GQ – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 26 Feb 2025 01:18:45 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ลุคนายแบบของ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ที่ขึ้นปก GQ Italia https://thestandard.co/zlatan-ibrahimovic-gq-italia-executive-photoshoot/ Wed, 26 Feb 2025 01:18:45 +0000 https://thestandard.co/?p=1045774 ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ในลุคผู้บริหารสุดคูลขึ้นปก GQ Italia

ซลาตัน อิบราฮิโมวิช กลับมารับงานที่เอซี มิลาน อีกครั้งใ […]

The post ลุคนายแบบของ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ที่ขึ้นปก GQ Italia appeared first on THE STANDARD.

]]>
ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ในลุคผู้บริหารสุดคูลขึ้นปก GQ Italia

ซลาตัน อิบราฮิโมวิช กลับมารับงานที่เอซี มิลาน อีกครั้งในเดือนธันวาคม 2023 หลังรีไทร์ไปจากสโมสรแห่งนี้ในปี 2022 โดย RedBird Capital ในฐานะเจ้าของสโมสร จ้างอดีตนักเตะรายนี้มาทำงานในตำแหน่ง Senior Advisor

 

เป็นเวลากว่า 1 ปีแล้วที่ซลาตันมีบทบาทเป็นพนักงานออฟฟิศที่ทำงานนอกสนามฟุตบอล และนั่นก็กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ GQ Italia ดึงตัวเขามาถ่ายแบบและพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เขาทำภายใต้คอนเซปต์ชีวิตการเป็นพนักงานออฟฟิศลุคผู้บริหาร

 

โดยภาพเซ็ตนี้ได้ช่างภาพชื่อดังอย่าง NO TEXT Azienda ซึ่งเคยร่วมงานกับแบรนด์ดังอย่าง Diesel, NOCTA, Off-White™ และแบรนด์อื่นๆ อีกมากมาย มาเป็นคนกดชัตเตอร์ด้วย

 

ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ในลุคผู้บริหารสุดคูลขึ้นปก GQ Italia ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ในลุคผู้บริหารสุดคูลขึ้นปก GQ Italia ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ในลุคผู้บริหารสุดคูลขึ้นปก GQ Italia ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ในลุคผู้บริหารสุดคูลขึ้นปก GQ Italia

 

อ้างอิง:

The post ลุคนายแบบของ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ที่ขึ้นปก GQ Italia appeared first on THE STANDARD.

]]>
Brad Pitt มองว่าเขาอยู่ในช่วงสุดท้ายของการเป็นนักแสดงแล้ว แต่จะยังไม่เกษียณเร็วๆ นี้ https://thestandard.co/brad-pitt-final-acting-phase/ Fri, 23 Aug 2024 03:16:39 +0000 https://thestandard.co/?p=974314 Brad Pitt

ย้อนไปเมื่อปี 2022 นักแสดงชื่อดังแห่งวงการฮอลลีวูดอย่าง […]

The post Brad Pitt มองว่าเขาอยู่ในช่วงสุดท้ายของการเป็นนักแสดงแล้ว แต่จะยังไม่เกษียณเร็วๆ นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Brad Pitt

ย้อนไปเมื่อปี 2022 นักแสดงชื่อดังแห่งวงการฮอลลีวูดอย่าง Brad Pitt เผยว่าเขาอยู่ในช่วงสุดท้ายของการทำงานเป็นนักแสดงแล้ว และเขามีอาการป่วยเป็นโรคลืมใบหน้าด้วย (Face Blindness) หลายคนจึงเข้าใจว่าอีกไม่นาน Brad Pitt จะเกษียณจากอาชีพนี้ แต่ความจริงแล้วเขายังอยากทำงานนี้อยู่ ทั้งยังไม่ได้มีแพลนเลิกเป็นนักแสดงด้วย ซึ่งในปีนี้เขาให้สัมภาษณ์เช่นนี้อีกครั้งกับนิตยสาร GQ ว่าหน้าที่การงานอาจชะลอตัวลงบ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะเลิกทำอาชีพนี้

 

Brad Pitt คิดว่าเขาอาจอยู่ในช่วงสุดท้ายแล้วก็จริง แต่เขาก็ใช้ชีวิตแบบเดิมพร้อมๆ กับพยายามเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นคนที่รักหรือการใช้ชีวิตก็ตาม และเขายังมองหาโอกาสใหม่ๆ ที่จะได้ร่วมงานกับคนที่อยากร่วมงานด้วย ซึ่งเขาตั้งตารอคอยต่อไปว่าปีสุดท้ายของเขาจะเป็นแบบไหนมากกว่า

 

“ผมยังอยู่กับวิถีชีวิตแบบเดิม และพยายามเพลิดเพลินไปกับคนรอบตัวที่ผมรัก แล้วก็แค่ใช้ชีวิตต่อไป…มันเป็นเหมือนกับการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลน่ะ คุณเริ่มต้นทำอาชีพนี้แล้วก็ค้นพบอะไรใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้น น่าสนใจ น่าเจ็บปวด หรือแย่มากๆ แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นการเปิดประตูให้คุณไปเจอกับโอกาสอันยิ่งใหญ่มากขึ้น แม้ว่ามันจะเป็นเกมที่คุณต้องรับผิดชอบและต้องรับมือ แต่มันก็จะเป็นโอกาสสนุกๆ ที่ทำให้คุณได้ทำงานร่วมงานกับผู้คนที่คุณเคารพนับถือจริงๆ ซึ่งจนถึงตอนนี้มันก็จะเป็นคำถามว่า ‘ปีสุดท้ายของเราจะเป็นอย่างไร’” 

 

นอกจากนี้ Brad Pitt มองว่า มันเป็นธรรมดาที่ร่างกายคนเราอาจจะเปราะบางลงเมื่ออายุมากขึ้น แต่เขาก็เห็นว่าคนในวงการอายุมากหลายคนก็ยังทำงานอยู่ตลอด อย่างเช่นสถาปนิกชื่อดัง Frank Gehry ที่มีอายุ 95 ปีแล้ว แต่ยังสร้างงานศิลปะอันยอดเยี่ยมและมีครอบครัวที่น่ารัก ดังนั้นเขาจึงคิดว่าการพยายามใช้ชีวิตให้สนุกทุกวันเป็นสูตรสำเร็จที่ทำให้คนเรามีความคิดสร้างสรรค์และทำให้เรารักชีวิตของตัวเองมากขึ้นด้วย

 

ภาพ: Adam Davy / PA Images via Getty Images

อ้างอิง:

The post Brad Pitt มองว่าเขาอยู่ในช่วงสุดท้ายของการเป็นนักแสดงแล้ว แต่จะยังไม่เกษียณเร็วๆ นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Chris Evans เคยกังวลว่าการรับบท Captain America จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปจนเป็นทุกข์ https://thestandard.co/chris-evans-captain-america-role-worry/ Sat, 23 Sep 2023 09:39:29 +0000 https://thestandard.co/?p=845223 Chris Evans Captain America

ก่อนจะตัดสินใจรับบทกัปตันอเมริกาแห่งอาณาจักร Marvel ที่ […]

The post Chris Evans เคยกังวลว่าการรับบท Captain America จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปจนเป็นทุกข์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Chris Evans Captain America

ก่อนจะตัดสินใจรับบทกัปตันอเมริกาแห่งอาณาจักร Marvel ที่กลายเป็นหนึ่งในจุดพลิกผันครั้งใหญ่ในชีวิตของพระเอกคนดัง Chris Evans เขายอมรับว่าเคยมีความลังเล และกังวลว่าการรับบทเป็นกัปตันอเมริกาจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปจนเขาเป็นทุกข์

 

ในการสัมภาษณ์ครั้งล่าสุดกับ GQ เขาเผยว่าตัวเองชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียของการที่จะได้เป็นเจ้าของบทกัปตันอเมริกาว่า “ข้อดีก็คือผมจะสามารถดูแลครอบครัวได้ตลอดไป แต่ข้อเสียคือผมจะกลายเป็นคนที่ไม่มีความสุขเอามากๆ ด้วยชื่อเสียงที่เพิ่มขึ้น และผมคงสูญเสียการควบคุมชีวิต”

 

สุดท้ายแล้ว Chris Evans ก็ตัดสินใจรับบทกัปตันอเมริกา และแสดงภาพยนตร์กับ Marvel Cinematic Universe ไปทั้งหมด 7 เรื่อง เริ่มต้นด้วยเรื่อง Captain America: The First Avenger ในปี 2011 และปิดท้ายด้วยเรื่อง Avengers: Endgame ในปี 2019

 

เขาเผยว่า “ผมชอบแสดงบทนั้นนะ ผมรู้สึกผูกพันกับมัน เพราะเมื่อผมต้องกลับไปแสดงบทนี้มามากมายหลายครั้ง ผมก็เริ่มซึมซับคุณลักษณะบางอย่างของความเป็นกัปตันอเมริกามาอย่างช่วยไม่ได้ และเริ่มเปรียบเทียบแข่งขันกับพวกเขา”

 

Chris Evans ประกาศว่าเขาจะวางมือบทกัปตันอเมริกาครั้งแรกเมื่อปี 2018 พร้อมกับเผยว่าเขารู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้แสดงบทดังกล่าวนี้มาเป็นเวลา 8 ปี เมื่อพูดถึงการตัดสินใจในครั้งนั้น เขาเผยว่า “คุณคงอยากถอนตัวออกมาก่อนที่พวกเขาจะขับไสไล่ส่งคุณนะ”

 

สำหรับโอกาสที่ Chris Evans จะกลับมาแสดงบทเดิมในอาณาจักร Marvel เขาเผยว่าคงไม่ใช่เร็วๆ นี้ ถ้าหากภาพยนตร์เรื่องนั้นถูกสร้างขึ้นเพียงเพื่อหาเงิน และไม่ได้ดีตามความคาดหวังของแฟนๆ หรือไม่มีความเชื่อมโยงกับหนังออริจินัล แต่ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง “ผมจะไม่พูดว่าไม่มีวันกลับไปเล่นบทนี้ แต่มันเป็นเพียงเพราะว่าผมได้รับประสบการณ์ที่วิเศษเหลือเกิน และมันก็เป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับผม เป็นอะไรที่ผมภูมิใจมากๆ”

 

ภาพ: Raymond Hall / GC Images

อ้างอิง:

The post Chris Evans เคยกังวลว่าการรับบท Captain America จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปจนเป็นทุกข์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Andrew Garfield ยอมรับว่าพออายุเข้าใกล้ 40 ปี เขาเริ่มรู้สึกผิดที่ยังไม่มีลูกและครอบครัวตามที่เคยคาดหวัง https://thestandard.co/andrew-garfield-kids-family/ Sat, 26 Nov 2022 06:50:46 +0000 https://thestandard.co/?p=715838

Andrew Garfield นักแสดงคนดังวัย 39 ปี ยอมรับผ่าน GQ ว่า […]

The post Andrew Garfield ยอมรับว่าพออายุเข้าใกล้ 40 ปี เขาเริ่มรู้สึกผิดที่ยังไม่มีลูกและครอบครัวตามที่เคยคาดหวัง appeared first on THE STANDARD.

]]>

Andrew Garfield นักแสดงคนดังวัย 39 ปี ยอมรับผ่าน GQ ว่า เขารู้สึกผิดที่ยังคงไม่มีครอบครัวและทายาทตามที่เคยคาดหวังไว้ โดยเมื่อก่อนนั้นเขาตั้งเป้าหมายว่าตัวเองจะต้องมีลูกแล้วเมื่อมีอายุครบ 40 ปี

 

“ข่าวดีก็คือ ผมกับเพื่อนๆ สมัยมัธยมฯ ทั้งหมดได้ฉลองที่พวกเราจะมีอายุถึง 40 ปีด้วยกัน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ผมคิดมาตลอดว่าผมจะเป็นคนแรกที่ลงหลักปักฐานและมีลูก แต่พวกเขาทุกคนกลับแต่งงานและมีลูกก่อนผมซะอย่างนั้น”

 

Andrew Garfield เผยอีกว่า เขาได้ปลดปล่อยตัวเองจากความเชื่อของสังคมส่วนใหญ่ที่ว่า เขาจะต้องมีลูกภายในอายุ 40 ปีแล้ว “มันเป็นเรื่องของการยอมรับเส้นทางชีวิตที่แตกต่าง มากกว่าการไปโฟกัสในสิ่งที่คนอื่นคาดหวังในตัวผมตั้งแต่ที่ผมเกิดมา อย่างเช่นที่คนอื่นชอบพูดว่า ‘จนถึงตอนนี้นายควรจะทำสิ่งนี้ไปแล้ว และอย่างน้อยนายควรจะมีลูกไปแล้วสักคนหนึ่ง’ หรืออะไรประมาณนั้นแหละ ผมคิดว่าผมรู้สึกผิดในเรื่องนั้นอยู่หน่อยๆ แน่นอนว่ามันง่ายกว่าสำหรับผมในฐานะที่เป็นผู้ชาย”

 

ภาพ: David M. Benett / Dave Benett / Getty Images for Haider Ackermann + FILA

อ้างอิง: 

The post Andrew Garfield ยอมรับว่าพออายุเข้าใกล้ 40 ปี เขาเริ่มรู้สึกผิดที่ยังไม่มีลูกและครอบครัวตามที่เคยคาดหวัง appeared first on THE STANDARD.

]]>
Robert Pattinson เตือนว่า The Batman เวอร์ชันใหม่เป็นหนังเศร้า และ Bruce Wayne เป็นคนแปลกประหลาด https://thestandard.co/robert-pattinson-warned-the-batman-is-sad-film-and-bruce-wayne-is-weird-person/ Sat, 12 Feb 2022 03:03:11 +0000 https://thestandard.co/?p=593474 Robert Pattinson เตือนว่า The Batman เวอร์ชันใหม่เป็นหนังเศร้า และ Bruce Wayne เป็นคนแปลกประหลาด

The Batman เวอร์ชันล่าสุดที่หลายคนกำลังรอคอยที่จะได้รับ […]

The post Robert Pattinson เตือนว่า The Batman เวอร์ชันใหม่เป็นหนังเศร้า และ Bruce Wayne เป็นคนแปลกประหลาด appeared first on THE STANDARD.

]]>
Robert Pattinson เตือนว่า The Batman เวอร์ชันใหม่เป็นหนังเศร้า และ Bruce Wayne เป็นคนแปลกประหลาด

The Batman เวอร์ชันล่าสุดที่หลายคนกำลังรอคอยที่จะได้รับชม Robert Pattinson (โรเบิร์ต แพตทินสัน) มารับบทซูเปอร์ฮีโร่แบตแมน กำลังจะได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์เร็วๆ นี้ ซึ่งนักแสดงวัย 35 ปีก็ได้พูดถึงภาพยนตร์แบตแมนเวอร์ชันใหม่ของเขาผ่านนิตยสาร GQ ว่า The Batman เป็นหนังเศร้า และ Bruce Wayne ก็เป็นตัวละครที่แปลกประหลาด

 

“แม้แต่งานอาร์ตเวิร์กก็แตกต่างไปจากแต่ก่อนมากเลยครับ ผมก็เลยหวังว่ามีผู้คนเศร้าสร้อยมากมายบนโลกใบนี้” 

 

นอกจากนั้นการถ่ายทำในช่วงล็อกดาวน์เพราะโรคโควิดก็ยิ่งทำให้ Robert Pattinson รู้สึกหดหู่มากขึ้นไปอีก “การถ่ายทำเรื่องนี้ค่อนข้างจะโดดเดี่ยวมาก เราถ่ายทำในช่วงเวลากลางคืนตอนที่มืดมากเสมอ ผมรู้สึกเดียวดายเป็นส่วนใหญ่ ผมต้องใส่ชุดแบตแมนตลอดเวลาและไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากสตูดิในชุดนั้น เพราะฉะนั้นผมก็แทบไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอกบ้าง…มันรู้สึกตายด้านมากที่สุด ผมเพิ่งดูภาพของตัวเองจากเดือนเมษายนและผมดูเขียวมาก”

 

เมื่อพูดถึงตัวละคร Bruce Wayne หรือแบตแมนในเวอร์ชัน The Batman ที่กำกับโดย Matt Reeves เขาได้กล่าวว่า “เขาเป็นคนที่ค่อนข้างแปลกประหลาดทั้งในฐานะของ Bruce และแบตแมน มันค่อนข้างจะมองเห็นได้ว่าเขามีความแตกสลายอยู่ลึกๆ และสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ก็ไม่ได้ผลรับที่ดี…

 

“มันเป็นหนังที่เศร้าเลยทีเดียว มันเป็นเรื่องของเขาที่พยายามจะหาสิ่งที่พอจะให้ความหวังแก่เขาได้ ซึ่งปกติแล้ว Bruce ไม่เคยกังขาความสามารถของตัวเอง’”

 

Robert Pattinson เผยว่าเขาเองก็มีวิธีคิดและการตัดสินใจคล้ายกับ Bruce Wayne ทั้งการชอบทำอะไรเสี่ยงๆ และทำให้คนรอบข้างต้องกุมหัว ซึ่งเราก็เชื่อว่าตอนนี้คอ DC ต่างก็กำลังรอรับชม The Batman ที่เลื่อนการฉายมานานเนื่องจากโรคโควิดกันอย่างใจจดใจจ่อแล้ว

 

ภาพ: Stefanie Keenan/Getty Images for Academy Museum of Motion Pictures 

อ้างอิง:

The post Robert Pattinson เตือนว่า The Batman เวอร์ชันใหม่เป็นหนังเศร้า และ Bruce Wayne เป็นคนแปลกประหลาด appeared first on THE STANDARD.

]]>
BTS ขึ้นปกนิตยสาร Vogue และ GQ เกาหลีใต้ฉบับเดือนมกราคม 2022 พร้อมกันเป็นครั้งแรก https://thestandard.co/bts-vogue-gq-korea-cover-jan2022/ Mon, 13 Dec 2021 06:12:17 +0000 https://thestandard.co/?p=570577 BTS

BTS ขึ้นปกนิตยสาร Vogue และ GQ เกาหลีใต้ฉบับเดือนมกราคม […]

The post BTS ขึ้นปกนิตยสาร Vogue และ GQ เกาหลีใต้ฉบับเดือนมกราคม 2022 พร้อมกันเป็นครั้งแรก appeared first on THE STANDARD.

]]>
BTS

BTS ขึ้นปกนิตยสาร Vogue และ GQ เกาหลีใต้ฉบับเดือนมกราคม 2022 พร้อมกัน ในชุดของ Louis Vuitton ที่วงดำรงตำแหน่งเป็น Global Ambassador มาตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการร่วมงานกันเป็นครั้งแรกของสองนิตยสารเวอร์ชันเกาหลีใต้

 

เริ่มกันที่ฝั่งของนิตยสาร Vogue Korea กับคอนเซปต์ประจำเดือนของนิตยสารที่มีชื่อว่า ALL for ONE, ONE for ALL เผยให้เห็นทั้ง อาร์เอ็ม, เจโฮป, จิน, จองกุก, จีมิน, วี และชูก้า ปรากฏตัวพร้อมกันในเสื้อผ้าคอลเล็กชัน Spring/Summer 2022 ผลงานการออกแบบของดีไซเนอร์ผู้ล่วงลับ Virgil Abloh โดยทางนิตยสารได้ปล่อยออกมา 3 ปกด้วยกัน ทั้งหน้าปกสีขาวดำและแบบสีสัน ที่มีทั้งแบบช็อตรวมครึ่งตัวและแบบเต็มตัวที่สมาชิกทั้ง 7 กำลังโพสท่าอยู่บนนั่งร้าน

 

ความพิเศษของฉบับนี้อยู่ที่แฟนๆ จะได้พบกับบทสัมภาษณ์ เซ็ตแฟชั่น และภาพเบื้องหลังของการถ่ายทำภายในเล่มรวมกันถึง 105 หน้า ซึ่งนับเป็นอีกครั้งที่นิตยสารแฟชั่นสำหรับผู้หญิงได้เลือกศิลปินชายมาขึ้นปก ตามรอยนักแสดงชายและวงบอยแบนด์วงอื่นๆ ที่เคยขึ้นมาแล้ว เช่น พัคโบกอม, จี-ดรากอน, ยูอาอิน และ EXO 

 

ส่วนในฝั่งของนิตยสารผู้ชายอย่าง GQ ที่ไม่ได้มาแค่ปกรวมปกเดียว ยังมีปกเดี่ยวของสมาชิกในวงแยกออกมา รวมทั้งหมดแล้ว 8 หน้าปกให้เหล่า ARMY ได้ตามเก็บสะสม ซึ่งทั้งหมดนี้ได้เปิดให้สั่งจองผ่านทางออนไลน์แล้วเมื่อวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา และจะวางแผงตามร้านหนังสือในเกาหลีใต้วันที่ 21 ธันวาคมนี้ และร้านหนังสือออนไลน์ชั้นนำของเกาหลีใต้อย่าง Aladin, Yes24 และ Kyobo Book

 

อิทธิพลของ BTS โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย สามารถสร้างยอดไลก์ให้กับนิตยสาร GQ สูงสุดถึง 1 ล้านไลก์ภายในโพสต์เดียว ส่วนทางสำนักพิมพ์อย่าง Condé Nast ได้อัดฉีดโฆษณาหน้าปกสองเล่มนี้บนบิลบอร์ดทั่วกรุงโซล และเป็นอีกหนึ่งครั้งที่นิตยสารแฟชั่นในเครือใช้กลยุทธออกหน้าปกพร้อมกับ 2 เล่มโดยใช้ตัวแบบคนเดียวกัน ตามหลัง Adele กับปก Vogue อเมริกาและอังกฤษ และ Lady Gaga กับปก Vogue อังกฤษและอิตาลี

 

ภาพ: Courtesy of Vogue, GQ

อ้างอิง:

The post BTS ขึ้นปกนิตยสาร Vogue และ GQ เกาหลีใต้ฉบับเดือนมกราคม 2022 พร้อมกันเป็นครั้งแรก appeared first on THE STANDARD.

]]>
Tom Holland มีความคิดที่อยากอำลาบทบาท Spider-Man ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า https://thestandard.co/tom-holland-want-to-quit-being-spider-man-within-few-years/ Fri, 19 Nov 2021 03:41:23 +0000 https://thestandard.co/?p=561619 Tom Holland

ดูเหมือนว่า Tom Holland (ทอม ฮอลแลนด์) นักแสดงผู้มีชื่อ […]

The post Tom Holland มีความคิดที่อยากอำลาบทบาท Spider-Man ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
Tom Holland

ดูเหมือนว่า Tom Holland (ทอม ฮอลแลนด์) นักแสดงผู้มีชื่อเสียงโด่งดังและกลายเป็นที่รักของคอหนังทั่วโลกจากการรับบท Spider-Man แห่งอาณาจักร Marvel จะเริ่มนึกถึงอนาคตเส้นทางอาชีพในวงการฮอลลีวูดของตัวเอง และเตรียมอำลาบทบาทซูเปอร์ฮีโร่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้

 

Tom Holland ให้สัมภาษณ์​กับ GQ ว่า เขาเริ่มมองหางานแสดงที่นอกเหนือไปจากภาพยนตร์แฟรนไชส์ของ Marvel

 

“บางทีมันอาจจะถึงเวลาที่ผมต้องเดินหน้าต่อแล้ว หรือบางทีสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับ Spider-Man คือการที่พวกเขาทำหนังเกี่ยวกับ Miles Morales แทน (ซูเปอร์ฮีโร่อีกตัวหนึ่งที่มีพลังคล้ายกับ Spider-Man) ผมต้องคำนึงถึง Peter Parker ด้วยเช่นกัน เพราะเขาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของผม แต่ถ้าผมยังเล่นเป็น Spider-Man หลังอายุ 30 ปี นั่นแปลว่าผมคงต้องทำอะไรผิดพลาดสักอย่างแล้วแหละ”

 

Tom Holland ที่ปัจจุบันมีอายุ 25 ปี รับบทเป็น Spider-Man ครั้งแรกเมื่อเขาอายุได้ 20 ปี ซึ่งระหว่างนั้นเขาได้มีผลงานในอาณาจักร Marvel ไปแล้ว 6 เรื่อง นั่นก็คือภาพยนตร์แฟรนไชส์ Spider-Man ทั้ง 3 ภาค และยังมีหนังรวมทีมซูเปอร์ฮีโร่อย่าง Avengers ซึ่งโปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์ Spider-Man อย่าง Amy Pascal ก็เผยกับทาง GQ เช่นกันว่านักแสดงหนุ่มคนนี้เป็นคนที่ทำงานหนักที่สุดคนหนึ่ง และเธอก็พยายามที่จะเกลี้ยกล่อมให้ Tom Holland ไม่ทิ้งบท Spider-Man มาโดยตลอด

 

“ฉันคุยกับเขาเรื่องนี้มาเป็น 100 รอบได้ ฉันจะไม่มีทางทำหนัง Spider-Man โดยไม่มีเขาหรอกนะ”

 

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากงานแสดงแล้ว Tom Holland ยังมีความสนใจในเรื่องของการเขียนบทและกำลังทำสคริปต์ร่วมกับพี่ชายของเขา แต่เขาก็ไม่ได้ทิ้งการแสดงแต่อย่างใด เพราะเขากำลังจะเล่นหนังแอ็กชันเรื่อง Uncharted เคียงข้าง Mark Walberg และยังจะมีผลงานใน Apple TV+ เรื่อง The Crowded Room อีกด้วย

 

ภาพ: Matt Winkelmeyer/Getty Images for Disney 

อ้างอิง:

The post Tom Holland มีความคิดที่อยากอำลาบทบาท Spider-Man ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทิศทางใหม่ แฟชั่นผู้ชาย และเด็ก Gen Z คุยกับ ป๊อบ กำพล บรรณาธิการบริหารคนล่าสุดของ GQ Thailand https://thestandard.co/mens-fashion-gen-z-kids-pop-kampong-from-gq-thailand/ Fri, 12 Mar 2021 05:52:17 +0000 https://thestandard.co/?p=464064 ทิศทางใหม่ แฟชั่นผู้ชาย และเด็ก Gen Z คุยกับ ป๊อบ กำพล บรรณาธิการบริหารคนล่าสุดของ GQ Thailand

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงสื่อสิ่งพิมพ์ การยืนหยัดอยู่ในสม […]

The post ทิศทางใหม่ แฟชั่นผู้ชาย และเด็ก Gen Z คุยกับ ป๊อบ กำพล บรรณาธิการบริหารคนล่าสุดของ GQ Thailand appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทิศทางใหม่ แฟชั่นผู้ชาย และเด็ก Gen Z คุยกับ ป๊อบ กำพล บรรณาธิการบริหารคนล่าสุดของ GQ Thailand

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงสื่อสิ่งพิมพ์ การยืนหยัดอยู่ในสมรภูมิรบที่ต้องแข่งกับสื่อดั้งเดิมและสื่อออนไลน์นับเป็นเรื่องท้าทายของคนทำงานสื่อในยุคปัจจุบัน ที่เราจะปรับตัวอย่างไรให้เข้ากับพฤติกรรมการเสพสื่อของคนอ่าน โดยที่ยังคงรักษาตัวตนของแบรนด์ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น บวกกับความหลากหลายของแพลตฟอร์มในปัจจุบัน ที่มีทั้ง Facebook, Instagram, Podcast, TikTok และ YouTube รวมถึงแพลตฟอร์มใหม่ๆ ที่พร้อมจะถือกำเนิดขึ้นในช่วงข้ามคืน ดังเช่นปรากฏการณ์ Clubhouse การสื่อสารผ่านรูปแบบบทความหรือตัวอักษรเพียงลำพังอาจไม่เพียงพอสำหรับการเติบโตและอยู่รอดของสื่อสิ่งพิมพ์ในยุค 2021 โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุคคลในตำแหน่งหัวเรือใหญ่อย่างบรรณาธิการบริหาร ที่ต้องบริหารทั้งคอนเทนต์ ทีมงาน อาร์ตไดเรกชัน และภาพรวมทั้งหมดให้ไปในทิศทางเดียวกัน

 

ครั้งนี้เรามีโอกาสได้พูดคุยกับ ป๊อบ-กำพล ลิขิตกาญจนกุล บรรณาธิการบริหารคนล่าสุดของ GQ Thailand นิตยสารหัวนอกสำหรับผู้ชายแถวหน้าในไทย ถึงความท้าทายครั้งสำคัญของเขาเมื่อก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งสำคัญ หลังเคยดำรงตำแหน่ง Fashion Editor ของ GQ Thailand มาตั้งแต่ยุคบุกเบิก วันนี้เมื่อเขาขึ้นมายืนในจุดที่สามารถกำหนดทิศทางใหม่ให้กับนิตยสาร มุมมองของเขาที่มีต่อวงการสื่อและนิตยสารเล่มนี้จะเป็นอย่างไร และอะไรคือสิ่งที่เราจะพบใน GQ Thailand นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป  

 

Q: หลังอยู่ในวงการนิตยสารมาร่วม 20 ปี ถ้าให้พูดถึงภาพรวมของสื่อนิตยสารในบ้านเราตอนนี้ คุณมองเห็นว่าอย่างไร

ป๊อบ กำพล: ถ้ามองในแง่ธุรกิจ ถามว่าแย่ลงไหม มันก็แย่ลง เพราะมีนิตยสารหลายเล่มที่ปิดตัวลง แต่มองในมุมกลับกัน นิตยสารที่ยังเหลืออยู่หรือสื่อที่ยังเหลืออยู่ก็กลายเป็นสื่อที่มีคุณภาพมากขึ้น วิกฤตบีบโอกาสให้คนที่ยังอยู่ เป็นคนที่มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดกับโลกดิจิทัลเช่นกัน ผมวัดจากตัวเอง ผมเป็นคนใช้โซเชียลมีเดียเยอะเหมือนกัน ยอมรับเลยว่าตัวเองเป็นคนติด Facebook พอประมาณ 

 

ผมมีเพื่อนใน Facebook เยอะมาก ซึ่งเพื่อนเราส่วนใหญ่ 90% เป็นคนที่ผมไม่รู้จัก ส่วนใหญ่เป็นเด็กเจเนอเรชันใหม่หมดเลย เป็นนักเรียนหรือนักศึกษา สาเหตุที่เรารู้สึกว่าเรามีเขาอยู่เป็นเพื่อนนั้นน่าสนใจ เพราะทำให้เราได้เห็นสิ่งที่เขาแชร์ พูดคุยเรื่องใหม่ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่เพื่อนจะไม่พูดเรื่องแบบนี้ ผมได้รู้ว่าเจเนอเรชันใหม่สนใจอะไรบ้าง เลยรู้ว่าในโลกดิจิทัลเองเป็นโลกที่ใครอยากทำอะไรก็ทำ มันมีสื่อมากขึ้น ข้อมูลข่าวสารเยอะมาก ล้นหลามจนเรารู้สึกว่าเราไม่อยากไปตามอ่านทุกที่ สุดท้ายมันก็มาถึงจุดที่ผมมองว่าดิจิทัลมาถึงจุดหนึ่งที่เหมือนนิตยสาร คนที่จะอยู่รอดได้ต้องเป็นคนที่น่าเชื่อถือมากเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าใครจะทำก็ทำ เพราะสุดท้ายผู้บริโภคก็จะเริ่มรู้สึกว่าฉันรับไม่ไหวแล้ว ฉันไม่รู้ว่าอันนี้จริงหรืออันนี้ปลอม เชื่อถือได้แค่ไหน

 

“มันก็มาถึงจุดที่ผมมองว่าดิจิทัลมาถึงจุดหนึ่งที่เหมือนนิตยสาร คนที่จะอยู่รอดได้ ต้องเป็นคนที่น่าเชื่อถือมากเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าใครจะทำก็ทำ เพราะสุดท้ายผู้บริโภคก็จะเริ่มรู้สึกว่าฉันรับไม่ไหวแล้ว ฉันไม่รู้ว่าอันนี้จริงหรืออันนี้ปลอม เชื่อถือได้แค่ไหน” 

 

Q: นิตยสารที่มีคุณภาพในความคิดของคุณควรเป็นอย่างไร

ป๊อบ กำพล: ในความคิดส่วนตัว ผมมองว่านิตยสารบางเล่มที่เป็นนิตยสารต่างประเทศที่ผมชอบ มักมีเรื่องราวอะไรบางอย่าง มีภาพบางรูปแบบที่เรารู้สึกว่ามันสร้างแรงบันดาลใจกับตัวเรา หรือเวลาเราอ่านปุ๊บ มันเหมือนพาเราไปอีกทีหนึ่ง ได้เห็นแง่มุมที่ทำให้เรารู้สึกว่า เออ มุมนี้น่าสนใจ อันนี้ก็น่าสนใจ แต่มันอาจไม่ต้องลงลึกไปจนถึงวิชาการก็ได้ เพียงแค่มันต้องจุดประกายอะไรบางอย่างให้เรา เหมือนเวลาเจอกระต่ายใน Alice in Wonderland ที่เราไปสืบต่อเองว่ามันหนีไปไหน แล้วเราก็วิ่งตามมันไป 

 

มันให้ความรู้สึกเหมือนตอนที่ผมย้อนกลับไปก่อนที่จะเข้ามาทำงานแฟชั่น ตัวตนของผมตั้งแต่เด็กๆ รู้แค่ว่าชอบงานศิลปะ ชอบการวาดรูป ในตอนที่เรียนจบระดับ ปวช. เป็นช่วงที่จะเรียนต่อ ปวส. หรือจะเข้ามหาวิทยาลัย ผมตัดสินใจจะเข้ามหาวิทยาลัย เพราะว่าอยากเป็นสถาปนิก อยากเรียนสถาปัตยกรรม ไม่เคยสนใจเรื่องแฟชั่นมาก่อน จนมาวันหนึ่งเดินเข้าร้านหนังสือชื่อโอเดียนสโตร์ ซึ่งอยู่ตรงโรงภาพยนตร์สกาลาสมัยก่อน ไปเจอนิตยสาร Vogue Paris หยิบขึ้นมาเปิดดูแล้วรู้สึกสวยจังเลย ในใจเราคิดว่า นี่แหละอาชีพที่ฉันอยากทำในฝัน ผมเลยรู้สึกว่าถ้าอยากจะทำนิตยสารแฟชั่นสักเล่มหนึ่ง ผมอยากให้นิตยสารเล่มนั้นสามารถจุดแรงบันดาลใจได้เหมือนที่เกิดขึ้นกับเราเมื่อ 25 ปีก่อน

 

 

Q: เมื่อก่อนทุกต้นเดือนจะมีคนไปรอที่แผงหนังสือเพื่อซื้อนิตยสารเล่มโปรดมาอ่านคอลัมน์ประจำ คุณมองว่าพฤติกรรมเหล่านั้นยังมีอยู่ไหม

ป๊อบ กำพล: ผมคิดว่ายังมีอยู่นะ ถ้ายังมีคนที่เขียนเรื่องแล้วก็จับใจเขาได้ รู้สึกว่าอยากอ่าน ผมว่าน่าจะยังมีอยู่ 

 

Q: มองว่าคนอ่านยังไม่หายไปไหน

ป๊อบ กำพล: ยังไม่หาย เพียงแต่ด้วยความที่เขามีตัวเลือกมากขึ้น จากที่เขาต้องรอวันที่ 1 มันอาจเป็นวันที่ 10 ก็ได้ อาจช้าลง เพราะข่าวสารโจมตีมากมาย 

 

Q: เหมือนคนอ่านไม่รีบเสพสื่อเหมือนสมัยก่อน  

ป๊อบ กำพล: ใช่ วิธีการทำนิตยสารของผมก็เปลี่ยน ผมมองว่าสื่อสิ่งพิมพ์กับนิตยสารที่เป็นดิจิทัลมีฟังก์ชันที่ต่างกัน สิ่งที่อยู่ในพรินต์ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอัปเดต เพราะนิตยสาร GQ Thailand มีสองทางคือ ฝั่งที่เป็นพรินต์และดิจิทัล ดังนั้นหัวใจหลักของดิจิทัลคืออะไรก็ตามที่ต้องอัปเดต ต้องเร็ว ไม่จำเป็นต้องลงลึก สามารถที่จะอยู่ในดิจิทัลได้เลย ผมจะเก็บตัวที่เป็นพรินต์และบอกทุกคนว่า เวลาเราทำงาน ให้คิดว่าเราเป็นคนสร้างเทรนด์ขึ้นมาใหม่ เป็นคนพูดถึงไอเดียอะไรใหม่สักอย่าง แล้วทำหน้าที่เป็นเหมือนดีไซเนอร์ออกแบบเสื้อผ้า ซึ่งเรามีหน้าที่สร้างเสื้อผ้าอะไรบางอย่าง ที่คนทั่วไปยังไม่รู้เลยว่าเขาอยากใส่เสื้อตัวนี้หรือเปล่า เหมือนคิดล่วงหน้าให้เขาว่า เดี๋ยวคุณต้องอยากใส่เสื้อตัวนี้ ซึ่งเป็นวิธีการทำงานของดีไซเนอร์หลายคนที่ประสบความสำเร็จ 

 

ผมเลยหยิบ Core Idea ที่เขาคิดมาทำนิตยสาร ซึ่งมันน่าสนใจว่าเราสร้างแนวคิดอะไรใหม่ๆ ถ้าวันหนึ่งมันจุดติด กลายเป็นว่าเราจะเป็นผู้นำ ซึ่งไอเดียที่อยู่ในนิตยสารนี้ไม่จำเป็นต้องอยู่ในปัจจุบัน ณ เวลานั้น ไม่จำเป็นต้องไปอัปเดต เราทำนายล่วงหน้า หรือเราคิดว่าสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นในวันนี้จะนำพาไปสู่จุดไหน

 

Q: ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสื่อและพฤติกรรมคนอ่าน ในฐานะคนทำสื่อสิ่งพิมพ์ คุณคิดว่าโจทย์ยากของการทำนิตยสารยุคนี้คืออะไร

ป๊อบ กำพล: ยากในฐานะคนทำงานที่เราต้องบาลานซ์ตัวเองมากกว่า ผมเป็นคนที่ตอนขึ้นมาเป็นบรรณาธิการบริหาร ผมอยากให้ทุกคนในทีมเป็นคนทำงานที่มีความสุข ทำงานแล้วต้องแฮปปี้กับงานที่ทำ ถ้าไม่มีความสุขกับงานที่ทำ งานที่เขาทำก็จะเป็นเหมือนเครื่องจักร แล้วมันก็จะไม่มีชีวิตชีวา ไม่มีคุณค่า

 

ผมบอกน้องๆ ทุกคนว่าเราจะทำงาน เราจะต้องหาวิธีบาลานซ์ให้ได้ เหมือนทุกวันนี้ข้อมูลข่าวสารเยอะมากจนเรารู้สึกว่าเราต้องแข่งขันกันในโลกโซเชียลมีเดีย ต้องโพสต์ตอน 5 ทุ่ม มีข่าวใหม่ใหม่มา ต้องทำงานตอนเที่ยงคืน จู่ๆ เกิดอะไรขึ้นตอนตี 5 หรือ 6 โมงเช้าก็ต้องรีบโพสต์ เราเลยต้องคุยกันว่า จะทำอย่างให้เราบาลานซ์ชีวิตได้ ผมอยากให้เขามีชีวิตส่วนตัว เพราะผมไม่อยากให้เขาทำงาน 24 ชั่วโมงเพื่อ GQ Thailand เพราะในระยะยาวมันไม่เวิร์ก แพสชันจะหายไป แล้วก็จะทำงานไม่ได้ ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น

 

Q: ในวันที่คุณนั่งตำแหน่งบรรณาธิการบริหาร ต้องดูทั้งคอนเทนต์ ทีมงาน ลูกค้า และภาพลักษณ์โดยรวม คุณได้วางทิศทางใหม่ของ GQ Thailand ไว้อย่างไรบ้าง 

ป๊อบ กำพล: สิ่งที่น่าจะเห็นได้ชัดคือเราจะพูดถึงแฟชั่นที่เกี่ยวกับรสนิยมมากขึ้น เราจะโฟกัสที่รสนิยม ซึ่งคำว่ารสนิยมนี้สามารถตีความได้กว้างและน่าสนใจ มันไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเป็นเจ้าของรถราคาแพงที่สุดในโลก ไม่จำเป็นต้องมีนาฬิกาเรือนละ 3 ล้าน ไม่จำเป็นต้องมีบ้านราคา 100 ล้าน คุณอาจมีรถราคาล้านต้นๆ ก็ได้ หรือราคาแค่ 4-5 แสนก็ได้ แต่ถ้าคุณมีรสนิยม คุณจะรู้ว่าของอะไรควรใช้ตอนไหน เราจะสอนมากขึ้นว่าเราควรใช้ชีวิตอย่างไรให้มีรสนิยมดี มีอะไรบ้างที่น่าสนใจที่เราสามารถแต่งได้ แต่ในขณะเดียวกันน้ำเสียงที่ใช้ เราไม่ได้บอกว่าคุณต้องทำแบบนี้นะ ถ้าคุณไม่ทำแบบนี้คือผิด เราจะเป็นแค่คนที่สอนคุณทั้งหมดว่ากฎเกณฑ์เป็นแบบนี้ สุดท้ายคุณไปตัดสินใจเอง 

 

“เราจะพูดถึงแฟชั่นที่เกี่ยวกับรสนิยมมากขึ้น คำว่ารสนิยมนี้สามารถตีความได้กว้างและน่าสนใจ ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเป็นเจ้าของรถราคาแพงที่สุดในโลก ไม่จำเป็นต้องมีนาฬิกาเรือนละ 3 ล้าน ไม่จำเป็นต้องมีบ้านราคา 100 ล้าน คุณอาจมีรถราคาล้านต้นๆ หรือราคาแค่ 4-5 แสน แต่ถ้าคุณมีรสนิยม คุณจะรู้ว่าของอะไรควรใช้ตอนไหน”  

 

นิตยสาร GQ THAILAND ฉบับ มีนาคม 2564 

 

Q: ใช้คำว่าไบเบิลสำหรับคนที่อยากมีเทสต์ที่ดีได้ไหม

ป๊อบ กำพล: เราไม่อยากใช้คำว่าไบเบิล เพราะมันเหมือนเป็นกฎอะไรบางอย่างซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผมรู้สึกว่าเวลาเราพูดถึงคำว่าแฟชั่น มันคือสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ต้องเปลี่ยนทุก 6 เดือนด้วยซ้ำ ซึ่งในปัจจุบันนี้ที่แฟชั่นมีคอลเล็กชันเสื้อผ้ามากขึ้น บางทีเปลี่ยนทุกสองสัปดาห์ เราอยากนำเสนอสิ่งที่เกิดขึ้น คุณมีส่วนที่ต้องเลือกว่าอันไหนเหมาะกับคุณ เพราะสุดท้ายแล้วเรามีหน้าที่แค่ Provide รสนิยมให้คุณ บอกให้คุณรู้ว่าสไตล์นี้ดีที่สุด สุดท้ายแล้วผู้อ่านก็จะมีตัวเลือกมากขึ้น ทำให้ง่ายมากขึ้นในการเลือกที่จะเป็นตัวเอง ผมไม่ต้องการให้นิตยสาร GQ เป็นไบเบิลที่ Copy & Paste ผู้ชาย GQ อีก 70 ล้านคนหรือทุกคนต้องเป็นแบบนี้ เพราะผมไม่เชื่อว่ามันจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องให้คนที่เป็น GQ 70 ล้านคน แต่ละคนมีความเป็นตัวของตัวเอง ด้วยไอเดียที่เราหยิบยื่นให้ 

 

Q: ถ้าอย่างนั้นเทรนด์แฟชั่น คอลเล็กชันล่าสุด หรือลุคจากรันเวย์ยังคงมีให้เห็นใน GQ Thailand ไหม

ป๊อบ กำพล: ยังมีอยู่ เพราะยังเป็นประเด็นหลักของอุตสาหกรรมแฟชั่น มันคือการขายเสื้อผ้า การหยิบยืมไอเดีย พูดถึงไอเดียที่ทำให้เรารู้สึกว่าอยากเปลี่ยนลักษณะการแต่งตัวตามสภาพอากาศ เทศกาล หรือตามอารมณ์ของเรา เช่น วันนี้รู้สึกอยากเป็นคนดี อยากไปทำบุญที่วัด ก็ใส่เสื้อผ้าสีขาว หรือจะออกเดต อยากดูเป็นคนหวานก็ใส่เสื้อผ้าสีชมพู เสื้อผ้ามีส่วนสำคัญเหมือนกัน จริงๆ อุตสาหกรรมแฟชั่นก็พูดถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ ทำให้เราอยากซื้อของใหม่ 

 

“ผมไม่ต้องการให้นิตยสาร GQ เป็นไบเบิลที่ Copy & Paste ผู้ชาย GQ อีก 70 ล้านคนหรือทุกคนต้องเป็นแบบนี้ เพราะผมไม่เชื่อว่ามันจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องให้คนที่เป็น GQ 70 ล้านคน แต่ละคนมีความเป็นตัวของตัวเอง ด้วยไอเดียที่เราหยิบยื่นให้” 

 

Q: ปัจจุบันกลุ่ม Gen Z เป็นตลาดใหญ่ในเมืองไทย อยากรู้ว่า GQ Thailand วางแผนรับมือกับลูกค้ากลุ่มนี้อย่างไรโดยที่ยังคง DNA ของแบรนด์อยู่

ป๊อบ กำพล: มันคือทิศทางใหม่ที่เราอยากสร้างรสนิยม ผมรู้สึกว่ากลุ่ม Gen Z ก็เหมือนเราตอนเด็กๆ ที่พอโตขึ้นเราอยากรู้ว่าสิ่งที่มีรสนิยมหรือสิ่งที่เก๋คืออะไร ข้อมูลที่หาได้ควรจะมาจากที่ไหน ก็เลยเป็นสิ่งหนึ่งที่อยากทำ เป็นไกด์สอนให้เขารู้ว่าจริงๆ แล้วเขาควรทำอย่างไร หากอยากดื่มไวน์ ต้องดื่มไวน์อย่างไร แต่วิธีการดื่มไวน์ที่ถูกต้องตามแบบแผนนี้ก็สามารถแหกกฎได้ แล้วกฎไหนที่เราสามารถแหกได้บ้าง สิ่งที่เราทำคือสิ่งที่เด็ก Gen ใหม่ควรจะรู้ เรามีหน้าที่ให้การเรียนรู้ ให้รู้ก่อนว่าคืออะไร เสร็จแล้วฉีกมัน แหกกฎมัน ทำให้มันน่าสนใจ แล้วเป็นตัวเรา 

 

Q: คุณอาศัยวิธีไหนในการหาข้อมูลของเด็กวัยนี้ 

ป๊อบ กำพล: จากเพื่อนที่อยู่ใน Facebook นี่แหละ เด็กหลายคนที่อยู่ใน Facebook บางทีจะพูดศัพท์ประหลาด ด้วยความที่ผมชอบเขียน เลยสร้าง Facebook ส่วนหนึ่งให้เขียนเกี่ยวกับแฟชั่น คนที่มาขอเป็นเพื่อนหรือมาฟอลโลว์ก็จะเป็นพวกเด็กนักเรียนแฟชั่นในมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วไทย แล้วเด็กเหล่านี้ด้วยความที่เป็นเด็กก็จะแชร์เรื่องราวที่สนใจ หรือมีวิธี มีน้ำเสียงที่เขาชอบ มันเลยกลายเป็นว่าเปิด Facebook ขึ้นมาก็จะเจอเรื่องแปลกๆ เขาคุยเรื่องนี้กันอยู่หรือนี่ คืออะไร เหมือนเป็นเบาะแสให้เรา แล้วเราก็ไปสืบค้นต่อ อ๋อ…เขาคุยเรื่องนี้กันอยู่ เด็กๆ มันฟังเพลงที่คนนี้ร้องเพลงอยู่ ทุกเช้าจะเห็นเรื่องประหลาดๆ แบบนี้ เลยรู้สึกว่าเรายังตามทัน

 

Q: มีประเด็นไหนบ้างที่พวกเขาคุยกันแล้วเราสนใจ

ป๊อบ กำพล: อย่างแรกคือเด็กยุคนี้ฉลาดขึ้น เพราะหลายหัวข้อที่คุย ถึงแม้มันจะมีหัวข้อที่ดูเหมือนกันบันเทิง ไร้สาระ แต่เขาก็คุยเรื่องการเมือง คุยลงไปถึงหลักมนุษยธรรม กฎหมาย หรือประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องดีที่เด็กรุ่นใหม่สนใจอะไรแบบนี้ แม้บางเรื่องเป็นเรื่องผิด ก็จะมีบางคนมาดีเบต เอาข้อมูลมาหักล้างกัน เราอ่านแล้วรู้สึกเจ๋งดี อีกอย่างที่ชอบมาก เช่น เวลา BLACKPINK ปล่อยเพลงใหม่ เด็กกลุ่มนี้จะมีวิธี Parody หรือเอาไปทวิสต์เป็นอย่างอื่นให้มันน่าสนใจดี คนไทยดี ทำให้เราเรียนรู้อีกโลกหนึ่ง 

 

 

Q: ก่อนหน้านี้นิตยสารเป็นการสื่อสารทางเดียว นานๆ ทีจึงได้จดหมายหรือไปรษณีย์จากคนอ่าน แต่เมื่อเข้าสู่โลกออนไลน์ ฟีดแบ็กทุกอย่างแทบจะเรียลไทม์ คุณจะให้น้ำหนักอย่างไรกับฟีดแบ็กจากคนอ่านและสิ่งที่นำเสนอ 

ป๊อบ กำพล: ต้องถามตัวเองกับทีมก่อนว่าสิ่งที่เราเชื่อเป็นสิ่งที่ถูกต้องไหม เราคงรับฟังเสียงคนที่พูด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเปลี่ยนทุกอย่าง นอกจากคนที่คอมเมนต์ชี้ให้เห็นสิ่งที่เราผิดจริงๆ เราก็คงเอามาปรับตัว พูดง่ายๆ ก็คือเราไม่ใช่คนที่ไม่ฟังเสียงใครเลย เราฟังเสียงคนอื่นอยู่ แต่เราจะไม่เปลี่ยนตามเสียงของทุกคน เราจะเป็นตัวของตัวเองที่มีน้ำเสียงเป็นของเราเอง เพราะเราไม่สามารถทำให้คนทั้ง 70 ล้านคนในประเทศไทยรักเราได้ทุกคน เราต้องทำให้พวกเขารักในสิ่งที่เราเป็น 

 

Q: อะไรคือสิ่งที่ท้าทายที่สุดในการเข้ามารับตำแหน่งนี้ในช่วงที่นิตยสารโดนแทรกแซงด้วยสื่อออนไลน์ 

ป๊อบ กำพล: ความยากที่สุดน่าจะเป็นเรื่องการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร เราจะทำอย่างไรให้คนอ่านเชื่อในตัวเรา ให้พวกเขาเข้ามาใน GQ Thailand แล้วสามารถหยุดได้โดยไม่จำเป็นต้องไปที่อื่นอีก เหมือนเรากินข้าวมื้อนี้แล้วเราได้ครบหมด เราไม่จำเป็นต้องกินที่นี่เสร็จแล้วเหาะไปกินที่อื่นต่อ 

 

Q: เมื่อก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งนี้ คุณมองว่าอะไรคือทักษะจำเป็นของ Editor in Chief 

ป๊อบ กำพล: อย่างแรกเลยคือความทันโลก ถ้าจะให้เครดิตก็ให้ในเรื่องแฟชั่นที่สอนให้ผมรู้ว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปตลอดเวลา เพราะแฟชั่นไม่เคยหยุดอยู่กับที่ ผมทำนายได้เลยว่าในอีก 1-2 ปีนี้จะเกิดอะไรขึ้น เหมือนเราเริ่มเรียนรู้ว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เหมือนสิ่งที่เกิดในแฟชั่นเราจะสามารถอ่านเกมได้ว่ามันคืออะไร และวิธีการคิดแบบนี้เราสามารถเอาไปใช้ได้กับทุกอย่าง แม้กระทั่งการเมืองหรือการใช้ชีวิตของคน 

 

Q: เหมือนคุณสามารถมองเห็นเทรนด์ได้เร็วกว่าคนอื่น แต่หากเป็นคนที่จะเข้ามาในทีม คุณคิดว่าทักษะไหนที่เขาควรมีติดตัวมาด้วย 

ป๊อบ กำพล: ก่อนที่จะมีทักษะ เขาต้องมีความรักก่อน ต้องมีแพสชัน ความรู้สึกว่าชอบที่จะทำงานสื่อ สามารถตามหาสิ่งที่ชอบได้เหมือนที่ผมชอบแฟชั่น ในทีมเราทุกคนทำงานร่วมกัน งานนิตยสารมันไม่ใช่งาน One Man Show ทุกตำแหน่ง ทุกคน สำคัญหมด แต่ละคนต้องมีความถนัดพิเศษในสิ่งที่ตนเองทำ แล้วเราทุกคนก็เอามาแชร์ร่วมกัน ในฐานะที่เป็นบรรณาธิการบริหาร ผมเอาส่วนผสมทุกอย่างมารวมกัน เหมือนเราเป็นเชฟ เราเลือกพาสต้าที่ดีที่สุด เลือกชีสที่ดีที่สุด เอามาผสมกันในองค์ประกอบที่เหมาะสม เพื่อให้ได้อาหารที่ดีที่สุด 

 

 

Q: ถ้าให้เลือกพนักงานใหม่ ระหว่างคนที่เก่งกาจในเรื่องเดียวกับอีกคนที่ทำได้หลากหลาย แต่อาจไม่เก่งที่สุด คุณจะเลือกคนไหน

ป๊อบ กำพล: ต้องตัดสินว่าคนไหนมีแพสชันมากกว่ากัน สุดท้ายคนเรามันพัฒนาได้ สกิลเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้ แต่ก่อนที่จะเรียนรู้สกิลเขาต้องมีแพสชันในการทำงานก่อน ถ้าเกิดคนนั้นเก่งมากแต่ไม่มีแพสชันในการทำงาน ต่อให้รับเข้ามาคิดว่าก็คงทำงานอย่างไม่มีความสุข ทำได้ไม่นาน ไม่มีความรู้สึกอยากเรียนรู้หรือพัฒนา แต่หากเป็นคนที่มีทักษะน้อยกว่าแต่ทำได้ทุกอย่าง ไม่เก่งเรื่องอะไรเลยแต่มีแพสชันมากกว่า ในอนาคตระยะยาวเขาน่าจะเรียนรู้ได้มากขึ้น และอาจเก่งกว่าคนที่เป็น Specialist ก็ได้ 

 

“ก่อนที่จะเรียนรู้สกิลเขาต้องมีแพสชันในการทำงานก่อน ถ้าเก่งมากแต่ไม่มีแพสชันในการทำงาน ต่อให้รับเข้ามาคิดว่าก็คงทำงานอย่างไม่มีความสุข ทำได้ไม่นาน ไม่มีความรู้สึกอยากเรียนรู้หรือพัฒนา แต่หากเป็นคนที่มีทักษะน้อยกว่าแต่ทำได้ทุกอย่าง ไม่เก่งเรื่องอะไรเลยแต่มีแพสชันมากกว่า ในระยะยาวเขาน่าจะเรียนรู้ได้มากขึ้น และอาจเก่งกว่าคนที่เป็น Specialist” 

 

Q: ในฐานะที่เป็นบรรณาธิการบริหารยุคที่ 3 ของ GQ Thailand คุณอยากให้คนจดจำ GQ Thailand ในยุคของ ป๊อบ กำพล ว่าอย่างไร

ป๊อบ กำพล: GQ Thailand เป็นนิตยสารที่มีรสนิยมที่สุด

 

Q: สุดท้ายคุณมองภาพ GQ Thailand ในอีก 5 ปีข้างหน้าไว้อย่างไร 

ป๊อบ กำพล: ผมฝันไปไกลให้เราเป็นหนึ่งใน GQ Edition ที่ดีที่สุดในเอเชีย

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

The post ทิศทางใหม่ แฟชั่นผู้ชาย และเด็ก Gen Z คุยกับ ป๊อบ กำพล บรรณาธิการบริหารคนล่าสุดของ GQ Thailand appeared first on THE STANDARD.

]]>
Shawn Mendes เผยว่า Camila Cabello ทำให้เขาเข้าใจเรื่อง Body Positive มากขึ้น และไม่ต้องคลั่งเรื่องหุ่นที่ต้องเพอร์เฟกต์อยู่ตลอดเวลา https://thestandard.co/shawn-mendes-reveals-that-camila-cabello-gave-him-better-understanding-of-body-positive/ Tue, 01 Dec 2020 02:32:42 +0000 https://thestandard.co/?p=427050 Shawn Mendes เผยว่า Camila Cabello ทำให้เขาเข้าใจเรื่อง Body Positive มากขึ้น และไม่ต้องคลั่งเรื่องหุ่นที่ต้องเพอร์เฟกต์อยู่ตลอดเวลา

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในประเด็นที่ทำให้คนสนใจ ชอว์น เมน […]

The post Shawn Mendes เผยว่า Camila Cabello ทำให้เขาเข้าใจเรื่อง Body Positive มากขึ้น และไม่ต้องคลั่งเรื่องหุ่นที่ต้องเพอร์เฟกต์อยู่ตลอดเวลา appeared first on THE STANDARD.

]]>
Shawn Mendes เผยว่า Camila Cabello ทำให้เขาเข้าใจเรื่อง Body Positive มากขึ้น และไม่ต้องคลั่งเรื่องหุ่นที่ต้องเพอร์เฟกต์อยู่ตลอดเวลา

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในประเด็นที่ทำให้คนสนใจ ชอว์น เมนเดส ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็คือเรือนร่างที่เพอร์เฟกต์ของเขา ไม่ว่าจะเห็นผ่านแคมเปญของแบรนด์ Calvin Klein ในนิตยสารแฟชั่น หรือภาพถ่ายปาปารัซซีตอนไปทะเลของเขาที่ผู้คนต่างแชร์กันเป็นว่าเล่น

 

โดยล่าสุดนักร้องหนุ่มวัย 22 ปีก็ได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร GQ ฉบับประเทศอังกฤษว่า ช่วงก่อนหน้านี้เขาเองก็คลั่งกับกระแสเหล่านี้จนกดดันตัวเองให้ต้องดูเพอร์เฟกต์อยู่ตลอดเวลา ซึ่งชอว์นเผยว่า “บางวันผมจะนอนแค่ 3 ชั่วโมง เพราะอยากตื่นก่อนสัก 2 ชั่วโมงเพื่อมาออกกำลังกาย… ผมเคยคิดว่าถ้าไม่ได้ออกกำลังกายให้ตัวเองดูดี ผมจะสูญเสียแฟนคลับ”

 

แต่มาวันนี้ทัศคติของชอว์นได้เปลี่ยนไปหลังจากเขาคบหากับแฟนสาว คามิลา คาเบลโล ที่เธอสอนเขาในเรื่อง Body Positive ให้รักร่างกายตัวเองไม่ว่าจะอยู่ในรูปร่างแบบไหน พร้อมทั้งชวนนั่งสมาธิเป็นประจำ และใช้บันทึกความรู้สึกต่างๆ ลงสมุดเพื่อไม่ให้กดดันตัวเอง

 

“เธอเป็นคนที่แกร่งมาก เป็นคนที่ชัดเจนและมีความมั่นใจในร่างกายตัวเอง ทั้งยังเห็นอกเห็นใจคนอื่น มันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนมุมมองของผมมาก มันเปลี่ยนชีวิตผมเลยก็ว่าได้” ชอว์นกล่าวเพิ่มเติมและบอกว่าทุกวันนี้เขาเลือกที่จะเลือกให้มากขึ้น และไม่จำเป็นต้องตื่นเร็วเพื่อมายกเวตเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป

 

นอกเหนือจากนั้นชอว์นยังบอกว่า คามิลาเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เขามั่นใจและเปิดตัวเองมากขึ้นขณะทำอัลบั้มชุดใหม่ Wonder ซึ่งจะปล่อยในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ (4 ธันวาคม) โดยเขาบอกว่า “ในช่วงที่ทำอัลบั้มนี้ มันมีหลายครั้งมากที่ผมอยากจะหยุดทุกอย่างเพราะดนตรีที่ทำฟังดูงี่เง่าและไม่เวิร์ก ซึ่งมันก็อาจจะรู้สึกอย่างนั้นไปอีกหลายสัปดาห์ แต่พอเราให้เวลากับมัน มันก็กลายเป็นสิ่งที่เราวาดฝันเอาไว้ตอนแรก โดยสิ่งนี้ก็เกิดขึ้นเพราะการมีกำลังใจที่ดีจากเธอ ซึ่งเป็นกำลังใจที่ผมไม่เคยมีมาก่อน”

 

ด้านคามิลาเองก็เพิ่งโพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียช่วงไม่กี่วันก่อนว่าเธอได้เรียนรู้หลายอย่างจากการตกหลุมรักกับชอว์น ซึ่งมันก็ไม่ได้มีแค่โมเมนต์สุดหวานที่เราได้เห็นกันภายนอก เพราะต่างคนก็เป็นกระจกสะท้อนปัญหา ความวิตกกังวล และมุมมองชีวิตของกันและกัน แต่เพราะความรักจึงทำให้พวกเขายอมที่สู้ไปด้วยกัน

 

ภาพ: James Devaney / GC Images 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

The post Shawn Mendes เผยว่า Camila Cabello ทำให้เขาเข้าใจเรื่อง Body Positive มากขึ้น และไม่ต้องคลั่งเรื่องหุ่นที่ต้องเพอร์เฟกต์อยู่ตลอดเวลา appeared first on THE STANDARD.

]]>
นิตยสาร GQ ทั่วโลกประกาศจุดยืน ให้ความสำคัญเรื่องความหลากหลาย ความเท่าเทียมทางเพศ ความยั่งยืน และสุขภาพจิตมากขึ้น https://thestandard.co/gq-travis-scott-cover-diversity-inclusion-manifesto-global-editions/ Wed, 19 Aug 2020 07:57:44 +0000 https://thestandard.co/?p=389819

ในฉบับเดือนกันยายนนี้ของนิตยสารสำหรับสุภาพบุรุษชื่อดังอ […]

The post นิตยสาร GQ ทั่วโลกประกาศจุดยืน ให้ความสำคัญเรื่องความหลากหลาย ความเท่าเทียมทางเพศ ความยั่งยืน และสุขภาพจิตมากขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในฉบับเดือนกันยายนนี้ของนิตยสารสำหรับสุภาพบุรุษชื่อดังอย่าง GQ ได้พร้อมกันประกาศพันธกิจและจุดยืนร่วมกันทั้ง 21 เวอร์ชันทั่วโลก ภายใต้ธีมที่มีชื่อว่า Change Is Good ที่จะหันมาให้ความสำคัญมากขึ้นกับเรื่องความหลากหลาย ความเท่าเทียมทางเพศ ความยั่งยืน และสุขภาพจิต

 

เริ่มด้วยหัวสำคัญอย่าง GQ อเมริกา ในฉบับเดือนกันยายน ซึ่งเป็นฉบับแห่งปีที่ได้ ทราวิส สกอตต์ แรปเปอร์หนุ่มวัย 28 ปีมาขึ้นปก ซึ่งจะโฟกัสกิจกรรมทางสังคมของเขาผ่านผลงานดนตรีฮิปฮอปและแฟชั่น ในปี 2019 เขาได้ออกมาเคลื่อนไหวในประเด็นการเหยียดสีผิวในอเมริกาโดยตอบรับขึ้นแสดงบนเวทีซูเปอร์โบวล์ในปีนั้น ภายใต้เงื่อนไขว่า NFL ต้องบริจาคเงินให้กับองค์กรที่ช่วยเหลือความยุติธรรมในสังคม โดยมี โคลิน เคเปอร์นิก นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลที่ถูกสมาคมแบนหลังจากที่เขาต่อต้านการยืนเคารพธงชาติก่อนการแข่งขันเพื่อประกาศจุดยืนเรื่องการเหยียดเชื้อชาติในอเมริกา

 

“GQ มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานในการนำเสนอความหลากหลายผ่านนิตยสาร และผมภูมิใจในจุดที่เราอยู่ทั้งในเรื่องของพนักงานและความเป็นผู้นำ แต่มันยังมีสิ่งที่เราต้องพัฒนา และเราจะทำมัน” วิล เวลช์ บรรณาธิการบริหารของนิตยสาร ได้กล่าวกับเว็บไซต์ WWD ผ่านทางวิดีโอคอล

 

สำหรับนิตยสารผู้ชายที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกอย่าง GQ ในเครือของ Condé Nast ที่กำเนิดตั้งแต่ปี 1957 และมีผู้อ่านทั่วโลกมากกว่า 50 ล้านคน ได้มีการเปลี่ยนผ่านมากมายตามยุคสมัย ซึ่งในปัจจุบันก็มีประเด็นทางสังคมเกิดขึ้นมากมายที่ทำให้นิตยสารผู้ชายต้องกลับมาทบทวนบทบาทการนำเสนอเนื้อหาไม่ต่างจากนิตยสารของผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นภาวะความเป็นชายเป็นพิษ (Toxic Masculinity) ความหลากหลายทางเชื้อชาติ ปัญหาสิ่งแวดล้อม โรคระบาด 

 

เช่น ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2019 ที่ได้ ฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์ มาขึ้นปก โดยสวมชุดคลุมขนเป็ดยาวคลุมพื้นของ Moncler ที่ออกแบบโดย ปิแอร์เปาโล ปิกชิโอลี ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์จากแบรนด์ Valentino ในคอนเซปต์ที่ว่าด้วยเรื่องของ New Masculinity หรือนิยามความเป็นผู้ชายในรูปแบบใหม่ 

 

ภาพ: GQ

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

The post นิตยสาร GQ ทั่วโลกประกาศจุดยืน ให้ความสำคัญเรื่องความหลากหลาย ความเท่าเทียมทางเพศ ความยั่งยืน และสุขภาพจิตมากขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>