Goldenland – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 21 Dec 2017 04:40:41 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 รศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หมอผู้ลบคำสบประมาทของคนอื่นด้วยการลงมือทำ https://thestandard.co/manop-pithukpakorn/ https://thestandard.co/manop-pithukpakorn/#respond Thu, 21 Dec 2017 04:35:57 +0000 https://thestandard.co/?p=53085

ถ้าคุณเข้าข่ายเรียนดี มีเกรดเด่น ค่านิยมของพ่อแม่ไทยหลา […]

The post รศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หมอผู้ลบคำสบประมาทของคนอื่นด้วยการลงมือทำ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ถ้าคุณเข้าข่ายเรียนดี มีเกรดเด่น ค่านิยมของพ่อแม่ไทยหลายคนก็อยากให้ลูกเรียนต่อและสอบเข้าคณะแพทย์ให้ได้ เพราะอนาคตจะได้สบาย

 

หมอไทยน่าจะมีเส้นทางชีวิตแบบนี้กันเยอะ ไม่ต่างจาก รศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร ที่มีชีวิตเหมือนนักเรียนแพทย์ทั่วไป แต่สิ่งที่แตกต่างคือ เขาสนใจเรียนพันธุศาสตร์ ศึกษาพวกดีเอ็นเอ ยีน และพันธุกรรม ในวันที่ยังไม่มีใครเข้าใจว่าจะเรียนไปทำไม

 

เขาเดินหน้าอย่างไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ไปเรียนต่อที่อเมริกาถึง 6 ปี งานวิจัยที่ได้ศึกษาเรื่องพันธุกรรมอย่างจริงจังคือเรื่องมะเร็ง ซึ่งเขานำความรู้ความเข้าใจตรงนั้นมาต่อยอดที่เมืองไทยด้วย

 

จนวันนี้การรักษามะเร็งจากการตรวจยีนและดีเอ็นเอกลายเป็นศาสตร์ที่หลายโรงพยาบาลสนใจ และคุณหมอเองก็ยังทำหน้าที่ศึกษาวิจัยความเป็นไปได้ใหม่ๆ ของการรักษาอยู่เสมอ

 

แม้อาจจะไม่มีใครเห็นด้วยอีกกี่ครั้งก็ตาม

 

 

ครอบครัวอยากให้คุณเรียนหมอเพราะอะไร

พ่อแม่จะบอกตั้งแต่เด็กว่าเรียนหมอนะลูก เพราะค่านิยมสมัยนั้นเขามองว่าการเป็นหมอมันมีความมั่นคง อยู่รอดได้ เลี้ยงตัวเองได้ แล้วก็ไม่ต้องหางานเลยเพราะว่าจบมาก็จะมีงานทำ ซึ่งเราก็รู้อยู่แค่นี้ แต่ถ้าถามว่าชอบไหม ตอนจะเลือกคณะเพื่อสอบเอ็นทรานซ์ก็ยังเฉยๆ แต่ไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่ชอบการเป็นหมอ ตอนนั้นคือถามว่าชอบอะไรเราก็ยังไม่รู้ แต่ก็เข้าไปเรียนก่อน

 

หลังจากสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ก็น่าจะสบายขึ้นแล้วนะ

ไม่เลยครับ คือทุกขั้นก็เป็นเหมือนการเริ่มต้นอีกช่วงหนึ่งของชีวิต สอบเข้าได้ก็มาเจอการเรียนที่ยากขึ้นไปอีก ซึ่งมองย้อนกลับไปชีวิตก็เกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา มันเป็นอีกก้าวหนึ่งของชีวิตที่เราต้องเติบโต คือพอถึงเวลาเราเรียนจบแล้วก็ต้องไปเริ่มต้นใหม่ที่โรงพยาบาล ไปเริ่มต้นใหม่กับการเรียนต่อต่างประเทศ มันไม่ได้สบายขึ้นหรอก

 

 

คุณเป็นคนตั้งใจเรียนขนาดไหน

ตั้งใจเรียนมากๆ ครับ คนส่วนใหญ่จะคิดว่าเรื่องเกรดไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด แต่อย่าลืมว่ามันก็ต้องคิดมุมกลับ เอาใจเขามาใส่ใจเรา คือเวลาไปสมัครเรียนต่อหรือสมัครงาน สิ่งหนึ่งซึ่งเขาใช้ในการตัดสินเราก็หนีไม่พ้นเรื่องเกรด เขาต้องตัดสินคุณสมบัติคนคนหนึ่งในช่วงเวลาสั้นๆ ก็เลยต้องดูจากความตั้งใจเรียนอย่างสม่ำเสมอนั่นแหละ

 

เพื่อนๆ นักเรียนแพทย์รุ่นผมก็เรียนหนักกันทุกคน สมัยปี 2 ปี 3 ผมเคยต้องสอบติดๆ กันทั้งสัปดาห์ เช้าหนึ่งวิชา บ่ายหนึ่งวิชา ซึ่งพอเนื้อหาที่ใช้สอบมันเยอะมาก เราก็ใช้วิธีการอ่านหนังสือสอบตั้งแต่กลางคืนจนถึงเช้า ทำแบบนี้ 4 วันรวด อาจจะนอน 2 ชั่วโมงแล้วก็ตื่นมาอ่านหนังสือตะลุยถึงเช้าแล้วก็ไปสอบ จริงๆ แล้วตอนเป็นนักเรียนแพทย์จะกลัวสอบตกมากกว่ากลัวผีอีกนะ อย่างตึกกรอสส์ (ตึกกายวิภาคศาสตร์) ที่เรียนผ่าศพอาจารย์ใหญ่ คืนก่อนสอบนักเรียนแพทย์อยู่กันจนดึกดื่น คือเรื่องผีไม่มีใครสนใจ ไปถามนักเรียนแพทย์ได้เลย ต่อให้ดึกแค่ไหนก็อยู่อ่านหนังสือได้

 

 

แล้วมันเป็นสิ่งที่คุณทำแล้วมีความสุขหรือเปล่า

ผมค้นพบว่าเรียนหมอสนุกมากตอนขึ้นชั้นคลินิก ได้ดูแลคนไข้จริง ผมคิดเสมอว่าการเรียนหมอชั้นคลินิกคล้ายกับว่าเราคือนักสืบ คือจะค่อยๆ แกะรอย สืบหาหลักฐานไปเรื่อยๆ ว่าปัญหาคนไข้คืออะไร เกิดจากอะไรกันแน่ เจอปัญหาคนไข้ก็กลับไปอ่านหนังสือค้นคว้า พอเรารู้ก็เอาไปใช้แก้ปัญหาคนไข้ได้จริง รักษาคนไข้ได้ พอเราเข้าใจปัญหาต่างๆ จากคนไข้ ทำให้การเรียนไม่ต้องท่องจำอะไรเยอะ เพราะเข้าใจว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร ซึ่งพอไม่ต้องท่องจำมาก ก็ทำให้เรียนอย่างมีความสุข พอมีเวลามากขึ้น นอกจากเรียนแล้วก็เลยแบ่งเวลาทำกิจกรรมควบคู่กันไปด้วย ซึ่งเราทุ่มเททั้งการเรียนและกิจกรรมด้วย มันก็ทำให้เราพบสไตล์การเรียนของตัวเอง คือการเรียนแบบนี้เป็นวิธีการเรียนที่เหมาะกับเรา แล้วก็ทำให้เราไม่เรียนอย่างเป็นทุกข์ เรียนด้วย เล่นด้วย เรียนแล้วสนุก เอาไปใช้ได้ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่ามันใช่แบบนั้น

 

 

นอกจากเรียนที่เมืองไทยแล้ว คุณยังไปเรียนต่อเมืองนอกด้วย เพราะอะไร

ตอนเรียนจบเป็นแพทย์ทำงานรักษาคนไข้ก็ต้องเรียนรู้มากอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นอาจารย์สอนแพทย์อีกที ก็เป็นอีกระดับหนึ่งของการเรียน เนื่องจากหัวข้อที่ผมสนใจดันไม่ค่อยเหมือนชาวบ้าน คือสนใจเรื่องพันธุกรรม ดีเอ็นเอ คนก็งงว่าไปเรียนทำไม เรียนแล้วเอาไปทำอะไรเหรอ แต่ก็อยากลองเรียนดู เลยเลือกไปเรียนต่อที่อเมริกาเพราะสถาบันที่สอนวิชานี้มีไม่มาก ซึ่งวิธีการเรียนเป็นผู้เชี่ยวชาญของหมอจะต่างจากการไปเรียนต่อปริญญาโทหรือเอก แทนที่จะไปเรียน (study) ในห้องเรียนฟังครูบรรยาย การเรียนผู้เชี่ยวชาญเป็นการฝึกอบรม (train) คือต้องไปทำงานจริงที่โรงพยาบาล ผมไปฝึกอบรมอายุรศาสตร์ก่อน 3 ปี ถึงไปต่อเรื่องพันธุศาสตร์อีก 3 ปี ซึ่งกว่าจะสอบ กว่าจะบินไปสัมภาษณ์แต่ละโรงพยาบาลมันก็ไม่ง่าย แล้วยิ่งตอนที่ต้องไปเรียนต่อจริงๆ ก็ยิ่งไม่ง่ายเลย ผมไปทำงานที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในชิคาโก ขนาดคิดว่าเราก็ฝึกภาษาอังกฤษมาดีระดับหนึ่งแล้ว แต่เอาเข้าจริงมันไม่ใช่เลย ทั้งหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ คนไข้ ญาติ เขาพูดกันไฟแลบจนเรายืนอึ้งไปหมด สื่อสารกับใครไม่ได้ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนเป็นกะเหรี่ยงที่อยู่ท่ามกลางฝรั่ง ฟังเขาพูดก็ไม่ออก ฟังไม่ทัน พูดก็ไม่ทัน พูดแล้วเขาก็ฟังเราไม่รู้เรื่อง ระบบการทำงานก็ต่างจากบ้านเรา ประมาณ 6 เดือนกว่าจะปรับตัวได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ได้จากที่นั่นคือ ถ้าเราทำงานได้ดีคนจะเห็นเอง และทำให้เขาเห็นข้อดีของแพทย์ไทย เราอาจจะพูดน้อย แต่เราทำงานเยอะ มีประสบการณ์และทักษะการดูแลคนไข้ดีกว่าแพทย์อเมริกาที่เรียนจบพร้อมกัน

 

พอฝึกอบรมอายุรศาสตร์ครบ 3 ปี ก็ได้เวลาไปต่อพันธุศาสตร์ ผมสนใจสาขานี้เลยเลือกไปฝึกอบรมที่สถาบันวิจัยจีโนมมนุษย์ (National Human Genome Research Institute) สังกัดสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (National Institutes of Health) ที่รัฐแมรีแลนด์ วงการแพทย์จะรู้จักดีในชื่อ NIH สถาบันใหญ่มาก เป็นที่รวมของนักวิจัยดังๆ ระดับโลกเต็มไปหมด ทำวิจัยอย่างเดียว ปรากฏว่านักวิจัยในสถาบันจีโนมส่วนใหญ่เป็นหมอเด็กทั้งนั้น เพราะคนไข้โรคพันธุกรรมส่วนใหญ่เป็นเด็ก ผมเรียนมาทางโรคผู้ใหญ่ไม่เชี่ยวชาญเรื่องเด็ก ก็มองไปถึงมะเร็ง ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมเหมือนกัน เลยตัดสินใจไปขอทำวิจัยกับทีมนักวิจัยที่สถาบันมะเร็ง (National Cancer Institute) แทน เข้าไปขอเขาทำวิจัยกับเขาดื้อๆ เลย ตอนแรกเขาก็งงที่จู่ๆ ใครจากไหนไม่รู้นอกสถาบันมาขอทำงานด้วย แต่เขาก็ยินดีรับนะ ได้มีโอกาสทำงานข้ามสถาบันก็สนุกดี ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เยอะมาก ที่นั่นเขาจะมีลักษณะของการเป็นชุมชนของนักวิจัยที่ดี ขอให้มีความสนใจร่วมกันก็มาทำงานร่วมกันได้ เราก็ใช้แนวเดิมคือ พูดให้น้อย ทำให้เยอะมากกว่า ช่วงที่อยู่ NIH ทำผลงานวิจัยได้หลายเรื่อง ตอนใกล้ครบ 3 ปีเขาเสนอตำแหน่งให้ด้วยนะ อยากให้เราอยู่ต่อ แต่ผมขอกลับเมืองไทย

 

 

หลังกลับมาเมืองไทยอาจารย์ก็กลับมาทำงานที่ศิริราช

กลับมาก็ต้องเปลี่ยนบทบาทไม่ใช่แค่หมออย่างเดียวแล้ว แต่เราเป็นอาจารย์สอนหมออีกที และชีวิตก็ไม่เหมือนกับการเป็นหมอทั่วไปที่ดูแลคนไข้เท่านั้น พอเป็นอาจารย์ก็มีหน้าที่พันธกิจหลายอย่าง ทั้งต้องดูแลคนไข้ ต้องสอนหนังสือนักเรียนแพทย์ แล้วก็ต้องทำวิจัยด้วย ชีวิตเหมือนกลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ คือเริ่มทำงานวิจัยของตัวเอง เราต้องเริ่มต้นทุกอย่างเอง หันไปทางไหนก็เหมือนจะไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญหรือสนับสนุนเรื่องพวกนี้ สภาพแวดล้อมที่เมืองไทยมันต่างจากตอนอยู่ที่อเมริกามาก ที่ NIH มีกลุ่มนักวิจัย มีสังคม มีทรัพยากร พร้อมให้เราทำวิจัยเรื่องอะไรก็ได้ที่เราสนใจ แต่อยู่เมืองไทยมันไม่มีอะไรแบบนั้น ก็คิดว่าถ้าอย่างนั้นเราต้องสร้างมันขึ้นมาเอง

 

อาจารย์หยิบงานมะเร็งที่ศึกษามาวิจัยที่เมืองไทยอย่างไรบ้าง

นับว่าตัวเองโชคดีที่เรื่องมะเร็งกับพันธุกรรมตื่นตัวขึ้นมาช่วงที่มีข่าว แอนเจลินา โจลี ผ่าตัดเต้านมเพราะรู้ว่าตนเองมีความเสี่ยงมะเร็งจากกรรมพันธุ์ ข่าวดังมากเลยทำให้ทุกคนสนใจเรื่องโรคมะเร็งว่าสามารถตรวจทางพันธุกรรม ตรวจดีเอ็นเอได้ คิดว่าเป็นโอกาสที่ทุกคนให้ความสนใจ หลังจากนั้นการขอทุนวิจัยก็ง่ายขึ้น หรือพูดเรื่องนี้ไปใครๆ ก็รับฟัง จนตอนนี้เราทำงานวิจัยกันเป็นเครือข่ายใหญ่จากหลายมหาวิทยาลัยเพื่อที่จะศึกษาเรื่อง ‘การแพทย์แม่นยำ’ (Precision Medicine) คือเราใช้การตรวจดีเอ็นเอคนไข้มะเร็งแต่ละคนให้ทราบว่ามีพันธุกรรมที่เปลี่ยนไปอย่างไร และสามารถทำนายได้ว่าการเปลี่ยนแปลงในพันธุกรรมหรือการกลายพันธุ์อย่างนี้เหมาะกับการรักษาด้วยยาสูตรไหน ทำให้แพทย์สามารถเลือกยา หรือเลือกสูตรการรักษาได้จำเพาะมากขึ้น เพราะคนไข้มะเร็งแต่ละคนมีการกลายพันธุ์ที่ต่างกัน ผมเชื่อว่าถ้าใช้วิธีนี้กับโรคมะเร็ง การรักษาจะมีความแม่นยำขึ้น มีผลการรักษาดีขึ้น

 

มองย้อนกลับไปจากจุดที่คนมาบอกว่าพันธุศาสตร์ เรื่องยีน ดีเอ็นเอ มันไม่มีประโยชน์ มาจนปัจจุบันที่ทุกคนบอกว่า เราจะต้องศึกษาเรื่องปัจจัยทางกรรมพันธุ์ของทุกๆ โรคนะ มันกลายเป็นความรู้ที่ทุกคนหันมาสนใจมากขึ้น แล้วก็จัดให้มันเป็นส่วนสำคัญของการวิจัยทางการแพทย์ทั้งหลาย ผมดีใจนะ

 

 

หลายโปรเจกต์ที่อาจารย์ทำเรื่อยมา ยังอยากทำอะไรในอนาคตต่อจากนี้

ความเชี่ยวชาญของผมอยู่ในด้านพันธุกรรมและดีเอ็นเอ อย่างแรกที่อยากทำคือ เราอยากประยุกต์องค์ความรู้นี้ไปใช้กับการแก้ปัญหาทางการแพทย์อื่นๆ หรือโรคอื่นๆ ไม่ใช่แค่เฉพาะมะเร็งอย่างเดียว อย่างที่สองคือจะทำอย่างไรให้งานวิจัยเหล่านี้พัฒนาไปเป็นวิธีการวินิจฉัยและรักษาที่คนไข้ไทยเอาไปใช้ได้ เพราะเวลาพูดถึงเรื่องดีเอ็นเอ คนส่วนใหญ่จะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ไกลเกินตัว ค่าใช้จ่ายสูง ต้องอาศัยแล็บที่ไฮเทคซับซ้อน แต่เราอยากทำให้ของพวกนี้เข้าถึงง่ายขึ้น มีราคาถูก และอย่างที่สาม ในด้านการวิจัย เราอยากเห็นสภาพแวดล้อมของระบบวิจัยที่เอื้อให้คนที่สนใจอยากทำงานวิจัย อยากสร้างระบบนิเวศของการวิจัยให้เหมือนที่อเมริกา

 

ทุกวันนี้อาจารย์ชอบการเป็นหมอแล้วหรือยัง

ต้องชอบแล้วสิ ผมรู้สึกชอบตั้งแต่ตอนเป็นนักเรียนแพทย์ช่วงปี 3 ขึ้นปี 4 เป็นช่วงที่รู้แล้วว่าเรียนไปทำอะไร เพราะเป็นช่วงที่ได้เอาความรู้ที่เรียนมาประยุกต์มากขึ้น ตอนเรียนปีแรกๆ เหมือนเรียนเรื่องอาวุธ จับมีดจับดาบ พอมาช่วงขึ้นคลินิกเป็นช่วงที่เหมือนเราฝึกการใช้อาวุธพวกนั้น ลับมีดก่อนจะออกรบ คือพอรู้ว่าเราเรียนเราทำไปเพื่ออะไร สิ่งที่เราทำมันมีความหมาย การจะทำอะไรให้ดีสักอย่างเราต้องทุ่มเทกับมัน หลายคนอาจจะมองว่าจะทำได้แบบนั้นเราต้องมีแพสชัน ซึ่งมันก็ดี แต่ผมมองว่าแพสชันเป็นเรื่องของอารมณ์ซะเยอะ พอทำไปสักพักถึงจุดที่เหนื่อยมากๆ หรือมีอุปสรรคเกิดขึ้น จะเริ่มท้อ ไขว้เขว หลายคนอาจจะตั้งคำถามกับตัวเองว่าเรามาถูกทางแน่เหรอ ชอบจริงไหม อยากทำจริงหรือเปล่า บางคนอาจจะหมดแพสชันแล้วก็ล้มเลิกไปเลย แต่ถ้าเราเปลี่ยนจากการทำเพราะแพสชัน เป็นการทำเพราะมี เพอร์โพสแล้ว เราจะเข้าใจว่าทำงานนั้นเพราะอะไร แม้จะเป็นช่วงของอุปสรรค ก็จะทำให้เราผ่านพ้นมาได้ เพราะรู้เหตุผลของการลงมือทำ คือมีแพสชันมันดีนะ แต่ขอให้เจอเพอร์โพสของตัวเองด้วยในที่สุด แล้วเราจะอยู่กับมันได้นาน

The post รศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หมอผู้ลบคำสบประมาทของคนอื่นด้วยการลงมือทำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/manop-pithukpakorn/feed/ 0
พูดด้วยปาก ฟังด้วยใจ กับข้อคิดเห็นต่อระบบการศึกษาไทยและมนุษย์เป็ดของ ‘ท้อป-พาย’ สองผู้ก่อตั้ง ‘ฟังใจ’ https://thestandard.co/fungjai-cofounder-top-pie/ https://thestandard.co/fungjai-cofounder-top-pie/#respond Mon, 20 Nov 2017 08:10:05 +0000 https://thestandard.co/?p=41786

     เมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา หากใครเ […]

The post พูดด้วยปาก ฟังด้วยใจ กับข้อคิดเห็นต่อระบบการศึกษาไทยและมนุษย์เป็ดของ ‘ท้อป-พาย’ สองผู้ก่อตั้ง ‘ฟังใจ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

     เมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา หากใครเป็นแฟนกระทู้ดราม่าพันทิป คุณอาจจะต้องเคยเห็นกระทู้ที่ชื่อว่า ‘การศึกษาไทย……..ขอระบายหน่อยครับ’ ผ่านตาคุณไปบ้าง อันว่าด้วยเรื่องเด็กมัธยมคนหนึ่งที่ตั้งกระทู้ระบายว่าตนนั้นไม่ผ่านวิชาแนะแนวเนื่องจากว่าอาจารย์ผู้สอนทำงานของตนหาย

     แต่ไอ้งานหายนั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก เพราะประเด็นที่น่าถกเถียงมากกว่านั้นคือถ้อยความวิพากษ์วิจารณ์ที่เผ็ดร้อนตั้งแต่เรื่องการเรียนการสอน ลักษณะนิสัยครูไทย ค่านิยมการศึกษาไทย ที่ล้วนแล้วแต่เป็นเหมือนกรงขนาดมหึมาที่กักขังศักยภาพและพัฒนาการของนักเรียนไทยไว้ให้ติดอยู่กับที่

     ก็เป็นเรื่องน่าลำบากใจที่จะทำให้ ‘สิ่งฉุดรั้ง’ เหล่านี้หมดไปในเร็ววัน แต่เราเองก็กลับดีใจที่มีเด็กตัวเล็กๆ ใจใหญ่ๆ สักคน กล้าลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิในการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองไปสู่สิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุดหรือเลือกแล้วว่าดีที่สุด

 

 

     ครั้งนี้เรามีโอกาสพูดคุยกับสองหนุ่มสองสไตล์ ผู้ร่วมกันก่อตั้งชุมชนสำหรับกลุ่มศิลปินอิสระชื่อละมุนอย่าง ‘ฟังใจ (Fungjai)’ นอกจากพวกเขาจะเป็นกลุ่มคนไฟแรงที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองแล้ว บุรุษสองคนนี้ต่างเผชิญประสบการณ์ของการศึกษาไทยและการศึกษาอื่นๆ นอกประเทศมาอย่างโชกโชน เราจึงเชิญชวน ท้อป-ศรัณย์ ภิญญรัตน์ และ พาย-ปิยะพงษ์ หมื่นประเสริฐดี มาแบ่งปันประสบการณ์ แสดงความคิดเห็นอย่างออกรส ทั้งเรื่องการศึกษาไทย มนุษย์เป็ด และเด็กเจเนอเรชันใหม่ในตลาดแรงงาน ผู้ต่างพยายามขวนขวายหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาอย่างไร้ทิศทาง

     “สิ่งที่เป็นอุปสรรคที่สุดสำหรับวงการการศึกษาไทย คือ การขาดจินตนาการ” คำตอบที่ตรงไปตรงมาของ ท้อป-ศรัณย์ ภิญญรัตน์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งฟังใจ ทำผมตื่นเต้นเสียจนอดรนทนไม่ไหวอยากจะฟังสิ่งที่เขาจะขยายความ หลังจากผมทิ้งคำถามง่ายๆ สั้นๆ ถึงความคิดเห็นเรื่องความเป็นไปของวงการการศึกษาบ้านเรา ซึ่งท้อปในฐานะที่เคยมีประสบการณ์ทางการศึกษาและการทำงานในต่างแดนมาอย่างโชกโชน น่าจะเล็งเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องพื้นฐานที่น่าเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงได้

     “ที่บอกว่าขาดจินตนาการ คือ ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้สอน หลักสูตร รูปแบบการสอน หรือความคิดอ่านของนักเรียนก็ตาม ล้วนขาดจินตนาการในการมองความเป็นไปหรือการตั้งคำถามกับสภาวะการศึกษาที่เป็นอยู่ เราต้องแบ่งนักเรียน ม.ปลายเป็นสายวิทย์กับศิลป์เท่านั้นหรือ? จำเป็นต้องเรียนมัธยม 6 ปีหรือเปล่า? ทำไมบทเรียนต้องออกมาจากส่วนกลางเพื่อกระจายไปใช้ทั่วประเทศ? ทั้งที่ในท้องถิ่นแต่ละแห่งอาจจะต้องการชุดความรู้เฉพาะทางที่แตกต่างออกไป

     “ในความคิดผมแล้ว ประเทศเรามีอะไรให้แก้ไขมากมาย การศึกษาเป็นหนึ่งในจุดอ่อนและหนทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งมันควรเพิ่มจินตนาการกันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำพร้อมๆ กัน ไม่ต้องรอส่วนใดส่วนหนึ่งเริ่มก่อน ต้นน้ำอย่างคนสั่งการก็ควรมีจินตนาการและกล้าพอที่จะตั้งคำถามที่จะถามกลับไปยังหน่วยงานต้นเรื่องว่าระบบที่เป็นอยู่ควรต้องเป็นแบบนี้หรือ

     “ส่วนปลายน้ำอย่างนักเรียนมันก็ควรตั้งคำถามหรอกว่า เราต้องเรียนแบบนี้สอบแบบนี้จริงๆ เหรอ? ทำไมต้องมีวิชาบังคับ วิชาบังคับเลือก (ซึ่งคืออะไรทุกวันนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจ ถ้าบังคับเลือก แล้วจะมีคำว่า ‘เลือก’ ทำไม) กับดักที่พวกเราติดอยู่มักเกิดจากความเคยชิน ธรรมเนียมที่เป็นแพตเทิร์นปฏิบัติกันมา จะตั้งคำถามหรือจะจินตนาการใหม่ทำไม ในเมื่อเขาทำกันมาเป็นร้อยปี ซึ่งการจะหลุดจากความเคยชินนั้นไม่ง่าย ไม่เพียงแต่เราต้องเริ่มจินตนาการเห็นความเป็นไปได้อื่นๆ แต่เราอาจจะต้องเคยมีประสบการณ์ หรือเห็นตัวอย่างที่ดีกว่าโดยตรง ที่ช่วยให้เราดึงความคิดออกมาจากหลุมกับดักที่ว่าได้

     ส่วนตัวเลยคิดว่าเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้เด็กมัธยมไปค้นพบวิชาความรู้ที่หลากหลายที่พวกเขาได้เลือกเอง เพื่อให้พวกเขาได้ค้นหาตัวเอง ส่งผลให้พวกเขามีจินตนาการถึงความเป็นไปได้อื่นๆ ในการกำหนดทิศทางการศึกษาและอาชีพของตัวเอง เช่น ถ้าน้องๆ ได้ลองไปฝึกงาน ดูงานตั้งแต่มัธยมปลาย พวกเขาก็จะได้เรียนรู้อย่างรวดเร็วว่าสิ่งที่พวกเขากำลังเรียนอยู่มันตอบโจทย์ในชีวิตของพวกเขาหรือไม่ อันไปสู่การตั้งคำถามและจินตนาการรูปแบบการเรียนใหม่ๆ ในที่สุด

     “สำหรับผมเรื่องจินตนาการและการตั้งคำถามก็เรื่องหนึ่ง แต่อีกอย่างที่ขาดมากๆ คือเรื่องคุณธรรม”

     คำตอบเสริมจากผู้ร่วมก่อตั้งฟังใจอีกคนอย่าง พาย-ปิยะพงษ์ หมื่นประเสริฐดี เจ้าของปริญญาบัตร 3 ใบ ทั้งหนึ่งตรีและหนึ่งโทในสาขาวิศวกรรมอุตสาหการ และโทที่สองทางด้านการบริหารธุรกิจ (MBA) จากสหรัฐอเมริกา ดูเหมือนว่าการที่เขาร่ำเรียนมาอย่างหนักหน่วงเกือบค่อนชีวิตนอกบ้านเกิดจะทำให้เขาได้มองเห็นปัญหาบางอย่างในการศึกษาไทยที่เราอาจมองข้ามไป

     “ที่ว่าขาดนี่ไม่ใช่คุณธรรมแบบในวิชาพระพุทธศาสนานะ แต่เราพูดถึงคุณธรรมขั้นพื้นฐานง่ายๆ อย่างการเคารพสิทธิมนุษยชนของกันและกัน มันแทบจะไม่มีเลยในบทเรียน มันควรจะต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เยาวชนโตมา หรืออย่างในแบบเรียนก็ควรจะสอนเรื่องกฎหมายลิขสิทธ์ิหรือเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาให้ตั้งแต่เด็กๆ แต่เรากลับพบแต่เรื่องคุณธรรมที่ผิดๆ อย่างการลอกการบ้าน”

     เรื่องราวที่คุณเคยรู้สึกว่าเล็กน้อยในวันนั้นคือจุดบอดเล็กๆ ที่ขับเคลื่อนสังคมให้เกิดความย้อนแย้งที่น่าเกลียดในปัจจุบัน เราสารภาพว่าเคยอยู่ในฐานะทั้งคนลอกและคนให้ลอกมาก่อน ก็ยังสะอึกกับคำตอบของพายที่ทำให้เราได้มองเห็นอะไรมากขึ้น

     “สำหรับคนไทย คนดีคือคนมีน้ำใจ คนที่ช่วยเหลือเพื่อนคือคนดี เพราะฉะนั้นคิดเบ็ดเสร็จง่ายๆ คือ คนให้ลอกการบ้านคือคนดี ทั้งๆ ที่มันเป็นสิ่งที่ผิด สำหรับความคิดเห็นของผมมันเลยกลายเป็นเรื่องของพรรคพวก เรื่องของพวกพ้อง และการเกิดขึ้นของระบบเกื้อหนุนอุปถัมภ์ต่างๆ นี่คือเรื่องคุณธรรมที่เรายังแก้ไม่ได้” พายกล่าว

 

 

     “ตอนผมใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศฟินแลนด์ เราจะรู้เลยว่าปรัชญาของประเทศเขาคือ ‘ทรัพยากรที่ควรจะต้องพัฒนาที่สุดคือมนุษย์’ เขาให้ความสำคัญกับคนเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งมันสะท้อนออกมาในชีวิตประจำวันจริงๆ เราค้นพบว่าที่นั่นมีมนุษย์งี่เง่าน้อยมากๆ” ท้อปกล่าวเสริมขึ้นมา ก่อนจะเริ่มพูดถึงแนวคิดในการทำงานของเขาต่อ

     “อย่างหนึ่งที่เราไปอยู่ตรงนั้นและได้มา คือ การเปิดจินตนาการถึงความเป็นไปได้ ถ้าเราไม่ได้ไปตรงนั้น (เรียนต่อที่ฟินแลนด์) เราเองก็คงไม่เข้าใจว่าการศึกษาที่ดีมันเป็นอย่างไร มันทำให้เราตระหนักว่าเป็นเรื่องของระบบ เรื่องของนโยบายล้วนๆ จริงๆ มันทำได้ แต่ไม่มีใครคิดจะทำ หรือจริงๆ แล้วอยากจะทำแต่จินตนาการไปไม่เห็นถึงภาพปลายทางหรือวิธีการที่จะไปให้ถึง

     “สำหรับผม การฟังเพลงหลากหลายรูปแบบก็เป็นการช่วยเปิดจินตนาการนะ จริงๆ มันไม่มีสูตรตายตัว เขียนเนื้อแบบนี้ ทำนองแบบนั้น แล้วคนฟังถึงจะชอบมันมีความเป็นไปได้อีกมากมาย สาเหตุหนึ่งที่ทำฟังใจเพราะเชื่อว่าถ้าคนพร้อมที่จะเปิดใจฟัง เขาเองอาจจะเปิดใจกับศิลปะแขนงอื่นๆ ได้ และถ้าเริ่มต้นที่เรื่องการเปิดใจจากเรื่องง่ายๆ ถึงวันหนึ่งเขาอาจจะเปิดใจกับวิธีคิดแบบอื่นๆ ในเชิงเศรษฐกิจ การเมือง หรือสังคมได้

     “เช่น ความเท่าเทียมกันของเพศ หรือความหลากหลายของมนุษย์ สรุปสั้นๆ ก็คือ ในเมื่อเพลงไม่ต้องเป็นแบบนี้เสมอไป สังคมก็ไม่ต้องเป็นอย่างที่เป็นอยู่ มีความเป็นไปได้ตั้งเยอะแยะ”

     หรืออาจเป็นเพราะพื้นฐานของวงการการศึกษาไทยขาดจินตนาการและมองความเป็นไปได้อื่นๆ ในแง่ของการเรียนการสอนน้อยเกินไปอย่างที่ท้อปและพายว่าก็เป็นได้ ปัญหาอย่างการเรียนในแต่ละวันที่หนักเกินไป การเรียนสิ่งที่ไม่จำเป็น หรือการมีโอกาสและทางเลือกในวิชาเรียนที่น้อยเกินไปและก้าวไม่ทันโลก ซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่ตอบสนองความต้องการของเยาวชนยุคนี้ได้เท่าที่ควร ภาระของการ ‘ค้นหาตัวเอง’ จึงตกมาอยู่ในช่วงของวัยมหาวิทยาลัยและวัยเริ่มทำงาน

 

 

     “ท้อปและพายมองเห็นเหมือนกันหรือไม่ว่า ยุคนี้เต็มไปด้วยเด็กที่ค้นหาตัวเองตลอดเวลา และอาจจะมีเป้าหมายในชีวิตที่ไม่ชัดเจน ทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ เป็นเหมือน ‘เป็ด’?” ผมตั้งคำถามต่อ

     “ถ้าเป็นเป็ดเหรอ อาจจะเป็นเป็ดที่ยังไม่ดีพอด้วยซ้ำ (หัวเราะ)” พายโพล่งขึ้นมาทันควันด้วยน้ำเสียงและอารมณ์หยิกแกมหยอก

     “ในความรู้สึกของผม คิดว่าอาจเป็นเพราะพวกเขาได้เห็นภาพการประสบความสำเร็จเยอะกว่ายุคพวกเรา เพราะการเข้ามาของโซเชียลมีเดีย ทุกคนดูประสบความสำเร็จไปหมดเลย เพื่อนคนโน้นเปิดร้านนี้ ญาติคนนั้นไปเรียนต่อที่โน่น ปัญหาที่ตามมาคือ รู้สึกว่าชีวิตมีความเป็นไปได้มากมายไปหมด และมีความกดดันไปเองจากการเห็นภาพความสำเร็จเหล่านี้ว่าพวกเขาต้องรีบทำอะไรบางอย่าง ต้องรีบประสบความสำเร็จ เลยอยากลองโน่นทำนี่ไปพร้อมๆ กันไปหมด แล้วสุดท้ายอาจจะไม่ดีสักอย่าง” ท้อปอธิบายอย่างชัดเจนและรวดเร็ว

     “ปัจจุบันนี้ผมเป็นอาจารย์ธีสิสอยู่ที่ภาค Communication Design ที่จุฬาฯ ด้วย ปัญหาหนึ่งที่เจอและเป็นปัญหาที่ผมไม่ค่อยเห็นในคนยุคผมก็คือ นักเรียนจะใช้เวลานานมากว่าจะเลือกหัวข้ออะไรทำเป็นธีสิส เหมือนพวกเขาไม่กล้าจะเลือกหัวข้อหนึ่งๆ และผูกมัดไปกับมัน ซึ่งคิดว่าน่าจะเกิดปัญหาที่กล่าวไปว่าเห็นทางเลือกตัวเลือกเยอะไปหมด พอเจอหัวข้อที่ดีแล้วก็คิดว่ามันอาจจะมีที่ดีกว่านี้ หัวข้อก็จะฟุ้งไปเรื่อยๆ จนผมต้องบอกย้ำว่า ‘โปรเจกต์ที่ดีคือโปรเจกต์ที่คุณให้เวลากับมันมากที่สุด’ บางทีมันอาจจะไม่ใช่หัวข้อธีสิสที่ดีที่สุด แต่ถ้าคุณมีเวลาทำงานกับมันมากกว่าการไปเสียเวลาหาหัวข้อ มันจะกลายเป็นโปรเจกต์ที่ดีกว่าแน่นอน” ท้อปเสริมสถานการณ์ให้เราได้มองภาพความคิดเห็นของเขาออก

     “เหมือนว่าเด็กยุคนี้จะมีข้อเปรียบเทียบเยอะ ทั้งกับตัวเอง กับคนอื่นๆ” ผมตั้งแง่ต่อ

     “ใช่ครับ อย่างที่ตอบไปก่อนหน้าว่าเขาได้เห็นภาพความสำเร็จจากโซเชียลมีเดียเยอะกว่าในยุคพวกเรา พวกเขาเลยอาจจะสับสน และต้องตั้งคำถามกับตัวเองตลอดว่าจุดยืนและตัวตนของเขาอยู่ที่ไหนกันแน่ ในขณะที่ยุคพวกเรา ไม่พ่อแม่บอกก็คือต้องตัดสินใจเอง รู้เท่าที่รู้แล้วก็ลุยไปเลย แต่ยุคนี้เป็นยุคของการเปรียบเทียบ และกังวลเรื่องภาพลักษณ์ความสำเร็จ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าเป็นที่มาของอาการเป็ด แต่ทั้งหมดที่พูดมาก็ไม่ใช่ว่าผมจะถูกนะครับ แค่มาจากการสังเกตและประสบการณ์ส่วนตัวเท่านั้น แต่โดยสรุปว่ารู้สึกไหมถึงความเป็นเป็ดของเด็กยุคนี้ ก็รู้สึกพอสมควรนะ” ท้อปตอบ

 

 

     “เราขอสรุปสั้นๆ แล้วกัน คือ ‘จงรีบแต่อย่าใจร้อน’ หมายถึง จงรีบหาตัวตนให้เจอ ไหนๆ ยุคนี้มันมีชอยส์ให้เลือกเยอะมากแล้ว มีกรณีศึกษาให้เห็นก็รีบศึกษา แต่ต้องอย่าใจร้อน ไม่ใช่ว่า เออ กูเจอละ พรุ่งนี้กูต้องประสบความสำเร็จ มันไม่ใช่ คือควรรีบที่จะเรียนรู้และโฟกัสให้ได้ว่าตัวเองสนใจอะไรก่อนเป็นอย่างแรก” พายตอบเสริมขึ้นมา ซึ่งเป็นการคลี่คลายคำถามได้อย่างดี

     “เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองชอบอะไร ไม่ชอบอะไรแล้ว อะไรที่หล่อหลอมและผลักดันให้ทั้งคู่ทำสิ่งเหล่านั้นให้เกิดขึ้นได้จริง?” ผมถามทั้งคู่ต่อจากประเด็นก่อนหน้า เพราะนอกจาก ‘ฟังใจ’ จะเป็นคอมมูนิตี้ทางดนตรีที่มีแฟนๆ ติดตามจำนวนไม่น้อยแล้ว เราเองก็อยากทราบว่ากว่าจะมาเป็นฟังใจในแบบที่เราได้เห็นได้ฟังแบบทุกวันนี้ สิ่งที่หล่อหลอมตัวตนและแรงผลักดันที่ทำให้พวกเขาทั้งสองคนได้ทำตามความเชื่อมั่นของตนคืออะไร

     “ผมว่าเราสามารถมีสมมติฐานบางอย่างได้ให้กับสิ่งที่เราคาดหวังนะ ย้อนกลับไปตอนเริ่มจะทำฟังใจ คนรอบตัว 99% บอกว่า ‘มึงอย่าทำเลย’ (หัวเราะ) เพราะว่าวงการดนตรีมันไม่โอเคเท่าไรแล้ว มันอยู่ยาก แล้วตอนนั้นเราก็ไม่มั่นใจนะ เพราะเราก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่เราดื้อไง อยากพิสูจน์ อยากลองของ

     “ซึ่งหลังการจากได้ทำงานในธุรกิจสตาร์ทอัพที่อเมริกามา เราพบว่าการเอาสิ่งที่เราทำออกไปให้คนข้างนอกตัดสินเป็นสิ่งที่ดีที่สุด มันเหมือนเราได้รู้ฟีดแบ็กและติดตามข้อมูลจากผู้ใช้จริงๆ เราจึงรู้เลยว่าอะไรที่คนชอบ อะไรที่คนไม่ชอบในแอปฯ ของเรา เราใช้วิธีการฟังความเห็นคน ศึกษาพฤติกรรมคน แล้วเราจะค่อยๆ ได้ภาพที่ดีที่สุด ซึ่งมันเกิดขึ้นจากสมมติฐานและการทดลองของเราเองที่ผลักดันให้เราเชื่อ ให้เราทำ” ท้อปตอบ

     “อีกอย่างหนึ่งที่เราคิดว่าสำคัญคือครอบครัว เราว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมาก อย่างแม่เราเองที่เขาให้อิสระเราค่อนข้างเยอะตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะอิสระทางความคิด ไม่บังคับ ไม่เคยตี ไม่ค่อยดุเลย แม่เป็นคนใจดีมาก ซึ่งตรงข้ามกับผมมาก (หัวเราะ)

     “แต่ว่าในเมื่อเราได้อิสระตรงนั้นมามากๆ แล้ว เรายิ่งต้องรับผิดชอบกับการกระทำของเราให้มาก ต้องคิดดีๆ ก่อนไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ซึ่งผมว่ามันส่งผลกระทบมาถึงการทำงาน เพราะเราให้อิสระกับคนทำงานมาก เราให้พวกเขาหาวิธีการต่างๆ ในการทำงานด้วยตัวเอง เพื่อให้คนทำงานรู้สึกว่างานนี้เป็นของเขาจริงๆ และสุดท้ายงานมันจะออกมาดี” ท้อปกล่าว

     “สำหรับผม ครอบครัวมีส่วนในรูปแบบที่เขาไม่ได้ตามใจเราทุกอย่าง เราก็ต้องเรียนในสิ่งที่เขาคิดว่าดี” พายเริ่มตอบคำถามกับผมถึงแรงผลักดันและสิ่งที่หล่อหลอมให้เขาเป็นเขาในวันนี้

     “มีอยู่วันหนึ่ง ตอนนั้นเรากำลังเรียนโทใบแรกที่อเมริกา เรารู้สึกว่าชีวิตไม่มีความสุขเลย เราอยากเลือกทางเดินของเราเอง เราเลยประท้วงด้วยการสัก (หัวเราะ)”

 

 

     “คงเป็นสิ่งที่พ่อกับแม่ของคุณไม่ปลื้มเท่าไรแน่ๆ” ผมถามกลับ

     “พ่อด่าเละเลย (หัวเราะ) แต่สิ่งที่เราสักไว้คือคำว่าพ่อกับแม่บนหลัง เราก็พยายามอธิบายเขาว่า มันเสมือนว่าพวกเขาเอามือมาวางไว้ตรงหลังเราเสมอ เราก็อธิบายว่า เราขอให้พวกเขาสนับสนุนเราให้ไปข้างหน้า อย่าดึงรั้งเราไว้ แต่ถ้าวันหนึ่งเราล้ม เราก็อยากให้เขาช่วย ให้กำลังใจเรา แม่ฟังแล้วร้องไห้ สุดท้ายเขาก็อยากให้เราเลือกทางเดินของเรา แต่ก็ยังอยากให้อยู่ในกรอบที่เขาคิดว่าโอเค

     “ครอบครัวหล่อหลอมให้เราทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำเพื่อให้เราได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำทีหลัง (หัวเราะ) คงสรุปแบบนี้จริงๆ สุดท้ายพอได้มาทำงานที่เกี่ยวข้องกับดนตรีอย่างที่เรารัก เราชอบ ความมุ่งมั่นหลักก็คืออยากช่วยให้ศิลปินอินดี้สามารถเป็นอาชีพได้ แล้วเราก็หาวิธีการหลากหลายทั้งจัดงานสัมมนา ทำบทความ สร้างแพลตฟอร์ม สิ่งที่ผลักดันผมนอกจากครอบครัวมันคือการที่เราตั้งเป้าหมายและหาหนทางไปให้ถึงเป้าหมายนั้นให้ได้

     “Be fixed on your goal, be flexible on your execution มันก็คือเป้าหมายของเราต้องมั่นคงแข็งแกร่ง แต่วิธีการที่จะไปถึงตรงนั้นต้องยืดหยุ่นได้ ทดลองทดสอบได้ ถ้าไม่ดีก็เปลี่ยน ถ้าดีก็พัฒนา แต่เราก็ต้องมุ่งไปข้างหน้าสู่เป้าหมาย” พายจบท้ายการสนทนาด้วยวลีภาษาอังกฤษหนึ่งที่น่ารับนำไปใช้ในชีวิต

     สุดท้ายแล้วการที่มนุษย์อย่างเราๆ จะสามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเอง ทั้งเรื่องงานหรือชีวิตได้ก็ล้วนแล้วแต่ต้องหันมาสำรวจตัวเองเสียก่อนเป็นลำดับแรก เรียนรู้จากสิ่งที่ตัวเองชอบหรือไม่ชอบ ก่อนจะค่อยๆ พัฒนาสิ่งที่เราค้นหามันเจอให้กลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเรา ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องยากเลย คุณว่าไหม?

The post พูดด้วยปาก ฟังด้วยใจ กับข้อคิดเห็นต่อระบบการศึกษาไทยและมนุษย์เป็ดของ ‘ท้อป-พาย’ สองผู้ก่อตั้ง ‘ฟังใจ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/fungjai-cofounder-top-pie/feed/ 0
Developing the Best ทุกเส้นทางของการประสบความสำเร็จ ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ [Advertorial] https://thestandard.co/worst-of-the-best/ https://thestandard.co/worst-of-the-best/#respond Mon, 13 Nov 2017 09:04:09 +0000 https://thestandard.co/?p=44805

“Think with Your Head, Decide with Your Heart เวลาเราต้ […]

The post Developing the Best ทุกเส้นทางของการประสบความสำเร็จ ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>

“Think with Your Head, Decide with Your Heart เวลาเราต้องวิเคราะห์ข้อดีข้อเสีย จง use your head แต่เวลาต้องตัดสินใจ จง use your heart แต่การจะ use your heart ก็ไม่ได้แปลว่า ต้องเลือกทางนี้โดยไม่สนใจอะไรเลย เราต้องชั่งน้ำหนักในกรณีที่ตัวเลือกดีทั้งคู่ จะเอาอะไรมาตัดสินใจ มันก็ต้องถามใจตัวเองแล้วล่ะ”

 

     เมื่อกวาดตาดูบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทุกวันนี้ เราเชื่อว่า หลายบริษัทพยายามสร้างความแตกต่าง เพื่อเข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภค เพราะการเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์สักแห่ง เป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ของผู้บริโภค แต่เอาเข้าจริง ในความแตกต่างของบริษัทเหล่านั้น เรามองเห็นอะไรบ้าง นั่นคือคำถามวันที่เราเดินทางไปพบ คุณวู้ดดี้-ธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ เราเองก็มีคำถามนี้ในใจเช่นกัน

     ในที่สุด หนึ่งในความแตกต่างที่เราค้นพบก็คือ โปรเจกต์ Worst of the Best ที่โกลเด้นแลนด์อยากจะสื่อสารในประเด็นที่ว่า ทุกเส้นทางของการประสบความสำเร็จ ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ จึงไม่ต้องการให้คนรุ่นใหม่หรือใครก็ตาม มองแต่ด้านที่สวยงามของอาชีพนั้น เขาและทีมงานช่วยกันคิดโปรเจกต์ที่เชิญชวนนักพูดระดับแนวหน้า มาพูดคุยถึงชีวิตการทำงานในแง่มุมที่ยากเย็นที่สุดของอาชีพนั้น เพราะเชื่อว่าปัญหาที่ทำให้คนเราไปไม่ไกลในชีวิตคือไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร รู้แต่ละอย่างก็ไม่ครบทุกด้าน และมีความอดทนน้อย

                 

อยากทราบที่มาของโครงการนี้ก่อน  

     เริ่มจากตัวโกลเด้นแลนด์ก่อน โกลเด้นแลนด์เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2521 ผมเป็นหนึ่งในทีมผู้บริหารที่เข้าไปเทกโอเวอร์บริษัทเก่า ซึ่งอยู่ในตลาดมานาน เราเข้ามาปรับโครงสร้างของบริษัทเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เพื่อสร้างทิศทางที่ชัดเจนว่าเราอยากจะทำอะไรกันแน่ เพราะคิดว่าถ้าหากทำอะไรหลายอย่าง มันจะไม่มีโฟกัสที่ชัดเจน เราจึงเข้ามาปรับโครงสร้างใหม่ เน้นธุรกิจ 2 ส่วน คือ โครงการเชิงพาณิชยกรรม คือ การบริหารตึกออฟฟิศและมิกซ์ยูสต่างๆ และโครงการที่พักอาศัย โดยทำบ้านแนวราบ ตอนนี้ทำไปประมาณ 40 โครงการแล้ว

     ทำให้ยอดขายเดิมราวๆ หนึ่งพันล้านบาท เติบโตจนปีที่ผ่านมายอดขยับไปเป็นหนึ่งหมื่นล้านบาท และจากที่ก่อนหน้านี้ขาดทุนอยู่หลายร้อยล้านบาท กลายมาเป็นบริษัทที่มีกำไรประมาณหนึ่งพันล้านบาทในปีที่ผ่านมา ก่อนปรับโครงสร้าง ตอนนั้นมีพนักงานอยู่ 80 คน วันนี้มีคนเพิ่มเป็น 600 คน เพราะฉะนั้นถือว่าเราปรับตัวกันค่อนข้างมาก ในแง่ของการพัฒนาบริษัท เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัท รวมทั้งการคิดว่าจะสร้างวัฒนธรรมองค์กรอย่างไร เพื่อให้คนเชื่อมั่น มองไปทางเดียวกัน และทำงานด้วยกันได้ เพราะทีมงานของเรามาจากหลากหลายที่ และล้วนแต่เป็นคนที่เก่งทั้งนั้น จึงพบว่า คนเราจะทำงานได้ต้องมีความสุขกับการทำงาน และมีความภูมิใจในการทำงาน ภูมิใจในบริษัท เขาถึงจะทำได้ดี มันก็เลยส่งผลจากยอดขายและรายได้ของบริษัทที่เราเห็นอยู่

     กลับมาที่โฟกัสของการทำงาน ในอนาคตข้างหน้า เราอาจจะขยับขยายไปทำอย่างอื่น แต่ทุกอย่างที่ทำ เราจะทำอย่างดีที่สุด หรือ Developing the Best ซึ่งมันก็เหมือนเป็น Tagline ของบริษัท และเราก็จะทำอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ทีนี้เมื่อทำงานมา 5 ปีเต็มๆ ในตลาด ก็คิดว่า เราพร้อมแล้วที่จะทำในสิ่งที่ตอบแทนสังคม แต่ก็ไม่อยากทำอีเวนต์ที่มันไม่ยั่งยืน จึงมองว่า ถ้าเราอยากพัฒนาให้ดีที่สุด เราจะพัฒนาอะไรได้บ้าง เราคุยกันจนได้คำตอบแล้วว่า เราน่าจะพัฒนาที่คน เพื่อให้เขามีแนวคิดที่ดี เพื่อให้เขาไปพัฒนาอย่างอื่นต่อได้ พอได้ประเด็นว่าจะเป็นการเริ่มต้นที่คน ซึ่งก็คือเด็กรุ่นใหม่ ก็เลยมองเด็กในช่วงมัธยมปลายจนถึงระดับมหาวิทยาลัย เพราะเขาน่าจะต้องการแนวทางการใช้ชีวิต เราศึกษาข้อมูลจนพบว่า เด็กมัธยมปลายส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่าจะไปทิศทางไหน ไม่รู้จะเรียนอะไร เขาเหมือน Lost ไปเลย จริงๆ เราก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกนะ เพราะคนทำงานบางคนก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองต้องการอะไร (หัวเราะ)​ แล้วก็มีประเภทที่เรียนๆ ไปแล้วค้นพบว่า ตัวเองชอบทำอย่างอื่นที่ไม่ตรงสายกับสิ่งที่เรียนเลย เช่น เรียนบัญชี แต่ชอบแฟชั่น ก็เลยคิดว่า ทำอย่างไรให้เด็กเหล่านี้สามารถรู้ได้เร็วว่า ตัวเองชอบอะไร ก็น่าจะดี หรืออย่างน้อยที่สุด ถึงจะไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร แต่ได้รู้ว่าตัวเองไม่ชอบอะไรบ้างก็ดีแล้ว มันคือการตัดตัวเลือกออกไปนั่นเอง ทีนี้ นอกจากเราจะเจอปัญหาที่เด็กไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรปัญหาต่อมาก็คือ รู้ไม่ครบ วันนี้เราจะเห็นคนที่ประสบความสำเร็จมาเปิดพื้นที่ทอล์กให้แรงบันดาลใจต่างๆ มากมาย หรือการที่เด็กๆ มีเน็ตไอดอลตามโซเชียลมีเดีย ที่พวกเขาต่างก็โพสต์แต่ด้านดีๆ เพราะคงไม่มีใครโพสต์ด้านแย่ๆ ของตัวเองออกมาหรอก เพราะฉะนั้นเด็กก็เลยรู้สึกว่า ฉันอยากจะเป็นเชฟมือทอง อยากจะเป็นบาริสตา อยากจะเป็นผู้กำกับหนัง ฯลฯ และผมเชื่อว่าต่อไปจะมีอาชีพใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกเยอะตามยุคดิจิทัล แต่ประเด็นคือเด็กรู้ไม่ครบว่า กว่าคนที่ประสบความสำเร็จเขาจะเป็นอย่างนั้นได้ เขาก็ต้องเจอเรื่องที่แย่ เจอสิ่งที่เลวร้ายในชีวิตของเขามาก่อนทั้งนั้น แต่คนไม่ค่อยเอามาพูดกัน จะไปโฟกัสแต่สิ่งที่ดี หรือเวลาเราเชิญคนพวกนี้ไปพูด เขาก็จะพูดในด้านดีๆ แต่คนไม่รู้หรอกว่ากระบวนการกว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ มันอาจจะยากเย็น หรืออาจจะมีภาวะที่เขาแทบจะผ่านไปไม่ได้ด้วยซ้ำ และหลายคนก็อาจไม่อยากพูดถึงมัน แต่เมื่อเราเชิญพวกเขามาพูดในงานของเราแล้ว เราก็อยากให้เขาแชร์ประสบการณ์ เพื่อให้เด็กๆ ได้ฟัง และรู้ว่าอย่างน้อยที่สุด ในอาชีพนั้นๆ เขาจะเผชิญกับอะไร

     และปัญหาหลักอีกอย่างของเด็กสมัยนี้คือ เรื่องของการไม่อดทน ทำอะไรแต่ละอย่างก็แค่แตะๆ พอลำบากนิดหน่อยก็พร้อมจะทิ้งแล้ว ก็เลยทำอะไรได้ไม่ดีสักอย่าง หรือรู้อย่างละนิดละหน่อย ซึ่งผมอยากจะชวนให้คิดว่า เวลาจะลองทำอะไร บางทีต้องลองให้ถึงที่สุด ถ้าคิดว่ามันใช่ พูดง่ายๆ ถ้าสิ่งนี้เราคิดว่าทำได้ เราชอบจริงๆ ก็ต้อง Developing the Best ทำในสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด ให้มันออกมาดีที่สุด

 

 

อยากเชื่อมโยงประเด็นนี้กับประสบการณ์ของคุณเอง มีประสบการณ์ตัดตัวเลือกออกไปจากชีวิตบ้างไหม

     ถ้าเอาจริงๆ ที่ผ่านมามันก็มีตัวเลือกเข้ามาเยอะมากแต่ด้วยจังหวะและปัจจัยหลายๆ อย่าง มันก็มีผลให้เราตัดสินใจไปในทางที่เราไม่คิดว่าจะทำ คือผมอาจจะโชคดีที่บางทีเราก็ไม่ได้คิดอะไรลึกมาก เพราะทางเลือกต่างๆ มันก็มาตามจังหวะของมัน แต่ด้วยความที่ผมเรียนมาทางวิศวกรรม หลายครั้งเวลาต้องตัดสินใจยากๆ เรามักจะมาตีตารางแยกเป็นสองฝั่งแบ่งครึ่ง Pros and Cons ดูข้อดี-ข้อเสียกันเลย ซึ่งที่ผ่านมามันก็เป็นหลักให้เราคิดได้ แต่เวลาที่เราต้องตัดสินใจจริงๆ เราต้องถามใจตัวเองก่อนว่า ตัวเองอยากทำอะไร เหมือนที่เขาบอกว่า เวลาเราต้องวิเคราะห์ข้อดีข้อเสีย จง use your head แต่เวลาต้องตัดสินใจ จง use your heart แต่การจะ use your heart ก็ไม่ได้แปลว่าเราต้องเลือกทางนี้โดยไม่สนใจอะไรเลย เราต้องชั่งน้ำหนัก ในกรณีที่ตัวเลือกดีทั้งคู่ จะเอาอะไรมาตัดสินใจ มันก็ต้องถามใจตัวเองแล้วล่ะ ผมว่าหลายครั้งที่เมื่อคนเจอทางเลือกประเภทที่ว่า ไอ้นั่นก็ดี ไอ้นี่ก็ดี นี่แหละที่ยาก เพราะเรื่องที่ขาวกับดำ คนมันตัดสินใจง่ายกว่า ที่ยากคือตรงเทาๆ นี่ล่ะ ที่ตัดสินใจยาก ถ้ามองกลับไป การตัดสินใจของผม บางทีก็ต้องใช้ความรู้สึกมาช่วย

 

เคยไหมที่เวลานั่งคิดข้อดี-ข้อเสีย หา Pros and Cons แล้วเห็นข้อเสียเยอะมาก แต่ก็ยังทำ

     มี สมัยตอนเรียนจบมาใหม่ๆ ผมเป็นคนผลการเรียนดีมาโดยตลอด ผมไปสมัครงาน ได้งานการตลาดที่บริษัทต่างชาติ บริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง สมัครไปแป๊บเดียวเขาก็รับเลย แล้วก็มีอีกบริษัทหนึ่งเป็นบริษัทเล็กๆ โนเนม แต่ผมอาจจะมีโอกาสได้ทำรายละเอียดทั้งหมด ขณะที่บริษัทใหญ่ เราจะได้เรียนรู้เฉพาะด้าน ถ้าถามทั้งสองบริษัท ใครก็ต้องเลือกบริษัทข้ามชาติ เพราะทุกอย่างดีกว่า ไม่ว่าจะเงินหรืออะไร แต่ตอนนั้นผมเลือกบริษัทเล็ก เพราะใจมันเหมือนอยากจะลอง ซึ่งตอนนั้นถ้าเลือกบริษัทใหญ่ไป ชีวิตวันนี้ก็คงเป็นไปอีกแบบเหมือนกัน แต่พอไปทำบริษัทเล็ก มันก็ได้นั่งถาม นั่งตอบตัวเองว่า ตกลงมันใช่ไหม ซึ่งในที่สุดก็ต้องยอมรับว่ามันไม่ใช่ เพราะทำไปแล้วมันไม่ออกดอกออกผลอย่างที่คิด พูดง่ายๆ ก็คือ เราก็เฟลได้ พลาดได้ แต่ในที่สุดมันก็ทำให้เราเปลี่ยนอาชีพ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนมาถึงทุกวันนี้ ดังนั้นผมมองว่า ทุกอย่างมันก็มีเหตุปัจจัย แต่เมื่อจะตัดสินใจ อาจต้องถามตัวเองดีๆ ว่าเราอยากทำไหม สอง เราต้องยอมรับว่าตัดสินใจไปแล้ว เราอาจจะผิดได้นะ ตอนนั้นล่ะ ให้ใช้ your head ใหม่อีกครั้ง แล้วค่อยใช้ your heart ต่อ คือไม่ได้หมายความว่า ตัดสินใจผิดแล้วมันจะผิดไปเลย คุณก็ต้องกลับมาคิดว่า มันผิดเพราะอะไร เราไม่ได้เหมาะกับสิ่งนี้หรือเปล่า สุดท้ายมันต้องใช้เหตุผลประกอบกับ passion จะใช้ความรัก ความชอบ ลุยไปเลย แบบที่เรียกว่าดันทุรัง มันก็ไม่ถูก เพราะ passion อย่างเดียวมันไม่ได้ตอบโจทย์ว่าคุณจะประสบความสำเร็จได้ เพราะเมื่อมี passion แล้ว คุณต้องมีทักษะและความสามารถด้วย ซึ่งคุณก็ต้องฝึก ไม่ใช่อยากเปิดร้านกาแฟเพียงเพราะชอบกินกาแฟ แต่คุณจะต้องรู้ด้วยว่าการตลาดคืออะไร กำไรขาดทุนเป็นอย่างไร บริหารคนอย่างไร สต็อกของแบบไหน เพราะถ้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย ยังไงก็เจ๊ง

 

ใครๆ ก็อยากไปถึงจุดสูงสุด อยากเห็นวิวสูงสุด แต่ทำอย่างไรให้ไปอยู่บนนั้นได้โดยไม่หวั่นไหว

     สำหรับตัวเอง สิ่งที่ช่วยคือ การพัฒนาจิต ฝึกจิต ซึ่งได้จากการบวชเรียน ปฏิบัติธรรม ผมว่าตรงนี้คือหลักในการทำงาน เพราะมันไม่มีอะไรไม่หวั่นไหวหรอก มันมีปัจจัยภายนอกมากระทบตลอดเวลา มีอารมณ์ต่างๆ คุณหวั่นไหวกับสิ่งที่มากระทบได้ แต่คุณต้องรับรู้ได้เร็ว และต้องนิ่งให้ทันกับสิ่งที่เข้ามาด้วย บางทีจุดที่สูงสุดลมมันก็แรงนะ เราต้องหาวิธีไปกับลมได้ และนิ่งด้วย มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เพราะบางทีการลู่ตามลมก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีจุดยืน เพราะต้นไม้ที่แข็งเกินไป เจอลมแรงๆ มันก็หักโค่นได้ แต่การที่เรารู้ว่าตอนไหนควรลู่ ตอนไหนควรอยู่ตรงจุดนั้นอย่างไม่หวั่นไหว นั่นคือจุดที่ทำให้ต่าง เพราะบางครั้งเราก็ต้องลู่ไปก่อน แล้วค่อยเด้งกลับมาในจุดยืนของเรา แต่ถ้าเราไม่มีจุดยืนเลย ลู่ไปจนสุดเลย มันก็หลุด แล้วในที่สุด มันก็ไม่ใช่ตัวคุณเอง เพราะมันไปถอนรากในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ

The post Developing the Best ทุกเส้นทางของการประสบความสำเร็จ ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/worst-of-the-best/feed/ 0
ความท้าทายของการค้นหาตัวตนและสิ่งที่ใช่ด้วยการสลัดขนเป็ดออกจากตัว [Advertorial] https://thestandard.co/goldenland/ https://thestandard.co/goldenland/#respond Mon, 06 Nov 2017 10:30:00 +0000 https://thestandard.co/?p=41103

     จริงๆ แล้วคุณถนัดอะไร?   &nbsp […]

The post ความท้าทายของการค้นหาตัวตนและสิ่งที่ใช่ด้วยการสลัดขนเป็ดออกจากตัว [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>

     จริงๆ แล้วคุณถนัดอะไร?

     หลังจากอ่านคำถามข้างต้น เชื่อว่าหลายคนคงต้องใช้เวลานึกหาคำตอบในใจ บางคนอาจใช้เวลาไม่มาก สามารถตอบคำถามได้ในอึดใจ เพราะความเชี่ยวชาญของตนนั้นปรากฏอยู่ในชีวิตและการงานที่ทำอยู่ในทุกวัน แต่กับบางคน คำถามข้างต้นกลับเป็นคำถามที่ยากจนแทบหาคำตอบไม่เจอ

     ไม่ใช่ว่าใครหลายคนเหล่านั้นทำอะไรไม่เป็น เพราะเมื่อลองนึกดูดีๆ ว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง คนเหล่านี้ก็สามารถสาธยายความสามารถของตัวเองออกมาได้มากมาย บางคนทำงานออฟฟิศก็ได้ ให้พรีเซนต์งานก็พอไหว งานเจรจาพาทีก็มีบ่อยไป แถมยังมีสกิลงานฝีมืออย่างการทำกับข้าวและซ่อมข้าวของเล็กๆ น้อยๆ ติดตัวมาอีกต่างหาก เรียกได้ว่าทำได้แทบทุกอย่าง แต่ในความสามารถเหล่านั้นกลับไม่มีสิ่งใดเลยที่โดดเด่นออกมาจนสามารถเรียกได้ว่าเชี่ยวชาญ ซึ่งใครหลายคนมักจะเรียกคนประเภทนี้ว่า ‘เก่งแบบเป็ด’ คือเป็นสัตว์ที่สามารถบินได้ เดินก็ได้ ว่ายน้ำก็ได้ แต่ก็ทำดีได้ไม่สุดเลยสักทาง คล้ายกับคนที่ทำได้ทุกอย่าง แต่ไม่เด่นเลยสักอย่าง

     และใครอีกหลายคนก็พยายามที่จะหาว่าอะไรที่ทำให้คนส่วนหนึ่ง (และอาจจะเป็นส่วนใหญ่) กลายมาเป็นเป็ดแบบนี้ หนึ่งในคำตอบที่พบนั้นก็อยู่ที่ระบบการศึกษาและค่านิยมของบ้านเราที่พยายามจะทำให้เด็กโตมาแบบเป็นเลิศในทุกด้าน ทำให้เด็กหลายคนเติบโตขึ้นมากับการทำคะแนนในทุกวิชาให้ดีมากกว่าการพยายามจะเรียนรู้ว่าตัวเรานี้ต้องการอะไรกันแน่

 

 

     และเมื่อชีวิตผันผ่านมาสู่ช่วงชีวิตมหาวิทยาลัย แทบทุกคนก็เดินเข้าสู่กลไกที่เรียกกันว่าปริญญาตรี โดยหวังผลเพียงแค่ว่าจะได้ปริญญามาครอบครอง จากข้อมูลของบริษัทจัดหางาน จ๊อบส์ดีบี (ประเทศไทย) ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยนั้นเป็นประเทศที่เริ่มมีแรงงานเข้าสู่ตลาดน้อยลงเรื่อยๆ สาเหตุหนึ่งก็มาจากการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมผู้สูงอายุ และอีกสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะค่านิยมของคนรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดและทัศนคติในการทำงานต่างจากคนรุ่นก่อน คือเน้นเรียนเพื่อให้ได้ปริญญาบัตรมาโดยไม่ได้สนใจว่าจะต้องมีความรู้เฉพาะทาง หรือเข้าใจในสิ่งที่เรียนหรือไม่ ขอเน้นให้ได้คะแนนสอบดีๆ ก็พอ แล้วปัญหาก็เกิดขึ้นเมื่อหลายคนไม่มีความรู้และความสามารถเฉพาะทางอย่างแท้จริงทำให้การหางานนั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก และในทางกลับกัน แม้จะมีความรู้และความสามารถอยู่บ้าง แต่หลายคนก็ได้ค้นพบหลังจากเข้าทำงานว่าตัวเองไม่ได้ชอบงานที่ตรงกับสาขาที่เรียนเลยสักนิด คนกลุ่มนี้ส่วนหนึ่งจึงตัดสินใจสละเรือออกจากระบบเพื่อค้นหาสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆ และเป็นสาเหตุที่ทำให้แรงงานขาดหายไปจากตลาดนั่นเอง

     นอกจากปัญหามหภาคอย่างแรงงานแล้ว อีกหนึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นของเหล่าคนที่รู้ตัวช้าก็คือเวลาที่มีมันเริ่มจะไม่พอต่อการค้นหาตัวเองแล้ว ด้วยภาระมากมายที่ตามหลังมา ทำให้หลายคนต้องล้มเลิกและกลับมาสู่สิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำเพื่อดำรงชีวิต หรือต่อให้หาตัวเองเจอก็ไม่สามารถเดินไปสู่ความสำเร็จได้ทันด้วยปัจจัยด้านเวลาเช่นกัน

     ถ้าอย่างนั้นจะดีกว่าไหม หากคุณจะลองสลัดขนออก เลิกทำตัวเป็นเป็ด และเริ่มแสดงความสามารถอันโดดเด่นที่มีเพียงคุณคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้ออกมาตั้งแต่วันนี้

     แม้จะพูดว่าโลกสมัยนี้เป็นยุคแห่งการผสมผสาน แต่เหล่าผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางก็ยังเป็นที่ต้องการตัวในทุกวงการอยู่เสมอ ตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก, บิล เกตส์ หรือแม้กระทั่งสตีฟ จ็อบส์ ต่างก็เป็นผู้ที่รู้ตัวว่าตนเองเชี่ยวชาญและลุ่มหลงในสิ่งใดตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากจะก้าวข้ามไปสู่ความสำเร็จอีกขั้นของชีวิต บางทีคุณก็อาจจะต้องรีบสลัดความเป็นเป็ดของคุณไปให้ได้เสียก่อน

     แล้วเราจะหาความลุ่มหลงนั้นได้จากไหน?

     เรื่องนี้ไม่ยาก จริงๆ มันก็เริ่มจากการเป็นเป็ดนั่นแหละ

     วรพจน์ พันธุ์พงศ์ นักเขียนและนักสัมภาษณ์มือดีเคยกล่าวเอาไว้ใจความว่า “สิ่งที่คนหนุ่มสาวพบเผชิญเสมอๆ ทุกยุคสมัยก็คือเรามักรู้ว่าไม่ชอบอะไร แต่ปัญหาคือเราไม่รู้ว่าชอบอะไร อยากมีอาชีพอะไร อยากมีชีวิตแบบไหน… ผมเคยเดินอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ ถามว่าทำไมถึงหาทางออกมาจากเขาวงกตได้ ทำไมถึงพบเจอสิ่งที่รัก คำตอบคือได้ลองทำ”

 

     เมื่อเรายังไม่รู้ว่าสิ่งที่เราต้องการแท้จริงนั้นคืออะไร การได้ทำลองทำสิ่งต่างๆ ก็เป็นทางเลือกที่ดีที่จะพาเราไปเจอกับเป้าหมายที่หลากหลายนั้น บางอย่างอาจทำให้เราสนุก บางอย่างอาจทำให้ทุกข์ใจ บางอย่างอาจจะไม่ได้เหมือนอย่างที่เคยคิดไว้ แต่เมื่อเราได้ทดลองทำในหลายสิ่งแล้ว เราก็จะค่อยๆ รู้ตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่เราพร้อมจะเอาชีวิตไปขลุกอยู่กับมัน

     แต่สำหรับบางคนที่อาจไม่มีเวลาเหลือพอสำหรับการทดลองอีกต่อไป บางทีเราก็อาจจะต้องใช้ทางลัดอย่างการเรียนรู้ผ่านผู้ที่เคยมีประสบการณ์มาก่อน อย่างเช่นเหล่าสปีกเกอร์ในงาน Worst of the Best งานทอล์กเรื่อง Worst Worst ของเหล่า The Best ที่จะมาเล่าเรื่องราวเบื้องหลังทั้งอุปสรรคและปัญหาของแต่ละสายอาชีพ เพื่อทำให้คุณได้รู้ว่าอยากหรือไม่อยากทำอะไร และมุ่งสู่การเป็น The Best อย่างแท้จริง

 

 

     ซึ่งเมื่อได้พบกับสิ่งนั้นแล้ว เราก็อยากให้คุณค่อยๆ ถอนขนเป็ดของคุณออกมา เก็บเศษขนที่เป็นตัวแทนของประสบการณ์เอาไว้เพื่อใช้ในยามจำเป็น และมุ่งไปในเส้นทางที่คุณเลือกอย่างสุดแรงกล้า เพื่อหล่อหลอมตัวเองให้กลายเป็นหนึ่งเดียวที่ดีที่สุดแบบที่ไม่สามารถมีใครมาแทนได้

     และคราวนี้คำถามข้างต้นก็คงไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินอีกต่อไป

 

ภาพประกอบ: Thiencharas.w

The post ความท้าทายของการค้นหาตัวตนและสิ่งที่ใช่ด้วยการสลัดขนเป็ดออกจากตัว [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/goldenland/feed/ 0