BCAP – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 13 Dec 2022 05:58:42 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ‘BCAP’ แนะซื้อ 2 ซีรีส์กองทุน ‘SSF-RMF’ กระจายเสี่ยงช่วงตลาดผันผวนสูง-รับสิทธิลดหย่อนภาษีปี 65 https://thestandard.co/bcap-recommends-buying-2-fund/ Tue, 13 Dec 2022 05:36:27 +0000 https://thestandard.co/?p=723027

บลจ.บีแคป ประเมินการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ต่อเนื่อ […]

The post ‘BCAP’ แนะซื้อ 2 ซีรีส์กองทุน ‘SSF-RMF’ กระจายเสี่ยงช่วงตลาดผันผวนสูง-รับสิทธิลดหย่อนภาษีปี 65 appeared first on THE STANDARD.

]]>

บลจ.บีแคป ประเมินการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ต่อเนื่องปีหน้า ยังมีความผันผวนสูง แม้เงินเฟ้อจะผ่านจุดสูงสุด เหตุธนาคารกลางยังคงนโยบายการเงินตึงตัว กดดันเศรษฐกิจ และกำไรบริษัทจดทะเบียน ส่งผลต่อภาวะตลาด แนะลงทุนแบบการกระจายความเสี่ยงในหลากหลายสินทรัพย์ พร้อมชูลงทุน 2 ซีรีส์กองทุน ‘SSF-RMF’ เพิ่มโอกาสผลตอบแทน และยังได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีปี 2565 

 

เมธ์วดี ประเสริฐสินธนา กรรมการผู้จัดการ บลจ.บางกอกแคปปิตอล จำกัด หรือ BCAP เปิดเผยว่า เดือนธันวาคม นับเป็นช่วงเทศกาลวางแผนภาษี โดยเฉพาะช่วงนี้ตลาดหุ้นและสินทรัพย์หลายประเภทมีความผันผวน และปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมาก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากผลของเงินเฟ้อ และการขึ้นดอกเบี้ยที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุน กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) คุณภาพดีที่มีผลการดำเนินงานดีสม่ำเสมอ เพื่อนำไปลดหย่อนภาษีปี 2565 ซึ่งเหลือเวลาลงทุนอีกไม่ถึงเดือน


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


ทั้งนี้ บลจ.บีแคป แนะนำ ซีรีส์กองทุนเปิด บีแคป โกลบอล เวลท์ เพื่อการออม (BCAP-GW SSF) ทั้ง 5 กอง และซีรีส์กองทุนเปิดบีแคป โกลบอล ทาร์เก็ต เดท เพื่อการเลี้ยงชีพ (BCAP Global Target Date RMF) ซึ่งทั้ง 2 ซีรีส์กองทุนนี้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์นักลงทุนในด้านการลงทุน และการวางแผนรับสิทธิประโยชน์ทางด้านการลดหย่อนภาษี

 

โดยกองทุนเปิดบีแคป โกลบอล ทาร์เก็ต เดท เพื่อการเลี้ยงชีพ (BCAP Global Target Date RMF) ออกแบบมาให้เหมาะสมกับแผนการเกษียณของแต่ละช่วงวัย และได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร ลงทุนขั้นต่ำเพียง 500 บาท ผ่านสาขาธนาคารกรุงเทพ และบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง

 

ส่วนกองทุนบีแคป โกลบอล เวลท์ เพื่อการออม (BCAP-GW SSF) เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ และลงทุนผ่านกองทุนรวมและ ETF ทั่วโลก ทำให้มีความคล่องตัวในการบริหารกองทุนสูง

 

กองทุนบีแคป โกลบอล เวลท์ เพื่อการออม (BCAP-GW SSF) มีนโยบายการลงทุนครอบคลุมทรัพย์สินทั่วโลก กระจายการลงทุนในหลากหลายทรัพย์สินทั้งในและต่างประเทศ ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ ทรัพย์สินทางเลือก เช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ REITs กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงทองคำ โดยกองทุนจะลงทุนผ่านกองทุนรวมและกองทุน ETF ทำให้มีความคล่องตัวในการบริหารกองทุนสูง และไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล เพื่อสะสมผลตอบแทนที่ได้ลงทุนต่อเนื่อง ส่วนเงินลงทุนในต่างประเทศกองทุนจะป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน

 

กองทุนบีแคป โกลบอล เวลท์ เพื่อการออม (BCAP-GW SSF) มีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศในหลากหลายสินทรัพย์ ที่คัดสรร ETF ทั่วโลกเกือบ 70,000 ตัว มาจัดเป็นพอร์ตการลงทุนแบบเบ็ดเสร็จ โดยมีทีมผู้จัดการกองทุนกว่าสิบชีวิตดูแลปรับพอร์ตให้ตลอดเวลา เพื่อให้เหมาะสมกับทุกสภาวะตลาด โดยมี 5 รูปแบบการลงทุนให้เลือกตามสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงคือ 10%, 25%, 50%, 75% และสูงสุดที่สัดส่วนสินทรัพย์เสี่ยง 90% 

 

สำหรับกองทุน BCAP Target Date Series มีจุดเด่นคือเป็นกองทุน RMF ที่ปรับสัดส่วนการลงทุนให้สอดคล้องตามช่วงอายุ โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนตามปีที่จะเกษียณอายุผ่าน 3 ทางเลือกกองทุน ได้แก่ BCAP-2030 RMF สำหรับผู้ที่วางแผนเกษียณช่วงปี 2568-2578, BCAP-2040 RMF สำหรับผู้ที่วางแผนเกษียณช่วงปี 2579-2588 และ BCAP-2050 RMF สำหรับผู้ที่วางแผนเกษียณช่วงปี 2589-2598  ซึ่งแต่ละกองทุนจะมีทีมผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละสินทรัพย์คอยดูแลอย่างใกล้ชิด ในการปรับพอร์ตการลงทุนและติดตามสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสม โดยไม่ต้องกังวลกับตลาดที่มีความผันผวนค่อนข้างสูง

 

“กองทุนเปิดบีแคป โกลบอล ทาร์เก็ต เดท เพื่อการเลี้ยงชีพ มีนโยบายลงทุนเหมือนกับกองทุนเปิดบีแคป โกลบอล เวลท์ (BCAP Global Wealth: BCAP-GW) คือมุ่งเน้นลงทุนครอบคลุมทรัพย์สินทั่วโลก แต่ต่างกันที่แนวทางการบริหารทรัพย์สิน ซึ่งกองทุน BCAP Global Wealth เป็นเหมือนพอร์ตการลงทุน ที่ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงตามระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้ ขณะที่กอง RMF นี้กำหนดสัดส่วนของแต่ละทรัพย์สินให้เหมาะสมกับช่วงอายุของผู้ลงทุน หรือเป้าหมายของผู้ลงทุน” เมธ์วดีกล่าว

 

เมธ์วดีกล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีแนวโน้มเป็นสังคมผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นการวางแผนเกษียณจึงเป็นสิ่งสำคัญ ในขณะที่คนแต่ละช่วงอายุมีสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสม และความเสี่ยงที่รับได้แตกต่างกัน การมีกองทุนที่จัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะกับแต่ละช่วงอายุ และสอดคล้องกับแผนการเกษียณจึงเป็นตัวช่วยที่ตอบโจทย์ผู้ลงทุน สำหรับผู้ที่อายุยังน้อย มีเวลาในการลงทุนมากควรเน้นลงทุนในทรัพย์สินเสี่ยง เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว ส่วนผู้ที่ใกล้เกษียณอายุต้องเพิ่มการลงทุนในทรัพย์สินมั่นคง เพื่อเน้นรักษาเงินต้น ซึ่งรูปแบบการลงทุนดังกล่าวถูกออกแบบผ่านกองทุนเปิดบีแคป โกลบอล ทาร์เก็ต เดท เพื่อการเลี้ยงชีพ ตอบโจทย์ทุกวัย

 

สำหรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเมื่อปฏิบัติตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร โดยกองทุน RMF สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน และวงเงินลงทุนได้ไม่เกิน 500,000 บาท โดยต้องนับรวมกองทุนเพื่อการออม (SSF) วงเงินปกติ และการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่นๆ โดยต้องลงทุนอย่างน้อย 5 ปี นับตั้งแต่ซื้อครั้งแรก (นับแบบวันชนวัน) และขายคืนได้เมื่อถือจนอายุ 55 ปีบริบูรณ์

 

ในส่วนของกองทุน SSF สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน และวงเงินลงทุนได้ไม่เกิน 200,000 บาท และต้องถือครองอย่างน้อย 10 ปี (นับแบบวันชนวัน)

The post ‘BCAP’ แนะซื้อ 2 ซีรีส์กองทุน ‘SSF-RMF’ กระจายเสี่ยงช่วงตลาดผันผวนสูง-รับสิทธิลดหย่อนภาษีปี 65 appeared first on THE STANDARD.

]]>
บลจ.บีแคป ชี้หุ้น ‘ไทย-จีน’ อาจเป็นหลุมหลบภัยช่วงตลาดหุ้นโลกผันผวนครึ่งปีหลัง https://thestandard.co/bcap-safety-in-investing-in-thai-chinese-stocks/ Wed, 01 Jun 2022 05:12:42 +0000 https://thestandard.co/?p=636462 หุ้นไทย-จีน

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บางกอกแคปปิตอล (BCA […]

The post บลจ.บีแคป ชี้หุ้น ‘ไทย-จีน’ อาจเป็นหลุมหลบภัยช่วงตลาดหุ้นโลกผันผวนครึ่งปีหลัง appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นไทย-จีน

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บางกอกแคปปิตอล (BCAP) ประเมินตลาดหุ้นโลกครึ่งหลังของปี 2565 ยังผันผวนด้วยปัจจัยเสี่ยงยังสูง กดดันการเติบโตของเศรษฐกิจและผลประกอบการ ทั้งเรื่องของการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมเงินเฟ้อ พร้อมกับปรับลดวงเงิน QE แนะนำนักลงทุนกระจายความเสี่ยงในหลากหลายสินทรัพย์ โดยมองว่าตลาดหุ้นจีนและไทยมีความน่าสนใจ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีความเสี่ยงด้านการเมืองระหว่างประเทศน้อย

 

ธนาวุฒิ พรโรจนางกูร รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานบริหารการลงทุน บลจ.บีแคป กล่าวว่า แม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เป็นเพียงการปรับขึ้นช่วงสั้นๆ เท่านั้น เนื่องจากในปีนี้ Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวม 2.50-2.75%

 

“หากเปรียบเทียบเป็นการขับรถถือว่าคนขับกำลังกดแป้นเบรกอย่างหนัก ซึ่งจะทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปรับลดลงในระยะต่อไป”

 

แม้ว่าปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในเดือนมีนาคม และจะค่อยๆ ปรับลดลงในช่วงที่เหลือของปี แต่ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า Fed คงจะยืนยันขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง เพื่อเก็บกระสุน หรือเพื่อสร้างความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายหากเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างรุนแรงในอนาคต อีกประเด็นที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดคือการถอนสภาพคล่องออกจากระบบ หรือการทำ Quantitative Tightening (QT)

 

ธนาวุฒิกล่าวต่อว่า การทำ QT ของสหรัฐฯ จะเริ่มต้นในเดือนมิถุนายนนี้ จำนวน 9.5 แสนล้านดอลลาร์เดือน ทีมผู้จัดการกองทุนประเมินว่าหาก Fed ลดปริมาณเงินดังกล่าวอย่างต่อเนื่องจนถึงปลายปี 2567 จะส่งผลต่องบดุลต่อ GDP ของ Fed ลดลงจาก 37% ในปัจจุบัน เหลือเพียง 20% ซึ่งผลกระทบดังกล่าวมี 2 เรื่องหลัก คือ 

 

1. การชะลอตัวของเศรษฐกิจในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า และ 2. แรงสนับสนุนในการออมเงิน/การลงทุนในตลาดการเงินที่จะลดลง โดยฝ่ายวิจัยมองว่าช่วงต่อไปตลาดหุ้นจะมีความผันผวนมากขึ้น ในขณะที่ผลตอบแทนเฉลี่ยของหุ้นจะลดลงเทียบกับช่วงที่ Fed อัดฉีดสภาพคล่องหลังวิกฤตการเงินในปี 2551 ซึ่งการลงทุนอาจจะใช้ความระมัดระวังที่เพิ่มมากขึ้น 

 

สำหรับช่วงครึ่งหลังของปีฝ่ายวิจัยแนะนำให้เน้นการลงทุนหุ้นในกลุ่มประเทศที่มีมูลค่าพื้นฐานถูก ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีอัตราการเติบโตดี หรือมีความเสี่ยงต่อการเมืองระหว่างประเทศจำกัด คือ ประเทศจีนและไทย 

 

“หลังมีแรงเทขายกดดันราคาหุ้นจีนอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมาเนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ในเมืองสำคัญ เช่น ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ ทำให้หุ้นจีนมีราคาพื้นฐานที่ถูก เทียบกับทั้งอดีตและประเทศอื่น แต่ล่าสุดมีสัญญาณการเปิดเมืองพร้อมการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล ทำให้เราประเมินว่าเศรษฐกิจจีนกำลังจะผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 นี้ ขณะที่หุ้นไทยอาจจะมีมูลค่าที่ค่อนไปทางแพงเล็กน้อย เนื่องจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ช่วงต้นปี”

 

ในแง่นโยบายการเงิน ประเทศไทยยังมีแนวโน้มผ่อนคลายเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ และยุโรป อีกทั้งมีแรงส่งจากปัจจัยนอกประเทศ เช่น การส่งออกและนักท่องเที่ยวที่จะกลับมาจากการเปิดประเทศจะเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี อีกทั้งผลกระทบโดยตรงจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน มีค่อนข้างต่ำ จากนโยบายเป็นกลางของไทย นักลงทุนต่างชาติจึงมองเราเป็นหลุมหลบภัย และจะมีกระแสเงินทุนไหลเข้าต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี ดังนั้นการลงทุนในประเทศจีนและไทยน่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

The post บลจ.บีแคป ชี้หุ้น ‘ไทย-จีน’ อาจเป็นหลุมหลบภัยช่วงตลาดหุ้นโลกผันผวนครึ่งปีหลัง appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘บลจ.บีแคป’ มองหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว แนะลงทุนหุ้นวัฏจักรดักฟันด์โฟลวสะพัดทั่วเอเชีย https://thestandard.co/bcap-pass-the-lowest-point/ Tue, 15 Dec 2020 10:54:58 +0000 https://thestandard.co/?p=431776 ‘บลจ.บีแคป’ มองหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว แนะลงทุนหุ้นวัฏจักรดักฟันด์โฟลวสะพัดทั่วเอเชีย

บลจ.บางกอกแคปปิตอล มองหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว แนะลงทุน […]

The post ‘บลจ.บีแคป’ มองหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว แนะลงทุนหุ้นวัฏจักรดักฟันด์โฟลวสะพัดทั่วเอเชีย appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘บลจ.บีแคป’ มองหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว แนะลงทุนหุ้นวัฏจักรดักฟันด์โฟลวสะพัดทั่วเอเชีย

บลจ.บางกอกแคปปิตอล มองหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว แนะลงทุนหุ้นวัฏจักรดักฟันด์โฟลวสะพัดทั่วเอเชียจากปลายปีนี้ถึงกลางปีหน้า ชวนส่องหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว-บริการ ขึ้นแท่นหุ้นเมกะเทรนด์ รับอานิสงส์ผู้บริโภคฐานรายได้กลางเติบโตสูง

 

ธนาวุฒิ พรโรจนางกูร รองกรรมการผู้จัดการหัวหน้าสายงานบริหารการลงทุน และทีมผู้จัดการกองทุน บลจ.บางกอกแคปปิตอล จำกัด กล่าวว่าการลงทุนในช่วงจากนี้ไปจนถึงกลางปีหน้า บลจ.บีแคป ประเมินว่ายังสามารถเข้าลงทุนได้อยู่ แต่ต้องเน้นกลุ่มที่ราคาหุ้นฟื้นตัวช้ากว่าตลาดและมีแนวโน้มกำไรฟื้นตัวในปีหน้า อาทิ หุ้นกลุ่มวัฏจักร 

 

โดยปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยช่วงนี้คือความชัดเจนของวัคซีนป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ณ ช่วงดัชนี 1,450-1,500 จุดอาจเรียกได้ว่าตลาดหุ้นไทยขานรับปัจจัยวัคซีนไปแล้วค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นพฤติกรรมปกติของตลาดหุ้นที่จะซื้อขายบนความคาดหวังข้างหน้าอยู่แล้ว ดังนั้นหากดัชนีปรับฐานลงมาก็สามารถทยอยเข้าสะสมได้ 

 

ขณะเดียวกันมองว่าหุ้นไทยน่าสนใจเข้าลงทุนในระยะ 3-5 ปี เนื่องจากประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีการเติบโตของผู้บริโภคกลุ่มที่มีรายได้ระดับกลางค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน จึงคาดหวังได้ว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวสูงในระยะ 3-5 ปีจากนี้ไป และเป็นหมุดหมายการเข้าลงทุนของผู้จัดการกองทุนทั่วโลก 

 

นอกจากนี้บริษัทจดทะเบียนในไทยเองก็มีแนวโน้มการขยายธุรกิจไปสู่ต่างประเทศ เพื่อเพิ่มฐานรายได้และเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจเพิ่มด้วย 

 

โดยกลุ่มที่น่าจะเข้าลงทุนได้ในระยะ 3-5 ปีคือกลุ่มท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กับประเทศค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับ GDP นอกจากนี้กลุ่มที่ทำธุรกิจสอดรับสังคมสูงวัยก็น่าสนใจเข้าลงทุน

 

“เวลาผู้จัดการกองทุนต่างประเทศจะมองหาตลาดเพื่อเข้าลงทุนมักจะพิจารณาจากธีมการลงทุนต่างๆ ก็จะไม่พ้นธีมของการมีอายุยืนยาวขึ้น การอยู่อย่างสุขสบายยิ่งขึ้น และการอยู่อย่างเป็นมิตรกับโลกและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ในส่วนของไทยเองมีธุรกิจที่อยู่ในธีมของการอยู่อย่างสุขสบายขึ้นค่อนข้างมาก เพราะเรามีธุรกิจท่องเที่ยวและบริการค่อนข้างมาก ขณะเดียวกันการเติบโตของการบริโภคภายในประเทศก็สามารถคาดหวังได้ เพราะกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางจะมีการขยายตัวอย่างมากในอีก 3-5 ปี” 

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

The post ‘บลจ.บีแคป’ มองหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว แนะลงทุนหุ้นวัฏจักรดักฟันด์โฟลวสะพัดทั่วเอเชีย appeared first on THE STANDARD.

]]>