Azzurri – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 11 Jul 2021 07:31:09 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 จอร์จินโญ เครื่องกำหนดจังหวะ ‘อัซซูรี’ ที่นำเข้าจากบราซิล เรียนฟุตบอลจากแม่ และกำลังพาทีมลุ้นแชมป์ยูโร https://thestandard.co/jorginho-may-lead-azzurri-win-euro-championship/ Sun, 11 Jul 2021 07:29:32 +0000 https://thestandard.co/?p=511174 jorginhofrello

ในฟุตบอลยูโร 2020 อิตาลีเป็นหนึ่งในทีมที่เล่นได้อย่างน่ […]

The post จอร์จินโญ เครื่องกำหนดจังหวะ ‘อัซซูรี’ ที่นำเข้าจากบราซิล เรียนฟุตบอลจากแม่ และกำลังพาทีมลุ้นแชมป์ยูโร appeared first on THE STANDARD.

]]>
jorginhofrello

ในฟุตบอลยูโร 2020 อิตาลีเป็นหนึ่งในทีมที่เล่นได้อย่างน่าประทับใจที่สุดแม้จะไม่ได้มีซูเปอร์สตาร์ล้นฟ้าเหมือนในอดีต แต่นักเตะที่ โรแบร์โต มันชินี เลือกมาติดทีมล้วนแต่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมและมีความเป็นทีมเวิร์กสูง

 

แต่ถึงจะไม่มีซูเปอร์สตาร์ที่โดดเด่นแค่คนเดียว ก็ยังมีหนึ่งในนักเตะที่เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมสม่ำเสมอและมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อทีม ซึ่งนอกเหนือจาก ชิโร อิมโมบิเล, ลอเรนโซ อินซิเญ, เลโอนาร์โด สปินาซโซลา (ผู้โชคร้าย), เลโอนาร์โด โบนุชชี, จอร์โจ คิเอลลินี และ จานลุยจิ ดอนนารุมมา แล้ว

 

อีกคนที่เล่นได้ดีตั้งแต่เกมแรกเป็นต้นมาโดยไม่มีแผ่วเลยคือ จอร์จินโญ มิดฟิลด์ตัวคุมจังหวะเกมของทีมที่ไม่ว่าจะต้องเล่นร่วมกับ นิโคโล บาเรลลา, มาร์โก แวร์รัตติ หรือ โดเมนิโก โลคาเตลลี ก็เข้ากับทุกคนได้เป็นอย่างดี

 

โดยบทบาทหน้าที่ของจอร์จินโญนั้นชัดเจน เขาคือคนกำหนดจังหวะในการเล่นของทีม ไม่ต่างอะไรจาก ‘เมโทรนอม’ หรือเครื่องเคาะจังหวะที่จะบอกว่าจังหวะนี้จะเล่นช้า หรือจังหวะนี้จะเล่นเร็ว

 

ตลอดทัวร์นาเมนต์ที่ผ่านมาดาวเตะวัย 29 ปีผู้นี้คุมจังหวะการเล่นของทีมได้ดั่งใจต้องการ ผ่านการออกบอลง่ายๆ การเล่นไม่มีอะไรสลับซับซ้อน รับบอล ส่งบอล รับบอล ส่งบอล วนไปแบบนี้ แต่การเล่นง่ายๆ แบบนี้กลับเป็นการเล่นที่ยากที่สุด

 

ไม่ใช่ทุกคนบนโลกจะมีความสามารถนี้ ใน 10 ปีที่ผ่านมามีเพียง ชาบี เอร์นานเดซ, อันเดรส อิเนียสตา และรุ่นพี่ของเขา อันเดรีย ปิร์โล ที่อยู่ในระดับเดียวกันหรือสูงกว่า

 

กระนั้นจอร์จินโญก็เกือบจะไม่ได้โอกาสในการเล่นทีมชาติแล้ว หากมันชินียึดมั่นในสิ่งที่เขาเคยพูดไว้เมื่อ 6 ปีที่แล้ว

 

“ผมคิดว่านักเตะอิตาเลียนควรจะได้โอกาสในการเล่นให้ทีมชาติ” มันโชกล่าวไว้ในช่วงที่เขายังคุมทีมอินเตอร์ มิลานอยู่ “คนที่ไม่ได้เกิดที่อิตาลี ต่อให้จะมีความเกี่ยวพันทางสายเลือดผมก็คิดว่าไม่สมควรที่จะติดทีมชาติ นั่นคือความเห็นของผม”

 

เพราะความจริงแค่ชื่อของเขาก็รู้แล้วว่าจอร์จินโญไม่ได้เป็นนักเตะอิตาเลียนแท้ๆ

 

เขาคือคนบราซิลที่เกิดที่เมืองอิมบิตูบาในประเทศบราซิล

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Jorginho Frello (@jorginhofrello)

 

หลังเขาย้ายมาอยู่กับเชลซี จอร์จินโญพาแม่มาที่ร้านค้าของสโมสรและทำให้เราได้เห็นภาพประทับใจนี้ (แนะนำให้กดดูไปเรื่อยๆ นะ)

 

ชีวิตของจอร์จินโญเหมาะจะเป็นเรื่องเล่าในรายการพอดแคสต์ได้อย่างดี เพราะมีจุดพลิกผันที่น่าสนใจอยู่หลายจุด

 

อย่างแรก แม้จะเกิดที่บราซิลแต่เขาก็มีสายเลือดอิตาลีอยู่ในตัวผ่านทางคุณทวด จาโคโม เฟรลโล ซึ่งเป็นชาวเมืองเวเนโตที่ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในบราซิล (ดังนั้นมันเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาได้ติดทีมชาติอิตาลีจนถึงทุกวันนี้)

 

อย่างที่สอง คนที่สอนฟุตบอลเขาไม่ใช่พ่อ เพื่อน หรือครูที่ไหน แต่เป็นคุณแม่! มาเรีย เทเรซา เฟรตัส ที่เป็นคนสอนวิชาลูกหนังให้กับจอร์จินโญตั้งแต่เด็กๆ


“แม่ของผมเล่นฟุตบอล ดังนั้นผมจึงเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากแม่” จอร์จินโญเคยเปิดเผยไว้เมื่อปี 2013 “เธอยังคงเล่นฟุตบอลอยู่เลยและเข้าใจเกมอย่างมาก แม่ชอบพาผมไปเล่นฟุตบอลที่ชายหาด และผมก็จะใช้เวลาทั้งช่วงบ่ายนั้นฝึกเรื่องเทคนิคการเล่นบนผืนทรายที่ชายหาด”

 

ส่วนความสามารถในการแก้ไขปัญหาและสถานการณ์ในสนามนั้น เขาบอกว่าเป็นเพราะแม่สอนให้เขาเติบโตมาพร้อมกับการเผชิญปัญหา นั่นทำให้ไม่ว่าอะไรก็ตามที่อยู่ตรงหน้าเขาจะสามารถหาทางออกให้กับมันได้เสมอ

 

แม่ยังเป็นคนที่ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อสนับสนุนให้ลูกชายได้เล่นฟุตบอล ทำงานหนักเพื่อหาเงินมาซื้อรองเท้าฟุตบอลและลูกบอลให้ และยังพาเขาไปเล่นในทีมท้องถิ่นที่ชื่อบรุสเซาอีกด้วย

 

จนอายุ 13 ปี ที่เขาได้โอกาสให้เข้าร่วมในโครงการเฟ้นหานักเตะบราซิลเลียนรุ่นใหม่ที่จะได้โอกาสไปเล่นฟุตบอลอาชีพที่อิตาลี เพราะนายทุนของโครงการนี้เป็นชาวอิตาเลียน และนั่นเป็นช่วงเวลาที่เขาต้องจากแม่ไปไกล อยู่ห่างกัน 180 กิโลเมตร

 

สำหรับจอร์จินโญ ความทรงจำในช่วง 2 ปีนั้นคือความทรงจำที่ขมขื่น เพราะสภาพแวดล้อมของอคาเดมีนั้นเลวร้ายอย่างมาก ไม่มีน้ำอุ่นให้อาบในคืนที่เหน็บหนาว ไม่มีหน้าต่างให้ปิดเพื่อป้องกันลม

 

และที่สำคัญคือไม่มีคุณแม่อยู่ใกล้ๆ

 

แต่ด้วยความทุ่มเทตลอด 2 ปีทำให้เขาได้รับเลือกให้ไปร่วมทีมอคาเดมีของเฮลลาส เวโรนา สโมสรในระดับเซเรีย บี ที่ซึ่งเขาถูกเอเจนต์ยักยอกเงินไปกว่า 27,000 ยูโร และทำให้เขาเหลือเงินให้ใช้จ่ายเพียงแค่สัปดาห์ละ 18 ยูโรเท่านั้น

 

ณ เวลานั้น จอร์จินโญสิ้นหวัง เงินที่ควรจะเป็นของเขาก็ถูกเอาไปจนหมด อยู่ต่างแดน ไกลบ้าน ไม่ได้เจอแม่ นั่นทำให้เขาคิดที่จะเลิกเล่นฟุตบอลเลยทีเดียว ทั้งๆ ที่เวลาลงสนามทีไรเขาก็เล่นได้อย่างโดดเด่นกว่าใครเพื่อนเสมอ จนได้รับสมญาว่า ‘หมาป่าแห่งอนาคต’

 

โชคดีสำหรับวงการฟุตบอลอิตาลีที่แม่ของเขาไม่เคยสอนให้ลูกยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่สู้ และนั่นทำให้เขาเริ่มกลับมาพยายามอีกครั้งแม้ว่ามันจะยากเย็นแค่ไหนก็ตาม

 

ด้วยความที่มาคนเดียว เป็นคนไกลบ้าน ไม่มีญาติพี่น้องที่อิตาลี และไม่มีสัญชาติด้วย จอร์จินโญต้องพักอาศัยในอคาเดมีของสโมสร ซึ่งเขาไม่สามารถปรับตัวได้และไม่สามารถจะใช้ชีวิตในโรงเรียนประจำกับเพื่อนได้

 

ช่วงนั้นไม่มีคืนไหนที่เขาไม่ร้องไห้

 

“ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย” เขาเล่าถึงช่วงชีวิตที่แสนลำบากตอนนั้น “ผมใช้เงิน 5 ยูโรในการเติมเงินในโทรศัพท์มือถือ ซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นซึ่งนั่นก็เป็นเงิน 15 ยูโรแล้ว ส่วนที่เหลือเขาจะเก็บเอาไว้ใช้ต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อคุยกับที่บ้าน”

 

จอร์จินโญต้องอยู่ในสภาพนี้เป็นระยะเวลาร่วมปีครึ่ง โดยที่เขายังโชคดีที่มีผู้ใหญ่อย่าง ริคคาร์โด พิสชิเตลลี อดีตผู้อำนวยการสโมสรของเวโรนาที่คอยดูแลเขาอยู่ และพยายามช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้ ให้เงินสัปดาห์ละ 20 ยูโร หรือ 50 ยูโรบ้าง และฝากเขาไว้กับบาทหลวงโดยให้พักที่โบสถ์

 

จนเมื่อขึ้นปี 2 ของชีวิตที่อิตาลีที่เขาได้เริ่มซ้อมกับทีมชุดใหญ่ก็ได้พบกับ ราฟาเอล ปินเญโร ผู้รักษาประตูชาวบราซิลของทีมที่เอ็นดูจอร์จินโญเหมือนน้อง และเมื่อรู้ถึงชีวิตที่ยากลำบากของเขาแล้ว ราฟาเอลก็ไม่เคยปล่อยให้น้องต้องขาดอะไรอีกเลย

 

และเพราะความตั้งใจของเขาเองที่ไม่ยอมแพ้เด็ดขาด ทำให้สุดท้ายแล้วเขาได้โอกาสแจ้งเกิดกับเวโรนา ก่อนจะถูกทีมใหญ่อย่างนาโปลีซื้อตัวไปร่วมทีมในเวลาต่อมา และได้พบกับ เมาริซิโอ ซาร์รี นายใหญ่ที่ขัดเกลาเขาให้กลายเป็นสุดยอดกองกลางฉบับ ‘Resista’ หรือตัวคุมเกมในปัจจุบัน

 

ท่ายิงจุดโทษอันเป็นเอกลักษณ์ที่เจ๋งไม่แพ้ปาเนนกา 

ท่ายิงจุดโทษอันเป็นเอกลักษณ์ที่เจ๋งไม่แพ้ปาเนนกา 

 

แม้จะเป็นลูกตัดสิน แต่จอร์จินโญก็ยังรักษาความเยือกเย็นและหลอกจน อูไน ซิมมอน หลง และเลือกยิงนิ่มๆ เข้าไป

แม้จะเป็นลูกตัดสิน แต่จอร์จินโญก็ยังรักษาความเยือกเย็นและหลอกจน อูไน ซิมมอน หลง และเลือกยิงนิ่มๆ เข้าไป

 

ถึงจะเป็นคนบราซิล แต่เพราะความผูกพันทำให้เขาต้องการจะรับใช้ทีมชาติอิตาลี โดยเขาประกาศเองว่าต้องการเล่นให้ ‘อัซซูรี’ และได้รับการเรียกตัวจาก อันโตนิโอ คอนเต ในปี 2016 แต่ก็ไม่เคยได้เล่นเกมแข่งขันอย่างเป็นทางการ จนมีข่าวว่า ติเต โค้ชทีมชาติบราซิลจะเรียกตัวเขาไปติดทีมชาติบราซิลแทน

 

แต่จอร์จินโญก็ยืนกรานจะเล่นให้อิตาลี และสุดท้ายเขาก็ได้โอกาสจาก จาน ปิเอโร เวนตูรา ที่เคยมองข้ามเขามาตลอดในปี 2017 ก่อนจะก้าวผ่านทุกอุปสรรคจนกลายเป็นเสาหลักในการคุมจังหวะของทีมในเวลานี้

 

ในคืนนี้เขาจะเป็นหนึ่งในขุนพลที่จะลงสนามลุ้นแชมป์ฟุตบอลยูโร กับทีมที่เจ้าภาพร่วมที่เป็นเหมือนเจ้าบ้าน (และแทบจะเป็นเจ้าภาพเดี่ยว เพราะลงเล่นต่อหน้าแฟนบอลตัวเอง 6 จาก 7 นัด) อย่างอังกฤษ

 

เขาจะได้เผชิญหน้ากับเหล่านักเตะที่เคยประลองเพลงแข้งมาในพรีเมียร์ลีกอย่าง ดีแคลน ไรซ์, คาลวิน ฟิลลิปส์, ราฮีม สเตอร์ลิง, แฮร์รี เคน รวมถึงเพื่อนร่วมทีมของเขาเองอย่าง เมสัน เมาท์ ด้วย

 

หากเขาพาทีมคว้าแชมป์ยูโรหนนี้ได้ นั่นจะทำให้เขาคว้าแชมป์ทั้งแชมเปียนส์ลีกและยูโรได้ในปีเดียวกัน ทำให้มีคนเริ่มแซวกันว่าบางทีจอร์จินโญอาจจะได้เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบัลลงดอร์ประจำปีนี้ด้วยก็เป็นได้

 

แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น จุดนี้สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือถ้วยอองรี เดอโลเนย์ ที่อยากจะเอามาให้แม่ภูมิใจก่อน 🙂

 

อ้างอิง:

The post จอร์จินโญ เครื่องกำหนดจังหวะ ‘อัซซูรี’ ที่นำเข้าจากบราซิล เรียนฟุตบอลจากแม่ และกำลังพาทีมลุ้นแชมป์ยูโร appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘Azzurri’ อิตาลีคืนชีพจากเถ้าถ่าน กลับมาเป็นทีมฟุตบอลที่ดีอีกครั้งได้อย่างไร https://thestandard.co/euro-2020-azzurri/ Sun, 20 Jun 2021 11:28:09 +0000 https://thestandard.co/?p=502601 Azzurri

ผ่านมาได้ราว 10 วัน ต้องบอกว่าฟุตบอลยูโรหนนี้มีความประท […]

The post ‘Azzurri’ อิตาลีคืนชีพจากเถ้าถ่าน กลับมาเป็นทีมฟุตบอลที่ดีอีกครั้งได้อย่างไร appeared first on THE STANDARD.

]]>
Azzurri

ผ่านมาได้ราว 10 วัน ต้องบอกว่าฟุตบอลยูโรหนนี้มีความประทับใจเกิดขึ้นหลายเรื่องนะครับ

 

แน่นอนว่าเรื่องราวของ คริสเตียน อีริกเซน เป็นอันดับหนึ่งอยู่แล้ว เพราะว่ามันเป็นห้วงเวลาที่เราได้เห็นหน้าของปาฏิหาริย์พร้อมกันทั้งโลก (อ่าน ถอดบทเรียนนาทีชีวิตของ คริสเตียน อีริกเซน อะไรที่ช่วยให้เรายังไม่สูญเสียเขาไป)

 

ยังมีเกม ‘มหัศจรรย์แม็กยาร์’ ที่ทีมชาติฮังการีทำให้แฟนฟุตบอลทั้งชาติได้กลับมามีความสุขและภูมิใจอีกครั้ง เมื่อสามารถต่อกรกับทีมแชมป์โลกอย่างฝรั่งเศสได้แบบที่เกือบจะคว้าชัยชนะประวัติศาสตร์ด้วยซ้ำไป

 

ภาพของแฟนฟุตบอลในปุสกัส อารีนา ที่เข้ามาเต็มความจุเองก็เป็นภาพที่ประทับใจ กระทั่ง ‘เคน นครินทร์’ ยังบอกว่า “รู้สึกเหมือนโลกกลับมาแล้ว”

 

อีกหนึ่งสิ่งที่อยากจะหยิบมาพูดถึงในวันนี้คือทีมชาติอิตาลีครับ กับการโชว์ฟอร์มสวยหรูใน 2 เกมแรก ด้วยการถล่มตุรกีและสวิตเซอร์แลนด์ขาดลอยด้วยสกอร์ 3-0 ทั้ง 2 นัด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้อิตาลีไม่เคยยิงประตูในรายการระดับเมเจอร์เกินกว่า 2 ลูกได้มาเป็นระยะเวลานานแล้ว

 

และทั้งๆ ที่แทบไม่ได้มีใครสนใจหรือเชื่อมือพวกเขาสักเท่าไร เพราะ ‘อัซซูรี’ ยุคนี้นอกจากจะไม่มี ‘Fantasista’ หรือจอมทัพหมายเลข 10 ที่สง่างามและมหัศจรรย์ในคนเดียวกัน เหมือนในอดีตที่มี โรแบร์โต บาจโจ, อเลสซานโดร เดล ปิเอโร และฟรานเชสโก ต็อตติ พวกเขายังไม่มีดาวเด่นเป็นสง่าเหมือนทีมอื่นเขาด้วย

 

อิตาลีคืนชีพกลับมาได้อย่างไร

 

ต้องย้อนกลับไปสักนิดครับว่าก่อนหน้านี้วงการฟุตบอลอิตาลีตกต่ำและซบเซามาเป็นระยะเวลายาวนาน โดยหลังจากที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2006 (ซึ่งก็เป็นการคว้าแชมป์แบบหักปากกาเซียน เพราะพวกเขาไม่ได้เป็นเต็งเลยด้วยซ้ำ) ทีมอัซซูรีก็เริ่มตกต่ำลงเรื่อยๆ

 

สาเหตุนั้นมีหลากหลายครับ แต่โดยหลักใหญ่แล้วคือวงการฟุตบอลอิตาลีเองซบเซา จากปัญหาฟองสบู่แตกของสโมสรฟุตบอลระดับชั้นนำ ที่ทำให้สโมสรอย่างอินเตอร์ มิลาน, เอซี มิลาน, โรมา, ลาซิโอ หรือพูดง่ายๆ คือ ทั้งกัลโช เซเรีย อา ไม่สามารถกวาดต้อนซูเปอร์สตาร์นักเตะที่ดีที่สุดในโลกมาได้เหมือนในอดีตอีก

 

ศูนย์กลางอำนาจของเกมลูกหนังโยกย้ายไปสู่พรีเมียร์ลีกที่พร้อมพรั่งกว่าทางการเงิน ทำให้ไม่ว่าจะเป็นนักฟุตบอลที่ดีที่สุดหรือโค้ชที่เก่งที่สุดเริ่มทยอยไปอังกฤษหมด และมันเป็นเช่นนี้มาเป็นระยะเวลานาน

 

นานมากพอที่วงการฟุตบอลอิตาลีจะตกต่ำอย่างชัดเจน ทีมสโมสรของพวกเขาไม่แข็งแกร่งเหมือนเก่า และทีมชาติเองก็ย่ำแย่ตามไปด้วย เนื่องจากสายเลือดใหม่นั้นไม่มีคุณภาพเหมือนรุ่นพี่ โดยที่นักเตะรุ่นเก๋าเองก็อยู่รับใช้ทีมมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเกินไป

 

จุดตกต่ำที่สุดของอิตาลีคือการตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2018 ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปีใต้การนำของ จามปิเอโร ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของทีมชาติอิตาลี

 

โรแบร์โต มันชินี ได้รับเลือกให้เข้ามาเป็นโค้ชทีมชาติคนใหม่ครับ พร้อมกับการอำลาของเหล่า The Old Guards หรือนักเตะที่รับใช้ทีมชาติอย่างซื่อสัตย์ ไม่ว่าจะเป็น จอร์โจ คิเอลลินี, จานลุยจิ บุฟฟอน, อันเดรีย บาซาญี และ ดานิเอเล เด รอสซี ที่ประกาศอำลาทีมชาติพร้อมกัน

 

โดย ‘มันโช’ ประกาศในวันเข้ารับตำแหน่งว่า “เขามีความตั้งใจที่จะเป็นโค้ชที่ดีและพาทีมอิตาลีกลับไปสู่จุดสูงสุดของโลกให้ได้อีกครั้ง”

 

การจากไปของนักเตะเหล่านี้เหมือนจะเป็นหายนะ

 

แต่ในเวลาเดียวกันมันก็เป็น ‘โอกาส’ ที่ทำให้มันชินีสามารถเริ่มต้นสร้างทีมทุกอย่างขึ้นมาใหม่จากการนับศูนย์ โดยไม่ได้นำปรัชญาหรือแนวคิดเก่าๆ ที่เคยใช้ในอดีตมาเป็นแนวทาง แต่เป็นการสร้างของสิ่งใหม่ขึ้นมาเลย

 

มันชินีเลือกที่จะทิ้งไอเดียเก่าๆ ที่ตกยุคไปแล้วอย่าง Fantasista ซึ่งปัจจุบันไม่มีสโมสรไหนในอิตาลีที่มีผู้เล่นในบทบาทนี้อีก เพราะฟุตบอลสมัยใหม่ไม่สามารถที่จะปล่อยให้ผู้เล่นคนใดคนหนึ่งมีอิสระในการทำทุกอย่างยกเว้นทำหน้าที่ในเกมรับไม่ได้

 

เช่นกันกับ ‘อัตลักษณ์’ ของชาติอย่างปรัชญาการเล่นแบบ ‘Catenaccio’ ที่เน้นเกมรับที่แข็งแกร่งชนิดเจาะไม่เข้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1982 และ 2006, รองแชมป์ฟุตบอลโลก 1994 และรองแชมป์ฟุตบอลยูโร 2000 และ 2012

 

อิตาลียุคใหม่นั้นจะต้องเล่นฟุตบอลเกมรุกที่สวยงาม เร้าใจ และไม่ต้องพึ่งพาใครคนใดคนหนึ่งอีกต่อไป

 

 

มานูเอล โลคาเตลลี เป็นหนึ่งในนักเตะที่ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจของอิตาลีใน 2 เกมแรก

 

โดยผู้ที่ให้คำแนะนำที่สำคัญกับมันชินี – หรือความจริงคือการชี้ทางสว่างให้แก่วงการฟุตบอลอิตาลี – คือ อาร์ริโก ซาคคี ปราชญ์ลูกหนังผู้ยิ่งใหญ่ ที่มองเห็นเค้าลางของความตกต่ำของทีมอัซซูรีมายาวนานหลายปี

 

ในวันที่อิตาลีพ่ายต่อสวีเดนในเกมเพลย์ออฟฟุตบอลโลกเมื่อปลายปี 2017 ขณะที่ผู้คนก่นด่าสาปแช่งเวนตูราว่าเป็นผู้สร้างตราบาปให้แก่ทีมชาติ แต่ซาคคีกลับบอกว่า “ความพ่ายแพ้ครั้งนี้มันไม่ได้เกิดโดยไม่มีสาเหตุ เรามาถึงจุดนี้ได้หลังจากฟุตบอลโลกที่เหมือนหายนะมาถึง 2 ครั้ง”

 

2 ครั้งที่ซาคคีกล่าวคือฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ และฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล ซึ่งอิตาลีไม่ผ่านรอบแรกทั้งสองครั้ง แม้ว่าจะเข้าชิงฟุตบอลยูโร 2012 และเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายในยูโร 2016 แต่ก็เป็นเรื่องของจังหวะในเกมฟุตบอลมากกว่า

 

ซาคคีซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้ประสานงานทีมชาติชุดเยาวชนของอิตาลีมาตั้งแต่ปี 2010 และอยู่ในตำแหน่งถึงปี 2014 ที่เคยบอกว่าอิตาลีควรจะเล่นให้เหมือนสเปน (ในยุคทอง)

 

“เพราะสเปนนั้นถ้าเล่นได้แย่ ถึงจะชนะแฟนบอลก็ไม่ปรบมือให้”

 

จากการชี้ทางของปราชญ์ลูกหนังในวันวาน มาถึงความกล้าหาญของมันชินีกล้าคิดใหม่ทำใหม่ ทำให้อิตาลีค่อยๆ กลับมาเป็นทีมฟุตบอลที่ดีขึ้นอย่างเงียบๆ โดยในขณะที่โลกกำลังตื่นเต้นกับขุมกำลังของทีมชาติฝรั่งเศสและนักเตะที่มีโอกาสเป็นราชาลูกหนังแห่งอนาคตอย่าง คีเลียน เอ็มบัปเป, เบลเยียมตั้งคำถามว่าเมื่อไรทีมชาติของพวกเขาจะคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ได้ และอังกฤษเริ่มคุยโตอีกครั้งกับ Golden Generation ชุดใหม่ที่ไฉไลไม่แพ้รุ่นเก่า

 

มันชินีก็ใช้เวลานี้ประกอบร่างทีมในฝันของเขาขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยนักเตะอย่าง ชิโร อิมโมบิเล, นิโคโล บาเรลลา, ลอเรนโซ อินซิเญ (คนที่เวนตูราไม่ยอมส่งลงสนาม ทั้งที่ทีมต้องการประตูในเกมกับสวีเดน) มาจนถึง โดเมนิโก เบร์ราดี และ มานูเอล​ โลคาเตลลี สองกองกลางจากสโมสรเล็กๆ อย่างซาสซูโอโล

 

ทีมชุดนี้อาจจะเริ่มต้นด้วยการเสมอโปแลนด์ในเกมเนชันส์ลีก ก่อนจะพ่ายต่อโปรตุเกสในเดือนกันยายน 2018 แต่หลังจากนั้นพวกเขาไม่แพ้ใครอีกเลยจนถึงวันนี้

 

ที่สำคัญคือผลงานการเล่นนั้นร้อนแรงอย่างมาก โดยเฉพาะในรายการฟุตบอลยูโร 2020 ที่สามารถเก็บชัยชนะรวด 10 นัดในรอบคัดเลือก ทำได้มากถึง 37 ประตู หรือเฉลี่ยนัดละ 3.7 ประตู และเสียไปเพียงแค่ 4 ประตูเท่านั้น หรือเฉลี่ย 0.25 ประตูต่อนัด

 

อิตาลีชุดปัจจุบันเน้นการเล่นเกมรุก เล่นฟุตบอลรวดเร็ว เพรสซิงสูงในแดนคู่ต่อสู้ วิ่งไล่กันทุกคนจนหยดสุดท้าย เซ็ตบอลจากแดนหลังที่ต้องแก้สถานการณ์ให้ได้ไม่ว่าจะถูกกดดันหนักแค่ไหน

 

ที่สำคัญคือทีมนี้ไม่มีสตาร์ นักเตะทุกคนสามารถลงเล่นเพื่อทดแทนกันและกันได้ เหมือนกรณีของฟุตบอลยูโร 2020 ครั้งนี้ที่ มาร์โก แวร์รัตติ กองกลางคีย์แมน มีอาการบาดเจ็บไม่สามารถกลับมาเล่นได้ทันใน 2 นัดแรกได้แน่นอน แต่มันชินีก็มีโลคาเตลลี ที่สามารถทดแทนได้อย่างไม่ขัดเขิน และเล่นได้อย่างโดดเด่นด้วยซ้ำไป

 

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือทีมสปิริตที่นักเตะชุดนี้มีความกลมเกลียวกันอย่างเหลือเชื่อ ยกตัวอย่างเช่นกองหน้าอย่างอิมโมบิเล ทุกวันนี้ยังมีรูมเมตเป็น อันเดรีย เบล็อตติ ศูนย์หน้าที่เป็นคู่แข่งชิงตำแหน่งกันในทีม โดยไม่คิดถึงว่าจะต้องมาแก่งแย่งชิงดีกัน

 

ทุกคนมีหน้าที่และบทบาท ขึ้นอยู่กับโค้ชว่าจะเลือกใคร สิ่งที่พวกเขาจะทำคือการทุ่มเทอย่างเต็มที่ ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อคนอื่นด้วย

 

 

 

ดังนั้น ผลงานสวยหรูของอิตาลีวันนี้จึงไม่ได้เกิดขึ้นโดย ‘ไม่มีที่มาที่ไป’ ครับ หากแต่มันเป็นสิ่งที่ถูกคิดและเตรียมมาอย่างดีแล้ว

 

สำหรับมันชินี มีสิ่งเดียวที่เขาร้องขอจากนักเตะเป็นพิเศษผ่านจดหมายน้อยที่มอบให้แก่ทุกคนก่อนที่จะเริ่มแข่งยูโรหนนี้

 

“ขอให้ทุกคนลงสนามโดยไม่ต้องคิดต้องกลัวอะไร ให้เหมือนกับวัยเด็กที่ทุกคนเริ่มหัดเล่นฟุตบอล”

 

เพราะแบบนี้จึงไม่แปลกที่เราจะได้เห็นอิตาลีวิ่งไล่แย่งลูกฟุตบอล และพยายามวาดลวดลายในสนาม ใช้จินตนาการอย่างเต็มที่ เล่นให้สนุกเหมือนตอนเป็นเด็ก

 

และนี่คืออีกหนึ่งในเรื่องประทับใจของฟุตบอลยูโร 2020 หนนี้ ที่ผมเชื่อว่าน่าจะมีหลายคนหันมาเชียร์อิตาลีกันไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

 

ผมเองก็เช่นกันครับ ประทับใจ 🙂

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล 

อ้างอิง:

The post ‘Azzurri’ อิตาลีคืนชีพจากเถ้าถ่าน กลับมาเป็นทีมฟุตบอลที่ดีอีกครั้งได้อย่างไร appeared first on THE STANDARD.

]]>