปพลิเคชันประเภท Social Discovery ที่คุณสามารถเติมเรื่องราวเกี่ยวกับตัวคุณเองลงไปในส่วนของ Bio (ประวัติโดยย่อ) นอกเหนือจากชื่อหรืออายุ ซึ่งคุณอาจลองใส่ความสนใจส่วนตัว เช่น

 

  • ชอบออกกำลังกาย ก็ลองใส่รูปที่คุณไปงานวิ่งฮาล์ฟมาราธอนล่าสุดดูสิ
  • ไม่อย่างนั้นก็ลองหาโควตจากหนังหรือเนื้อเพลงสักท่อน เพื่ออธิบายตัวเอง หรือความชอบของตัวเองให้อีกฝ่ายได้รู้ อาจเลือกเป็น Genre ของแต่ละอย่างก็ได้ เช่น เราชอบฟังเพลงป๊อป เราชอบอเดล หรืออะไรก็ว่าไป
  • ลองนึกดูว่าอะไรที่ทำให้คุณมีความสุข เช่น การได้ออกเดินทางไปในที่ใหม่ๆ การได้กินของอร่อย การได้เดินงานศิลปะ ล้วนอธิบายตัวคุณได้หมดเลย
  • หรือถ้ารู้สึกว่ายากนัก ก็โพล่งออกไปตรงๆ เลยว่า คุณต้องการหรือกำลังมองหาอะไรอยู่ เช่น มองหา LTR หรือ Long-Term Relationship 

 

บางคนอาจรู้สึกต่อต้านว่า การใช้แอปพลิเคชันเหล่านี้ไม่ได้ต่างอะไรกับการหาคู่นอนหรือเซ็กซ์ ซึ่งเราปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่ามันก็มีส่วน แต่ท้ายที่สุดแล้วมันอยู่ที่คุณว่าจะใช้เพื่อจุดประสงค์อะไรต่างหาก มาสร้างความชัดเจนและเริ่มต้นที่ตัวคุณเองดีกว่า เช่นกัน คุณเองต้องสร้างความชัดเจนให้กับคนที่คุณอยากเริ่มต้นบทสนทนาด้วยว่า คุณกำลังมองหาอะไรอยู่ 

 

ทุกๆ เรื่องของความสัมพันธ์ต่างก็มีคำตอบปลายทางที่ไม่ได้เป็นคำตอบสำเร็จรูปเพียงรสชาติเดียว เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ใช่ว่าคุณจะมีความชอบเหมือนกัน แล้วจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ หรือคุณจะมีความชอบที่ไม่เหมือนกัน แล้วจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นมันเป็นเรื่องที่คุณต้องรับรู้ได้ด้วยตัวเอง และเราอยากบอกคุณเรื่องหนึ่งว่า…

 

เราต่างมีความน่าสนใจในตัวเองด้วยกันทั้งนั้น อย่าปิดกั้นตัวเอง ลองเดินทางสู่โลกใหม่ๆ และออกไป #FINDYOURMATCH ดูสิ

 

อ่านเรื่อง First Impression ในยุคออนไลน์ เราจะสร้างความประทับใจให้คู่สนทนาอย่างไรตั้งแต่โปรไฟล์ถึงข้อความแรก ได้ที่นี่

 

 

ภาพ: Netflix และ Shutterstock

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล 

อ้างอิง:

The post ถ้าเรามีความสนใจที่ตรงกัน จะทำให้ความสัมพันธ์ยืดยาวกว่าจริงหรือไม่? appeared first on THE STANDARD.

]]>