Cyber Bully – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 17 Feb 2022 08:36:32 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 #ให้ไซเบอร์บูลลี่จบที่รุ่นเรา ความฝันของเด็กรุ่นใหม่ที่คนทุกรุ่นต้องทำความเข้าใจ https://thestandard.co/dtac-stop-cyberbully/ Thu, 17 Feb 2022 08:30:14 +0000 https://thestandard.co/?p=594818 #ให้ไซเบอร์บูลลี่จบที่รุ่นเรา ความฝันของเด็กรุ่นใหม่ที่คนทุกรุ่นต้องทำความเข้าใจ

แปลกใจไหม? ทั้งที่ใครๆ ก็รู้ว่าการไซเบอร์บูลลี่เป็นสิ่ง […]

The post #ให้ไซเบอร์บูลลี่จบที่รุ่นเรา ความฝันของเด็กรุ่นใหม่ที่คนทุกรุ่นต้องทำความเข้าใจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
#ให้ไซเบอร์บูลลี่จบที่รุ่นเรา ความฝันของเด็กรุ่นใหม่ที่คนทุกรุ่นต้องทำความเข้าใจ

แปลกใจไหม? ทั้งที่ใครๆ ก็รู้ว่าการไซเบอร์บูลลี่เป็นสิ่งเลวร้ายร้าย แต่นับวันพื้นที่ในโลกออนไลน์ยิ่งเต็มไปด้วยการบูลลี่ที่เข้มข้นและรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุอาจเป็นเพราะว่า หนึ่ง การสื่อสารในโลกออนไลน์เราเห็นเพียงตัวหนังสือผ่านหน้าจอ ไม่จำเป็นต้องมาเจอตัวกัน คนที่บูลลี่จึงไม่จำเป็นต้องเปิดหน้า อย่างเช่น แอ็กหลุมที่มีอยู่มากมายในโลกทวิตเตอร์ใช้ปั่นเทรนด์ต่างๆ หรือทวีตอะไรก็ได้เพราะไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นคนทำ สอง ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายจริงจังเกี่ยวกับการบูลลี่ ผู้กระทำการบูลลี่จึงไม่ต้องเจอกับบทลงโทษ สามารถส่งต่อความเกลียดชังไปได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องกลัวถูกเอาผิด 

 

และอีกหนึ่งสาเหตุที่สำคัญก็คือ เพราะเราทุกคนอาจยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับการบูลลี่ที่ไม่เพียงพอ หลายๆ ครั้งที่เราสื่อสาร ส่งข้อความ หรือแสดงความคิดเห็นในโลกไซเบอร์จึงกลายเป็นการบูลลี่โดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว

 

เพื่อหยุดวงจรของการบูลลี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้พื้นที่ออนไลน์เป็นพื้นที่ปลอดภัยและน่าอยู่มากขึ้น เราอยากชวนทุกคนมาร่วมทบทวนและทำความเข้าใจถึงถ้อยคำ พฤติกรรม และการกระทำต่างๆ ในโลกออนไลน์ร่วมกัน ผ่านสัญญาใจวัย Gen Z #ให้ไซเบอร์บูลลี่จบที่รุ่นเรา ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง ดีแทค และ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดพื้นที่รับฟังเสียงจากคน Gen Z กว่าสองแสนคน ที่เรียกร้องให้คนในสังคมไทยหยุดคำพูดและหยุดกระทำการในเชิงบูลลี่ โดยได้สรุปออกมาเป็นสัญญาที่เล่าด้วยภาษาคนรุ่นใหม่ เข้าใจง่าย และสามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที

 

สัญญาฉบับนี้ได้รวบรวมทั้งนิยามคำศัพท์เกี่ยวกับการบูลลี่ พฤติกรรมที่เข้าข่ายการบูลลี่ รวมถึงแนวทางในการรับมือเมื่อต้องเจอกับการบูลลี่ โดยแบ่งออกเป็น 4 หมวด และ 23 ข้อ ซึ่งเราขอสรุปออกมาเล่าดังนี้ 

 

 

อะไรคือการไซเบอร์บูลลี่ที่คน Gen Z ไม่โอเค? 

การวิจารณ์รูปร่าง (Body Shaming) การเหยียดเพศหรือการกระทำที่นำไปสู่ความไม่เท่าเทียมทางเพศ (Gender Inequality) รวมถึงการพิมพ์ข้อความคุกคามทางเพศ (Sexual Harassment) คือ 3 ประเด็นหลักๆ ที่คนรุ่นใหม่ไม่โอเค ออกมาส่งเสียงเรียกร้องให้หยุด และร่วมกันนำเสนอทางออกมากที่สุด ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจแต่ก็น่าเศร้าใจในคราวเดียวกันก็คือ คนใกล้ตัวอย่างเช่นคนในครอบครัว เพื่อน คุณครูในโรงเรียน และสื่อต่างๆ คือผู้ที่มีบทบาทหลักในการปลูกฝังทัศนคติ และส่งเสริมให้พฤติกรรมเหล่านี้ยังคงดำเนินสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

 

นอกจากพฤติกรรมที่ว่ามานี้ ยังมีพฤติกรรมอื่นๆ ที่เข้าข่ายการไซเบอร์บูลลี่ที่เราเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หลายสิ่งหลายอย่างเราอาจเคยมองข้ามเพราะรู้สึกว่าไม่น่าเป็นสิ่งเลวร้ายอะไร แต่การปล่อยให้พฤติกรรมผิดๆ เหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้สร้างความเจ็บปวดและทำร้ายคนมาแล้วมากมาย อย่างเช่น การสร้างข่าวลือหรือเฟกนิวส์ รวมถึงการสร้างแอ็กหลุม หรือการสร้างอวตารที่แพร่ระบาดเป็นอย่างมากในสังคมออนไลน์ปัจจุบัน

 

 

‘หมูอ้วน’ การหยอกล้อที่เข้าข่ายการบูลลี่ การกระทำที่เข้าข่ายการบูลลี่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การพูดจาด้วยถ้อยคำหยาบคายหรือการแสดงออกด้วยท่าทีก้าวร้าวรุนแรงเท่านั้น แต่ในสัญญาใจฯ หมวดที่ 3 ยังชี้ให้เห็นว่า หลายๆ ครั้งเลยทีเดียวที่คำพูดเชิงหยอกล้อ ติดตลก หรือการเย้าแหย่ด้วยความเอ็นดูกลับทำให้คนฟังรู้สึกสะเทือนใจหรือสูญเสียความมั่นใจต่อการใช้ชีวิต

 

อย่างเช่น ‘หมูอ้วน’ ‘หมูน้อย’ คำพูดคำแซวที่มาจากผู้ใหญ่หลายๆ บ้านที่ใช้เรียกลูกหลานโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่คำพูดเหล่านี้กลับทำให้ผู้ถูกเรียกรู้สึกว่าพวกเขากำลังถูกครอบครัวบูลลี่ในเรื่องรูปร่างหรือน้ำหนัก ถ้าหากเป็นไปได้ ชาว Gen Z ก็อยากจะขอร้องให้ผู้ใหญ่ในครอบครัวเข้าอกเข้าใจและเรียกขานพวกเขาด้วยชื่อหรือถ้อยคำอื่นๆ ที่ไม่ตัดสินพวกเขาจากรูปร่าง สีผิว หรือรูปลักษณ์ที่แตกต่างจากมาตรฐานความงามโดยทั่วไป

 

 

‘โพสต์แซะ โพสต์ลอยๆ ปั่น’ การกระทำเหล่านี้ก็ไม่โอเค

ในสัญญาใจฯ หมวดที่ 3 ว่าด้วยพฤติกรรมต่างๆ ที่อีกฝ่ายห้ามกระทำต่ออีกฝ่ายหนึ่ง เพราะจะก่อให้เกิดความรู้สึกแย่ๆ หรืออาจจะกลายเป็นสิ่งที่ลดทอนความมั่นใจ ไปจนถึงทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าไม่โอเคเอามากๆ และเข้าข่ายการบูลลี่ก็คือ การล้อเลียนเรื่องรสนิยมทางเพศ การแต่งตัว การเหยียดโดยอาศัยความแตกต่าง เช่น ฐานะ การศึกษา และความชื่นชอบส่วนบุคคล 

 

แต่อาจจะมีการกระทำหรือพฤติกรรมบางอย่างที่ชาวเน็ตหลายๆ คนอาจยังไม่เข้าใจ หรือยังไม่ตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้เข้าข่ายการบูลลี่และทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดได้ไม่ต่างกัน นั่นคือการขุด หา นำเสนอหลักฐานต่างๆ การแขวนกันบนโลกออนไลน์เพื่อตอกย้ำความผิดพลาดของอีกฝ่าย รวมถึงการโพสต์เชิงบูลลี่โดยไม่ระบุชื่อหรือการโพสต์ลอยๆ ที่บูลลี่รูปลักษณ์อีกฝ่าย เช่น “คนที่อ้วนๆ ตาตี่ๆ ตัวเตี้ยๆ หน้าเหมือนลิงบาบูน” ที่เป็นการปั่นให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่ากำลังโดนคุกคามอยู่ การกระทำเหล่านี้ไม่โอเคเลย 

 

 

4 แนวทางป้องกันการไซเบอร์บูลลี่

ในหมวดที่สี่ของสัญญาใจฯ เป็นส่วนที่ได้ระบุถึงมาตรการรับมือและป้องกันการไซเบอร์บูลลี่ ที่ช่วยให้คนที่ถูกบูลลี่ไม่รู้สึกอับอาย ไม่ตกเป็นเหยื่อของการถูกบูลลี่ และรักษา Self-Esteem ของตัวเองไว้ได้ ซึ่งประกอบด้วย 4 แนวทาง ได้แก่ 

  1. การให้กำลังใจตัวเองด้วยข้อความเชิงบวก 
  2. การให้ความเคารพและยอมรับความเป็นตัวเอง 
  3. การมองว่าข้อความไซเบอร์บูลลี่ทำอะไรเราไม่ได้ หากเราไม่รับมันมาใส่ใจ 
  4. การไม่ส่งต่อการไซเบอร์บูลลี่ 

 

นอกจากการไม่เป็นเหยื่อของการถูกไซเบอร์บูลลี่และการไม่ส่งต่อพฤติกรรมการไซเบอร์บูลลี่แล้ว เราทุกคนยังทำได้มากกว่านั้น ด้วยการเป็นที่พึ่งทางใจให้กับคนรอบตัวเวลาที่เขาถูกไซเบอร์บูลลี่ หรือในกรณีที่ลูกหลานมาปรึกษาเรื่องบูลลี่ เราที่เป็นพ่อแม่ก็ควรที่จะรับฟังลูกอย่างเอาใจใส่และเข้าใจ เพื่อให้เขาได้สัมผัสถึงความปลอดภัยและอุ่นใจได้ 

 

จะเห็นได้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่เราเคยเห็นเป็นเรื่องเล่นๆ ไม่ใช่สิ่งที่น่าซีเรียสอะไร แต่วันนี้ทัศนคติต่างๆ เหล่านั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่เข้าท่า เป็นปัญหาที่สร้างความเจ็บปวดและส่งผลต่อการใช้ชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน คนรุ่นใหม่กำลังออกมาตั้งคำถามและส่งเสียงเรียกร้องให้เราหยุดพฤติกรรมเคยชินที่ผิดเพี้ยนเหล่านี้ด้วยเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ การไซเบอร์บูลลี่จึงเป็นสิ่งที่เราต้องหันมาทำความเข้าใจกันใหม่ และต้องช่วยกันเป็นส่วนหนึ่งของการหยุดพฤติกรรมเหล่านี้ เพราะสังคมที่น่าอยู่คือสังคมที่ทุกคนใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย มีความสุข และตระหนักถึงคุณค่าในตัวเอง 

 

อ่านรายละเอียดของ สัญญาใจวัย Gen Z #ให้ไซเบอร์บูลลี่จบที่รุ่นเรา ได้ที่: https://www.safeinternetlab.com/brave/agreement

The post #ให้ไซเบอร์บูลลี่จบที่รุ่นเรา ความฝันของเด็กรุ่นใหม่ที่คนทุกรุ่นต้องทำความเข้าใจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชาวเกาหลีใต้นับแสนแห่ลงนาม เรียกร้องรัฐดำเนินการลงโทษกรณีไซเบอร์บูลลี่ หลังการเสียชีวิตของนักวอลเลย์บอล-ยูทูเบอร์ดัง https://thestandard.co/south-korea-citizen-sign-petition-for-government-cyber-bullying-punishment/ Wed, 09 Feb 2022 04:28:15 +0000 https://thestandard.co/?p=592026 ชาวเกาหลีใต้นับแสนแห่ลงนาม เรียกร้องรัฐดำเนินการลงโทษกรณีไซเบอร์บูลลี่ หลังการเสียชีวิตของนักวอลเลย์บอล-ยูทูเบอร์ดัง

ชาวเกาหลีใต้นับแสนคนพร้อมใจกันลงนามในคำร้อง เพื่อขอให้ร […]

The post ชาวเกาหลีใต้นับแสนแห่ลงนาม เรียกร้องรัฐดำเนินการลงโทษกรณีไซเบอร์บูลลี่ หลังการเสียชีวิตของนักวอลเลย์บอล-ยูทูเบอร์ดัง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชาวเกาหลีใต้นับแสนแห่ลงนาม เรียกร้องรัฐดำเนินการลงโทษกรณีไซเบอร์บูลลี่ หลังการเสียชีวิตของนักวอลเลย์บอล-ยูทูเบอร์ดัง

ชาวเกาหลีใต้นับแสนคนพร้อมใจกันลงนามในคำร้อง เพื่อขอให้รัฐบาลดำเนินการลงโทษต่อผู้ที่กระทำการไซเบอร์บูลลี่ (Cyberbullying) ภายหลังการเสียชีวิตของ โชจางมี ยูทูเบอร์ชื่อดัง และ คิมอินฮยอก นักวอลเลย์บอลชาย ที่ตัดสินใจจบชีวิต หลังตกเป็นเป้าจากการแสดงความเห็นเกลียดชังทางออนไลน์

 

โดยกรณีการไซเบอร์บูลลี่บุคคลที่มีชื่อเสียงในเกาหลีใต้ถือเป็นประเด็นใหญ่ และมีบุคคลมีชื่อเสียงหลายคนตัดสินใจจบชีวิตของตนหลังถูกบูลลี่ด้วยการแสดงความเห็นเกลียดชังอย่างรุนแรงทางออนไลน์

 

คำร้องดังกล่าวถูกสร้างขึ้นในหน้าร้องเรียนของเว็บไซต์ทางการของประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ภายหลังการเสียชีวิตของโช วัย 27 ปี ซึ่งถูกพบเสียชีวิตในบ้านพักเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยสำนักข่าว Yonhap รายงานว่า เธอตัดสินใจฆ่าตัวตายหลังเผชิญการแสดงความเห็นเกลียดชังทางออนไลน์ 

 

ขณะที่โช ซึ่งเป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์ว่า BJ Jammi ตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์จากการกระทำที่แสดงความเป็นเฟมินิสม์หรือสตรีนิยม โดยเธอถูกกล่าวหาเมื่อปี 2019 ว่า ทำท่าทางในวิดีโอที่บ่งบอกเป็นนัยว่าเกลียดผู้ชาย ขณะที่แม่ของเธอที่คอยติดตามคอมเมนต์แง่ลบเกี่ยวกับลูกสาวในโลกออนไลน์ ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองไปเมื่อปี 2020 หลังจากนั้นโชพยายามขอร้องให้หยุดการบูลลี่ และการกล่าวหาว่าเธอเป็น ‘พวกเกลียดชังผู้ชาย’ 

 

ซึ่งข้อความในคำร้องนั้น ขอให้รัฐบาลดำเนินการลงโทษอย่างรุนแรงต่อผู้ที่เผยแพร่ข่าวลือเกี่ยวกับโช และล่าสุดมีผู้ลงนามในคำร้องแล้วมากกว่า 155,000 คน 

 

การเสียชีวิตของโชเกิดขึ้นเพียงหนึ่งวัน หลังจากที่ คิมอินฮยอก นักวอลเลย์บอลชายวัย 28 ปี ถูกพบเสียชีวิตหลังเผชิญการบูลลี่เรื่องรูปร่างหน้าตาในโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง โดยเขาพยายามขอให้ผู้คนหยุดส่งความคิดเห็นที่แสดงความเกลียดชัง และเผยแพร่ข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องเพศและรูปลักษณ์ของเขาทางออนไลน์

 

“คนที่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วฉันเป็นใคร ส่งข้อความโดยตรงจำนวนนับไม่ถ้วนและโพสต์ความคิดเห็นที่น่ารังเกียจทุกครั้งที่ฉันเล่นเกม มันยากมากที่จะทนได้ทั้งหมด กรุณาหยุด” เขาเขียนข้อความในอินสตาแกรม

 

กรณีที่เกิดขึ้นไม่ใช่ครั้งแรกที่การฆ่าตัวตายของบุคคลมีชื่อเสียงในเกาหลีใต้ ส่งผลให้ประเด็นการบูลลี่ทางออนไลน์ได้รับความสนใจจากสังคม โดยในปี 2019 ซอลลี่ นักแสดงและนักร้องชื่อดังตัดสินใจจบชีวิตของตัวเอง หลังถูกคุกคามทางออนไลน์มานานหลายปี และเผชิญอาการป่วยจากโรคซึมเศร้า ซึ่งการเสียชีวิตของเธอทำให้บุคคลมีชื่อเสียงอีกหลายคนออกมาเรียกร้องให้มีการสนับสนุน และลดการกดดันต่อบุคคลในอุตสาหกรรม K-Pop 

 

อ้างอิง:

The post ชาวเกาหลีใต้นับแสนแห่ลงนาม เรียกร้องรัฐดำเนินการลงโทษกรณีไซเบอร์บูลลี่ หลังการเสียชีวิตของนักวอลเลย์บอล-ยูทูเบอร์ดัง appeared first on THE STANDARD.

]]>
BBC Sport สำรวจพบ 1 ใน 3 ของนักกีฬาหญิงชั้นนำอังกฤษ ได้รับผลกระทบจากคอมเมนต์กลั่นแกล้งในโลกออนไลน์ https://thestandard.co/bbc-sport-discovered-1-of-3-leading-british-sports-women-suffering-cyber-bully/ Mon, 10 Aug 2020 09:01:56 +0000 https://thestandard.co/?p=387313

สำนักข่าว BBC Sport ของประเทศอังกฤษ เผยผลสำรวจนักกีฬาหญ […]

The post BBC Sport สำรวจพบ 1 ใน 3 ของนักกีฬาหญิงชั้นนำอังกฤษ ได้รับผลกระทบจากคอมเมนต์กลั่นแกล้งในโลกออนไลน์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

สำนักข่าว BBC Sport ของประเทศอังกฤษ เผยผลสำรวจนักกีฬาหญิงชั้นนำของอังกฤษ ที่สอบถามถึงผลกระทบที่ได้รับจาก Social Media Troll หรือการคอมเมนต์กลั่นแกล้งโจมตีหลากหลายรูปแบบในโลกออนไลน์ 

 

จากผลสำรวจพบว่า 1 ใน 3 ของนักกีฬาหญิงที่ทำผลสำรวจยอมรับว่า พวกเธอได้รับผลกระทบจากการโจมตีด้วยคำพูดผ่านโซเชียลมีเดีย ที่มีทั้งการเหยียดรูปลักษ์ จนถึงการเหยียดเพศด้วยการตั้งคำถามถึงความเหมาะสมที่พวกเธอควรมีสิทธิ์ได้เล่นกีฬาหรือไม่ 

 

โดยการสำรวจครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของนักกีฬาหญิง BBC Sport พบว่า ตัวเลขผู้หญิงที่โดน Troll ในโลกออนไลน์สูงขึ้นเกือบเท่าตัวจากการสำรวจครั้งที่แล้วเมื่อปี 2015 ซึ่งนักกีฬาบางคนถึงกับยอมรับว่า พวกเขาได้รับข้อความ รูปภาพ และอธิบายการโดนโจมตีในบางครั้งว่ารู้สึกหวาดกลัวมาก 

 

หนึ่งในนักกีฬาหญิงที่ทำบทสำรวจได้เปิดเผยว่า เธอถูกโจมตีว่า “อ้วนเกินไป” ขณะที่บางคนมีกล้ามขาใหญ่เกินไป บางคนมีไหล่ที่ใหญ่เกินไป พร้อมกับคำพูดว่า “ผู้หญิงไม่ควรมีลักษณะแบบนี้” 

 

หนึ่งในนักกีฬาหญิงกีฬาขี่ม้าพบเจอกับคำถามจากผู้ชายหลังจากตกม้าว่า “หวังว่าม้าจะไม่เป็นไร ไม่ใช่คุณนะ” และ “ควรจะเป็นผู้ชายขี่ม้ามากกว่า” 

 

จากผลสำรวจส่งผลให้ BBC Sport ตัดสินใจต่อต้านการเหยียด หรือ Hate Speech ทุกรูปแบบในโซเชียลมีเดียทุกช่องทาง ด้วยการบล็อกผู้คนที่คอมเมนต์อะไรก็ตามที่เข้าข่าย Hate Speech ภายในพื้นที่คอมเมนต์ ซึ่งหากกรณีไหนมีความร้ายแรงมาก ทาง BBC Sport จะเอาเรื่องนี้ไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

 

โดยทั้งหมดนี้เพื่อสร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยและมีความเคารพต่อกันในพื้นที่การนำเสนอข่าวกีฬาของทาง BBC Sport 

 

นอกจากนี้ด้าน ไนเจล ฮัดเดิลสตัน รัฐมนตรีกีฬาของอังกฤษ เปิดเผยว่า 

 

“หลายปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่นักกีฬาผู้หญิงมีการเติบโตขึ้นและได้รับความสนใจแบบที่พวกเขาคู่ควรได้รับ แต่ยังมีสิ่งที่เรารับไม่ได้ที่พวกเขาต้องพบเจอกับการเติบโตของการโจมตีนักกีฬาหญิงทางโลกออนไลน์

 

“เราต้องเป็นผู้นำในการวางแผนให้แพลตฟอร์มออนไลน์ของเราปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งาน และเราจะเดินหน้าร่วมงานกับผู้ให้บริการ เพื่อให้เห็นว่าอะไรที่เราสามารถทำได้บ้าง” 

 

โดยผลสำรวจของนักกีฬาหญิงชั้นนำของอังกฤษจากการสำรวจนักกีฬาทั้งหมด 1,068 คน 39 ชนิดกีฬา และได้รับการตอบกลับทั้งหมด 537 ครั้ง พบว่า นักกีฬา 160 คน หรือประมาณ 30% ของผู้ที่ตอบกลับมา เผยว่า พวกเขาเคยถูกกลั่นแกล้งในโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงขึ้นกว่า 14% จากผลสำรวจเมื่อปี 2015 ซึ่งผลตอบรับส่วนใหญ่ นักกีฬาหญิงได้รับการโจมตีหลายรูปแบบในแต่ละวัน ตั้งแต่การเหยียดเพศ การเหยียดสีผิว การไม่ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับหลายๆ อย่างที่โค้ชนักกีฬาชายไม่เคยต้องพบเจอ เช่น ช่วงมีประจำเดือน หรือการต้องกินยาคุมกำเนิด 

 

นอกจากนี้ผลสำรวจยังพบว่า 36% ของนักกีฬาหญิง (ประมาณ 191 คน) รู้สึกว่าไม่ได้รับการสนับสนุนจากสโมสรหรือองค์กรบริหารกีฬา ในการตัดสินใจที่มีลูกและการแข่งขันต่อ 

 

โดย 4% (22 คน) ได้ตัดสินใจทำแท้ง เพราะพวกเขารู้สึกว่าการมีบุตรจะส่งผลกระทบต่ออาชีพกีฬา 60% (321 คน) ยอมรับว่าผลงานในสนามแข่งขันได้รับผลกระทบจากช่วงมีประจำเดือนหรือพวกเธอพลาดการฝึกซ้อมและการแข่งขัน เนื่องจากช่วงเวลาที่มีประจำเดือน ขณะที่ 40% (214 คน) ยอมรับว่ารู้สึกไม่สบายใจที่จะปรึกษาเรื่องการมีประจำเดือนกับโค้ช 65% (347 คน) มีประสบการณ์การถูกเหยียดเพศในชนิดกีฬาของตนเอง มีเพียง 10% (51 คน) ที่ตัดสินใจทำรายงานเหตุการณ์เหยียดเพศ และ 85% (456 คน) ไม่คิดว่าสื่อมวลชนโปรโมตกีฬาหญิงอย่างเพียงพอ แต่ 93% (498 คน) รู้สึกว่ากีฬาหญิงได้รับพื้นที่สื่อมากขึ้นตลอด 5 ปีที่ผ่านมา 

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

อ้างอิง: 

The post BBC Sport สำรวจพบ 1 ใน 3 ของนักกีฬาหญิงชั้นนำอังกฤษ ได้รับผลกระทบจากคอมเมนต์กลั่นแกล้งในโลกออนไลน์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
“รอให้ถึงพรุ่งนี้อาจสายเกินไป” 2019 ปีแห่งความซึมเศร้าของวงการเคป๊อป https://thestandard.co/now-next-2020-k-pop/ Fri, 27 Dec 2019 14:11:18 +0000 https://thestandard.co/?p=316384

นับเป็นปีแห่งความซึมเศร้าและสูญเสียของวงการเคป๊อป ขณะเด […]

The post “รอให้ถึงพรุ่งนี้อาจสายเกินไป” 2019 ปีแห่งความซึมเศร้าของวงการเคป๊อป appeared first on THE STANDARD.

]]>

นับเป็นปีแห่งความซึมเศร้าและสูญเสียของวงการเคป๊อป ขณะเดียวกัน 2019 ยังเป็นอีกหนึ่งปีสำคัญที่ทำให้สังคมเกาหลีหันมาให้ความสนใจกับปัญหา Cyberbullying รวมถึงสุขภาพจิตใจของศิลปินและผู้คนทั่วไปอย่างจริงจัง

 

ข่าวการเสียชีวิตของ จอนมีซอน ซอลลี่ คูฮารา ชาอินฮา ในครึ่งปี 2019 ที่ผ่านมา กลายเป็นประเด็นปัญหาขึ้นมา พร้อมคำถามที่ว่า ‘เกิดอะไรขึ้นกับวงการบันเทิงเกาหลีใต้’ เมื่อผนวกรวมกับการประกาศหยุดพักงานของ คังแดเนียล เพื่อรักษาอาการซึมเศร้าและตื่นตระหนก, แทยอน สมาชิกวง Girls’ Generation ออกมายอมรับว่ากำลังต่อสู้กับอาการซึมเศร้า หรือย้อนไปในปี 2017 โชอา จากวงเกิร์ลกรุ๊ป AOA ขอถอนตัวจากวงเนื่องจากปัญหาการนอนไม่หลับและอาการซึมเศร้า รวมถึงการตัดสินใจจบชีวิตของ คิมจงฮยอน วง SHINee พร้อมข้อความที่ทิ้งไว้ “ผมแตกสลายภายใน โรคซึมเศร้ากลืนกินตัวผมไปจนหมดแล้ว” 

 

กระนั้นไม่ใช่แค่เพียงศิลปินหรือคนในวงการบันเทิงที่มีปัญหาสุขภาพจิตใจ แต่ยังรวมถึงผู้คนทั่วไปในเกาหลีใต้ด้วย ในปี 2015 The National Health Insurance Service พบว่ามีผู้ป่วยโรคซึมเศร้า หรือมีกลุ่มอาการซึมเศร้ามากกว่า 5 ล้านคน ซึ่งในร้อยละ 22.2 จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาอย่างจริงจัง ในปี 2019 WHO เปิดเผยสถิติการฆ่าตัวตายในเกาหลีใต้สูงสุดเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากประเทศลิทัวเนีย รัสเซีย และกายอานา แม้ว่าส่วนใหญ่ของการฆ่าตัวตายในเกาหลีใต้จะเป็นผู้สูงอายุที่ไม่ต้องการเป็นภาระของครอบครัว แต่สิ่งที่น่ากังวลคือการฆ่าตัวตายของเด็กนักเรียนที่มีตัวเลขสูงขึ้นจากสถิติในปี 2010 ด้วยความเครียดจากความคาดหวังของพ่อแม่และสังคม 

 

เหล่านี้แสดงให้เห็นว่านี่ไม่ใช่เพียงแค่ข่าวที่เกิดขึ้นและจบไป แต่เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องร่วมกันแก้ไขเพื่อไม่ให้มีใครต้องทุกข์ทรมานกับการมีชีวิตอยู่

 

อ่านต่อ 

“ผมกลัวพระอาทิตย์ขึ้นวันพรุ่งนี้” Kang Daniel ประกาศหยุดพักงานเพลงเพื่อรักษาสภาพจิตใจ hestandard.co/kang-daniel-to-take-break-from-activities-on-his-mental-health/

คลิปวิดีโอ คูฮารา ขอบคุณที่สร้างความสวยงามให้เราได้จดจำ thestandard.co/goo-hara/

คลิปวิดีโอ ซอลลี่ เราจะจดจำเธอไว้ในแบบนี้ thestandard.co/sulli/

 

เมื่อ ‘เสียง’ ของพวกเธอไม่อาจได้ยิน

ย้อนกลับไปไม่กี่ปีก่อน ซอลลี่และคูฮาราต่างยืนอยู่บนจุดสูงสุดของความสำเร็จ ด้วยความสามารถและชื่อเสียงที่ทำให้พวกเธอเป็นที่รักไปทั่วเอเชีย แต่แล้วในปี 2019 พวกเธอเลือกจะจบชีวิตตัวเอง บอกลาโลกที่ ‘เสียง’ ของพวกเธอไม่อาจได้ยิน 

 

ซอลลี่เสียชีวิตในวัย 25 ปี หลังจากตกเป็นเป้าในการ Cyberbullying ทุกคำพูดและท่าทางของเธอกลายเป็นประเด็นที่จะดราม่าได้ตลอดเวลา ยิ่งซอลลี่แสดงความชัดเจนในจุดยืนที่จะเป็นตัวเองอย่างการไม่ใส่บรา ไลฟ์การออกไปดื่มสังสรรค์กับเพื่อน เรียกรุ่นพี่ที่ทำงานด้วยชื่อแรก แต่สิ่งที่ดูจะหนักหนาที่สุดคือการที่บอกว่าตัวเองเป็นเฟมินิสต์ 

 

คูฮารา วัย 28 ปีก็เช่นกัน แม้ว่ากำลังอยู่ระหว่างทัวร์ผลงานเดี่ยวที่ญี่ปุ่น ชื่อเสียงก็ไม่ช่วยให้สภาพจิตใจดีขึ้น และเมื่อซอลลี่เพื่อนรักมาจากไป ข่าวการเสียชีวิตของคูฮาราจึงกลายเป็นความเศร้าระลอกใหม่ในเวลาไม่ถึง 6 สัปดาห์ สำหรับ คูฮารา เธอเองถูก Cyberbullying จากประเด็นการศัลยกรรมใบหน้า และคดีความกับแฟนเก่าที่นำภาพโป๊เปลือยของเธอไปเผยแพร่หลังการทะเลาะเบาะแว้ง ซึ่งล้วนเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่ควรถูกลากไปเป็นเป้าในการวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ด้วยซ้ำ

 

“ฉันต้องพูดมันออกมาเพื่อตัวฉันเอง มันไม่มีอะไรน่าละอาย เพราะฉันไม่ได้ทำอะไรที่น่าละอาย” คูฮาราโพสต์ข้อความนี้ไว้ในอินสตาแกรม

 

Photo: @koohara_ /Instagram

 

ซอลลี่และคูฮาราทำงานในวงการบันเทิงตั้งแต่เด็ก ได้รับการปลูกสร้างอย่างพิถีพิถันตั้งแต่วัยรุ่นจนก้าวขึ้นมาเป็นไอดอลหญิงชื่อดังของวงการเคป๊อป เป็นที่รู้จักของแฟนๆ ทั่วโลก เช่นกัน พวกเธอเข้ารับการรักษาโรคซึมเศร้า ซึ่งเป็นผลกระทบจากการถูก Cyberbullying อย่างต่อเนื่อง จากการที่เป็นผู้หญิงอายุน้อยแต่กล้าแสดงความคิดเห็น แสดงออกเรื่องทางเพศ กระทั่งการออกมายอมรับว่าตัวเองเป็นเฟมินิสต์

 

การเสียชีวิตของทั้งคู่ส่งให้ประเด็นปัญหาสังคมชายเป็นใหญ่ของเกาหลีเป็นที่จับจ้องมากขึ้น ในยุคสมัยที่ชายหญิงควรได้รับความเท่าเทียม

 

“ถ้าผู้ชายลุกขึ้นมาพูด มันเป็นการพูดเพื่อสร้างความเชื่อมั่น แต่สำหรับผู้หญิง การลุกขึ้นมาพูดจะถูกมองว่าเป็นการเรียกร้องความสนใจและต้องพบกับคำวิพากษ์วิจารณ์” นักข่าวจาก The Hankyoreh ได้ให้ข้อคิดเห็นหลังการเสียชีวิตของซอลลี่ “มันเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วัฒนธรรมป๊อปของเกาหลีมองเซเลบริตี้หญิงเป็นตุ๊กตาหรือวัตถุทางเพศรูปแบบหนึ่ง ซึ่งซอลลี่พิเศษกว่านั้น เธอต้องการอิสระในชีวิต โดยไม่สนใจว่าผู้คนในสังคมจะมองเธออย่างไร”

 

รยูซังโฮ ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา โรงพยาบาลแฮดง ได้ออกมาให้ความเห็นในแนวทางเดียวกันว่า “เกาหลีใต้ยึดถือแนวความคิดว่าผู้ชายจะต้องได้รับการเคารพ ตรงข้ามกับผู้หญิง สื่อต่างๆ ก็ยังตอกย้ำวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่นี้ มันจึงไม่น่าแปลกใจที่สังคมจะไม่ให้ความเห็นอกเห็นใจผู้หญิง”

 

หลังการเสียชีวิตของซอลลี่ เกิดการเรียกร้องให้รัฐบาลออกกฎหมายปกป้องผู้ถูก Cyberbullying โดยมีชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า Sulli’s Law และการเสียชีวิตของ คูฮารา ก่อให้เกิดการรวบรวมรายชื่อในเว็บไซต์ของประธานาธิบดีเกาหลีใต้ได้มากกว่า 200,000 รายชื่อใน 1 วัน เพื่อเรียกร้องโทษที่หนักขึ้นสำหรับการคอมเมนต์วิพากษ์วิจารณ์ที่รุนแรง 

 

Photo: Goo Hara’s SNS

 

เกิดอะไรขึ้นกับสภาพจิตใจไอดอลเกาหลีใต้

เคป๊อปคือแนวดนตรีที่ได้รับความนิยมสูงสุดในเอเชียทุกวันนี้ ธุรกิจมูลค่ากว่าพันล้านดอลลาร์สหรัฐได้ส่งให้วงการเคป๊อปยิ่งหอมหวาน วัยรุ่นหนุ่มสาวต่างใฝ่ฝันจะเดินบนเส้นทางนี้ ไม่เฉพาะในเกาหลีใต้ แต่รวมถึงอีกหลายประเทศที่เด็กเหล่านั้นพร้อมจะเข้าไปสู่ระบบการเทรนที่เข้มงวดของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ 

 

ถึงเวลาที่ผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมนี้ต้องยอมรับข้อเสียที่เกิดขึ้น การเสียชีวิตของซอลลี่ได้กลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญ เพราะเธอคือหนึ่งในผลผลิตรุ่นแรกๆ ที่เกิดขึ้นจากอุตสาหกรรมนี้ 

 

ซอลลี่ เกิดและเติบโตที่เมืองปูซาน ความฝันคือการเป็นนักแสดง นักร้อง ซึ่งทางครอบครัวสนับสนุน ซอลลี่จึงเข้าสู่วงการในวัยราว 10 ปี เป็นนักแสดงเด็กที่มีผลงานแรกในซีรีส์ดราม่า Ballad of Seodong (2005) รวมถึงซีรีส์และภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง ซอลลี่เซ็นสัญญากับ SM Entertainment เป็นหนึ่งในสมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ป f(x) ในปี 2009 ผลงานเพลงประสบความสำเร็จทั้งในแง่ยอดขายและคำวิจารณ์ จากนั้นซอลลี่กลับมารับงานแสดงซีรีส์ To the Beautiful You (2012) ที่ได้รับความนิยมล้นหลามและทำให้เธอได้รับรางวัลจาก SBS Drama Awards ในปี 2014 ซอลลี่หยุดพักงานเนื่องจากปัญหาสุขภาพจิต ปีต่อมาเธอถอนตัวออกจากวง f(x) กลับมารับงานแสดงอีกครั้งในปี 2017 และมีผลงานเพลงเดี่ยวในซิงเกิล Goblin ปี 2019 ซึ่งเป็นผลงานเพลงสุดท้ายก่อนเสียชีวิต 

 

ขณะที่ความฝัน ชื่อเสียง และเงินทอง เป็นด้านที่งดงามของวงการเคป๊อป ก็ต้องยอมรับว่ามีด้านมืดที่แสนเศร้า แลกมาด้วยช่วงเวลาวัยรุ่น อิสรภาพ ความเครียด ความคาดหวัง การฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อสเตปการเต้นที่แม่นยำ การทำงานหนักติดต่อกันหามรุ่งหามค่ำ ทั้งการต้องอยู่ในกรอบของทางต้นสังกัดที่เข้ามาควบคุมชีวิตส่วนตัว รูปร่างหน้าตา เพื่อให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ภาพลักษณ์สมบูรณ์แบบที่สุด เหล่านี้เป็นปัจจัยให้เกิดการ Burnout และบาดแผลในจิตใจโดยไม่รู้ตัว 

 

เมื่อผนวกรวมกับพื้นฐานสังคมเกาหลีใต้ที่มีรูปแบบสังคมชนชั้น วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ ค่านิยมที่เรียนหนังสืออย่างหนักเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ เพื่อหน้าที่การงานดีๆ ให้ครอบครัวได้รับการยกระดับ และเมื่อเทคโนโลยีเข้ามา ก็ยังมีปัญหาการถูก Cyberbulling อย่างดุเดือด นี่จึงกลายเป็นกับดักที่ทำให้เด็กหลายคนเติบโตท่ามกลางแสงไฟอย่างผุกร่อน

 

“ภาพที่มองเห็นวงการเคป๊อปสวยงามมากๆ แต่ในทางตรงกันข้ามมันก็เป็นสาเหตุที่ทำร้ายคนที่อยู่ข้างในนั้น รวมทั้งทำให้เกิดแผลในใจอย่างรุนแรง จากการแข่งขันและความคาดหวังที่สูงมาก คุณจะรู้สึกพ่ายแพ้ที่ไปได้ไม่ถึงความคาดหวังนั้น แม้ว่าคุณจะทำดีที่สุดแล้วและยังต้องได้ยินได้ฟังคำวิพากษ์วิจารณ์” พัคซังฮี อดีตสมาชิกวง S.O.S ไอดอลสาวที่ผันตัวมาเป็นจิตแพทย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการวิทยุหลังการเสียชีวิตของคิมจงฮยอนในปี 2017 เธอยังบอกอีกว่า เหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาคือ เหล่าไอดอลเมื่อขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงแล้วจะยิ่งโดดเดี่ยว พวกเขาจะรู้สึกว่าต้องเข้มแข็ง ไม่ยอมบอกเล่าความไม่สบายใจต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับใคร จนสะสมกลายเป็นบาดแผลทางจิตใจ ทั้งยังไม่กล้าร้องขอความช่วยเหลือเมื่อเป็นโรคซึมเศร้า 

 

ควอนจุนฮยอบ บรรณาธิการ Vice Korea ผ่านประสบการณ์การสัมภาษณ์ศิลปินเคป๊อปมากมาย พบว่าพวกเขาได้แชร์เรื่องราวอาการซึมเศร้าและความคิดที่หดหู่ บางคนได้ร้องขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ แต่ผู้จัดการของไอดอลเหล่านั้นก็ขอร้องให้ลบส่วนที่สัมภาษณ์เหล่านี้ออกไป “ผมสังเกตว่าศิลปินเคป๊อปรุ่นเล็กๆ ที่เพิ่งเดบิวต์ได้ไม่นานจะถูกจัดการเรื่องการตอบคำถาม ความคิดเห็น และเรื่องส่วนตัว ซึ่งจะค่อนข้างเข้มงวดมากถ้ามาจากค่ายใหญ่ๆ ผมเข้าใจว่าทางค่ายต้องการปกป้องศิลปินของพวกเขา แต่การควบคุมแบบนี้ก็สร้างปัญหาได้เช่นกัน ผมมองว่าสิ่งที่ทำให้มันเป็นปัญหาขึ้นมาไม่ใช่แค่คอมเมนต์แง่ลบและการ Cyberbullying แต่การที่เราไม่สามารถควบคุมปฏิกิริยาของแฟนๆ และการวิพากษ์วิจารณ์ของพวกเขาได้ ยิ่งศิลปินที่เริ่มเปิดเผยความคิด ทัศนคติ และตัวตนของพวกเขาออกไป ยิ่งต้องเจอกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้” 

 

รยูซังโฮ ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา โรงพยาบาลแฮดง เมืองปูซาน ให้สัมภาษณ์ เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นว่า “ปัญหาด้านสุขภาพจิตทุกวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับไอดอล คนนับล้านในเกาหลีใต้มีอาการซึมเศร้าหรือมีปัญหาสภาพจิตใจ แต่พวกเขามักจะไม่ยอมรับการรักษาหรือกินยา เพราะกลัวจะถูกมองว่ามีจิตใจที่อ่อนแอ จริงๆ แล้วโรคที่เกี่ยวกับสภาพจิตใจต้องได้รับการรักษาเช่นเดียวกับโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ ซึ่งสังคมเกาหลีใต้ต้องให้ความใส่ใจเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน”

 

“At times I’m scared of myself too, thanks to self-hatred and / The depression that pays a visit / Min Young is already dead (I killed him) / Comparing my dead passion with others has long been my daily life” The Last, Agust D

 

ชูก้า สมาชิกวง BTS เคยเปิดเผยถึงอาการซึมเศร้าและวิตกกังวลของเขาผ่านการสัมภาษณ์กับ Yonhap เกี่ยวกับเพลง The Last ที่เขาทำผลงานในชื่อ Agust D “ผมวิตกกังวลและอยู่อย่างโดดเดี่ยวตลอดมา และการที่คุณเลือกจะเป็นเพื่อนกับมัน ก็ต้องการทั้งชีวิตในการทำความเข้าใจ”

 

IU ศิลปินสาวที่มีปัญหาสภาพจิตใจ เธอเองเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง ตั้งแต่การถูก Cyberbullying เรื่องรูปร่างในช่วงแรกๆ ที่เริ่มงานเพลง จนต้องเข้ารับการรักษา ก่อนจะใช้ความสามารถพิสูจน์ให้เห็นความสามารถ IU ได้เล่าเรื่องนี้ระหว่างคอนเสิร์ตของเธอในปี 2016 “ในปี 2014 หลังปล่อยอัลบั้มออกไป มีคนชอบฉันเยอะมาก แต่ในมุมหนึ่งฉันก็รู้สึกแปลกและเริ่มซึมเศร้า ชื่อเสียงทำให้ฉันสงสัยว่าตัวฉันเองควรได้รับคำชื่นชมเหล่านั้นไหม ฉันไม่สามารถดีใจไปกับคำชมเหล่านั้น ฉันเริ่มดูถูกตัวเอง จริงๆ แล้วปีนั้นเป็นปีที่ฉันควรมีความสุขที่สุด แต่ฉันก็ไม่อาจเชื่อถือตัวเอง เป็นปีที่ยากลำบากที่จะผ่านพ้นมันไป ฉันเริ่มนอนไม่หลับ ฉันนอนไม่ได้เลย มันทำให้ฉันทำอะไรที่ต้องทำตอนกลางวันไม่ค่อยได้ และมันก็กลายเป็นกิจวัตรที่ทำซ้ำๆ จนทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา”

 

แทยอน จากวง Girls’ Generation ได้ตอบคำถามแฟนๆ ใน Instagram Stories เมื่อเดือนมิถุนายน 2019 คำตอบหนึ่งระบุว่าเธอเคยมีปัญหาสภาพจิตใจ และเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากในการรักษาเพื่อกลับคืนมาปกติ

 

คิมฮีชอล สมาชิกวง Super Junior ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากที่ ฮันเกิง เพื่อนสนิทออกจากวง Super Junior เขาก็กลายเป็นซึมเศร้า เพราะว่าทั้งคู่สนิทกันมาตั้งแต่ก่อตั้งวงใหม่ๆ เขาเริ่มขังตัวเองในห้องกับแมวสองตัวไม่คุยกับใครเป็นเวลาสามเดือน อาการเริ่มแย่ลงเพราะเขาไม่ออกไปพบใคร สุดท้ายเพื่อนๆ ในวงโดยเฉพาะอึนฮยอก ที่ช่วยให้เขาผ่านเวลาที่ยากลำบากมาได้

 

ซูจี นักแสดงสาวที่เพิ่งมีผลงานซีรีส์ Vagabond ก็เคยมีอาการซึมเศร้าระหว่างที่พยายามทำงานหนักและแบกรับความคาดหวังจากสังคม ซูจีเคยให้สัมภาษณ์ในรายการ Healing Camp ว่า ช่วงปี 2013 เธอทุกข์ทรมานจากอาการซึมเศร้าเนื่องจากตารางงานที่แทบไม่ได้หยุดพัก แม้ว่าจะมีเวลาไปคุยกับเพื่อน มีเวลาหัวเราะด้วยกันบ้าง แต่เธอกลับร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ตัว 

 

ทาโบล จากวง Epik High แรปเปอร์ชื่อดังของเกาหลีใต้ เคยให้สัมภาษณ์กับ CNN ว่าเขามีประวัติซึมเศร้าจากการถูกใส่ร้ายเรื่องปลอมผลการศึกษาที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งสุดท้ายกลายเป็นคดีความใหญ่โตลุกลามไปถึงครอบครัว กว่าเรื่องราวจะพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ได้ปลอมผลการศึกษาอย่างที่สังคมประณาม ทาโบลก็เก็บตัวอยู่ในบ้านเพราะกลัวการถูกทำร้าย ในช่วงนั้นเขาได้ ฮารุ ลูกสาวตัวน้อยช่วยให้ผ่านเวลาที่ยากลำบากมาได้ “ฮารุเดินเข้ามาในห้อง ถามว่าทำไมถึงร้องไห้ แล้วยังเช็ดน้ำตาให้ผม”

 

มันเป็นเรื่องปกติที่ใครสักคนจะซึมเศร้า วิตกกังวล ตื่นตระหนก หรือมีปัญหาสภาพจิตใจ มันคือความปกติธรรมดาที่จิตใจผู้คนถูกกัดกร่อนด้วยสภาพแวดล้อมที่เคร่งเครียด ดังนั้นจงร้องขอความช่วยเหลือ จงพูดออกมา เพราะคุณไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่เพียงเป็นโรคอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น และรักษาให้หายได้

 

แสงสว่างมีอยู่เสมอ เพียงแต่ในบางเวลามันช่างมืดหม่นและดูไม่มีทางออก ยิ่งโลกหมุนเร็ว เทคโนโลยีก้าวหน้าไปเท่าไร ยิ่งส่งผลกับปัญหาทางจิตใจมากขึ้นเท่านั้น ในอนาคตโรคที่เกี่ยวกับสภาพจิตใจจะกลายเป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ทุกคนต้องพบเจอ เพียงแต่ว่าในปี 2019 การสูญเสียของวงการเคป๊อปเป็นจุดเริ่มที่ทำให้เราเห็นชัดเจนขึ้นว่าปัญหานี้ต้องได้รับการเยียวยาโดยเร่งด่วน 

 

อ่านต่อ 

ก้าวผ่านโรคซึมเศร้าอย่างเข้าใจ thestandard.co/coverstory3/

ทราย เจริญปุระ ทำความเข้าใจโรคซึมเศร้า ที่ไม่ต้องปิดเพราะเราแค่ป่วย

thestandard.co/podcast/ruok09/

เมื่อศิลปินสร้างสรรค์งานจากโรคซึมเศร้า เปลี่ยนบทเพลงให้กลายเป็นเครื่องเยียวยาจิตใจ thestandard.co/culture-music-depressive-disorder-inspire-to-create-songs-for-therapy-mdd-patient/

 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง:

The post “รอให้ถึงพรุ่งนี้อาจสายเกินไป” 2019 ปีแห่งความซึมเศร้าของวงการเคป๊อป appeared first on THE STANDARD.

]]>
Socialphobia ภาพยนตร์สะท้อนปัญหาเนติเซน-โลกโซเชียลฯ เกาหลีที่ไม่มีใครอยากตกเป็นเหยื่อ https://thestandard.co/socialphobia/ Thu, 05 Dec 2019 10:28:58 +0000 https://thestandard.co/?p=309843

ท่ามกลางข่าวการเสียชีวิตของสองไอดอล ซอลลี่ และคูฮารา ส่ […]

The post Socialphobia ภาพยนตร์สะท้อนปัญหาเนติเซน-โลกโซเชียลฯ เกาหลีที่ไม่มีใครอยากตกเป็นเหยื่อ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ท่ามกลางข่าวการเสียชีวิตของสองไอดอล ซอลลี่ และคูฮารา ส่งผลให้เกิดกระแสเรียกร้องให้ผลักดันกฎหมายเกี่ยวกับการระรานบนไซเบอร์ หรือ Cyberbullying โดยจะใช้ชื่อว่า Sulli Law เพราะสาเหตุการเสียชีวิตของซอลลี่ รวมถึงคูฮารา หลายฝ่ายต่างลงความเห็นว่าเกิดจากแรงกดดันที่พวกเธอได้รับจาก Cyberbullying โดยเฉพาะคูฮาราที่ต้องโศกเศร้าจากการที่เพื่อนรักเสียชีวิต และยังได้รับคอมเมนต์แง่ลบกระหน่ำซ้ำเติม ไม่รวมปัญหาคดีความกับคนรักเก่า ขณะเดียวกันก็มีข่าวอีกด้านว่าเนติเซนได้คอมเมนต์ถึง นัมแทฮยอน อดีตสมาชิกวง WINNER เพื่อนสนิทของซอลลี่และคูฮาราว่า “คุณคือคนต่อไป” 

 

ยังไม่นับรวมเหล่าศิลปินที่ต้องหยุดพักงานในวงการบันเทิงไปด้วยโรคซึมเศร้า อย่างกรณีล่าสุด คังแดเนียล ไอดอลชื่อดังที่เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มที่มีรอยยิ้มร่าเริงอยู่เสมอ เข้าพักรักษาตัวด้วยอาการซึมเศร้าและตื่นตระหนก ซึ่งเหตุผลสำคัญคือการถูกวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบอยู่ตลอดเวลาหลังจากเขาหมดสัญญากับวง Wanna One

 

ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ มีทั้งโลกความเป็นจริงและโลกเสมือนในโซเชียลมีเดียที่เราจะกลายเป็นใครหรือมีนิสัยแบบไหนก็ได้ ยิ่งในสังคมที่มีความกดดันเป็นพื้นฐาน การได้ระบายออกซึ่งความรู้สึกคับแค้นต่างๆ ผ่านช่องทางที่ไม่มีใครรู้ตัวตนจึงกลายเป็นตัวแปรที่มีนัยสำคัญ

 

และถ้าจะทำความรู้จักเนติเซนเกาหลีใต้ การแพร่กระจายข่าว ขยี้ข่าว ขุดปมดราม่าในโลกโซเชียล ภาพยนตร์เรื่อง Socialphobia น่าจะเป็นหนึ่งทางเลือกที่ทำให้เราเห็นภาพความจริงในสังคมที่โลกเสมือนกับโลกจริงมาทับซ้อนกัน เมื่อทุกคนพร้อมจะพิมพ์โจมตีกันและกันราวกับว่าเคียดแค้นกันมาจากชาติปางไหน

 

Socialphobia เป็นภาพยนตร์ทริลเลอร์ในปี 2015 ถ่ายทอดเรื่องจริงในหน้าข่าวช่วงนั้น เกี่ยวกับเนติเซนที่ร่วมกันขุดคุ้ยเรื่องราวจนกลายเป็นประเด็นดัง ผลงานกำกับแรกของ ฮงซอกแจ ที่รับหน้าที่เขียนบทด้วยตัวเอง เปิดฉากมาด้วยตัวเอกของเรื่อง จีอุง (รับบทโดย บยอนโยฮัน) ระหว่างรอรถไฟเดินทางไปเรียนพิเศษเพื่อสอบเป็นตำรวจ เขาปิดกั้นข่าวสารจากโลกภายนอกด้วยการใส่หูฟัง จึงไม่รู้ว่าระหว่างนั้นเนติเซนต่างส่งต่อ คอมเมนต์ พูดคุยกันเรื่องข่าวการฆ่าตัวตายของจ่าสิบเอกหนีทหารคนหนึ่ง เสียงส่วนใหญ่เสียใจกับการตายของเขา ยกเว้น เรนา หรือ มินฮายอง (รับบทโดย ฮายุนคยอง) ที่โพสต์ข้อความดูหมิ่นผู้ตายว่า “ขอให้มีความสุขในนรกนะ”

 

โพสต์ของเรนากลายเป็นประเด็นดราม่าทันที เนติเซนรุมกันเข้าไปด่าเธอ “นังโสเภณีหน้าโง่” พร้อมติดแฮชแท็กที่กลายเป็นเทรนดิ้ง เรนาไม่หยุดเท่านั้น ยังคงต่อปากต่อคำอย่างเผ็ดร้อน เธอจุดไฟแห่งความเคียดแค้นในโลกโซเชียลขึ้นมา เนติเซนต่างร่วมกันขุดคุ้ยว่าเธอคือใคร เรียนที่ไหน ประวัติความเป็นมาอย่างไร จนนำไปสู่การล่าแม่มด เมื่อแชนแนลของ ยางเก (รับบทโดย รยูจุนยอล) ประกาศหาเพื่อนร่วมทีมเดินทางไปตามล่าเธอ ในช่วงนี้เองที่เราได้เห็นว่าร้านอินเทอร์เน็ตที่เป็นแหล่งรวมตัวของวัยรุ่นกลายเป็นสมรภูมิย่อมๆ หลายร้อยหน้าจอร่วมกันปั่นแฮชแท็ก ขยี้ปมดราม่า ระบายความคับแค้นผ่านการคอมเมนต์ด่าทอเรนา จีอุงที่ดูไม่ได้สนใจข่าวนี้เท่าไรนักก็โดนเพื่อนยุให้ทำด้วย “ก็แค่คอมเมนต์เดียว หยิบมือถือแกขึ้นมา” หรือในตอนที่เขาถามเพื่อนว่า “เราจะทำกันจริงๆ เหรอ” เพื่อนก็ตอบเขาเพียงว่า “ทวีตความในใจนายไง” 

 

การไลฟ์สดของกลุ่มวัยรุ่นที่พากันไปตามล่าเรนาถึงห้องพัก กลายเป็นจุดพลิกผันของเรื่องราว และทำให้กลุ่มวัยรุ่นเหล่านี้เข้าไปข้องเกี่ยวกับคดีความ พวกเขาใช้โซเชียลมีเดียในการตามหาความจริงและตัวคนร้าย แต่กระนั้นพวกเขาก็ต้องพบว่าในวันหนึ่งกลับเป็นพวกเขาเองที่ถูกล่าแม่มดและมีชะตากรรมไม่ต่างไปจากเรนา โลกโซเชียลที่พร้อมจะถล่มใครสักคนจนแหลกคามือ และเมื่อมีเหยื่อรายใหม่เข้ามา ก็พร้อมจะทิ้งสิ่งชำรุดที่ถูกทำลายพังยับเยินนั้นไปเสีย

 

 

ผู้กำกับฮงซอกแจเคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับภาพยนตร์ Socialphobia ไว้ว่า “เวลาคนเราโดนโจมตีทางออนไลน์ มีการเปิดเผยตัวตน ข้อมูลจริง ขุดคุ้ยไปถึงครอบครัว เพื่อนร่วมงาน โดยปกติแล้วคนคนนั้นจะกลัวและจะอยู่เงียบๆ แต่เรนาไม่ใช่แบบนั้น เธอยังก้าวร้าวต่อไปจนทำให้เนติเซนโกรธ มีการตั้งกลุ่มออนไลน์เพื่อตามล่าตัวเธอในโลกความเป็นจริง แต่นั่นก็ไม่ใช่ตอนจบของเรื่อง ผมต้องการโฟกัสไปที่คำถามว่าทำไมกลุ่มวัยรุ่นถึงต้องการตามล่าเรนาด้วยการบุกไปบ้านเธอ การที่โลกออนไลน์เดินทางไปพบกับโลกความเป็นจริง และพวกเขามีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเจอกับเรื่องไม่คาดคิดหลังจากนั้น”

 

ในภาพยนตร์เราจะเห็นบรรยากาศความกดดันในการเตรียมสอบ การเรียนกวดวิชาที่หนักหน่วง การที่ตัวละครจีอุงเก็บสมาร์ทโฟนใส่ลิ้นชักแล้วเขียนโน้ตไว้ว่า เปิดใช้ได้เมื่อสอบเสร็จ บรรยากาศกดดันของชีวิตในเมืองใหญ่ สภาพอากาศหนาวเหน็บ การเรียนอย่างหนักเพื่อสอบแข่งขันให้ผ่าน เพื่อการยอมรับว่าเราเก่งพอ เพื่อการงานที่ดี เพื่อชีวิตที่ดีในวันข้างหน้า เหล่านี้กลายเป็นน้ำหนักที่กดทับบนบ่าของทุกคน 

 

เราต่างอยากปลดเปลื้องน้ำหนักน้ันให้เบาบางออกไป หนทางที่จะถ่ายทอดความอึดอัดในใจที่ไม่อาจแสดงออกในชีวิตจริง ทำให้โซเชียลมีเดียที่เราผูกพันมากมายในชีวิตทุกวันนี้กลายเป็นทางออก เราส่งออกความเครียดความเหนื่อยล้าผ่านโพสต์ต่างๆ ในระดับที่แตกต่างกัน นินทานาย ขายเพื่อน ประชดรัก ไปจนถึงการร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างเผ็ดร้อน โยนความอึดอัดไปสู่บุคคลที่ตกเป็นประเด็นดราม่าในขณะนั้น  

 

Socialphobia ทำให้เห็นว่าชีวิตเด็กเตรียมสอบปกติธรรมดากลุ่มหนึ่งก็พร้อมกลายร่างเป็นปีศาจได้ เช่นเดียวกับผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่โต้ตอบผู้คนอย่างไม่เกรงกลัว ในวันที่เราร่วมคอมเมนต์เป็นเนติเซนที่ระบายความคับข้องหมองใจผ่านดราม่าต่างๆ เมื่อถึงวันหนึ่งที่เราตกอยู่ในสถานการณ์โดนรุมทำร้ายบ้าง เราจะทำอย่างไร เจ็บปวดขนาดไหน และใครจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ?

 

ตัวอย่างภาพยนตร์ 

 

 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง:

The post Socialphobia ภาพยนตร์สะท้อนปัญหาเนติเซน-โลกโซเชียลฯ เกาหลีที่ไม่มีใครอยากตกเป็นเหยื่อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เมื่อนักฟุตบอลตกเป็นเหยื่อการ Bully https://thestandard.co/bullying-in-sport/ Fri, 01 Nov 2019 13:09:29 +0000 https://thestandard.co/?p=300370

มันเป็นภาพที่เจ็บปวดนะครับสำหรับเกมฟุตบอล เมื่อสิ่งที่น […]

The post เมื่อนักฟุตบอลตกเป็นเหยื่อการ Bully appeared first on THE STANDARD.

]]>

มันเป็นภาพที่เจ็บปวดนะครับสำหรับเกมฟุตบอล เมื่อสิ่งที่นักฟุตบอลคนหนึ่งที่เป็นถึงกัปตันทีมถูกโห่ไล่จากแฟนบอลของตัวเองอย่างป่าเถื่อน ในขณะที่แฟนบอล ซึ่งเป็นผู้ที่ให้การสนับสนุนทีมอย่างจริงจังมาโดยตลอด ได้รับการตอบแทนด้วยท่าทียียวน คำสบถด่า การถอดเสื้อทิ้ง และการเดินเข้าห้องแต่งตัวทันที โดยไม่คิดจะหวนกลับมาเป็นกำลังใจให้ทีมอีก

 

ไม่รู้ว่าใครจะเจ็บมากกว่ากัน ระหว่าง กรานิต ชากา กับแฟนบอลชาวกูนเนอร์ส

 

บางทีอาจจะเจ็บพอๆ กัน

 

เรื่องที่เกิดขึ้นในเกมพรีเมียร์ลีกระหว่างอาร์เซนอลและคริสตัล พาเลซ ซึ่งจบลงด้วยการเสมอกัน 2-2 กลายเป็นหนึ่งในประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง ในหลากมิติ หลายมุมมองครับ

 

แน่นอนว่าสิ่งแรกที่มีการพูดถึงกันคือ ปฏิกิริยาตอบโต้ของกัปตันทีมอาร์เซนอลว่าเขากระทำเกินไปหรือไม่?

 

ถ้าถามผมในฐานะคนที่ตามเกมฟุตบอลมานาน ก็พอจะบอกได้ทันทีครับว่าเกินไป

 

ในฐานะของกัปตันทีม ของคนที่เป็นผู้นำ ของคนที่เป็นเหมือนตัวแทนของสโมสร จะหนักจะเบา ชากาควรจะอดทนและเก็บความรู้สึกของตัวเองให้ได้มากกว่านี้

 

สำหรับนักฟุตบอล ไม่มีประโยชน์อันใดจะไปโต้ตอบกับแฟนบอลให้เสียบรรยากาศ พูดกันแบบตรงๆ ไม่อ้อมค้อม คนหลายหมื่นคนในสนามฟุตบอลวันนั้นคือ ‘นายจ้างทางอ้อม’ คือคนที่ช่วยจ่ายเงินเดือนจำนวนมากมายมหาศาลให้ทั้งๆ ที่พวกเขามีรายได้น้อยกว่าหลักหลายร้อยหลายพันเท่า

 

และถ้าจะให้พูดจริงๆ ในเชิงกีฬาแล้ว ระหว่างแฟนบอลกับนักฟุตบอลและสโมสร ความสัมพันธ์ของมันลึกซึ้งกว่านั้นมาก

 

 

ทุกท่าทีที่มีต่อกัน จึงควรคิดให้รอบคอบ เพราะความรู้สึกนั้นเปราะบาง และบางครั้งหากมีรอยปริร้าวเพียงเล็กน้อย การจะผสานกลับมาให้เป็นเนื้อเดียวกันเหมือนเดิมนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก

 

เพียงแต่ในการกระทำของชากา ก็ไม่ใช่ว่าจะไร้ที่มาที่ไป

 

หลังเหตุการณ์ผ่านมาราว 4 วัน ในที่สุดกองกลางชาวสวิสได้เปิดใจถึงเหตุการณ์ดังกล่าว และผมคิดว่า เราทุกคนไม่ว่าจะเป็นแฟนอาร์เซนอล หรือเป็นแฟนฟุตบอลหรือไม่ ก็ควรรับฟังอย่างเปิดใจ

 

ในถ้อยแถลงของชากา ซึ่งบอกเล่าผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของตัวเอง สาระสำคัญอยู่ที่การที่ชากาเปิดเผยความรู้สึกของเขาเป็นครั้งแรกว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาถูกแฟนฟุตบอล ‘กระทำ’ อย่างร้ายกาจมาโดยตลอด

 

โดยเฉพาะบนช่องโซเชียลมีเดียที่เล่นกันเลยเถิดไปมาก

 

ลำพังหากจะดุจะด่าตัวเขาที่ทำผลงานได้ไม่เป็นที่น่าพอใจ คงไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือ การที่มีแฟนบอลชั่วร้ายบางส่วนที่ ‘ล้ำเส้น’ ไปถึงครอบครัว

 

การที่ได้อ่าน พบข้อความว่า ‘จะฆ่าเมียแก’ หรือ ‘ขอให้ลูกแกเป็นมะเร็ง’ มันไม่ใช่เรื่องที่น่าอภิรมย์อยู่แล้วครับ และมันยังทำให้สิ่งที่ตามมาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกวิตกกังวลต่อความปลอดภัยของสมาชิกครอบครัว หรือความรู้สึกกับแฟนบอลที่ไม่สนิทใจกันเหมือนดังเคย

 

สุดท้ายก็นำไปสู่ความเศร้าที่กัดกินหัวใจไปทีละน้อย

 

และเมื่อมันเหลือน้อยเต็มที ชากาก็ไม่สามารถกักเก็บความโกรธแค้นได้อีก และตอบโต้ด้วยการบันดาลโทสะออกมาในสนาม

 

 

เรื่องนี้มันชวนให้คิดอยู่ไม่น้อยครับ และผมเชื่อว่า หลังจากนี้กรณีนี้คงจะเป็นกรณีศึกษาที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้ามาควบคุมจัดการดูแล

 

เพราะในเกมฟุตบอล ประเด็นการกลั่นแกล้งทางสังคม (Bully) นั้นมีมาช้านาน จนแทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมลูกหนัง

 

ว่ากันตามตรง ก็หนักข้อไม่แพ้เรื่องของการเหยียดสีผิว (Racism) ที่มีการต่อสู้อย่างหนักตลอดช่วงระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา

 

แฟนบอลคุ้นชินกับวัฒนธรรมในการด่าทอนักฟุตบอลในสนามอย่างเสียๆ หายๆ โดยไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าจะด่าเฉพาะนักฟุตบอลทีมคู่ต่อสู้ด้วย

 

บางครั้งนักเตะของทีมที่เชียร์ก็สามารถด่าได้ และด่าได้เจ็บไม่แพ้กันด้วย

 

นักฟุตบอลเองส่วนใหญ่ก็คุ้นชินกับเรื่องพวกนี้ และส่วนใหญ่ผมเชื่อว่า สามารถทนรับกับสิ่งเหล่านี้ได้ เพียงแต่หัวใจของคนเรานั้นแข็งแกร่งไม่เท่ากัน

 

ความอดทนย่อมมีขีดจำกัด และเมื่อถึงจุดที่ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป มันจะนำไปสู่เหตุการณ์ที่ไม่น่าจดจำทั้งสิ้นครับ

 

เขียนถึงตรงนี้ผมอดคิดถึงกรณี ‘กังฟูคิก’ ของ เอริก คันโตนา ตำนานศิลปินลูกหนังของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่กระโดดเตะใส่ แมทธิว ฮิวจ์ส แฟนบอลคริสตัล พาเลซ ที่ตะโกนด่าสมาชิกครอบครัวของดาวเตะชาวฝรั่งเศส

 

 

หรือแม้แต่ ซีเนดีน ซีดาน นักฟุตบอลผู้ยิ่งใหญ่เอง ก็ไม่สามารถอดทนต่อการเหยียดหยามของเพื่อนนักเตะด้วยกันเองอย่าง มาร์โก มาเตรัซซี ได้จนตอบโต้ด้วยการ ‘โหม่ง’ ใส่ในเกมที่สำคัญที่สุดในชีวิต กับนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก ซึ่งเป็นเกมนัดสุดท้ายในชีวิตของเขา

 

ดังนั้นผมคิดว่า กรณีนี้แฟนบอลอาร์เซนอลเองก็ผิด และผิดไม่ได้น้อยไปกว่ากันด้วย (ความจริงไม่ใช่แค่ชากาที่โดน แต่ยังมีเหตุการณ์ที่ ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง ถูกแฟนบอลรุมด่าในระหว่างที่รถติดไฟแดงในลอนดอน ซึ่งก็น่าชังไม่แพ้กัน) 

 

พวกเขาอาจจะลืมไปว่า นักฟุตบอลเองก็เป็นปุถุชนธรรมดา โกรธได้ เสียใจเป็น

 

แล้วแบบนี้ทั้งสองฝ่ายควรจะทำอย่างไรต่อไป?

 

ผมเองยังไม่แน่ใจว่าการออกมาเปิดใจและกล่าวคำขอโทษอย่างเป็นทางการของชากาต่อเหตุการณ์นี้ จะช่วยให้อะไรๆ มันดีขึ้นหรือไม่ในทันที

 

เพราะเท่าที่ได้เห็นความเห็นชาวเน็ต (ส่วนใหญ่ก็เป็นแฟนอาร์เซนอล) มีทั้งเห็นใจและเห็นต่าง

 

แต่อย่างน้อยในถ้อยคำปิดท้ายของชากา ผมว่ามันฟังขึ้นอยู่นะครับ กับการที่อยากให้ทุกคนนั้นกลับมาในจุดที่ต่างเคารพต่อกัน และนึกให้ออกว่า ทำไมเราถึงเริ่มตกหลุมรักเกมฟุตบอล

 

คงไม่มีใครตกหลุมรักเกมฟุตบอล เพราะได้ด่านักฟุตบอลในสนามแบบไม่ต้องแคร์ใครหรอกครับ แบบนั้นก็โรคจิตไป

 

 

ในทางตรงกันข้าม ผมก็เข้าใจแฟนปืนใหญ่อยู่ครับว่าพวกเขาเองก็คงไม่ได้อยากจะตะโกนด่าใครให้เสียปาก (และเสียใจ) เหมือนกัน หากนักฟุตบอลนั้นเล่นอย่างทุ่มเทมากเท่ากับที่พวกเขามอบหัวใจให้ทีม

 

เพราะปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่า ความอดทนของแฟนบอลนั้นหมดลงจากผลงานที่ยอมรับไม่ไหวจริงๆ พวกเขาไม่ได้ผิดหวังแค่วันเดียว แต่ผิดหวังกับทีมมาเป็นระยะเวลาร่วมเดือน ร่วมปี ร่วมทศวรรษ

 

ทุกคนรู้ความหมายของคำว่า Supporters แต่เมื่อทีมเล่นได้น่าหดหู่ขนาดนี้ จะให้เชียร์แบบไม่ลืมหูลืมตาก็อาจจะยากเกินไป

 

ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดคือ การพบกันคนละครึ่งทาง

 

นักฟุตบอลเองก็ต้องทุ่มเทให้มากกว่านี้ เล่นสู้เพื่อทีมให้มากกว่าที่เคยทำ ทุ่มเทให้คุ้มค่ากับเสียงเชียร์และกำลังใจ

 

แฟนบอลเองก็อาจจะต้องใจเย็นลงสักหน่อย เห็นใจกันมากขึ้น และควรตระหนักว่า การแสดงความเห็นบนโซเชียลมีเดียนั้นสามารถทำร้ายจิตใจกันได้ง่ายมากกว่าที่เราคิด

 

บนโลกใบนี้มีความสูญเสียจากเรื่องนี้มาแล้วมากมายครับ ไม่ว่าจะกับบุคคลมีชื่อเสียงหรือคนธรรมดา

 

แอบหวังว่า หากชากากลับมาลงสนามในนามอาร์เซนอลอีกครั้ง โดยไม่ว่าจะสวมปลอกแขนกัปตันหรือไม่ เขาจะได้รับเสียงปรบมือให้กำลังใจจากแฟนๆ บนอัฒจันทร์ 

 

ทุกคนจะได้ ‘มูฟออน’ และเดินเคียงกันไปสู่วันข้างหน้าที่ดีกว่าเดิมครับ

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

The post เมื่อนักฟุตบอลตกเป็นเหยื่อการ Bully appeared first on THE STANDARD.

]]>
รัฐวิกตอเรีย ในออสเตรเลีย ห้ามนักเรียนใช้ ‘มือถือ’ ในโรงเรียน หวังเพิ่มสมาธิ-ลด Cyber Bully https://thestandard.co/australia-banning-mobile-phones-in-schools/ Fri, 28 Jun 2019 04:38:31 +0000 https://thestandard.co/?p=266205 australia Banning mobile phones in schools

เจมส์ เมอร์ลิโน รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการรัฐวิกตอเรียขอ […]

The post รัฐวิกตอเรีย ในออสเตรเลีย ห้ามนักเรียนใช้ ‘มือถือ’ ในโรงเรียน หวังเพิ่มสมาธิ-ลด Cyber Bully appeared first on THE STANDARD.

]]>
australia Banning mobile phones in schools

เจมส์ เมอร์ลิโน รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการรัฐวิกตอเรียของออสเตรเลีย ประกาศเมื่อวันพุธ (26 มิ.ย.) ว่า โรงเรียนทุกแห่งในรัฐวิกตอเรียจะไม่อนุญาตให้นักเรียนใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างวัน เพื่อลดสิ่งรบกวนและแก้ปัญหาการรังแกผ่านโลกออนไลน์ (Cyberbullying) โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไป

 

รายงานระบุว่า เมื่อมาถึงโรงเรียน นักเรียนทุกคนจะต้องปิดโทรศัพท์มือถือและนำไปเก็บในตู้ล็อกเกอร์ และจะได้รับโทรศัพท์คืนหลังเลิกเรียนเท่านั้น

 

เมอร์ลิโนกล่าวว่า มาตรการดังกล่าวจะช่วยลดสิ่งรบกวนภายในห้องเรียน เพื่ออาจารย์และนักเรียนจะได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีสมาธิ และส่งผลดีต่อการเรียนการสอนมากขึ้น

 

โรงเรียนมัธยม McKinnon ในเมืองเมลเบิร์น เมืองหลวงของรัฐวิกตอเรีย ได้เริ่มใช้มาตรการดังกล่าวแล้ว และพบว่านักเรียนมีสมาธิระหว่างเรียนมากขึ้น รวมถึงมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ คนอื่นในเวลาอาหารกลางวันเพิ่มขึ้นด้วย

 

นอกจากช่วยแก้ปัญหาด้านการเรียนของเด็กๆ แล้ว เมอร์ลิโนคาดหวังว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยลดปัญหา Cyber Bully ในโรงเรียนอีกด้วย

 

งานวิจัยจากเฮดสเปซ (Headspace) มูลนิธิสุขภาพจิตวัยรุ่น ระบุว่า วัยรุ่นออสเตรเลียมากกว่าครึ่งหนึ่งเคยผ่านประสบการณ์ Cyber Bully มาแล้ว

 

ดร.ไมเคิล คาร์ เกร็ก นักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลบุตร กล่าวว่า มาตรการนี้ได้คิดค้นมาเพื่อรับรองความเป็นอยู่ที่ดีของวัยรุ่นขณะอยู่ที่โรงเรียน ลดความฟุ้งซ่านและ Cyber Bully ที่อาจเกิดขึ้นได้

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง:

  • สำนักข่าวซินหัว

The post รัฐวิกตอเรีย ในออสเตรเลีย ห้ามนักเรียนใช้ ‘มือถือ’ ในโรงเรียน หวังเพิ่มสมาธิ-ลด Cyber Bully appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดีแทค-เศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ เผยงานวิจัยชี้ชัด การรังแกทางวาจาเป็นจุดเริ่มของการกลั่นแกล้งทางออนไลน์ https://thestandard.co/dtac-cu-research-cyberbullying/ Wed, 19 Jun 2019 11:44:09 +0000 https://thestandard.co/?p=263707

ดีแทคและคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมเผยงาน […]

The post ดีแทค-เศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ เผยงานวิจัยชี้ชัด การรังแกทางวาจาเป็นจุดเริ่มของการกลั่นแกล้งทางออนไลน์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ดีแทคและคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมเผยงานวิจัยเกี่ยวกับการกลั่นแกล้ง พบว่าการรังแกทางวาจาเป็นจุดเริ่มของการกลั่นแกล้งทางออนไลน์ นอกจากนี้ในเขตโรงเรียน นักเรียนกลุ่ม LGBT มักตกเป็นเหยื่อมากที่สุด พร้อมแนะครูและผู้ปกครองใส่ใจมากขึ้น ด้านดีแทคได้พัฒนาหลักสูตรออนไลน์ Safe Internet หวังสร้างภูมิคุ้มกันทางดิจิทัลแก่เด็ก ครู และผู้ปกครอง

 

ดีแทคและคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมเปิดผลวิจัยเรื่องการกลั่นแกล้ง พบการสร้างเรื่องโกหก ล้อปมด้อย ล้อชื่อพ่อแม่ เป็นจุดเริ่มต้นของการกลั่นแกล้งออนไลน์ (Cyberbullying) โดยพบว่า 2 ใน 3 ของการกลั่นแกล้งเกิดขึ้นในห้องเรียน โดยมีกลุ่มนักเรียน LGBT มักตกเป็นเหยื่อมากสุด พร้อมแนะครูและผู้ปกครองอย่ามองข้าม ให้เร่งปรับทัศนคติการรังแกเป็นเรื่องยอมรับไม่ได้

 

ด้าน ผศ.ดร.ธานี ชัยวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมและการทดลอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การรังแกกันผ่านไซเบอร์ (Cyberbullying) นับเป็นความรุนแรงรูปแบบใหม่ เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท การใช้งานทำได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นผู้กระทำได้ ในทางตรงข้าม การใช้พื้นที่ของโลกไซเบอร์ต่างกับการรังแกรูปแบบอื่น ซึ่งไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ถูกกระทำ จึงถูกนำมาใช้เป็นช่องทางใส่ร้ายหรือโจมตี

 

“จากงานวิจัยเราพบว่า สำหรับเด็กยุคใหม่ คนที่ถูกรังแกและคนที่รังแกคนอื่นมีสัดส่วนเข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ แปลว่ามีการเอาคืนมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังพบว่า การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์มีจุดเริ่มต้นจากการกลั่นแกล้งหรือการรังแกทางวาจา แล้วก็ไปสู่ทางร่างกาย ไปสู่ทางสังคม แล้วก็ทางสังคมจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการการรังแกทางไซเบอร์ ซึ่งเทคโนโลยีทำให้รูปแบบการรังแกมีความรุนแรงมากขึ้น จำนวนสูงขึ้น และถึงแม้อาจไม่ได้รับความเจ็บปวดทางกาย แต่ความเจ็บปวดทางใจมีความรุนแรง เพราะลักษณะของการทำร้ายกันผ่านออนไลน์จะวนเป็นลูปไปกลับอย่างไม่จบสิ้น”

 

 

นอกจากนี้ ผศ.ดร.ธานี กล่าวเสริมว่า เทคโนโลยีการสื่อสารเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้การแกล้งกัน (Bullying) ของเด็กนักเรียนขยายวงกว้างมากขึ้น จากเดิมที่การแกล้งกันจะมีลักษณะอำนาจเหนือกว่า หรือมีความได้เปรียบด้านกายภาพ แต่โซเชียลมีเดียได้เข้ามาสร้างความเท่าเทียมกันของการแสดงออก ทำให้ความสามารถในการแกล้งกันของทุกคนใกล้เคียงกันมากขึ้น

 

ดังนั้น บุคคลผู้เป็นครูและพ่อแม่ผู้ปกครอง ควรเป็นที่พึ่งให้กับเด็กที่ถูกกระทำ ความเข้าใจระหว่างครอบครัวที่เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงตัวตนของตัวเอง และกิจกรรมในโรงเรียนที่ควรเปิดกว้างมากพอให้เด็กได้แสดงศักยภาพของตัวเอง เพื่อให้เด็กทุกคนมีพื้นที่เป็นของตัวเอง พื้นที่ที่สบายใจและทำสิ่งที่สนใจเหล่านั้นได้ดี หากแต่ทางออกระยะยาวถูกสกัดกั้นด้วยความไม่กล้าเปิดเผยเรื่องราวเหล่านี้ให้กับคนรอบตัว

 

 

 

ด้าน อรอุมา ฤกษ์พัฒนาพิพัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานสื่อสารองค์กรและการพัฒนาที่ยั่งยืน บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่า “การดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ” (Responsible Business) ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของความยั่งยืนดีแทค ซึ่งโครงการอินเทอร์เน็ตปลอดภัย หรือ dtac Safe Internet ได้ดำเนินอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 แล้ว

 

สำหรับการวิจัยเรื่อง ‘การแกล้งกันของเด็กนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษาในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล’ ถือเป็นอีกหนึ่งความพยายามของดีแทคในการทำความเข้าใจถึงปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้นจากบทบาทที่เพิ่มขึ้นของอินเทอร์เน็ต ซึ่งดีแทคมีเป้าหมายในการสร้างระบบนิเวศที่ดีต่อสังคมอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กที่มีอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตกว่า 90%

 

และเนื่องในโอกาสวันต่อต้านการกลั่นแกล้งทางออนไลน์สากล (Stop Cyberbullying Day) ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 21 มิถุนายน 2562 ดีแทคได้พัฒนาหลักสูตรออนไลน์ Safe Internet เพื่อให้เด็กและครอบครัวสามารถพัฒนาความรู้และทักษะในการใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์อย่างสร้างสรรค์และปลอดภัย สร้างภูมิคุ้มกันทางดิจิทัลแก่เด็กๆ ซึ่งได้รับการออกแบบโดย Parent Zone ผู้ให้บริการด้านความรู้ในการเลี้ยงเด็กในยุคดิจิทัลสัญชาติอังกฤษ

 

ทั้งนี้ หลักสูตรออนไลน์ Safe Internet ได้รับการออกแบบให้เหมาะสมกับเด็กอายุ 5-16 ปี ตลอดจนครูและผู้ปกครอง โดยเข้าผ่านเว็บไซต์ www.safeinternetforkid.com ซึ่งประกอบด้วยเกมทดสอบความเข้าใจโลกออนไลน์ คลังคำศัพท์ แบบฝึกหัด และคำแนะนำสำหรับครู ตลอดจนผู้ปกครอง

 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

The post ดีแทค-เศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ เผยงานวิจัยชี้ชัด การรังแกทางวาจาเป็นจุดเริ่มของการกลั่นแกล้งทางออนไลน์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Diesel เล่นแรง! ดึง Nicki Minaj เป็นพรีเซนเตอร์แคมเปญเสียดสีสังคม ‘Hate Couture’ https://thestandard.co/diesel-taps-nicki-minaj-for-hate-couture-collab/ https://thestandard.co/diesel-taps-nicki-minaj-for-hate-couture-collab/#respond Wed, 19 Sep 2018 09:00:09 +0000 https://thestandard.co/?p=122163

นับวันชีวิตมนุษย์อย่างเราๆ จะพัวพันอยู่กับโซเชียลมีเดีย […]

The post Diesel เล่นแรง! ดึง Nicki Minaj เป็นพรีเซนเตอร์แคมเปญเสียดสีสังคม ‘Hate Couture’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

นับวันชีวิตมนุษย์อย่างเราๆ จะพัวพันอยู่กับโซเชียลมีเดียตลอดเวลา ทุกครั้งที่ปลายนิ้วสัมผัสเครื่องมือสื่อสาร ก็เหมือนว่าเราได้หลุดเข้าไปในโลกฟองอากาศที่เราเองเป็นผู้สร้างขึ้น โลกฟองอากาศที่จะได้พบเจอกับคำวิจารณ์ทั้งแง่ลบ แง่บวก เชิดชูคนที่รัก และพยายามสับคนที่เกลียดชังตลอดเวลา

 

ด้วยประเด็นทางสังคมเหล่านี้ แบรนด์ Diesel ที่ก่อตั้งโดย Renzo Rosso ในปี 1978 ได้นำมาทำแคมเปญสำหรับคอลเล็กชันพิเศษชื่อ ‘Hate Couture’ โดยได้แรงบันดาลใจจากคอมเมนต์แง่ลบต่างๆ ต่อแบรนด์ที่บางคนบอกว่า ‘ไม่คูลแล้ว’ หรือบางคนก็สับเละถึงขั้นที่ว่า ‘แบรนด์ได้ตายไปแล้ว’

 

แต่หลังจากเจอคอมเมนต์ลบๆ แบรนด์เลือกจะนำเสียงเหล่านี้มาต่อยอดคอนเซปต์ โดยได้เลือกกลุ่มดารา เซเลบ และอินฟลูเอนเซอร์ที่มีฐานแฟนคลับเหนียวแน่น แต่นั่นก็มาพร้อมเสียงวิจารณ์สุดขั้วทุกครั้งที่แบรนด์ทำผลงานอะไรใหม่ๆ ออกมา เช่น แรปเปอร์สาว นิกกี้ มินาจ หนึ่งในราชินีวงการฮิปฮอปที่ตั้งแต่เธอปล่อยอัลบั้มสตูดิโอชุดแรก Pink Friday ในปี 2010 จนถึงอัลบั้มล่าสุดอย่าง Queen ที่มาพร้อมกระแสทุกฝีก้าว ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเพลงที่เธอแต่ง บทสัมภาษณ์ที่เธอพูด หรือแม้แต่ชุดที่เธอเลือกใส่ ซึ่งหลายครั้งสังคมออนไลน์หรือสื่อก็มักจะประณามเธอว่าเป็น ‘The Bad Guy’ หรือ ‘คนไม่ดี’ เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับศิลปินคนอื่นๆ ในวงการ

 

ส่วนดาราคนอื่นๆ ที่ร่วมแคมเปญนี้คือ ทอมมี ดอร์ฟแมน และ ไมล์ส ไฮเซอร์ จากซีรีส์ 13 Reasons Why ที่มักจะเจอการเหยียดเพศ, นักแสดงสาว เบลลา ธอร์น ที่ชอบโดนล้อเรื่องการแต่งกายว่าดูเหมือนโสเภณี ไปจนถึงนักแสดงหนุ่มชาวเกาหลี ยูอาอิน ซึ่งต้องใช้ชีวิตอยู่ในอุตสาหกรรมบันเทิงที่แข่งขันกันตลอดเวลา และทุกคนต้องดูสวยหล่อทุกกระเบียดนิ้ว!

 

โดยแคมเปญดังกล่าวเพิ่งเปิดตัวในวันนี้ที่มิลาน ประเทศอิตาลี และช่วงวันแรกของ Milan Fashion Week Spring/Summer 2019 แบรนด์ยังจะมีคลิปวิดีโอซีรีส์ที่แยกเรื่องราวของแต่ละคน รวมไปถึงวิดีโอโฆษณาฉบับเต็มที่ทุกคนร่วมกันนำไอเดียที่ว่า ‘The more hate you wear, the less you care.’

 

สำหรับสินค้าจากคอลเล็กชันนี้จะมีหลากหลายอย่างให้เลือกสวมเลือกใส่แบบหัวจรดเท้า โดยจะถูกวางขายตามร้าน Diesel ในหัวเมืองใหญ่ทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม

 

ยิ่งไปกว่านั้น ลูกค้าแบรนด์ยังสามารถ Customize สินค้าโดยการเขียนคอมเมนต์ต่างๆ ที่ตนเองเคยเผชิญลงไป ซึ่งรายได้ส่วนหนึ่งของแคมเปญจะนำไปสมทบทุนการกุศลต่างๆ ที่ช่วยเหลือคนโดนรังแก เช่น Cyberbullying

 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

The post Diesel เล่นแรง! ดึง Nicki Minaj เป็นพรีเซนเตอร์แคมเปญเสียดสีสังคม ‘Hate Couture’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/diesel-taps-nicki-minaj-for-hate-couture-collab/feed/ 0
เสก โลโซ เฟซบุ๊กไลฟ์ ทำไมคนต้องเข้าไปดู https://thestandard.co/sek-loso-facebook-live/ https://thestandard.co/sek-loso-facebook-live/#respond Fri, 17 Aug 2018 10:58:53 +0000 https://thestandard.co/?p=114348

เฟซบุ๊กไลฟ์แบบข้ามวันข้ามคืนของเสก โลโซ หรือเสกสรรค์ ศุ […]

The post เสก โลโซ เฟซบุ๊กไลฟ์ ทำไมคนต้องเข้าไปดู appeared first on THE STANDARD.

]]>

เฟซบุ๊กไลฟ์แบบข้ามวันข้ามคืนของเสก โลโซ หรือเสกสรรค์ ศุขพิมาย อดีตร็อกสตาร์ชื่อดัง ถือเป็นหัวข้อสนทนาที่คนในสังคมหยิบยกมาพูดถึงกันมากที่สุดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

ด้วยพฤติกรรมที่ไลฟ์ทุกช่วงเวลา ถ่ายทอดสดทุกกิจกรรมที่ทำ ทั้งเล่นกีตาร์ สูบซิการ์ ป้อนข้าวหมา หาข้าวกิน ก่นด่าผู้คน ไดร์ผมให้แห้ง หรือแม้แต่ตรวจฉี่โชว์ ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่าเหตุใดอดีตร็อกสตาร์ที่เคยโด่งดังถึงจุดสูงสุดจึงมีพฤติกรรมเสพติดหน้ากล้อง-จ้องหน้าจอได้นานถึงขนาดนี้

 

หลายคนวิเคราะห์ไลฟ์มาราธอนของเสกว่าเป็นอาการของโรคไบโพลาร์ ป่วยซึมเศร้าเข้าขั้นเรื้อรัง บ้างมองว่าเป็นอาการของคนติดยาเสพติด ซึ่งเอาเข้าจริงคงวิเคราะห์กันได้ยาก ตราบใดที่เจ้าตัวยังไม่ได้ไปพบแพทย์ด้วยตนเอง

 

ตัดประเด็นคำถามว่า ‘ไลฟ์ไปทำไม’ จะเห็นอีกมุมที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือแล้วจะ ‘ดูไปทำไม’ ในเมื่อพอจะเดาได้ว่าวันๆ เขาทำอะไรบ้าง และนี่คือคำถามที่ THE STANDARD พยายามหาคำตอบให้เจอ

 

 

เปิดสถิติย้อนหลัง 72 ชั่วโมง เสกไลฟ์ไปแล้วกว่า 37 ชั่วโมง โกยยอดวิว 12 ล้าน

ย้อนหลังกลับไป 3 วัน จะเห็นว่าภาพรวมการไลฟ์ของเสก โลโซ ถูกแบ่งเป็นช่วงเวลาต่างๆ กัน ซอยย่อยออกเป็นหลายคลิปวิดีโอ ความสั้นยาวไม่เท่ากันตั้งแต่คลิปสั้นๆ ไม่ถึงนาที ไล่ไปจนถึง 2 ชั่วโมงกว่า ที่น่าสนใจคือไลฟ์ส่วนใหญ่ของเขาจะมียอดวิวไม่ต่ำกว่าแสน หรือน้อยที่สุดก็เป็นหลักหมื่นขึ้นไปแทบทั้งสิ้น

 

วันที่ 14 สิงหาคม มีการไลฟ์ 20 ครั้ง รวมระยะเวลากว่า 1,008 นาที คิดเป็น 16 ชั่วโมง 25 นาที มียอดวิว 3.58 ล้านวิว

 

วันที่ 15 สิงหาคม มีการไลฟ์ 15 ครั้ง รวมระยะเวลากว่า 842 นาที คิดเป็น 14 ชั่วโมง มียอดวิว 5 ล้านวิว

 

วันที่ 16 สิงหาคม มีการไลฟ์ 16 ครั้ง รวมระยะเวลากว่า 411 นาที คิดเป็น 6 ชั่วโมงกว่า มียอดวิว 3.9 ล้านวิว

 

เท่ากับว่า 3 วัน หรือ 72 ชั่วโมงที่ผ่านมา เสกไลฟ์ไปแล้วกว่า 37 ชั่วโมง สร้างยอดวิวรวมทั้งหมด 12 ล้านวิว ซึ่งนับเป็นสถิติที่น่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะในวันที่อัลกอริทึมเฟซบุ๊กคาดเดาได้ยากแม้จะเป็นนักการตลาดชั้นยอดก็ตาม

 

ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะสื่อต่างๆ ที่ให้ความสนใจกับการไลฟ์แบบถี่ๆ ของเสก โลโซ จนทำให้พฤติกรรมนี้กลายเป็นปรากฏการณ์ เมื่อรู้ข่าว คนจำนวนมากจึงต้องการเข้ามา ‘ส่อง’ หรือลองติดตามด้วยตัวเองว่าการไลฟ์แต่ละครั้งของเสกมีเนื้อหาอะไรที่น่าสนใจบ้าง ยังไม่นับรวมการแชร์ออกไปบนหน้าฟีดที่รวมๆ แล้วเป็นหลักหมื่น ทำให้ไลฟ์แต่ละครั้งมียอดวิวสูงลิ่ว ทั้งๆ ที่เจ้าของไลฟ์ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าโชว์กิจวัตรประจำวันให้คนทั่วไปได้รับรู้เท่านั้น

 

 

ส่องคอมเมนต์ เผยพฤติกรรมคนดู

คงตอบได้ยากว่า 12 ล้านวิวในรอบ 3 วันเข้ามาดูไลฟ์ของเสก โลโซ เพราะอะไร อีกทั้งยังไม่มีเครื่องมือที่ชี้วัดได้ว่าแต่ละคนเข้ามาดูนานแค่ไหน บ่อยครั้งแค่ไหน แต่ที่พอจะสำรวจได้คือเนื้อหาในคอมเมนต์ซึ่งเกิดขึ้นจริงระหว่างการไลฟ์แต่ละครั้ง

 

จากการเลื่อนหน้าจอสำรวจดูในช่องคอมเมนต์ระหว่างการไลฟ์ของวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา ในไลฟ์ที่ใช้ชื่อว่า ‘จส.777 เขตปลอดแม้ว’ ที่มียอดวิวสูงลิ่วถึง 1.1 ล้านวิว มีคอมเมนต์มากกว่า 41,000 ความคิดเห็น อาจแบ่งกลุ่มความคิดเห็นคร่าวๆ ได้ดังนี้

 

 

มองเป็นไอดอล

‘เฮียเสกทำให้ผมโดนแฟนด่าว่าไม่หลับไม่นอน ดูอะไรนักหนา ผมเลยบอกว่า ไอดอลผมไม่นอน ผมก็ไม่นอนเหมือนกัน’

 

‘แม้พี่จะพูดจารุนแรงไปหน่อย แต่พูดจาเพราะกับผู้หญิง ชอบความสุภาพกับผู้หญิงของพี่มากครับ’

 

‘เครียดงานมาดูพี่แล้วสบายใจ พี่เป็นร็อกสตาร์เมืองไทย ใจสั่งมา’

 

 

ตักเตือน ให้กำลังใจ

‘พี่เสก พอเถอะครับ พี่ดีดกีตาร์ร้องเพลงดีกว่าครับ พี่เป็นคนมีฝีมือครับ’

 

‘ผมว่าพี่จับกีตาร์แบบนี้ดีกว่าพี่นั่งพูดไปทั่วให้คนด่าว่าบ้า นี่มันคืออาวุธของพี่ (กีตาร์) ไม่ใช่น้ำลายในปากพี่ อยากให้พี่เป็นแบบสมัยผมเด็กๆ อีกครั้ง’

 

‘เฮียครับ ด้วยความเคารพนะเฮีย เฮียลองเปิดใจเข้าพบจิตแพทย์ดูหน่อยครับเฮีย บางครั้งเฮียไม่ต้องมาแบกความหวังของประเทศไว้แบบนี้ก็ได้นะครับ ด้วยความเคารพครับเฮีย ปล่อยวางบ้างเถอะ’

 

 

ปกป้อง

‘ถ้าเล่นยาจริงสี่ห้าวันขนาดนี้ สภาพไม่เป็นแบบนี้หรอก จะซูบโทรม เป็นผีตายซาก แก้มตอบเป็นเขื่อนแล้ว แบบนี้สภาวะคับแค้นใจอะไรสักอย่างจนมีปัญหาในการควบคุมสติ ส่วนเรื่องการนอน คนอายุ 40 อัปไม่ได้ทำงานหนักอะไร นอนวันละสามสี่ชั่วโมงไม่เห็นแปลก’

 

‘เฮียเสกเป็นตัวเอง ไม่เสแสร้ง คนก็หาว่าบ้า สังคมดัดจริต’

 

ตั้งข้อสังเกต วิพากษ์วิจารณ์

‘น่าสงสารเสกมันนะครับ ญาติมิตรพี่น้องพ้องเพื่อนไม่มีใครรักเลย ปล่อยให้อาการไบโพลาร์เกิดขึ้นตลอด 3 วัน ไม่มีใครเอะใจพาไปหาหมอบ้างเลย คนรอบข้างไปไหนกันหมดวะ’

 

‘สำคัญตัวผิดไปหรือเปล่า คิดว่าตัวเองสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ เยี่ยวไม่ต้องตรวจบ่อยหรอก ตรวจสมองบ้างดีกว่า’

 

‘ต้องควักออกมาให้ดูเลยนะครับว่าเป็นฉี่ตัวเองจริงๆ ถึงจะพอเชื่อ ไม่งั้นตรวจไปก็เท่าเก่าครับ จะให้ควักฉี่ให้ดูตามความเป็นจริงก็ทำไม่ได้ตรงนี้อยู่แล้ว’

 

‘ปิดตำนานร็อกเกอร์ เสก โลโซ ด้วยวัย 44 ปีบริบูรณ์ ผลมาจากการใช้ยาเสพติดเป็นเวลานาน แม้ว่าจะเลิกใช้แล้ว แต่สมองถูกทำลายจนหมด ความคิดความอ่านไม่ปกติ ทางการแพทย์เรียกว่าไบโพลาร์ หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า ‘บ้า’ นั่นเอง’

 

‘มาดูเอาฮา เอามัน แต่ขำไอ้พวกเข้ามาด่าพี่แกว่ะ ช่างแกเหอะนะ เชื่อดิ’

 

 

คอการเมือง

‘พี่เสกครับ พี่คงต้องเหนื่อยอีกนาน เพราะพวกนี้มันไม่เลิกเล่นการเมืองหรอกครับ เพราะการเมืองคือขุมทรัพย์ของคนพวกนี้’

 

‘ช่วยพูดเรื่องรัฐบาลทหารยังไม่จัดให้มีการเลือกตั้ง และมีการทุจริตมากมายแบบตรวจสอบไม่ได้ด้วยค่ะ เพื่อเป็นการช่วยชาติค่ะ อย่างน้อยลีน่าจังเขาแมนที่จะด่าทหารนะคะ’

 

‘เมื่อไรจะเลิกด่าทักษิณนี่ รู้แล้วว่าเขาเป็นยังไง แต่จะด่าอะไรเขานักหนา ด่ามาตลอดเลยเฮีย’

 

‘ด่ามันเลยพี่เสก เพราะไอ้แม้วมันทำให้พี่เสกถูกจับคาบ้านวันสิ้นปีเลยพี่’

 

‘ตอนนี้เสื้อแดงรวมตัวกันหน้าบ้านเฮียแล้วครับ เปิดประตูต้อนรับพวกเขาด้วยเฮีย’

 

ฝากร้าน ขอเงิน ขอความช่วยเหลือ

‘ลูกชายหนู ป่วยมะเร็ง ต้องการรับบริจาคเงิน แพมเพิร์ส (XXL) นม / กรุงไทย xxxxxxx บ้านเลขที่ xx ซ.xx โทร 084xxxxx’

 

‘ร้านหม้อน้ำศรีสะเกษ รับซ่อม-จำหน่ายหม้อน้ำท่อไอเสียปะถังน้ำมันงานเชื่อมเหล็กอะลูมิเนียมทองเหลืองทองแดง โทรเลย 086-xxxxxx’

 

‘พี่เสกเงินเยอะ คนจริง โอนเงินเข้าบัญชีให้แฟนคลับหน่อยพี่ ลำบากมากเลย’

 

‘วิตามินซีเข้มข้น ลดสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ กระชับรูขุมขน ทักได้ค่ะ’

 

คอมเมนต์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าต่างคนต่างมาดูมหกรรมไลฟ์ของเสกด้วยจุดประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป ยังไม่นับรวมการแชร์ออกไป ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นข้อความในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ ตั้งคำถาม หรือบางส่วนก็มองเป็นมีมสร้างความบันเทิงรายวันโดยหยิบยกประเด็นที่เกิดขึ้นในคลิปไปสร้างประเด็นพูดคุยกับกลุ่มเพื่อนๆ ของตัวเองต่อไป

 

 

ดูไลฟ์เสก เหมือนแอบดูคนข้างบ้าน

ในมุมมองของนักนิเทศศาสตร์ที่ติดตามปรากฏการณ์นี้ ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มองว่าแม้คอนเทนต์ในไลฟ์ของเสก โลโซ จะไม่ได้มีเนื้อหาสาระที่จับต้องได้ แต่ก็สามารถดึงดูดยอดวิวได้อย่างมหาศาล ซึ่งอาจเป็นผลมาจากความอยากรู้อยากเห็นที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว

 

โดยเฉพาะเมื่อเสก โลโซ เข้าข่ายเป็นคนดัง แถมยังพูดพาดพิงถึงบุคคลที่สามซึ่งมีชื่อเสียงไม่แพ้กัน จึงทำให้หลายคนอดใจไม่ไหว ต้องเข้าไปส่อง แม้หลายคนจะไม่ได้ติดตามดูยาวๆ แต่ก็พอจะเก็บประเด็นไปวิพากษ์วิจารณ์ต่อในพื้นที่ส่วนตัวของตนเองได้

 

“คือคนดูส่วนใหญ่น่าจะเข้ามาดูเพราะความอยากรู้อยากเห็น เหมือนได้ไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของคนอื่นมากขึ้น จะว่าไปก็เหมือนกับการแอบดูคนข้างบ้าน ที่เขาเปิดให้เห็นวิถีชีวิตต่างๆ ในเชิงจิตวิทยามันอาจจะเป็นการดูเพื่อชดเชยอะไรบางอย่างของตัวเอง คือดูในเชิงเปรียบเทียบว่าเขาเป็นอย่างนั้น เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น หรือเอาประเด็นของเขาไปวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งในทางกลับกันก็อาจจะสุ่มเสี่ยงในเรื่องของ Cyberbullying โดยเฉพาะถ้าเจ้าของไลฟ์เป็นคนที่มีอาการป่วย ซึ่งหลายคนไม่รู้หรอกว่าควรจะรับมือกับคนประเภทนี้อย่างไรให้เกิดความเหมาะสม สุดท้ายมันก็อาจจะมีผลกระทบตามมา

 

“มองอีกมุม การที่เสกไลฟ์แล้ววิพากษ์วิจารณ์บุคคลที่สาม ก็อาจจะสุ่มเสี่ยงในการถูกฟ้องหมิ่นประมาทได้เช่นเดียวกัน ที่ผมเป็นห่วงคือพฤติกรรมลอกเลียนแบบของเยาวชน ซึ่งต่อไปหากเขาไม่พอใจอะไรใคร ก็สามารถมาไลฟ์ด่าให้คนอื่นฟังได้เลย ดังนั้นสังคมควรเข้าใจว่ามันมีเรื่องของกฎหมาย และความเหมาะสมของสังคมกำกับอยู่ด้วย ไม่ใช่ว่าจะสามารถไลฟ์ทุกเรื่องได้ตามใจชอบ”

 

ดร.มานะ ยังมองว่าการที่สื่อมวลชนให้ความสนใจในประเด็นการไลฟ์ของเสก โลโซ ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะมีประเด็นหลายอย่างให้หยิบยกไปพาดหัวข่าว แต่ถึงอย่างนั้นก็เชื่อว่ากระแสนี้คงเกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้เพียงไม่นาน เมื่อมีเรื่องอื่นๆ แทรกเข้ามา สังคมก็คงไปสนใจเรื่องอื่นๆ ต่อ

 

You are what you watch

ด้านนายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ หัวหน้ากลุ่มที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต ให้ความเห็นกับ THE STANDARD ว่าส่วนใหญ่คนที่ติดตามชมไลฟ์ของเสก โลโซ คงไม่ถึงขั้นมีอาการทางจิตแต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องธรรมดาที่เสก โลโซ ในฐานะบุคคลสาธารณะจะเป็นที่สนใจของสังคมอยู่แล้ว เมื่อคนไม่เฉลียวใจว่าเสกอาจจะป่วย ก็ไปติดตามด้วยความอยากรู้อยากเห็นโดยขาดวิจารณญาณ

 

ซึ่งการติดตามเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมลักษณะนี้ อาจทำให้เกิดผลกระทบที่ตามมาคือ

 

หนึ่ง เราจะได้รับสิ่งที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ตามอัลกอริทึมของเฟซบุ๊กที่แนะนำเนื้อหาสอดคล้องกันมาป้อนในหน้าฟีดของเราเรื่อยๆ

 

สอง เป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แต่โซเชียลมีเดียมีระบบการนับยอดวิว ไลก์ แชร์ ซึ่งเป็นเอไอที่ไม่มีวิจารณญาณ ดังนั้นจึงเป็นการให้คะแนนคนที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมโดยที่หลายคนไม่เคยฉุกคิดมาก่อน

 

“ที่จริงก็ไม่ใช่เฉพาะกรณีนี้ กรณีอื่นๆ ก็เหมือนกัน เช่น การใช้วาจาหยาบคาย ด่าทอคนอื่น พอเราไปติดตามเนื้อหาแบบนี้มากๆ เฟซบุ๊กมันก็จะส่งเนื้อหาลักษณะเดียวกันมาให้เราอีกเยอะ ซึ่งก็จะทำให้คุณภาพจิตเราในการรับรู้เรื่องต่างๆ เป็นไปในทางลบมากขึ้นเรื่อยๆ

 

“เราคงเคยได้ยินคำว่า You are what you eat ตอนนี้คงต้องเติมไปด้วยว่า You are what you watch ถ้าเราเสพสื่อแบบไหน คุณภาพจิตเราก็จะเป็นไปอย่างนั้นมากขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าอยากมีสภาวะจิตที่ดีก็ควรจะเสพแต่สิ่งที่ดี”

 

นายแพทย์ยงยุทธ ยังเตือนด้วยว่าหากเสพไลฟ์ลักษณะนี้ไปเรื่อยๆ อาจทำให้เกิดอาการเสพติด คือเสพวันละหลายๆ ชั่วโมง จนเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ และถึงขั้นเสียงานเสียการ เสียหน้าที่ในครอบครัว ซึ่งจะเป็นผลร้ายกับตัวเองในท้ายที่สุด

 

“ถ้าเมื่อไรที่เริ่มเสพวันละหลายๆ ชั่วโมง เริ่มเสียการควบคุมตัวเอง เสียหน้าที่ สามข้อนี้ถ้ารวมกันเรียกว่าการเสพติดสื่อ ปัจจุบันทางองค์การอนามัยโลกถือเป็นความป่วยทางจิตชนิดหนึ่งที่ต้องรักษา แสดงว่าเราทำตัวเราเองให้เข้าไปในพรมแดนของการเจ็บไข้ได้ป่วยโดยไม่รู้ตัว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง”

 

‘ทำไมถึงต้องดู’ คงเป็นคำถามปลายเปิดต่อไป ตราบใดที่มหกรรมไลฟ์มาราธอนของเสก โลโซ ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ก็มีเหตุผลร้อยพันที่จะดึงความสนใจให้ผู้คนอยากคลิกเข้าไปดูสักครั้งสองครั้ง แต่มากกว่านั้นคือ ‘ดูแล้วได้อะไร’ ซึ่งคงไม่มีใครตอบได้นอกจากเหล่าคนดูจะมาช่วยกันตอบ

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

The post เสก โลโซ เฟซบุ๊กไลฟ์ ทำไมคนต้องเข้าไปดู appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/sek-loso-facebook-live/feed/ 0