UEFA EURO 2020 – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sat, 27 Nov 2021 02:32:38 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 เพลย์ออฟฟุตบอลโลกโซนยุโรประทึก อิตาลีอาจต้องชิงโควตากับโปรตุเกส https://thestandard.co/europe-world-cup-playoffs-italy-vs-portugal/ Sat, 27 Nov 2021 02:32:38 +0000 https://thestandard.co/?p=564804 ยูโร 2020

อิตาลี แชมป์ฟุตบอลยูโร 2020 หรือโปรตุเกสที่นำมาโดย คริส […]

The post เพลย์ออฟฟุตบอลโลกโซนยุโรประทึก อิตาลีอาจต้องชิงโควตากับโปรตุเกส appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยูโร 2020

อิตาลี แชมป์ฟุตบอลยูโร 2020 หรือโปรตุเกสที่นำมาโดย คริสเตียโน โรนัลโด จะมีทีมใดทีมหนึ่งที่จะไม่ได้ไปฟุตบอลโลก หลังมีโอกาสพบกันเองในรอบชิงของเกมเพลย์ออฟโซนยุโรป เพื่อหาทีมไปแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 2022 ที่ประเทศกาตาร์

 

ผลการจับสลากประกบคู่รอบเพลย์ออฟในรอบรองชนะเลิศและรอบชิงชนะเลิศของโซนยุโรปออกมาอย่างเป็นทางการและสร้างความฮือฮาได้อย่างมาก เนื่องจากในรอบชิงชนะเลิศนั้น หากอิตาลีและโปรตุเกส ซึ่งจะพบกับนอร์ทมาซิโดเนียและตุรกีตามลำดับผ่านรอบรองชนะเลิศมาได้จะต้องตัดสินกันเอง และหมายถึงจะมีทีมหนึ่งอกหักไม่ได้ไปฟุตบอลโลกจาก 3 โควตาที่มี

 

โรแบร์โต มันชินี โค้ชทีมอิตาลี ซึ่งก่อนหน้านี้เคยพลาดการไปฟุตบอลโลกครั้งแรกในรอบ 60 ปีมาแล้วในฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย ยอมรับว่าผลการจับสลากนั้นยากมาก “มันเป็นผลจับสลากที่ยากสำหรับเรา นอร์ทมาซิโดเนียเป็นทีมที่ดีมาก และถ้าเราชนะเราก็ยังต้องไปเล่นในเกมเยือน

 

“มันน่าจะดีกว่านี้นิดหน่อย แต่เราก็มั่นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ยากแบบนี้ ขณะที่เราก็พยายามเลี่ยงโปรตุเกส บางทีพวกเขาก็อาจจะไม่อยากเจอเราเหมือนกัน แต่เราจะต้องเล่นให้ดีที่สุดก่อนในเกมกับนอร์ทมาซิโดเนีย แล้วค่อยไปรอดูในรอบชิงชนะเลิศ”

 

นอกจากอิตาลีกับโปรตุเกสแล้ว เวลส์และสกอตแลนด์ สองชาติจากสหราชอาณาจักร อาจจะต้องชิงโควตากันเองหากผ่านไปถึงรอบชิงชนะเลิศ และอีกสาย โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี อาจจะต้องวัดกับ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช หากโปแลนด์และสวีเดนผ่านเข้ามาถึงรอบชิงเช่นกัน

 

สำหรับเกมในรอบรองชนะเลิศและรอบชิงชนะเลิศนั้นจะแข่งขันแบบนัดเดียวจบ โดยจะแข่งในช่วงเวลา 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 24-29 มีนาคม 2022 ส่วนฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศกาตาร์จะมีขึ้นในวันที่ 21 พฤศจิกายน – 18 ธันวาคม ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่จัดการแข่งขันในตะวันออกกลาง

 

ผลการจับสลากเกมเพลย์ออฟ ฟุตบอลโลก 2022

 

รอบรองชนะเลิศ

 

  • สกอตแลนด์ พบ ยูเครน
  • เวลส์ พบ ออสเตรีย
  • รัสเซีย พบ โปแลนด์
  • สวีเดน พบ สาธารณรัฐเช็ก
  • โปรตุเกส พบ ตุรกี
  • อิตาลี พบ นอร์ทมาซิโดเนีย

 

รอบชิงชนะเลิศ

 

  • เวลส์/ออสเตรีย พบ สกอตแลนด์/ยูเครน
  • รัสเซีย/โปแลนด์ พบ สวีเดน/สาธารณรัฐเช็ก
  • โปรตุเกส/ตุรกี พบ อิตาลี/นอร์มาซิโดเนีย

 

อ้างอิง:

The post เพลย์ออฟฟุตบอลโลกโซนยุโรประทึก อิตาลีอาจต้องชิงโควตากับโปรตุเกส appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดีกรีแชมป์ยูโร! เปแอสเช เปิดตัว จานลุยจิ ดอนนารุมมา ช่วยเฝ้าเสายาว 5 ปี https://thestandard.co/psg-unveiled-gianluigi-donnarumma-goal-keeper/ Thu, 15 Jul 2021 01:38:01 +0000 https://thestandard.co/?p=512736 จานลุยจิ ดอนนารุมมา

เมื่อวานนี้ (14 กรกฎาคม) สโมสรปารีส แซงต์ แชร์กแมง หรือ […]

The post ดีกรีแชมป์ยูโร! เปแอสเช เปิดตัว จานลุยจิ ดอนนารุมมา ช่วยเฝ้าเสายาว 5 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
จานลุยจิ ดอนนารุมมา

เมื่อวานนี้ (14 กรกฎาคม) สโมสรปารีส แซงต์ แชร์กแมง หรือ เปแอสเช ยอดทีมแห่งลีกเอิง ฝรั่งเศส ออกแถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์ของสโมสรว่า ได้ทำการเซ็นสัญญา จานลุยจิ ดอนนารุมมา เข้าร่วมทีมแล้ว หลังจากนักเตะหมดสัญญากับอดีตต้นสังกัดเอซี มิลาน เมื่อปลายฤดูกาลที่ผ่านมา โดยผู้รักษาประตูชาวอิตาลีรายนี้ได้เซ็นสัญญาอยู่โยงกับทีมนานถึง 5 ปี ยาวจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2026

 

“ผมรู้สึกดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสโมสรใหญ่แห่งนี้”

 

“ผมรู้สึกพร้อมแล้วสำหรับความท้าทายครั้งใหม่ และพร้อมเติบโตต่อไปที่นี่กับปารีส ผมต้องการพาทีมชนะให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และมอบความสุขให้กับกองเชียร์” ดอนนารุมมากล่าวกับสื่อของเปแอสเช

 

สำหรับมือกาวพรสวรรค์สูงทีมชาติอิตาลีวัย 22 ปีรายนี้ ก้าวเข้าสู่ทีมชุดใหญ่ของ เอซี มิลานในฤดูกาล 2015-16 โดยตลอด 6 ฤดูกาลของเขากับทัพรอสโซเนรี ได้รับโอกาสลงเฝ้าเสาในเซเรียอาไปมากกว่า 215 เกม 

 

ก่อนจะระเบิดฟอร์มกับทีมชาติอิตาลีในศึกยูโร 2020 ด้วยการรับบทฮีโร่เซฟจุดโทษสำคัญในรอบชิงชนะเลิศด้วยการปราบทีมชาติอังกฤษ พร้อมนำทัพอัซซูรีเถลิงแชมป์เป็นสมัยที่ 2 และคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ไปครอง

 

อ้างอิง:

The post ดีกรีแชมป์ยูโร! เปแอสเช เปิดตัว จานลุยจิ ดอนนารุมมา ช่วยเฝ้าเสายาว 5 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยูฟ่าลงโทษอังกฤษ หลังแฟนลักไก่เข้านัดชิงยูโร 5,000 คน พร้อมเผยรูรั่วใหญ่ในระบบ ‘พาสปอร์ตโควิด’ https://thestandard.co/fa-charged-uefa-conduct-england-fans-euro-2020/ Wed, 14 Jul 2021 12:21:32 +0000 https://thestandard.co/?p=512626 ยูฟ่า

นัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโร 2020 นอกจากจะเป็นวันแห่งความเศร […]

The post ยูฟ่าลงโทษอังกฤษ หลังแฟนลักไก่เข้านัดชิงยูโร 5,000 คน พร้อมเผยรูรั่วใหญ่ในระบบ ‘พาสปอร์ตโควิด’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยูฟ่า

นัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโร 2020 นอกจากจะเป็นวันแห่งความเศร้า เมื่องานปาร์ตี้ใหญ่ที่ชาวเมืองผู้ดีเตรียมฉลองต้องพังพินาศไม่มีชิ้นดี เพราะพ่ายต่อทีมชาติอิตาลีในการดวลจุดโทษแล้ว ยังกลายเป็นวันที่น่าอับอายที่สุดอีกวันหนึ่งของประเทศอังกฤษด้วย

 

เพราะบรรยากาศช่วงก่อนที่เกมจะเริ่มต้นขึ้นนั้นเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งของแฟนบอล ที่ต่างปลดปล่อยความดิบเถื่อนออกมาอย่างไม่อายสายตาผู้คน ไม่ว่าจะเป็นภาพของชายที่แก้ผ้ากระโดดร้องเพลง ภาพของชายที่จุดพลุควันแล้วเสียบไว้ที่ก้น หรือภาพของขยะกองมหึมาที่จัตุรัสเลสเตอร์

 

อย่างไรก็ดี ภาพดังกล่าวยังไม่เลวร้ายเท่ากับหลักฐานมากมายของแฟนฟุตบอลที่ไม่มีตั๋วแต่อยากเข้าไปชมเกมนัดชิงครั้งแรกในรอบ 55 ปีของทีม และแห่กันหาทางเข้าสนามตามช่องทางต่างๆ ที่มีความหละหลวมอย่างมากในการป้องกัน โดยที่เจ้าหน้าที่ที่จัดกำลังมาดูแลความเรียบร้อยไม่สามารถที่จะหาทางหยุดแฟนบอลเหล่านี้ได้

 

ตามการเปิดเผยของสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) มี ‘ฮูลิแกน’ จำนวนมากกว่า 5,000 คนที่เข้าไปในสนามเวมบลีย์ได้โดยที่ไม่มีตั๋วเข้าชมการแข่งขัน โดยที่ตัวเลขนี้เป็นแค่การประเมินเบื้องต้น และอาจเพิ่มสูงกว่านี้ได้อีกเมื่อการสอบสวนเสร็จสมบูรณ์

 

โดยแฟนบอลที่ลักไก่หาทางเข้าสนามผ่านประตูที่ชำรุดหรือทางเข้าต่างๆ นั้นยังทะลักเข้าไปแม้กระทั่งในช่วงของการต่อเวลาพิเศษเลยทีเดียว และกระจายกันไปนั่งตามเก้าอี้ว่างที่ไม่มีคนนั่ง เนื่องจากในเกมนี้รัฐบาลอังกฤษอนุญาตให้แฟนบอลเข้าชมได้ 60,000 คน หรือ 2 ใน 3 ของความจุสนาม

 

มาตรการการรักษาความปลอดภัยที่เปราะบาง ยังถูกสะท้อนให้เห็นจากคลิปที่แฟนบอลด้วยกันเองพยายามที่จะไล่แฟนบอลที่ไม่มีตั๋วและมาแย่งที่นั่งออกไปภายในสนามเวมบลีย์ ซึ่งก็ถึงขั้นลงไม้ลงมือกันเลยทีเดียว

 

หนึ่งในแฟนผู้เคราะห์ร้ายคือคุณพ่อของ แฮร์รี แม็กไกวร์ ปราการหลังตัวหลักของทีมชาติอังกฤษ ที่ได้รับบาดเจ็บถึงขั้นซี่โครงอาจจะหักจากเหตุการณ์ในวันนั้น

 

ตามรายงานแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้กระทำความผิดในข้อหาต่างๆ ได้ 86 ราย ในจำนวนนี้ 53 รายจับได้ที่เวมบลีย์ โดยมีเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บมากถึง 19 รายด้วยกัน

 

จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ยูฟ่าสั่งลงโทษปรับสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) ร่วมกับข้อหาอีกหลายกระทง ดังนี้

 

  • ปล่อยให้มีแฟนบอลวิ่งลงไปในสนาม
  • มีแฟนบอลขว้างปาวิ่งของลงมาในสนาม
  • มีการทำเสียงรบกวนเพลงชาติของทีมคู่แข่ง

 

ยูฟ่า

 

อย่างไรก็ดี สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ยังไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจเท่ากับมาตรการในการตรวจสอบและยืนยันตัวตนด้วย ‘พาสปอร์ตโควิด’ (Covid Passport) ที่รัฐบาลอังกฤษหวังจะนำมาใช้เพื่อรองรับกิจกรรมที่มีผู้ชมจำนวนมาก เพื่อป้องกันแฟนจากการแพร่ระบาดของโควิด

 

โดยสิ่งที่น่าตกใจคือความหละหลวมของระบบดังกล่าวยังมีอยู่มาก ในระดับที่แฟนๆ สามารถแชร์ QR Code และผลตรวจกันได้ง่ายๆ

 

ความ ‘มั่ว’ ยังไปถึงขั้นที่มีแฟนบอลเปิดเผยว่า พวกเขาใช้ QR Code ที่เป็นรหัสส่วนลดของร้านพิซซ่ายื่นให้แก่เจ้าหน้าที่ซึ่งมีจำนวนคนไม่เพียงพอ และทำได้แค่ตรวจเช็กแบบผ่านๆ ไม่ละเอียด ก็ยังสามารถเข้าไปในสนามได้ หรือบางคนก็ใช้ QR Code ของคนในครอบครัวก็สามารถผ่านเข้าไปได้เช่นกัน

 

“ไม่มีตัวอ่าน QR Code ที่เวมบลีย์” แฟนบอลรายหนึ่งเผย “เจ้าหน้าที่ถามแค่ว่า QR Code นี่หมายถึงได้รับวัคซีนครบใช่ไหม พอบอกว่าใช่ ก็ปล่อยให้ผ่านเข้าไปเลยทั้งๆ ที่ QR Code ที่แสดงเป็นของร้านพิซซ่า”

 

ขณะที่การแข่งขันเทนนิสวิมเบิลดัน ซึ่งมีแฟนเข้าไปชม 15,000 คนนั้นไม่มีปัญหาในระดับเดียวกับที่เกมนัดชิงฟุตบอลยูโรเจอ เนื่องจากแฟนๆ ที่ไปมีความสุภาพมากกว่า แต่ปัญหาเรื่องการตรวจสอบพาสปอร์ตโควิดที่ไร้ประสิทธิภาพไม่แตกต่างกัน

 

จุดนี้เป็นคำถามใหญ่ที่รัฐบาลอังกฤษต้องหาคำตอบและหาทางจัดการแก้ไขให้ได้ เนื่องจากในอีก 4 สัปดาห์ข้างหน้า ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกจะกลับมาเปิดประตูสนามให้แฟนๆ เข้าได้เต็มความจุเหมือนก่อนหน้ายุคโควิด ซึ่งอาจจะมีแฟนบอลมากถึง 70,000 คนเข้าสนามพร้อมกัน ซึ่งมีโอกาสจะเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกัน

 

อย่างไรก็ดี โดยหลักการทำงานของแอปพลิเคชัน NHS Covid App จะบันทึกข้อมูลว่าได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 โดสหรือไม่ และมีการผลการตรวจหาไวรัสเป็นลบ หรือมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ QR Code ที่แอปฯ สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการระบุสถานะเกี่ยวกับโควิดของแต่ละบุคคล หรือพูดง่ายๆ คือ หากเจ้าหน้าที่มีการตรวจตราอย่างเข้มงวดตามขั้นตอนจริงก็ไม่น่ามีปัญหา

 

แต่ปัญหาอยู่ที่การตรวจดูแบบผ่านๆ เพราะเจ้าหน้าที่ไม่สามารถรองรับการเข้ามาของแฟนบอลจำนวนมหาศาลได้ อีกทั้งแฟนกีฬาบางส่วนเองก็มีเจตนาโกหกผลการตรวจด้วยวิธีการต่างๆ

 

ท่ามกลางการระบาดที่รุนแรงขึ้นของเชื้อสายพันธุ์เดลตา ข่าวความล้มเหลวของระบบ การอาละวาดของฮูลิแกน การลักลอบเข้าไปในสนามเกินกว่าที่กำหนดความจุให้ และความเสี่ยงที่อาจจะกลายเป็นคลัสเตอร์ยักษ์ สิ่งเหล่านี้อาจเลวร้ายยิ่งกว่าความพ่ายแพ้ของทีมชาติอังกฤษในนัดชิงฯ ยูโรเสียอีก

 

ไม่นับความหวังที่อยากจะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2030 ที่อาจจะดับวูบได้ เพราะทำ ‘งามหน้า’ กันขนาดนี้

 

อ้างอิง:

The post ยูฟ่าลงโทษอังกฤษ หลังแฟนลักไก่เข้านัดชิงยูโร 5,000 คน พร้อมเผยรูรั่วใหญ่ในระบบ ‘พาสปอร์ตโควิด’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘อยากให้รู้ว่ารักเธอ’ ปรากฏการณ์แฟนบอลอังกฤษออกมาปกป้องฮีโร่ที่ชื่อว่า ‘มาร์คัส แรชฟอร์ด’ https://thestandard.co/england-football-fans-defend-marcus-rashford/ Tue, 13 Jul 2021 12:02:42 +0000 https://thestandard.co/?p=512189 Marcus Rashford

เพราะความผิดหวังจากเกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโร 2020 ที่ผ […]

The post ‘อยากให้รู้ว่ารักเธอ’ ปรากฏการณ์แฟนบอลอังกฤษออกมาปกป้องฮีโร่ที่ชื่อว่า ‘มาร์คัส แรชฟอร์ด’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Marcus Rashford

เพราะความผิดหวังจากเกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโร 2020 ที่ผ่านมา ทำให้แฟนฟุตบอลอังกฤษบางส่วนได้ระเบิดความโกรธออกมาในรูปแบบของพลังงานลบที่น่ารังเกียจ

 

คนที่ตกเป็นเป้าหมายคือ 3 นักเตะดาวรุ่งของทีมที่ได้รับมอบหมายจาก แกเร็ธ เซาท์เกต (ขีดเส้นใต้ตรงนี้) ให้ทำหน้าที่ที่สำคัญที่สุดในรอบ 55 ปีของทีมสิงโตคำรามในการดวลจุดโทษกับทีมชาติอิตาลี ที่มี จานลุยจิ ดอนนารุมมา ยอดนายทวารอายุน้อยแต่เก่งเป็นอันดับต้นๆ ของโลก

 

มาร์คัส แรชฟอร์ด กองหน้าวัย 22 ปี ในฐานะมือสังหารหมายเลข 3, จาดอน ซานโช ปีกวัย 21 ปี ในฐานะมือสังหารหมายเลข 4 และ บูกาโย ซากา น้องเล็กสุดในวัย 19 ปี ผู้ได้รับมอบหมายมือสังหารคนสุดท้าย ทั้งสามถูกด่าทอด้วยถ้อยคำที่รุนแรง เหยียดสีผิวและเชื้อชาติของพวกเขา ซึ่งเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจที่สุดที่ทุกคนพยายามต่อสู้อย่างหนักเพื่อกำจัดสิ่งนี้ไปจากเกมฟุตบอล

 

ใน 3 คนนี้ คนที่เจ็บหนักที่สุดคือซากา ในฐานะน้องเล็ก แต่อีกคนที่เจ็บปวดไม่แพ้กันคือแรชฟอร์ด ซึ่งในช่วงก่อนหน้านี้ได้พยายามทำอย่างเต็มที่ จนเรียกได้ว่าเกินหน้าที่ของนักฟุตบอลเพื่อช่วยเหลือสังคม โดยเฉพาะการต่อสู้เพื่อช่วยเหลือเด็กจากครอบครัวที่ยากไร้ที่ประสบปัญหาขาดแคลนอาหารตั้งแต่ช่วงของการล็อกดาวน์เป็นต้นมา

 

รางวัลเล็กๆ ที่แรชฟอร์ดได้รับจากสังคมคือภาพกราฟฟิตี้บนฝาผนัง (Mural) ที่ศิลปินรังสรรค์ขึ้นเพื่อแทนคำขอบคุณสำหรับสิ่งที่เขาทำเพื่อทุกคน

 

และเป็นภาพนี้เช่นกันที่ถูกแฟนบอลนิสัยเสียพ่นสเปรย์ด้วยถ้อยคำหยาบคาย เพื่อหวังระบายความผิดหวังจากความปราชัยของอังกฤษที่พลาดโอกาสสำคัญในการจะคว้าแชมป์ฟุตบอลระดับเมเจอร์ครั้งแรกนับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1966

 

ภาพที่เกิดขึ้นเป็นภาพที่สะเทือนความรู้สึกอย่างยิ่งสำหรับคนที่ได้พบเห็น และนั่นเองที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่งดงาม เมื่อแฟนฟุตบอลที่ทนไม่ไหวตัดสินใจมาช่วยกันซ่อมข้อความดังกล่าวด้วยวิธีง่ายๆ ตามมีตามเกิดก่อน

 

พลาสติกสีดำหลายแผ่นถูกนำมาปิดทับข้อความผรุสวาทที่น่ารังเกียจเป็นลำดับแรก

 

จากนั้นก็มีคนนำสติกเกอร์รูปหัวใจมาช่วยตกแต่งให้สวยงาม พร้อมเขียนข้อความสั้นๆ ถึงแรชฟอร์ด Hero, Son, Brother และ Role Model

 

ก่อนจะมีคนนำกระดาษโพสต์อิทมาช่วยกันปิดทับ เพื่อส่งกำลังใจถึงฮีโร่ของพวกเขา จนเต็มภาพไปหมด

 

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นปรากฏการณ์ใหม่ในวงการฟุตบอลอังกฤษที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งแตกต่างจากหลายครั้งที่ผ่านมาที่นักฟุตบอลจะกลายเป็นแพะรับบาปของคนในชาติ หากทำผลงานได้น่าผิดหวังหรือทำผิดพลาดอะไรสักอย่าง (แม้แต่ เดวิด เบ็คแฮม ยังถูกขู่ฆ่าหลังโดนไล่ออกในเกมฟุตบอลโลก 1998)

 

คราวนี้แฟนฟุตบอลได้ร่วมกันออกมาแสดงพลังปกป้องนักฟุตบอลที่เป็นมากกว่านักฟุตบอล เพราะสิ่งที่แรชฟอร์ดทำให้แก่ทุกคนนั้นมันมากมายจนไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรไหว และต่อให้จะทำผลงานได้ไม่ดีในสนามอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ

 

ทุกคนรู้ว่าเขาทำเต็มที่แล้ว เหมือนที่เขาพยายามช่วยสังคมอย่างเต็มที่ตลอดมา ทั้งๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่หรืองานที่เขาต้องทำด้วยซ้ำ ดังนั้นถึงจะเป็นที่สองในสนาม แต่แรชฟอร์ดคือที่หนึ่งในใจเสมอ

 

ในวันที่มีคนคิดร้าย แฟนๆ เหล่านี้จึงพร้อมกันออกมาปกป้องแรชฟอร์ด และส่งเสียงจากใจให้เขาได้รับรู้


อยากให้รู้ว่ารักเธอ 🙂

 

 

จดหมายน้อยจากแรชฟอร์ด

 

หลังสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด แรชฟอร์ดได้เขียนจดหมายน้อยถึงทุกคน มีใจความดังนี้

 

“ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไรดี และผมก็ไม่รู้ว่าจะหาคำพูดมาบรรยายความรู้สึกของผมในเวลานี้ได้อย่างไร ผมมีฤดูกาลที่ยากลำบาก ผมคิดว่าทุกคนก็คงเห็นเรื่องนี้ได้ชัดเจนอยู่แล้ว และผมก็น่าจะลงเล่นในนัดชิงโดยที่ไม่มีความมั่นใจสักเท่าไร

 

“ผมเป็นคนที่พร้อมจะทำหน้าที่ในการยิงจุดโทษเสมอ เพียงแต่มันมีความรู้สึกว่าบางอย่างมันไม่ใช่นัก ตลอดช่วงที่ผมวิ่งยาวๆ ก่อนยิง ผมพยายามทำเพื่อให้เวลากับตัวเองสักเล็กน้อย แต่โชคร้ายที่ผลลัพธ์ของมันไม่ได้ออกมาเป็นอย่างที่ผมต้องการ

 

“ผมรู้สึกว่าผมได้ทำให้เพื่อนๆ ทุกคนผิดหวัง ผมรู้สึกว่าผมได้ทำให้ทุกคนผิดหวัง การยิงจุดโทษเป็นสิ่งที่ผมพยายามขอทำหน้าที่เพื่อทีม ปกติแล้วต่อให้หลับผมก็ยิงเข้า แต่ทำไมมันถึงต้องเป็นลูกนี้ด้วยนะที่ไม่เข้า? ผมคิดเรื่องนี้วนไปวนมาในหัวตลอดเวลานับตั้งแต่ที่ผมยิงลูกนี้ และมันก็ไม่น่าจะมีคำใดมาอธิบายเรื่องนี้ได้ นี่คือนัดชิงชนะเลิศครั้งแรกในรอบ 55 ปีกับการยิงจุดโทษครั้งเดียวและประวัติศาสตร์ สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงแค่การขอโทษ ผมก็หวังว่ามันจะออกมาเป็นอีกอย่างเหมือนกัน

 

“ในระหว่างที่ผมอยากขอโทษทุกคน ผมก็อยากจะส่งข้อความถึงเพื่อนร่วมทีมทุกคน ฤดูร้อนนี้คือหนึ่งในแคมป์ที่ดีที่สุดที่ผมได้เคยพบมา และมันเป็นเช่นนี้ได้ก็เพราะทุกคน ความเป็นพี่น้องของพวกเราจะไม่มีวันถูกทำลาย ความสำเร็จของพวกคุณคือความสำเร็จของผม ความล้มเหลวของพวกคุณก็คือความล้มเหลวของผมเช่นกัน ผมเติบโตมาในวงการกีฬาที่ผมคาดหวังจะได้อ่านเรื่องราวที่คนเขียนถึงตัวของผมเอง ไม่ว่าจะเป็นสีผิว ที่ที่ผมเติบโตมา หรือล่าสุดอย่างเรื่องการใช้เวลาว่างนอกสนามของผม

 

“ผมสามารถรับการวิจารณ์ในเรื่องผลงานของผมได้ตลอด เพราะผมยิงจุดโทษได้ไม่ดีพอจริง มันควรจะเข้าไป แต่สิ่งหนึ่งที่ผมจะไม่มีวันขอโทษคือตัวตนของผมและสถานที่ที่ผมเติบโตมา สำหรับผมไม่มีช่วงเวลาไหนจะภาคภูมิใจไปกว่าในตอนที่ได้สวมเสื้อที่มีตราสิงโต 3 ตัวบนหน้าอก และได้เห็นครอบครัวของผมเชียร์ผมท่ามกลางผู้คนนับหมื่นนับแสน ผมฝันถึงช่วงเวลานี้มาโดยตลอด

 

“ข้อความที่ผมได้รับในวันนี้มันดีต่อใจ และการได้เห็นสิ่งที่คนในวิทธิงตันทำเพื่อผม มันทำให้ผมแทบกลั้นน้ำตาไม่ไหว ชุมชนที่พร้อมจะกางแขนเพื่อโอบกอดผม พยายามที่จะฉุดให้ผมลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

 

“ผมคือ มาร์คัส แรชฟอร์ด ชายผิวดำวัย 23 ปี จากวิทธิงตันและไวเธินชอว์ เซาธ์แมนเชสเตอร์ ต่อให้ชีวิตนี้ผมไม่มีอะไรเลยก็ตาม ผมก็ยังมีสิ่งนี้อยู่

 

“ขอบคุณสำหรับทุกข้อความอันอบอุ่นที่พวกคุณส่งผม ผมจะกลับมาอย่างเข้มแข็งขึ้น และเราจะกลับมาเข้มแข็งกว่าเดิม”

 

MR10

 

อ้างอิง:

The post ‘อยากให้รู้ว่ารักเธอ’ ปรากฏการณ์แฟนบอลอังกฤษออกมาปกป้องฮีโร่ที่ชื่อว่า ‘มาร์คัส แรชฟอร์ด’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
บทสรุปยูโร 2020: ‘Rinascita’ กับคำสัญญาของอิตาลีที่ได้รับการเติมเต็ม https://thestandard.co/euro-2020-summary/ Mon, 12 Jul 2021 14:30:54 +0000 https://thestandard.co/?p=511807 บทสรุปยูโร 2020

ในวันที่ โรแบร์โต มันชินี เข้ารับตำแหน่งโค้ชทีมชาติอิตา […]

The post บทสรุปยูโร 2020: ‘Rinascita’ กับคำสัญญาของอิตาลีที่ได้รับการเติมเต็ม appeared first on THE STANDARD.

]]>
บทสรุปยูโร 2020

ในวันที่ โรแบร์โต มันชินี เข้ารับตำแหน่งโค้ชทีมชาติอิตาลีเมื่อปี 2018 วันนั้นเขาได้ลั่นวาจาที่เป็นดังคำสัญญาเอาไว้

 

“ผมจะพาอิตาลีกลับไปสู่จุดที่พวกเราควรอยู่ ณ จุดสูงสุดของยุโรปและของโลก เราไม่ได้แชมป์ฟุตบอลยูโรมาหลายปีแล้ว ดังนั้นมันจะเป็นเป้าหมายอันดับแรกของเรา”

 

การประกาศครั้งนั้นช่างสวนทางกับความเป็นจริงของทีมชาติอิตาลีที่เข้าสู่ยุคมืดเมื่อ จาน ปิเอโร เวนตูรา ไม่สามารถพาทีมผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศรัสเซียในปี 2018 ได้

 

และเกมแรกที่มันชินีได้เริ่มต้นงานของเขาคือการนำอิตาลีลงสนามในเกมกระชับมิตรกับทีมชาติซาอุดีอาระเบีย ชาติจากเอเชียที่ขอใช้อิตาลีเป็นแค่ ‘คู่ซ้อม’ เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมของพวกเขาก่อนหน้าที่จะเดินทางไปลุยฟุตบอลโลก

 

วันนั้นไม่มีใครคิดหรอกว่าในอีก 3 ปีต่อมาอิตาลีจะก้าวมาเป็นแชมป์ยุโรปได้จริง

 

ก่อนหน้าที่อิตาลีจะลงแข่งขันยูโร 2020 พวกเขาไม่ได้อยู่ในสถานะของทีมตัวเก็งเต็งแชมป์ เพราะสายตาผู้คนจับจ้องไปที่ความยอดเยี่ยมของฝรั่งเศส, Golden Generation ของเบลเยียม และเหล่าสิงโตหนุ่มกลัดมันของอังกฤษที่เต็มไปด้วยนักเตะพรสวรรค์มากมาย

 

แต่ ‘อัซซูรี’ (แปลว่าสีน้ำเงิน) ก็มีความตั้งใจของพวกเขาเหมือนกัน

 

มันเริ่มตั้งแต่คอนเซปต์ของชุดแข่งขันในรายการนี้ที่มาในแนวคิด ‘Renaissance’ (Rinascita) หรือการกลับมากำเนิดใหม่ – ซึ่งสื่อถึงยุคสมัยของการฟื้นฟูศิลปวิทยา (ค.ศ.1450-1600) ที่ชาวยุโรปกลับมาสร้างบ้านแปงเมืองอีกครั้งหลังจากที่ปล่อยปละละเลยให้ทรุดโทรมมาอย่างยาวนาน

 

ศูนย์กลางของยุคเรเนสซองส์นั้นอยู่ที่ประเทศอิตาลี และเป็นยุคที่กำเนิดยอดศิลปินมากมาย ผลงานของพวกเขาเหล่านั้นยังคงเป็นงานศิลปะชิ้นเอกของโลกที่อยู่เหนือกาลเวลาแม้ว่าจะล่วงเลยมาแล้วหลายร้อยปีก็ตาม

 

ศิลปินที่ลือชื่อในยุคนั้นมีมากมาย แต่ที่หลายคนรู้จักกันดีคือ เลโอนาร์โด ดา วินชี (โมนา ลิซา), มีเกลันเจโล (รูปปั้นเดวิด),​ ราฟาเอล (La Fornarina) และโดนาเตลโล (รูปหล่อสำริดเดวิด) เป็นต้น (และทั้ง 4 คนได้ถูกนำไปตั้งชื่อเป็นตัวละครนินจาเต่า…)

 

แรงบันดาลใจจากยุคสมัยดังกล่าวนั้นเข้ากับทีมชาติอิตาลีได้เป็นอย่างดี พวกเขาปล่อยปละละเลยเกมฟุตบอล – หนึ่งในความสุขสูงสุดของชาติ – มายาวนาน ความสำเร็จแบบไม่คาดฝันกับการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2006 ไม่ได้รับการสานต่อ วงการฟุตบอลอิตาลีซบเซา กัลโช เซเรีย อา ตกต่ำเสียสถานะลีกที่ดีที่สุดของโลกไปให้แก่พรีเมียร์ลีกแบบยากที่จะทวงกลับ

 

จนได้มันชินีเข้ามากอบกู้แก้ไขทุกอย่าง เริ่มต้นกันใหม่ (อ่าน ‘Azzurri’ อิตาลีคืนชีพจากเถ้าถ่าน กลับมาเป็นทีมฟุตบอลที่ดีอีกครั้งได้อย่างไร) ที่แก้ไขกันตั้งแต่เรื่องของแนวคิด ระบบการเล่น สไตล์ ไปจนถึงเหล่าขุนพลที่เขาจะเลือกใช้

 

ทีมชาติอิตาลีชุดยูโร 2020 จึงเป็นทีมที่ไม่มีซูเปอร์สตาร์แบบ ‘ข้ามาคนเดียว’ เหมือนสมัยก่อนที่จะมี Fantasista หรือตัวทำเกมที่เป็นพระเอกอย่าง โรแบร์โต บาจโจ, อเลสซานโดร เดล ปิเอโร หรือ ฟรานเชสโก ต็อตติ เพราะนักเตะเหล่านี้ดับสูญไปหมดแล้ว

 

อิตาลีชุดนี้ก็ไม่มี Resista หรือคนคุมเกมอย่าง อันเดรีย ปิร์โล ที่เป็นเหมือนวาทยากรในวงออร์เคสตรา กำหนดจังหวะการเล่นของทีม

 

 

แต่มันชินีมีนักเตะที่เล่นได้เข้ากับระบบการเล่นอย่างดีในทุกจุด โดยที่ทุกคนหากได้โอกาสลงสนามจะพร้อมทุ่มเทอย่างเต็มที่ ไม่มีเกี่ยงงอนว่าข้าตัวสำรอง เอ็งตัวจริง หรือข้าตัวจริง เอ็งตัวสำรอง

 

และเป็นพวกเขาเองที่กำหนด ‘โทน’ ของฟุตบอลยูโรหนนี้ให้กลายเป็นยูโรที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยการงัดฟอร์มระดับพระกาฬไล่ถล่มตุรกีตั้งแต่เกมแรกในการเปิดสนามที่สนามสตาดิโอ โอลิมปิโก ในกรุงโรมอันเกรียงไกร

 

หลังจากนั้นอิตาลีฝ่าฟันเรื่อยมา และไม่ใช่เส้นทางที่ง่ายเลย ในแต่ละนัดมันมีความยากในแบบที่พวกเขาต้องเหน็ดเหนื่อยจนรากเลือดเสมอ โดยเฉพาะนับตั้งแต่เข้าสู่รอบน็อกเอาต์เป็นต้นมา ที่ไม่มีทีมไหนจะยอมปล่อยให้พวกเขาเดินหน้าบดข้างเดียว

 

กว่าจะผ่านออสเตรียมาได้ก็ต้องเล่นกันถึงช่วงของการต่อเวลาพิเศษ

 

กว่าจะผ่านเบลเยียมมาได้ก็แลกด้วยอาการบาดเจ็บของ เลโอนาร์โด สปิ​นาซโซลา แบ็กซ้ายที่เป็นเหมือนลูกสูบทรงพลังที่ขับเคลื่อนทีมด้วยความเร็วสูง

 

และกว่าจะผ่านสเปนมาได้ พวกเขาก็ต้องเล่นแบบตั้งรับอย่างอดทนเป็นครั้งแรกในรายการ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเจอใครก็ตามก็สามารถคอนโทรลเกมได้อย่างหมดจด สุดท้ายก็ผ่านมาได้ด้วยชัยชนะแบบถึงฎีกากับการดวลจุดโทษ

 

แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรยากไปกว่าการที่ทีมของมันชินีต้องเป็นฝ่ายตามหลังอังกฤษ คู่ชิงชนะเลิศที่ได้เล่นในสนามเวมบลีย์ของตัวเองท่ามกลางแฟนบอลกว่า 60,000 คน และบทเพลง Three Lions ดังกระหึ่มตลอดเวลา

 

It’s coming home

It’s coming home

It’s coming home

Football’s coming home

 

อังกฤษภายใต้การนำของ แกเร็ธ เซาท์เกต ไต่ทะยานขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของความมั่นใจ หลังจากที่พวกเขาเอาชนะเดนมาร์กได้ในรอบรองชนะเลิศ ด้วยฟอร์มการเล่นที่ใช้ได้ ขุมกำลังที่ดี ยุทธศาสตร์และการวางแผนไม่ผิดพลาดรัดกุม และบรรยากาศยิ่งเป็นใจ

 

หลัง 55 ปีของความเจ็บปวด ชาวอังกฤษและทีมชาติอังกฤษมีความเชื่อและความหวังว่านี่คงจะถึงคราของพวกเขาเสียที และประตูตั้งแต่ 1 นาที 57 วินาทีของ ลุค ชอว์ ก็ชวนให้คิดเป็นอื่นไปไม่ได้

 

มันเป็นจังหวะการเล่นที่ตระเตรียมซักซ้อมมาอย่างดี เมื่อ แฮร์รี เคน กัปตันทีมถอนตัวลงมาต่ำเพื่อดึงตัวประกบและทำเกม ก่อนจะเลือกจ่ายเปลี่ยนแกนออกทางฝั่งขวาให้ คีแรน ทริปเปียร์ วิงแบ็กที่เซาท์เกตส่งลงตัวจริงวันนี้เพื่อรับมือกับเกมริมเส้นของอิตาลีโดยเฉพาะ ได้บอลและเปิดลึกมาเสาไกลให้ชอว์ที่เติมมาโล่งๆ ไม่มีคนประกบยิงฮาล์ฟวอลเลย์เข้าไป

 

วินาทีนั้นเส้นโค้งเหนือสนามเวมบลีย์ (Wembley Arch) แทบถล่ม ไม่ต้องสงสัยว่าในใจของคนอังกฤษย่อมคิดว่าฟุตบอลจะได้กลับบ้านเสียทีหลังจากที่ไปอยู่บ้านอื่นเมืองอื่นมานาน (ในความหมายคือประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของเกมฟุตบอลจะได้เป็นแชมป์อีกครั้งหลังทนเห็นชาติอื่นเขายิ่งใหญ่มาตลอด)

 

สำหรับอิตาลีไม่มีงานไหนจะยากกว่านี้อีกแล้ว ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริงเพราะอังกฤษไม่เพียงแต่จะเล่นเกมรับได้อย่างเหนียวแน่น พวกเขายังปิดการทำเกมได้แทบทั้งหมดจนทีมของมันชินีแทบหาทางไปไม่เจอ

 

ถ้ามองตามสถิติการเล่นในรายการนี้ อังกฤษเสียประตูไปเพียงแค่ลูกเดียวเท่านั้น และมันก็ไม่ได้มาจากจังหวะการเล่นโอเพ่นเพลย์ด้วย แต่เป็นลูกฟรีคิกมหัศจรรย์ของ มิคเกล ดัมส์การ์ด ที่ยิงให้เดนมาร์กขึ้นนำก่อนในรอบรองชนะเลิศ นั่นหมายถึงเกมรับของสิงโตคำรามน่าเกรงขามอย่างแท้จริง

 

หนักกว่านั้นคืออิตาลีเองก็ไม่เคยตกเป็นฝ่ายตามหลังมาก่อนเลยในรายการนี้ แม้กระทั่งในเกมกับเบลเยียมหรือสเปน พวกเขาก็เป็นฝ่ายขึ้นนำไปก่อน

 

อย่างไรก็ดีทีมของมันชินีได้แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติสุดท้ายที่สำคัญสำหรับทีมที่ยิ่งใหญ่

 

พวกเขาไม่ทิ้งความเชื่อและไม่ละความพยายาม

 

ในช่วงเวลาของความอึดอัด อิตาลียังคงพยายามทำทุกอย่างตามแผน พวกเขาไม่ได้รีบร้อนในการเปิดเกมเข้าใส่แบบหุนหัน แต่ค่อยๆ เปิดเกมจากแดนหลังขึ้นมาอย่างใจเย็น ช่องไหนปิดก็หาช่องใหม่ ช่องไหนเปิดพอลองของได้ก็ลอง

 

จอร์จินโญ เมโทรนอม นำเข้าจากบราซิล (อ่าน จอร์จินโญ เครื่องกำหนดจังหวะ ‘อัซซูรี’ ที่นำเข้าจากบราซิล เรียนฟุตบอลจากแม่ และกำลังพาทีมลุ้นแชมป์ยูโร) ค่อยๆ สร้างสรรค์เกมร่วมกับ มาร์โก แวร์รัตติ อย่างประณีต เป็นศิลปะที่พลิ้วไหวอยู่ในแดนกลางของสนาม

 

ที่แนวรุกพวกเขามี เฟเดริโก เคียซา สายฟ้าฟาดทายาทของ เอ็นริโก เคียซา อดีตหัวหอกระดับตำนานยุค 90 ที่กลายเป็นหนึ่งในดาวจรัสแสงของยูโรหนนี้ ซึ่งใช้ความเร็ว ทักษะลีลาการเลี้ยงบอล และความกล้าหาญบุกเข้าใส่เหมือนฝีแปรงที่ตวัดด้วยความร้อนแรง

 

และแนวรับแม้จะอายุมากกันทั้งคู่แต่ The Art of Defence ของ เลโอนาร์โด โบนุชชี และ จอร์โจ คิเอลลินี ยังหนักแน่นมั่นคงเสมอ

 

บทสรุปยูโร 2020

 

ผมนั่งดูเกมนัดนี้ไปก็อดคิดไม่ได้ว่า ในขณะที่อังกฤษอาจจะคิดและเล่นแบบมีกลยุทธ์ มีวิธีเข้าตี โอบล้อม และตั้งรับ

 

แต่อิตาลีคิดและเล่นแบบงานศิลปะ ประณีต บรรจง จดจ่อ ตั้งใจ และไม่ท้อที่จะหาแนวทางใหม่ๆ ดังจะเห็นได้จากการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเกมอย่างรวดเร็วทันใจของมันชินี ที่ปรับหมากเปลี่ยนตัวกันอย่างสนุก

 

สุดท้ายคนที่ไม่มีใครคาดคิดอย่างโบนุชชีก็เป็นคนตีเสมอได้ในช่วงครึ่งเวลาหลัง ซึ่งแม้สุดท้ายจะเอาชนะกันในเกมไม่ได้ แต่อย่างน้อยที่สุดอิตาลีก็ไม่แพ้ใครในเวลาเป็นเกมที่ 34 ติดต่อกัน สถิตินี้เป็นรองเพียงแค่บราซิลเจ้าของสถิติไร้พ่ายตลอดกาลสูงสุด 35 นัด

 

ส่วนในช่วงของการต่อเวลาพิเศษและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการดวลจุดโทษนั้นมันเป็นเรื่องของดวง ซึ่งเทพีแห่งโชคไม่ได้หันมายิ้มให้เซาท์เกตและทีมของเขา

 

ผมเองก็อดเสียใจแทนไม่ได้ เพราะด้วยตัวผู้เล่นที่มีแล้ว แกเร็ธ เซาท์เกต สามารถจะทำให้อังกฤษชุดนี้เป็นทีมที่เล่นได้น่าตื่นตาตื่นใจมากที่สุดทีมหนึ่งได้ไม่ยาก (เอาแค่ 3 กองหน้า กรีลิช, เคน, ซานโช ก็ระทึกแล้ว) แต่เขาตัดสินใจเลือกแนวทางเน้นความแน่นอนมาก และมันกลับมาเป็นผลเสียในเกมที่สำคัญที่สุด

 

แม้กระทั่งการตัดสินใจเลือกผู้เล่นที่จะรับหน้าที่สังหารจุดโทษเองก็ดูผิดที่ผิดทาง เหมือนคนที่คิดเยอะและคิดมากจนเกินไป

 

ขณะที่อิตาลีพวกเขาทำทุกอย่างตามธรรมชาติ แถมยังมีคนเหนือธรรมชาติอย่าง จานลุยจิ ดอนนารุมมา ผู้รักษาประตูในคำทำนายที่ถูกคาดหมายมานานว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นตำนานบทใหม่ต่อจาก จานลุยจิ บุฟฟอน ซึ่งในที่สุดเขาก็ทำได้ตามคำทำนายจริงในเกมนี้

 

ลูกยิงของ บูกาโย ซากา เด็กน้อยวัย 19 ปีผู้น่าสงสารที่ถูกดอนนารุมมาบินไปปัดได้ (และเป็นการเซฟจุดโทษลูกที่ 3 ของวัน) ทำให้อิตาลีกลายเป็นแชมป์

 

คำสัญญาที่มันชินีให้ไว้เมื่อ 3 ปีก่อนได้รับการเติมเต็มไปแล้วหนึ่งอย่าง

 

อิตาลีกลับมาอยู่ในจุดสูงสุดของยุโรปได้อีกครั้ง ศิลปวิทยาลูกหนังกลับมาเรืองรอง

 

และนี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะปีหน้าฟุตบอลโลกจะกลับมา

 

อ้างอิง:

 


แถม!

10 เรื่องที่น่าประทับใจที่สุดของการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020

 

 

1. Tiny Football Car ผู้เชิญลูกฟุตบอล

เซอร์ไพรส์แรกของการแข่งขันคือเจ้ารถบังคับคันน้อยที่เป็นผู้เชิญลูกฟุตบอลในครั้งนี้

 

บทสรุปยูโร 2020

 

2. นาทีชีวิต คริสเตียน อีริกเซน

วินาทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฟุตบอลยูโร 2020 คือตอนที่เราทุกคนได้รู้ว่า คริสเตียน อีริกเซน ยังมีลมหายใจอยู่

 

3. ผู้ชมเต็มสนามปุสกัส อารีนา

ภาพของผู้ชมเต็มความจุสนามปุสกัส อารีนา กว่า 67,000 คน คือบรรยากาศที่ชวนขนลุก เพราะโควิดแทบจะทำให้ลืมสิ่งที่เคยเป็นเรื่องธรรมดาๆ เหล่านี้ไปหมดแล้ว

 

บทสรุปยูโร 2020

 

4. แม็กยาร์ท้าแชมป์โลก

ทีมชาติฮังการี ทีมรองบ่อนสุดกู่ในกลุ่มแห่งความตาย โชว์ผลงานบันลือโลกเกือบเอาชนะแชมป์โลกฝรั่งเศสได้

 

5. การอำลาของ ‘ม้าศึกแห่งมาซิโดเนีย’

โกรัน ปานเดฟ คือนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาวมาซิโดเนีย และหลังจากยอมกลับมาช่วยทีมชาติอีกครั้งหลังอำลาทีมไปแล้ว และพามาซิโดเนียเหนือเข้ามาแข่งยูโร 2020 ได้ (และทำประตูแรกและประตูเดียวของทีมได้) กองหน้าจอมเก๋าก็ขอปิดฉากตำนานของตัวเองแค่ตรงนี้

 

6. ปาฏิหาริย์แห่งบูดาเปสต์

ไม่มีใครคิดว่าทีมที่จะหยุดฝรั่งเศสได้คือสวิตเซอร์แลนด์ และนี่คือวันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของพวกเขาเมื่อไล่ตีเสมอได้แบบระทึกท้ายเกม ก่อนจะเอาชนะในการดวลจุดโทษ

 

บทสรุปยูโร 2020

 

7. การปลอบขวัญหนูน้อยชาวเยอรมนี

ในวันที่เยอรมนีพ่ายอังกฤษตกรอบปรากฏภาพน่าเอ็นดูของหนูน้อยกองเชียร์ด็อยตช์ลันด์ที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนชาวเน็ตรวมใจกันบริจาคเงินเพื่อปลอบขวัญ แต่สุดท้ายเงินจำนวน 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ ถูกนำไปมอบให้แก่ UNICEF อีกที

 

8. เทพนิยายที่ไร้ตอนจบของเดนมาร์ก

ทีมที่กลายเป็นขวัญใจของการแข่งขันยูโรครั้งนี้คือเดนมาร์ก ม้านอกสายตาที่ฝ่าเข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศได้ด้วยทีมเวิร์กและพลังใจล้วนๆ แม้สุดท้ายจะตกรอบด้วยลูกจุดโทษที่น่ากังขาก็ตาม

 

บทสรุปยูโร 2020

 

9. เสื้อของอีริกเซน

หลัง คริสเตียน อีริกเซน หัวใจวายในสนามและรอดมาได้ ทุกทีมที่แข่งกับเดนมาร์กจะมีมอบของที่ระลึกเป็นเสื้อพร้อมลายเซ็นของคนทั้งทีมให้แก่ดาวเตะผู้โชคดีคนนี้เพื่อเป็นกำลังใจ

 

 

10. การดื่มฉลองของโบนุชชี

เมื่อเสร็จภารกิจพาทีมคว้าแชมป์ได้ เลโอนาร์โด โบนุชชี ผู้ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของนัดชิงชนะเลิศ ได้ไปนั่งโต๊ะแถลงข่าวโดยในมือถือทั้งขวดโค้กและขวดเบียร์ไฮเนเก้น สองสปอนเซอร์หลักที่มีกรณีดราม่าตั้งแต่ต้นรายการ เปิดฝากระดกเอื๊อกๆ อย่างสบายใจ เป็นการปิดท้ายยูโรในความทรงจำของทุกคน

The post บทสรุปยูโร 2020: ‘Rinascita’ กับคำสัญญาของอิตาลีที่ได้รับการเติมเต็ม appeared first on THE STANDARD.

]]>
รวมทุกสถิติน่าสนใจจากฟุตบอลยูโร 2020 https://thestandard.co/euro-2020-interesting-statistics/ Mon, 12 Jul 2021 10:31:39 +0000 https://thestandard.co/?p=511653

THE STANDARD รวบรวมทุกสถิติ-ตัวเลขที่น่าสนใจในทัวร์นาเม […]

The post รวมทุกสถิติน่าสนใจจากฟุตบอลยูโร 2020 appeared first on THE STANDARD.

]]>

THE STANDARD รวบรวมทุกสถิติ-ตัวเลขที่น่าสนใจในทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลยูโร 2020 ที่ผ่านมา ให้ได้ติดตามกันว่าตลอดการแข่งขัน 55 แมตช์ มีสถิติอะไรที่สำคัญหรือน่าสนใจเกิดขึ้นบ้าง

 

EURO 2020

 

ภาพประกอบ: นิสากร ฤทธาภัย

อ้างอิง: uefa.com

The post รวมทุกสถิติน่าสนใจจากฟุตบอลยูโร 2020 appeared first on THE STANDARD.

]]>
แฟนบอลอิตาลีเฉลิมฉลองแชมป์ยูโร 2020 ใจกลางเมืองนาโปลี หลังทีมชาติอิตาลีเอาชนะอังกฤษในรอบชิงชนะเลิศ https://thestandard.co/italian-people-celebrate-euro-2020-champion-middle-of-naples/ Mon, 12 Jul 2021 06:45:51 +0000 https://thestandard.co/?p=511496 แฟนบอลอิตาลีเฉลิมฉลองแชมป์ยูโร 2020 ใจกลางเมืองนาโปลี หลังทีมชาติอิตาลีเอาชนะอังกฤษในรอบชิงชนะเลิศ

แฟนบอลทีมชาติอิตาลีฉลองแชมป์กันทั่วทั้งนาโปลี เมืองทางต […]

The post แฟนบอลอิตาลีเฉลิมฉลองแชมป์ยูโร 2020 ใจกลางเมืองนาโปลี หลังทีมชาติอิตาลีเอาชนะอังกฤษในรอบชิงชนะเลิศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
แฟนบอลอิตาลีเฉลิมฉลองแชมป์ยูโร 2020 ใจกลางเมืองนาโปลี หลังทีมชาติอิตาลีเอาชนะอังกฤษในรอบชิงชนะเลิศ

แฟนบอลทีมชาติอิตาลีฉลองแชมป์กันทั่วทั้งนาโปลี เมืองทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี หลังจากทีมชาติอิตาลีเอาชนะการดวลจุดโทษกับทีมชาติอังกฤษในรอบชิงชนะเลิศศึกฟุตบอลยูโร 2020 ที่เวมบลีย์ สเตเดียม เมื่อช่วงเช้ามืดของวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา ตามเวลาประเทศไทย 

 

โดยบรรยากาศการเฉลิมฉลองเต็มไปด้วยแฟนกีฬาหลากหลายกลุ่มต่างนำเอาธงชาติอิตาลีออกมาโบกกันทั้งบนทางเดิน และในรถยนต์บนท้องถนนเพื่อฉลองความสำเร็จบนเวทีฟุตบอลยูโร เป็นครั้งแรกในรอบ 53 ปี หลังจากที่พวกเขาเคยคว้าแชมป์ยุโรปได้สมัยสุดท้ายเมื่อปี 1968 ทำให้พวกเขาเป็นชาติที่ 4 ที่คว้าแชมป์ได้ 2 สมัยขึ้นไป

 

ขณะที่ล่าสุดทีมชาติอิตาลีชุดแชมป์ยุโรป 2020 ได้เดินทางกลับถึงกรุงโรม ประเทศอิตาลี เพื่อเฉลิมฉลองแชมป์อย่างเป็นทางการตามคำสัญญาที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า ฟุตบอล It’s coming to Rome!

 

The post แฟนบอลอิตาลีเฉลิมฉลองแชมป์ยูโร 2020 ใจกลางเมืองนาโปลี หลังทีมชาติอิตาลีเอาชนะอังกฤษในรอบชิงชนะเลิศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สรุปทุกรางวัลจากฟุตบอลยูโร 2020 https://thestandard.co/euro-2020-prizes/ Mon, 12 Jul 2021 06:07:12 +0000 https://thestandard.co/?p=511449 สรุปทุกรางวัลจากฟุตบอลยูโร 2020

แม้สิ้นสุดกันไปแล้วสำหรับทัวร์นาเมนต์ศึกฟุตบอลยูโร 2020 […]

The post สรุปทุกรางวัลจากฟุตบอลยูโร 2020 appeared first on THE STANDARD.

]]>
สรุปทุกรางวัลจากฟุตบอลยูโร 2020

แม้สิ้นสุดกันไปแล้วสำหรับทัวร์นาเมนต์ศึกฟุตบอลยูโร 2020 กับความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของทีมชาติอิตาลี ภายหลังการดวลจุดโทษดับทีมชาติอังกฤษถึงสนามเวมบลีย์ในรอบชิงชนะเลิศ

 

แต่นอกเหนือจากรางวัลใหญ่แล้ว ในส่วนของรางวัลรายบุคคลที่มอบหลังจบทัวร์นาเมนต์ก็นับว่าน่าสนใจไม่แพ้กัน โดยรางวัลทั้งหมดประกอบด้วย

 

  • นักเตะยอดเยี่ยม – จานลุยจิ ดอนนารุมมา
  • ดาวซัลโว – คริสเตียโน โรนัลโด (5 ประตู 1 แอสซิสต์)
  • ผู้รักษาประตูยอดเยี่ยม – จอร์แดน พิกฟอร์ด (5 คลีนชีต) 
  • ดาวรุ่งยอดเยี่ยม – เปดรี

 

ขณะที่รางวัลโค้ชยอดเยี่ยมแม้จะไม่ได้มีการประกาศในทัวร์นาเมนต์ แต่ในมุมมองของ THE STANDARD ตำแหน่งดังกล่าวนับเป็นอีกหนึ่งหนึ่งตัวแปรสำคัญกับความสำเร็จของทีม โดยรางวัลนี้ THE STANDARD ขอมอบให้ โรแบร์โต มันชินี โค้ชทีมชาติอิตาลี ที่สามารถพาอิตาลีกลับมาอย่างยิ่งใหญ่คว้าแชมป์ยูโร 2020 และทำสถิติไม่แพ้ใคร 34 นัดติดต่อกัน

 

 

ภาพประกอบ: เทียนจรัส วงศ์พิเศษกุล

The post สรุปทุกรางวัลจากฟุตบอลยูโร 2020 appeared first on THE STANDARD.

]]>
It’s coming ROME! อิตาลีเฉือนชัยจุดโทษเหนืออังกฤษ 3-2 หลังเสมอในเวลา 1-1 คว้าแชมป์ยูโร 2020 https://thestandard.co/italy-victory-over-england-3-2-euro-2020/ Mon, 12 Jul 2021 03:49:31 +0000 https://thestandard.co/?p=511387 อิตาลีเฉือนชัยจุดโทษเหนืออังกฤษ

อิตาลีคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโรเป็นสมัยที่ 2 ได้สำเร็จ หลังจา […]

The post It’s coming ROME! อิตาลีเฉือนชัยจุดโทษเหนืออังกฤษ 3-2 หลังเสมอในเวลา 1-1 คว้าแชมป์ยูโร 2020 appeared first on THE STANDARD.

]]>
อิตาลีเฉือนชัยจุดโทษเหนืออังกฤษ

อิตาลีคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโรเป็นสมัยที่ 2 ได้สำเร็จ หลังจากดวลลูกที่จุดโทษเอาชนะอังกฤษ 3-2 หลังเสมอในเวลา 120 นาที 1-1 จบการรอคอยแชมป์ยูโรไว้ที่ 53 ปีได้สำเร็จ

 

ฟุตบอลยูโร 2020 รอบชิงชนะเลิศที่เวมบลีย์ สเตเดียม ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นการเจอกันของอิตาลี แชมป์ 1 สมัยในปี 1968 พบกับ อังกฤษ ทีมเจ้าบ้านที่ไม่เคยได้แชมป์มาก่อน โดยเกมนี้ทั้ง 2 ชาติต่างรอความสำเร็จในรายการนี้มาอย่างยาวนาน โดยอิตาลีรอมาถึง 53 ปี ส่วนอังกฤษ หลังจากได้แชมป์โลกในปี 1966 พวกเขาก็ไม่ได้สัมผัสกับแชมป์ระดับเมเจอร์อีกเลยมา 55 ปีเต็มแล้ว

 

เริ่มเกมในครึ่งแรกได้แค่ 2 นาที อังกฤษก็ออกนำอย่างรวดเร็ว จากจังหวะโต้กลับ คีแรน ทริปเปียร์ เปิดบอลช้ามฟากให้ ลุค ชอว์ ยิงด้วยซ้ายแบบไม่มีใครประกบเข้าเสาแรกไปอย่างสวยงาม ให้อังกฤษนำก่อน โดยหลังจากนั้นอิตาลีพยายามเปิดเกมบุกเพื่อทวงประตูคืน แต่ก็ยังไม่มีจังหวะที่จะแจ้งมากพอ ทำให้จบครึ่งแรกอังกฤษนำไปก่อน 1-0

 

ครึ่งหลัง อิตาลียังลงมาเดินเกมบุกอย่างเต็มที่ และต้องอาศัยเวลาพักใหญ่ก่อนจะมาประสบความสำเร็จในนาทีที่ 67 จากลูกเตะมุมเปิดเข้ามา มาร์โก แวร์รัตติ โหม่งบอลจังหวะแรกไปชนเสา ก่อนที่จะมาเข้าทาง เลโอนาร์โด โบนุชชี ซ้ำเข้าไป ให้อิตาลีตามตีเสมอเป็น 1-1 หลังจากตีเสมออิตาลีก็ยังครองเกมอย่างต่อเนื่องแต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทำประตูเพิ่มได้ ทำให้ครบ 90 นาที ยังคงเสมอกัน และต้องต่อเวลาเพื่อหาผู้ชนะไปอีก 90 นาที

 

เกมในช่วงต่อเวลาพิเศษ อิตาลียังครองบอลบุกก่อนในช่วงแรกของเกม แต่ก็ไม่มีโอกาสเข้าทำที่จะแจ้งในช่วง 15 นาทีแรก ขณะที่ใน 15 นาทีหลังเป็นอังกฤษที่ครองเกมบุกได้มากกว่าเล็กน้อย แต่กระนั้นทัพ ‘สิงโตคำราม’ ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน ทำให้ครบ 120 นาที ยังเสมอกัน 1-1 ต้องไปตัดสินกันในการดวลลูกที่จุดโทษ

 

ในช่วงการยิงจุดโทษ อิตาลีเป็นฝ่ายได้ยิงก่อนโดยทางอังกฤษได้เลือกแดนการยิงให้ไปยิงต่อหน้าแฟนบอลของพวกเขา โดยหลังจากที่ทั้งคู่ยิงเข้าไปในคนแรก อิตาลีพลาดก่อนเมื่อ อันเดรีย เบล็อตติ ยิงไปติดเซฟ แต่ทางอังกฤษก็มาพลาดในคนที่ 3 เช่นกันเมื่อ มาร์คัส แรชฟอร์ด ยิงไปชนเสา ทำให้ทั้งสองทีมเสมอกัน 2-2 หลังผ่าน 3 คน คนที่ 4 อิตาลี ส่ง เฟเดริโก แบร์นาร์เดสคี ยิงเข้าไป แต่ จาดอน ซานโช ที่ยิงให้อังกฤษ ยิงไปติดเซฟของ จานลุยจิ ดอนนารุมมา ทำให้อิตาลีได้ลงมายิงเพื่อเอาชนะ แต่ จอร์จินโญ ยิงไปติดเซฟ จอร์แดน พิกฟอร์ด ทำให้อังกฤษได้โอกาสตีเสมอหาก บูกาโย ซากา ยิงเข้า ทว่าดอนนารุมมากลับเซฟลูกยิงของซากาไว้ได้อีกครั้ง ทำให้อิตาลีเอาชนะจุดโทษอังกฤษไป 3-2

 

อิตาลีคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโรครั้งที่ 2 ได้สำเร็จหลังจากรอคอยมานานถึง 53 ปี และรักษาสถิติไม่แพ้ใครติดต่อกันไว้ได้ต่อไปเป็นเกมที่ 34 ขณะที่ ดอนนารุมมา ยังคว้าตำแหน่งนักเตะแห่งทัวร์นาเมนต์ไปครองด้วย

 

MAN OF THE MATCH: จานลุยจิ ดอนนารุมมา (อิตาลี)

 

 

ภาพประกอบ: พิชามญชุ์ วรรณสาร

The post It’s coming ROME! อิตาลีเฉือนชัยจุดโทษเหนืออังกฤษ 3-2 หลังเสมอในเวลา 1-1 คว้าแชมป์ยูโร 2020 appeared first on THE STANDARD.

]]>
อิตาลีที่คู่ควรแชมป์ / คำสาปอังกฤษ / ทำเนียบแชมป์และสถิติ https://thestandard.co/italy-england-and-champion-stats-euro-2020/ Mon, 12 Jul 2021 03:25:52 +0000 https://thestandard.co/?p=511371 อิตาลีที่คู่ควรแชมป์ / คำสาปอังกฤษ / ทำเนียบแชมป์และสถิติ

ฟุตบอลยูโร 2020 จบลงพร้อมกับที่ถ้วยอองรี เดอโลเนย์ ถูกช […]

The post อิตาลีที่คู่ควรแชมป์ / คำสาปอังกฤษ / ทำเนียบแชมป์และสถิติ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อิตาลีที่คู่ควรแชมป์ / คำสาปอังกฤษ / ทำเนียบแชมป์และสถิติ

ฟุตบอลยูโร 2020 จบลงพร้อมกับที่ถ้วยอองรี เดอโลเนย์ ถูกชูขึ้นจากมือของ จอร์โจ คิเอลลินี หมายความอิตาลีเป็นชาติที่คว้าชัยในการแข่งขันครั้งนี้เหนืออังกฤษ จากการดวลลูกที่จุดโทษ และครอบครองแชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่ 2 ได้สำเร็จ แม้จะต้องเล่นท่ามกลางแฟนบอลอังกฤษจำนวนหลายหมื่นคนในสนามเวมบลีย์ก็ตาม และนี่คือประเด็นต่างๆ ที่เกิดขึ้น

 

เหตุการณ์ที่พลิกผัน

 

ในเกมรอบชิงชนะเลิศที่เวมบลีย์ สเตเดียม ถือเป็นเกมที่สนุกและมีจุดพลิกผันที่ส่งผลต่อเกมหลายครั้งในเกมเดียว โดยครั้งแรกเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นเกมนาทีที่ 2 ของเกมโดย อังกฤษ ขึ้นนำอิตาลีจากการยิงของ ลุค ชอว์ ทำให้เกมแพลนที่อิตาลีเตรียมไว้ว่าจะมาครองบอลบุกเข้าใส่ต้องเสียขบวนไปพอสมควรจากการเป็นผู้ตามอังกฤษตั้งแต่ต้นเกม พวกเขาใช้เวลาอยู่พักใหญ่ในการตั้งสติ และกินเวลาไปถึงกลางครึ่งแรกเลยทีเดียวกว่าจะสามารถเริ่มเล่นฟุตบอลในแบบที่เขาถนัดได้ ในทางกลับกัน นั่นก็เป็นเพียงโอกาสจะแจ้งครั้งเดียวของอังกฤษในเกมนี้ ถ้าไม่มีประตูนี้เกมอาจจะจบใน 90 นาทีก็ได้

 

จุดพลิกผันครั้งที่ 2 อิตาลีสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวของพวกเขาเอง หลังจากที่ใช้เวลาในช่วงปลายครึ่งแรกและต้นครึ่งหลังบุกใส่อังกฤษแล้วยังไม่มีโอกาสจบสกอร์เท่าที่ควร โรแบร์โต มันชินี ชิงเปลี่ยนตัวเร็วตั้งแต่นาทีที่ 53 และปรับทัพมาเป็นระบบ ‘False 9’ โดยให้ เฟเดริโก เคียซา ย้ายมาประจำการทางฝั่งซ้าย นั่นทำให้เขามีบทบาทมากขึ้นและนำไปสู่การได้ลูกเตะมุมที่ตีเสมอเกมนี้

 

จุดเปลี่ยนครั้งที่ 3 ถือเป็นโชคร้ายของอิตาลีที่ครองเกมได้ดีและกำลังป่วนเกมรับของอังกฤษอย่างสนุก นั่นคืออาการบาดเจ็บของเคียซาที่กำลังโชว์ฟอร์มเจาะฝั่งซ้ายในแนวรับของอังกฤษได้น่าดูชม กลับมีอาการบาดเจ็บเล่นงานจนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกไปท้ายครึ่งหลัง นั่นทำให้ศักยภาพของอิตาลีหลังจากนั้นในการขึ้นเกมรุกกลับไปเหมือนต้นครึ่งแรกอีกครั้งคือ ครองบอลได้ แต่หาจังหวะจบสกอร์ไม่ได้

 

เมื่ออิตาลีจบสกอร์ไม่ได้ เกมก็ต้องดำเนินไปในช่วงท้ายของการต่อเวลาพิเศษ นำมาซึ่งจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ แกเร็ธ เซาธ์เกต ส่งทั้ง มาร์คัส แรชฟอร์ด และ จาดอน ซานโช ลงมาในนาทีสุดท้ายของการต่อเวลาเพื่อวางตัวมาให้ยิงลูกที่จุดโทษ แต่กลายเป็นว่าทั้งคู่ยิงจุดโทษไม่เข้า และโยนความกดดันไปให้ บูกาโย ซากา ที่ยิงเป็นคนสุดท้ายให้ต้องเข้าเท่านั้นเพื่อตีเสมอเกม ซึ่งเป็นภาระที่หนักเกินไปสำหรับดาวรุ่งวัย 19 ปี ที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้รักษาประตูมือดีที่สุดคนหนึ่งของโลก ทำให้สุดท้ายแชมป์ก็ตกไปอยู่ในมือของอิตาลีในท้ายที่สุด

 

คำสาปการยิงจุดโทษของอังกฤษ

 

นับเป็นเรื่องที่กลับมาหลอกหลอนอังกฤษอยู่เสมอ เมื่อต้องตัดสินเกมด้วยการดวลลูกที่จุดโทษกับความพ่ายแพ้ในอดีต เช่นเดียวกับในครั้งนี้ที่แม้การดวลจุดโทษกับอิตาลีจะเกิดขึ้นในเวมบลีย์ และอังกฤษก็เสี่ยงเหรียญได้เลือกว่าจะยิงลูกที่จุดโทษต่อหน้าแฟนบอลของพวกเขา แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้ผลการดวลลูกที่จุดโทษออกมาได้ดังใจที่ต้องการ และต้องเจ็บปวดจากการตัดสินเกมด้วยวิธีนี้อีกครั้ง

 

อังกฤษต้องตัดสินเกมดวลการดวลจุดโทษทั้งหมด 10 ครั้ง แบ่งเป็นในรายการฟุตบอลโลก 4 ครั้ง ในฟุตบอลยูโร 5 ครั้ง และในยูฟ่าเนชันส์ลีกอีก 1 ครั้ง แต่พวกเขาเอาชนะในการยิงลูกที่จุดโทษได้เพียง 3 ครั้ง จาก 10 ครั้ง และมันเกิดขึ้นในยุคของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ถึง 2 ครั้ง นั่นคือ ในฟุตบอลโลก 2018 ที่อังกฤษเอาชนะโคลอมเบีย 4-3 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย และเกมชิงอันดับ 3 ของเนชันส์ลีก 2019 ที่ อังกฤษเอาชนะสวิตเซอร์แลนด์ 6-5 ส่วนอีกครั้งเกิดขึ้นในยูโร 1996 ที่อังกฤษเอาชนะสเปนได้ 4-2 ในรอบก่อนรองชนะเลิศ

 

การดวลจุดโทษพ่ายอิตาลีครั้งนี้ ทำให้อังกฤษพ่ายอิตาลีทั้ง 2 ครั้งที่มีการดวลลูกที่จุดโทษกัน โดยอีกครั้งเกิดขึ้นในยูโร 2012 และมีเพียง 3 ชาติเท่านั้นที่เคยดวลจุดโทษกับอังกฤษ 2 ครั้งและชนะได้หมด โดยนอกจากอิตาลีแล้วก็มีเยอรมนีกับโปรตุเกส ขณะที่อาร์เจนตินาเคยดวลจุดโทษกับอังกฤษครั้งเดียวในฟุตบอลโลก ฟรองซ์ 98 และเอาชนะอังกฤษมาได้เช่นกัน

 

โดยทั้ง 10 ครั้งในการดวลลูกที่จุดโทษ มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่อังกฤษยิงจุดโทษเข้าหมดทุกคนที่พวกเขาส่งลงมายิง คือการดวลลูกที่จุดโทษในรายการเนชันส์ลีก 2019 ที่อังกฤษเอาชนะสวิตเซอร์แลนด์ โดยทั้ง 6 คนของอังกฤษยิงเข้าได้ทั้งหมด ซึ่งจากครั้งนั้นหลายคนก็มองว่าอังกฤษน่าจะเอาชนะคำสาปการดวลลูกจุดโทษได้แล้ว แต่ในค่ำคืนที่ผ่านมาทุกคนก็ได้รู้ว่าเรื่องนั้นมันไม่จริงเลย

 

ทำเนียบแชมป์

 

แม้จะรอมาถึง 53 ปี แต่ชัยชนะที่สนามเวมบลีย์ ทำให้อิตาลีคว้าแชมป์ยูโรสมัยที่ 2 ได้สำเร็จ ทำให้พวกเขาเป็นชาติที่ 4 ที่คว้าแชมป์ได้ 2 สมัยขึ้นไป ไล่หลังทีมอย่าง เยอรมนีที่เคยได้ 3 สมัย ในปี 1972, 1980 และ 1996 กับสเปนที่ได้แชมป์ 3 สมัยเท่ากัน ในปี 1964, 2008 และ 2012 โดยทัพ ‘กระทิงดุ’ ยังเป็นชาติเดียวในประวัติศาสตร์ที่สามารถป้องกันแชมป์ฟุตบอลยูโรได้สำเร็จด้วย

 

ขณะที่อีกชาติที่ได้แชมป์ 2 สมัย เท่ากับอิตาลี คือ ฝรั่งเศสที่ได้แชมป์ในปี 1984 ภายใต้การนำทัพของ ‘นโปเลียนลูกหนัง’ มิเชล พลาตินี และอีกครั้งในปี 2000 ที่เอาชนะอิตาลีจากประตู ‘โกลเดนโกล’ ของ ดาวิด เทรเซเกต์ โดยนอกจากนั้นก็เป็นบรรดาทีมที่ได้แชมป์ชาติละสมัยอย่างสหภาพโซเวียต, สาธารณรัฐเช็กสมัยยังเป็น เชโกสโลวะเกีย, โปรตุเกส, เนเธอร์แลนด์, เดนมาร์ก และกรีซ

 

นอกจากนี้ยังมีชาติสุดระทมที่เคยเข้าชิงแชมป์แต่ไม่ได้แชมป์ไปครองอยู่อีก 3 ชาติ ได้แก่ ยูโกสลาเวีย ที่เคยเข้าชิงถึง 2 ครั้ง แต่พลาดทั้งหมดในปี 1960 และ 1968 ตามมาด้วยเบลเยียม ที่เคยเข้าชิงในปี 1980 แต่พ่ายต่อเยอรมนีตะวันตก และล่าสุดก็คืออังกฤษ ที่ได้เข้าชิงฟุตบอลเมเจอร์ระดับชาติครั้งแรกในรอบ 55 ปี นับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1966 แต่ก็พ่ายต่ออิตาลีในการดวลลูกที่จุดโทษ

 

รางวัลต่าง ๆ และสถิติ

 

นอกจากจะได้แชมป์อย่างอิตาลีและรองแชมป์อย่างอังกฤษที่ได้รับเงินรางวัลไป 10 ล้านยูโร และ 7 ล้านยูโร ตามลำดับแล้ว ยังมีรางวัลที่ถูกมอบให้กับนักเตะแต่ละคนเป็นการส่วนตัว เพื่อแสดงออกถึงผลงานที่ยอดเยี่ยมในการลงเล่นทัวร์นาเมนต์นี้ของพวกเขาด้วย

 

คริสเตียโน โรนัลโด จากโปรตุเกส คว้ารางวัลรองเท้าทองคำในตำแหน่งดาวซัลโวไปครอง จากการยิง 5 ประตู ใน 4 นัด เอาชนะ พาทริก ชิก กองหน้าสาธารณรัฐเช็ก ที่ยิงได้ 5 ประตูเท่ากัน แต่ใช้จำนวนเกมมากกว่าที่ 5 นัด ทำให้ได้รางวัลรองเท้าเงินในตำแหน่งรองดาวซัลโว และรองเท้าทองแดงในอันดับที่ 3 ตกเป็นของ คาริม เบนเซมา จากฝรั่งเศส กับผลงานการยิง 4 ประตูจากการลงสนาม 4 เกม

 

ขณะที่รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งทัวร์นาเมนต์ หรือรางวัลโกลเดนบอล ถูกมอบให้กับ จานลุยจิ ดอนนารุมมา ที่แม้จะเสียประตูเยอะกว่าเมื่อเทียบกับ จอร์แดน พิกฟอร์ด แต่เขามีบทบาทช่วยทีมเซฟลูกยากๆ มากกว่าเช่นกัน และที่สำคัญคือผลงานการเซฟลูกที่จุดโทษในเกมรอบรองชนะเลิศกับสเปนและรอบชิงชนะเลิศกับอังกฤษ ที่มีส่วนสำคัญในการพาอิตาลีเถลิงแชมป์ยูโรในครั้งนี้ด้วย

 

ส่วนสถิติอื่นๆ ที่น่าสนใจคือ อิตาลีและสเปนยิงมากที่สุดในฤดูกาล เท่ากันที่ชาติละ 13 ประตู แต่อิตาลีได้ลงสนามมากกว่า 1 เกม ส่วนสเปนตกรอบรอง ได้เล่นแค่ 6 เกมเท่านั้น ขณะที่ชาติที่ยิงประตูน้อยที่สุด ได้แก่ ฟินแลนด์ ตุรกี และสกอตแลนด์ โดยทั้ง 3 ชาติยิงเท่ากันที่ 1 ประตูในรอบแบ่งกลุ่ม 3 เกม และตกรอบไปพร้อมๆ กัน ด้านอังกฤษครองสถิติเสียประตูน้อยที่สุด เพียง 2 ประตูจาก 7 เกม ซึ่งยูเครนคือทีมที่ตรงข้ามกับพวกเขา ซึ่งเสียประตูมากที่สุดถึง 10 ประตูใน 5 เกมของทัวร์นาเมนต์นี้

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

อ้างอิง:

The post อิตาลีที่คู่ควรแชมป์ / คำสาปอังกฤษ / ทำเนียบแชมป์และสถิติ appeared first on THE STANDARD.

]]>