จากข้อมูลของบริษัทที่ปรึกษา Bain & Company ภายในปี […]
The post นิยามใหม่คำว่า ‘หรูหรา’ ของ Gen Z กำหนดอนาคตตลาดของสะสม appeared first on THE STANDARD.
]]>จากข้อมูลของบริษัทที่ปรึกษา Bain & Company ภายในปี 2035 Gen Z จะกลายเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ในตลาดสินค้าหรูหราถึง 40% ขณะเดียวกันมุมมองของคนรุ่นนี้ต่อคำว่าหรูหราก็แตกต่างจากเดิม โดยเน้นไปที่ค่านิยม สำนึกต่อสังคม และวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกับพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น ตามรายงานของ thredUP 82% ของกลุ่ม Gen Z จะพิจารณามูลค่าการขายต่อของสินค้าหรูหราก่อนที่ซื้อ ซึ่งจะมีผลต่อตลาดของสะสมในอนาคตอย่างแน่นอน
ในอดีตนิยามคำว่าสินค้าหรูหราสร้างขึ้นจากสองปัจจัย นั่นคือความพิเศษเฉพาะตัวและราคาที่สูง อย่างที่แบรนด์แฟชั่นดังๆ ทั้ง GUCCI, Louis Vuitton, Dior และ CHANEL สร้างความต้องการให้มากขึ้นด้วยการผลิตสินค้าที่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเข้าถึงได้ง่ายๆ อย่างไรก็ตาม Gen Z อาจจะไม่ได้มองแค่มุมนั้น เพราะจากการวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้ ระบุว่า 77% คำนึงถึงจิตสำนึกต่อสังคมของแบรนด์ในการตัดสินใจซื้อด้วย เนื่องจาก Gen Z สามารถเข้าถึงยุคแฟชั่นและวัฒนธรรมอื่นๆ ผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้ตั้งแต่ยังเล็กๆ ดังนั้นแค่มียี่ห้อว่าเป็นแบรนด์หรูก็อาจจะไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นสักเท่าไร แต่การเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมย่อย ความยั่งยืน และการอัปไซเคิล รวมไปถึงแฟชั่นหรือเทรนด์โซเชียลมีเดียต่างหากที่น่าสนใจสำหรับพวกเขา ที่สำคัญคือต้องคำนึงถึงประเด็นเรื่องการ ‘ไม่แบ่งแยก’ ในที่นี้หมายถึงการโอบรับความหลากหลายเข้าไว้ด้วย
ตัวอย่างที่สำคัญคือการแจ้งเกิดของแบรนด์อย่าง TELFAR ด้วยสโลแกน “ไม่เหมาะแค่เฉพาะคุณ แต่เหมาะสำหรับทุกคน” ด้วยกระเป๋าช้อปปิ้ง ‘Bushwick Birkin’ ในราคาขายปลีกระหว่าง 150-300 ดอลลาร์ ทำให้ทุกคนสามารถซื้อได้ แต่ก็ผลิตในจำนวนจำกัด จึงมีมูลค่าสูงมากในตลาดขายต่อ รวมทั้งเรื่องราวของแบรนด์ที่เน้นความเป็นตัวจริงและเป็นตัวของตัวเอง
ถึงแม้ว่าแบรนด์จะไม่ได้ใช้วัสดุที่ดีที่สุดหรืองานฝีมือที่ดีที่สุด แต่ด้วยเรื่องราวเหล่านี้ก็อาจจะทำให้กลายเป็นความหรูหราแบบใหม่สำหรับ Gen Z ได้เหมือนกัน ในขณะที่แบรนด์หรูอย่าง CHANEL เคยเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์จากการใช้ระบบโควตาสำหรับซื้อกระเป๋ารุ่นคลาสสิกที่ดันไปคล้ายกับวิธีการของ Hermès ในการเข้าถึงกระเป๋า Birkin และ Kelly ทำให้แอ็กเคานต์กอสซิปแฟชั่นในอินสตาแกรมอย่าง Diet Prada นิยามว่านี่คือการลอกเลียนแบบกลยุทธ์การตลาด เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม แบรนด์หรูหลายๆ แบรนด์ก็เริ่มปรับตัวให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้นผ่านความร่วมมือกับกลุ่มวัฒนธรรมย่อย ทั้งสตรีทสไตล์และวงการกีฬา เช่น Louis Vuitton x Supreme หรือความร่วมมือระหว่าง Dior กับ Air Jordan จนเกิดเป็นรองเท้า Air Dior ที่มีเพียง 8,000 คู่เท่านั้น สิ่งเหล่านี้ช่วยสร้างความเชื่อมโยงกับลูกค้าอายุน้อยและเข้าไปอยู่ในตู้เสื้อผ้าของพวกเขาแบบเนียนๆ
คนรุ่นใหม่มักเลือกของที่เหมาะกับแต่ละบุคคลมากกว่าตามเทรนด์ และเลือกซื้อจากอิทธิพลของกลุ่มเพื่อนหรือวัฒนธรรมกลุ่มย่อยที่ตัวเองสังกัดอยู่ ดังนั้นเสื้อผ้าแบบ Fast Fashion อาจไม่ใช่คำตอบ แต่ของมือสองที่มีเรื่องราวของวัฒนธรรมป๊อป หรือมาจากยุคแฟชั่นอื่นที่ได้เรียนรู้ผ่านโซเชียลมีเดียกลับเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากกว่า โดยแนวโน้มของ Gen Z ที่มีต่อการช้อปปิ้งของมือสองสะท้อนให้เห็นจากความนิยมของเว็บไซต์ขายต่อ เช่น Depop ที่มุ่งเน้นไปที่สินค้าวินเทจและสินค้าทำมือ โดย 90% ของผู้ที่ใช้งานมีอายุต่ำกว่า 25 ปี
นอกจากนี้คน Gen Z ยังเข้าใจเรื่องการลงทุนด้วยข้อมูลที่มีมากมายในโลกออนไลน์ ทำให้พวกเขาสนใจสิ่งของที่มีแหล่งที่มาและมุ่งเน้นไปสะสมของที่เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างเช่น iPod รุ่นแรกที่ตอนนี้ขายได้ในราคา 29,000 ดอลลาร์ ขณะที่รองเท้า Birkenstocks ของ Steve Jobs ขายได้ 218,000 ดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนถึงการมองเห็นคุณค่าของสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
อีกส่วนที่สำคัญสำหรับ Gen Z นั่นคือความเรียล ดังที่เราจะเห็นได้จากความนิยมที่ลดลงของอินสตาแกรมในหมู่คนรุ่นใหม่ จากการประดิดประดอยสร้างภาพลักษณ์สวยหรูที่ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ของกลุ่มมิลเลนเนียล แต่คนรุ่นใหม่กลับมองหา ‘ตัวตนที่แท้จริง’ มากกว่า นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม TikTok จึงกลายเป็นที่นิยม เพราะมันมีความเป็นกันเองมากกว่านั่นเอง
นอกจากนี้ยังรวมไปถึงภาพลักษณ์ของอินฟลูเอ็นเซอร์ที่มีอิทธิพลด้วย อย่างเช่น เจค พอล ยูทูเบอร์ที่ผันตัวเองมาเป็นนักมวยและสร้างเรื่องอื้อฉาวจนกลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์มากมาย แต่กลับได้รับความนิยม โดยการชกครั้งล่าสุดของเขาทำลายสถิติยอดขายการเข้าชมการชกมวยชั้นนำด้วยยอดซื้อต่อการชมมากถึง 800,000 ครั้ง ในขณะเดียวกัน การท้าต่อยกันไปมาของมหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีอย่าง อีลอน มัสก์ กับ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ก็สร้างกระแสฮือฮาในโลกโซเชียล เนื่องจากผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการความบันเทิงที่เรียลโดยไม่มีการกรองอย่างชัดเจน
ทั้งหมดนี้คงพอสรุปได้ว่าอนาคตของตลาดสินค้าหรูหราและของสะสมต้องมีทั้งความจริงใจ ตัวตน และการเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมกลุ่มย่อยควบคู่ไปกับปัจจัยเดิม จึงจะดึงดูดใจผู้บริโภครายใหญ่ในอนาคต ซึ่งการพึ่งพาความเก่าแก่และชื่อเสียงในอดีตเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพออีกต่อไป และต่อให้แบรนด์ใดๆ ก็ตามที่ไม่สามารถส่งมอบสิ่งเหล่านี้ได้ ไม่ว่าจะมีชื่อเสียงมากแค่ไหนก็อาจไม่ดึงดูดคน Gen Z เลย
อ้างอิง:
The post นิยามใหม่คำว่า ‘หรูหรา’ ของ Gen Z กำหนดอนาคตตลาดของสะสม appeared first on THE STANDARD.
]]>กระเป๋า Birkin ของ Hermès ยังคงครองตำแหน่งกระเป๋าลักชัว […]
The post Hermès Birkin ยังคงครองตำแหน่งกระเป๋าแบรนด์ลักชัวรีที่ถูกค้นหามากที่สุดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา appeared first on THE STANDARD.
]]>กระเป๋า Birkin ของ Hermès ยังคงครองตำแหน่งกระเป๋าลักชัวรีที่ผู้คนปรารถนาอยากเป็นเจ้าของมากที่สุด โดย Slingo รวบรวมสถิติการค้นหาในแพลตฟอร์ม Google และ Instagram ซึ่งกระเป๋ารุ่นนี้ถูกค้นหาสูงสุดด้วยยอดการค้นหาเฉลี่ยเดือนละ 159,208 ครั้ง ในช่วงระหว่างปี 2020-2023
เป็นที่รู้กันดีว่าราคากระเป๋า Birkin นั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ความต้องการของผู้คนที่จะได้ครอบครองกระเป๋ารุ่นนี้ไม่ได้ลดน้อยลงเลย กลับมีแต่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้ยอดเสิร์ชกระเป๋า Birkin เฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ 159,208 ครั้ง นับว่าสูงขึ้นจากปี 2020 ทั้งหมด 19% ด้วยการค้นหาเฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ 149,000 ครั้ง ซึ่งเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ยอดเสิร์ชกระเป๋า Birkin พุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมากในเดือนนี้ ก็เป็นเพราะการเสียชีวิตของ Jane Birkin นักร้อง นักแสดง และแฟชั่นไอคอนชาวอังกฤษ ผู้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างกระเป๋ารุ่น Birkin นั่นเอง
สำหรับราคากระเป๋า Birkin ในปัจจุบันอยู่ที่ตัวเลข 5 หลักไปจนถึง 6 หลัก (ดอลลาร์) โดยใบที่ราคาจับต้องได้มากที่สุดอย่างต่ำอยู่ที่ 10,000 ดอลลาร์ หรือราว 345,000 บาท ในขณะที่ใบที่ดีไซน์พิเศษกว่าใบอื่นอย่างรุ่น Himalayan Birkin 30 ซึ่งทำขึ้นจากหนังจระเข้และเพชรสุดอลังการ ได้ถูกซื้อไปในราคาสูงถึง 450,000 ดอลลาร์ หรือราว 15.5 ล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว
นอกจาก Birkin แล้ว กระเป๋าที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ก็คือรุ่น Neverfull ของ Louis Vuitton ที่มียอดเสิร์ชเฉลี่ยอยู่ที่ 126,629 ครั้งต่อเดือน ตามมาด้วยกระเป๋า Marmont ของ Gucci ด้วยยอดการค้นหาเฉลี่ยอยู่ที่ 82,375 ครั้งต่อเดือน
ภาพ: Jeremy Moeller / Getty Images
อ้างอิง:
The post Hermès Birkin ยังคงครองตำแหน่งกระเป๋าแบรนด์ลักชัวรีที่ถูกค้นหามากที่สุดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา appeared first on THE STANDARD.
]]>หากใครที่ติดตามชีวิตของแรปเปอร์สาว Cardi B อยู่เป็นประจ […]
The post Cardi B ออกมาต่อว่าชาวเน็ตที่กล่าวหาว่าแรปเปอร์หญิงผิวสีทำให้มูลค่ากระเป๋า Birkin ของ Hermés ลดลง appeared first on THE STANDARD.
]]>หากใครที่ติดตามชีวิตของแรปเปอร์สาว Cardi B อยู่เป็นประจำตามโซเชียลมีเดีย น่าจะรู้ดีว่าเธอเป็นหนึ่งในนักสะสมตัวยงของกระเป๋ารุ่น Birkinแบรนด์ Hermés ซึ่งเธอคลั่งไคล้ถึงขั้นลงทุนซื้อให้ลูกสาวของเธอด้วยไม่กี่เดือนก่อน เพื่อเป็นของขวัญฉลองวันเกิดครบสองขวบ แต่ล่าสุด Cardi B ได้ออกมาต่อว่าชาวเน็ตกลุ่มหนึ่งผ่าน Instagram Live ที่มาคอมเมนต์ว่าเธอและกลุ่มแรปเปอร์หญิงผิวสีทำให้มูลค่าของกระเป๋าสุดไอคอนิกรุ่นนี้ลดลง
“ฉันเห็นทวีตหนึ่งในวันนี้ที่เขียนเกี่ยวกับฉันและแรปเปอร์หญิงคนอื่น ซึ่งข้อความดูถูกและสงสัยว่าพวกเราสามารถซื้อกระเป๋า Birkin ที่ร้าน Hermés ได้ด้วยเหรอ แล้วก็กล่าวหาว่าเราทำให้มูลค่าของกระเป๋ารุ่นนี้ตกลง ฉันคิดว่าสิ่งนี้น่าสนใจมาก เพราะแน่นอนฉันสามารถซื้อกระเป๋าที่ร้านได้ ซึ่งที่จริงวันนี้ฉันเพิ่งซื้อไป 4 ใบ” Cardi B ได้กล่าวช่วงต้น และได้พูดต่อว่า “พวกคุณไม่เห็นจะตั้งคำถามแบบนี้กับคนดังผิวขาวบ้างเลย”
โดยต่อมาทางแรปเปอร์ชื่อดังวัย 28 ปีก็ได้พูดว่า ที่จริงแล้วการที่ศิลปินฮิปฮอปพูดถึงแบรนด์ลักชัวรีในเพลง ก็ช่วยเรื่องยอดขายและ Brand Awareness อยู่เสมอ โดยตอนที่เธอกล่าวถึงรองเท้าพื้นแดงของแบรนด์ Christian Louboutin ในเพลงแจ้งเกิดของเธอ Bodak Yellow ยอดขายก็เพิ่มขึ้นเป็นพันเปอร์เซ็นต์ ส่วนยอดขายรองเท้า Balenciaga ก็เพิ่มขึ้นเช่นกันหลังเธอแรปในเพลง I Like It ซึ่งต่อมาทางแบรนด์เลือกให้ Cardi B มาเป็นพรีเซนเตอร์ในแคมเปญ Fall/Winter 2020 ล่าสุด
“และอีกอย่าง ทำไมตอนผู้หญิงผิวสีหรือผู้หญิงลาตินถือกระเป๋า หลายคนต้องคิดว่า ‘ของปลอมแน่นอน’ หรือ ‘เธอหลอกลวงแน่นอน’ หรือ ‘เธอต้องยอมนอนกับผู้ชายแน่เลยเพื่อจะได้กระเป๋า’…ในสังคมผู้หญิงเหล่านี้ก็มีงานมีการทำ และสามารถหาเงินพอที่จะซื้อกระเป๋าให้ตัวเองได้” Cardi B พูดปิดท้ายได้อย่างมั่นใจ
ภาพ: Cardi B
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง:
The post Cardi B ออกมาต่อว่าชาวเน็ตที่กล่าวหาว่าแรปเปอร์หญิงผิวสีทำให้มูลค่ากระเป๋า Birkin ของ Hermés ลดลง appeared first on THE STANDARD.
]]>หากเอ่ยชื่อ ‘วิกตอเรีย เบกแฮ […]
The post พลังและความมุ่งมั่นของผู้หญิงชื่อวิกตอเรีย เบ็คแฮม appeared first on THE STANDARD.
]]>
หากเอ่ยชื่อ ‘วิกตอเรีย เบกแฮม’ ความคิดในหัวคุณคืออะไร?
อดีตนักร้องสาววง Spice Girls ที่ใส่แต่ชุดเกาะอกสีดำของ Gucci, ซองลูกอม Chupa Chups ในยุค 90s ที่มีรูปของเธอ, ภรรยาของเดวิด เบกแฮม และคุณแม่ลูกสี่ ที่แต่ละคนสวยหล่อจนเราอยากเป็นลูกสะใภ้ หรือแฟชั่นดีไซเนอร์แถวหน้าที่ลบคำสบประมาทได้สำเร็จว่าไม่ใช่เป็นแค่ดาราเซเลบที่มาทำไลน์เสื้อผ้า!
นี่เป็นเพียงบางส่วนจากความคิดของผู้คนที่มักจดจำเธอในแบบนั้น แต่การที่ทุกวันนี้วิกตอเรีย เบ็คแฮม กลายมาเป็นขวัญใจและเป็นตัวอย่างที่สำคัญให้ใครหลายคน เธอได้ผ่านบทเรียนมาเยอะ ลองผิดลองถูก และฝ่าฟันกระแสต่างๆ มาได้ด้วยตัวเธอเองล้วนๆ
เริ่มต้นเส้นทางชีวิต
วิกตอเรีย แคโรไลน์ อดัมส์ (Victoria Caroline Adams) เกิดเมื่อวันที่ 17 เมษายน ปี 1974 ที่เมืองฮาร์โลว์ ในเขตปกครองเอสเซกซ์ ประเทศอังกฤษ วิกตอเรียเป็นลูกคนโตสุดในบรรดาลูกสามคนที่เติบโตมาด้วยกันในหมู่บ้านกอฟส์โอ๊ก เขตปกครองฮาร์ตฟอร์ดเชอร์ ซึ่งคุณแม่แจ็กเกอลิน ดอรีน อดัมส์ เป็นช่างเสริมสวย ส่วนคุณพ่อแอนโทนี วิลเลียมส์ อดัมส์ ทำธุรกิจด้านอิเล็กทรอนิกส์จนสร้างเนื้อสร้างตัวให้ครอบครัวมีชีวิตที่สบาย และส่งวิกตอเรียเรียนที่ St. Mary’s Church of England High School ด้วยรถยนต์โรลส์-รอยซ์ที่ทำให้เธออายเพื่อนๆ อยู่เสมอ
การได้ชมหนังเพลงสุดคลาสสิกเรื่อง Fame ของผู้กำกับอลัน ปาร์กเกอร์ ในปี 1980 ที่เล่าถึงชีวิตของเหล่าเด็กนักเรียนนาฏศิลป์ในโรงเรียนแห่งหนึ่งในมหานครนิวยอร์ก กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้วิกตอเรียหลงรักด้านศิลปะและอยากทำงานในวงการบันเทิง
ปี 1994 เธอเห็นโฆษณาในหนังสือพิมพ์บันเทิงชื่อ The Stage ประกาศหาสมาชิกสำหรับวงเกิร์ลกรุ๊ปเพื่อมาเป็นเวอร์ชันผู้หญิงของ Take That ที่ดังสุดๆ ในช่วงนั้น พอวิกตอเรียไปออดิชันพร้อมกับผู้หญิงอีก 400 คน เธอเลือกร้องเพลง Mein Herr ของละครเพลงสุดอมตะ Cabaret ในขณะที่คนอื่นจะเลือกร้องเพลงของมาดอนน่าเป็นหลัก สุดท้ายเธอได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในสมาชิกของวงที่เริ่มด้วยชื่อ Touch แต่ต่อมาเปลี่ยนเป็นชื่อ Spice Girls
ยินดีต้อนรับสู่ Spice Girls
Spice Girls ประกอบไปด้วย 5 สาว เมลานี บราวน์, เมลานี คิสชอล์ม, เอ็มม่า บันทัน, เจรี ฮัลลิเวลล์ และวิกตอเรีย อดัมส์
เปิดตัวครั้งแรกในปี 1996 กับเพลง Wannabe และเกิดปรากฏการณ์ทางดนตรีอย่างรวดเร็วด้วยยอดขายมากกว่า 75 ล้านแผ่น พร้อมเพลงฮิตทั้ง Stop!, Viva Forever และ Say You’ll Be There ที่วิกตอเรียมาพร้อมชุดแคทสูทหนังสีดำ และทำให้สามีในอนาคตของเธอตกหลุมรัก
วิกตอเรียถูกวางภาพลักษณ์ตามชื่อเล่นว่า Posh Spice หลังนิตยสาร Top of the Pops ตั้งให้เธอเพราะลุคเรียบหรู นิ่งๆ และมักมาในชุดดีไซเนอร์แบรนด์เนม ชื่อ Posh Spice ยังคงติดตัววิกตอเรียจนถึงทุกวันนี้ และเธอมักชอบพูดตลกในหลายบทสัมภาษณ์ เช่น ในรายการ Today Show เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เธอยังบอกว่า คงจะไม่รียูเนียนกับวง Spice Girls “แต่ฉันก็จะเป็น Posh Spice ตลอดไป!”
เมื่อวิคตอเรีย ‘หลงทาง’
หลังจากออกอัลบั้มได้ 3 ชุด Spice (1996), Spice World (1997) และ Forever (2000) Spice Girls ก็ได้ตัดสินใจแยกวง สำหรับวิกตอเรีย เธอดูเหมือนตกอยู่ในภวังค์ที่หลงทาง ไม่รู้จะก้าวไปทางไหน (ถึงแม้เธอจะเป็นสมาชิกที่มีชื่อเสียงที่สุดในตอนนั้น) วิกตอเรียกลายเป็นเหมือนของเล่นพลาสติกที่วงการสื่อเอาไปเล่น และเธอเองก็ดูเหมือนจะตามน้ำไปด้วย ทั้งเรื่องภาพลักษณ์ที่ดูฟุ่มเฟือย อัลบั้มเดี่ยวที่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าสมาชิกคนอื่น หุ่นที่ดูผอมแห้งจนกลายเป็นประเด็นเรื่องโรคอะนอเร็กเซีย การไปฟอร์มกลุ่มสมาคมภรรยานักฟุตบอลที่สื่อเรียกว่า WAGs หรือการมีเรียลลิตี้โชว์ในอเมริกาชื่อ Victoria Beckham: Coming to America ที่ติดตามชีวิตการย้ายมาอยู่ลอสแอนเจลิสกับครอบครัว ถึงแม้สิ่งเหล่านี้จะทำให้ชื่อของวิกตอเรียยังอยู่ในกระแส แต่ในเชิงภาพลักษณ์และแบรนด์ดิ้งก็ไม่เพิ่มมูลค่าให้เธอมากนัก
เธอเลือกวงการแฟชั่น
ตั้งแต่วิกตอเรียอยู่ Spice Girls เธอก็เชื่อมโยงกับวงการแฟชั่นมาโดยตลอด เริ่มจากการไปดูแฟชั่นโชว์ครั้งแรกในชีวิตกับแบรนด์ Versace, ไปเดินแบบในโชว์ Roberto Cavalli, เป็นมิวส์ให้แบรนด์ Dolce & Gabbana และยังเคยเป็นพรีเซนเตอร์ให้ Rocawear เสื้อผ้าสไตล์ฮิปฮอป, Samantha Thavasa แบรนด์กระเป๋าจากญี่ปุ่น, ชุดชั้นใน Emporio Armani กับสามีเดวิด เบ็คแฮม และที่น่าจดจำของคนแฟชั่นคือแคมเปญ Marc Jacobs ที่เธออยู่ในถุงช้อปปิ้งของแบรนด์
ในส่วนของการเป็นดีไซเนอร์ วิกตอเรียก็เริ่มจากการร่วมมือกับแบรนด์อื่นที่เอาชื่อเธอไปใส่ในหลายหมวดสินค้า ตั้งแต่ไลน์เดนิม VB Rocks ในปี 2003 ที่ทำกับแบรนด์ Rock & Republic, ไลน์แว่นตา, น้ำหอม และต่อมาเธอก็ได้สร้างแบรนด์เดนิมเป็นของตัวเองภายใต้ชื่อ dVb Style โปรเจกต์พวกนี้ถือว่าไม่ได้ล้มเหลว แล้วก็ได้การตอบรับพอใช้จากฐานผู้ซื้อที่เป็นแฟนคลับวิกตอเรีย แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือวิกตอเรียตกอยู่ในวงเวียนของไลน์เสื้อผ้าดาราที่ 2-3 ซีซันก็ต้องปิดตัวไป
แต่สิ่งหนึ่งที่น่ายกย่องเกี่ยวกับวิกตอเรียคือความมุ่งมั่นและไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเอง ในปี 2008 เธอตัดสินใจลองใหม่และเปิดอีกหนึ่งแบรนด์ภายใต้ชื่อ Victoria Beckham ซึ่งเป็นการร่วมมือของเธอกับไซมอน ฟูลเลอร์ (Simon Fuller) อดีตผู้จัดการของวง Spice Girls ที่สนิทสนมกันดี แต่ในครั้งนี้เธอเปลี่ยนกลยุทธ์และเริ่มจากศูนย์ด้วยทีมงานแค่ 3 คน
ในคอลเล็กชันแรก Spring/Summer 2009 วิกตอเรียจัดพรีเซนเทชันในห้องสวีตที่โรงแรม Waldorf Astoria ให้กับสื่อมวลชนกลุ่มเล็กๆ ซึ่งวิกตอเรียเป็นคนบรรยายเองทุกรอบ กระแสตอบรับถือว่าดีเกินคาด หลายห้างดัง เช่น Neiman Marcus สั่งออร์เดอร์ทันที และเหล่าดาราฮอลลีวูดก็เอาชุดของเธอไปใส่กันเป็นว่าเล่น เพราะดีไซน์ที่เรียบหรูและเก็บหุ่นได้ดี (สำคัญมากสำหรับสุภาพสตรีที่อยู่ในแสงแฟลชตลอดเวลา)
ทุกวันนี้แบรนด์ Victoria Beckham เติบโตขึ้นเรื่อยๆ การันตีด้วยรางวัล Designer Brand of the Year จากงานประกาศรางวัล British Fashion Awards ในปี 2011 และ 2014 มีร้านเป็นของตัวเองที่ถนนโดเวอร์ ในลอนดอน และห้าง Landmark ที่เกาะฮ่องกง และยังมีโชว์รันเวย์ที่นิวยอร์กแฟชั่นวีกเป็นประจำทุกซีซัน ส่วนแบรนด์ก็ได้ขยายกับไลน์ที่สองชื่อ Victoria, Victoria Beckham และยังมีคอลเล็กชันพิเศษกับห้าง Target และคอลเล็กชันเครื่องสำอางกับ Estée Lauder อีกด้วย
แอนนา วินทัวร์ บรรณาธิการบริหารของนิตยสาร Vogue อเมริกา และผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของวงการแฟชั่นกล่าวว่า “เธอได้รับความนิยมในการเป็นนักร้องเพลงป๊อปสุดๆ บวกกับการเป็นภรรยาของสามีนักกีฬาสุดฮอต แต่การที่เธอมีความกล้าหาญและมุ่งมั่นที่จะเริ่มต้นอาชีพที่สองในอุตสาหกรรมที่ไม่ได้เปิดใจกว้างเสมอไป ทำให้ฉันเห็นถึงความพยายามของเธอ วิกตอเรียเป็นคนทำงานหนัก มีส่วนร่วมในทุกกระบวนการของผลงาน และผลลัพธ์ที่เราเห็นถือว่าสุดยอดมาก”
ไม่ใช่แค่ภายนอกของแบรนด์ Victoria Beckham อย่างเดียวที่ประสบความสำเร็จ แต่ภายในองค์กรและโครงสร้างของบริษัทก็ถือว่าน่าชื่นชม ทุกวันนี้สำนักงานใหญ่ของแบรนด์ตั้งอยู่ย่านแบตเทอร์ซี ในลอนดอน ประกอบไปด้วยพนักงานประมาณ 150 คน ซึ่ง 79% ของพนักงานทั้งหมดเป็นผู้หญิง และ 80% ของตำแหน่งระดับผู้จัดการก็เป็นผู้หญิงทั้งหมด สิ่งนี้ทำให้เห็นว่าวิกตอเรียไม่ได้แค่ดีไซน์เสื้อผ้าให้ผู้หญิง แต่เปิดโอกาสให้ผู้หญิง ยกย่องผู้หญิง และพยายามเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมแฟชั่นที่ผลักดันบทบาทของผู้หญิงให้ดีขึ้น
บทบาทสำคัญที่สุดของวิกตอเรีย
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา วิกตอเรียเพิ่งได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันวิเศษยิ่งแห่งจักรวรรดิอังกฤษจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 สำหรับผลงานของเธอ พูดได้ว่าเป็นหนึ่งในเกียรติที่สูงสุดสำหรับชาวอังกฤษ แต่บทบาทการเป็นแม่และภรรยาของวิกตอเรียอาจเป็นสิ่งที่น่ายกย่องที่สุด
วิกตอเรียมีลูกทั้งหมด 4 คน บรูกลิน, โรมีโอ, ครูซ และฮาร์เปอร์ กับสามี เดวิด เบ็คแฮม ที่แต่งงานกันเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ปี 1999 ณ ปราสาท Luttrellstown ในดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ คู่นี้มาพร้อมกับชื่อเล่น ‘Posh and Becks’ ซึ่งเป็นที่จับตามองของสื่อมาโดยตลอดตั้งแต่ออกเดตด้วยกันครั้งแรก แต่ไม่ว่าชื่อเสียงจะทวีคูณขนาดไหน หรือแบรนด์ Victoria Beckham จะขยายตัว จุดศูนย์กลางของชีวิตเธอก็ยังคงเป็นลูกๆ ทั้งสี่คน
“เราเช็กเกรดของลูกๆ อยู่ตลอดเวลา และไปประชุมผู้ปกครองเป็นประจำ แต่สิ่งสำคัญสุดที่เรามักสอบถามคือเด็กประพฤติตัวดีไหม เพราะมันไม่ได้เกี่ยวกับผลการเรียนเสมอไป” วิกตอเรียเคยกล่าว
เราได้เห็นความรักของครอบครัวนี้อยู่ตลอดเวลาผ่านโซเชียลมีเดีย ที่สมาชิกแต่ละคนจะอวยพรวันเกิดของกันและกันเป็นประจำ ส่วนน้องคนเล็กอย่างฮาร์เปอร์ก็จะทำการ์ดเองเสมอ สิ่งนี้ทำให้เห็นถึงการปลูกฝังที่ดีของครอบครัวที่ถึงจะรวยล้นฟ้าขนาดไหนก็ซื้อไม่ได้ และเราชื่อว่าวิกตอเรียก็เป็นหน่วยสำคัญที่ประคองชีวิตครอบครัวมาโดยตลอด
อีกหนึ่งตัวอย่างคือลูกชายคนโตอย่างบรูกลิน ที่ถึงแม้จะอายุ 18 ปีแล้ว แต่เขาก็ยังใช้ชีวิตอยู่กับวิกตอเรียเป็นประจำ หาเวลาไปฝึกงานที่ร้านกาแฟตอนอายุ 15 เพื่อหาเงินเอง ไม่ได้กลายเป็นวัยรุ่นลูกคนดังที่เสเพลและหมกมุ่นกับสิ่งที่ทำให้ลืมหน่วยสำคัญที่สุดของชีวิต นั่นก็คือครอบครัว
ทำไมต้องวิกตอเรีย เบ็คแฮม?
มาถึงทุกวันนี้ ความสำเร็จของวิกตอเรียคือบทเรียนสำคัญที่เราทุกคนต่างนำไปปรับใช้ได้ในชีวิต มันคงง่ายมากสำหรับเธอถ้าตัดสินใจเป็นภรรยาอยู่บ้านสวยๆ มีพี่เลี้ยงเต็มบ้าน วันๆ เอาแต่ไปช้อปปิ้งหากระเป๋า Birkin พร้อมรถซูเปอร์คาร์ และจิบแชมเปญกับเพื่อนสาวขณะถ่าย Snapchat ไปด้วย แต่วิกตอเรียเลือกที่จะทำให้เห็นคุณค่าผู้หญิงที่มีมากกว่านั้น และถึงแม้เงินในบัญชีของเธอจะมากกว่าที่เราเองคงหากันได้ แต่เธอก็ยังคงตื่นหกโมงเช้ามาออกกำลังกายเป็นอย่างแรก ส่งลูกไปโรงเรียน ไปทำงานบนเส้นทางที่เธอรัก และทำให้เห็นว่าเธอคือตัวจริง
โลกได้รู้จักวิกตอเรียตอนเธอตะโกน ‘Girl Power!’ กับ Spice Girls และวันนี้เธอก็ยังเป็นผู้หญิงที่เต็มไปด้วยพลัง
Photo: Victoria Beckham, David Beckham, Brooklyn Beckham/Facebook
อ้างอิง:
The post พลังและความมุ่งมั่นของผู้หญิงชื่อวิกตอเรีย เบ็คแฮม appeared first on THE STANDARD.
]]>หลายคนรู้จักสุดยอดแบรนด์หรูระดับโลก […]
The post เยี่ยมชมคอลเล็กชัน Menswear SS18 ภายในออฟฟิศ Hermès ใจกลางกรุงปารีส appeared first on THE STANDARD.
]]>หลายคนรู้จักสุดยอดแบรนด์หรูระดับโลก Hermès จากกระเป๋า Birkin และ Kelly ซึ่งครั้งนี้ THE STANDARD ได้รับคำเชิญให้ร่วมเข้าชมคอลเล็กชันเสื้อผ้าบุรุษ Spring/Summer 2018 อย่างใกล้ชิดที่สำนักงาน Hermès ในกรุงปารีส ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา
THE STANDARD เดินทางไป re-see ที่จัดขึ้นสำหรับสื่อและนักข่าวแฟชั่น โดยเปิดให้เข้าชมเสื้อผ้าอย่างเป็นกันเอง ได้ลองจับเนื้อสัมผัส และสังเกตรายละเอียดเล็กๆ ที่ไม่สามารถเห็นได้บนรันเวย์ โดยโชว์รูมของ Hermès ตั้งอยู่ไม่ไกลจากช็อปใหญ่บนถนนแซงต์ ออนอเร (Saint Honoré) เมื่อขึ้นไปชั้นบนยังมีส่วนจัดแสดงคอลเล็กชันต่างๆ ของแบรนด์อีกด้วย
โถงแรกเป็นโซนเครื่องหนังสตรี มีกระเป๋าทรงต่างๆ รวมไปถึงจักรยานสองคัน อีกห้องยังมีบริเวณจัดแสดงหมวก อีกหนึ่งสินค้าสำคัญของแบรนด์ รวมไปถึงเครื่องหนังสำหรับม้า เอกลักษณ์ของแบรนด์ Hermès ที่เราต่างรู้กันดี
ภายในโซนจัดแสดงคอลเล็กชัน Menswear SS18 นั้น ห้องแรกเป็นส่วนจัดแสดงเครื่องประดับและแอ็กเซสซอรีอย่างกระเป๋าหนังและกระเป๋าผ้าตกแต่งหนังสีแดง H สีหลักของฤดูกาลนี้ ส่วนรองเท้า มองผิวเผินดูเรียบง่าย แต่แอบซ่อนลาย H ให้รู้ว่านี่ไม่ใช่รองเท้าแตะหรือรองเท้าผ้าใบทั่วๆ ไป
ห้องถัดไปมีราวแขวนเสื้อผ้าพร้อมให้เหล่าบรรณาธิการแฟชั่นจากสื่อทั่วโลกเพ่งรายละเอียดได้อย่างถึงเนื้อถึงตัว การเก็บงานสุดเนี้ยบดีงามเสียจนเราเห็นบางคนหยิบไปทดลองใส่ก็มี
สำหรับฤดูกาลนี้ เสื้อผ้าของ Hermès ยังคงความเรียบหรู สมดุลระหว่างความเป็นทางการและไม่เป็นทางการได้อย่างดี เวโรนีก นิชานิยอง (Véronique Nichanian) ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์เสื้อผ้าบุรุษ ส่งคอลเล็กชันที่เต็มไปด้วยสีสันโทนอุ่น เน้นโครงชุดพอดีตัว ไม่รัดเกินไป ไม่หลวมเกินไป นอกจากนั้นยังหยิบเอาความสปอร์ตมาเล่น ไม่ว่าจะเป็นนำเอาตะเข็บบนลูกเบสบอลมาใช้บนกระเป๋าหนัง หรือเนื้อผ้า Toilbright ที่มีลักษณะคล้ายผ้าไนลอน ในขณะที่เทรนด์ SS18 ของหลายแบรนด์ ต่างเลือกหยิบแรงบันดาลใจจากการแต่งตัวของชีวิตคนธรรมดาที่ไม่ได้คลั่งไคล้แฟชั่นหรือเทรนด์ต่างๆ มาใช้
คอลเล็กชันนี้เล่าเรื่องผ่านตู้เสื้อผ้าของชายหนุ่มที่ไม่ได้บ้าเทรนด์ แต่รู้จักศิลปะในการแต่งตัว สง่า เรียบ แต่ก็ไม่ลืมที่จะมีอารมณ์ขันเหมือนสีเขียวสดและสีเหลืองที่แซมอยู่บนเสื้อผ้า ส่วนชิ้นโปรดสุดสะดุดตาเห็นจะเป็นแจ็กเก็ตทรงตรงหนังจระเข้สีแดง H ที่ฟอกจนนิ่ม ขนาดคำบรรยายของแบรนด์เองยังบอกว่าเป็น ‘ผ้าชีฟองจระเข้’ ส่วนแจ็กเก็ตและกางเกงเอวยางยืดผ้า Toilbright มีความบางเบาเหมือนไนลอน แต่กลับดูหรูและเล่นกับแสงเป็นอย่างดี
ก็อย่างที่บอกว่าหนุ่ม Hermès เป็นคนที่มีรสนิยม ขนาดชุดกีฬายังเป๊ะและดูดีเป็นที่สุด
The post เยี่ยมชมคอลเล็กชัน Menswear SS18 ภายในออฟฟิศ Hermès ใจกลางกรุงปารีส appeared first on THE STANDARD.
]]>