Financial Times – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sat, 10 Aug 2024 03:53:50 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ‘การกระหน่ำเงินมหาศาลครั้งนี้ยังแค่เริ่มต้น’ บิ๊กเทคเปย์ AI ไม่ยั้ง ท่ามกลางฟองสบู่ในสายตานักลงทุน https://thestandard.co/big-tech-pay-ai/ Sat, 10 Aug 2024 03:53:50 +0000 https://thestandard.co/?p=969706 AI

เหตุการณ์ความปั่นป่วนของตลาดหุ้นทั่วโลกที่ถูกเรียกว่าเป […]

The post ‘การกระหน่ำเงินมหาศาลครั้งนี้ยังแค่เริ่มต้น’ บิ๊กเทคเปย์ AI ไม่ยั้ง ท่ามกลางฟองสบู่ในสายตานักลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>
AI

เหตุการณ์ความปั่นป่วนของตลาดหุ้นทั่วโลกที่ถูกเรียกว่าเป็นวันจันทร์ทมิฬ หรือ ‘Black Monday’ ลากเอาหุ้นหลายตัวร่วงกันไปอย่างรุนแรง รวมถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่นักลงทุนเริ่มมีความกังวลว่าการทุ่มเงินพัฒนา AI ของเหล่าบริษัทบิ๊กเทคอาจจะยังไม่ออกดอกออกผลตามความคาดหวังที่พวกเขาตั้งเอาไว้

 

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่กลับมองว่าการลงทุนใน AI ณ ปัจจุบันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น โดยข้อมูลจาก Financial Times เผยว่า Microsoft, Alphabet, Amazon, และ Meta ใช้จ่ายเงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AIไปแล้วกว่า 1.06 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (3.74 ล้านล้านบาท) ในครึ่งปีแรก ตามข้อมูลรายงานผลประกอบการของ 2 ไตรมาสล่าสุด พร้อมทั้งยืนยันว่าจะเพิ่มเงินลงทุนต่ออีกใน 18 เดือนข้างหน้า แม้จะเริ่มมีคำถามเรื่องความคุ้มค่าของเงินทุนจากฝั่งนักลงทุนก็ตาม

 

“ในตอนนี้ ผมยอมเสี่ยงที่จะสร้างกำลังโครงสร้างพื้นฐานให้สามารถรองรับการประมวลผลได้เกินความต้องการที่มีในตลาด ดีกว่าจะเสี่ยงทำให้ตัวเองต้องเป็นผู้ไล่ตาม” มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta กล่าว พร้อมประเมินว่าเงินทุนที่บริษัทจะใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AIอาจทะลุ 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ทางด้านของนักวิเคราะห์ จิม เทียร์นีย์ กลับให้ความเห็นกับ Financial Times ว่าบริษัทบิ๊กเทคกำลังเดิมพันกับ AIอย่างจริงจัง และบรรยากาศการลงทุนตอนนี้ก็เหมือนตั้งอยู่บนพื้นฐานของคำว่า “เชื่อเราสิ” เนื่องจากแนวโน้มของนักลงทุนในตลาดที่ส่วนใหญ่ยังมีข้อสงสัยในความคุ้มค่าและประสิทธิภาพการสร้างผลตอบแทนจากเงินทุนที่ใช้ไปอย่างมหาศาล

 

ความไม่มั่นใจของนักลงทุนในเรื่องนี้สะท้อนออกมาผ่านราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับฐานค่อนข้างรุนแรง แต่นั่นก็มิได้ทำให้ผู้นำบิ๊กเทคโอนอ่อนแต่อย่างใดกับการใช้จ่ายที่ ‘จำเป็น’ สำหรับการรักษาอำนาจการแข่งขันในตอนนี้

 

ซันดาร์ พิชัย ซีอีโอของ Google แสดงความเห็นว่า “ในช่วงยุคการเปลี่ยนผ่านของวงการเทคโนโลยี การลงทุนที่น้อยเกินไปมีความเสี่ยงมากกว่าการลงทุนเยอะเกินไปมหาศาล”

 

จากรายงานผลประกอบการในครึ่งปีแรกที่ออกมาในสัปดาห์ที่แล้ว Google ใช้เงินทุนเพื่อสนับสนุนการพัฒนา AIถึง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 90% จากครึ่งปี 2023

 

ในขณะเดียวกัน Microsoft ใช้จ่ายเงินส่วนนี้เพิ่มขึ้น 78% โดยประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของบริษัท Amy Hood ออกมาอธิบายเหตุผลการใช้จ่ายกับนักลงทุนว่า เงินที่ทุ่มไปกับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ จะเป็นสินทรัพย์ในระยะยาวที่จะสามารถสร้างรายได้ใน 15 ปี และต่อไปอีกในอนาคตข้างหน้า

 

Amazon ลงทุนเพิ่มเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของเครือข่ายอีคอมเมิร์ซ 27% และมองว่าจะใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีก ด้วยเหตุผลที่ว่าตอนนี้ AIคือ ‘ธุรกิจมูลค่าพันล้าน’ ของบริษัทไปแล้ว

 

การลงทุนส่วนใหญ่จากกลุ่มบริษัทบิ๊กเทคมุ่งไปที่การซื้อที่ดินและสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่สำหรับธุรกิจคลาวด์ และเงินอีกมหาศาลจำนวนหนึ่งก็ถูกใช้ไปกับฮาร์ดแวร์ รวมถึงการกว้านซื้อชิปเฉพาะทางที่ส่วนใหญ่ผลิตโดย NVIDIA ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่หล่อเลี้ยงการทำงานโมเดลAI

 

ความต้องการบริการคลาวด์โดยรวมของธุรกิจต่างๆ พุ่งสูงขึ้น เนื่องจากบริษัทหลายรายเริ่มทดลองใช้บริการ AIเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน แม้ว่าส่วนใหญ่จะยังอยู่ในช่วงทดลองและยังไม่นำไปใช้ในส่วนของการทำงานอย่างเต็มรูปแบบ

 

เมื่อประเมินจากท่าทีของสิ่งที่ผู้นำบริษัทบิ๊กเทคได้กล่าวมานั้น การเดินหน้าอัดเงินลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพของระบบนิเวศ AIให้แข็งแกร่งขึ้นอีกคงจะยังไม่ชะลอตัวลงในเร็ววันนี้ และการดิ่งลงของหุ้นก็เหมือนจะไม่ทำให้ความมั่นใจของพวกเขาลดลงเท่าไรเลย

 

“ภาพการลงทุนในธุรกิจ AIตอนนี้ทำให้หลายคนคิดไปถึงความคล้ายคลึงของมันกับการลงทุนในยุคฟองสบู่ดอทคอม ที่สุดท้ายบริษัทจำนวนมากต้องล้มหายไปจากการขยายกิจการ ซึ่งเป็นเรื่องไม่แปลกที่จะคิดเช่นนั้น แต่สิ่งที่ต่างในเวลานั้นกับตอนนี้คือบริษัทที่กำลังขยายธุรกิจด้วยการใช้จ่ายมหาศาลมีรายได้ส่วนอื่นในธุรกิจที่ทำกำไรได้สูงและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งอย่างมาก” ไมเคิล โฮเดล นักวิเคราะห์จาก Morningstar กล่าว

 

อ้างอิง:

The post ‘การกระหน่ำเงินมหาศาลครั้งนี้ยังแค่เริ่มต้น’ บิ๊กเทคเปย์ AI ไม่ยั้ง ท่ามกลางฟองสบู่ในสายตานักลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>
อัตราเงินเฟ้อจีนร่วงเร็วสุดในรอบ 15 ปี สัญญาณวิกฤตเศรษฐกิจจากภาวะเงินฝืด https://thestandard.co/china-inflation-drop-fastest-in-15-years/ Fri, 09 Feb 2024 03:25:02 +0000 https://thestandard.co/?p=897784 เงินเฟ้อจีน

สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ […]

The post อัตราเงินเฟ้อจีนร่วงเร็วสุดในรอบ 15 ปี สัญญาณวิกฤตเศรษฐกิจจากภาวะเงินฝืด appeared first on THE STANDARD.

]]>
เงินเฟ้อจีน

สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกในปีนี้ยังไม่อาจเบาใจได้ เนื่องจากมีรายงานล่าสุดจากทาง Financial Times ซึ่งเปิดเผยในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยระบุว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของจีนลดลงในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบ 15 ปี มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้ก่อนหน้า ตอกย้ำถึงความท้าทายสำหรับผู้กำหนดนโยบายที่พยายามฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนในจีน 

 

รายงานระบุว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของจีนร่วงลง 0.8% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนมกราคม ตามสถิติอย่างเป็นทางการที่เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (8 กุมภาพันธ์) นับเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันที่ดัชนีดังกล่าวปรับตัวลดลง อีกทั้งยังเป็นการปรับลดครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009

 

นอกจากนี้ ตัวเลขดังกล่าวยังลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์จากการสำรวจของ Reuters คาดการณ์ไว้ที่ 0.5% และยังลดลงจากเดือนธันวาคมก่อนหน้าที่ 0.3%

 

ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเลขของดัชนีราคาผู้บริโภคจีน มาตรวัดเงินเฟ้อสำคัญ ที่ปรับตัวลดลง เกิดขึ้นในขณะที่เศรษฐกิจของจีนต่อสู้กับภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ตกต่ำมากขึ้น การล่มสลายของตลาดหุ้น และรายได้จากการส่งออกที่อ่อนแอลง

 

Eswar Prasad ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยคอร์เนล และอดีตหัวหน้าแผนกประเทศจีนของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า ตัวชี้วัดจำนวนมากในขณะนี้กะพริบเป็นสีแดง ส่งสัญญาณถึงช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยอันตรายสำหรับเศรษฐกิจและตลาดการเงินของจีน

 

ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ CPI ของจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.3% ต่อเดือน ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้น 0.4% จากการสำรวจของ Reuters แต่แข็งแกร่งกว่าเดือนธันวาคมที่เพิ่มขึ้น 0.1%

 

ด้านดัชนีราคาผู้ผลิตปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยในเดือนมกราคม โดยลดลง 2.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี และดีขึ้นเล็กน้อยจากการลดลง 2.7% ในเดือนธันวาคม และดีขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 2.6%

 

รายงานระบุว่า เศรษฐกิจของจีนเข้าสู่ภาวะเงินฝืดในเดือนกรกฎาคม และราคาก็ทรงตัวหรือลดลงในทุกเดือนนับตั้งแต่เดือนดังกล่าว ยกเว้นเดือนสิงหาคม ท่ามกลางคำเตือนจากนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำที่ระบุว่าภาวะเงินฝืดที่ยืดเยื้อเป็นเวลานานอาจส่งผลเสียต่อธุรกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

 

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์กล่าวว่าแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดกำลังส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัท รวมถึงฉุดให้ตลาดหุ้นตกต่ำ อีกทั้งเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (7 กุมภาพันธ์) จีนได้ไล่ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์อย่าง Yi Huiman ออกจากตำแหน่ง ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่นักวิเคราะห์กล่าวว่ามีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรเทาความไม่พอใจของนักลงทุนต่อภาวะขาดทุนจากตลาดหุ้นจำนวนมาก

 

ด้าน Prasad ชี้ว่า ภาวะเงินฝืดอย่างต่อเนื่องของจีนและการดิ้นรนของตลาดหุ้นบ่งชี้ว่าอุปสงค์ของครัวเรือนและความเชื่อมั่นของภาคเอกชนยังคงอ่อนแอ ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่สำคัญต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งเมื่อภาวะเงินฝืดเริ่มฝังรากลึกในจีน จำเป็นต้องมีการยกนโยบายชุดใหญ่ขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนอีกครั้ง รวมถึงช่วยดึงเศรษฐกิจออกจากหุบเหว

 

สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนระบุว่า ตัวเลขเงินเฟ้อผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากช่วงวันหยุดตรุษจีน ซึ่งมักเป็นช่วงที่มีผลต่อการกระตุ้นการใช้จ่ายในเดือนมกราคมปีที่แล้ว โดย Lynn Song หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ ING ประจำประเทศจีน กล่าวว่า สิ่งนี้ทำให้ตัวเลข CPI ของเดือนที่แล้วลดลงเกินจริง โดยเสริมว่าผลกระทบของราคาเนื้อหมูซึ่งกระตุ้นให้เกิดภาวะเงินฝืด น่าจะลดลงในเดือนกุมภาพันธ์ การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลปีนี้น่าจะช่วยผลักดันการเติบโตของราคาให้อยู่ในแดนบวกในเดือนนี้ 

 

ด้าน Lynn Song หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ ING ประจำประเทศจีนกล่าวว่า การใช้จ่ายที่กลับมาคึกคักเฉพาะช่วงเทศกาล ทำให้ตัวเลข CPI ของเดือนมกราคมลดลงเกินจริง และคาดว่าผลกระทบของราคาเนื้อหมูซึ่งกระตุ้นให้เกิดภาวะเงินฝืด น่าจะลดลงในเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้น่าจะช่วยผลักดันการเติบโตของราคาผู้บริโภคให้อยู่ในแดนบวกในเดือนกุมภาพันธ์ 

 

ขณะที่สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนระบุว่า แม้ราคาอาหารลดลง 5.9% เมื่อเดือนที่แล้ว แต่ราคาสินค้าที่ไม่ใช่อาหารก็เพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบเป็นรายปี ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในเดือนมกราคมลดลง เพราะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ระหว่างประเทศ โดยดัชนี PPI ปรับตัวลดลงเป็นเวลา 16 เดือนติดต่อกัน

 

ขณะนี้บรรดานักเศรษฐศาสตร์ต่างเริ่มจับตาดูการประชุมประจำปีอย่าง ‘Two Sessions’ ระหว่างสภาตรายางจีนกับคณะกรรมการที่ปรึกษาในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นที่รัฐบาลของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ สำหรับปีนี้

 

ทั้งนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจจีนในปีที่แล้วเกินเป้าหมายของรัฐบาลเล็กน้อยที่ 5.2% โดยส่วนหนึ่งของการขยายตัวยังเป็นผลจากการที่ผู้กำหนดนโยบายถูกบังคับออกมาตรการหลายอย่างเพื่อจัดการกับทรัพย์สิน ภาวะการชะลอตัวและการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งที่น้อยกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ โดยทางการจีนตั้งเป้าตัวเลขการเติบโตของ GDP ปี 2024 ไว้ที่ 5% ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าปี 2023 ซึ่งเป็นตัวเลขต่ำสุดในรอบทศวรรษ

 

ภาพ: Martin Puddy / Getty Images 

อ้างอิง: 

The post อัตราเงินเฟ้อจีนร่วงเร็วสุดในรอบ 15 ปี สัญญาณวิกฤตเศรษฐกิจจากภาวะเงินฝืด appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: ทางตันแผนดิจิทัลวอลเล็ต ทำเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวซับซ้อนมากขึ้น | THE STANDARD WEALTH https://thestandard.co/morning-wealth-07022024-2/ Wed, 07 Feb 2024 04:47:07 +0000 https://thestandard.co/?p=896955

Financial Times เผยแพร่ความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์เกี่ยวก […]

The post ชมคลิป: ทางตันแผนดิจิทัลวอลเล็ต ทำเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวซับซ้อนมากขึ้น | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
  • Financial Times เผยแพร่ความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับมาตรการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล ‘เศรษฐา’ ที่ขัดแย้งกับผู้ว่าการ ธปท. ภายใต้คำถาม เศรษฐกิจไทย ‘วิกฤต’ จนจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ตหรือไม่?

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 . ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: ทางตันแผนดิจิทัลวอลเล็ต ทำเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวซับซ้อนมากขึ้น | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักลงทุนเทขายหุ้นจีน 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือน​สิงหาคม มากสุดเป็นประวัติการณ์ https://thestandard.co/investor-sold-china-stocks/ Fri, 01 Sep 2023 07:17:52 +0000 https://thestandard.co/?p=836448 หุ้นจีน

นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นจีนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1 […]

The post นักลงทุนเทขายหุ้นจีน 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือน​สิงหาคม มากสุดเป็นประวัติการณ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นจีน

นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นจีนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ตลอดเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เนื่องจากมาตรการสนับสนุนของทางการจีนไม่สามารถบรรเทาความกังวลของการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และวิกฤตที่ย่ำแย่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ของประเทศ

 

การไหลออกของเงินทุนเกิดขึ้นอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน หลังจากตัวเลขที่แสดงให้เห็นว่าภาคการผลิตของจีนหดตัวเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน แม้ว่า สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน จะให้คำมั่นเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่าจะเปิดเผยแผนสนับสนุนที่ดียิ่งขึ้นสำหรับภาคอสังหาของประเทศ ซึ่งถือเป็น 1 ใน 4 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมดในจีน

 

ความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนตะวันตกในสินทรัพย์ของจีน ขณะที่ จีนา ไรมอนโด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ กล่าวเตือนในระหว่างการเดินทางเยือนจีนเป็นเวลา 4 วัน ว่าบริษัทสัญชาติอเมริกันเริ่มมองว่าจีนเป็นประเทศที่ไม่สามารถลงทุนด้วยได้

 

ข้อมูลจาก Financial Times พบยอดขายสุทธิเกือบ 9 หมื่นล้านหยวน หรือราว 1.24 หมื่นล้านดอลลาร์ ในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น นับเป็นยอดการไหลออกที่มากที่สุดตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลในปี 2014

 

ผู้จัดการสินทรัพย์และนักวิเคราะห์กล่าวว่า ยอดขายหุ้นที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงความผิดหวังจากนักลงทุนทั่วโลก จากที่มีความหวังต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในวงกว้าง และการช่วยเหลือนักพัฒนาอสังหาที่ตรงเป้ามากขึ้น แต่จนถึงขณะนี้ผู้นำของจีนยังคงไม่เต็มใจที่จะเริ่มแผนการช่วยเหลือดังกล่าว

 

สตีเฟน อินเนส พาร์ตเนอร์ของ SPI Asset Management กล่าวว่า นักลงทุนค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับ GDP ว่าทางการจีนจะสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตของ GDP ที่ 5% ได้หรือไม่ เพราะความเสียหายจากภาคอสังหาอาจคิดเป็น 1% ของ GDP หรือมากกว่านั้น นอกจากนี้นักลงทุนยังระวังถึงความเสี่ยงทางการเมืองเนื่องจากแนวโน้มความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ยังคงไม่ชัดเจน แม้จะอธิบายว่าการเยือนของไรมอนโดนั้นเป็นข่าวดีก็ตาม

 

แนวโน้มตลาดอสังหาของจีนส่อแววเลวร้ายลงอีกในเดือนกันยายน หลัง Country Garden ผู้พัฒนาอสังหาของจีน ซึ่งครั้งหนึ่งถูกมองว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีแนวโน้มผิดนัดชำระหนี้น้อยที่สุด กลับผิดนัดชำระหนี้พันธบัตรระหว่างประเทศ และพยายามเลื่อนการชำระคืนของเงินหยวนที่จะถึงกำหนดในสัปดาห์หน้า

 

ในขณะเดียวกัน หุ้นของบริษัท China Evergrande ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาที่ผิดนัดชำระหนี้พันธบัตรสกุลดอลลาร์เมื่อสองปีที่แล้ว และถือเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตสภาพคล่องในภาคอสังหา กลับมาซื้อขายในตลาดฮ่องกงเป็นครั้งแรกในรอบ 17 เดือน และราคาหุ้นร่วงลงเกือบ 90% ในทันที

 

การชะลอตัวทางเศรษฐกิจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการประเมินมูลค่าหุ้นจีนในวงกว้าง กดดันให้ดัชนี CSI 300 ลดลงถึง 8% ตั้งแต่เริ่มปีจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าตลาดใหญ่ๆ ทั่วโลกต่างปรับตัวขึ้นเป็นเลขสองหลักแล้วก็ตาม

 

ความพยายามในการกระตุ้นตลาดหุ้นด้วยการลดค่าธรรมเนียมการซื้อขายและมาตรการอื่นๆ ซึ่งเคยส่งผลดีต่อตลาดหุ้นในอดีต กลับล้มเหลวในการส่งเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างยั่งยืนในปัจจุบัน

 

อ้างอิง:

The post นักลงทุนเทขายหุ้นจีน 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือน​สิงหาคม มากสุดเป็นประวัติการณ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
จับตา ‘Deep C’ ขึ้นแท่นขุมทรัพย์ใหญ่เวียดนาม หลังผู้ผลิตต่างชาติแห่ย้ายฐานไปปักหลักแล้ว 962 โครงการ https://thestandard.co/deep-c-vietnam-after-962-abroad-investments/ Wed, 05 Jul 2023 09:13:52 +0000 https://thestandard.co/?p=812724 Deep C

ผู้ผลิตต่างชาติลดพึ่งพาจีน แห่ย้ายฐานการผลิตจากจีนไปนิค […]

The post จับตา ‘Deep C’ ขึ้นแท่นขุมทรัพย์ใหญ่เวียดนาม หลังผู้ผลิตต่างชาติแห่ย้ายฐานไปปักหลักแล้ว 962 โครงการ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Deep C

ผู้ผลิตต่างชาติลดพึ่งพาจีน แห่ย้ายฐานการผลิตจากจีนไปนิคมอุตสาหกรรม ‘Deep C’ เวียดนามเหนือต่อเนื่อง ล่าสุด Foxconn ทุ่มอีก 246 ล้านดอลลาร์ ขยายไลน์ผลิตประกอบอุปกรณ์โทรคมนาคมและยานยนต์อิเล็กทรอนิกส์ (EV) ขณะที่เอกชนไทย WHA เดินหน้าลงทุนนิคมอุตสาหกรรมเวียดนามอีก 2 โปรเจกต์

 

สำนักข่าว Financial Times รายงานว่า ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ส่งผลให้บรรดาผู้ผลิตต่างชาติตัดสินใจถอนการลงทุนออกจากจีน และย้ายฐานการผลิตไปสู่พื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม ‘Deep C’ ทางภาคเหนือของประเทศเวียดนาม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ของกลุ่มซัพพลายเออร์รายใหญ่ และบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เช่น Apple โดยพื้นที่แห่งนี้อยู่ใกล้เขตไฮฟอง ท่าเรือขนาดใหญ่ที่สุดของเวียดนาม 

 

ส่งผลให้นักพัฒนาเวียดนามมีแผนสร้างและขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมไปใช้พื้นที่ในทะเลจีนใต้เพื่อรองรับนักลงทุน อีกทั้งยังอยู่ระหว่างหารือถึงแผนถมทะเล อย่างไรก็ตาม สัญญาณการเร่งย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังประเทศอื่นๆ ใกล้เคียงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ ‘จีนบวกหนึ่ง’ (China Plus One) เพื่อเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานโลก 

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 

 


 

รายงานข่าวระบุอีกว่า ยอดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของเวียดนามอยู่ที่ 2.24 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2565 ซึ่งเพิ่มขึ้น 13.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ ยอด FDI ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 

 

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนและนักวิเคราะห์ต่างระบุว่า ตัวเลข FDI ของเวียดนามยังคงแข็งแกร่ง โดยเวียดนามดึงดูดโครงการ FDI ใหม่ได้ 962 โครงการในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 578 โครงการในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

 

สำหรับนิคมอุตสาหกรรม Deep C ก่อตั้งขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลเวียดนามและกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ นำโดยบริษัท Rent-A-Port จากเบลเยียม ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำที่เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมและโครงการท่าเรือต่างๆ ทั่วโลก พื้นที่แห่งนี้เป็นเขตอุตสาหกรรมตั้งอยู่ศูนย์กลางของนครไฮฟอง ซึ่งเชื่อมโยงการคมนาคมทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ นับเป็นทำเลที่ดีเยี่ยมในอาเซียน 

 

โดย Deep C มีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น โครงสร้างขั้นพื้นฐาน สาธารณูปโภค การเชื่อมต่อระบบไฟฟ้า โทรคมนาคม ระบบจัดการน้ำ และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ให้บริการลูกค้าด้วยการสนับสนุนในระหว่างขั้นตอนการก่อตั้งธุรกิจ 

 

เขตนิคมอุตสาหกรรม Deep C มีท่าเรือน้ำลึกขนาด 15 เมตร สามารถรองรับเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ มีอุตสาหกรรมระดับโลกอย่าง Apple Foxconn ด้านโลจิสติกส์และบริการ อุตสาหกรรมหนัก อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมสิ่งทอ

 

Foxconn เพิ่มลงทุน 246 ล้านดอลลาร์ สร้างโรงงานผลิตเครื่องชาร์จ EV 

ด้านสำนักข่าว Reuters รายงานว่า Foxconn บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของไต้หวัน ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์สำคัญของ Apple เตรียมขยายการลงทุน 246 ล้านดอลลาร์ในการสร้างโรงงานเพื่อผลิตเครื่องชาร์จ EV และส่วนประกอบในเวียดนามตอนเหนือ 2 แห่ง อยู่ในจังหวัดกว๋างนิญ และจะบริหารงานโดย Foxconn Singapore โดยเริ่มการผลิตตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 พร้อมทั้งจ้างพนักงาน 1,200 คน

 

สอดคล้องกับเป้าหมายที่บริษัทต้องการครองตลาด EV ทั่วโลกให้ได้ 5% ภายในปี 2568 และร่วมมือกับ NXP Semiconductors เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มและระบบเชื่อมต่อสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์

 

โดย Young Liu ประธาน Foxconn กล่าวเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาว่า บริษัทตั้งเป้าการลงทุนเพิ่มเติมในเวียดนามต่อเนื่องและเม็กซิโก เนื่องจากบริษัทย้ายฐานการผลิตออกจากจีน เพราะความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ลงระหว่างเวียดนามและสหรัฐฯ

 

WHA เดินหน้าลงทุนในเวียดนาม

จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า เวียดนามเป็นประเทศที่น่าลงทุน โดยขณะนี้ WHA Group อยู่ระหว่างขยายโครงการเขตอุตสาหกรรมใหม่ในจังหวัดหลักๆ ของเวียดนามอีก 2 โครงการ ซึ่งได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงกับทางการองค์กรท้องถิ่นของประเทศเวียดนามเพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรมอีก 2 แห่ง 

 

ได้แก่ เขตอุตสาหกรรม WHA Smart Technology Industrial Zone-Thanh Hoa พื้นที่ 5,320 ไร่ โดยกำหนดเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี 2567 หรือต้นปี 2568 และเขตอุตสาหกรรม WHA Smart Eco Industrial Zone-Quang Nam พื้นที่ 2,500 ไร่ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการอนุมัติใบอนุญาตต่างๆ ในปี 2569 หรือ 2570 และจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างตามแผนการลงทุนในระยะยาวของบริษัทในอนาคต 

 

มองรัฐบาลเวียดนามมีแนวทางแก้ไฟฟ้าดับในเวียดนามเหนือ

ส่วนความกังวลกรณีไฟฟ้าดับในเวียดนามเหนือล่าสุดนั้น ภาพรวมเชื่อว่ารัฐบาลมีแนวทางแก้ไข ซึ่งการแก้ปัญหาระยะสั้นสามารถนำแผนพลังงานประเทศ PDP8 มาพัฒนาเร่งจ่ายไฟเข้าระบบ 

 

อย่างไรก็ตาม ต้นตอของปัญหาไฟฟ้าตกและดับนั้น ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า เวียดนามเองมีการลงทุนด้านพลังงานจำนวนมากก็จริง แต่มีหลายโครงการล่าช้าและยังไม่สามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ซึ่งมีทั้งโครงการพลังงานลม โซลาร์เซลล์ บวกกับปัญหาสายส่ง 

 

“ปัญหาเหล่านี้ล้วนมาจากสถานการณ์โควิดทำให้ชะลอ โดยเบื้องต้นคาดว่าน่าจะค้างอยู่หลายพันกว่าเมกะวัตต์ หากหารือกันได้ ตรงนี้ก็นำไปสำรองได้ ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลก็ต่อรองบริษัทเอกชนให้จ่ายไฟ แล้วรับเงินสนับสนุนไปบ้างแล้ว ทำให้การใช้ไฟภาคอุตสาหกรรมเริ่มคลี่คลายมากขึ้น และเวียดนามมีความสัมพันธ์อันดีกับ สปป.ลาว และจีน ก็เจรจานำเข้าพลังงานได้ ทั้งนี้ WHA ยังไม่ได้รับผลกระทบเพราะอยู่ห่างจากพื้นที่ภาคเหนือ แต่ก็เตรียมความพร้อมและติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด”

 

อย่างไรก็ตาม แม้ต่างชาติเข้าไปลงทุนในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง แต่ WHA Group เชื่อมั่นว่าเมืองไทยเองก็มีความมั่นคงเรื่องพลังงานเช่นกัน 

 

อ้างอิง: 

The post จับตา ‘Deep C’ ขึ้นแท่นขุมทรัพย์ใหญ่เวียดนาม หลังผู้ผลิตต่างชาติแห่ย้ายฐานไปปักหลักแล้ว 962 โครงการ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Pornhub เว็บไซต์ที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดอันดับ 12 ของโลก กำลังจะมี ‘เจ้าของคนใหม่’ https://thestandard.co/pornhub-12th-engagement-world/ Fri, 17 Mar 2023 07:25:25 +0000 https://thestandard.co/?p=764479

MindGeek บริษัทที่อยู่เบื้องหลัง Pornhub, YouPorn และเว […]

The post Pornhub เว็บไซต์ที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดอันดับ 12 ของโลก กำลังจะมี ‘เจ้าของคนใหม่’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

MindGeek บริษัทที่อยู่เบื้องหลัง Pornhub, YouPorn และเว็บไซต์สื่อสำหรับผู้ใหญ่รายใหญ่อื่นๆ ถูกเข้าซื้อโดย Ethical Capital Partners (ECP) บริษัทไพรเวตอิควิตี้ของแคนาดาที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่

 

MindGeek ซึ่งจดทะเบียนในลักเซมเบิร์ก แต่การดำเนินงานส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในมอนทรีออลนั้นเป็นหนึ่งในบริษัทหนังโป๊ที่โดดเด่นอย่างมาก สะท้อนจากรายได้ในปี 2018 ที่สูงถึง 460 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.6 หมื่นล้านบาท ขณะที่ Financial Times ระบุว่า อัตรากำไรบางครั้งเกือบถึง 50% เลยทีเดียว

 

บริษัทแม่ของ Pornhub ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นเว็บไซต์ที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดอันดับ 12 ของโลกปีที่แล้ว ต้องเผชิญกับคำวิจารณ์อย่างต่อเนื่องว่าไม่สามารถป้องกันผู้ใช้จากการอัปโหลดหรือดูวิดีโอที่ผิดกฎหมาย รวมถึงเนื้อหาการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ปัญหาการกลั่นกรองที่มีมาอย่างยาวนานมาถึงจุดพลิกผันในปี 2020 เมื่อ Visa และ Mastercard ตัดการให้บริการ Pornhub หลังการสืบสวนที่ระบุเนื้อหาที่ผิดกฎหมายบนแพลตฟอร์ม ซึ่งบริษัทได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาในความผิดดังกล่าว แต่ได้เคลื่อนไหวด้วยการลบวิดีโอส่วนใหญ่และสร้างระบบตรวจสอบอายุนักแสดง

 

โซโลมอน ฟรายด์แมน ทนายความและผู้ร่วมก่อตั้ง ECP กล่าวกับ Financial Times ว่า เขาเชื่อว่าการฟ้องร้องและการวิพากษ์วิจารณ์ MindGeek เกิดจากความเข้าใจผิดว่าบริษัทกำลังปกป้องเนื้อหาของตนอย่างไร รวมไปถึงความไม่โปร่งใสจากเจ้าของคนก่อน

 

“ผมต้องการมีส่วนร่วมอย่างสม่ำเสมอกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรวมถึงสื่อด้วย” เขากล่าว พร้อมเสริมว่า การเป็นเจ้าของใหม่จะมาพร้อมกับความโปร่งใสที่มากขึ้น 

 

อย่างไรก็ตาม Ethical Capital Partners หรือ ECP จะไม่เปิดเผยจำนวนเงินที่จ่ายให้กับ MindGeek โดยผู้บริหารที่เหลือของ MindGeek จะยังคงบริหารบริษัทต่อไป แต่จะไม่เปิดเผยว่าพวกเขาเป็นใคร

 

ภาพ: Ethan Miller / Getty Images

อ้างอิง:

The post Pornhub เว็บไซต์ที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดอันดับ 12 ของโลก กำลังจะมี ‘เจ้าของคนใหม่’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักเศรษฐศาสตร์ชี้ ‘อิตาลี’ เสี่ยงเผชิญวิกฤตหนี้มากสุดในยูโรโซน หลัง ECB เตรียมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย และลดการซื้อพันธบัตร https://thestandard.co/italy-is-most-at-risk-of-facing-a-debt-crisis/ Tue, 03 Jan 2023 11:45:38 +0000 https://thestandard.co/?p=732399 อิตาลี หนี้

9 ใน 10 ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลสำรวจของ Financial Times […]

The post นักเศรษฐศาสตร์ชี้ ‘อิตาลี’ เสี่ยงเผชิญวิกฤตหนี้มากสุดในยูโรโซน หลัง ECB เตรียมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย และลดการซื้อพันธบัตร appeared first on THE STANDARD.

]]>
อิตาลี หนี้

9 ใน 10 ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลสำรวจของ Financial Times ให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ‘อิตาลี’ คือประเทศในกลุ่มยูโรโซนที่มีความเสี่ยงมากที่สุดที่จะเกิดวิกฤตหนี้ จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และซื้อพันธบัตรลดลงของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า 

 

Marco Valli หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร UniCredit กล่าวว่า แม้ว่ารัฐบาลอิตาลีภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี Giorgia Meloni กำลังพยายามจะเพิ่มวินัยทางการคลังด้วยการตั้งงบขาดดุลลดลงจาก 5.6% ของ GDP ในปี 2022 เป็น 4.5% ในปีนี้ และจะลดเหลือ 3% ในปีถัดไป แต่หนี้สาธารณะของอิตาลีที่มีสัดส่วนสูงถึง 145% ของ GDP ก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องได้รับการแก้ไขเชิงโครงสร้าง ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่ซับซ้อนก็ทำให้เศรษฐกิจอิตาลีมีความเปราะบางต่อแรงเทขายในตลาดพันธบัตร


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


นับตั้งแต่ที่ ECB เริ่มต้นขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจากระดับติดลบ 0.5% เมื่อ 6 เดือนก่อน จนมาอยู่ที่ 2% ในปัจจุบัน ต้นทุนการกู้ยืมของอิตาลีได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยล่าสุดผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของอิตาลีเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.6% สูงขึ้นเกือบ 4 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าผลตอบแทนพันธบัตรประเภทเดียวกันของเยอรมนีถึง 2.1% 

 

Veronika Roharova หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร Credit Suisse กล่าวว่า รัฐบาลอิตาลียังไม่ได้ทำอะไรที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนมากนักในขณะนี้ แต่ความกังวลก็พร้อมที่จะปรากฏขึ้นเมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นและการออกตราสารหนี้จะเพิ่มขึ้นอีกครั้ง

 

เมื่อไม่นานมานี้คณะกรรมการนโยบายการเงินของ ECB ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าพวกเขาจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อในช่วงต้นปีนี้ โดย Klaas Knot หนึ่งในคณะกรรมการที่ถือเป็นสายเหยี่ยว ระบุว่า ครึ่งหลังของวงจรการขึ้นดอกเบี้ยของ ECB เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์จากหลายสำนักเชื่อว่า ECB ประเมินความเสี่ยงของเงินเฟ้อสูงเกินไป ในขณะเดียวกันก็ประเมินความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยต่ำเกินไป

 

ล่าสุด Kristalina Georgieva ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ได้ออกมาเตือนว่า ครึ่งหนึ่งของประเทศในกลุ่ม EU จะต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีนี้ ขณะที่ 4 ใน 5 ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลสำรวจของ Financial Times คาดการณ์ว่า ECB จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยภายในครึ่งแรกของปีนี้ และ 2 ใน 3 ของนักเศรษฐศาสตร์มองว่า ECB จะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยลงในปีหน้า เพื่อตอบสนองต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแรงลง โดยเฉลี่ยแล้วนักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจุดสูงสุดของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของ ECB จะอยู่ที่ไม่เกิน 3% 

 

ขณะที่ผลสำรวจความคิดเห็นของ Financial Times อีกชิ้นหนึ่งที่สำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์แนวหน้าในสหราชอาณาจักรมากกว่า 100 คน ระบุว่า อังกฤษจะเป็นหนึ่งในประเทศที่ต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เลวร้ายที่สุด และจะมีการฟื้นตัวที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มประเทศ G7 ในปีนี้

 

อ้างอิง:

 

The post นักเศรษฐศาสตร์ชี้ ‘อิตาลี’ เสี่ยงเผชิญวิกฤตหนี้มากสุดในยูโรโซน หลัง ECB เตรียมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย และลดการซื้อพันธบัตร appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักเศรษฐศาสตร์ คาด Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป จนทะลุ 4% และคงอัตราดังกล่าวไว้จนพ้นปี 2023 https://thestandard.co/fed-interest/ Sun, 18 Sep 2022 08:52:12 +0000 https://thestandard.co/?p=683207 Fed

ตามความเห็นของ นักเศรษฐศาสตร์ ส่วนใหญ่ในผลการสำรวจของ F […]

The post นักเศรษฐศาสตร์ คาด Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป จนทะลุ 4% และคงอัตราดังกล่าวไว้จนพ้นปี 2023 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Fed

ตามความเห็นของ นักเศรษฐศาสตร์ ส่วนใหญ่ในผลการสำรวจของ Financial Times คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงกว่า 4% และคงอัตราดังกล่าวไว้อีกสักระยะ หรือจนผ่านพ้นปี 2023 ไป

 

ผลสำรวจล่าสุดของ Financial Times ยังชี้ให้เห็นว่า Fed ไม่น่ายุติวงจรการดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดเร็วๆ นี้ หลังจากในปีนี้ Fed ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างก้าวกระโดดมากที่สุด นับตั้งแต่ปี 1981 ทำให้ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ อยู่ที่ 2.25-2.50% แล้วจากระดับใกล้ศูนย์


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


ในวันอังคารที่จะถึงนี้ (20 กันยายน) คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) จะประชุมกันเป็นเวลา 2 วัน ซึ่งตลาดพากันคาดการณ์ว่า Fed จะดำเนินการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 ไปอยู่ที่ 3-3.25%

 

โดยเกือบ 70% ของนักเศรษฐศาสตร์ 44 คน ที่ตอบแบบสำรวจระหว่างวันที่ 13-15 กันยายน เชื่อว่าวงจรการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ครั้งนี้จะแตะ 4-5% ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์อีก 20% มองว่า Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าระดับดังกล่าว

 

ด้าน Eric Swanson ศาสตราจารย์แห่ง University of California, Irvine ระบุว่า FOMC ยังไม่ได้ตกลงกันว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงแค่ไหน แต่เขาเชื่อว่าในที่สุด Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 5-6% โดยหาก Fed ต้องการชะลอเศรษฐกิจในตอนนี้ พวกเขาจำเป็นต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยให้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน

 

แม้ว่า Fed จะตั้งเป้าหมายให้ดัชนีราคาบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (PCE) กลับไปที่ 2% แต่ Fed ก็ติดตามดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) อย่างใกล้ชิดเช่นกัน

 

โดยนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่า PCE จะลดลงจากระดับล่าสุดที่ 4.6% ในเดือนกรกฎาคม เหลือ 3.5% ภายในสิ้นปี 2566

 

ขณะที่ Jón Steinsson จาก University of California, Berkeley กล่าวว่า เราทุกคนต่างเคยหวังว่าอัตราเงินเฟ้อจะเริ่มลดลง และเราทุกคนต่างก็ผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเธอยังเตือนถึงความเสี่ยงที่ความน่าเชื่อถือของ Fed จะพังทลายลงอย่างรุนแรง

 

นักเศรษฐศาสตร์มากกว่า 1 ใน 3 ที่ตอบแบบสำรวจยังเตือนว่า Fed จะล้มเหลวในการควบคุมเงินเฟ้อหากไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเกิน 4% ภายในสิ้นปีนี้

 

อ้างอิง

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

The post นักเศรษฐศาสตร์ คาด Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป จนทะลุ 4% และคงอัตราดังกล่าวไว้จนพ้นปี 2023 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Financial Times ตีข่าว โด ควอน ผู้ร่วมก่อตั้งเหรียญ LUNA กลายเป็น ‘คนที่ถูกเกลียดชังที่สุดในเกาหลีใต้’ ส่วนหนึ่งมาจากฝีปากล้วนๆ https://thestandard.co/financial-times-report-do-kwon-is-most-hated-man-is-south-korea/ Tue, 24 May 2022 13:42:33 +0000 https://thestandard.co/?p=633341 Do Kwon

แม้จะเจอวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างหนักหนาสาหัส แต่ โด ควอน ผ […]

The post Financial Times ตีข่าว โด ควอน ผู้ร่วมก่อตั้งเหรียญ LUNA กลายเป็น ‘คนที่ถูกเกลียดชังที่สุดในเกาหลีใต้’ ส่วนหนึ่งมาจากฝีปากล้วนๆ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Do Kwon

แม้จะเจอวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างหนักหนาสาหัส แต่ โด ควอน ผู้ร่วมก่อตั้งเหรียญ LUNA ก็ยังไม่ทิ้งฝีปากที่จัดจ้านอยู่ดี เพราะเมื่อถูกถามว่าจะเอาเงิน 300 ล้านดอลลาร์จากไหนมาอัดฉีด เขาก็ตอบกลับใน Twitter ว่า “แน่นอนว่าเป็นแม่ของคุณ”

 

ตอนนี้ชาวเกาหลีใต้วัย 30 ปี ซึ่งมักเยาะเย้ยนักวิจารณ์ของเขาว่า ‘ยากจน’ กำลังถูกขอให้รับผิดชอบการล่มสลายของเหรียญคริปโตมูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือกว่า 1.3 ล้านล้านบาท ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยบอกว่า “เป็นอัลกอริทึม Stablecoin ที่เก่าแก่ที่สุดและนิยมใช้อย่างแพร่หลายที่สุด” ก่อนจะเพิ่มอีกว่า “จงเชื่อฟังพระราชาซะ”

 

โด ควอน ยังเคยเยาะเย้ย ชาร์ลส์ ฮอสกินสัน ผู้ก่อตั้ง Cardano เกี่ยวกับการที่เหรียญ ADA เคลื่อนไหวสวนทางกับเหรียญ LUNA ของเขาด้วย ซึ่งหลังจากการร่วงลงอย่างรุนแรงของ LUNA และ UST เขาก็โดนฮอสกินสันแก้แค้นโดยการสวนกลับว่า บางทีเขาอาจจะต้องซื้อ LUNA แล้วมั้ง

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 

 


 

เขายังเคยโพสต์เยาะเย้ยและแขวะคนอื่นๆ บน Twitter เช่น เขาจะไม่เสียเวลาเถียงกับคนจนบน Twitter หรอก มีอยู่ครั้งหนึ่งมีคนทวีตหาเขาว่าจะเปิดสถานะ Short เหรียญ LUNA ซึ่งเขาได้โต้ตอบว่า “Lot Size ของคุณยังไม่เรียกว่าเงินเลยด้วยซ้ำ” 

 

นอกจากนี้เขายังเคยตอกกลับคนที่เคยวิจารณ์ Anchor Protocol ของเขาว่าเป็นแชร์ลูกโซ่ด้วย ซึ่ง โด ควอน ตอกกลับว่าชุมชนนี้ซื้อเหรียญ LUNA และพวกเขาไม่ได้จนแบบคุณ

 

ขณะที่ความสูญเสียเพิ่มขึ้น รายงานของสื่อมวลชนเกาหลีใต้ได้เชื่อมโยงเหตุการณ์ดังกล่าวกับการค้นหาสะพาน Mapo Bridge ของกรุงโซล ซึ่งเป็นจุดฆ่าตัวตายที่มีชื่อเสียง ตำรวจท้องที่ประกาศเพิ่มการลาดตระเวนรอบสะพานเพื่อระแวดระวัง

 

สำนักข่าวเกาหลีใต้ KBS เปิดเผยว่า ตำรวจเกาหลีใต้เตรียมออกหมายอายัดสินทรัพย์ทั้งหมดของ Luna Foundation Guard หลังเกิดเหตุการณ์พังทลายของเครือข่าย Terra ทำนักลงทุนเสียหายจาก LUNA และ UST เป็นจำนวนมาก

 

“โด ควอน เป็นเหมือนผู้นำลัทธิที่ประสบความสำเร็จ” คิมดงฮวาน จาก Blitz Labs บริษัทที่ปรึกษาคริปโตในกรุงโซลกล่าว “แต่ตอนนี้เขาเป็นคนที่ถูกเกลียดชังที่สุดในเกาหลีใต้”

 

โด ควอน นั้นมีประวัติที่ไม่ธรรมดา เพราะสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ โดยมีความเชี่ยวชาญในโปรแกรมต่างๆ มากมาย รวมถึง C++, Java และ Python แถมเคยทำงานเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Microsoft และ Apple ด้วย

 

เพื่อนร่วมงานที่สนิทสนมของเขาที่ Terraform Labs อธิบายว่า นักลงทุนจำนวนมาก ‘หลงใหลในความอัจฉริยะของเขา’

 

“โดสามารถดึงดูดนักลงทุนที่มีชื่อเสียงมากมาย เพราะมีผู้คนมากมายในตลาดคริปโตที่เห็นด้วยกับปรัชญาและสโลแกนของเขาเกี่ยวกับความต้องการด้านการเงินแบบกระจายอำนาจและ DeFi” อดีตเพื่อนร่วมงานกล่าว “พวกเขาพบว่ารูปแบบอัลกอริทึมมีความสดใหม่และน่าสนใจ เนื่องจากมีความต้องการเหรียญที่มีเสถียรภาพเพิ่มมากขึ้น และเหรียญไม่ได้เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจริงแต่อย่างใด โดยได้รับการสนับสนุนจากกันและกัน และจาก Bitcoin เท่านั้น”

 

ด้วยผลตอบแทนมากถึง 20% ทำให้นักลงทุนรายย่อยถูกดึงดูดโดยผลตอบแทนสูง กลายเป็นการเติบโตที่รวดเร็วแต่ ‘ไม่ยั่งยืน’

 

อดีตเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งกล่าวว่า “วิศวกรทุกคนรู้ดีถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับผลตอบแทน 20% พวกเขาทั้งหมดคิดว่ามันจะไม่ยั่งยืนเพราะเราไม่มีเงินทุนเพียงพอที่จะสนับสนุน แต่ไม่สามารถทัดทานโดได้ เพราะเขามักเพิกเฉยต่อความคิดเห็นที่ขัดแย้งกับเขา”

 

“ควอนกำลังเรียกร้องให้มีการกระจายอำนาจทางการเงิน แต่เขาตัดสินใจทั้งหมดโดยลำพัง เป็นเรื่องน่าขันที่การตัดสินใจของบริษัทมีศูนย์กลางอยู่ที่คนเพียงคนเดียว” คิมฮยอนจุง หัวหน้าศูนย์วิจัยคริปโตเคอร์เรนซีที่ Korea University กล่าว

 

วิกฤตที่เกิดขึ้นทำให้มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือ ‘ชางเพ็งเจา’ ผู้ก่อตั้ง Binance ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลกตามปริมาณการซื้อขาย ได้ออกมาทวีตว่า มูลค่าเหรียญ LUNA ที่เขาถือได้ลดลงจาก 1.6 พันล้านดอลลาร์ หรือ 5.5 หมื่นล้านบาท เหลือน้อยกว่า 2,500 ดอลลาร์ หรือราว 85,000 บาท

 

Hased ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนในกรุงโซล ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนโดและ Terraform Labs ถูกประเมินโดยเว็บไซต์ Coindesk ว่า สูญเสียมากกว่า 3.5 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.2 แสนล้านบาทจากความผิดพลาด

 

แต่แน่นอนว่าผู้ที่บาดเจ็บไม่แพ้กันคือนักลงทุนรายย่อยทั่วไป Financial Times รายงานโดยอ้างอิงคำพูดของพนักงานออฟฟิศจากเกาหลีใต้ที่บอกว่า เธอใช้เงินออมทั้งหมดลงทุนไปกับ LUNA

 

ควอนซึ่งไม่ตอบสนองต่อการร้องขอความคิดเห็นจาก Financial Times แต่เขาเขียนใน Twitter หลังเกิดวิกฤตว่า เสียใจต่อเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งเชื่อมั่นว่าจะสามารถกลับมาได้อีกครั้งจากความแข็งแกร่งของเครือข่ายที่มีในตอนก่อนเกิดการโจมตีขึ้น

 

อ้างอิง:

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

The post Financial Times ตีข่าว โด ควอน ผู้ร่วมก่อตั้งเหรียญ LUNA กลายเป็น ‘คนที่ถูกเกลียดชังที่สุดในเกาหลีใต้’ ส่วนหนึ่งมาจากฝีปากล้วนๆ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Facebook และ Instagram กำลังซุ่มพัฒนาระบบ NFT Profile Picture และแพลตฟอร์มซื้อขาย NFT https://thestandard.co/facebook-and-instagram-nft-profile-picture/ Fri, 21 Jan 2022 08:47:08 +0000 https://thestandard.co/?p=585127 NFT Profile Picture

ในขณะที่ Twitter ปล่อยฟีเจอร์ NFT Profile Picture ให้ผู […]

The post Facebook และ Instagram กำลังซุ่มพัฒนาระบบ NFT Profile Picture และแพลตฟอร์มซื้อขาย NFT appeared first on THE STANDARD.

]]>
NFT Profile Picture

ในขณะที่ Twitter ปล่อยฟีเจอร์ NFT Profile Picture ให้ผู้ใช้งานใช้รูป NFT เป็นรูปโปรไฟล์ได้ ดูเหมือนว่าบ้าน Meta ก็กำลังพัฒนาระบบนี้เช่นกัน 


Financial Times รายงานว่า Meta บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram กำลังซุ่มพัฒนาฟีเจอร์ที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานสามารถนำ NFT ของตนมาตั้งเป็นรูปโปรไฟล์ได้ และยังสนใจพัฒนาแพลตฟอร์มซื้อขาย NFT เป็นของตนเองด้วย โดยแหล่งข่าววงในทั้งสองคนกล่าวว่า Meta กำลังพูดคุยเรื่องตลาดซื้อขายที่ให้ผู้ใช้สามารถมินต์และขายงานได้อย่างอิสระ และย้ำว่าทุกอย่างกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น

 

ก่อนหน้านี้ Adam Mosseri หัวเรือใหญ่ของ Instagram เคยเผยว่า Instagram กำลังสำรวจตลาดอย่างจริงจังและกำลังทดสอบระบบโชว์ผลงาน NFT ด้วย

 

ในรายงานยังระบุอีกว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ Facebook จะนำระบบกระเป๋าเงินดิจิทัล Novi มาใช้ และไม่แปลกหาก Facebook สนใจกระโจนเข้าตลาด NFT เพราะแค่ปีที่แล้วมูลค่าตลาดทั่วโลกขยายตัวเติบโตได้ถึง 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

อ้างอิง:

The post Facebook และ Instagram กำลังซุ่มพัฒนาระบบ NFT Profile Picture และแพลตฟอร์มซื้อขาย NFT appeared first on THE STANDARD.

]]>