Hybrid – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 14 Nov 2024 07:30:05 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 คุยกับซีอีโอ AWS เจาะเบื้องลึกแนวคิดเรียกคนกลับออฟฟิศ 5 วัน แม้พนักงานบางส่วนอาจลาออก https://thestandard.co/aws-ceo-delve-deeper-into-concept/ Wed, 13 Nov 2024 08:49:36 +0000 https://thestandard.co/?p=1008150 AWS

นับเป็นเวลาเกือบ 4 ปีแล้วที่วิถีการทำงานของคนทั่วโลกเปล […]

The post คุยกับซีอีโอ AWS เจาะเบื้องลึกแนวคิดเรียกคนกลับออฟฟิศ 5 วัน แม้พนักงานบางส่วนอาจลาออก appeared first on THE STANDARD.

]]>
AWS

นับเป็นเวลาเกือบ 4 ปีแล้วที่วิถีการทำงานของคนทั่วโลกเปลี่ยนไปเพราะสิ่งที่เรียกว่าโรคโควิด จากเดิมที่หลายคนเคยต้องเข้าออฟฟิศเพื่อพบปะเพื่อนร่วมงานทุกวัน กลับกลายเป็นถูกบีบบังคับให้เว้นระยะห่างและทำทุกอย่างผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้คนเริ่มปรับตัวทำงานแบบ Remote Work

 

แต่เมื่อการระบาดเริ่มคลี่คลายลง ผู้คนรวมถึงธุรกิจก็เริ่มกลับมาดำเนินวิถีชีวิตแบบเดิมมากขึ้น ทว่าการทำงานแบบ Remote Work ที่มอบความยืดหยุ่นให้กับพนักงานก็กลายเป็นความคุ้นชินของใครหลายคนไปแล้ว โดยผู้คนส่วนใหญ่ต้องการทำงานจากทั้งออฟฟิศและที่บ้าน (Hybrid Work) ผสมผสานกันไป

 

ผลสำรวจจาก ‘2024 Global MARCO New Consumer Report’ เผยอินไซต์ว่า พนักงานที่ร่วมตอบแบบสอบถามกว่า 43.5% ชอบทำงานแบบผสม ในขณะที่ 39.3% ต้องการกลับไปทำงานที่ออฟฟิศตลอดทั้งสัปดาห์ และส่วนที่เหลืออยากทำงานทางไกลเต็มเวลา ซึ่งผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าเทรนด์การทำงานแบบผสมเป็นสิ่งที่พนักงานส่วนใหญ่มองหา

 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา Amazon หนึ่งบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลกตัดสินใจประกาศให้พนักงานทุกคนต้องกลับมาทำงานที่ออฟฟิศ 5 วันต่อสัปดาห์ เหมือนกับที่เคยเป็นมาตลอดหลายปีก่อนที่การระบาดของโรคโควิดจะเกิดขึ้น นำมาซึ่งความไม่พอใจของคนทำงานบางกลุ่มในบริษัท โดย TeamBlind แพลตฟอร์มที่ให้พนักงานเข้าไปตั้งกระทู้พูดคุยกันแบบไม่ต้องระบุตัวตน รายงานผลสำรวจไว้ว่า 91% ของพนักงาน Amazon รู้สึกไม่พอใจ และ 73% เผยว่าอาจพิจารณาหางานใหม่สืบเนื่องมาจากการประกาศเรียกพนักงานกลับออฟฟิศครั้งล่าสุดของบริษัท

 

ทำไม Amazon ถึงยอมเสี่ยงที่จะนำนโยบายที่พนักงานหลายคนไม่เห็นด้วยมาใช้ การกลับออฟฟิศทุกวันสำคัญอย่างไรกับการทำงาน

 

THE STANDARD WEALTH เดินทางไปเยือนบ้านเกิดของ Amazon ที่รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา และร่วมพูดคุยกับ Matt Garman ซีอีโอคนปัจจุบันของหนึ่งในหน่วยย่อยธุรกิจของ Amazon นั่นก็คือ Amazon Web Services (AWS) ผู้ให้บริการคลาวด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 31% เพื่อหาคำตอบของความสำคัญในการดึงคนกลับออฟฟิศเต็มเวลา

 

‘การเจอกัน’ วิถีการทำงานที่ตอบโจทย์บริษัทผู้สร้างนวัตกรรม

 

ท่ามกลางการเห็นต่างจากพนักงาน Garman กลับมองว่านโยบายที่ทำให้ทุกคนต้องกลับออฟฟิศคือกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนบริษัทให้ไปสู่ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในระยะยาว

 

“การจะกลับหรือไม่กลับออฟฟิศนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะขององค์กร และมิได้มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่สำหรับ Amazon นี่เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด” Garman กล่าว

 

 

แน่นอนว่าการบังคับใช้นโยบายที่พนักงานส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยนับเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยง แต่หลังจากการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน Garman เผยว่า มี 2 เหตุผลหลักที่ทำให้บริษัทตัดสินใจเช่นนี้

 

  1. การกลับมาเจอหน้ากันเป็นสิ่งที่ทำให้งานเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด โดยเฉพาะในบริบทของ Amazon ที่เป็นผู้นำในการสร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งต้องอาศัยความรวดเร็วและความร่วมมือระหว่างทีมสูง การกลับมาจึงตอบโจทย์กับสิ่งที่บริษัททำมากกว่า แม้ว่าการทำงานทางไกลในช่วงที่ผ่านมาจะทำให้งานเสร็จเหมือนกันก็ตาม 
  2. วัฒนธรรมองค์กรที่เรียกว่า ‘Day 1’ คือสิ่งที่ทำให้ Amazon แตกต่าง ซึ่งเป็นแนวคิดการทำงานแบบสตาร์ทอัพที่ยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวได้เร็วเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยการพบปะของพนักงานจำเป็นอย่างยิ่งต่อการรักษาวัฒนธรรมนี้

 

Jeff Bezos เคยกล่าวไว้ว่า “ลูกค้าไม่เคยมีคำว่าพอและต้องการสิ่งที่ดีกว่าเสมอ ของที่เคยน่าประทับใจในวันก่อนอาจกลายเป็นเรื่องธรรมดาในวันนี้ ถ้าคุณสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ผลักตัวเองให้มองหาวิธีใหม่ๆ เพื่อสร้างความประทับใจให้ลูกค้าทุกวัน ในทุกส่วนของธุรกิจ นั่นจะผลักให้คุณคิดค้นนวัตกรรมเพื่อพวกเขา”

 

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ Day 1 คือหัวใจของการทำงานที่ AWS ซึ่งบริษัทเชื่อว่าการกลับมาพบปะกันของพนักงานจะทำให้พวกเขาซึมซับวัฒนธรรมดังกล่าวได้เต็มที่ที่สุด

 

Amazon Spheres ออฟฟิศที่นำ ‘คน’ เชื่อม ‘ธรรมชาติ’

 

เมื่อการกลับออฟฟิศกำลังจะถูกบังคับใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2025 แต่ก็ใช่ว่าการเข้ามาทำงานที่ Amazon ทุกวันจะเหมือนฝันร้ายที่ต่างคนต่างต้องนั่งอยู่ใน ‘คอก’ ของตัวเองทุกๆ วันเสมอไป โดยเฉพาะที่สำนักงานใหญ่ในเมืองซีแอตเทิลซึ่งมีสถานที่ชื่อว่า Amazon Spheres

 

 

Amazon Spheres มีลักษณะเป็นโดมกระจกโปร่งแสงขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่ให้พนักงานได้ใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติระหว่างทำงาน เป็นสถานที่ทำงานทางเลือกที่สงบ ในขณะที่ยังเปิดกว้างทั้งสำหรับการประชุมร่วมกันหรือจะทำงานด้วยตัวเองอย่างเงียบๆ ก็ได้

 

ภายใน Amazon Spheres ประกอบไปด้วยพืชพันธุ์กว่า 40,000 ชนิดจากทั่วทุกมุมโลก โดยอาคารสามารถรองรับจำนวนพนักงานได้ครั้งละ 800 คน

 

 

แน่นอนว่าการมีสถานที่ทำงานที่ได้รับการออกแบบล้ำสมัยอย่าง Amazon Spheres อาจไม่สามารถขจัดความไม่พอใจของพนักงานทุกคนที่ถูกบังคับให้กลับมาประจำการที่ออฟฟิศในทุกวันของสัปดาห์ได้ แต่สถานที่แห่งนี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะช่วยให้ประสบการณ์การหวนคืนสู่ออฟฟิศไม่จำเจและมีมิติมากยิ่งขึ้น

 

การเดิมพัน ‘ระยะสั้น’ เพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ใน ‘ระยะยาว’

 

สำหรับประเด็นที่ว่าพนักงานบางคนอาจเลือกลาออกเพราะนโยบายที่บังคับให้ต้องกลับมาออฟฟิศทุกวัน Garman มีความเห็นว่า เขาไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้ เนื่องจากในท้ายที่สุดการเดินหน้าของธุรกิจเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับลูกค้าเป็นเรื่องที่มีน้ำหนักมากกว่า

 

“เราคงต้องยอมรับว่าบริษัทไม่สามารถไปก้าวก่ายการตัดสินใจของพนักงานได้ บางคนอาจเลือกไม่อยู่ต่อเพราะนโยบายดังกล่าว แต่ผมเชื่อว่าจะเป็นแค่กลุ่มคนเล็กๆ ซึ่งเรายอมรับได้ เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคือเป้าหมายการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งในระยะยาว” Garman กล่าวเสริม

 

ย้อนกลับไปที่งานวิจัยของ TeamBlind ที่เผยว่า 73% ของพนักงานอาจพิจารณาหางานที่ใหม่เพราะ Amazon บีบบังคับให้พวกเขาต้องกลับออฟฟิศ 5 วัน ในขณะเดียวกัน ตัวเลขที่ออกมาในรายงาน 2024 Global MARCO New Consumer Report ระบุว่า 64% ของพนักงานทั่วโลกรู้สึก ‘ไม่มีปัญหา’ ที่จะทำงานในบริษัทที่ไม่มีนโยบาย Hybrid Work

 

สุดท้ายแล้วการสูญเสียพนักงานที่มองว่าออฟฟิศคือกำแพงอาจเป็นการเปิดประตูต้อนรับคนที่พร้อมจะก้าวเข้ามาสร้างนวัตกรรมในพื้นที่ที่ Amazon เรียกว่า ‘บ้าน’

The post คุยกับซีอีโอ AWS เจาะเบื้องลึกแนวคิดเรียกคนกลับออฟฟิศ 5 วัน แม้พนักงานบางส่วนอาจลาออก appeared first on THE STANDARD.

]]>
Ford ชะลอโครงการ EV หันมาเน้นรถ Hybrid เหตุกระแสตอบรับน้อยกว่าคาด https://thestandard.co/ford-delays-new-ev-plant-cancels-electric-three-row-suv/ Thu, 22 Aug 2024 06:43:56 +0000 https://thestandard.co/?p=973992 Ford Motor

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (21 สิงหาคม) Ford Motor ประกาศชะลอ […]

The post Ford ชะลอโครงการ EV หันมาเน้นรถ Hybrid เหตุกระแสตอบรับน้อยกว่าคาด appeared first on THE STANDARD.

]]>
Ford Motor

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (21 สิงหาคม) Ford Motor ประกาศชะลอโครงการยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และหันมาเน้นการผลิตโมเดล Hybrid แทน จากแนวโน้มการเปิดรับ EV ที่ช้ากว่าที่ประเมินไว้

 

Ford จะชะลอแผนการสร้างรถกระบะไฟฟ้าที่โรงงานผลิตแห่งใหม่ในรัฐเทนเนสซีไปก่อน โดยแผนเดิมจะเริ่มก่อสร้างในปี 2025 มูลค่าการลงทุน 5.6 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.9 แสนล้านบาท รวมทั้งยกเลิกแผนการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าแบบ SUV 

 

ขณะเดียวกัน Ford จะหันมาเน้นพัฒนารถโมเดล Hybrid ร่วมกับการพัฒนารถตู้ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ภายในปี 2026 ก่อนจะตามมาด้วยการพัฒนารถกระบะไฟฟ้าภายในปี 2027

 

ซึ่งแผนการสร้างรถกระบะไฟฟ้าดังกล่าวจะมี 2 โมเดล โดยโมเดลแรกจะเป็นรถกระบะแบบ Full-Size หรือขนาดเต็มสเกล จะสร้างขึ้นในโรงงานที่รัฐเทนเนสซีในปี 2027 

 

ในขณะที่โมเดลที่สองจะสร้างเป็นรถกระบะไฟฟ้าแบบ Mid-Size ซึ่งจะมีขนาดเล็กลงมา และกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาโดยทีมงานในรัฐแคลิฟอร์เนีย

 

John Lawler กล่าวเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า Ford จะเน้นการผลิตรถในโมเดลที่ตนเองมีความเชี่ยวชาญและได้เปรียบกว่าคู่แข่ง นั่นก็คือรถกระบะและรถ SUV 

 

ซึ่งการดำเนินตามแผนเหล่านี้เป็นไปเพื่อให้บริษัทคุ้มค่าในการลงทุน และทำกำไรในธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าได้ในระยะยาว แม้ในระยะสั้นอาจเป็นภาระทางการเงินของบริษัทได้ 

 

โดยค่าใช้จ่ายพิเศษเหล่านี้ที่ไม่อยู่ในรูปเงินสดจะคิดเป็นมูลค่าราว 400 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท และค่าใช้จ่ายในรูปเงินสดราว 1.5 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 5.2 หมื่นล้านบาท

 

Lawler กล่าวว่า แผนค่าใช้จ่ายของบริษัทสำหรับ EV ในอนาคตจะลดลงจาก 40% เหลือเพียง 30% ของเงินลงทุน และมีแผนจะผลิตแบตเตอรี่ภายในปี 2025

 

นอกจากนี้ Ford ยังเคยประกาศว่า บริษัทจะยังไม่เปิดตัว EV หากยังไม่มีแนวโน้มทำกำไรได้ภายใน 1 ปี 

 

ทั้งนี้ Ford ก็ยังมีแผนออกรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ในโมเดลที่เปิดตัวไปแล้วอย่าง Ford Mustang Mach-E Crossover และรถกระบะ F-150 Lightning 

 

อ้างอิง:

 

The post Ford ชะลอโครงการ EV หันมาเน้นรถ Hybrid เหตุกระแสตอบรับน้อยกว่าคาด appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: Toyota เลือกไฮบริดสู้ EV จีนในตลาดอินโด ฟาก GAC Group ตั้งฐานผลิต EV ในไทย | THE STANDARD WEALTH https://thestandard.co/morning-wealth-22072024-2/ Mon, 22 Jul 2024 02:00:25 +0000 https://thestandard.co/?p=960787

Toyota Motor ประกาศเปิดตัว Prius Hybrid รุ่นล่าสุด ท่าม […]

The post ชมคลิป: Toyota เลือกไฮบริดสู้ EV จีนในตลาดอินโด ฟาก GAC Group ตั้งฐานผลิต EV ในไทย | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>

Toyota Motor ประกาศเปิดตัว Prius Hybrid รุ่นล่าสุด ท่ามกลางการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จากแบรนด์จีนที่กำลังรุกตลาดอินโดนีเซียอย่างหนักหน่วง

 

GAC Group เลือกไทยเป็นตลาดแรกเปิดตัวในการตั้งฐานการผลิตรถยนต์ EV แห่งแรกในต่างประเทศ

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: Toyota เลือกไฮบริดสู้ EV จีนในตลาดอินโด ฟาก GAC Group ตั้งฐานผลิต EV ในไทย | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
EV หรือ Hybrid ? ทำไมยอดขาย Hybrid พุ่ง 30% ในตลาดญี่ปุ่น, จีน, สหรัฐฯ และคนยังไม่กล้าเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า 100% https://thestandard.co/ev-or-hybrid/ Fri, 23 Feb 2024 11:32:56 +0000 https://thestandard.co/?p=903652

ปัจจุบันทั่วโลกให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น ด้ […]

The post EV หรือ Hybrid ? ทำไมยอดขาย Hybrid พุ่ง 30% ในตลาดญี่ปุ่น, จีน, สหรัฐฯ และคนยังไม่กล้าเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า 100% appeared first on THE STANDARD.

]]>

ปัจจุบันทั่วโลกให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น ด้วยราคาและเทรนด์เทคโนโลยี กระแสยานยนต์ไฟฟ้าจึงมาแรงไม่มีแผ่ว แต่การที่จะมีรถสักคันนั้นก็ต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายและความพร้อมหลายๆ ปัจจัย รถยนต์ไฮบริดจึงยังเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ ของคนที่คุ้นชินกับการใช้รถสันดาป และผู้ที่อาจกำลังตัดสินใจเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้าในเวลาเดียวกัน

 

สำนักข่าว Nikkei Asia รายงานว่า แม้ว่ากระแสยานยนต์ไฟฟ้าจะมาแรงในทศวรรษนี้ แต่ก็คงมองข้ามรถไฮบริดไม่ได้ ซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นผู้ผลักดันอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มองหารถยนต์ที่เน้นความสะดวกสบาย ส่งผลให้ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นอย่าง Toyota อาจได้รับประโยชน์มากขึ้นไปอีกหรือไม่

 

โดย Toyota เองก็ยังสามารถยึดครองตลาดนี้ไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากหากดูยอดขายปีที่แล้ว รถยนต์ไฮบริดมียอดขายเพิ่มขึ้นมากกว่ารถยนต์ไฟฟ้าในตลาดหลักๆ 

 

นี่อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า รถยนต์ไฟฟ้าเข้ามามีบทบาทต่อผู้บริโภคกันมากขึ้นก็จริง แต่อาจเป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ที่เติบโตไปอย่างช้าๆ 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 


 

ยอดใช้รถยนต์ไฮบริดเพิ่มขึ้น 30% ใน 14 ประเทศ

 

หากดูตัวเลขปีที่แล้วจะพบว่า ยอดขายรถยนต์ไฮบริดเพิ่มขึ้น 30% ในตลาดหลัก 14 ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น หรือสหรัฐอเมริกา ซึ่งสามารถทำยอดขายได้กว่า 4.21 ล้านคัน ส่งผลให้ภาพรวมตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริดมีการเติบโต 28% ด้วยจำนวน 11.96 ล้านคัน โดยรถยนต์ไฮบริดคิดเป็น 7% ของยอดขายทั้งหมด และมีอัตราเพิ่มขึ้น 2% จากปี 2021 

 

โทโมยูกิ ซูซูกิ หุ้นส่วนและกรรมการผู้จัดการของ AlixPartners ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาสัญชาติอเมริกัน กล่าวว่า ผู้บริโภคกังวลถึงความพร้อมในประสิทธิภาพการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงที่ไม่อาจควบคุมได้จากสภาพอากาศที่หนาวเย็นรุนแรง เช่น ในตลาดอเมริกาเหนือก็มักประสบปัญหาในการใช้งาน รวมถึงการแข่งขันด้านราคา ตลอดจนการสร้างความเชื่อมั่นของแบรนด์ ต่างก็มีผลต่อการเลือกซื้อของผู้บริโภค  

 

หากดูในแง่ของราคา สังเกตได้จากแบรนด์ Tesla ซึ่งมีรุ่นขายดีเพียง 4 รุ่น จากที่เคยตั้งราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 44,500 ดอลลาร์เทียบกับปีก่อนหน้า ราคาวันนี้กลับลดลงถึง 15%  

 

ส่วน Toyota เน้นส่งรุ่นไฮบริดมาแข่งขัน ตั้งราคาขายตั้งแต่ 1 ล้านเยน ไปจนถึง 20 ล้านเยน (1 ล้านเยนเท่ากับราวๆ 6,700 ดอลลาร์) มีรุ่นใหม่อย่าง Prius ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้ว ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 2.75 ล้านเยน ขณะที่ Honda และ Nissan เองก็ส่งรุ่นไฮบริดมาเป็นทางเลือกเข้ามาแข่งขันเช่นกัน

 

แม้รถยนต์ไฟฟ้า 100% จะมีความสะดวกสบาย แต่คุณสมบัติและประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สถานีชาร์จ ก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลอยู่ไม่น้อย โดยรถยนต์ไฟฟ้าที่มีระยะการขับขี่ 150 กิโลเมตร จะใช้เวลาชาร์จอย่างน้อย 30 นาที ซึ่งคิดเป็น 10 เท่าของระยะเวลาที่รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปหรือแม้แต่รถไฮบริดก็จำเป็นต้องเติมน้ำมันเชื้อเพลิง เทียบกันแล้วผู้ขับขี่รถยนต์ EV เผชิญกับความไม่เพียงพอของสถานีชาร์จ 

 

“ต้องยอมแลกเวลาด้วยการจอดทิ้งรถไว้เพื่อชาร์จที่ใช้เวลายาวนานอีกด้วย ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่อาจตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ไฮบริดหรือปลั๊กอินไฮบริดเป็นตัวเลือกต้นๆ แทนที่จะกระโดดไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า”

 

รัฐบาลแต่ละประเทศลดเงินอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้า 

 

นอกจากนี้ด้านเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลก็พบว่า เงินอุดหนุนเพื่อกระตุ้นยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของแต่ละประเทศต่างทยอยปรับลดลงและสิ้นสุดการอุดหนุนไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะเป็นเยอรมนีที่โครงการอุดหนุนสิ้นสุดลงก่อนกำหนดในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา หรือแม้แต่รัฐบาลกลางของจีนก็ยุติการให้เงินอุดหนุนตั้งแต่ช่วงปลายปี 2022 ขณะที่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอเมริกาเหนือก็ต้องพิจารณาการลงทุนภายใต้กฎหมายลดเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act: IRA) ของสหรัฐอเมริกา ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป

 

ส่งผลให้ฟากฝั่งของค่ายรถสหรัฐฯ อย่าง Ford เริ่มปรับแผนลดต้นทุนการใช้จ่าย ทั้งเลื่อนการลงทุน EV ใหม่ๆ ราว 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ เนื่องจากตัวเลขยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าปีนี้ลดลง 11% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว 

 

ในขณะที่ยอดขายรถยนต์ไฮบริดของ Ford กลับเพิ่มขึ้นถึง 43%

 

รายงานข่าวระบุอีกว่า การเติบโตของรถยนต์ไฮบริดดังข้างต้นถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นที่ยังคงเป็นผู้นำตลาดเช่นกัน โดย Toyota สามารถทำยอดขายเพิ่มขึ้น 32% จำนวน 3.44 ล้านคัน และมั่นใจว่าอีกไม่นานจะทำได้ถึง 5 ล้านคันภายในปี 2025 อีกทั้งยังสอดคล้องเป้าหมายที่ปีนี้เป็นปีที่ Toyota ตั้งเป้าเปิดตัวรุ่นไฮบริดใหม่ๆ เพื่อจำหน่ายทั่วโลกมากขึ้นด้วย  

 

ฮิโรกิ นากาจิมะ รองประธาน บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ กล่าวว่า เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ด้านไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานในการชาร์จแล้ว ไฮบริดจะยังคงมีบทบาทสำคัญ และความต้องการมีแต่จะเพิ่มขึ้นไปจนถึงปี 2035 

 

ส่วนทางด้าน Honda เพิ่งเปิดตัวรถซีดาน โดยวางไว้เป็นรุ่นเรือธงในอเมริกาเหนือช่วงซัมเมอร์ ก็น่าสนใจว่ายอดขายรถไฮบริดในตลาดนี้ผลักดันให้ Honda สามารถครองส่วนแบ่งของยอดขายทั่วโลกและเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 20% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

 

ขณะที่ Nissan กำลังพิจารณาที่จะเปิดตัวโมเดล เทคโนโลยีไฮบริด e-Power ในตลาดสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายปี 2026 เข้ามาท้าชิงเช่นกัน

 

รถยนต์ไฟฟ้ายังโตไปพร้อมไฮบริด

 

ดังนั้นระหว่างนี้รถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริดยังคงเติบโต โดยคิดเป็นประมาณ 20% ของตลาดหลักทั้งหมดใน 14 ประเทศ  

 

อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจของ GlobalData สรุปคาดการณ์ว่า ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าในช่วงปี 2023-2026 ปริมาณมากกว่า 20 ล้านคัน และคาดว่าจะมีการใช้แตะระดับ 50 ล้านคันในปี 2035 ซึ่งมากกว่าครึ่งของความต้องการรถยนต์ทั้งหมด

 

ผู้ผลิตแต่ละแบรนด์จึงเร่งพัฒนาโมเดลเพื่อปิดจุดอ่อนของ EV ขณะที่แบรนด์ Suzuki มองว่า บริษัทมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริม EV และขณะนี้กำลังวิจัยและพัฒนาหลายๆ ด้าน เพราะท้ายที่สุดมองว่า แนวโน้มการเติบโตของไฮบริดอาจจะไม่คงอยู่ตลอดไป  

 

ภาพ: Sergii Iaremenko / Science Photo Library / Getty Images, Andriy Onufriyenko / Getty Images 

อ้างอิง: 

The post EV หรือ Hybrid ? ทำไมยอดขาย Hybrid พุ่ง 30% ในตลาดญี่ปุ่น, จีน, สหรัฐฯ และคนยังไม่กล้าเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า 100% appeared first on THE STANDARD.

]]>
เมื่อบริบทชีวิตแต่ละคนแตกต่างกัน กับคำถามที่ว่ารถไฮบริดยังน่าเล่นอยู่ไหม สรุปประเด็นสำคัญจากเวทีเสวนาฮอนด้า https://thestandard.co/key-points-from-honda-seminar/ Mon, 13 Nov 2023 09:27:48 +0000 https://thestandard.co/?p=865029

ท่ามกลางกระแสความตื่นตัวของผู้บริโภคอย่างเราที่มีต่อยาน […]

The post เมื่อบริบทชีวิตแต่ละคนแตกต่างกัน กับคำถามที่ว่ารถไฮบริดยังน่าเล่นอยู่ไหม สรุปประเด็นสำคัญจากเวทีเสวนาฮอนด้า appeared first on THE STANDARD.

]]>

ท่ามกลางกระแสความตื่นตัวของผู้บริโภคอย่างเราที่มีต่อยานยนต์พลังงานไฟฟ้าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ไปจนถึงการที่ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนจำนวนไม่น้อยเลือกเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย น่าจะเป็นบทพิสูจน์ที่ยืนยันให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่า ผู้คนสนใจและให้ความสำคัญกับยานยนต์พลังงานทางเลือกมากเพียงไร

 

ถึงอย่างนั้นก็ดี เราคงไม่สามารถเรียกได้เต็มปากว่าประเทศไทยเป็นยุคของยานยนต์ไฟฟ้า EV แบบ 100% เพราะแม้แต่หลายประเทศในกลุ่มยุโรปซึ่งถือเป็นตัวตั้งตัวตีในการเดินหน้าสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้า ณ วันนี้ก็ยังอยู่ในช่วง ‘เปลี่ยนผ่าน’ จากรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป ICE ไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า xEV กันอยู่เลย 

 

ปัญหาโครงสร้างขั้นพื้นฐานจำพวก จุดจอดชาร์จไม่เพียงพอ ไม่ครอบคลุม คนแย่งกันจอง แย่งกันชาร์จ หนักข้อถึงขั้นกลายเป็นกรณีโพสต์ประจานลงโซเชียล จึงเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นอยู่ทุกวี่วัน ยังไม่นับรวมพฤติกรรมผู้ขับขี่ประปรายที่ต้องปรับเปลี่ยนเสียใหม่ ทั้งการต้องวางแผนการเดินทางให้ละเอียดรอบคอบมากขึ้น เพื่อให้ทุกๆ การเดินทางครอบคลุมระยะการวิ่งที่จำกัดของแบตเตอรี่รถยนต์

 

จากทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เมื่อผนวกรวมกับนิยามการเป็นยุคเปลี่ยนผ่านจึงนำมาสู่การตั้งคำถามที่ว่า “แล้วรถยนต์ประเภทไหนกันแน่ที่จะช่วยให้เรารักษ์ได้ทั้งโลก และรักได้ทั้งไลฟ์สไตล์แบบเดิมๆ ของเรา”

 

(จากซ้ายไปขวา) ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน, พรหมมินทร์ งามจั่นศรี นักทดสอบรถยนต์ driveautoblog, พี่หลาม-ที่รัก บุญปรีชา กูรูด้านไอที, ฟรัง-นรีกุล เกตุประภากร แพทย์หญิงและนักแสดง

 

THE STANDARD จึงผนึกกำลังร่วมกับฮอนด้า ออโตโมบิล จัดเวทีเสวนาสุดเอ็กซ์คลูซีฟในหัวข้อ ‘ยุคที่ผู้คนมีไลฟ์สไตล์หลากหลาย ทำไมรถยนต์ไฮบริดถึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คุณไม่ควรมองข้าม’ เพื่อหาคำตอบไปพร้อมๆ กันว่า ในยุคที่มีรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) หรือรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าจากแบตเตอรี่แบบ 100% โลดแล่นอยู่บนท้องถนนมากมายหลายคัน รถไฮบริดยังน่าเล่นอยู่ไหม? ผ่านการแลกเปลี่ยนมุมมองความเห็นของตัวแทนจากหลากหลายแวดวง 

 

ทั้ง พรหมมินทร์ งามจั่นศรี นักทดสอบรถยนต์ driveautoblog, พี่หลาม-ที่รัก บุญปรีชา กูรูด้านไอที, ฟรัง-นรีกุล เกตุประภากร แพทย์หญิงและนักแสดง โดยมี ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน เป็นผู้ดำเนินการเสวนา

 

รีเซ็ตความจำ ทำความเข้าใจนิยาม EV เสียใหม่

 

หลายคนที่คร่ำหวอดในวงการรถยนต์คงแยกได้ไม่ยากว่า รถประเภท PHEV หรือ HEV และ BEV เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร แล้วทั้งหมดใช่รถยนต์ EV เหมือนกันหรือเปล่า 

 

ขณะที่คนจำนวนอีกไม่น้อยอาจเกิดความสับสนในนิยามของการเป็นรถไฟฟ้า ว่าท้ายที่สุดแล้วจำเป็นจะต้องเป็น BEV หรือไม่ ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นรถไฟฟ้าที่แท้จริง

 

ในประเด็นนี้ พรหมมินทร์เริ่มต้นด้วยการอธิบายให้เห็นภาพมากขึ้นว่า ในอดีตการแบ่งประเภทของรถจะแบ่งจาก ‘ที่มาของแหล่งพลังงาน (ประเภทเชื้อเพลิง)’ เช่น รถคันนี้ใช้น้ำมัน, ใช้พลังงานไฟฟ้า หรือใช้พลังงานทางเลือกใหม่แบบไฮโดรเจน ขณะที่รถยนต์ไฮบริด เนื่องจากเป็นรถยนต์ที่ยังใช้น้ำมันอยู่จึงถูกจัดให้อยู่ในหมวดรถยนต์ประเภทใช้น้ำมัน

 

แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง โลกต้องการลดการปล่อยคาร์บอน ประเทศในกลุ่มยุโรปหลายๆ ประเทศจึงเริ่มทยอยประกาศใช้มาตรการห้ามจำหน่ายรถยนต์กลุ่มสันดาป อย่างไรก็ดี เมื่อถึงเวลาจริงนโยบายดังกล่าวกลับไม่สามารถทำได้โดยสมบูรณ์ เนื่องจากต้นทุนในการเปลี่ยนผ่านยังมีอยู่มาก ทั้งค่าใช้จ่าย และภาระทางสิ่งแวดล้อม ขณะที่ค่ายรถยนต์ก็ยังไม่มีความพร้อม

 

ผลสุดท้าย ยุโรปจึงตัดสินใจจัดกลุ่มประเภทรถยนต์ใหม่ จากเดิมที่แบ่งจากที่มาของแหล่งพลังงาน เปลี่ยนมาเป็นการจำแนกจาก ‘ระบบในการขับเคลื่อน’ นั่นหมายความว่า ไม่ว่ารถของคุณจะชาร์จไฟด้วยการเสียบปลั๊ก หรือจะเติมน้ำมันเพื่อให้เครื่องยนต์ปั่นกระแสพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในการขับเคลื่อน ท้ายที่สุดแล้วหากตัวรถขับเคลื่อนด้วยกระแสไฟฟ้าก็จะเรียกรวมว่า xEV อยู่ดี ไม่ได้จำเป็นต้องเป็น BEV (Battery Electric Vehicle) เหมือนในอดีต

 

ปัจจุบันรถยนต์ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม xEV จึงประกอบไปด้วย

 

  1. HEV: Hybrid Electric Vehicle หรือรถยนต์ไฮบริด ที่ใช้เครื่องยนต์เชื้อเพลิงน้ำมันผสานการทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า และมีแบตเตอรี่เป็นส่วนประกอบในการเก็บและจ่ายไฟไปยังมอเตอร์ และสำคัญที่สุดคือระหว่างที่ตัวรถยนต์ขับเคลื่อนจะต้องใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเป็นหลักถึงจะเรียกว่าเป็น HEV ประเภท Full Hybrid

 

  1. PHEV: Plug-in Hybrid Electric Vehicle เป็นรถยนต์ลูกผสมที่ประสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์ เชื้อเพลิงน้ำมันและแบตเตอรี่ โดยที่แบตเตอรี่จะมีขนาดใหญ่กว่า HEV สามารถเสียบชาร์จไฟได้ 

 

  1. BEV: Battery Electric Vehicle รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่อาศัยการขับเคลื่อนจากกระแสไฟฟ้าที่ได้จากตัวแบตเตอรี่แบบ 100% จ่ายกระแสไฟฟ้าไปให้กับมอเตอร์ตัวรถยนต์

 

  1. FCEV: Fuel Cell Electric Vehicle รถยนต์ที่ใช้เซลล์เชื้อเพลิงมาเป็นพลังงานในการขับเคลื่อนในปัจจุบันจะใช้ก๊าซไฮโดรเจนมาเป็นแหล่งพลังงานที่สร้างปฏิกิริยาเคมีให้เกิดความร้อนและสร้างพลังงานไฟฟ้าไปเก็บประจุที่แบตเตอรี่ ก่อนจะจ่ายประจุไฟฟ้าต่อไปให้มอเตอร์ของรถยนต์ทำงาน โดยผลสุดท้ายที่ได้จากท่อไอเสียของเครื่องยนต์ประเภทนี้จะได้เป็น H2O หรือน้ำ เรียกได้ว่าสะอาดสุดๆ

 

 

DNA ของ ‘ความแรง’ คือหัวใจความต่างที่ทำให้ e:HEV หรือเทคโนโลยีรถยนต์ไฮบริดของฮอนด้าโดดเด่น แรงแซงคู่แข่ง

 

จริงอยู่ที่ e:HEV ของฮอนด้า ก็คือเทคโนโลยีรถยนต์เครื่องยนต์แบบไฮบริดที่ใช้ทั้งน้ำมันและพลังงานไฟฟ้าในการช่วยขับเคลื่อนมอเตอร์ของรถให้พุ่งไปข้างหน้าแบบที่รถยนต์ไฮบริดแบรนด์อื่นๆ ก็ใช้เหมือนกัน

 

แต่จุดตัดที่ทำให้ e:HEV ของฮอนด้าไม่มีใครเหมือน และไม่มีวันเหมือนใคร อยู่ที่ DNA ความเป็นฮอนด้า ที่ให้ความสำคัญกับสมรรถนะตัวรถยนต์ที่ต้องแรงและประหยัด เรื่อยไปจนถึงความเชี่ยวชาญที่พวกเขาสั่งสมจากการพัฒนารถยนต์ e:HEV มาเป็นระยะเวลานาน

 

พรหมมินทร์บอกว่า “ฮอนด้ามีการพัฒนาเทคโนโลยี e:HEV มาตลอด โดย Honda มีรถ e:HEV ครบทุกไลน์อัพ ไม่ว่าจะเป็น City e:HEV, City Hatchback e:HEV, Civic e:HEV, HR-V e:HEV, CR-V e:HEV รวมไปถึง All-new Honda Accord e:HEV ที่เพิ่งเปิดตัวไปในประเทศไทย 

 

“เมื่อเปลี่ยนมาถึงยุคของการลดการปล่อยคาร์บอน แต่ยังต้องประหยัด ฮอนด้าก็สามารถปรับตัวตามได้ แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย และยังถือเป็นจุดแข็งด้วยซ้ำเมื่อเปรียบเทียบกับค่ายคู่แข่งเซกเมนต์ต่อเซกเมนต์คือ รถของฮอนด้าแรงม้าจะต้องสูงกว่า แรงกว่า และมาพร้อมกับความประหยัดเสมอ รวมไปถึงดีไซน์แบบสปอร์ตที่ได้ใจแฟนๆ ของฮอนด้ามานักต่อนัก

 

“ตัวเทคโนโลยี e:HEV ของฮอนด้าก็เป็นส่วนสำคัญ เพราะเขาจะใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเสมอ บางค่ายอาจจะใช้แบตเตอรี่ประเภทอื่น แต่ฮอนด้าไม่เคยลดทอนคุณภาพของแบตเตอรี่ที่พวกเขาใช้งาน เพื่อคงประสิทธิภาพในการกักเก็บประจุไฟฟ้าและการจ่ายกระแสไฟฟ้าออกไปยังตัวมอเตอร์ ส่วนตัวมอเตอร์ที่ใช้ขับเคลื่อนตัวรถยนต์ e:HEV ของฮอนด้า ก็จะมีขนาดที่ใหญ่กว่าเทคโนโลยีเดียวกันของค่ายคู่แข่งด้วย

 

“อย่างไรก็ดี ต้องบอกว่า e:HEV ของฮอนด้า ในแต่ละรุ่นก็มีความโดดเด่นแตกต่างกัน ความแรงของแต่ละโมเดล แต่ละเซกเมนต์ ก็ต่างกันตามราคา ฮอนด้าไม่ได้ยกแพตเทิร์นเดียวกันมาใช้กับรถยนต์ทุกโมเดล เช่น City e:HEV ใช้มอเตอร์สองตัวมาประกบกันร่วมกันทำงาน ส่วน All-new Honda Accord e:HEV ก็จะมีขนาดมอเตอร์ที่ใช้ขับเคลื่อนที่ใหญ่กว่า สะท้อนให้เห็นว่าฮอนด้า เขาละเอียดมาก ไม่ได้พัฒนาเครื่องยนต์ประเภทเดียวมาใช้กับรถทุกรุ่น แล้วเปลี่ยนแค่ตัวบอดี้”

 

ด้านกูรูไอทีอย่างพี่หลามเสริมว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ในการใช้งานรถยนต์ของตน ตนมีรถยนต์ฮอนด้าจำนวนมากกว่า 9 คัน ซึ่งการใช้งานรถแบรนด์เดียวมากกว่า 9 คัน ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องยืนยันที่พิสูจน์ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่เขามีต่อคุณภาพบริการหลังการขาย และการบำรุงรักษาที่ดีของฮอนด้าที่ทำให้เขาเชื่อมั่นและใช้งานรถยนต์ฮอนด้ามาตลอดต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี”

 

 

เมื่อ ‘บริบทชีวิตแต่ละคนแตกต่างกัน e:HEV หรือไฮบริดจึงเป็นคำตอบ

 

อย่างที่เกริ่นไปในตอนต้นว่า ปัจจุบันสังคมไทยกำลัง ‘เปลี่ยนผ่าน’ เข้าสู่สังคมของการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ทำให้อะไรหลายๆ อย่างข้างเคียงที่อาจยังไม่สมบูรณ์ 100% บางครั้งก็อาจกลายเป็นข้อจำกัดที่ทำให้การใช้งานรถไฟฟ้ากลายเป็นเรื่องยุ่งยากได้ 

 

ไหนจะปัญหาเรื่องการจองจุดชาร์จไฟฟ้า,​ การวางแผนการเดินทางที่ต้องละเอียด รัดกุม การใช้เวลาไปกับการชาร์จแบตเตอรี่ กรณีเดินทางไกลและหัวชาร์จแบบ Fast Charge ไม่เพียงพอ ต้นทุนค่าประกันรถฯ ที่สูงกว่าปกติ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านของผู้บริโภคยังไม่เท่ากัน

 

“ส่วนตัวผมจึงมองว่า เทคโนโลยี e:HEV ของฮอนด้า ถือเป็นเทคโนโลยีของรถยนต์ที่ดีเป็นอย่างมากในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนผ่านนี้” ที่รักบอกต่อว่า “เทคโนโลยี e:HEV ช่วยให้เราในฐานะผู้บริโภคยังสามารถใช้ชีวิตและพฤติกรรมตามเดิมโดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนให้ยุ่งยากหรือเยอะ เพราะระดับความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านของผู้บริโภค ณ วันนี้ก็ยังไม่เท่ากัน โดยเฉพาะการต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง ขณะเดียวกันก็ยังสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้อีกต่างหาก

 

“เวลาผมเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปเยี่ยมพ่อตาแม่ยายที่เชียงใหม่เป็น Long Day Trip ผมจะต้องทำให้การเดินทางมันโฟลวให้ได้มากที่สุดด้วยการลดข้อแม้การพักจอดรถลงให้น้อยที่สุด ซึ่งแค่ทุกคนเข้าห้องน้ำระหว่างทางก็ใช้เวลาเยอะแล้ว ดังนั้นรถที่จะช่วยให้ผมเดินทางด้วยความราบรื่นมากที่สุดก็เป็นรถยนต์ไฮบริด ผมสามารถใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างลื่นไหล ต่อเนื่อง ไม่มีข้อจำกัด”

 

 

ด้าน ฟรัง นรีกุล ในฐานะตัวแทนคนรุ่นใหม่ ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า เธอมีไลฟ์สไตล์การเที่ยวแบบปุ๊บปั๊บ เป็นคนไม่ชอบวางแผนให้วุ่นวาย ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมของตัวเอง รถยนต์ e:HEV หรือรถยนต์แบบไฮบริดจึงตอบโจทย์ตัวเธอเองแบบสุดๆ 

 

“ฟรังไม่จำเป็นต้องมานั่งวางแผนเรื่องการเดินทางและจุดชาร์จต่างๆ แต่ก็ยังคงเรื่องความประหยัดพลังงาน ประหยัดค่าเชื้อเพลิง ทั้งยังมีส่วนในการช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้ไม่ต่างกัน”

 

ส่วนสาเหตุที่เธอเชื่อมั่นในแบรนด์ฮอนด้าก็เป็นเพราะความสามารถของค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่นเจ้านี้ที่สามารถการันตีได้ถึงบริการหลังการขาย และการบำรุงรักษาระยะยาวที่ดี มีคุณภาพ ซึ่งทำให้เธอแทบไม่ต้องมานั่งกังวลประเด็นด้านปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวรถเลยแม้แต่น้อย

 

 

‘Easy to Use’ นิยามที่กระชับแต่ตรงใจ และใช่กับความเป็น e:HEV ของฮอนด้า แบบเต็มสิบไม่หัก

 

พรหมมินทร์ขยายความต่อในประเด็นความแตกต่างของเทคโนโลยี e:HEV รถยนต์ฮอนด้าแต่ละโมเดล ซึ่งล้วนแล้วแต่มีจริตและศักยภาพที่ต่างกันออกไป โดยเริ่มต้นที่ City e:HEV ที่เจ้าตัวบอกว่า เป็นรถ B-ECO ที่หายห่วงเรื่องความประหยัดและสมรรถนะ โดยหากอยากขับไฮบริดให้ประหยัด ถนอมการใช้งานระยะยาว สิ่งที่สำคัญคือ การต้องออกตัวอย่างสมูธ ไม่ขับกระแทกกระทั้น ทั้งยังช่วยให้ถนอมอายุแบตเตอรี่ให้สามารถใช้งานนานต่อเนื่อง อาจมากกว่าอายุรับประกันของฮอนด้าที่ 10 ปีด้วยซ้ำ

 

“แต่ถ้าอยากเพิ่มความแรงขึ้นอีกระดับก็ต้องเลือก Civic e:HEV เนื่องด้วยตัวรถมีความสปอร์ต เครื่องจะเป็นเครื่องแบบหัวฉีดตรง มีความแรงกว่า ซึ่งในโมเดล Civic e:HEV ไล่ขึ้นมา ตัวเครื่องไฮบริดจะแยกมอเตอร์ขับเคลื่อนออกจากตัวเจเนอเรเตอร์ปั่นไฟ อยากแรงแค่ไหนก็จัดได้เลย 

 

“แล้วเสียงสังเคราะห์ของตัว Civic e:HEV โมเดล RS เป็นอะไรที่ผมชอบมาก เพราะเป็นเสียงเครื่องยนต์สปอร์ต ฮอนด้าเขาละเอียดมาก ไม่ลืมดีเทลเล็กๆ น้อยๆ และปัจจุบันฮอนด้าประเทศไทยยังได้เปิดตัว Accord โมเดล RS เป็น World Premiere ครั้งแรกของโลกอีกด้วย” พรหมมินทร์เล่า

 

ส่วน CR-V รถยนต์ SUV ขนาดใหญ่ของฮอนด้าก็ยังสามารถสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะกวาดยอดขายในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-กันยายน 2566) ไปได้มากกว่า 5,900 คัน สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ผู้บริโภคมีต่อโมเดล CR-V ได้เป็นอย่างดี

 

“เรื่องความล้ำของเทคโนโลยี ณ วันนี้ต้องยกให้ All-new Honda Accord e:HEV เพราะเขาถือเป็นที่สุดแล้ว ใช้เครื่อง 2.0 ลิตร ฉีดตรง มาพร้อมดีไซน์มอเตอร์ขับเคลื่อนแบบใหม่แยกออกจากเจเนอเรเตอร์ นั่นจึงทำให้ Accord ใหม่นี้ที่ผมวิเคราะห์จากข้อมูลน่าจะทั้งแรง นุ่ม และพรีเมียม รวมไปถึงแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ คิดว่าทั้งหมดใน Accord นี้น่าจะสร้างความประทับใจให้กับผู้บริโภคในไทยได้”

 

เมื่อถามถึงนิยามและความเห็นที่เขามีต่อเทคโนโลยี e:HEV พรหมินทร์ยอมรับแบบไม่ลังเลเลยว่า เขามองรถยนต์ไฮบริดว่าเป็นรถยนต์ที่ใช้งานได้ง่ายที่สุดแล้ว Easy to Use เนื่องจากการใช้งานรถยนต์ BEV ในมุมมองของเขายังมีข้อจำกัด โดยเฉพาะเรื่องความยุ่งยากในการวางแผนการเดินทาง การจองจุดชาร์จประจุไฟฟ้าซึ่งอาจจะมีข้อจำกัดเต็มไปหมด ทั้งความยากในการจอง การคำนวณเวลาและระยะทางที่เหลือที่ตัวรถจะสามารถวิ่งไปถึงยังปลายทางได้

 

All-new Honda Accord e:HEV ยนตรกรรมที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย หรูหรา พรีเมียม กับไลฟ์สไตล์ที่สะดวกสบายเหนือระดับจากฮอนด้า

 

ดังนั้นหากวัดเรื่องความสะดวก สมรรถนะของตัวรถที่ไม่เป็นสองรองใคร ไปจนถึงความง่ายที่เราไม่ต้องโน้มตัวปรับเข้าหาให้เยอะจนไลฟ์สไตล์เดิมๆ วุ่นวายเต็มไปด้วยข้อจำกัด เทคโนโลยี e:HEV หรือไฮบริดจึงกลายเป็นคำตอบที่ทั้งง่ายและใช่ไปซะหมดในทุกมิติ ณ วันนี้นั่นเอง

 

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.honda.co.th/accordehev 

The post เมื่อบริบทชีวิตแต่ละคนแตกต่างกัน กับคำถามที่ว่ารถไฮบริดยังน่าเล่นอยู่ไหม สรุปประเด็นสำคัญจากเวทีเสวนาฮอนด้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
เกรท วอลล์ มอเตอร์ เคาะราคา ‘All New HAVAL H6 Hybrid SUV’ แล้ว เปิด 1.15 ล้านบาท https://thestandard.co/gwm-all-new-haval-h6-hybrid-suv/ Tue, 29 Jun 2021 10:25:02 +0000 https://thestandard.co/?p=506380 All New HAVAL H6 Hybrid SUV

หลังจากที่เปิดตัวมาสักระยะ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (GWM) ก็ไ […]

The post เกรท วอลล์ มอเตอร์ เคาะราคา ‘All New HAVAL H6 Hybrid SUV’ แล้ว เปิด 1.15 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
All New HAVAL H6 Hybrid SUV

หลังจากที่เปิดตัวมาสักระยะ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (GWM) ก็ได้ฤกษ์ประกาศราคารถยนต์โมเดลเอสยูวีไฮบริดยอดฮิตของพวกเขาอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดย All New HAVAL H6 Hybrid SUV จะมาให้เลือกด้วยกันใน 2 โมเดล ในรุ่น PRO มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,149,000 บาท และรุ่น ULTRA อยู่ที่ 1,249,000 บาท เป็นราคาแบบ ONE PRICE หรือราคาเดียวกันในทุกๆ ช่องทางการจำหน่าย

 

All New HAVAL H6 Hybrid SUV คือรถโมเดล SUV แบรนด์ HAVAL จากค่ายเกรท วอลล์ มอเตอร์ ซึ่งได้รับความนิยมมากๆ ในประเทศจีน โดยทางเกรท วอลล์ มอเตอร์ เคลมว่าพวกเขาสามารถทำยอดขายได้มากกว่า 3,500,000 คันทั่วโลก

 

ดีไซน์ภายนอก All New HAVAL H6 Hybrid SUV ใช้กระจังหน้า Classic Geometric Pattern แบบ 3 มิติ และไฟหน้า Intelligent LED เพื่อเพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัยในการขับขี่ยามค่ำคืน พร้อมไฟท้าย LED Taillight Strip พาดยาวจากซ้ายจรดขวาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาดใหญ่กว่า 19 นิ้ว

 

ดีไซน์ภายในแบบ Minimalist ใช้สีแบบ Two-Tone และมีหน้าจอที่สามารถเชื่อมต่อกันได้ถึง 3 หน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจออัจฉริยะแบบ Touch Screen ขนาด 12 นิ้ว หน้าจอ Multi Information Display ขนาด 10 นิ้ว และ Head Up Display ขนาด 9 นิ้ว ที่กระจกด้านหน้า มาพร้อมชุดเกียร์ไฟฟ้า มีแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย เพื่อความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

 

ห้องโดยสาร All New HAVAL H6 Hybrid SUV เน้นความกว้างขวางสะดวกสบาย มีขนาดใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับรถในคลาสเดียวกัน และยังสามารถเพิ่มความโปร่งโล่งในห้องโดยสารด้วยการเปิดพาโนรามิกซันรูฟขนาดใหญ่โดยไร้กังวลด้วยระบบกรองอากาศ CN95 พร้อม Ionizer ซึ่งสามารถลดปริมาณฝุ่น PM2.5 ให้ลดลงเหลือประมาณ 27 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ให้ห้องโดยสารสดชื่นอยู่ตลอดเวลา

 

ด้านเครื่องยนต์ All New HAVAL H6 Hybrid SUV ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ 1.5 เทอร์โบ/ลิตร ถือเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งของเกรท วอลล์ มอเตอร์ พร้อมระบบ Turbo แปรผัน (VGT) ที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 243 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 530 นิวตันเมตร พร้อมระบบเกียร์ DHT (Dedicated Hybrid Transmission) เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงสูงสุดและกระทบกับสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด

 

ให้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 19.2 กิโลเมตรต่อลิตร อ้างอิงจากระบบป้ายข้อมูลรถยนต์ตามมาตรฐานสากล (ECO Sticker) และสามารถรองรับโหมดการขับขี่ได้ถึง 4 แบบ ไม่ว่าจะเป็น โหมดมาตรฐาน, โหมดสปอร์ต, โหมดประหยัด และโหมดสภาพถนนลื่น

 

ส่วนข้อมูลอื่นๆ สามารถศึกษาได้ที่ https://www.gwm.co.th/ และสำหรับผู้ที่สนใจสามารถจองตัวรถและทดลองขับได้ผ่าน 2 ช่องทาง ทั้ง GWM Application และเว็บไซต์ WWW.GWM.CO.TH โดยประกาศความพร้อมในการส่งมอบประสบการณ์แบบ O2O (Online to Offline) ด้วยการขยายเครือข่ายการขายและศูนย์บริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงบริการหลังการขายครบวงจรภายใต้หลักการ 4Cs (Connected, Capability, Convenience และ Cost of Ownership) มั่นใจสามารถส่งมอบรถล็อตแรกได้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้

 

ปัจจุบัน เกรท วอลล์ มอเตอร์ มี GWM Store เปิดให้บริการแล้วทั้งหมด 6 แห่ง แบ่งเป็น Direct Store 3 แห่ง ได้แก่ สาขาเซ็นทรัล บางนา, สาขาฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต และสาขาสีลม คอมเพล็กซ์ และ Partner Store อีก 3 แห่ง ได้แก่ สาขาจรัญสนิทวงศ์, สาขาพระราม 5 และสาขาอุดมสุข โดยตั้งเป้าจะเปิดเพิ่มอีก 6 แห่ง ภายในเดือนกรกฎาคม

 

และจะทยอยเปิด GWM Store ให้ครบ 30 แห่ง ภายในสิ้นปีนี้ และมีเป้าหมายที่จะเปิดให้ครบ 50 แห่ง ภายในไตรมาสแรกของปีหน้า นอกจากนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังเตรียมที่จะเปิด Experience Center แห่งแรกนอกประเทศจีน ณ ศูนย์การค้าไอคอนสยาม ภายในไตรมาสที่ 3 และ Service Center ภายในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้

 

พิสูจน์อักษร: นัฐฐา สอนกลิ่น

The post เกรท วอลล์ มอเตอร์ เคาะราคา ‘All New HAVAL H6 Hybrid SUV’ แล้ว เปิด 1.15 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดตลาดรถยนต์ปี 2562 หดตัว อีโคคาร์-ไฮบริดยังขายดี EV ยังราคาสูง https://thestandard.co/automobile-market-forecast-eco-car-hybrid-salable/ https://thestandard.co/automobile-market-forecast-eco-car-hybrid-salable/#respond Tue, 18 Dec 2018 09:44:18 +0000 https://thestandard.co/?p=166681

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินกลุ่มรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแ […]

The post ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดตลาดรถยนต์ปี 2562 หดตัว อีโคคาร์-ไฮบริดยังขายดี EV ยังราคาสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินกลุ่มรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทำยอดขายโดดเด่น ขยายตัวกว่า 48% ในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2560 ปัจจัยสำคัญคือราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น คาดว่าทั้งปี 2561 รถยนต์อีโคคาร์จะขยายตัวกว่า 37% หรือคิดเป็นยอดขาย 1.71 แสนคัน ส่วนรถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้าก็มีแนวโน้มเติบโตรวดเร็วด้วย คาดว่ายอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะสูงกว่า 2.1 หมื่นคัน หรือขยายตัวกว่า 75% จากปี 2560 แบ่งเป็นยอดขายรถยนต์ไฮบริดกว่า 1.22 หมื่นคัน ขยายตัว 270% และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดเกือบ 9 พันคัน ขยาย 1% และรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ 55 คัน ขยาย 104% คาดว่าตลาดรถยนต์ทุกประเภทของไทยในปีนี้จะขยายตัวประมาณ 18% คิดเป็นยอดขายสูงกว่า 1 ล้านคัน หลังจากที่เคยแตะระดับล้านคันในช่วงปี 2555-2556 จากโครงการรถยนต์คันแรกของรัฐบาลในสมัยนั้น

 

นอกจากปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินการลงทุนของค่ายรถยนต์และนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนรถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้า น่าจะได้รับการตอบรับอย่างดีในปี 2562 ปัจจุบันมีค่ายรถที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนสำหรับรถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้าจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI และอยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อยื่นขอส่งเสริมการลงทุนในสิ้นปี 2561 นี้ โดยรถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีสรรพสามิตที่ต่ำกว่ารถยนต์รุ่นปกติ เชื่อว่าจะทำให้ค่ายรถสามารถตั้งราคาที่ดึงดูดผู้บริโภคให้ตัดสินใจซื้อได้มากขึ้น

 

สำหรับรถยนต์อีโคคาร์ปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์อีโคคาร์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าอาจจะต้องรอให้ระดับเทคโนโลยีของค่ายรถยนต์ต่างๆ มีความพร้อมมากกว่านี้ รวมถึงราคาแบตเตอรี่ที่ควรจะต้องลดลงให้อยู่ในระดับที่จับต้องได้มากขึ้น คาดว่าในปี 2562 รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดจะมียอดขายราว 1-1.2 หมื่นคันหรือขยายตัว 32-37% และรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่จะมียอดขาย 400-450 คัน ขยายตัว 627-718%

 

อย่างไรก็ตาม ตลาดรถยนต์โดยรวมในปี 2562 มีแนวโน้มชะลอตัวลงท่ามกลางภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงการเพิ่มความเข้มงวดเรื่องคุณภาพสินเชื่อของบริษัทลีสซิ่งจากปัญหาหนี้เสียที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ทำให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศโดยรวมน่าจะปรับลดลงต่ำกว่า 1 ล้านคัน หรือหดตัว 2-5% เมื่อเทียบกับปี 2561

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

The post ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดตลาดรถยนต์ปี 2562 หดตัว อีโคคาร์-ไฮบริดยังขายดี EV ยังราคาสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/automobile-market-forecast-eco-car-hybrid-salable/feed/ 0
Toyota ญี่ปุ่นเตรียมเรียกรถไฮบริดคืนกว่า 1 ล้านคันทั่วโลก เหตุพบปัญหาการเดินสาย เสี่ยงไฟไหม้ ในไทยยังรอความคืบหน้า https://thestandard.co/toyota-recalls-over-a-million-hybrid-vehicles-due-to-fire-risk/ https://thestandard.co/toyota-recalls-over-a-million-hybrid-vehicles-due-to-fire-risk/#respond Thu, 06 Sep 2018 05:12:38 +0000 https://thestandard.co/?p=119247

โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน ผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นเตรี […]

The post Toyota ญี่ปุ่นเตรียมเรียกรถไฮบริดคืนกว่า 1 ล้านคันทั่วโลก เหตุพบปัญหาการเดินสาย เสี่ยงไฟไหม้ ในไทยยังรอความคืบหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>

โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน ผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นเตรียมเรียกรถยนต์โมเดลไฮบริดจำนวนกว่า 1.03 ล้านคันทั่วโลกคืน รวมถึงรถยนต์รุ่นพรีอุส (Prius) เพื่อนำกลับมาตรวจเช็กความปลอดภัยในการใช้งาน หลังพบปัญหาการเดินสายในตัวรถบางคันซึ่งอาจทำให้ไฟลุกไหม้ได้

 

นอกจากพรีอุส รถยนต์ที่ประกอบและผลิตที่ญี่ปุ่นในช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน ปี 2015 จนถึงช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 2018 นับรวมรถยนต์แบบปลั๊กอิน ไฮบริด โมเดลพรีอุส และซี-เอชอาร์ (C-HR) ที่วางจำหน่ายในญี่ปุ่น, ยุโรป, ออสเตรเลียและประเทศอื่นๆ ก็จะถูกเรียกคืนด้วย ในจำนวนนี้คาดว่าจะมีรถยนต์กว่า 5 แสนคันที่ถูกเรียกคืนในญี่ปุ่น ส่วนที่สหรัฐอเมริกาคาดว่าน่าจะมีพรีอุสกว่า 1.92 แสนคันที่ได้รับผลกระทบ

 

สาเหตุที่โตโยต้าต้องเรียกคืนรถไฮบริดจำนวนมากกลับมาตรวจสอบ เนื่องจากพบว่าชุดสายไฟรวมที่เชื่อมต่อกับระบบควบคุมไฮบริดในเครื่องยนต์อาจสัมผัสกับฝาปิดในจุดเชื่อมต่อได้ ซึ่งหากบริเวณชุดสายไฟและฝาปิดมีจำนวนฝุ่นไปสะสมมากๆ ก็จะทำให้ฉนวนกันความร้อนของสายไฟเสื่อมสภาพ และอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ระบบไฟฟ้าในเครื่องยนต์ลัดวงจร ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดที่จะตามมาคือทำให้รถไฟไหม้

 

ทั้งนี้ยังไม่มีรายงานว่ารถยนต์โตโยต้าไฮบริดในประเทศไทยทั้งรุ่นพรีอุสและซี-เอชอาร์จะได้รับผลกระทบจากการเรียกคืนครั้งนี้ของโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน ประเทศญี่ปุ่นหรือไม่

 

ล่าสุดจากการตรวจสอบข้อมูลของทีมงาน THE STANDARD กับศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด พบว่า มีเพียงการแจ้งให้ลูกค้านำรถยนต์เข้ามาตรวจเช็กถุงลมนิรภัยเท่านั้น ส่วนกรณีเรียนคืนรถยนต์ไฮบริดจากฝั่งญี่ปุ่นยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบข้อมูลกับทางบริษัทแม่อยู่ หากมีความคืบหน้าใดๆ โตโยต้า ประเทศไทยจะแจ้งข้อมูลให้ลูกค้าทราบทันที

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง:

The post Toyota ญี่ปุ่นเตรียมเรียกรถไฮบริดคืนกว่า 1 ล้านคันทั่วโลก เหตุพบปัญหาการเดินสาย เสี่ยงไฟไหม้ ในไทยยังรอความคืบหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/toyota-recalls-over-a-million-hybrid-vehicles-due-to-fire-risk/feed/ 0