ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดสปอตบิทคอยน์ ETF ทาง Invesco และ Galaxy Asset Management ได้ประกาศลดค่าธรรมเนียมระยะยาวของกองทุน Invesco Galaxy Bitcoin ETF (BTCO) ซึ่งเป็นกองทุนที่ทั้งสองบริษัทร่วมมือกันจัดตั้ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้กองทุน BTCO สามารถแข่งขันกับบริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆ ในอุตสาหกรรมได้ 

BTCO กองทุนบิทคอยน์สปอต ETF ที่ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของสหรัฐฯ ได้ลดค่าธรรมเนียมลงจาก 0.39% เหลือ 0.25% เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (29 มกราคม) ค่าธรรมเนียมใหม่นี้ถูกปรับลดลงมาใกล้กับกองทุนคู่แข่งอย่าง BlackRock, Valkyrie, VanEck และ Fidelity มากขึ้น โดยทาง Invesco จะยกเว้นค่าธรรมเนียมเหล่านี้ในช่วง 6 เดือนแรก หรือจนกว่า ETF จะมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) แตะ 5 พันล้านดอลลาร์ กลยุทธ์การกำหนดราคาเชิงรุกนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมความน่าสนใจของกองทุนในหมู่นักลงทุน และแข่งขันกับผู้เล่นที่โดดเด่นในภาคส่วนนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

กองทุน Invesco Galaxy Bitcoin ETF (BTCO) เป็นกองทุนสปอตบิทคอยน์ ETF ที่ทาง Galaxy Asset Management บริษัทสินทรัพย์ดิจิทัลและจัดการการลงทุนบล็อกเชนที่ใหญ่ที่สุดในโลกร่วมมือกับ Invesco Ltd. บริษัทบริการกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETF) ชั้นนำระดับโลก และเปิดตัวกองทุนนี้ เพื่อให้นักลงทุนสามารถลงทุนโดยตรงในบิทคอยน์ได้ โดยไม่ต้องลงทุนโดยตรงและลดความยุ่งยากจากการถือครองสกุลเงินดิจิทัล 

แม้จะมีการลดค่าธรรมเนียม แต่กองทุน BTCO ก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ถูกที่สุดในตลาด เนื่องจากกองทุนสปอตบิทคอยน์ ETF ของ Franklin Templeton มีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 0.19%

หลังจากที่หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ ไฟเขียวในการอนุมัติกองทุนสปอตบิทคอยน์ ETF เมื่อต้นเดือนนี้ เงินลงทุนไหลเข้า (Inflows) ตลาดคริปโตอย่างเห็นได้ชัด โดยมียักษ์ใหญ่ เช่น Blackrock Inc. และ Fidelity ที่ได้ครองส่วนแบ่งการตลาดที่สำคัญ โดยดึงดูดเงินลงทุนเข้ามารวมกันประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 70% ของเงินที่ไหลเข้าบิทคอยน์ ETF ทั้งหมด ในขณะที่ BTCO มีมูลค่าสินทรัพย์ประมาณ 298 ล้านดอลลาร์

การแข่งขันที่สูงในตลาดบิทคอยน์สปอต ETF ไม่ได้เกิดขึ้นในสหรัฐฯ เท่านั้น แต่กองทุนสปอต ETF ในยุโรปที่เคยถูกอนุมัติก่อนหน้านี้ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ข้อมูลจาก CoinShares Research ชี้ว่านักเทรดอาจเปลี่ยนความสนใจจากผลิตภัณฑ์การลงทุนในยุโรปมาที่สหรัฐฯ แทน  

การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงและความผันผวนสูงมาก นักลงทุนจึงควรกระจายความเสี่ยง ศึกษาหาข้อมูล และวางแผนในการลงทุนด้วยความรอบคอบ บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น 

ภาพ: Khaosai Wongnatthakan / iStock / Getty Images Plus

อ้างอิง:

• https://coingape.com/fee-war-invesco-and-galaxy-digital-slash-bitcoin-etf-fee-by-35-to-0-25-bps/

The post แข่งขันดุ! Invesco-Galaxy จับมือกันหั่นค่าฟี Bitcoin ETF ลง 35% เพื่อแข่งกับ BlackRock และ Fidelity appeared first on THE STANDARD.

เช้าวันนี้ (9 มกราคม) Bitcoin ปรับตัวขึ้นราว 7.3% มาเคลื่อนไหวบริเวณ 46,744 ดอลลาร์ จ่อทดสอบแนวต้านสำคัญที่ระดับ 47,000 ดอลลาร์ รอลุ้นผลการอนุมัติ Bitcoin Spot ETF ในวันพุธที่จะถึงนี้ (10 มกราคม) 

โดยในช่วงคืนที่ผ่านมา Bitcoin ปรับตัวขึ้นจากที่ระดับ 43,200 ดอลลาร์ ขึ้นไปทดสอบ 47,192 ดอลลาร์ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง คิดเป็นจุดสูงสุดในรอบ 19 เดือน ก่อนปรับตัวลงมาเล็กน้อย

ซึ่งนักลงทุนต่างตั้งตารอผลการอนุมัติกองทุน Bitcoin Spot ETF จากทั้ง BlackRock, Fidelity และ Grayscale ที่คาดว่าจะอนุมัติภายในวันพุธนี้ ไม่ก็วันอื่นในช่วงสัปดาห์นี้ และมีโอกาสจะทำให้มีเงินทุนไหลเข้าเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีดังกล่าวหลายพันล้านดอลลาร์

Joel Kruger นักกลยุทธ์จาก LMAX Group ประเมินว่า หาก ก.ล.ต.สหรัฐอเมริกาอนุมัติ Bitcoin Spot ETF เมื่อไร ก็มีโอกาสที่จะมีเงินทุนไหลเข้า Bitcoin อย่างมหาศาล และทำให้ราคาเหรียญดังกล่าวปรับตัวขึ้นไปได้อีก 10-15% 

แต่ถ้าหากไม่มีการอนุมัติกองทุนขึ้นมา Kruger ก็มองว่าอาจทำให้เหรียญดังกล่าวปรับตัวลงไปได้พอสมควร โดยที่ยังมีแนวรับสำคัญอยู่ที่ระดับ 30,000 ดอลลาร์

อ้างอิง: 

• https://www.coindesk.com/markets/2024/01/08/btc-blasts-past-47k-as-bitcoin-etf-excitement-gets-feverish/

The post Bitcoin ปรับตัวขึ้นต่อในเช้านี้ จ่อทดสอบ 47,000 ดอลลาร์ ลุ้นผลการอนุมัติ Bitcoin Spot ETF ในวันพุธนี้ appeared first on THE STANDARD.

บริษัทจัดการกองทุนรวม Fidelity เปิดเผยว่า มูลค่าของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียชั้นนำอย่าง X หรือที่รู้จักกันในชื่อเดิมว่า Twitter ปรับตัวร่วงลงมากถึง 71.5% นับตั้งแต่วันที่ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีนักธุรกิจผู้ก่อตั้งบริษัทชั้นนำอย่าง Tesla และ SpaceX เข้าซื้อกิจการและเปลี่ยนชื่อจาก Twitter เป็น X ในช่วงปี 2022 

ทั้งนี้ ในฐานะหนึ่งในผู้ถือหุ้น X ทาง Fidelity ประเมินว่า มูลค่าของแพลตฟอร์มดังกล่าวลดฮวบนับตั้งแต่วันที่มัสก์เข้าซื้อ X เมื่อเดือนตุลาคมปี 2022 ด้วยเงิน 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และเปลี่ยนชื่อจาก Twitter เป็น X ในช่วงเดือนกรกฎาคมปี 2023 เพื่อหวังสร้างการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ 

หลายฝ่ายมองว่า การประเมินดังกล่าวของ Fidelity จะส่งผลให้ X มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 1.25 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน ซึ่งจากการประเมินล่าสุดของมัสก์ในช่วงเดือนตุลาคมปีที่แล้ว มูลค่าของ X อยู่ที่ 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ นับว่าร่วงลงอย่างมากจากมูลค่าที่มัสก์ซื้อมาที่กว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากมูลค่าที่ลดลงแล้ว ยังมีรายงานพบว่า จำนวนผู้ใช้งาน X รายเดือนลดลง 15% ในปีแรกนับตั้งแต่การเทกโอเวอร์ของมัสก์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับคำพูดแสดงความเกลียดชังที่เพิ่มขึ้นบนแพลตฟอร์ม

ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ของ X ยังร่อแร่มากขึ้น เพราะนับตั้งแต่การเข้าซื้อกิจการของมัสก์ แพลตฟอร์ม X ได้ลดพนักงานลงอย่างน้อย 50% และลดมาตรการการกลั่นกรองการโพสต์ข้อความ ขณะที่ในช่วงเดือนกันยายน สหภาพยุโรปได้ออกคำเตือนถึงมัสก์ หลังจากพบว่า X มีอัตราส่วนการโพสต์ข้อมูลที่บิดเบือนสูงสุดในบรรดาแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียขนาดใหญ่ทั้งหมด

อ้างอิง: 

• https://www.theguardian.com/technology/2024/jan/02/x-twitter-stock-falls-elon-musk

The post Fidelity ประเมินมูลค่า X ร่วง 71.5% หลัง อีลอน มัสก์ เข้าครอบครอง แม้เปลี่ยนชื่อก็ไม่ช่วย appeared first on THE STANDARD.

สถาบันการเงินหลายแห่งกำลังให้ความสนใจกับอุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซี เริ่มจาก BlackRock ตามด้วย Citadel Securities, Fidelity Investments และ Charles Schwab ปัจจัยนี้อาจเป็นการปูทางไปสู่การยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลในระดับสถาบันที่มากขึ้นในอนาคต และเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมด้วย

กองทุนยักษ์ใหญ่หลายแห่งยื่นคำขอจัดตั้งกองทุน Bitcoin ETF

ขณะที่คดีฟ้องร้องระหว่าง ก.ล.ต.สหรัฐฯ และเว็บเทรดคริปโตชั้นนำ Binance ยังคงดำเนินต่อไป ดูเหมือนว่าสถาบันการเงินหลายแห่งกำลังให้ความสนใจกับกองทุน Bitcoin Spot ETF อย่างล้นหลาม เริ่มจาก BlackRock บริษัทจัดการกองทุนชื่อดังที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารมากกว่า 8 ล้านล้านดอลลาร์ ได้ยื่นคำขอจัดตั้งกองทุนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จากนั้นสถาบันการเงินอื่นๆ เช่น Citadel Securities, Fidelity Investments และ Charles Schwab ก็เริ่มเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้ตามๆ กัน

ข่าวดีในครั้งนี้ได้ส่งผลให้ราคาบิทคอยน์พุ่งขึ้นเหนือ 30,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบปี และ ณ เวลาที่เขียน 17.15 น. ของวันที่ 24 มิถุนายน ราคา BTC ซื้อขายอยู่ที่ 30,645 ดอลลาร์ และปรับตัวขึ้นประมาณ 15.2% ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา

กองทุน Bitcoin Spot ETF เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสหรัฐอเมริกา และที่ผ่านมามีบริษัทจัดการกองทุนหลายแห่งโดนปฏิเสธการจัดตั้งกองทุนประเภทนี้ แต่หากกองทุนได้รับการอนุมัติจริง นี่หมายถึงการปูทางไปสู่การยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลในระดับสถาบันการเงินที่มากขึ้นในอนาคต 

อีกหนึ่งความคืบหน้าในอุตสาหกรรมคริปโตที่เกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาคือ การอนุมัติกองทุนเลเวอเรจคริปโต ETF ในสหรัฐฯ ซึ่งกองทุน Volatility Shares 2x Bitcoin Strategy ETF (BITX) จะเริ่มซื้อขายในวันอังคารที่กำลังจะถึง (27 มิถุนายน)

รวมความเห็นของนักวิเคราะห์

George Kaloudis นักวิเคราะห์จาก CoinDesk แสดงความเห็นว่า สถาบันการเงินต้องการทำเงิน และกองทุน Bitcoin Spot ETF ก็เป็นช่องทางทำเงินที่ดี เนื่องจากลูกค้าให้ความสนใจลงทุนเป็นอย่างมาก แม้บริษัทเองจะไม่ได้สนใจสกุลเงินดิจิทัล แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงกระแสในครั้งนี้ได้ 

นอกจากนี้ Eric Balchunas นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Bloomberg มองว่าการยื่นขอจัดตั้งกองทุน Bitcoin Spot ETF ของ BlackRock จะทำให้อุตสาหกรรมเกิดการแข่งขันมากขึ้นด้วย 

ทางด้าน Ivory Johnson ผู้ก่อตั้ง Delancey Wealth Management กล่าวว่า การจัดสรรการลงทุนในบิทคอยน์ แม้จะเป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อย แต่อาจเป็นโอกาสที่มีนัยสำคัญในอนาคต อย่างไรก็ตาม นี่ขึ้นอยู่กับการยอมรับความเสี่ยงและเป้าหมายการลงทุนของแต่ละคน

การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงและความผันผวนสูงมาก นักลงทุนจึงควรกระจายความเสี่ยง ศึกษาหาข้อมูล และวางแผนในการลงทุนด้วยความรอบคอบ บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น 

อ้างอิง: 

• https://www.coindesk.com/consensus-magazine/2023/06/21/a-straightforward-explanation-for-why-financial-giants-want-to-issue-a-spot-bitcoin-etf/ 

The post BlackRock, Citadel, Fidelity และ Charles Schwab แห่เข้าสู่ตลาดคริปโต นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรม appeared first on THE STANDARD.

Twitter ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยม ถูกซื้อโดย ‘อีลอน มัสก์’ มหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีด้วยมูลค่าที่สูงถึง 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าสิ่งต่างๆ จะไม่ได้ผลดีอย่างที่เขาหวังไว้

ข้อมูลจาก Fidelity ซึ่งเป็นบริษัทการลงทุนชื่อดังที่ถือหุ้นใน Twitter ได้รายงานว่า Twitter มีมูลค่าเพียง 1 ใน 3 ของที่มัสก์จ่ายไปเท่านั้น นั่นเป็นการลดมูลค่าลงอย่างมาก ซึ่งแม้แต่มัสก์เองก็ยอมรับว่าเขาอาจจ่ายเงินมากเกินไปสำหรับ Twitter

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

• Patagonia-Costco ถูกจัดให้เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในอเมริกา ขณะที่ Tesla-Twitter ของอีลอน มัสก์ หล่นลงมาอยู่อันดับท้ายๆ ในบรรดา 100 แบรนด์
• ให้วิศวกรนำทัพแล้วรายได้หด Twitter แก้เกมด้วยการดึง ‘ลินดา ยัคคาริโน’ ผู้ใกล้ชิดนักการตลาดและเอเจนซีโฆษณา ขึ้นมาเป็น ‘ซีอีโอคนใหม่’
• แจ็ค ดอร์ซีย์ อดีตซีอีโอ Twitter วิจารณ์ ‘อีลอน มัสก์’ ว่าไม่ได้เป็นผู้นำที่ดีของยักษ์โซเชียลมีเดีย และควรยอมจ่ายค่าปรับ 1 พันล้านดอลลาร์ แทนที่จะดึงดันเข้าซื้อ

ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า Fidelity ใช้ปัจจัยอะไรบ้างในการประเมินมูลค่าที่ลดลงในครั้งนี้ ปกติการประเมินมูลค่ามักจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง รวมถึงสินทรัพย์ของบริษัท รายได้ และศักยภาพในการสร้างรายได้ในอนาคต แต่คาดว่าหากขาย Twitter ในตอนนี้จะมีมูลค่าราว 1.47 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 5.1 แสนล้านบาทเท่านั้น

ตั้งแต่มัสก์เข้ามากุมบังเหียน Twitter ก็ประสบปัญหาทางการเงิน ความท้าทายที่สำคัญประการหนึ่งคือมัสก์สร้างภาระให้กับบริษัทด้วยหนี้สินจำนวนมหาศาลถึง 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์

สไตล์ความเป็นผู้นำของมัสก์ ซึ่งทราบกันดีว่าค่อนข้างคาดเดาไม่ได้ ประกอบกับปัญหาในการจัดการเนื้อหาบนแพลตฟอร์ม ทำให้รายได้จากโฆษณาลดลงอย่างมากถึง 50% จากการเปิดเผยข้อมูลในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ทีมของมัสก์พยายามชดเชยรายได้จากการโฆษณาที่เสียไปโดยการขายการสมัครสมาชิกบริการระดับพรีเมียมที่เรียกว่า Twitter Blue อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้สิ่งนี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าประสบความสำเร็จ โดยมีผู้ใช้ Twitter น้อยกว่า 1% ต่อเดือนที่เลือกสมัคร

เนื่องจากรายได้โฆษณาของ Twitter ตกต่ำอย่างต่อเนื่อง และงานที่น่าหนักใจในการจัดการยกเครื่องบริษัทขนาดใหญ่ที่รวมถึงการเลิกจ้างจำนวนมาก มัสก์ได้แต่งตั้ง ‘ลินดา ยัคคาริโน’ เป็นซีอีโอคนใหม่ ซึ่งถูกคาดหวังว่าจะช่วยนำทาง Twitter ผ่านช่วงเวลาที่วุ่นวายเหล่านี้

อ้างอิง:

• https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-05-30/twitter-is-worth-33-of-musk-s-purchase-price-fidelity-says
• https://www.reuters.com/technology/fidelity-marks-down-value-twitter-stake-again-2023-05-30/
• https://nypost.com/2023/05/30/fidelity-marks-down-value-of-twitter-stake-for-third-time-since-elon-musk-takeover/ 

The post ความผิดพลาดนับหมื่นล้านดอลลาร์ของ ‘อีลอน มัสก์’ เมื่อมูลค่าของ Twitter ลดลงเหลือ 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับตอนเข้าซื้อครั้งแรก appeared first on THE STANDARD.

Fidelity Investments บริษัทจัดการสินทรัพย์รายใหญ่ระดับโลก กล่าวว่า ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดต่อเศรษฐกิจ คือภาวะสินเชื่อตึงตัว (Credit Crunch) หรือการเพิ่มความเข้มงวดในการออกสินเชื่อของธนาคาร โดยเฉพาะหลังจากการล่มสลายของธนาคาร 2 แห่งในสหรัฐฯ และการเข้าซื้อกิจการ Credit Suisse ของ UBS ทำให้ตลาดการเงินสั่นคลอน และเงื่อนไขการปล่อยเงินกู้เข้มงวดยิ่งขึ้น

Romain Boscher ประธานบอร์ดบริหาร Fidelity Investments ซึ่งมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการประมาณ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ กล่าวว่า “ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดต่อเศรษฐกิจ คือภาวะสินเชื่อตึงตัว (Credit Crunch) ของจริงและที่มองเห็นได้” โดยการแสดงความเห็นครั้งนี้เกิดขึ้นในงาน TradeTech งานสัมมนาด้านตราสารหนี้ในปารีส ในวันที่ 19 เมษายน 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

• เปิดเหตุผล ทำไมวิกฤตสินเชื่อตึงตัวในสหรัฐฯ (ที่ Fed กังวล) อาจก่อตัว ‘เป็นรูปเป็นร่าง’ แล้ว
• เปิดรายงานผลประชุม Fed ประเมินวิกฤตแบงก์ล่ม เป็นสาเหตุฉุดเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยภายในปีนี้
• สี่แบงก์ใหญ่สหรัฐฯ ตั้งสำรองหนี้กว่า 3.4 พันล้านดอลลาร์ ในไตรมาสแรก เพิ่มขึ้น 73% จากปีก่อน

ขณะที่ Shamik Dhar หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ BNY Mellon Investment Management และอดีตเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) กล่าวว่า “เศรษฐกิจได้ถูกหลายสิ่งหลายอย่างโจมตีในเวลาเดียวกัน เราได้เห็นภาวะสินเชื่อตึงตัวอย่างมากในช่วงเดือนที่ผ่านมา”

นอกจากนี้ Dhar ยังมองว่า หากเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อเข้มงวดขึ้นมากพอ เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

ท่ามกลางสภาวะทางเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 2 คนมองว่า ตราสารหนี้ (Fixed Income) คือสินทรัพย์ที่น่าสนใจ

ทั้งนี้ ตราสารหนี้ (Fixed Income) เป็นหลักทรัพย์ที่ออกโดยรัฐบาลหรือองค์กรเอกชน ที่จ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่กำหนดไว้ตามกำหนดเวลา และชำระคืนเงินต้นเมื่อครบอายุของหลักทรัพย์ 

โดยหลังจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Treasury Yield) อายุ 10 ปี  ได้ลดลงไปประมาณ 20 bps แล้วในปีนี้ เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคตยังดูอ่อนแอ

ขณะที่ Boscher ยังกล่าวว่า หุ้น (Equity) ยังคงเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ อย่างน้อยเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาล

อ้างอิง:

• www.reuters.com/business/finance/credit-squeeze-biggest-threat-economic-outlook-asset-managers-2023-04-19/

The post Fidelity จับตาความเสี่ยง ‘สินเชื่อตึงตัว’ หลังแบงก์แห่คุมเข้มการปล่อยสินเชื่อ เผยอาจเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดสำหรับเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

Ant Group บริษัทฟินเทคยักษ์ใหญ่ในเครือ Alibaba Group Holding ถูกปรับลดมูลค่าบริษัทลงอีกครั้งโดย Fidelity Investments หลังจากที่บริษัทถูกรัฐบาลจีนเบรกไม่ให้ขายหุ้น IPO เมื่อ 2 ปีก่อน 

Fidelity ปรับลดประมาณการมูลค่าของ Ant Group ลงอีก 9% มาเหลือ 6.38 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2.05 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำลงอย่างมากจากมูลค่าของบริษัทที่เคยพุ่งขึ้นไปถึง 2.35 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 7.52 ล้านล้านบาท เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2020 ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทถูกสั่งชะลอการขายหุ้น IPO

Ant Group จำเป็นต้องปรับโครงสร้างธุรกิจให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของภาครัฐ ในระหว่างที่รอหน่วยงานกำกับอนุญาตให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจฟินเทคต่อไปได้ ซึ่งล่าสุดหน่วยงานกำกับได้อนุญาตบริษัทสามารถระดมทุนเพิ่ม ในขณะที่ Jack Ma ได้ประกาศวางมือจากการบริหารบริษัทในเดือนนี้ 

จากแรงกดดันทั้งการคุมเข้มโดยหน่วยงานกำกับและเศรษฐกิจจีนที่กำลังชะลอตัวลง ส่งผลให้กำไรของ Ant Group ประจำไตรมาสที่สิ้นสุดเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ลดลง 63% 

ขณะที่ข้อมูลจากแบบแสดงรายการที่เปิดเผยเมื่อเดือนกรกฎาคมระบุว่า Jack Ma ตั้งใจที่จะลดสัดส่วนและจำกัดสัดส่วนการถือหุ้นของเขาทั้งทางตรงและทางอ้อมใน Ant Group ให้ไม่เกิน 8.8% โดยที่จะถือหุ้นเพียงประมาณ 6.2% หลังจากปล่อยมือจากการบริหาร

ด้าน Eric Jing ประธานกรรมการของ Ant Group กล่าวว่า ในท้ายที่สุด Ant Group กลายเป็นบริษัทมหาชน แต่ขณะนี้ยังไม่มีแผนสำหรับการขายหุ้น IPO แต่อย่างใด 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

• ไขคำตอบ…ทำไม หุ้นเวียดนาม ดิ่งเกือบจะหนักสุดของโลก ล้างภาพดาวรุ่งแห่งเอเชีย
• จับตา! หุ้นฮ่องกง ดีดกลับจริงหรือแค่ชั่วคราว หลังผู้นำจีนส่งสัญญาณหนุนตลาดหุ้นอีกครั้ง
• ส่อง 9 ตลาดหุ้นเอเชีย ‘อินโดนีเซีย’ แชมป์เงินไหลเข้ามากสุด และเป็นตลาดหนึ่งเดียวที่ยืนบวก

อ้างอิง:

• Fidelity Cuts Ant Group Valuation by Another 9% to $64 Billion – Bloomberg

The post Fidelity หั่นมูลค่า Ant Group ลงอีก 9% เหลือ 6.4 หมื่นล้านดอลลาร์ จากที่เคยพุ่งสูงถึง 2.35 แสนล้านดอลลาร์ appeared first on THE STANDARD.