ในฐานะบิวตี้เอดิเตอร์ที่ได้ร่วมเดินทางไปสัมผัสกับองค์ความรู้ใหม่ๆ กับแบรนด์ Garnier ที่ประเทศสิงคโปร์ เพื่อรับมือกับโลกของความงามที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ได้ค้นพบความน่าตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าแบรนด์ Garnier กำลังเดินหน้าสู่การปฏิวัติครั้งใหม่ด้วยแนวคิด Green Science ที่ไม่เพียงแต่ใส่ใจผิวพรรณ แต่ยังคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอีกด้วย การเปิดตัว Green Academy จึงไม่ใช่แค่เพียงงานอีเวนต์ธรรมดาๆ แต่เป็นการประกาศจุดยืนของแบรนด์ในการนำเสนอนวัตกรรมสกินแคร์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวเอเชียอย่างแท้จริง

เรามองว่าการที่ Garnier เลือกเอเชียเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์นั้นเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด เนื่องจากตลาดความงามในเอเชียนั้นไม่เพียงเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ยังมีความต้องการที่เฉพาะเจาะจงมากกว่าภูมิภาคอื่นๆ การทดสอบผลิตภัณฑ์กับคนเอเชียกว่า 10,000 คน แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เข้าใจผิวของคนเอเชียอย่างลึกซึ้ง เราจะพาผู้อ่านไปสำรวจว่า Green Academy นี้จะปฏิวัติวงการความงามและเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราดูแลผิวได้อย่างไร พร้อมแล้วหรือยังที่จะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของความงามที่ใส่ใจทั้งผิวและโลกไปพร้อมกัน

บรรยากาศภายในงาน Green Academy ต้องบอกว่ามีชีวิตชีวาสุดๆ เพราะมีการเนรมิตพื้นที่ให้กลายเป็นแหล่งเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ จากแนวคิด Green Sciences ผสานวิทยาศาสตร์กับธรรมชาติเพื่อความยั่งยืน โดยงานนี้มีตัวแทนประเทศไทย Brand Spokesperson เก้า-สุภัสสรา ธนชาต และ Friend of Garnier เน็กซ์-ณัฐกิตติ์ แช่มดารา จากวง BUS มาร่วมเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ ไปด้วยกัน กับโซนกิจกรรม เช่น ห้องเรียนเคมีสำหรับพัฒนาสูตร Garnier Bright Complete Vitamin C Water Gel และห้องเรียนถ่ายภาพเพื่อทดสอบประสิทธิภาพป้องกันรังสียูวีด้วย Garnier Super UV-Invisible Serum Sunscreen SPF 50+PA++++ ที่บอกเลยว่าพอเห็นด้วยตาตัวเองแล้วยิ่งทำให้มั่นใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์แต่ละตัวได้มากยิ่งขึ้น

Andre Albarran, Garnier Senior Vice President of Global Marketing for Emerging Markets เริ่มต้นด้วยการเน้นย้ำถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของ Garnier ในการใช้วิทยาศาสตร์สีเขียวมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1904 ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติและใช้เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูง ในขณะเดียวกันก็สามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ด้วย Andre Albarran กล่าวเปรียบเทียบบรรยากาศของงานว่ามันเหมือนกับการกลับไปเรียนในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยเพื่อร่วมสัมผัสกับบทเรียนที่สำคัญ นั่นคือความจริงที่ว่า ‘ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ได้เหมือนกันทั้งหมด’

จากแนวคิด Green Beauty ของ Garnier ไม่ใช่เพียงแค่คำโฆษณา แต่เป็นปรัชญาที่ฝังลึกในทุกขั้นตอนของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Albarran อธิบายว่า Green ในที่นี้หมายถึงการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม โดยแบรนด์มุ่งมั่นที่จะเคารพและตอบแทนโลกด้วยมาตรฐานสูงสุด ผ่านการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมและความร่วมมือกับองค์กรพัฒนาเอกชน และการเน้นย้ำเรื่องวิทยาศาสตร์สีเขียวนี้ไม่ใช่เพียงแค่แนวคิด แต่เป็นวิธีการที่จับต้องได้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการเปิดตัว Garnier Green Academy ในสิงคโปร์ครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในเส้นทางของการเป็นศูนย์กลางแห่งนวัตกรรมและผู้นำเทรนด์ในอุตสาหกรรมความงาม เอเชียมีบทบาทสำคัญในการกำหนดกลยุทธ์ระดับโลก รวมถึงการสร้างอัตลักษณ์แบรนด์แบบใหม่ที่มีพื้นฐานจาก Green Sciences เพื่อตอบสนองความต้องการของผิวชาวเอเชีย นอกจากนี้ยังเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ ยั่งยืน และเข้าถึงได้ เพื่อดำเนินภารกิจในการกำหนดความงามแห่งอนาคตสำหรับคนรุ่นต่อไป

Garnierให้ความสำคัญกับความยั่งยืนตลอดกระบวนการผลิต ตั้งแต่การเพาะปลูก การแปรรูป ไปจนถึงการกำหนดสูตร การใช้ส่วนผสมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมถึง 99% และการได้รับการรับรองจาก Cruelty Free International แสดงให้เห็นว่าความงามและความรับผิดชอบต่อสังคมสามารถไปด้วยกันได้อย่างลงตัว

ในมุมมองของเรา เรามองว่าการที่แบรนด์ระดับโลกอย่าง Garnier ให้ความสำคัญกับ Green Sciences ไม่เพียงแต่จะส่งผลดีต่อผู้บริโภค แต่ยังเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมความงามทั้งหมด ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในอนาคต นี่จึงเป็นการเปิดประตูสู่ยุคใหม่ของวงการสกินแคร์ที่ใส่ใจทั้งผิวพรรณและโลกของเรา ในฐานะผู้บริโภค เราสามารถมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ด้วยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงแต่ดีต่อผิว แต่ยังดีต่อโลกของเราด้วย เพราะ #NotAllSkincareIsTheSame แบรนด์ Garnier กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าความงามที่แท้จริงนั้นต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ และนี่คือก้าวสำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าวงการความงามให้ยั่งยืนได้อย่างน่าชื่นชม

ภาพ: Courtesy of Garnier

The post ถอดรหัสสกินแคร์ยุคใหม่จากงาน Garnier Green Academy appeared first on THE STANDARD.

ยิ่งใหญ่ ใจถึง และทำถึง! สมมงแบรนด์สกินแคร์ระดับโลกอย่าง ‘การ์นิเย่’ กับการลุกขึ้นมาโบกสะบัดธงสีรุ้งร่วมเฉลิมฉลองให้กับชาว LGBTQIA+ พร้อมสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศและร่วมเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ไทยเมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา พร้อมเปิดตัวแคมเปญใหญ่ #ลบเพื่อกล้าเป็นตัวเอง ดึง ‘Garnier Pride Squad’ โยชิ-รินรดา ธุระพันธ์, โยชิ-นิมิต มนัสพล, จูดี้-จารุกิตติ์ ศรีสวัสดิ์ และ Badmixy หรือ มิกซ์ เฉลิมศรี เซเลบตัวมัม มานำทัพชาวสีรุ้งเดินขบวนพาเหรด เพื่อชวนทุกคนกล้าที่จะลบทุกคำตัดสิน ทุกมาตรฐานที่สังคมตีตราในความแตกต่างหลากหลาย แล้วลุกขึ้นมายืนหยัดเพื่อเป็นตัวเองและมั่นใจได้เต็มที่

เดือนมิถุนายนของทุกปี กลายเป็นธรรมเนียมที่คนทุกมุมโลกพร้อมใจกันเฉลิมฉลองให้กับชาว LGBTQIA+ ผ่านการแสดงออกในรูปแบบต่างๆ แต่สำหรับประเทศไทย การจัดงานเฉลิมฉลองปีนี้พิเศษกว่าปีไหนๆ เพราะถือโอกาสนับถอยหลังสู่การใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมก่อนสิ้นปี 2567 ถือเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่มีกฎหมายสมรสเท่าเทียม

ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์ไทยทั้งที ‘การ์นิเย่’ จึงสร้างปรากฏการณ์สุดจึ้งให้กระหึ่มใจกลางเมือง โดยไฮไลต์ของงานที่ไม่เพียงสร้างปรากฏการณ์ครั้งแรก! ในงาน Bangkok Pride เพราะเป็นโอกาสเดียวที่คุณจะได้แสดงความเป็นตัวตนบนหน้าจอยักษ์เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อการ์นิเย่ชวนทุกคนมาถ่ายรูปเผยความเป็นคุณในเวอร์ชันมั่นใจ สร้างรูปที่ไม่เหมือนใครด้วย AI แชร์ขึ้นจอ The PanOramix ขนาดใหญ่ด้านหน้าเซ็นทรัลเวิลด์แบบเรียลไทม์!

แต่ที่ประทับใจไม่ลืมต้องยกให้กับความสนุกสุดมันจาก 4 ตัวแทน ‘Garnier Pride Squad’ ทั้งร้องและแดนซ์แบบโนสนโนแคร์บนขบวนพาเหรดตั้งแต่สนามกีฬาแห่งชาติไปจนถึงเซ็นทรัลเวิลด์ ในคอนเซปต์ ‘Let’s Celebrate PRIDE with Garnier’

สุดจึ้งได้อีกกับโชว์สุดพิเศษ ‘โพลแดนซ์’ หน้าสยามพารากอน แดนซ์โชว์ลบทุกคำตัดสิน สร้างความตระหนักรู้ให้ทุกคนกล้าเป็นตัวเองแบบที่มั่นใจ

ส่วนใครที่อยากเชิดหน้าภูมิใจไปกับการแสดงออกถึงความเป็นตัวตนอย่างอิสระ การ์นิเย่จัดบูธบิวตี้สเปซ ชวนให้ทุกคนกล้าลบเมกอัพและสิ่งสกปรกบนใบหน้าหลังจบงานด้วย ‘การ์นิเย่ ไมเซล่า คลีนซิ่ง วอเตอร์’ เพื่อเผยความเป็นตัวเองอย่างมั่นใจ พร้อมรางวัลสำหรับผู้กล้า การ์นิเย่ ไมเซล่า คลีนซิ่ง วอเตอร์ 50 มล. ฟรีทันที

มากไปกว่าสีสันความสนุกของงาน สิ่งที่ ‘การ์นิเย่’ สะท้อนออกมาได้อย่างชัดเจนผ่านทุกกิจกรรมคือการตอกย้ำความเชื่อที่ว่าความงามไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะเพศใดเพศหนึ่ง แต่ทุกคนมีความงามในแบบของตนเองได้อย่างเท่าเทียม ผ่านแบรนด์แคมเปญ #ลบเพื่อกล้าเป็นตัวเอง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา ‘ลบเพื่อกล้าเป็นตัวเอง’ หยิบเอาเรื่องจริงของ 4 ตัวแทน Garnier Pride Squad ซึ่งเคยผ่านการถูกสังคมตีตราว่า ‘แอ๊บ’ ‘สาวแตก’ ‘มั่นหน้า’ หรือ ‘เกาะกระแส’ แต่ได้ก้าวข้ามผ่านจุดเปลี่ยนและเลือกที่จะ ‘เป็นตัวเอง’

โยชิ-รินรดา ธุระพันธ์ บอกว่าสำหรับเธอ คำสบประมาทหรือคำพูดที่สังคมตีตรายิ่งฟังยิ่งทำให้มีแรงฮึด “มันภูมิใจนะถ้าเราก้าวข้ามมันได้ ดูสิ ฉันสามารถทำได้” เธอยังบอกด้วยว่าทุกวันนี้เธอลบความคาดหวังของคนอื่น แล้วเลือกที่จะฟังเสียงของตัวเองให้มากขึ้น “อยากให้ทุกคนกล้าที่จะเป็นตัวเอง ออกจากกรอบของสังคม เลือกอยู่กับสิ่งที่เราสบายใจและมีความสุข แล้วคุณจะมีความสุขที่ได้เป็นตัวเอง”

โยชิ-นิมิต มนัสพล ก้าวข้ามคำพูดที่สังคมตีตราเพราะเขาเลือกกลับมาโฟกัสที่ตัวเอง “อย่าไปแคร์สิ่งที่คนอื่นพูดเกี่ยวกับตัวคุณ ถึงเราจะเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ แต่เราเลือกทำสิ่งที่เราทำได้ นั่นคือทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ดีขึ้นกว่าวันก่อนๆ ของเรา และต้องกล้าที่จะแตกต่าง ถ้าคุณอยากโดดเด่น ต้องเป็นตัวของตัวเองให้ได้ก่อน”

จูดี้-จารุกิตติ์ ศรีสวัสดิ์ บอกอย่างมาดมั่นว่า ‘ไม่แคร์’ กับทุกคำสบประมาท “ใครจะพูดอะไรก็พูดไป เราก็จะเป็นตัวเองต่อไป และทำให้เห็นไปเลยว่าเป็นตัวเองไม่มีอะไรผิด ไม่ควรมีใครผิด ทุกคนต้องกล้าออกมาแสดงตัวตนและจุดยืนของตัวเอง”

Badmixy หรือ มิกซ์ เฉลิมศรี ก็เป็นอีกคนที่เชื่อว่าการประสบความสำเร็จเป็นวิธีลบคำสบประมาทที่ดีที่สุด “คนที่สบประมาทเราส่วนใหญ่ยังอยู่ที่เดิม ดังนั้นทำไปเรื่อยๆ ค่ะ ทำจนประสบความสำเร็จ และอย่าพยายามเหมือนใคร เพราะคุณจะไม่มีอะไรน่าสนใจ ดึงตัวตนและเผยมันออกมาให้ทุกคนเห็น จำไว้เสมอว่าหนึ่งเดียวดีเสมอ”

คีย์หลักที่แคมเปญนี้ต้องการจะบอกคือ แม้สังคมทุกวันนี้จะเปิดกว้างให้กับความหลากหลายทางเพศ หรือแม้จะมีการออกกฎหมายที่เกี่ยวกับความเท่าเทียมมากมาย แต่ก็ยังคงมีกระแสและคำพูดที่ตีตราจากสังคมบั่นทอนความเชื่อมั่น และบางคนถึงกับลดทอนคุณค่าของตัวเอง

การ์นิเย่จึงชวนให้เหล่าชนผู้มีความหลากหลายทางเพศ ลุกขึ้น ‘ลบ’ ทุกคำตัดสินของสังคม และ ‘กล้า’ ที่จะเป็นตัวเองอย่างภูมิใจ เสมือนกับ การ์นิเย่ ไมเซล่า คลีนซิ่ง วอเตอร์ การันตีด้วยยอดขายอันดับ 1 ที่มีคุณสมบัติเด่นในการ ‘ลบ’ เครื่องสำอาง ความสกปรก และมลภาวะต่างๆ บนใบหน้าได้อย่างหมดจด ไม่ว่าจะแต่งหน้าหรือไม่แต่งหน้า เพศสภาพแบบไหนก็สามารถเจิดได้ทั่วกัน

นอกจากกิจกรรมสุดจึ้งที่เล่าไปทั้งหมด การ์นิเย่ยังนำ ‘Garnier Micellar Cleansing Water Pride Edition’ ไมเซล่า คลีนซิ่ง อันดับหนึ่ง มาในแพ็กเกจดีไซน์พิเศษเพื่อการฉลองเดือนแห่งความภูมิใจในความหลากหลายทางเพศ ในช่วงเดือนมิถุนายน 2567 และชวนทุกคนเดินหน้าสนับสนุนกิจกรรมช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของ LGBTQIA+ และสนับสนุนให้ทุกคนกล้าเป็นตัวเอง เปล่งประกายเฉิดฉายได้เต็มที่และมั่นใจต่อไปไม่สิ้นสุด ด้วยการชวนให้ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งร่วมสนับสนุนความเท่าเทียม ผ่านการซื้อ ‘Garnier Micellar Cleansing Water Pride Edition’ โดยทุกการซื้อ 1 ขวด เท่ากับได้ร่วมบริจาคเงิน 5 บาท โดยการ์นิเย่จะสมทบทุนยอดบริจาค 5 บาท ต่อยอดขายไมเซล่า 1 ขวด จำกัดจำนวน 40,000 ขวด รวมเป็นยอดบริจาคทั้งหมด 200,000 บาท เพื่อมอบให้กับสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทยอีกด้วย

The post ‘การ์นิเย่’ ร่วมโบกสะบัดธงสีรุ้งสนับสนุนความหลากหลาย พร้อมปลุกชาว LGBTQIA+ ลุกขึ้น #ลบเพื่อกล้าเป็นตัวเอง ในงาน Bangkok Pride 2024 [PR NEWS] appeared first on THE STANDARD.

Garnier จับมือกับกรุงเทพมหานคร เพิ่มพื้นที่สีเขียวใจกลางกรุง กับครั้งแรกของสวนลอยฟ้า ระหว่างวันที่ 10-16 พฤษภาคม 2567 ณ ลานใบบัว สกายวอล์ก สี่แยกปทุมวัน ที่งาน Garnier Green Beauty: Hop Into the Greeniverse ก้าวสู่จักรวาลสีเขียวที่ทุกคนสร้างได้ เพื่อชวนทุกคนตระหนักรักษ์สิ่งแวดล้อม สัมผัสธรรมชาติผ่านประสบการณ์อินเตอร์แอ็กทีฟ (Nature with Immersive Experience) และเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมสร้างพันธกิจกรีนบิวตี้ สวยใส่ใจโลกไปด้วยกัน

Garnier ร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร จัดนิทรรศการสวนลอยฟ้า Garnier Green Beauty: Hop Into the Greeniverse ก้าวสู่จักรวาลสีเขียวที่ทุกคนสร้างได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Garnier Green Beauty สวยใส่ใจโลก ส่งเสริมให้ทุกคนตระหนักรักษ์สิ่งแวดล้อม

ศาสตร์ Garnier Green Sciences นำวิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งแวดล้อมมาพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อลดผลกระทบต่อโลก และเชิญชวนให้เลือกใช้สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Choose Greener) และดำเนินชีวิตท่ามกลางพื้นที่สีเขียว (Live Greener)

ภายในงาน มีกิจกรรมอินเตอร์แอ็กทีฟให้ผู้ร่วมงานมีส่วนร่วมสร้างพื้นที่สีเขียว และร่วมแบ่งปันความตั้งใจในการรักษ์โลก ไฮไลต์คือการร่วมกันผลักดันนโยบาย ‘สวน 15 นาที’ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั่วกรุงเทพฯ โดยกรุงเทพฯ ตั้งเป้าเพิ่มพื้นที่สวนสาธารณะอีก 500 แห่งภายในปี 2569

ต้นไม้ ไม้ดอกไม้ประดับ และเฟอร์นิเจอร์กว่า 18,000 ชิ้นจากงานนี้จะนำไปสร้างสวนสาธารณะให้ชุมชนต่อไป

สำหรับนิทรรศการในครั้งนี้แบ่งเป็น 5 โซน ได้แก่

1. Oasis Zone ชวนตระหนักถึงความสำคัญของพืชพรรณและผืนป่าต่อระบบนิเวศ
2. Green Air ให้ความรู้เรื่องคุณภาพอากาศและประโยชน์ของพื้นที่สีเขียวในการสร้างอากาศบริสุทธิ์
3. Ecological Diversity สื่อให้เห็นถึงความเชื่อมโยงและการพึ่งพากันของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในระบบนิเวศ
4. Edible Haven เชิญชวนทุกคนมาร่วมเป็น Greener ผ่านการสนับสนุนชุมชนผู้ผลิตวัตถุดิบให้มีความยั่งยืน 
5. Wellness Retreat ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างและปกป้องพื้นที่สีเขียว เพื่อให้ทุกคนได้พักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ

ภาพ: Courtesy of Garnier

The post ชมนิทรรศการสวนลอยฟ้า Garnier Green Beauty appeared first on THE STANDARD.

ปฏิเสธไม่ได้อีกแล้วว่าเราทุกคนล้วนแล้วแต่มีส่วนที่ทำให้โลกใบนี้ต้องเผชิญกับภาวะโลกเดือด ที่นำไปสู่วิกฤตทางธรรมชาติต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นทั่วโลกเมื่อเร็วๆ นี้ ไม่ว่าจะสภาพอากาศประเทศไทยที่ร้อนระอุอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฝุ่น PM2.5 ที่ทำร้ายทำลายสุขภาพเราแบบเรื้อรัง หรือกรณีดูไบที่ต้องเผชิญกับพายุฝนรุนแรงหนักที่สุดในรอบ 75 ปี เป็นต้น

เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรณรงค์ให้ผู้คน ‘อยู่ใกล้’ กับธรรมชาติ หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อม สุขภาพโลกก่อนที่อะไรๆ จะสายเกินเยียวยา แบรนด์สกินแคร์ผู้นำตลาดด้านความงามจากธรรมชาติ ‘การ์นิเย่ (Garnier)’ จึงผุดไอเดียพิเศษร่วมกับทางกรุงเทพมหานคร เนรมิตสวนลอยฟ้า Hop into the Greeniverse ขึ้นมาใจกลางกรุง เพื่อส่งแรงกระเพื่อมผ่านการสร้างการตระหนักรู้ในปัญหาสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ

สวนลอยฟ้า Hop into the Greeniverse จะตั้งอยู่ระหว่าง ‘ลานใบบัว’ หรือสกายวอล์กที่เชื่อมสี่แยกปทุมวัน ซึ่งถูกยกให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 10-16 พฤษภาคม 2567

สถานที่แห่งนี้จะทำหน้าที่เชื่อมโยงผู้คนให้หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อม รักษ์โลก ห่วงใยธรรมชาติ ผ่านผลงานที่นำมาจัดแสดง การตกแต่งสถานที่ ตลอดจนประสบการณ์แบบ Interactive & Immersive Experience ที่จะปรากฏขึ้นในยามค่ำคืน เพื่อให้ผู้คนได้เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นแบบเข้าถึงได้โดยง่าย คู่ขนานไปกับการทำคอนเทนต์ (เป็นกระบอกเสียงในการกระจายเรื่องราวดีๆ)

ทำไมต้อง ‘สวนลอยฟ้า Hop into the Greeniverse’?

หลักๆ เลยคือผลสำรวจที่ทางการ์นิเย่ได้ดำเนินการสำรวจกับกลุ่มผู้บริโภคกว่า 20,000 คน พบข้อมูลที่น่าสนใจว่ากว่า 79% ของกลุ่มตัวอย่าง ‘ต้องการ’ ที่จะใช้ชีวิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น (ยังทำไม่สำเร็จ) มีเพียง 4% เท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตให้ลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้จริง

สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้กลุ่มคน 79% ยังไม่ประสบความสำเร็จในการ Go Green ในชีวิตประจำวันก็ด้วยเหตุผลที่มองว่าการต้องปรับเปลี่ยนเป็นเรื่องยุ่งยากและมีต้นทุนสูง

ด้วยเหตุนี้เองการ์นิเย่จึงต่อยอด Pain Point และไอเดียที่อยากมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ ถนอมโลกให้น่าอยู่ขึ้นมาสู่สวนลอยฟ้าในแบบฉบับของพวกเขา เพื่อเชื้อเชิญทุกคนให้มาเป็น Greener หรือผู้รักษ์และใส่ใจสิ่งแวดล้อมด้วยวิธีการที่ทำได้ง่าย ไม่เปลืองแรง

ที่สำคัญยังสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับโลกใบนี้ที่สุขภาพทรุดโทรมลงในทุกๆ วันได้แบบตรงปกไม่จกตา

ไฮไลต์เด็ดคือ Immersive Experience ยิ่งมาตอนกลางคืนยิ่งตระการตา!

ภายในสวนลอยฟ้า Hop into the Greeniverse ได้ถูกแบ่งพื้นที่ในการจัดแสดงคอนเทนต์ต่างๆ ออกเป็น 5 โซน ได้แก่

1. โซน Blue Green Oasis: โซนที่ได้แรงบันดาลใจจากระบบนิเวศและแหล่งน้ำ โดยสร้างความเข้าใจให้ผู้คนตระหนักว่าพืชและสีเขียวของผืนป่าคือส่วนสำคัญที่ทำให้ระบบนิเวศสมบูรณ์

2. โซน Green Air: โซนที่ถ่ายทอดเรื่องราวคุณภาพอากาศในเมือง กับความตั้งใจในการชวนคนกรุงฯ มาปลูกต้นไม้อย่างน้อยคนละต้นเพื่อสร้างอากาศสะอาดให้เมืองมากกว่า 1.4 กิโลกรัมต่อปี

3. โซน Ecological Diversity: พื้นที่ที่สะท้อนให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้เชื่อมโยงถึงกัน และจำเป็นต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง โดยที่การ์นิเย่เองก็รับรู้ถึงประเด็นนี้ จึงทำให้สินค้าของพวกเขาทุกชนิดไม่มีการทดลองในสัตว์เป็นอันขาด และมากถึง 99% ของส่วนผสมล้วนแล้วแต่เป็นวัตถุดิบวีแกนแทบทั้งสิ้น

4. โซน Edible Haven: โซนที่ชวนทุกคนมาเป็น Greener หรือพลเมืองรักษ์โลก ผ่านการสร้างการตระหนักรู้ด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ และการผลักดันให้เห็นว่าการใช้ชีวิตเพื่อดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องที่ยากเลยแม้แต่น้อย

5. โซน Wellness Retreat: สวนสาธารณะขนาดย่อมที่ให้ผู้คนได้แวะเวียนเข้ามาได้หย่อนใจและตระหนักถึงใจความสำคัญของการมีและปกป้องพื้นที่สีเขียวในเมืองให้ได้มากที่สุด

และไฮไลต์ที่เด็ดที่สุดของงานที่จะลืมพูดถึงไม่ได้เป็นอันขาดก็คือ การที่การ์นิเย่ได้เนรมิตสวน Hop into the Greeniverse ของพวกเขาในยามค่ำคืนให้กลายเป็นพื้นที่ที่ถ่ายทอดประสบการณ์แบบ Interactive & Immersive Experience ที่นอกเหนือจากจะได้ถ่ายรูปกับแสงสีเสียงสวยงามแล้ว คุณก็ยังสามารถร่วมกิจกรรม Green Commitment ให้คุณได้เข้าร่วมในพันธกิจรักษ์โลกไปด้วยกัน และอีกกิจกรรมที่พลาดไม่ได้คือการเลือกพื้นที่เขตในกรุงเทพฯ ที่คุณอยากเพิ่มพื้นที่สีเขียวมากที่สุด หลังจบนิทรรศการการ์นิเย่จะนำต้นไม้และดอกไม้กว่า 18,000 ต้น และเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดไปส่งต่อสนับสนุนโครงการสวน 15 นาทีในกรุงเทพฯ และหนึ่งในนั้นอาจจะส่งต่อไปยังเขตที่อยู่ของคุณ

เรียกได้ว่าไม่ใช่แค่ครบทั้งในแง่การเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ การส่งต่อแรงบันดาลใจของการเป็น Greener ที่ทำให้เราเห็นว่าการรักษ์โลกไม่ใช่เรื่องยาก และการได้ทำคอนเทนต์ สัมผัสประสบการณ์ที่ดีงามที่การ์นิเย่และกรุงเทพฯ ตั้งใจรังสรรค์ขึ้นเท่านั้น เพราะคุณยังได้มีส่วนร่วมในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับเมืองแห่งนี้ ซึ่งในท้ายที่สุดก็จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่กระเพื่อมโลกทั้งใบนั่นเอง

อย่าลืมไปสัมผัสความสวยงาม ตระการตา และร่วมเป็น Greener ได้ที่สวนลอยฟ้า Garnier Green Beauty: Hop into the Greeniverse ณ ลานใบบัว หรือลานทางเชื่อม MBK-Siam Discovery ระหว่างวันที่ 10-16 พฤษภาคม 2567 (เปิดให้เข้าชมเวลา 11.00-22.00 น.)

The post ชวนไป Hop into the Greeniverse นิทรรศการสวนลอยฟ้าใจกลางมหานคร ที่ชวนคุณมาสร้างพื้นที่สีเขียวไปด้วยกัน [PR NEWS] appeared first on THE STANDARD.

เก้า-สุภัสสรา ธนชาต ปรากฏตัวในฐานะพรีเซนเตอร์ของแบรนด์ Garnier ที่งาน Garnier Overnight Alive Experiences เพื่อร่วมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่สุดปังอย่าง Garnier Bright Complete Vitamin C Booster Serum ที่เพิ่มพลังดับเบิลวิตามินซี ช่วยในเรื่องการลดเลือนจุดด่างดำได้ไวขึ้นสองเท่า ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกของเซรั่มสูตรกลางคืนที่มีส่วนผสมจากวิตามินซีบริสุทธิ์สกัดจากธรรมชาติที่มีความเข้มข้นถึง 10% เด่นด้วยเทคโนโลยี Green Sciences ที่พัฒนามาให้เหมาะสมกับการใช้ตอนกลางคืนโดยเฉพาะ 

ทั้งนี้ เก้า-สุภัสสรา ธนชาต เปิดใจว่า “บางคนอาจรู้สึกว่าการที่กลัวจะมีจุดด่างดำ เราทากันแดดก็จบแล้ว พอแล้ว ก็ไปใช้ชีวิตกันต่อ ออกไปเอาต์ดอร์ได้ แต่จริงๆ แล้วเธอมองว่าหากเน้นการบำรุงทั้งเวลากลางวันและกลางคืนควบคู่กันจะช่วยได้มากขึ้น โดยเฉพาะการทาเซรั่มบำรุงยามค่ำคืนจะมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูผิวได้เร็วขึ้น เพราะมีทั้งการได้พักผ่อน ให้เซลล์ได้พัฒนาซ่อมแซมตัวเอง ฮอร์โมนได้หลั่งออกมา จะมีส่วนช่วยฟื้นฟูผิวไปพร้อมๆ กัน ซึ่งการเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับเวลากลางคืน เธอแนะนำว่ากลางคืนเป็นช่วงที่ผิวและร่างกายของเราได้ฟื้นฟู และเป็นช่วงรีชาร์จเต็มที่ ต้องเน้นเรื่องส่วนผสมที่เข้มข้นมากๆ เช่น เซรั่มใหม่อย่าง Garnier Bright Complete Vitamin C Booster Serum เป็นตัวช่วยที่ดี เพราะผ่านการทดสอบจากผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังว่าเหมาะกับทุกสภาพผิว และมอบผลลัพธ์ของผิวสวยที่ตื่นมาในตอนเช้าแล้วหมดกังวลเรื่องจุดด่างดำได้จริง 

สำหรับแฟนๆ ของ Garnier ในประเทศไทย Garnier Bright Complete Vitamin C Booster Serum มีวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากที่วางจำหน่ายที่แรกในประเทศฝรั่งเศสไปก่อนหน้านี้ ใครที่ต้องการปกป้องดูแลผิวให้ห่างไกลจากปัญหาจุดด่างดำ ถือว่าไอเท็มนี้น่าสนใจไม่เบาเลยทีเดียว 

The post เก้า-สุภัสสรา ธนชาต ร่วมเปิดตัววิตามินซีบูสเตอร์เซรั่มใหม่ Garnier appeared first on THE STANDARD.

เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2566 ณ ลานกิจกรรม Siam Square One การ์นิเย่ (Garnier) แบรนด์สกินแคร์ชั้นนำระดับโลกด้านความงามที่เป็นธรรมชาติ ส่วนหนึ่งของลอรีอัล กรุ๊ป จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวแคมเปญสุดสร้างสรรค์ ‘การ์นิเย่กรีนกันทุกวันพุธ’ ชวนทุกคนนำขวดพลาสติกที่ใช้แล้วนำกลับมารีไซเคิลด้วยไอเดียสุดเก๋ เพียงนำขวดพลาสติกมารีไซเคิลที่จุดบริการ ณ จุด Drop Point ตามพื้นที่ศูนย์การค้าโลตัสใกล้บ้าน หรือ CirPlas Drop-off พร้อมลุ้นรับของรางวัลและส่วนลดสุดพิเศษมากมายจากแบรนด์ตลอดแคมเปญ เพื่อรวบรวมขยะทั้งหมดนำกลับมาหมุนเวียนเป็นพลาสติกตั้งต้น ลดการผลิตพลาสติกใหม่ เพียงแค่นี้ทุกคนก็ได้มีส่วนร่วมในการลดขยะและเปลี่ยนแปลงโลกไปด้วยกัน

พร้อมจำลองกลาสเฮ้าส์ ‘House of Beauty’ นำเสนอเรื่องราว 5 คำมั่นสัญญาที่จะดูแลสิ่งแวดล้อมของการ์นิเย่ ได้แก่ การจัดซื้อวัตถุดิบที่สนับสนุนชุมชน, พัฒนาสูตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม, ใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและรีไซเคิลได้, ใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิต และไม่ทดสอบผลิตภัณฑ์กับสัตว์

และยังชวนให้ทุกคนใช้ชีวิตแบบกรีนๆ ได้ง่ายขึ้น ผ่านกิจกรรมสนุกๆ ภายในงานพร้อมเชิญ ‘อนันดา เอเวอริงแฮม’ พรีเซนเตอร์การ์นิเย่ และเหล่าอินฟลูเอ็นเซอร์มาพูดคุยและแชร์การใช้ชีวิตแบบกรีนๆ ในแบบของพวกเขา

THE STANDARD จะพาไปดูเรื่องราวกรีนๆ และกิจกรรมความสนุกที่เกิดขึ้นในงาน

สุมิตา อัครโรจน์กิจ Garnier Brand General Manager เผยว่า ที่ผ่านมาการ์นิเย่เป็นแบรนด์สกินแคร์ที่ได้รับความนิยมจากคนไทยจำนวนมาก จึงผลักดันให้ลูกค้าทุกคนเข้าถึงเรื่องการใส่ใจสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์เพื่อลดพลาสติกที่ไม่จำเป็น และรณรงค์ให้เกิดการรีไซเคิลขยะพลาสติกเพื่อนำกลับมาหมุนเวียนเป็นพลาสติกตั้งต้น

“ปี 2023 การ์นิเย่ตั้งเป้าหมายที่จะเก็บขยะพลาสติกให้ได้ถึง 240 ตัน และนำไปเข้าสู่ระบบการจัดการขยะรีไซเคิล ผ่านกิจกรรมที่ง่ายและทำได้ตลอดจนเกิดเป็นที่มาของ ‘การ์นิเย่กรีนกันทุกวันพุธ’ นอกจากจะเป็นการก้าวสู่อีกขั้นของแบรนด์รักษ์โลก การ์นิเย่ยังตระหนักถึงเรื่องของความยั่งยืน และต้องการกระตุ้นให้ผู้บริโภคมีโอกาสออกมามีส่วนร่วมกับโลกใบนี้ ทุกคนสามารถใส่ใจดูแลตัวเองไปพร้อมกับการใส่ใจโลกให้ยั่งยืนได้” 

ไฮไลต์ของงานครั้งนี้อยู่ที่ ‘House of Beauty’ กลาสเฮาส์กรีนสุดใจที่จะทำให้คุณเข้าใจถึง 5 คำมั่นสัญญาที่จะดูแลสิ่งแวดล้อมของการ์นิเย่ ได้แก่ 

1. จัดซื้อวัตถุดิบที่สนับสนุนชุมชน โดยปี 2022 การ์นิเย่ส่งเสริมและสนับสนุนโครงการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืนไปแล้วถึง 1,431 ชุมชน ตั้งเป้าภายในปี 2025 จะสนับสนุนให้ได้ถึง 1,500 แห่ง 

2. พัฒนาสูตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายในปี 2025 มุ่งมั่นพัฒนาสูตรใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อเส้นผมและผิวหนังของคุณ โดยใช้วิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งแวดล้อม เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ เป็นต้น

3. ใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและรีไซเคิลได้ ปี 2021 มีการใช้พลาสติกที่แปรไปใช้ใหม่หรือรีไซเคิล ทำให้การ์นิเย่ลดการใช้พลาสติกผลิตใหม่ได้ 9,019 ตัน โดยในทุกบรรจุภัณฑ์กระดาษ เราใช้กระดาษที่มีส่วนผสมของเยื่อกระดาษประเภทปลูกทดแทน ที่ได้รับการรับรองจากสถาบัน FSC ตั้งเป้าภายในปี 2025 การ์นิเย่มีเป้าหมายทำให้บรรจุภัณฑ์พลาสติกของเรารีไซเคิลได้ 100% และย่อยสลายได้ เริ่มต้นด้วยผลิตภัณฑ์ Micellar ที่ผลิตมาจากพลาสติกรีไซเคิล และนำไปรีไซเคิลต่อได้

4. ใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิต นับตั้งแต่ปี 2005 โรงงานและศูนย์กระจายสินค้าของเราลดการใช้น้ำลงร้อยละ 45 และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลงร้อยละ 72 โดยภายในปี 2022 โรงงานผลิตของการ์นิเย่เปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียนแล้ว 76% และภายในปี 2025 โรงงานอุตสาหกรรมของเราทั้งหมดจะมีการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ โดยใช้พลังงานทดแทนในการผลิตเท่านั้น 

5. ไม่ทดสอบผลิตภัณฑ์กับสัตว์มาตั้งแต่ปี 1989 โดยได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจาก Cruelty Free International ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำด้านการดำเนินงานเพื่อยุติการทดลองผลิตภัณฑ์กับสัตว์
   

สำหรับกิจกรรม Green Beauty ได้ทำการสำรวจจากกลุ่มผู้บริโภคจำนวน 20,000 คน ใน 9 ประเทศ พบว่ามีคนถึง 79% ที่ต้องการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่มีเพียงแค่ 4% เท่านั้นที่ใช้ชีวิตในแต่ละวันเพื่อปกป้องโลก เพื่อทำให้เรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเข้าใจได้ง่ายขึ้น และต่อยอดทุกความสวยสู่นิยามใหม่ ‘สวยใส่ใจโลก’ ที่ปลูกฝังให้ผู้บริโภคเชื่อว่าทุกคนสามารถใส่ใจตัวเองและโลกไปพร้อมกันได้

อีกหนึ่งมุมที่ได้รับความสนใจจากเหล่าคนสวยสายกรีนอย่างมากก็คือ ขวดไมเซล่าไซส์ยักษ์ที่ถูกจำลองให้เป็นที่รับขวดเปล่าการ์นิเย่ ไมเซล่า ใครมาหย่อนแล้วรับฟรีทันที ‘การ์นิเย่ ไมเซล่า’ ขนาด 125 มิลลิลิตร และรับเพิ่มคูปองเงินสดไปช้อปกันต่อที่โลตัสเมื่อร่วมกิจกรรมครบ 3 จุดในงาน

หลังจบงานนี้สายกรีนยังร่วมกิจกรรมได้ต่อ เพราะการ์นิเย่จับมือกับศูนย์การค้าโลตัส และ CirPlas Zero Waste Hero จัดเตรียมจุดรับขวดไมเซล่าที่ใช้แล้วหรือขวดน้ำพลาสติก ที่โลตัส 10 สาขา และจุดรับขยะของ CirPlas กว่า 60 จุดทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงจุดรีไซเคิลได้อย่างสะดวกสบาย ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม ยาวไปตลอดจนถึงสิ้นปี 2023

ทุกขวดที่หย่อนจะได้รับแต้มคะแนนสะสม Green Beauty Points โดย 1 ขวดไมเซล่าจะมีคะแนนเท่ากับ 10 Points และขวดพลาสติกจะมีคะแนนเท่ากับ 1 Point สามารถนำคะแนนที่ได้มาแลกรับของรางวัลกับการ์นิเย่ได้ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์จากการ์นิเย่ คูปองส่วนลดจากโลตัส และรางวัลใหญ่อีกมากมายอย่าง ไอแพด และทองคำ ผ่าน LINE Official @GarnierThailand 

ทั้งนี้ ขยะที่รวบรวมมาจะถูกนำไปพัฒนาต่อในรูปแบบของผ้า และวัสดุในการผลิตเครื่องใช้ต่างๆ ต่อไป

‘Rescue the Bunnies! มาช่วยกระต่ายกันเถอะ’ กิจกรรมที่เรียกเสียงกรี๊ดได้ตลอดทั้งงาน ลุ้นกันว่าใครจะเป็นผู้กล้าช่วยชีวิตน้องกระต่ายให้หลุดพ้นจากการถูกนำไปทดลองในห้องแล็บ ใครที่ช่วยได้จะได้น้องกระต่ายกลับไปเป็นที่ระลึกด้วย 

อนันดา เอเวอริงแฮม พรีเซนเตอร์การ์นิเย่บอกว่า เวลาพูดถึงการช่วยเหลือสิ่งแวดล้อม คนจะเข้าใจว่ามันเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ ทำให้คนที่มีภาระหน้าที่ต้องทำคิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะลงมือทำ

“ผมเองก็เคยคิดเช่นนั้น แต่พอวันหนึ่งเราเข้าใจว่า เราเริ่มจากเรื่องเล็กๆ ก็ได้นะ ง่ายๆ เลย หนึ่งวันต่อสัปดาห์ ประเดิมกันที่วันพุธก็ได้ จำง่ายๆ วันพุธสีเขียว แล้วเดี๋ยวพอเราทำไปเรื่อยๆ มันจะนำไปสู่การทำสิ่งดีๆ ต่อไป อย่างน้อยเวลาที่เราจะซื้ออะไรหรือจะทำอะไรก็คิดก่อนว่ามันทำลายสิ่งแวดล้อมหรือเปล่า แค่ดูบรรจุภัณฑ์ว่ารีไซเคิลได้หรือเปล่า ถ้าใช่ก็ใช้ หรือใช้ขวดน้ำที่ใหญ่ขึ้นก็ลดการใช้พลาสติกในแต่ละวันของคุณได้แล้ว สำคัญที่สุดคือแค่เริ่มต้นลงมือทำ เริ่มที่วันพุธก็ได้ครับ มาเริ่มด้วยกัน”

ภายในงานยังชวน 3 อินฟลูเอ็นเซอร์สายกรีนมาร่วมแชร์วิธีรักษ์โลกของตัวเองที่ทำตามได้ง่ายๆ เริ่มกันที่ อาย กมลเนตร ที่เชื่อว่าทุกคนสามารถเปลี่ยนโลกได้จากสิ่งเล็กๆ “ทำสิ่งเล็กๆ ใช้ถุงผ้า แยกขยะ แล้วโพสต์ลงในโซเชียลของตัวเองเพื่อส่งต่อให้คนอื่นๆ เห็นว่าเป็นเรื่องปกติ สุดท้ายพอเราทำจนเป็นนิสัย ก็จะเป็นการเปลี่ยนโลกได้จริงๆ” 

ด้าน แม็กซีน อินทิพร บอกคล้ายกันว่า “เริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่อยู่รอบตัวแล้วทำให้เป็นนิสัย แม็กเองจะพกปิ่นโตไปซื้อกับข้าว ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเห็นคุณพ่อคุณแม่ทำแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก นอกจากจะช่วยลดขยะพลาสติกแล้วยังง่ายด้วย เพราะมาถึงก็กินได้เลย”

ก้อง เจ้าของช่อง ‘ก้องกรีนกรีน’ แชร์ประสบการณ์ที่เห็นจากโรงพยาบาลที่สัตหีบ “ผมเห็นขวดโหลที่ข้างในมีขยะพลาสติกเรียงรายจำนวนมาก 1 ขวด คือจำนวนพลาสติกที่เอาออกมาจากเต่า 1 ตัว มันสะท้อนว่าเต่าทะเลได้รับผลกระทบจากการใช้พลาสติกของพวกเรา และคนที่จะช่วยได้ก็คือพวกเรา ซึ่งเดี๋ยวนี้การแยกขยะเป็นเรื่องง่ายมาก แยกแล้วก็มีจุดต่างๆ ที่รับขยะเหล่านี้ไปจัดการต่อ เริ่มจากทุกวันพุธก่อนก็ได้ แล้วค่อยๆ ทำต่อไปเรื่อยๆ ครับ” 

เน็ต สิรภพ และ เจมส์ ศุภมงคล คู่จิ้นมาแรงจากซีรีส์ ‘อย่าเล่นกับอนล’ มาร่วมทำกิจกรรมสนุกๆ ภายในงาน พร้อมแชร์วิธีดูแลสิ่งแวดล้อมง่ายๆ หนุ่มเน็ตบอกว่า ง่ายสุดคือกินข้าวให้หมดเพื่อลด Food Waste ส่วนหนุ่มเจมส์จะเน้นไปที่การพกถุงผ้า และเลือกใส่ภาชนะที่ล้างแล้วใช้ซ้ำได้

ทั้งหมดนี้เป็นการย้ำให้ทุกคนเห็นว่า การรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องง่ายและทำได้ไม่ยาก ใครๆ ก็กรีนได้! มาเริ่มต้นได้ ผ่าน #การ์นิเย่กรีนกันทุกวันพุธ กันได้เลย

The post ประมวลภาพงานเปิดตัวแคมเปญสุดกรีน ‘การ์นิเย่กรีนกันทุกวันพุธ’ ตอกย้ำแบรนด์ Green Beauty สวยแบบใส่ใจสิ่งแวดล้อม appeared first on THE STANDARD.

Garnier เปิดตัวแคมเปญใหม่! ‘การ์นิเย่กรีนกันทุกวันพุธ’ อีกก้าวสำคัญของการเป็นแบรนด์ Green Beauty ที่ตั้งเป้ากำจัดขยะพลาสติกให้ได้ถึง 240 ตัน สำหรับกิจกรรม Green Beauty ได้ทำการสำรวจจากกลุ่มผู้บริโภคจำนวน 20,000 คน ใน 9 ประเทศ พบว่ามีคนถึง 79% ที่ต้องการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่มีเพียงแค่ 4% เท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตในแต่ละวันเพื่อปกป้องโลก เพื่อทำให้เรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเข้าใจได้ง่ายขึ้นและต่อยอดทุกความสวยสู่นิยามใหม่ ‘สวยใส่ใจโลก’ ที่ปลูกฝังให้ผู้บริโภคเชื่อว่าทุกคนสามารถใส่ใจตัวเองและโลกไปพร้อมกันได้ โดยมีสัญญา 5 ข้อที่จะทำร่วมกัน ได้แก่

• การจัดซื้อวัตถุดิบที่สนับสนุนชุมชน
• พัฒนาสูตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
• ใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและรีไซเคิลได้
• ใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิต 
• ไม่ทดสอบผลิตภัณฑ์กับสัตว์มาตั้งแต่ปี 1989 ภายในปี 2025 การ์นิเย่มีเป้าหมายทำให้บรรจุภัณฑ์พลาสติกของเรารีไซเคิลได้ 100% และย่อยสลายได้ เริ่มต้นด้วยผลิตภัณฑ์ Micellar ที่ผลิตมาจากพลาสติกรีไซเคิล และสามารถนำไปรีไซเคิลต่อได้

ด้าน สุมิตา อัครโรจน์กิจ Garnier Brand General Manager กล่าวว่า การ์นิเย่เป็นแบรนด์สกินแคร์ที่ได้รับความนิยมจากคนไทยจำนวนมาก จึงผลักดันให้ลูกค้าทุกคนสามารถเข้าถึงเรื่องการใส่ใจสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น อย่างการปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์เพื่อลดพลาสติกที่ไม่จำเป็น และรณรงค์ให้เกิดการรีไซเคิลขยะพลาสติกเพื่อนำกลับมาหมุนเวียนเป็นพลาสติกตั้งต้น ลดพลาสติกเกิดใหม่ โดยปี 2023 การ์นิเย่ตั้งเป้าหมายที่จะเก็บขยะพลาสติกให้ได้ถึง 240 ตัน และนำไปเข้าสู่ระบบการจัดการขยะรีไซเคิล ผ่านกิจกรรมที่ง่ายและสามารถทำได้ตลอดจนเกิดเป็นที่มาของ ‘การ์นิเย่กรีนกันทุกวันพุธ’ นอกจากจะเป็นการก้าวสู่อีกขั้นของแบรนด์รักษ์โลก การ์นิเย่ยังตระหนักถึงเรื่องของความยั่งยืน และต้องการกระตุ้นให้ผู้บริโภคได้มีโอกาสออกมามีส่วนร่วมกับโลกใบนี้ ทุกคนสามารถใส่ใจดูแลตัวเองไปพร้อมกับการใส่ใจโลกให้ยั่งยืนได้ และเชิญชวนทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการลดขยะ และเปลี่ยนแปลงโลกไปด้วยกันกับมิชชันรักษ์โลกโดยการนำขวด Micellar หรือขวดน้ำพลาสติก PET แบบใดก็ได้ มาทิ้งหน้างานตรงจุด Drop Point เพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยรีไซเคิลและลดจำนวนขยะพลาสติกได้

ภาพ: Courtesy of Brand

The post Garnier เปิดตัวแคมเปญ ‘การ์นิเย่กรีนกันทุกวันพุธ’ appeared first on THE STANDARD.

Garnier เพิ่งมีการประกาศนวัตกรรมของไอเท็มใหม่ล่าสุดอย่างครีมนวดผมสูตรไม่ต้องล้างน้ำออก ซึ่งค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยหลักการทางวิทยาศาสตร์สีเขียว ที่เน้นความสำคัญไปที่การคำนึงถึงความปลอดภัยทั้งต่อคนและสิ่งแวดล้อม คาดว่าผลิตภัณฑ์ครีมนวดผมสูตรนี้จะช่วยประหยัดน้ำได้มากถึง 100 ลิตรต่อหลอดเลยทีเดียว

เพราะการใช้ผลิตภัณฑ์ในห้องอาบน้ำถือเป็นปัจจัยใหญ่ที่สุดของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของผู้บริโภคทั่วโลก หลังวิเคราะห์วงจรชีวิตต่างๆ แล้ว Garnier ค้นพบว่า 63% ของคาร์บอนฟุตพรินต์ ซึ่งเป็นการวัดผลกระทบจากกิจกรรมของมนุษย์ที่มีต่อระบบสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะจากการใช้ครีมนวดผมแบบดั้งเดิมนั้นส่งผลโดยตรงต่อการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งมาจากการใช้งานผลิตภัณฑ์ ดังนั้นครีมนวดผม Garnier No Rinse จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ไขปัญหานี้ และสามารถทำให้คาร์บอนฟุตพรินต์โดยรวมของครีมนวดผม Garnier No Rinse มีขนาดเล็กลง 92% เมื่อเทียบกับครีมนวดผมแบบเดิม (ขนาด 200 มล.) และช่วยประหยัดน้ำ 100 ลิตรต่อหลอดด้วย 

Mathieu Richomme ผู้จัดการโครงการฝ่ายความยั่งยืนของ Garnier กล่าวว่า “หากผู้คนต้องการมุ่งเน้นเรื่องความยั่งยืนต่อโลกมากขึ้น พวกเขาก็ต้องเต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเล็กน้อย แม้ว่ามันจะหมายถึงการเปลี่ยนวิธีการล้างผมของพวกเขา หลังจากสระผม ต่อไปนี้ก็เพียงปิดน้ำ เดินออกจากห้องอาบน้ำ แล้วชโลมครีมนวดผมเล็กน้อยให้ทั่วผมที่เปียก จากนั้นเป่าผมให้แห้งด้วยไดร์เป่าผมหรือปล่อยให้แห้งตามธรรมชาติ แค่นี้ก็ถือว่ามีส่วนร่วมแล้ว” 

อ้างอิง:

• https://www.beautypackaging.com/contents/view_breaking-news/2022-01-13/garnier-launches-water-saving-no-rinse-conditioner/

The post Garnier เปิดตัวครีมนวดผมสูตรไม่ต้องล้างออก เพื่อช่วยประหยัดน้ำได้ถึง 100 ลิตรต่อหลอด appeared first on THE STANDARD.

นับว่าเป็นการเดินหน้าตามวิสัยทัศน์ที่ L’Oreal เคยประกาศเป้าหมายเอาไว้ว่าจะเน้นดำเนินธุรกิจโดยมุ่งสู่ความเป็น L’Oreal for the Future ตอกย้ำถึงวิสัยทัศน์เพื่อความยั่งยืนปี 2030 โดยล่าสุด L’Oreal ประเทศไทย จับมือ Shopee และ Lazada บุกเบิกโครงการพัสดุอีคอมเมิร์ซที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่มุ่งใช้วัสดุสำหรับหีบห่อพัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และลดใช้พลาสติกเพื่อความยั่งยืน คาดว่าจะสามารถลดปริมาณการใช้พลาสติกได้ถึง 300 ตันต่อปี

นับตั้งแต่นี้ไปผู้บริโภคที่สั่งซื้อผลิตภัณฑ์ของ L’Oreal ประเทศไทย ประกอบด้วย Garnier, Maybelline, L’Oreal Paris, La Roche-Posay, Vichy และ CeraVe ผ่านร้านทางการของแบรนด์จากสองแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำอย่าง Shopee Mall และ LazMall จะได้รับการจัดส่งผลิตภัณฑ์ที่บรรจุไว้ในพัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งกว่าที่เคย โดยการเลือกสรรวัสดุสำหรับหีบห่อพัสดุที่ยั่งยืน ด้วยการใช้กล่องกระดาษที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสูงสุดระดับสากลด้านสิ่งแวดล้อมและป่าไม้จาก FSC TM* พร้อมกับใช้กระดาษสำหรับกันกระแทกทดแทนการใช้พลาสติกรวมถึงเทปกาวกระดาษ เพื่อมุ่งลดปริมาณการใช้พลาสติกที่คาดว่าจะสามารถลดได้กว่า 300 ตันต่อปี จากพัสดุจำนวน 1,000,000 กล่อง

การบุกเบิกโครงการนี้ L’Oreal Group ดำเนินงานตามแนวทางธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่างยั่งยืนไปทั่วภูมิภาคเอเชีย โดยรวมถึงการได้ร่วมมือด้านบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกับ Alibaba ซึ่งปัจจุบันได้ทำการส่งมอบพัสดุปลอดพลาสติกไปกว่า 40,000,000 กล่อง ให้กับผู้บริโภคทั่วประเทศจีนอีกด้วย

The post L’Oreal จับมือ Shopee และ Lazada บุกเบิกโครงการพัสดุอีคอมเมิร์ซที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม appeared first on THE STANDARD.

บริษัทเครื่องสำอางอันดับหนึ่งของโลกอย่าง L’Oréal โดยการนำของ ฌอง-พอล แอกง ประธานและซีอีโอบริษัท L’Oréal สั่งโรงงาน Garnier และ La Roche-Posay ผนึกกำลังกันเร่งผลิตเจลล้างมือช่วยภาครัฐในฝรั่งเศสและยุโรป พร้อมกับประกาศบริจาคเงิน 1 ล้านยูโร หรือประมาณ 35.1 ล้านบาทให้กับองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร เพื่อร่วมต่อสู้กับโรคระบาดโควิด-19 ที่กำลังแพร่กระจายไปทั่วยุโรปรวมถึงทั่วโลก 

ฌอง-พอล แอกง กล่าวว่า “เรากำลังเผชิญกับภาวะวิกฤตที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในฐานะที่ L’Oréal เป็นบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม เราจึงพยายามให้ความร่วมมือในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ เพื่อให้การสนับสนุน และแสดงถึงพลังความกล้าหาญที่ไม่เห็นแก่ตัว ในการร่วมกันต่อสู้กับโรคระบาดในครั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โรงงานของเราได้เพิ่มการผลิตเจลล้างมือจำนวนมาก เพื่อรองรับกับความต้องการของบุคลากร และหน่วยงานด้านสาธารณสุขของฝรั่งเศสและยุโรป”    

ทางด้าน La Roche-Posay จัดอุปกรณ์เข้าช่วยเหลือโรงพยาบาล และร้านขายยาที่เป็นพันธมิตรหลักในยุโรป อาทิ เจลล้างมือ และมอบขวดบรรจุภัณฑ์ให้กับร้านขายยาในฝรั่งเศสที่สามารถผลิตเจลล้างมือฆ่าเชื้อโรคได้ด้วยตัวเอง ส่วน Garnier ช่วยเหลือทั้งด้านการจัดหา และจัดจำหน่ายเจลล้างมือฆ่าเชื้อโรคจำนวนหลายล้านชิ้นให้แก่ลูกค้าที่จำหน่ายอาหารในยุโรปทั้งหมด เพื่อให้พนักงานของพวกเขาที่ยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง สามารถมีอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์สำหรับป้องกันตนเองต่อไป 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

อ้างอิง: 

• www.beautypackaging.com/contents/view_breaking-news/2020-03-19/loreal-ramps-up-hand-sanitizer-production/

The post L’Oréal สั่งโรงงาน Garnier และ La Roche-Posay เร่งผลิตเจลล้างมือช่วยภาครัฐในฝรั่งเศสและยุโรป และบริจาค 1 ล้านยูโรสู้โควิด-19 appeared first on THE STANDARD.