หลังจากการอัปเกรด The Merge ของ Ethereum เมื่อปี 2022 ซ […]
The post การอัปเกรด Shanghai ของ Ethereum ที่ใกล้เข้ามา จะทำให้ ETH เจอแรงเทขายหรือไม่ appeared first on THE STANDARD.
]]>หลังจากการอัปเกรด The Merge ของ Ethereum เมื่อปี 2022 ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก และเป็นประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมคริปโต อีกไม่นาน Ethereum จะมีการอัปเกรดครั้งสำคัญที่เรียกว่า Shanghai Hard Fork ซึ่งถูกจับตามองอย่างมาก เพราะนี่จะเป็นครั้งแรกที่เหรียญ ETH จำนวนมหาศาลถูกปลดออกมา
การอัปเกรด Shanghai ของ Ethereum หรือที่รู้จักกันในชื่อการอัปเกรด Shapella เป็น Hard Fork ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 12 เมษายน 2023 แม้ว่าจะไม่ใช่การอัปเกรดครั้งใหญ่ของเครือข่ายเมื่อเทียบกับ The Merge เมื่อเดือนกันยายน ปี 2022 แต่ก็เป็นพัฒนาการที่น่าจับตามอง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เหล่า Staker และ Validator จะถอนเหรียญ ETH ออกจาก Beacon Chain ได้
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2022 การอัปเกรด The Merge ครั้งนั้นทำให้เครือข่ายจะไม่พึ่งพากลไก Proof-of-Work (PoW) อีกต่อไป กล่าวง่ายๆ คือ เหล่านักขุดจะไม่สามารถขุดเหรียญ ETH ได้อีกต่อไป แต่จะต้องซื้อเหรียญแล้วนำไป Lock Stake เหรียญแทน ทำให้เครือข่ายประหยัดพลังงานได้มากถึง 90% เลยทีเดียว Hard Fork ในครั้งนั้นทำให้ Ethereum เข้าสู่ยุคใหม่เป็น Proof-of-Stake (PoS) อย่างเต็มรูปแบบ
สำหรับ Hard Fork Shanghai เป็นความคืบหน้าจากครั้งก่อน ซึ่งจะช่วยให้ Validator และนักลงทุนที่ Stake เหรียญเอาไว้ในเครือข่ายสามารถถอนเหรียญออกมาได้ หลังจากที่ถูกล็อกไว้มาตั้งแต่ธันวาคม ปี 2020 ปัจจุบันมี ETH ที่ถูก Stake ไว้ประมาณ 14% หรือคิดเป็น 18 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นมูลค่ามากกว่า 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์เลยทีเดียว
นักวิเคราะห์จาก K33 Research แสดงความเห็นว่า แม้จะมีเหรียญ ETH ที่ถูก Stake ไว้มากถึง 18 ล้านเหรียญ แต่การถอนเหรียญจะยังไม่สามารถทำได้ทันทีหลังการอัปเกรด โดยจะทำได้เพียงถอนเหรียญที่ได้รับเป็นรางวัลจากการ Stake เท่านั้น ซึ่งมีประมาณ 1.1 ล้านเหรียญ
อย่างไรก็ตาม Celsius Network ที่ล้มละลายไปเมื่อปีที่แล้ว มี ETH ที่ล็อกเอาไว้จำนวน 158,176 ETH ซึ่งมีแนวโน้มว่าบริษัทอาจเทขายเพื่อนำเงินไปคืนเจ้าหนี้
นอกจากนี้ Kraken แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตชั้นนำที่เจอคำสั่งให้ยุติบริการ Staking คริปโต และบริษัทยังถูกปรับเป็นเงินจำนวน 30 ล้านดอลลาร์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา อาจต้องเจอกับแรงกดดันให้ขายเหรียญ ซึ่งทาง Kraken มี ETH ที่ล็อกไว้มากถึง 1.2 ล้านเหรียญ และอาจจะต้อง Unstake เหรียญทั้งหมด ซึ่งเป็นผลมาจาก Wells Notice จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ขณะที่ทาง 21Shares วิเคราะห์ว่า การถอนเหรียญบางส่วนจะใช้เวลานานประมาณ 5-6 วัน และการถอนเหรียญทั้งหมดอาจใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ถึง 4 เดือน ซึ่งแรงขายน่าจะถูกกระจายไปตามช่วงเวลา ทำให้แรงซื้อสามารถจับคู่กับแรงขายได้ในที่สุด โดยไม่ส่งผลกระทบต่อราคามากนัก นักวิเคราะห์จาก K33 ยังแสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า ผู้ถือครองเหรียญส่วนใหญ่ไม่น่าจะถอนเหรียญจำนวนมากออกมา เนื่องจากราคา ETH ซื้อขายต่ำกว่าระดับสูงสุดตลอดกาลมากถึง 63%
การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงและความผันผวนสูงมาก นักลงทุนจึงควรกระจายความเสี่ยง ศึกษาหาข้อมูล และวางแผนในการลงทุนด้วยความรอบคอบ บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อ้างอิง:
The post การอัปเกรด Shanghai ของ Ethereum ที่ใกล้เข้ามา จะทำให้ ETH เจอแรงเทขายหรือไม่ appeared first on THE STANDARD.
]]>จากข้อมูลของ Nansen บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลบนบล็อกเชน เผย […]
The post หวั่น Binance อาจจบเหมือน FTX แม้จะมีสินทรัพย์บนเครือข่ายอยู่ในระดับสูงถึง 2 ล้านล้านบาท ท่ามกลางกระแสลบกดดัน appeared first on THE STANDARD.
]]>จากข้อมูลของ Nansen บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลบนบล็อกเชน เผยว่า Binance ยังมีสินทรัพย์บนเครือข่าย (On-Chain Balance) อยู่ในระดับสูงถึง 6.4 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2 ล้านล้านบาท) แม้จะมีปัจจัยเชิงลบกดดันมากมาย ทั้งการฟ้องร้องของหน่วยงานและฝ่ายกำกับดูแลสหรัฐฯ และการตั้งข้อสงสัยจากสำนักข่าว Forbes ต่อแนวทางการบริหารสินทรัพย์ของ Binance ว่าส่อแววทุจริตเหมือน FTX
โดยในสินทรัพย์จำนวน 2 ล้านล้านบาทของ Binance นั้นประกอบไปด้วยเหรียญ USDT, BTC, ETH, BUSD และ BNB ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการถือครองราว 81% จากสินทรัพย์ทั้งหมดของ Binance ในช่วงเวลานี้ ซึ่งแม้จะดูเหมือนอยู่ในระดับที่สูง แต่ก็ยังมีความกังวลกันว่าอาจเกิดเหตุการณ์ล้มละลายแบบ FTX ในช่วงปลายปี 2022
และแม้ในช่วงวันพุธที่ผ่านมา (29 มีนาคม) ลูกค้ามีการถอนเงินออกจาก Binance ประมาณ 600 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท) แต่ก็ยังถือว่าน้อยกว่าในช่วงที่ Paxos ถูกระงับการออกเหรียญ BUSD ให้แก่ Binance เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยช่วงเวลานั้นมีการไหลออกของเงินต่อวันสูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท)
ซึ่งความเห็นจาก ชาร์ลส์ สตอร์รี หัวหน้าฝ่ายการเติบโตของ Phuture แพลตฟอร์มด้านดัชนีสำหรับคริปโต ทั้งยังเป็นเทรดเดอร์และนักลงทุนที่ใช้งานแพลตฟอร์มของ Binance ชี้ว่า เหตุการณ์ ณ ตอนนี้ของ Binance ถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจ
นอกจากนี้ ชาร์ลส์ยังแสดงความเห็นเพิ่มเติมกับสำนักข่าว Coindesk ว่า แม้ Binance อาจจะไม่ใช่แพลตฟอร์มที่มีความโปร่งใสที่สุดในโลก แต่อย่างไรก็ตาม Binance สามารถจัดการและผ่านช่วงเวลาเลวร้ายบนโลกคริปโตมาได้แล้วหลายครั้ง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
อ้างอิง:
The post หวั่น Binance อาจจบเหมือน FTX แม้จะมีสินทรัพย์บนเครือข่ายอยู่ในระดับสูงถึง 2 ล้านล้านบาท ท่ามกลางกระแสลบกดดัน appeared first on THE STANDARD.
]]>บทความชิ้นนี้ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน #NotAFinancialAdvi […]
The post Staked Ethereum (stETH) หลุด Peg หวั่นซ้ำรอย UST LUNA? หรือนี่ คือโอกาสทำกำไร Arbitrage? appeared first on THE STANDARD.
]]>
ขณะนี้ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีได้เกิดความวุ่นวายต่างๆ มากมาย เช่น การล่มสลายของ Terra Chain ไปจนถึงการที่เหรียญ Staked Ethereum (stETH) หลุดค่าการตรึงมูลค่า (Peg) และสถาบันใหญ่ๆ อย่าง Celsius Network และอีกมากมายกำลังตกอยู่ในวิกฤตสภาพคล่อง (Liquidity Crisis)
สถานการณ์ Staked Ethereum (stETH) ของโครงการ Lido ซึ่งส่งผลกระทบต่อโปรเจ็กต์ต่างๆ โดยเฉพาะ Ethereum ที่ราคาลดฮวบ โดยจุดต่ำสุดเหลือไม่ถึง 900 ดอลลาร์ มีความคล้ายกับเหตุการณ์ของ UST LUNA ที่นำมาสู่การสูญเสียนับแสนล้านบาทหรือไม่ เราจะมาหาคำตอบไปพร้อมๆ กัน
จุดเริ่มต้นของ Staked Ethereum (stETH) เกิดจากระบบ Ethereum ที่กำลังจะเปลี่ยนไปเป็น Ethereum 2.0 หรือที่เรียกกันว่า ‘The Merge’ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนระบบการทำงานจาก PoW (Proof of Work) ไปสู่ PoS (Proof of Stake) ที่เปิดให้ทุกคนสามารถนำ ETH ไปฝากเพื่อรับดอกเบี้ย (Staking) ที่ประมาณ 4% ต่อปี
Lido เป็นแพลตฟอร์มหนึ่งที่รวบรวม ETH จากนักลงทุนเพื่อไปฝากในโครงการ ETH 2.0 โดยผู้ที่นำ 1 ETH มาฝาก (Stake) กับ Lido จะได้รับ 1 stETH
เมื่อ Ethereum 2.0 ได้ถูกพัฒนาจนสมบูรณ์ นักลงทุนทุกคนจะสามารถนำ stETH ไปแลกกลับเป็น ETH ได้อย่างแน่นอนและตรงไปตรงมาในอัตรา 1:1 โดยที่ระหว่างทางก็จะรับดอกเบี้ย 4% ต่อปี โดยจ่ายเป็นรายวันเข้ามาในดิจิทัลวอลเล็ตของเรา
แนวทางของ stETH:ETH แตกต่างกับการตรึงมูลค่ากับ Stablecoin อื่นๆ อย่าง UST หรือ USDT เนื่องจาก stETH ใช้วิธีการผูกค่าเงิน (Peg) กับเหรียญ ETH แบบอัตราส่วน 1:1 ไม่ได้มีความเกี่ยวโยงใดๆ กับสกุลเงิน USD (Fiat Currency) แต่อย่างใด ดังนั้นเหรียญ stETH จึงไม่ถือว่าเป็น Stablecoin แต่อย่างใด และสูตรการแลกเปลี่ยนก็ชัดเจนมาก และยังคงใช้ได้อยู่ตามเดิม
อัตราผลตอบแทนและอัตราแลกเปลี่ยนในการนำ Ethereum มา Staking ใน Lido (อัปเดตเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2565)
อ้างอิง: https://lido.fi/ และ https://stake.lido.fi/
ในวันที่ 8 มิถุนายน มีกระเป๋าเงินแบบไม่ระบุตัวตนจำนวน 2 กระเป๋า ได้ถอนเงินจำนวน 54,103 stETH ครั้งแรกที่ราคา 0.97 และ ครั้งที่สองตามมาที่ราคา 0.94 ETH ตามด้วย Alameda Capital กองทุนยักษ์ใหญ่ ได้เทขาย stETH จำนวนกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ ในราคาขาดทุน นักลงทุนบางส่วน ทั้ง Three Arrows Capital และ Amber Group ก็มีการเทขาย ทำให้ stETH ที่ผูกไว้กับ ETH หลุดมูลค่าที่ตรึงไว้ การเทขายของกองทุนใหญ่และสภาวะตลาดที่กำลังผันผวนหนัก ส่งผลกระทบเป็นโดมิโนต่อโปรเจ็กต์ต่างๆ ใน DeFi และสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนเป็นอย่างมากว่า ทำไมถึงยอมขายขาดทุนในทรัพย์สินที่มีมูลค่า Peg 1 ต่อ 1 อย่าง ETH (Ethereum)
Swap stETH to ETH ≈ 0.9367 ใน Curve Finance (อัปเดตเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2565)
อ้างอิง: https://curve.fi/
Swap stETH to ETH ≈ 0.9395 ใน Uniswap (อัปเดตเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2565)
อ้างอิง: https://v2.info.uniswap.org/pair/0x4028daac072e492d34a3afdbef0ba7e35d8b55c4
Celsius เป็นแพลตฟอร์มให้บริการฝากและกู้ยืมเงินคริปโตขนาดใหญ่ ที่มีบริการรับฝาก ETH เพื่อให้ผลตอบแทนกลับคืนในรูปแบบดอกเบี้ย ที่มีคนใช้บริการอยู่จำนวนมาก
เนื่องจากตลาดคริปโตมีความผันผวนสูง นักลงทุนมากมายจึงต้องการถอนเหรียญคืนเพื่อไปดูแลต่อด้วยตัวเอง (อาจจะต้องการขายเหรียญออกไปก่อนแล้วรอช้อนคืนเมื่อราคาตก) Celsius จึงต้องหาเหรียญ ETH จำนวนมากไปคืนแก่นักลงทุน แต่ทว่า Celsius ได้นำ ETH จำนวนมากไปแลก stETH เพื่อรับดอกเบี้ย เมื่อลูกค้า Celsius ผู้ฝาก ETH ต้องการถอนเหรียญ ETH จำนวนมากพร้อมๆ กัน การนำ stETH ปริมาณมหาศาลไปแลก ETH คืนผ่านช่องทางต่างๆ ในโลกคริปโต (DeFi, DEX) จึงทำให้ตลาดขาดสภาพคล่อง และทำให้ราคา stETH ตกลงมาต่ำกว่าราคา ETH
การที่ stETH และ ETH หลุดจากสัดส่วน 1:1 (Peg) ทำให้ผู้ถือ stETH ทั่วโลกเกิดความกลัวและต้องการแลกเหรียญกลับไปเป็น ETH เช่นกัน เพราะไม่แน่ใจว่ามีความเสี่ยงอะไรที่ตนไม่รู้หรือไม่ ผลที่ตามมาคือ ETH ในระบบจะไม่เพียงพอ และแพลตฟอร์ม Decentralized Exchange ต่างๆ ประสบกับปัญหาสภาพคล่องเป็นอย่างหนัก ซึ่งวิกฤตในระบบของ Celsius นำมาสู่การประกาศหยุดให้บริการถอน โอน แลกเปลี่ยนในระบบชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายนเป็นต้นมา
หากราคา stETH หลุดค่า Peg ไปมากกว่านี้ และ Celsius ที่ถือ stETH เป็นจำนวนมหาศาลอาจจะถูกบังคับขาย (Liquidation) และทาง Celsius จะเกิดผลขาดทุนอย่างหนัก จึงทำให้ตลาดคริปโตอยู่ในสภาพที่ผันผวนสูง ด้วยความกังวลว่าจะมีกลุ่มคนที่ต้องการให้ Celsius ถูก Liquidate และโจมตีด้วยการทุบราคาคริปโตต่างๆ
การที่ stETH และ ETH นั้นหลุดจากการ Peg ไม่ได้เกิดจากกลไกของเหรียญ จึงแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับ UST LUNA เนื่องจาก UST LUNA นั้นเป็นกลไกแบบ Algorithmic Stablecoin ที่ใช้เหรียญ LUNA ในการผูกสูตรคณิตศาสตร์เข้ากับเหรียญ UST เพื่อตรึงราคาเหรียญ
เหรียญ LUNA มีมูลค่าผันผวนตลอดเวลา จึงเกิดการโจมตีจากนักเก็งกำไรโดยง่าย ทำให้ LUNA เกิดเงินเฟ้อมหาศาลจนมูลค่าเหรียญตกลง กลายเป็นวงจรที่ต่อเนื่องอย่างไร้จุดสิ้นสุด ลักษณะเป็น Death Spiral
สำหรับ stETH และ ETH แตกต่างกันออกไป คือไม่มีกลไกหรือกระบวนการแบบเดียวกับ UST LUNA ที่จะทำให้ราคาเหรียญลดฮวบ เพราะเป็นการคงการแลกเปลี่ยนแบบอัตราส่วน stETH:ETH ที่ 1:1 ที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา ดอกเบี้ยก็ยังคงได้รับตามปกติที่ประมาณ 4% ต่อปี
แต่การที่ราคาเหรียญ stETH ลดลงอย่างมากในปัจจุบันนั้น เป็นเพราะนักลงทุนต้องขาย stETH ในราคาที่ขาดทุน หรือขายในราคาที่ถูกกว่า 1 ETH เพื่อไปชำระหนี้สิน ตัวอย่างเช่น Celsius ที่นักลงทุนต้องการถอนเหรียญเป็นจำนวนมากพร้อมๆ กัน นอกจากนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่กล้าซื้อเหรียญเพิ่มเพราะกลัวว่าราคาเหรียญจะตกลงไปมากกว่านี้ จึงทำให้ราคายังไม่กลับไปเท่ากับ ETH
ความกังวลนี้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและราคาของ Ethereum เป็นอย่างมาก ซึ่งความกังวลต่างๆ ได้กระทบไปทั่วกระดานคริปโต รวมไปถึงราคา Bitcoin (BTC) ด้วย ทว่าหากมองจากภาพใหญ่ นี่อาจเป็นเพียงกระบวนการปรับตัวของตลาดคริปโตในระยะยาว เพื่อไม่ให้เกิดพฤติกรรมกู้ยืมมากจนเกินไป หรือไม่ให้ศูนย์กลางต่างๆ (DeFi, CeFi, Centralized Exchange, Lending Platform ฯลฯ) แอบนำเงินฝากของนักลงทุนไปใช้ผิดประเภท จนเกิดความไม่มั่นคงและขาดสภาพคล่องในยามวิกฤต
ภาพแสดงความแตกต่างเหรียญ UST Luna และ Staked Ethereum หลุดค่า Peg
อ้างอิง:
The post Staked Ethereum (stETH) หลุด Peg หวั่นซ้ำรอย UST LUNA? หรือนี่ คือโอกาสทำกำไร Arbitrage? appeared first on THE STANDARD.
]]>MetaBirkins คือโปรเจกต์ของศิลปินจากนครลอสแอนเจลิสนามว่า […]
The post ทำความรู้จัก MetaBirkins กระเป๋าหรูรูปแบบดิจิทัลที่ไม่ได้มาจาก Hermès แต่ราคาสูงถึง 249 ETH appeared first on THE STANDARD.
]]>MetaBirkins คือโปรเจกต์ของศิลปินจากนครลอสแอนเจลิสนามว่า Mason Rothschild โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากผลงานที่มีชื่อว่า Baby Birkin ผลงานศิลปะที่ทำครรภ์มารดาเป็นทรงกระเป๋ารุ่นดัง โดยมีตัวอ่อนทารกอายุ 40 สัปดาห์อยู่ด้านใน
ที่เขาปล่อยออกมาเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และถูกซื้อไปในราคา 5.5 ETH หรือคิดเป็น 23,500 ดอลลาร์ในขณะนั้นบนเว็บไซต์ basic.space
และเมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคม เขาได้เปิดตัวผลงาน NFT เป็นคอลเล็กชันใหม่เป็น กระเป๋าทรง Birkin ที่งาน Art Basel Miami ออกมาอีกจำนวน 100 ชิ้น ซึ่งทั้งหมดทำขึ้นเป็นรูปวัสดุขนสัตว์ปลอม ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากกระแสที่วงการแฟชั่นต่างพากันงดใช้ขนสัตว์แท้ในสินค้า ซึ่งทั้งหมดนี้มาในสีและลวดลายที่หลากหลายแตกต่างกันออกไป และวางขายแล้วที่เว็บไซต์ OpenSea
View this post on Instagram
โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 0.1 ETH ในรุ่นขนสีชมพูธรรมดา ไล่ขึ้นมาที่ลายสีเขียวอมฟ้าลายจุดสีม่วงที่คล้ายกับขนของตัว Sulley จากแอนิเมชันเรื่อง Monsters Inc. ในราคา 6 ETH เรื่อยมาจนถึงลายขนที่ได้แรงบันดาลใจมาจากผลงานศิลปะอย่าง Starrt Night ของ Vincent Van Gogh, Mona Lisa, ท้องของตัวการ์ตูน Totoro และราคาปัจจุบันที่ถูกตั้งไว้สูงที่สุดคือรุ่นขนสีเทาลายนกที่สูงถึง 249 ETH หรือคิดเป็น 995,775.90 ดอลลาร์ ในอัตราแลกเปลี่ยนวันที่ 16 ธันวาคม จากราคาเดิมที่ 9.659 ETH เมื่อ 13 วันก่อนหน้า
ถึงแม้ว่าผลงานของเขาจะเป็นได้กระแสตอบรับดีจากสื่อแฟชั่นและคนในแวดวงศิลปะดิจิทัล แต่ทางแบรนด์ Hermès ได้ออกมาตอบโต้ผ่านทางหนังสือพิมพ์ Financial Times ว่า ทางแบรนด์ไม่ยินยอมหรืออนุญาตให้ Mason นำกระเป๋า Birkin ไปทำการซื้อขายทาง Metaverse และไม่มีนโยบายการสนับสนุนสินค้าในโลกเสมือนจริงที่ขัดต่อมูลค่าของสินค้าที่จับต้องได้ที่ผ่านงานฝีมือมาอย่างดี
“ผลงาน NFT เหล่านี้ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและเครื่องหมายการค้าของ Hermès และเป็นตัวอย่างของสินค้าปลอมแปลงของแบรนด์ในโลก Metaverse”
แต่อย่างไรก็ตาม ณ ขณะนี้ยังไม่มีการฟ้องร้องเกิดขึ้นระหว่างแบรนด์แฟชั่นจากฝรั่งเศส
เหตุการณ์การใช้สินค้าของแบรนด์ดังมาทำเป็นสินค้า NFT โดยเฉพาะแบรนด์ดังอย่าง Chanel, Louis Vuitton, Hermès และมีการซื้อขายเก็งกำไรเกิดขึ้นบ่อยครั้งหลังเทรนด์โลก Metaverse นับวันยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้น แต่นั่นตามมาด้วยข้อกฎหมายเรื่องลิขสิทธิ์เครื่องหมายการค้าจดทะเบียน หากไม่มีการได้รับอนุญาตจากแบรนด์ต้นกำเนิด เนื่องจาก NFT เป็นเพียงการถือครองสิทธิ์เป็นเจ้าของ แต่ไม่มีการคุ้มครองถึงเรื่องลิขสิทธิ์ และนั่นจึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่แบรนด์ควรลงมาสู่โลก Metaverse เพื่อปกป้องผลงานการออกแบบของแบรนด์
ภาพ: Mason Rothschild
อ้างอิง:
The post ทำความรู้จัก MetaBirkins กระเป๋าหรูรูปแบบดิจิทัลที่ไม่ได้มาจาก Hermès แต่ราคาสูงถึง 249 ETH appeared first on THE STANDARD.
]]>ครั้งแรกในรอบปีของ Ethereum 2.0 ที่ทำงานโดยกลไก Proof o […]
The post ETH พุ่งไต่ระดับ 4,400 ดอลลาร์ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังอัปเกรด Ethereum 2.0 บน Beacon Chain เสร็จสมบูรณ์ appeared first on THE STANDARD.
]]>ครั้งแรกในรอบปีของ Ethereum 2.0 ที่ทำงานโดยกลไก Proof of Stake (POS) ได้ถูกอัปเกรด Altair บน Beacon Chian เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งทาง Ethereum Foundation ได้ออกมากล่าวว่า การอัปเกรด Altair นั้นจะเข้ามาเพิ่มฟังก์ชันการดูแลผู้ใช้งาน (Light Client Function), การปรับค่าจูงใจ และ การปรับระดับการลงโทษแก่ผู้ฝ่าฝืนบนเครือข่าย
โดยการอัปเกรดดังกล่าวจะไม่ได้กระทบกับผู้ใช้งานอื่นๆ บนเครือข่าย Ethereum ในปัจจุบัน หากแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเฉพาะ Beacon Chian เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะเข้ามามีผลกระทบกับผู้ใช้งานบนเครือข่าย Ethereum ก็ต่อเมื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ ETH 2.0 สมบูรณ์
นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของ Altair คือการที่เพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถให้แก่ผู้ใช้งานบน Ethereum เพื่อให้สามารถทำงานได้ในสภาวะที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น อาทิ โทรศัพท์, ฮาร์ดแวร์บางชนิด, เบราว์เซอร์เอ็กเทนชัน หรือ แม้กระทั่งบนบล็อกเชนอื่นๆ ที่รองรับ Smart Contract
เหรียญ Ethereum ซึ่งเป็นหนึ่งในเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีอันดับต้นๆ ของตลาดแล้ว ด้วยจุดเด่น ของความสามารถที่เป็นทั้งการเก็บรักษามูลค่า (Store of Value) และ การเป็นสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) ทำให้เกิดโปรเจกต์จำนวนมากบนเครือข่ายดังกล่าว ซึ่งแต่เดิม Ethereum นั้นทำงานอยู่บนกลไก Proof of Work (การยืนยันธุกรรมโดยผ่าน Node) หรือที่เรียกกันว่าการขุด (Mine) ซึ่งมีข้อดีอย่างความปลอดภัยและการกระจายอำนาจ แต่ก็แลกมาด้วยความช้าในการประมวลผลธุรกรรม
ทางกลุ่มนักพัฒนาจึงได้เสนอทางออกของปัญหาเหล่านั้นด้วยการเปลี่ยนกลไกจาก Proof of Work ไปเป็น Proof of Stake (ซึ่งอาศัยการนำเหรียญมาวางเพื่อยืนยันธุรกรรม) หรือที่เรียกว่าการ Stake โดยเรียกการอัปเกรดครั้งใหญ่นี้ว่า Ethereum 2.0 ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2022
โดยขั้นตอนการพัฒนาของ Ethereum แบ่งไว้ 3 ขั้นตอน ได้แก่ The Beacon Chian, The Merge, Shard Chain
The Beacon Chian (Altair) เป็นขั้นตอนแรกเพื่อเตรียมการสู่การเป็น ETH 2.0 ซึ่งเป็นเครือข่ายคู่ขนานกับ Ethereum โดย Beacon Chain ในระยะดังกล่าว ออกแบบมาไว้เพียงแค่สำหรับการ Staking Ethereum เท่านั้น เพื่อรอการเปลี่ยน Ethereum ให้กลายเป็น Proof of Stake แบบสมบูรณ์ ซึ่งขั้นตอนดังกล่าวสำเร็จไปแล้วตั้งแต่ปลายปี 2019 (Phase 0)
The Merge เป็นขั้นตอนที่จะรวม Beacon Chain และ Ethereum Chain เข้าด้วยกันเมื่อตัวระบบ ETH 2.0 เสร็จสิ้น ซึ่งทาง Ethereum Foundation คาดการณ์ไว้ว่าขั้นตอนนี้จะเสร็จสิ้นประมาณปลายปี 2021 ถึงช่วงต้นปี 2022
และขั้นตอนสุดท้าย Shard Chains เป็นการสร้างบล็อกเชนอีกขั้นมาอีกเครือข่าย เพื่อทำงานคู่ขนานกับ ETH 2.0 ทำให้ Ethereum สามารถรองรับจำนวนธุรกรรมได้มากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเกิดภายในปี 2022
ท้ายที่สุดนี้ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังการอัปเกรด Altair อาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อ ผู้ใช้งาน Ethereum (รายบุคคล) หากแต่จะส่งผลกระทบต่อผู้ใข้งาน Ethereum ที่เป็นนักพัฒนา ที่ต้องการต่อยอดไปสู่ Merge มากกว่า ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ทางทีมนักพัฒนาของ Ethereum Foundation และ Consensys ได้ร่วมสร้าง Testnet สำหรับการทำงานแบบ PoS (Proof of Stake) ร่วมกันทั้ง Eth 1.0 และ Eth 2.0
ในช่วงเวลาดังกล่าวทำให้ ETH สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ที่ราว 4,405.5 ดอลลาร์ หรือกว่า 146,995 บาท โดยในช่วง 24 ชั่วโมงมานี้ ETH ปรับตัวมากว่า +6.93%
อ้างอิง:
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP
The post ETH พุ่งไต่ระดับ 4,400 ดอลลาร์ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังอัปเกรด Ethereum 2.0 บน Beacon Chain เสร็จสมบูรณ์ appeared first on THE STANDARD.
]]>