ในช่วงนี้เชื่อว่าผู้ลงทุนหลายท่านคงจะทำการบ้านกันอย่างเ […]
The post เปิดโผ 5 อุตสาหกรรมที่นักลงทุนควรจับตา appeared first on THE STANDARD.
]]>
ในช่วงนี้เชื่อว่าผู้ลงทุนหลายท่านคงจะทำการบ้านกันอย่างเข้มข้นว่าปี 2568 มีสินทรัพย์ไหนบ้างที่ลงทุนแล้วมองเห็นโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจ หรือจะช่วยสนับสนุนให้การลงทุนไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งนอกจากจะพิจารณาที่ประเภทสินทรัพย์แล้ว ผมมองว่าสามารถพิจารณาเจาะลึกไปยังอุตสาหกรรมที่น่าสนใจด้วยได้ โดยที่มี 5 อุตสาหกรรมน่าจับตาดังนี้
ผมมองว่าในปี 2568 หลายค่ายคงจะมีการปล่อยฟีเจอร์ใหม่ๆ ของ Generative AI ออกมา อย่างเช่น OpenAI ที่สร้าง ChatGPT ในปี 2567 ได้เปิดตัว OpenAI o1 ออกมา โดยมีจุดเด่นด้านการแก้ไขปัญหาคณิตศาสตร์หรือปัญหาที่ซับซ้อนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งนักวิเคราะห์หลายสถาบันต่างก็คาดการณ์ว่า OpenAI น่าจะเตรียมพร้อมเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในปี 2568 ดังนั้นก็น่าจะมีการปล่อยฟีเจอร์ใหม่ออกมาอีก เพื่อกระตุ้นความน่าสนใจสำหรับการ IPO ขณะที่ค่ายคู่แข่งอื่นๆ ก็น่าจะมีการออกเวอร์ชันใหม่ๆ มากขึ้นเพื่อมาแข่งขัน เช่น Gemini ของค่าย Google ที่ล่าสุดเพิ่งออกเวอร์ชัน 2.0, Claude ของ Anthropic ที่ Amazon เป็นผู้สนับสนุน, Copilot ของ Microsoft และ Llama ซึ่งเป็น Open Source AI ของ Meta
แม้ในช่วงนี้เทคโนโลยี Quantum Computers จะยังอยู่ในช่วงการวิจัยพัฒนา ไม่สามารถนำมาใช้เชิงพาณิชย์ได้ แต่ในปี 2568 คาดว่าจะได้เห็นบริษัทที่เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมนี้เพิ่มขึ้น เนื่องจากเริ่มมองเห็นแนวทางที่จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้งานจริงได้จากเดิมที่เป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น หลังจากที่ Google เปิดตัวชิป Quantum ชื่อว่า Willow พร้อมแสดงประสิทธิภาพในการคำนวณปัญหาที่ซับซ้อนมากๆ เช่น โจทย์ในเชิงควอนตัม โดยหากเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์อาจใช้เวลาถึง 1,025 ปี (หรือ 10 ล้านล้านล้านล้านปี) จึงจะแก้ปัญหาได้ แต่ Willow ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที ซึ่งอาจเป็นการพลิกโฉมหน้าวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบัน และสามารถนำไปต่อยอดงานวิจัยเทคโนโลยีต่างๆ เช่น การถอดรหัสพันธุกรรม การวิเคราะห์โปรตีนเพื่อพัฒนายารักษาโรคต่างๆ หรือการทดลองโมเลกุลทางเคมี
ในช่วงที่ผ่านมามีหลายประเทศเริ่มกังวลกับปัญหาการขาดแคลนพลังงาน จากความก้าวหน้าของนวัตกรรม AI ทำให้เราได้เห็นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Meta, Google และ Amazon ขยายไปสร้างโรงงานนิวเคลียร์ของตัวเอง หรือ Microsoft ที่ขยายความร่วมมือในการจัดหาแหล่งพลังงานกับ Constellation Energy รวมถึงความพยายามจะแสวงหาแหล่งพลังงานที่ต้นทุนต่ำที่สุด หรือ Zero Cost Energy นอกจากนี้ยังมีการขยายฐานการวิจัยออกไปยังต่างประเทศและเสาะหาแหล่งพลังงานต้นทุนต่ำ เพื่อรองรับการเติบโตของ AI ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งก็เป็นโอกาสสำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานต้นทุนต่ำ รวมถึงกลุ่มประเทศที่เกิดการย้ายฐานงานวิจัยและแหล่งพลังงานดังกล่าว
ที่ผ่านมาเราได้เห็นค่ายรถยนต์สันดาปถูกรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ชิงส่วนแบ่งตลาดไป โดยล่าสุด Honda, Mitsubishi และ Nissan ก็ต้องควบรวมกิจการกัน ขณะที่ในอนาคตคงจะได้เห็นแนวโน้มค่ายรถยนต์สันดาปเผชิญแรงกดดันมากขึ้นไปอีก จากการที่ค่ายรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเร่งพัฒนายานยนต์ไร้คนขับ หรือ Autonomous Driving ซึ่งจะทำให้ค่ายรถยนต์ที่ไม่ได้มีการพัฒนาระบบอัตโนมัติแข่งขันในตลาดยากขึ้นไปอีก ทำให้อาจเห็นการควบรวมกิจการ รวมถึงการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดรถยนต์มากขึ้นอีกในอนาคต สำหรับความคืบหน้าของ Autonomous Driving นั้นเราได้เห็น Tesla กำลังพัฒนาอยู่ และยังเตรียมเปิดตัว RoboTaxi ในอนาคต รวมถึง Waymo ของค่าย Google ที่กำลังขยายขอบเขตการทำงานไปยังรัฐต่างๆ มากขึ้น ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าการมาของ Autonomous Driving จะสร้างผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์พอสมควร โดยจะมีทั้งผู้ประกอบการที่ได้รับประโยชน์เชิงบวกและเสียประโยชน์ ซึ่งนอกจากผู้ผลิตรถยนต์โดยตรงแล้ว ยังรวมถึงกลุ่มที่เกี่ยวข้อง เช่น Ride Sharing หรือ Delivery ด้วย
เนื่องจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 20 มกราคม 2568 เป็นผู้ที่สนับสนุน Digital Asset ค่อนข้างมาก ลูกชายของทรัมป์ก็เคยออกโทเคน ส่วนเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของสหรัฐฯ ก็น่าจะมีการเปลี่ยนตัวเป็นผู้ที่สนับสนุนคริปโตเคอร์เรนซีมากขึ้น ส่งสัญญาณการสนับสนุนในเชิงบวกกับอุตสาหกรรมนี้
สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนใน 5 อุตสาหกรรมนี้ ในขณะเดียวกันก็ต้องการความง่ายด้วย ผมแนะนำว่าสามารถลงทุนผ่านกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่างหุ้น 7 นางฟ้า (Apple, Amazon, Alphabet (บริษัทแม่ของ Google), NVIDIA, Meta Platforms, Microsoft และ Tesla) เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีการลงทุนค่อนข้างครอบคลุมใน 5 อุตสาหกรรมนี้ หรืออาจจะลงทุนผ่านกองทุนรวมดัชนี (ETF) ที่อ้างอิงกลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้
นอกจากนี้อาจจะลงทุนผ่านอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นรากฐานของ 5 อุตสาหกรรมข้างต้น และยังมีหลากหลายส่วนในห่วงโซ่อุปทานให้เลือกลงทุนได้ แม้ว่าหุ้นเหล่านี้ที่อยู่ในสหรัฐฯ จะมีราคาค่อนข้างแพง แต่ผู้ลงทุนก็ยังสามารถพิจารณาลงทุนหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ที่อยู่ในยุโรป เกาหลีใต้ ไต้หวัน และญี่ปุ่นได้เช่นกัน
ทั้งนี้ ผมมองว่าผู้ลงทุนควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุนให้มากกว่าปกติ หากสนใจลงทุนในอุตสาหกรรมที่ยังเป็นเพียงแนวคิด ยังไม่มีการใช้จริงเชิงพาณิชย์ เช่น Quantum Computing หรืออุตสาหกรรมที่ต้องใช้เงินลงทุนมากอย่าง Zero Cost Energy ควรพิจารณาลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้เป็นหลักครับ
คำเตือน:
ภาพ: amgun / Getty Images
The post เปิดโผ 5 อุตสาหกรรมที่นักลงทุนควรจับตา appeared first on THE STANDARD.
]]>
ปี 2025 ถือเป็นปีที่การลงทุนมีความท้าทาย เพราะ โดนัลด์ […]
The post SCB CIO เปิดชื่ออุตสาหกรรมส่อแววร่วงในปี 2025 พร้อมเจาะ 5 อุตสาหกรรมเด่นที่ยังลงทุนได้ในปีหน้า appeared first on THE STANDARD.
]]>
ปี 2025 ถือเป็นปีที่การลงทุนมีความท้าทาย เพราะ โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ามานั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาติดตามการวิเคราะห์ว่าอุตสาหกรรมไหนจะโดดเด่น และอุตสาหกรรมไหนจะส่อแววร่วง
ชาตรี โรจนอาภา CFA, FRM Head of Investment Consultant SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่า อุตสาหกรรมที่น่าจับตามองสำหรับการลงทุนในปี 2025 มีหลายอุตสาหกรรมดังนี้
1. Generative AI ปัจจุบันถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การทำงานต่างๆ สะดวกและง่ายขึ้น โดยเห็นพัฒนาการตลอดปี 2024 และน่าจะมีพัฒนาการต่อเนื่องในปี 2025 เช่น OpenAI มีการพัฒนา ChatGPT เวอร์ชัน 1o ออกมา มีความสามารถในการช่วยคิดแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ รวมถึงมีการวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อนได้มากขึ้น ขณะที่ Google มี Gemini ที่มีการออกเวอร์ชัน 2.0 มาแข่งขันกับ ChatGPT
นอกจากนี้ยังมีความคืบหน้าของคู่แข่งรายอื่นๆ ในอุตสาหกรรม Generative AI ที่ทยอยออกมาเพิ่มขึ้น เช่น Anthropic ที่พัฒนาแชตบอต AI ชื่อ Claude โดยได้รับการสนับสนุนจาก Amazon รวมทั้ง Microsoft ที่มีการพัฒนา AI ในชื่อ Microsoft Copilot และ Meta ยังมีการเปิดตัว AI ในชื่อ Llama ซึ่งเปิดให้คนทั่วไปทดลองใช้งานได้แล้วในแอปพลิเคชัน Facebook กับ Messenger
โดยจะเห็นว่าในปีนี้ Generative AI มีการพัฒนาก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้เล่นรายใหญ่ในกลุ่มทั้ง Google, Microsoft, Amazon, Meta ต่างประกาศใช้งบลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ AI ในปี 2025 เป็นหลักหมื่นล้านดอลลาร์
อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ว่า OpenAI เตรียมตัวที่จะขายหุ้น IPO ในปี 2025 ด้วย จึงมีความเป็นไปได้ว่าจะมีการปล่อยฟีเจอร์ใหม่ๆ เพื่อนำมาใช้กระตุ้นดึงดูดความน่าสนใจในการระดมทุน
“ในปี 2025 เชื่อว่าผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรม Generative AI น่าจะมีฟีเจอร์ใหม่ๆ และมีการแข่งขันออกมาเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าจับตามอง”
2. Quantum Computer โดยเริ่มเห็น Google แถลงข่าวเปิดตัวชิป Quantum ชื่อ Willow ที่มีความสามารถและประสิทธิภาพในการคำนวณแก้ปัญหาทางควอนตัมที่มีความซับซ้อนโดยใช้เวลาในการแก้ปัญหาภายในระยะเวลา 200 วินาที ลดลงจากปกติที่ใช้ระยะเวลาหลักหลายล้านล้านปี ถือเป็นการพลิกโฉมอุตสาหกรรม Quantum Computer ซึ่งเดิมเป็นเพียงคอนเซปต์มาเป็นระยะเวลายาวนาน ส่งผลให้ปัจจุบันเริ่มมีความเป็นไปได้เกิดขึ้นจริงในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ให้สามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้
ทั้งนี้ การเกิดขึ้นของ Quantum Computer จะสนับสนุนให้งานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ เช่น การถอดรหัสพันธุกรรม การวิเคราะห์โปรตีนสำหรับใช้พัฒนายารักษาโรค การจำลองคนต่างๆ การวิเคราะห์วิจัยของข้อมูลซึ่งในอดีตไม่สามารถทำได้ให้สามารถทำได้ในอนาคต
โดยคาดว่าในปี 2025 จะเริ่มเห็นการลงทุนในอุตสาหกรรม Quantum Computer เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากปัจจุบันกลุ่มบริษัท 7 หุ้นนางฟ้า (The Magnificent Seven) มีเพียง Google บริษัทเดียวที่ลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ ส่วนอีก 6 บริษัทยังไม่ประกาศลงทุนในอุตสาหกรรม Quantum Computer ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะเห็นเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
3. Zero Cost Energy หรือพลังงานที่มีราคาต่ำ สืบเนื่องจากการเติบโตของอุตสาหกรรม Generative AI กับ Quantum Computer ทำให้มีความต้องการใช้พลังงานเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้มีความกังวลเพิ่มมากขึ้นในหลายประเทศ เช่นในสหรัฐฯ ที่มีความเสี่ยงจะขาดแคลนพลังงาน ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าทั้ง Google, Microsoft, Amazon และ Meta มีการขยับขยายการลงทุนไปสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เอง รวมถึงความร่วมมือในการจัดหาพลังงานต่างๆ เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ยังเริ่มเห็นบริษัทขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ขยายฐานการลงทุนในการพัฒนาสำนักงานวิจัยและ Data Center ต่างๆ ในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น เช่น ในไทยและเวียดนาม ซึ่งสะท้อนว่าพลังงานในสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะขาดแคลน ดังนั้นจึงมีความพยายามในการแสวงหาแหล่งพลังงานที่มีราคาต่ำและเพียงพอเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรม AI ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า
4. อุตสาหกรรมยานยนต์เริ่มเห็นแนวโน้มค่ายผลิตรถยนต์กลุ่มสันดาปต่างๆ มีการผลิตลดลง อีกทั้งเริ่มเห็นผู้ผลิตรถยนต์อีวีเข้ามาแย่งมาร์เก็ตแชร์เพิ่มมากขึ้น รวมถึงเริ่มเห็นว่าหลายบริษัทรถยนต์สันดาปกำลังประสบปัญหาทางธุรกิจ เช่น Volkswagen ที่มีการปรับลดพนักงาน รวมถึง Honda กับ Nissan ที่สถานการณ์ธุรกิจถูกบังคับให้ต้องควบรวมกิจการ โดยประเมินว่าภาพดังกล่าวในปี 2025 น่าจะมีสถานการณ์ที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้น
เนื่องจากค่ายรถยนต์อีวีต่างๆ เริ่มมีการพัฒนาระบบรถยนต์อัตโนมัติ (Autonomous Driving) เช่น Tesla ขณะที่ Waymo ประกาศแผนงานนำรถแท็กซี่ไร้คนขับเริ่มทดสอบและมีแผนให้บริการเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ จะส่งผลให้ค่ายรถยนต์ที่ไม่มีเทคโนโลยี Autonomous Driving ในอนาคตทำการแข่งขันได้ยากขึ้น อีกทั้งมีโอกาสเห็นการควบรวมกิจการของแบรนด์รถยนต์เพิ่มสูงขึ้น หรือมีการแย่งชิงมาร์เก็ตแชร์ของค่ายรถยนต์อีวีต่างๆ เพิ่มมากขึ้น รวมถึงเปิดตัวแท็กซี่ไร้คนขับของ Tesla จะทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์ในปี 2025 มีความน่าสนใจในการลงทุน
อย่างไรก็ดี อาจมีผลกระทบในเชิงลบมากพอสมควรต่ออุตสาหกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกลุ่มธุรกิจ Drive Sharing และ Delivery เช่น Uber และ Grab
ดังนั้นอุตสาหกรรมยานยนต์ถือเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องติดตาม เพราะมีทั้งกลุ่มที่ได้รับประโยชน์และกลุ่มที่เสียประโยชน์จากการพัฒนาของเทคโนโลยี
5. Digital Asset เนื่องจากในปีหน้า โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งทรัมป์มีนโยบายสนับสนุนด้าน Digital Asset รวมทั้งสหรัฐฯ กำลังจะมีการเปลี่ยนผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของสหรัฐฯ ซึ่งผู้ที่จะมารับตำแหน่งก็มีนโยบายสนับสนุนคริปโตเคอร์เรนซีมากขึ้น โดยยังคงต้องติดตามสหรัฐฯ ว่าจะมีการแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนการลงทุนในกลุ่ม Digital Asset หรือไม่
ชาตรีกล่าวต่อว่า สำหรับคำแนะนำหรือวิธีการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมทั้ง 5 กลุ่มดังกล่าวที่มีความสะดวกและมีความปลอดภัย ให้เน้นการลงทุนในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น The Magnificent Seven
รวมถึงยังสามารถเข้าไปลงทุนในดัชนี S&P 500 หรือ Nasdaq 100 ซึ่งก็ครอบคลุมทั้ง 5 กลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี หากนักลงทุนมีมุมมองว่าหุ้นกลุ่มเจ็ดนางฟ้ายังมีสัดส่วนการลงทุนในอุตสาหกรรมทั้ง 5 อุตสาหกรรมดังกล่าวไม่มากพอ อาจเลือกลงทุนในกองทุนรวม หรือกองทุน ETF ที่ตั้งขึ้นมาลงทุนในอุตสาหกรรมเฉพาะทั้ง 5 กลุ่มดังกล่าวข้างต้น ซึ่งสามารถเลือกลงทุนในเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีความสนใจได้ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนคาดหวังผลตอบแทนที่สูงมากขึ้น อาจเลือกลงทุนในกลุ่มสตาร์ทอัพที่เกี่ยวข้องกับทั้ง 5 อุตสาหกรรมนี้ได้ ซึ่งปัจจุบันมีหลายบริษัทที่กำลังเป็นดาวรุ่ง โดยเลือกลงทุนได้ในตลาดของสหรัฐฯ แต่แนะนำให้ระมัดระวังการลงทุน เพราะจากกระแสความนิยมที่ได้รับในการลงทุนจะส่งผลให้ราคาหุ้นอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมปัจจุบันที่ยังไม่สร้างรายได้เข้ามาทันที เพราะเป็นคอนเซปต์ของการลงทุน เช่น Quantum Computer รวมทั้งอุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนที่สูงคือกลุ่ม Zero Cost Energy ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องใช้ความระวังในการลงทุนมากกว่าปกติ
ชาตรีกล่าวต่อว่า อุตสาหกรรมที่มีความน่าสนใจในการลงทุนอีกกลุ่มซึ่งถือเป็นรากฐานของทั้ง 5 อุตสาหกรรมดังกล่าวคือ เซมิคอนดักเตอร์ ที่มีความเกี่ยวข้องกับหลายซัพพลายเชน ทั้งผู้ประกอบการในฝั่งสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชียคือไต้หวันกับเกาหลีใต้ ซึ่งจะได้ประโยชน์จากพัฒนาการของทั้ง 5 กลุ่มอุตสาหกรรมข้างต้น ซึ่งหากหุ้นของบริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับขึ้น นักลงทุนสามารถพิจารณาเลือกลงทุนในหุ้นของบริษัทในตลาดหุ้นของยุโรปและเอเชียได้เช่นกัน
“เทรนด์ของทั้ง 5 อุตสาหกรรมนี้ไม่ได้จบแค่ปี 2025 ประเมินว่าเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องไปถึงปี 2030 มองว่าดีมานด์ของเซมิคอนดักเตอร์จะยังคงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนสถานการณ์โอเวอร์ซัพพลายที่เกิดขึ้นจะค่อยๆ ดีขึ้นและทยอยจบปัญหาได้ ส่วนนักลงทุนที่ถือครองในหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์อยู่แล้วแม้ว่าปัจจุบันจะยังขาดทุน แต่เชื่อว่ายังสามารถถือครองลงทุนระยะยาวต่อไปได้ ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นกลุ่มนี้ในพอร์ตมองว่าเป็นโอกาสในการลงทุน เพราะเทคโนโลยีต่างๆ จำเป็นต้องใช้เซมิคอนดักเตอร์เป็นรากฐานในการพัฒนาเทคโนโลยี”
ภาพ: Tada Images / Shutterstock
The post SCB CIO เปิดชื่ออุตสาหกรรมส่อแววร่วงในปี 2025 พร้อมเจาะ 5 อุตสาหกรรมเด่นที่ยังลงทุนได้ในปีหน้า appeared first on THE STANDARD.
]]>
ตลอดระยะเวลากว่า 16 ปีของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลที่เ […]
The post ชมคลิป: สินทรัพย์ดิจิทัล กับอนาคตที่ลึกและมากกว่าแค่เหรียญคริปโต | Thailand Future EP.4 appeared first on THE STANDARD.
]]>
ตลอดระยะเวลากว่า 16 ปีของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลที่เต็มไปโปรเจกต์ที่ ‘รุ่ง’ และโปรเจกต์ที่ ‘ล้มหายไป’
แต่ความชัดเจนหนึ่งที่ปรากฏกับทุกฝ่ายคือสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีกระจายศูนย์ ที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจ และมีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ
การเติบโตสะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับและการใช้งานที่เพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ดิจิทัลในชีวิตประจำวันของพวกเรา ทั้งการถูกใช้เป็นที่กักเก็บมูลค่า เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนในบางประเทศ หรือต่อยอด Smart Contract จนกลายเป็นแอปพลิเคชันที่หลากหลาย
เอพิโสดนี้จะชวนคุยถึงอนาคตสินทรัพย์ดิจิทัล แนวโน้มที่น่าสนใจ รวมถึงนัยที่กำลังจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ภาพอนาคตจะเป็นอย่างไร สามารถหาคำตอบไปได้พร้อมกัน
The post ชมคลิป: สินทรัพย์ดิจิทัล กับอนาคตที่ลึกและมากกว่าแค่เหรียญคริปโต | Thailand Future EP.4 appeared first on THE STANDARD.
]]>
บริษัท ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย จำกัด หรือ TDX เ […]
The post ชมคลิป: TDX คือใคร เกี่ยวอะไรกับ Digital Asset | GOOD QUESTIONS appeared first on THE STANDARD.
]]>
บริษัท ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย จำกัด หรือ TDX เป็นบริษัทในกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ให้บริการเป็นศูนย์ซื้อขายโทเคนดิจิทัล ซึ่งได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. TDX จะมาเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ต้องการระดมทุนและนักลงทุนได้อย่างไร
TDX เป็นบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายโทเคนดิจิทัลซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. และเป็นบริษัทในกลุ่มของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ศึกษารายละเอียดและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
The post ชมคลิป: TDX คือใคร เกี่ยวอะไรกับ Digital Asset | GOOD QUESTIONS appeared first on THE STANDARD.
]]>
วันอังคารที่ผ่านมา (9 พฤษภาคม) Digital Asset บริษัทด้าน […]
The post ‘Digital Asset’ เทคด้านการเงิน เตรียมร่วมมือกับ Deloitte, Goldman Sachs รวมถึง Microsoft สร้างเครือข่าย Global Blockchain appeared first on THE STANDARD.
]]>
วันอังคารที่ผ่านมา (9 พฤษภาคม) Digital Asset บริษัทด้านเทคโนโลยีการเงิน เตรียมสร้างเครือข่าย Global Blockchain ที่เรียกว่า Canton Network ที่สามารถทำงานเชื่อมต่อระหว่างกันได้ เพื่อเป็นโครงสร้างขั้นพื้นฐานแบบไร้ตัวกลาง (Decentralized) ให้แก่ลูกค้าสถาบันอย่าง Deloitte, Goldman Sachs เป็นต้น
โดยลูกค้าในเครือข่าย Canton Network ยังประกอบไปด้วย BNP Paribas (BNP), Cboe Global Markets (CBOE), Broadridge (BR), S&P Global และ Microsoft (MSFT) และอื่นๆ อีกมาก
Chris Zuehlke พาร์ตเนอร์ของ DRW และหัวหน้าฝ่ายของ Cumberland ชี้ว่า “Canton Network เป็นคำตอบที่สำคัญของอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้ความสามารถของ Blockchain และยังมีพื้นฐานด้านความเป็นส่วนตัวสำหรับลูกค้าสถาบันการเงินอีกเช่นกัน”
นอกจากนี้ เครือข่ายของ Canton ยังสร้างบนระบบ Daml ซึ่งเป็นภาษาของ Smart Contract ที่ให้ระบบการเงินต่างๆ สามารถพูดคุยและทำงานร่วมกันได้
Jens Hachmeister หัวหน้าฝ่าย Issuer Services และ New Digital Market ของ Deutsche Börse Group กล่าวว่า “บริการดังกล่าวจะเป็นคำตอบสำคัญสำหรับอนาคตของโครงสร้างพื้นฐานด้านตลาดการเงินแบบดิจิทัลและการกระจายศูนย์”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อ้างอิง:
The post ‘Digital Asset’ เทคด้านการเงิน เตรียมร่วมมือกับ Deloitte, Goldman Sachs รวมถึง Microsoft สร้างเครือข่าย Global Blockchain appeared first on THE STANDARD.
]]>
ด้วยวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีและการเงินที่รุดหน้าอย่าง ‘บล […]
The post มิติใหม่ของการลงทุนแห่งอนาคต: กองทุน ASP-DIGIBLOC เปิด IPO แล้ว! [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.
]]>
ด้วยวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีและการเงินที่รุดหน้าอย่าง ‘บล็อกเชน’ (Blockchain) ส่งผลให้การลงทุนใน ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ (Digital Asset) กำลังมาแรง มีความสำคัญและเป็นที่นิยมมากขึ้นอย่างรวดเร็วในหมู่นักลงทุนในปัจจุบัน เพราะเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่มีความน่าสนใจ ซึ่งมีแนวโน้มโอกาสเติบโตอย่างก้าวกระโดด เราลองมาดูกันดีกว่าว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้การลงทุนดังกล่าว เป็นโอกาสในการสร้างความมั่งคั่ง ถึงขนาดเรียกได้ว่าเป็นการลงทุนแห่งอนาคตเลยก็ว่าได้
จากข้อมูลที่น่าสนใจของ Coinmarketcap.com ณ เวลานี้ ระบุว่า ขนาดของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในปัจจุบันนั้นมีมูลค่าอยู่ที่ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ กล่าวคือมีขนาดใหญ่กว่าขนาดเศรษฐกิจของประเทศไทยที่มีมูลค่าราว 0.51 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึงราว 4 เท่า และยังมีขนาดใกล้เคียงกับเศรษฐกิจของประเทศอิตาลี ซึ่งมีมูลค่าราว 2.07 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว
ทั้งนี้ แน่นอนว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนซึ่งเป็น Megatrend นั้นถูกมองว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ซึ่งนับวันจะยิ่งเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าโลกในอนาคต เช่นเดียวกับที่ในอดีตนั้นอินเทอร์เน็ตได้เคยเปลี่ยนให้โลกของเราเข้าสู่ยุคดิจิทัลมาแล้ว ปัจจุบันการพัฒนาของเทคโนโลยีบล็อกเชนยังอยู่ในจุดเริ่มต้นคล้ายคลึงกับอินเทอร์เน็ตในช่วงยุค 2000 จึงมีโอกาสอย่างมากที่เราจะเห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้อีกไม่กี่ปีหลังจากนี้
ปัจจุบันเทคโนโลยีบล็อกเชนได้ผ่านช่วงเริ่มต้นมาแล้วและกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นของการเติบโต โดยในช่วงที่ผ่านมานั้นได้เริ่มมีบริษัทจดทะเบียนซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากจำนวนผู้ใช้งานและรายได้ที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าจะยังคงเห็นการเติบโตที่จะดำเนินต่อไปในอนาคตจากประโยชน์ของสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงการเป็นที่ยอมรับและกระแสของคริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งส่งผลให้จำนวนแอปพลิเคชันจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Application) มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้การที่หลายประเทศทั่วโลกได้มีการสร้าง CBDC (Central Bank Digital = สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางแต่ละประเทศ) ขึ้นมา ก็ยังสะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวต่อสกุลเงินดิจิทัลของภาครัฐได้อย่างชัดเจน
ถึงแม้ว่าบล็อกเชนจะมีจุดกำเนิดเพื่อสร้างสกุลเงินดิจิทัล อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เทคโนโลยีบล็อกเชนก็ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพียงเพื่อรองรับสกุลเงินดิจิทัลแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะปัจจุบันวงการอุตสาหกรรมอื่นๆ ก็ได้มีการนำศักยภาพของบล็อกเชนไปใช้ประโยชน์เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจของตนอย่างแพร่หลายกันมากขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าภายในปี 2030 Total Addressable Market หรือขนาดของตลาดที่สามารถใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ไม่ว่าจะเป็นในกิจการของรัฐ, Supply Chain Management, Health Care, E-Commerce ไปจนถึง Real Estate นั้นจะมีมูลค่าถึง 37,475 พันล้านเหรียญเลยทีเดียว!
ดังนั้นหากคุณคือผู้ที่สนใจลงทุนตามการเติบโตสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชน แต่ยังไม่อยากลงทุนโดยตรง เนื่องจากยังกังวลเรื่องความเสี่ยงจากการผันผวนด้านราคาและการลงทุนในหุ้นเป็นรายตัว ซึ่งอาจต้องแบกรับความเสี่ยงสูงไม่ต่างจากการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลโดยตรง แต่จะดีกว่าไหม? หากนักลงทุนผู้มองการณ์ไกลเช่นคุณสามารถลงทุนในกองทุนที่มีเป้าหมายในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ในระยะยาว โดยผ่านการคัดสรรจากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมาแล้ว
(กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม Information Technology จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก)
สำหรับกองทุนที่น่าสนใจและ THE STANDARD อยากแนะนำให้รู้จักกันก็คือ ASP-DIGIBLOC
กองทุนซึ่งไม่ได้มีนโยบายในการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลโดยตรง แต่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนของบริษัทสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets Companies) และ/หรือบริษัทที่มีรายได้จากการดำเนินธุรกิจ และ/หรือมีความเกี่ยวข้องกับระบบสินทรัพย์ดิจิทัล และ/หรือบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ทั้งนี้ บลจ.แอสเซท พลัส มีกองทุนที่ลงในสินทรัพย์ดิจิทัลทั้ง 3 ประเภท ได้แก่
นักลงทุนที่สนใจมิติใหม่ของการลงทุนแห่งอนาคตและสนใจกองทุนเปิดที่น่าสนใจอย่าง ASP-DIGIBLOC ซึ่งมีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงกับการลงทุนในกลุ่มบริษัทเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชน ตอนนี้กองทุนดังกล่าวได้เปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ตั้งแต่วันที่ 18-26 มกราคม 2565 ผู้สนใจสามารถเปิดบัญชีออนไลน์ได้ที่ Application ASP FUND หรือ Asset Customer Care โทร. 0 2672 1111 ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ assetfund.co.th
รายละเอียดกองทุนเพิ่มเติมหรือติดต่อเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนคลิก
*ตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด ทั้งนี้ หากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี และจะต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เคยได้รับ พร้อมชำระเงินเพิ่มและเบี้ยปรับตามที่ระบุในประมวลรัษฎากร
The post มิติใหม่ของการลงทุนแห่งอนาคต: กองทุน ASP-DIGIBLOC เปิด IPO แล้ว! [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.
]]>
วันนี้ (10 มกราคม) พรรคไทยสร้างไทย โดยคุณหญิงสุดารัตน์ […]
The post ไทยสร้างไทย ค้านการเก็บภาษีคริปโต ไม่เป็นธรรม ชี้ทำลายโอกาสคนรุ่นใหม่ที่จะสร้างรายได้จาก Digital Asset appeared first on THE STANDARD.
]]>
วันนี้ (10 มกราคม) พรรคไทยสร้างไทย โดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ พร้อมด้วย ดร.ธรรม์ธีร์ สุกโชติรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ดิจิทัลเพื่อสร้างพลังของประชาชน และนรุตม์ชัย บุนนาค ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) เขตบางคอแหลม-ยานนาวา แถลงจุดยืนคัดค้านการจัดเก็บภาษีที่ได้จากการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือคริปโตเคอร์เรนซี พร้อมแสดงจุดยืนสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนของสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ ‘Digital Asset Hub’ ของโลก
คุณหญิงสุดารัตน์ระบุว่า การเก็บภาษีคริปโตเคอร์เรนซีสะท้อนการไม่เข้าใจโอกาสสร้างรายได้เข้าประเทศจาก Digital Asset ที่เป็น New Economy ของรัฐบาล เป็นการปิดกั้นโอกาสในการหารายได้ของคนรุ่นใหม่
การที่รัฐมีนโยบายจะเก็บภาษีจากรายได้ของผู้ทำกำไรจาก Digital Asset คงไม่มีใครว่า ถ้าเก็บอย่างเป็นธรรม ไม่เอาเปรียบผู้เสียภาษี ในทางตรงข้ามรัฐควรต้องส่งเสริมให้เกิดการใช้โอกาสในการสร้างรายได้จาก Digital Asset มากกว่า
ตามที่มีข่าวออกมาว่ารัฐจะเก็บภาษีคริปโตเคอร์เรนซี 2 ขั้น คือ
ซึ่งทันทีที่มีการประกาศการเก็บภาษีแบบนี้ ปริมาณการเทรดใน Exchange ไทยลดลงทันทีถึง 25-45% แสดงให้เห็นว่าหากรัฐดึงดันจะใช้แนวปฏิบัตินี้ต่อไป ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะให้ Exchange ไทยเป็นผู้เก็บภาษีแทนอีกด้วย จะส่งผลให้นักลงทุนย้ายไปใช้แพลตฟอร์มของต่างประเทศเพื่อที่จะไม่ต้องเสียภาษีแน่นอน ซึ่งจะเกิดความเสียหายกับธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทยที่หลายธุรกิจได้ลงทุนจนได้ใบอนุญาตไปแล้ว และสุดท้ายรัฐก็จะไม่สามารถเก็บได้แม้กระทั่ง VAT หรือภาษีเงินได้นิติบุคคลจากธุรกิจไทย
พรรคไทยสร้างไทยจึงขอคัดค้านการเก็บ Withholding Tax 15% ซึ่งสร้างภาระให้ประชาชน และถ้าจะเก็บจาก Capital Gain Tax ควรเก็บหลังจากหักลบกำไรขาดทุนในแต่ละปีตามหลักสากล
คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวด้วยว่า พรรคไทยสร้างไทยเห็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของโลกยุคใหม่ เราจึงมีนโยบายที่จะสร้างประเทศไทยให้เป็น ‘ศูนย์กลางการลงทุนของสินทรัพย์ดิจิทัล’ หรือ ‘Digital Asset Hub’ ของโลก เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ให้มาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีรายได้เข้ามามากมาย และยังเป็นการพัฒนาบุคลากรของไทยเราให้เก่งยิ่งขึ้น
โดยการทำให้ไทยเป็น Digital Asset Hub ไม่ใช่เรื่องยากหรือไกลเกินฝัน เพียงรัฐเข้าใจ มีวิสัยทัศน์ สนับสนุนส่งเสริม ปลดล็อกกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคขวางกั้นความสามารถของคนรุ่นใหม่ แทนการมองเป็นทาสที่ต้องออกกฎควบคุมบังคับและจ้องรีดภาษีเท่านั้น พรรคไทยสร้างไทยเห็นว่าการไม่เก็บภาษีคริปโตเคอร์เรนซีสำหรับการเทรดบน Exchange ที่ได้รับอนุญาตในประเทศไทยเหมือนการเทรดหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ (หรือในอนาคตควรเพิ่มการลดหย่อนจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นระยะเวลา 10 ปี เหมือนการซื้อ SSF เป็นบันไดขั้นต่อไป) เป็นการส่งเสริมให้ไทยเป็น Digital Asset Hub จะสร้างรายได้ให้รัฐมากมายกว่าการออกนโยบายเก็บภาษีคริปโตเคอร์เรนซี ที่ทำให้คนส่วนใหญ่จะหันไปเทรด Exchange ต่างประเทศ ในที่สุดประเทศไทยก็จะไม่ได้ประโยชน์ใดๆ และไทยจะเป็นประเทศที่ตกยุค ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
พรรคไทยสร้างไทยมีเป้าหมายสนับสนุนให้คนไทยทุกคนได้มีโอกาสทำมาหากินให้ได้ง่ายที่สุด ให้ทุกคนร่ำรวยอย่างยั่งยืน รัฐจึงจะเก็บภาษีได้ ไม่ต้องกู้มาใช้อย่างทุกวันนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นแล้วว่านโยบายเศรษฐกิจและการคลังดำเนินการมาอย่างผิดพลาดแบบนี้ตลอด 7 ปี
ดังนั้นในทุกนโยบายของพรรคไทยสร้างไทย เราจึงมุ่งเน้นการปลดปล่อย (Liberate) ประชาชนจากรัฐราชการรวมศูนย์ กฎหมาย ระเบียบที่เป็นอุปสรรคขวางกั้นการทำมาหากินของประชาชน การสร้างพลัง (Empower) ให้ประชาชนมีช่องทางและเครื่องมือสร้างรายได้ในโลกยุคใหม่ให้มากที่สุด
The post ไทยสร้างไทย ค้านการเก็บภาษีคริปโต ไม่เป็นธรรม ชี้ทำลายโอกาสคนรุ่นใหม่ที่จะสร้างรายได้จาก Digital Asset appeared first on THE STANDARD.
]]>
บล.ไทยพาณิชย์ ประเมินกรอบดัชนี SET Index ปี 2565 ที่ 1, […]
The post ชมคลิป: SCBS มองหุ้นไทยปี 65 ผลตอบแทน 5-8% แนะลงทุน 5 กลุ่ม รับอานิสงส์ธีมลงทุนเด่น appeared first on THE STANDARD.
]]>
ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 น. ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH
อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/
The post ชมคลิป: SCBS มองหุ้นไทยปี 65 ผลตอบแทน 5-8% แนะลงทุน 5 กลุ่ม รับอานิสงส์ธีมลงทุนเด่น appeared first on THE STANDARD.
]]>
บล.ไทยพาณิชย์ ประเมินกรอบดัชนีปีนี้ 1,550-1,750 จุด และ […]
The post ‘บล.ไทยพาณิชย์’ มองหุ้นไทยปีนี้ผลตอบแทน 5-8% แนะลงทุน 5 กลุ่มหลัก รับอานิสงส์จากธีมลงทุนเด่น appeared first on THE STANDARD.
]]>
บล.ไทยพาณิชย์ ประเมินกรอบดัชนีปีนี้ 1,550-1,750 จุด และคาดการณ์ผลตอบแทนจากตลาดหุ้นไทยปีนี้ที่ 5-8% โดยยังต้องจับตา 4 ความเสี่ยงสำคัญคือ นโยบาย Fed ปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วเกินคาด โควิดกลับมาระบาดใหม่อีกระลอก เศรษฐกิจจีนชะลอตัว และฟองสบู่ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี พร้อมแนะนำ 5 กลุ่มอุตสาหกรรมที่จะโตโดดเด่น และได้รับอานิสงส์จาก 4 ธีมลงทุน คือ Metaverse, Clean Energy, Cybersecurity และ Digital Asset
สุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ Chief Research Officer บล.ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยประเมินระดับ SET Index ปี 2565 อิงกับปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 1,660 จุด และจะมีกรอบการเคลื่อนไหวบริเวณ 1,550-1,750 จุด และคาดผลตอบแทนจากตลาดหุ้นที่ 5-8% โดย 5% มาจากผลตอบแทนจาก Capital Gain ส่วน 3% มาจากผลตอบแทนเงินปันผล
ปี 2565 กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีโอกาสที่จะกลับเข้าสู่ภาวะก่อนเกิดวิกฤตโควิด ซึ่งหมายถึง อัตราการเติบโตของ GDP ในระดับที่มีเสถียรภาพ อัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะชะลอตัวลง อัตราดอกเบี้ยที่เริ่มปรับตัวขึ้น รวมถึงจะมีการปรับขึ้นอัตราภาษี เพื่อสร้างสมดุลให้กับฐานะการเงินของรัฐบาล ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นจะลดลงเมื่อเทียบกับปี 2564
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นบวกกอย่างระมัดระวัง โดยคาดว่า GDP จะเติบโต 3.6-4.0% จากที่หดตัวลง 6.1% ในปี 2563 และเติบโต 1.0% ในปี 2564
อย่างไรก็ตาม จากการพึ่งพาภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการแพร่ระบาดของโควิด ในกรณีที่โควิดแพร่ระบาดรุนแรงอีกระลอก จนทำให้รัฐบาลไทยใช้นโยบายล็อกดาวน์อีกครั้ง จะกระทบต่อ GDP ของไทยราว 0.5%
สุกิจกล่าวว่า ปัจจัยที่ต้องระมัดระวังในปีนี้ ประกอบด้วย 1. Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วไป 2. โควิดกลับมาระบาดรุนแรง 3. เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นค่อนข้างมาก เพราะจีนใช้นโยบาย Zero COVID ซึ่งเป็นนโยบายสุดโต่งที่กระทบเศรษฐกิจโดยตรง และ 4. ฟองสบู่ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี
ทั้งนี้ กลุ่มหุ้นเด่นปีนี้ ประเมินจากกลุ่มที่มีผลประกอบการเติบโตอย่างน่าสนใจ และได้อานิสงส์จาก 4 ธีมการลงทุนที่โดดเด่นในปีนี้คือ ธีม Metaverse, Clean Energy, Cybersecurity และ Digital Asset โดยกลุ่มหุ้นเด่นประกอบด้วยกลุ่มพาณิชย์, สื่อสาร, ประกัน, ยานยนต์ และธนาคาร
ส่วน 10 หุ้นเด่นปีนี้ ประกอบด้วย
“กรณีล่าสุดที่ Fed ลดงบดุล เป็นการสะท้อนภาพของการกลับเข้าสู่ความเป็นปกติ หลังจากที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับขึ้นมามากแล้ว ผลของการลดงบดุลคือทำให้สภาพคล่องในตลาดการเงินจะถูกเติมน้อยลง ตลาดหุ้นจะลดความร้อนแรงลงเช่นกัน และเมื่อนำมาพิจารณากับมูลค่าหุ้นที่ค่อนข้างขึ้นไปสูงแล้ว ทำให้ตลาดหุ้นไปต่อได้ยาก อีกทั้งยังกระทบต่อต้นทุนภาคธุรกิจ กำไรบริษัทจดทะเบียนและกำลังซื้อ ส่วนตลาดคริปโตเคอร์เรนซี มองเป็นโอกาสการลงทุนที่จะช่วยเพิ่มผลตอบแทน โดยมองว่าควรมีสัดส่วนลงทุนในคริปโตไม่เกิน 15%” สุกิจกล่าว
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
The post ‘บล.ไทยพาณิชย์’ มองหุ้นไทยปีนี้ผลตอบแทน 5-8% แนะลงทุน 5 กลุ่มหลัก รับอานิสงส์จากธีมลงทุนเด่น appeared first on THE STANDARD.
]]>
เกิดอะไรขึ้น: บมจ.เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล (XPG) ได้ตั้งเป้ […]
The post XPG – คาดปี 2565 จะเป็นช่วงแรกของ Growth Stage หลังทรานส์ฟอร์มไปสู่ธุรกิจ Fintech และ Digital Asset appeared first on THE STANDARD.
]]>
เกิดอะไรขึ้น:
บมจ.เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล (XPG) ได้ตั้งเป้าขยายธุรกิจในทุกบริษัทที่ XPG ถือในสัดส่วน 100% เริ่มตั้งแต่ XSpring Digital ที่คาดว่าจะสามารถออก Asset Backed Token ได้ต่อเนื่อง หลังจากประสบความสำเร็จจากการออก SiriHub รวมถึงการทำ Utility Token และโอกาสกาสออก Investment Token คาดในปี 2565 จะสามารถทำดีลสำเร็จได้ 4-6 ดีล
ขณะที่ XSpring Asset Management คาดว่าจะขยายธุรกิจในส่วนของ Mutual Fund ได้ในช่วงปลาย 2Q65 เป็นต้นไป และในส่วนของ XSpring AMC ซึ่งร่วมมือกับ บมจ.แสนสิริ (SIRI) ซื้อกองสินทรัพย์มาบริหารได้ต่อเนื่อง และคาดว่าจะเริ่มเห็นผลตอบแทนในปี 2565
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้น XPG ปรับตัวลดลง 7.1%MoM สู่ระดับ 2.88 บาท (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ธันวาคม 2564)
มุมมองระยะสั้น:
SCBS คาดกำไรสุทธิปี 2564 ของ XPG อยู่ที่ระดับ 62 ล้านบาท ดีขึ้นจากขาดทุน 17 ล้านบาทในปี 2563 โดยได้ปัจจัยหนุนจากส่วนแบ่งกำไรของ บล.กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด (KTZ) ที่ดีขึ้น ตามปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจใหม่อย่าง Digital Token Broker & Dealer และ Cryptocurrency Broker & Dealer จะเริ่มดำเนินธุรกิจใน 1Q65 โดยเน้นที่ฐานลูกค้ากลุ่ม Premium และ High Net Worth
มุมมองระยะยาว:
ในปี 2565 SCBS คาดว่าผลประกอบการของ XPG จะโดดเด่น โดยได้รับการสนับสนุนจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของธุรกิจ Digital Asset จากสมมติฐานของการทำ Token ที่ไม่น้อยกว่า 4 Token ซึ่งจะทำให้ภาพรวมรายได้ของ XPG เติบโต 440%YoY สู่ระดับ 362 ล้านบาท รวมถึงธุรกิจหลักจะสามารถ Turnaround และมีกำไรสุทธิที่ 37 ล้านบาท
ซึ่งเมื่อรวมกับประมาณการของส่วนแบ่งกำไรจาก KTZ ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิโดยรวมในปี 2565 จะเติบโต 363%YoY สู่ระดับ 285 ล้านบาท ซึ่ง SCBS มองว่าในปี 2565 คือช่วงต้นของ Growth Stage และการทรานส์ฟอร์มจากธุรกิจแบบดั้งเดิมไปสู่เทรนด์ของโลกใหม่อย่าง Fintech และมองว่า XPG เป็น Proxy ในกลุ่ม Digital Asset
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP
The post XPG – คาดปี 2565 จะเป็นช่วงแรกของ Growth Stage หลังทรานส์ฟอร์มไปสู่ธุรกิจ Fintech และ Digital Asset appeared first on THE STANDARD.
]]>