Gareth Edwards – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 04 Jul 2025 14:24:56 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 Jurassic World: Rebirth หวนคืนสู่สวนสนุกที่คิดถึง ครบถ้วนทั้งความตื่นเต้น ลุ้นระทึก และรอยยิ้ม https://thestandard.co/jurassic-rebirth-movie/ Sat, 05 Jul 2025 04:00:21 +0000 https://thestandard.co/?p=1093051 jurassic-rebirth-movie

Jurassic World: Rebirth ผลงานลำดับที่ 7 จากแฟรนไชส์ภาพย […]

The post Jurassic World: Rebirth หวนคืนสู่สวนสนุกที่คิดถึง ครบถ้วนทั้งความตื่นเต้น ลุ้นระทึก และรอยยิ้ม appeared first on THE STANDARD.

]]>
jurassic-rebirth-movie

Jurassic World: Rebirth ผลงานลำดับที่ 7 จากแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่ผู้ชมทั่วโลกหลงรัก โดยคราวนี้ผู้กำกับ Gareth Edwards จาก Godzilla (2014) และ Rogue One: A Star Wars Story (2016) ได้จับมือร่วมกับ David Koepp มือเขียนบทจาก Jurassic Park (1993) และ The Lost World: Jurassic Park (1997) เพื่อพาผู้ชมหวนคืนสู่ความคลาสสิกที่แฟนๆ คิดถึงกันอีกครั้ง พร้อมได้ทัพนักแสดงมากฝีมือมาร่วมออกผจญภัยครั้งใหม่ นำโดย Scarlett Johansson, Mahershala Ali, Jonathan Bailey, Rupert Friend และ Luna Blaise

 

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ Zora Bennett (Scarlett Johansson) ทหารรับจ้างสาวมากฝีมือได้รับการทาบทามจาก Martin Krebs (Rupert Friend) เจ้าของบริษัทผลิตยาให้มาร่วมทำภารกิจรวบรวมดีเอ็นเอของไดโนเสาร์ยักษ์สามสายพันธุ์เพื่อนำมาทดลองและผลิตเป็นยารักษาโรคหัวใจ โดยมีเงินก้อนโตเป็นรางวัลตอบแทน เธอจึงต้องร่วมมือกับด็อกเตอร์ Henry Loomis (Jonathan Bailey) นักบรรพชีวินวิทยา และ Duncan Kincaid (Mahershala Ali) อดีตสหายร่วมรบ ออกเดินทางสู่เกาะร้างที่เคยเป็นที่ตั้งของห้องทดลองผสมสายพันธุ์ไดโนเสาร์

 

แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะยุ่งยากกว่าเดิม เมื่อจู่ๆ ครอบครัวสามพ่อลูกและแฟนหนุ่มที่กำลังล่องเรือพักผ่อนหย่อนใจกลางทะเล กลับถูกไดโนเสาร์โจมตีและเข้ามาพัวพันกับภารกิจของ Zora ทั้งหมดจึงต้องพยายามหาทางเอาชีวิตรอดจากเหล่าไดโนเสาร์สุดโหดให้สำเร็จ

 

Jurassic World Rebirth ภาพยนตร์ไดโนเสาร์ภาคใหม่

 

หลังจากกลับมาเปิดพาร์กอีกครั้งของ Jurassic World (2015) โดยผู้กำกับ Colin Trevorrow แฟรนไชส์ชุดนี้ก็ถูกขยับขยายเรื่องราวให้กว้างใหญ่ขึ้นจากเดิมไม่น้อย ทั้ง Jurassic World: Fallen Kingdom (2018) ที่เล่าถึงการล่มสลายของพาร์กใหม่และการออกล่าไดโนเสาร์เพื่อนำมาขายในตลาดมืด และภาค Jurassic World: Dominion (2022) ซึ่งเล่าเรื่องราวของโลกที่เหล่าไดโนเสาร์อาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์จนชินตา

 

ในแง่หนึ่งการขยับขยายโลกของไดโนเสาร์ให้กว้างใหญ่ขึ้นก็เป็นการเปิดพื้นที่ให้ทีมสร้างสามารถหยิบเรื่องราวของแฟรนไชส์ชุดนี้ไปต่อยอดได้ในหลายแง่มุม แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นหนึ่งในข้อสังเกตของไตรภาคชุด World ที่ส่งผลให้มนต์เสน่ห์ดั้งเดิมของ Jurassic Park ที่เป็นภาพยนตร์เอาชีวิตรอดระทึกขวัญในสถานที่ปิด หรือความตื่นตาที่ได้เห็นเหล่าไดโนเสาร์บนจอยักษ์ที่ผู้กำกับ Steven Spielberg รังสรรค์ขึ้นค่อยๆ เลือนหายไป และแม้ว่าในภาค Jurassic World Dominion (2022) จะมีการพานักแสดงจากภาคเก่ากลับมาให้ทุกคนหายคิดถึง แต่ด้วยความที่ตัวภาพยนตร์มีหลายสิ่งที่ผู้กำกับและทีมสร้างต้องการนำเสนอมากมาย จึงทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการปิดไตรภาคชุด World ที่ยังมีบาดแผลให้เราพูดถึงอยู่ไม่น้อย

 

Jurassic World Rebirth ภาพยนตร์ไดโนเสาร์ภาคใหม่

 

สลับมาที่ภาพยนตร์ Jurassic World: Rebirth ที่ผู้กำกับและทีมสร้างต้องการพาผู้ชมกลับไปสัมผัสกับบรรยากาศความสนุกและลุ้นระทึกในแบบที่ Jurassic Park เคยเป็น และสิ่งแรกที่เราสังเกตเห็นว่าทีมสร้างพยายามทำคือการจัดแจงโลกของ Jurassic World อันกว้างใหญ่ในภาคก่อนให้เป็นระบบระเบียบมากขึ้น ผ่านฉากเปิดเรื่องที่อธิบายให้เราฟังว่าเหล่าไดโนเสาร์ที่ใช้ชีวิตอยู่ทั่วโลกไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของโลกในปัจจุบันได้ จึงส่งผลให้ไดโนเสาร์หลายสายพันธุ์ต้องล้มตายเป็นจำนวนมาก เหล่าไดโนเสาร์ที่เหลือรอดจึงต้องอพยพไปอยู่ในบริเวณแนวเส้นศูนย์สูตร หรือมุมมองของตัวละคร Henry ที่พูดถึงผู้คนในยุคปัจจุบันเริ่มเบื่อหน่ายกับไดโนเสาร์กันแล้วเพราะพวกเขาสามารถพบเจอกับพวกมันได้ทั่วไป

 

การพยายามจัดแจงให้ทุกอย่างมีความชัดเจนและเป็นระเบียบเหล่านี้จึงช่วยให้เราเห็นภาพและเข้าใจโลกไดโนเสาร์ในยุคปัจจุบันได้ไม่ยาก รวมถึงยังเป็นสัญญาณที่บอกกับผู้ชมไปในตัวว่า Jurassic World: Rebirth เป็นการเริ่มต้นเรื่องราวบทใหม่ของแฟรนไชส์ชุดนี้อย่างที่ชื่อเรื่องระบุไว้

 

นอกจากนี้ Jurassic World: Rebirth มีเส้นเรื่องที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา แน่นอนว่าในแง่หนึ่งมันก็ทำให้ตัวภาพยนตร์มีความสูตรสำเร็จพอสมควร มีหลายฉากที่ชวนให้เราหวนคิดถึง Jurassic Park และหลายฉากที่เราพอจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่มองอีกด้านสิ่งนี้ก็ทำให้เรื่องราวของภาพยนตร์มีความชัดเจนในเรื่องราวที่อยากเล่า ไม่มีประเด็นอื่นๆ ที่ถูกพยายามใส่เข้ามาจนทำให้ตัวหนังดูล้นเกินไปแบบเดียวกับภาค Dominion

 

ส่วนตัวจึงมองว่าสิ่งเหล่านี้ถือเป็นจุดเด่นสำคัญที่ชักชวนให้ผู้ชมกระโดดเข้าไปอยู่ในเรื่องราวที่ผู้กำกับและทีมสร้างต้องการนำเสนอได้ในทันทีโดยไม่ต้องกังวลว่ามันจะต้องเชื่อมโยงกับเรื่องราวในภาคก่อนๆ หรือไม่ และยังเป็นการปรับแก้ข้อสังเกตในภาคก่อนไปในตัวด้วย

 

Jurassic World Rebirth ภาพยนตร์ไดโนเสาร์ภาคใหม่

Jurassic World Rebirth ภาพยนตร์ไดโนเสาร์ภาคใหม่

 

เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็ส่งผลต่อเนื่องให้ผู้กำกับและทีมสร้างสามารถสร้างสรรค์ฉากแอ็กชันเอาชีวิตรอดสุดระทึกได้อย่างเต็มที่ ผ่านการผจญภัยของทีม Zora และ Teresa (Luna Blaise) และครอบครัวที่ชวนให้เราติดตามไปตลอดทาง

 

ซึ่งหากใครที่เคยชมผลงานก่อนหน้าของผู้กำกับ Gareth Edwards อย่าง Godzilla มาบ้าง สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นมากๆ คือการสร้างฉากปรากฏตัวของ Godzilla ที่สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามจนกลายเป็นภาพจำของผู้ชม ในผลงานครั้งนี้เขาก็ยังคงออกแบบฉากปรากฏตัวของเหล่าไดโนเสาร์ได้น่าสะพรึงกลัวไม่แพ้กัน

 

ไล่เรียงตั้งแต่ฉากที่ Teresa และครอบครัวถูกนักล่าแห่งท้องทะเลอย่าง Mosasaurus เข้าจู่โจมกลางทะเลที่แอบให้ความรู้สึกว่าทีมสร้างอาจทำฉากนี้ขึ้นมาเพื่อยกย่องให้กับผลงานสุดคลาสสิกของ Steven Spielberg อย่าง Jaws (1975) ก็เป็นได้ หรือจะเป็นฉากไดโนเสาร์ทดลองอย่าง Distortus Rex ที่ปรากฏตัวในช่วงท้ายเรื่องพร้อมกับพลุไฟสีแดงฉาน ก็ชวนให้นึกถึงฉากปรากฏตัวของ Godzilla เช่นกัน

 

ส่วนฉากที่เราประทับใจมากที่สุดเห็นจะเป็นการปรากฏตัวของ Titanosaurus ที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมในทุกองค์ประกอบ ทั้งงานภาพที่นำเสนอความยิ่งใหญ่และงดงามของไดโนเสาร์ ดนตรีประกอบคุ้นหูจากฝีมือของ Alexandre Desplat ที่นำผลงานสุดไอคอนิกของ John Williams มาต่อยอด การแสดงของ Jonathan Bailey ที่ถ่ายทอดความตื่นเต้นของดร. Henry เนิร์ดไดโนเสาร์ที่ได้สัมผัสกับไดโนเสาร์ท่ามกลางธรรมชาติของมันจริงๆ เป็นครั้งแรก จนทำให้ฉาก Titanosaurus ฉากนี้เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์จนทำให้เราน้ำตาซึม และชวนให้นึกถึงฉากเปิดตัวของ Brachiosaurus ใน Jurassic Park ไปพร้อมกัน

 

Jurassic World Rebirth ภาพยนตร์ไดโนเสาร์ภาคใหม่

Jurassic World Rebirth ภาพยนตร์ไดโนเสาร์ภาคใหม่

 

ขณะที่ฉากแอ็กชันเอาชีวิตรอด แม้ในภาคนี้อาจไม่ได้มีฉากที่ดูยิ่งใหญ่อลังการเท่าภาคก่อนๆ แต่การไม่ทำให้ฉากเหล่านั้นดูอลังการกลับยิ่งเสริมให้ความลุ้นระทึกของเรื่องโดดเด่นขึ้นไม่น้อย อีกทั้งแม้ว่าในเรื่องจะมีตัวละครอย่าง Zora และ Duncan ที่ถูกวางให้เป็นทหารรับจ้างมากฝีมือ แต่ผู้กำกับและทีมสร้างก็บาลานซ์ให้ตัวละครเหล่านี้ดูไม่เก่งเกินมนุษย์ เพื่อรักษาความอันตรายของเหล่าไดโนเสาร์ที่ยากจะต่อกรไว้ ซึ่งช่วยเสริมให้ทั้งตัวละครและผู้ชมรู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา

 

และหนึ่งในฉากไฮไลต์ของเรื่องที่เราอยากกล่าวถึงไม่แพ้กันคือฉากที่ Teresa และครอบครัวต้องพยายามพายเรือล่องแม่น้ำเพื่อหนีเจ้า T-Rex ซึ่งเป็นหนึ่งในฉากจากนิยายต้นฉบับของ Michael Crichton ที่ไม่ได้ถูกหยิบมาใช้ในฉบับภาพยนตร์มาก่อน ซึ่งผู้กำกับและทีมสร้างก็สร้างสรรค์ฉากดังกล่าวออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งการลำดับเหตุการณ์ การออกแบบมุมกล้อง ดนตรีประกอบ และการนำเสนอเปี่ยมชั้นเชิงที่ค่อยๆ บิลด์อารมณ์ให้ผู้ชมร่วมลุ้นไปกับตัวละครตั้งแต่ต้นจนจบ

 

Jurassic World Rebirth ภาพยนตร์ไดโนเสาร์ภาคใหม่

Jurassic World Rebirth ภาพยนตร์ไดโนเสาร์ภาคใหม่

 

อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์อาจจะยังมีข้อสังเกตอยู่บ้างในแง่เรื่องราวของตัวละครที่ยังดูจะเรียบแบนไปสักหน่อย ทั้งทางฝั่งของดร. Henry และ Zora กับเหตุผลที่ผลักดันให้พวกเขาตัดสินใจรับภารกิจเสี่ยงตายที่ดูยังไม่หนักแน่น หรือทางฝั่งครอบครัวของ Teresa ที่ดูเหมือนภาพยนตร์จะพยายามปูความสัมพันธ์ของพวกเขาให้เรารู้จัก แต่มันก็ไม่ได้เยอะเพียงพอที่จะทำให้เรารู้สึกผูกพันกับเรื่องราวที่ทีมสร้างต้องการนำเสนอ

 

แต่หากมองในภาพรวมแล้ว สำหรับผู้เขียน Jurassic World: Rebirth ถือเป็นภาคที่พาผู้ชมหวนคืนสู่ความสนุกตื่นเต้นสุดคลาสสิกของ Jurassic Park ที่ให้ความรู้สึกเหมือนเราได้กลับไปสวนสนุกที่คิดถึงในวัยเด็กอีกครั้งได้อย่างที่ผู้สร้างตั้งใจ

 

Jurassic World: Rebirth เข้าฉายแล้ววันนี้ ในโรงภาพยนตร์

 

 

 

ภาพ: Universal Pictures 

The post Jurassic World: Rebirth หวนคืนสู่สวนสนุกที่คิดถึง ครบถ้วนทั้งความตื่นเต้น ลุ้นระทึก และรอยยิ้ม appeared first on THE STANDARD.

]]>
The Creator ทิวทัศน์เมืองไทยในบรรยากาศไซไฟโลกอนาคต และฉากสงครามอันตึงเครียดชวนหมองหม่น https://thestandard.co/the-creator-movie/ Sat, 30 Sep 2023 02:36:00 +0000 https://thestandard.co/?p=848331 The Creator

ในที่สุดก็เข้าฉายอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ The Creator […]

The post The Creator ทิวทัศน์เมืองไทยในบรรยากาศไซไฟโลกอนาคต และฉากสงครามอันตึงเครียดชวนหมองหม่น appeared first on THE STANDARD.

]]>
The Creator

ในที่สุดก็เข้าฉายอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ The Creator ภาพยนตร์ไซไฟ-ดราม่าสุดเข้มข้น ผลงานล่าสุดจากผู้กำกับ Gareth Edwards ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Godzilla (2014) และ Rogue One: A Star Wars Story (2016) ที่จะพาผู้ชมก้าวเท้าเข้าสู่สงครามระหว่างหุ่นยนต์ AI และมนุษย์ พร้อมได้ทัพนักแสดงมากฝีมือมาร่วมรับบทนำ ทั้ง John David Washington, Gemma Chan, Ken Watanabe, Sturgill Simpson, Allison Janney และ Madeleine Yuna Voyles

  

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในปี 2060 เมื่อหุ่นยนต์ AI ที่ถูกสร้างมาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกและปกป้องมนุษย์ ตัดสินใจจุดระเบิดหัวรบนิวเคลียร์ลงใจกลางเมืองลอสแอนเจลิส จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ทางรัฐบาลสหรัฐฯ จึงตัดสินใจเปิดฉากสงครามกับหุ่นยนต์ AI อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการสร้าง NOMAD ยานรบทรงประสิทธิภาพเพื่อโจมตีฐานที่มั่นของหุ่นยนต์ AI ที่ตั้งอยู่ ณ นิวเอเชีย พื้นที่ที่มนุษย์ใช้ชีวิตร่วมกับหุ่นยนต์ AI อย่างเท่าเทียม  

 

สงครามดำเนินมายาวนานกว่า 10 ปี วันหนึ่ง Joshua (John David Washington) เจ้าหน้าที่พิเศษมากฝีมือ และทีมของเขาได้รับภารกิจสำคัญให้ออกตามหาและสังหาร The Creator ผู้ออกแบบ AI ระดับสูงที่กำลังอยู่ระหว่างการผลิตอาวุธสังหารลับ เพื่อยุติสงครามในครั้งนี้ และอาจนำมาสู่การสูญสิ้นของมนุษยชาติ แต่เมื่อ Joshua เดินทางไปถึง อาวุธสังหารที่พวกเขาค้นพบกลับกลายเป็นเด็กหญิงคนหนึ่ง   

 

 

เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนตั้งตารอชม The Creator นั่นคือชื่อของผู้กำกับ Gareth Edwards เพราะส่วนตัวเราค่อนข้างชื่นชอบสองผลงานก่อนหน้าของเขาอย่าง Godzilla และ Rogue One: A Star Wars Story มากพอสมควร โดยเฉพาะ Rogue One ที่ผู้กำกับและทีมสร้างพาผู้ชมไปสัมผัสกับบรรยากาศอันตึงเครียด และกลุ่มตัวละครสีเทาๆ ในจักรวาล Star Wars ได้อย่างน่าสนใจ 

 

อีกทั้งเมื่อทราบข่าวว่า The Creator เดินทางมาถ่ายทำในสถานที่สำคัญต่างๆ ของประเทศไทยใน 16 จังหวัด ก็ยิ่งชวนให้เราอยากติดตามมากขึ้นไปอีกขั้นว่า ผู้กำกับและทีมสร้าง ซึ่งมีทีมงานเบื้องหลังชาวไทยอยู่นับร้อยชีวิต จะรังสรรค์ทิวทัศน์ที่เราคุ้นตาออกมาในบรรยากาศของภาพยนตร์ไซไฟโลกอนาคตในรูปแบบไหน 

 

 

และดูเหมือนว่า The Creator จะเป็นภาพยนตร์ไซไฟฟอร์มยักษ์ที่พิสูจน์ให้ผู้คนทั่วโลกได้เห็นว่า ทีมงานโปรดักชันชาวไทยเปี่ยมล้นไปด้วยฝีมืออันยอดเยี่ยม ทั้งการสร้างสรรค์อาวุธประกอบฉากรูปแบบต่างๆ หรือการออกแบบเครื่องแต่งกายของชาวบ้านและหุ่นยนต์ AI ในนิวเอเชีย การเนรมิตสถานที่สำคัญๆ เช่น ปราสาทสัจธรรม ในจังหวัดชลบุรี, สะพานมอญ ในจังหวัดกาญจนบุรี หรือสถานีรถไฟแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ มักกะสัน ฯลฯ ที่ผสมผสานโลกไซไฟไว้ได้อย่างลงตัว รวมถึงทีมนักแสดงสมทบชาวไทยที่ต่างก็เข้ามาช่วยเติมเต็มให้เรื่องราวและบรรยากาศของภาพยนตร์เรื่องนี้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น 

 

ซึ่งหากใครที่มีแผนจะเดินทางไปรับชม The Creator ผู้เขียนก็ขอชวนให้คุณอย่าเพิ่งรีบลุกออกจากที่นั่ง และรอชมเครดิตในช่วงท้ายเรื่องกันสักหน่อย เพราะเราจะได้เห็นรายชื่อของทีมงานชาวไทยมากฝีมือที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์เรื่องนี้มากมายจริงๆ 

 

 

ตัดสลับมาที่องค์ประกอบอื่นๆ ของเรื่อง ส่วนตัวผู้เขียนแอบรู้สึกว่า The Creator อาจไม่ได้มีฉากแอ็กชันที่ใหญ่โตมากนักเมื่อเทียบกับ Rogue One ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะด้วยทุนสร้างที่แตกต่างกัน (The Creator ใช้ทุนสร้างประมาณ 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ Rogue One ใช้ทุนสร้างสูงถึง 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) 

 

แต่นั่นก็ไม่ได้ลดทอนความเข้มข้นของฉากแอ็กชันลงแม้แต่น้อย เพราะจุดเด่นสำคัญของ The Creator คือผู้กำกับและทีมสร้างสามารถถ่ายทอดบรรยากาศอันตึงเครียดท่ามกลางสงครามระหว่างมนุษย์และหุ่นยนต์ AI ให้เราได้สัมผัสอย่างเด่นชัด ผ่านงานภาพสุดประณีตจาก Greig Fraser และ Oren Soffer ดนตรีประกอบจากปลายปากกาของ Hans Zimmer รวมถึงการแสดงของทีมนักแสดงนำ ทั้งผู้รับบทมนุษย์จริงๆ หรือผู้ที่แสดงเป็นหุ่นยนต์ AI ที่ต่างฝ่ายต่างก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อ ‘ปกป้อง’ พวกพ้องและ ‘เอาชีวิตรอด’ จากสนามรบครั้งนี้ไปให้ได้ จนส่งให้ฉากแอ็กชันต่างๆ ภายในเรื่องนั้นอันแน่นไปด้วยความกดดัน มืดหม่น ในแบบฉบับของภาพยนตร์สงครามที่สมจริงสมจัง แม้ว่าฉากหลังของเรื่องจะเป็นไซไฟโลกอนาคตก็ตาม 

 

 

ขณะเดียวกัน เรื่องราวของตัวละครหลักอย่าง Joshua ก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ส่งให้ The Creator เป็นภาพยนตร์ไซไฟที่เปี่ยมไปด้วยมวลอารมณ์ของตัวละคร กับการวิ่งฝ่าดงกระสุน หลบหนีจากการตามล่าของทั้งฝ่ายหุ่นยนต์ AI และฝ่ายมนุษย์ และพร้อมทำทุกอย่างเพื่อขอให้ได้พบหน้ากับ Maya (Gemma Chan) ภรรยาที่หายตัวไปนานหลายปีอีกครั้ง 

   

หรือจะเป็นเรื่องราวจากฝั่งหุ่นยนต์ AI ที่นำโดย Harun (Ken Watanabe) ที่ภาพยนตร์พาเราเข้าไปสำรวจแง่มุมของพวกเขาที่ต่างก็มีสายสัมพันธ์ ความรัก ความห่วงใยให้แก่กัน ทั้งหุ่นยนต์ต่อหุ่นยนต์ หรือหุ่นยนต์ต่อมนุษย์ จนทำให้เรามีความรู้สึกร่วมทุกครั้งเมื่อเห็นหุ่นยนต์ต่างๆ ถูกทำลายท่ามกลางสนามรบ 

 

อย่างไรก็ตาม The Creator ก็มีจุดที่เราแอบเสียดายอยู่เช่นเดียวกัน นั้นคือพาร์ตของตัวละคร Joshua และ Alphie (Madeleine Yuna Voyles) ที่ผู้กำกับและทีมสร้างนำเสนอการพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งคู่ออกมาไม่ลึกซึ้งกินใจเท่าไรนัก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะภาพยนตร์นำเสนอพาร์ตความสัมพันธ์รวดเร็วไปสักหน่อย ไม่ได้มีฉากที่ปล่อยให้เราซึมซับไปกับเรื่องราวและมวลความรู้สึกที่ทั้งคู่มีต่อกัน จึงส่งผลให้เราไม่รู้สึกผูกพันกับเรื่องราวของทั้งคู่อย่างที่ควรจะเป็น  

 

 

ในภาพรวมแล้ว The Creator คือภาพยนตร์ไซไฟฟอร์มยักษ์จากผู้กำกับ Gareth Edwards ที่สมการรอคอยจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นงานโปรดักชันสุดตื่นตา การถ่ายทอดบรรยากาศของสงครามระหว่างมนุษย์และหุ่นยนต์ AI ที่ตึงเครียดชวนหมองหม่น ไปจนถึงเรื่องราวของตัวละครทั้งฝั่งของมนุษย์และฝั่งหุ่นยนต์ AI ที่เปี่ยมไปด้วยหัวใจ 

 

อีกทั้งภาพยนตร์ก็มีประเด็นสำคัญอีกหลายเรื่องที่ถูกสอดแทรกไว้ผ่านบทสนทนาของตัวละครและเหตุการณ์น้อยใหญ่ เพื่อเปิดพื้นที่ให้เราได้ลองตีความอย่างอิสระอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่มุมของการตั้งคำถามต่อรัฐหรือผู้มีอำนาจ ที่หลายครั้งพวกเขาก็เสริมแต่งเรื่องราวบนหน้าประวัติศาสตร์ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการตัดสินใจของตัวเอง พร้อมหลอกลวงผู้คนให้ ‘เชื่อ’ ในสิ่งที่พวกเขาอยากให้เชื่อ และ ‘เกลียดชัง’ ผู้คนที่พวกเขาอยากให้เกลียด จนนำมาสู่ความสูญเสียที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่บางทีฝ่ายตรงข้ามอาจไม่ได้มีพิษภัยอย่างที่รัฐหรือผู้มีอำนาจกล่าวอ้างเสียด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็คือมนุษย์ที่มีจิตใจ มีคนที่รักและห่วงใยเช่นเดียวกับเรา 

 

รับชมตัวอย่างได้ที่:

 

 

ภาพ: 20th Century Studios

The post The Creator ทิวทัศน์เมืองไทยในบรรยากาศไซไฟโลกอนาคต และฉากสงครามอันตึงเครียดชวนหมองหม่น appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดเกร็ดน่าสนใจ The Creator หนังไซไฟฟอร์มยักษ์จากผู้กำกับ Rogue One ที่เดินทางมาถ่ายทำในไทยถึง 17 จังหวัด https://thestandard.co/the-creator-highlights-with-rogue-one-director/ Sun, 24 Sep 2023 08:02:44 +0000 https://thestandard.co/?p=845479 The Creator

อีกหนึ่งภาพยนตร์ไซไฟฟอร์มยักษ์ที่น่าจับตามองของปีนี้ สำ […]

The post เปิดเกร็ดน่าสนใจ The Creator หนังไซไฟฟอร์มยักษ์จากผู้กำกับ Rogue One ที่เดินทางมาถ่ายทำในไทยถึง 17 จังหวัด appeared first on THE STANDARD.

]]>
The Creator

อีกหนึ่งภาพยนตร์ไซไฟฟอร์มยักษ์ที่น่าจับตามองของปีนี้ สำหรับ The Creator ผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดจาก Gareth Edwards เจ้าของผลงาน Monsters (2010), Godzilla (2014) และ Rogue One: A Star Wars Story (2016) โดยครั้งนี้ Gareth Edwards จะพาผู้ชมก้าวเข้าสู่โลกอนาคตที่เกิดสงครามระหว่างมนุษย์และหุ่นยนต์ AI อัจฉริยะ พร้อมได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง John David Washington จาก BlacKkKlansman (2018) และ Tenet (2020) มาร่วมทำภารกิจที่มีชะตากรรมของมนุษยชาติเป็นเดิมพัน  

 

วันนี้ THE STANDARD POP ถือโอกาสรวบรวมเกร็ดน่าสนใจจาก The Creator มาให้ทุกคนได้อุ่นเครื่อง ก่อนไปร่วมสงครามสุดยิ่งใหญ่พร้อมกัน 28 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์ 

 

The Creator

 

เมื่อเขาต้องเลือกข้างระหว่าง ‘มนุษยชาติ’ หรือ ‘หุ่นยนต์’

The Creator จะพาผู้ชมออกเดินทางสู่โลกอนาคต เมื่อหุ่นยนต์ AI สุดอัจฉริยะที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องมนุษย์กลับมีความคิดเป็นของตัวเองและตัดสินใจก่อสงครามกับมนุษย์เสียเอง 

 

วันหนึ่ง Joshua (John David Washington) เจ้าหน้าที่พิเศษมากฝีมือ และทีมของเขาได้รับภารกิจสำคัญให้ออกตามหาและสังหาร The Creator ผู้ออกแบบ AI ระดับสูงที่กำลังอยู่ระหว่างการผลิตอาวุธสังหารลับ เพื่อยุติสงครามในครั้งนี้และอาจนำมาสู่การสูญสิ้นของมนุษยชาติ แต่เมื่อเดินทางไปถึง อาวุธสังหารที่พวกเขาค้นพบกลับกลายเป็นเด็กหญิงคนหนึ่ง  

 

The Creator

 

Gareth Edwards จากแฟน Star Wars ที่ได้กำกับ Rogue One สู่ The Creator หนังไซไฟในฉบับของตัวเอง

Gareth Edwards นับว่าเป็นอีกหนึ่งผู้กำกับมากฝีมือที่เติบโตมากับภาพยนตร์ตั้งแต่วัยเด็ก โดยเฉพาะประสบการณ์ชมภาพยนตร์ Star Wars ของผู้กำกับ George Lucas ที่จุดประกายให้เขาอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างภาพยนตร์สุดยิ่งใหญ่ 

 

โดยภายหลังจากที่ Gareth Edwards ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการกำกับหนังสั้นของตัวเองและทำงานในตำแหน่งวิชวลเอฟเฟกต์มานานหลายปี เขาก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ขนาดยาวครั้งแรกใน Monsters (2010) ภาพยนตร์ไซไฟ-สยองขวัญทุนต่ำ ที่ว่าด้วยเรื่องราวของโลกที่ถูกเอเลี่ยนบุกโจมตี แต่ด้วยงบประมาณที่ค่อนข้างจำกัด Gareth Edwards จึงต้องรับหน้าที่เป็นทั้งผู้กำกับ เขียนบท ผู้กำกับภาพ ไปจนถึงทำวิชวลเอฟเฟกต์ด้วยตัวเอง ซึ่งเมื่อตัวภาพยนตร์ออกฉายก็สามารถทำรายได้รวมทั่วโลกไปกว่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากทุนสร้างประมาณ 5 แสนดอลลาร์สหรัฐ 

 

ไม่นานจากนั้น Gareth Edwards ก็ได้รับการทาบทามให้มาเป็นผู้ปลุกชีพ ‘ราชาแห่งสัตว์ประหลาด’ ให้ออกมาโลดแล่นบนจอเงินอีกครั้งใน Godzilla ฉบับฮอลลีวูดที่ออกฉายในปี 2014 และถือเป็นผลงานเรื่องแรกของจักรวาล MonsterVerse ซึ่งแม้จะได้รับเสียงวิจารณ์จากผู้ชมที่หลากหลาย แต่ภาพยนตร์ก็สามารถกวาดรายได้รวมทั่วโลกไปได้สูงกว่า 524 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

 

ภายหลังจากได้พิสูจน์ฝีมือการกำกับภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ฟอร์มยักษ์ ในที่สุด Gareth Edwards ก็ได้รับโอกาสครั้งสำคัญอีกครั้ง กับการได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลอันไกลโพ้นที่เคยจุดประกายให้เขาอยากเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ นั่นคือภาพยนตร์เรื่อง Rogue One: A Star Wars Story ที่ออกฉายในปี 2016 ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์และผู้ชมอย่างเนืองแน่น พร้อมกวาดรายได้รวมทั่วโลกไปได้สูงถึง 1,056 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

 

ภาพยนตร์แนวสัตว์ประหลาดถล่มเมืองก็ทำมาแล้ว ได้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล Star Wars ที่เขาชื่นชอบก็ทำสำเร็จแล้ว ตอนนี้ก็ถึงคราวที่ Gareth Edwards จะได้ลงมือสร้างสรรค์ภาพยนตร์ไซไฟในฉบับของตัวเองเสียที นั่นคือ The Creator

 

The Creator

    

 

ทิวทัศน์ของเมืองไทยที่เราคุ้นตาในบรรยากาศของหนังไซไฟโลกอนาคต 

ไอเดียในการสร้าง The Creator เริ่มต้นขึ้นในช่วงที่ Gareth Edwards ได้เดินทางไปพักผ่อนกับครอบครัวที่รัฐไอโอวา ซึ่งสองข้างทางมีพื้นที่เพาะปลูกอันกว้างใหญ่ จนกระทั่งเขาได้พบกับโรงงานแห่งหนึ่งที่มีป้ายภาษาญี่ปุ่นติดอยู่ด้านหน้า ภาพดังกล่าวจุดประกายให้เขาจินตนาการไปต่างๆ นานาว่าภายในโรงงานนั้นอาจกำลังแอบสร้างหุ่นยนต์อยู่อย่างลับๆ และมีภาพของหุ่นยนต์ที่ยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าและกำลังแหงนมองท้องฟ้ากว้างใหญ่ เขาจึงนำไอเดียดังกล่าวมาต่อยอดเป็นภาพยนตร์ไซไฟเรื่องใหม่ของตัวเอง

 

ไม่นานจากนั้น Gareth Edwards ก็ได้มีโอกาสเดินทางมาที่ประเทศไทยและเวียดนามร่วมกับเพื่อนผู้กำกับของเขาอย่าง Jordan Vogt-Roberts (ผู้กำกับ Kong: Skull Island) ซึ่งการได้สัมผัสกับทิวทัศน์ของนาข้าวและความเชื่อทางศาสนาพุทธ ก็ทำให้เขาเริ่มจินตนาการถึงสิ่งก่อสร้างในโลกอนาคตสุดล้ำที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทุ่งนา และหุ่นยนต์ AI ที่สวมชุดคล้ายพระ

 

จากจินตนาการที่นำสิ่งก่อสร้างและหุ่นยนต์สุดล้ำจากโลกอนาคตมาผสมผสานเข้ากับทิวทัศน์ของทุ่งหญ้าและชนบท ก็ทำให้ Gareth Edwards มองเห็นโลกที่เขาต้องการนำเสนอชัดเจนมากขึ้น จนนำมาสู่เรื่องราวของโลกอนาคตที่เกิดสงครามระหว่างฝ่ายหุ่นยนต์ AI อัจฉริยะและฝ่ายมนุษย์ พร้อมชวนผู้ชมมาร่วมสำรวจแง่มุมของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในโลกที่ถูกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน ผ่านตัวละครที่ถูกโยนให้เข้าไปอยู่ท่ามกลางสังคมที่มีความคิด วิถีชีวิต และความเชื่อที่แตกต่างจากตัวเอง เขาจะรับมือและตัดสินใจกับสิ่งที่เขาพบเจออย่างไร

 

นอกเหนือจากนี้ Gareth Edwards ยังได้นำองค์ประกอบอันโดดเด่นของภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมหลายเรื่องมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์เรื่องราวของ The Creator อีกด้วย เช่น Apocalypse Now (1979) ของผู้กำกับ Francis Ford Coppola, Blade Runner (1982) ของผู้กำกับ Ridley Scott, Rain Man (1988) ของผู้กำกับ Barry Levinson, E.T. the Extra-Terrestrial (1982) ของผู้กำกับ Steven Spielberg ฯลฯ รวมถึงหนังสือเรื่อง Heart of Darkness ของนักเขียน Joseph Conrad  

 

The Creator

 

และเพื่อให้ The Creator เป็นภาพยนตร์ไซไฟที่มีกลิ่นอายแตกต่างไปจากภาพยนตร์ในแนวเดียวกัน Gareth Edwards จึงมีความตั้งใจที่อยากจะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ในสถานที่จริงและนักแสดงจริงๆ มากกว่าถ่ายทำในสตูดิโอ โดยทีมสร้างได้เดินทางไปถ่ายทำใน 80 สถานที่จาก 8 ประเทศ ทั้งเวียดนาม, กัมพูชา, เนปาล, อินโดนีเซีย, ญี่ปุ่น, อังกฤษ, ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา  

 

รวมถึงประเทศไทย ที่ทีมสร้างได้ออกเดินทางมาถ่ายทำในสถานที่สำคัญๆ ถึง 40 สถานที่ ใน 17 จังหวัดทั่วประเทศไทย เช่น สะพานมอญ จังหวัดกาญจนบุรี, บ้านมุง จังหวัดพิษณุโลก, อ่าวนาง จังหวัดกระบี่, ปราสาทสัจธรรม จังหวัดชลบุรี, สถานีรถไฟแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ มักกะสัน ฯลฯ เรียกได้ว่าผู้ชมชาวไทยจะได้สัมผัสกับสถานที่ที่คุ้นเคยในบรรยากาศของภาพยนตร์ไซไฟโลกอนาคตอย่างแน่นอน 

 

โดยผู้กำกับ Gareth Edwards ได้กล่าวถึงการเดินทางมาถ่ายทำในประเทศไทยว่า “ในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากประเทศไทย และทีมของพวกเราได้เดินทางกว่า 10,000 ไมล์ในประเทศต่างๆ ทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา ภาพยนตร์เรื่องนี้เราถ่ายทำในไทยกว่า 40 สถานที่ ใน 17 จังหวัด เราเลือกประเทศไทยเป็นประเทศหลักในการถ่ายทำ เพราะประเทศไทยมีครบทุกอย่างที่เราต้องการ มีทีมงานโปรดักชันที่ยอดเยี่ยมมากๆ สถานที่ถ่ายทำหลากหลาย ทั้งชายหาดที่กระบี่ ถนนสุดพลุกพล่านในกรุงเทพฯ และป่าในเชียงใหม่ และเราใช้โรงแรมกว่า 150 แห่งตลอดการถ่ายทำ ซึ่งมากกว่าภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ที่เคยมีมา นอกจากนี้ คนไทยมีความจริงใจ ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าประทับใจตลอด 9 เดือนในการถ่ายทำ”

 

The Creator  

 

ทัพนักแสดงและทีมงานเบื้องหลังมากฝีมือที่มาร่วมรังสรรค์โลกอนาคต 

นอกเหนือจากชื่อของ Gareth Edwards ที่มานั่งแท่นผู้กำกับ เขียนบท และโปรดิวเซอร์ ภาพยนตร์ยังเนืองแน่นด้วยทีมงานเบื้องหลังมากฝีมือที่มาร่วมสร้างสรรค์จินตนาการของผู้กำกับให้ปรากฏบนจอภาพยนตร์ นำโดย Chris Weitz ที่เคยร่วมงานกับ Gareth Edwards มาแล้วใน Rogue One: A Star Wars Story มารับหน้าที่เขียนบทร่วม, Greig Fraser เจ้าของรางวัลออสการ์จาก Dune (2021) และ Oren Soffer จาก Action Royale (2021) มาดูแลในตำแหน่งผู้กำกับภาพ

 

James Clyne จาก Star Wars: Episode IX – The Rise of Skywalker (2019) มารับหน้าที่ออกแบบงานสร้าง, Hank Corwin จาก Don’t Look Up (2021), Scott Morris จาก Armageddon Time (2022) และ Joe Walker เจ้าของรางวัลออสการ์จาก Dune มารับหน้าที่ตัดต่อ และคอมโพเซอร์มากฝีมืออย่าง Hans Zimmer จาก Interstellar (2014), Dune ฯลฯ มารับหน้าที่ประพันธ์ดนตรีประกอบ 

 

เสริมทัพด้วยทีมนักแสดงเจ้าบทบาทที่จะมาร่วมสงครามครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็น John David Washington จาก Tenet, Gemma Chan จาก Eternals (2021), Ken Watanabe จาก The Last Samurai (2003), Sturgill Simpson จาก Killers of the Flower Moon (2023), Allison Janney จาก I, Tonya (2017) และ Madeleine Yuna Voyles

 

รับชมตัวอย่างได้ที่: 

 

 

อ้างอิง:

The post เปิดเกร็ดน่าสนใจ The Creator หนังไซไฟฟอร์มยักษ์จากผู้กำกับ Rogue One ที่เดินทางมาถ่ายทำในไทยถึง 17 จังหวัด appeared first on THE STANDARD.

]]>