Asia Pacific – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 25 Nov 2025 04:39:41 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 Google Cloud ผุดโปรเจกต์ ‘TalayLink’ เคเบิลใต้น้ำเชื่อมไทย-ออสเตรเลีย หนุนไทยสู่ฮับดิจิทัลอาเซียน https://thestandard.co/google-talaylink-cable-thailand-australia/ Tue, 25 Nov 2025 04:39:41 +0000 https://thestandard.co/?p=1147168 Google Cloud ผุดโปรเจกต์ ‘TalayLink’ เคเบิลใต้น้ำเชื่อมไทย-ออสเตรเลีย หนุนไทยสู่ฮับดิจิทัล อาเซียน

Google Cloud ประกาศเปิดตัวโครงการ TalayLink สายเคเบิลใต […]

The post Google Cloud ผุดโปรเจกต์ ‘TalayLink’ เคเบิลใต้น้ำเชื่อมไทย-ออสเตรเลีย หนุนไทยสู่ฮับดิจิทัลอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Google Cloud ผุดโปรเจกต์ ‘TalayLink’ เคเบิลใต้น้ำเชื่อมไทย-ออสเตรเลีย หนุนไทยสู่ฮับดิจิทัล อาเซียน

Google Cloud ประกาศเปิดตัวโครงการ TalayLink สายเคเบิลใต้น้ำเส้นใหม่ที่เชื่อมต่อระหว่างประเทศออสเตรเลียและประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับเสถียรภาพและความยืดหยุ่นของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

 

โครงการนี้ถือเป็นส่วนต่อยอดจากแผนริเริ่ม Australia Connect โดยเส้นทางของ TalayLink จะวางผ่านมหาสมุทรอินเดียทางด้านตะวันตกของช่องแคบซุนดา ซึ่งเป็นเส้นทางใหม่ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงจากเส้นทางเดิมที่มีความหนาแน่น ช่วยให้การเชื่อมต่อข้อมูลมีความมั่นคงยิ่งขึ้น และจะเชื่อมโยงโดยตรงเข้ากับ Data Center และ Cloud Region ของ Google ที่กำลังจะก่อสร้างขึ้นในประเทศไทย

 

ควบคู่กับการวางสายเคเบิลใต้น้ำ บิกาช โคลีย์ รองประธาน ฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกของ Google, Google Cloud ระบุว่า ระบุว่า Google ยังได้วางแผนลงทุนสร้างศูนย์กลางการเชื่อมต่อแห่งใหม่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ ได้แก่ เมืองแมนดูราห์ รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย และพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย

 

ในส่วนของประเทศไทยนั้น Google ได้จับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญเพื่อเร่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ในฐานะพันธมิตรด้านบริการโคโลเคชัน (Colocation) เพื่อดูแลศูนย์กลางการเชื่อมต่อในภาคใต้

 

และ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เกตเวย์ จำกัด (IGC) บริษัทลูกของ บมจ. เอแอลที เทเลคอม (ALT) ที่เข้ามาเป็นพันธมิตรหลักในการสนับสนุนการเชื่อมโยงสายเคเบิลเข้าสู่ประเทศ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญด้านบริหารเครือข่ายและจุดเชื่อมต่อระหว่างประเทศที่มีอยู่เดิม

 

นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ระบุว่า การลงทุนใน TalayLink นับเป็นจิ๊กซอว์สำคัญของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไทย เมื่อผนวกกับการจัดตั้ง Google Cloud Region และ Data Center จะช่วยตอกย้ำสถานะของประเทศไทยในฐานะ Digital Gateway ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะช่วยดึงดูดการลงทุนและขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านคลาวด์และ AI ในอนาคต สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล

 

ขณะที่ ปรัธนา ลีลพนัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า การผนึกกำลังระหว่างเส้นทางสายเคเบิลใต้น้ำสายใหม่ที่มีความหลากหลายของ Google กับศักยภาพด้านโคโลเคชันที่มีเสถียรภาพสูงของ AIS จะช่วยให้มั่นใจว่าโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในภูมิภาคสามารถสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้าน AI ของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ด้านปรีญาภรณ์ ตั้งเผ่าศักดิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) กล่าวกว่า สายเคเบิลเส้นใหม่นี้ถือเป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ซึ่งจะช่วยเร่งการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายอย่างเต็มศักยภาพ

 

เมื่อโครงการแล้วเสร็จ TalayLink และศูนย์กลางการเชื่อมต่อใหม่จะทำงานร่วมกับโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่ Google ได้ลงทุนไปก่อนหน้านี้ในมัลดีฟส์และเกาะคริสต์มาส เพื่อสร้างเครือข่ายที่ครอบคลุมทั้งมหาสมุทรอินเดีย เชื่อมโยงไปถึงทวีปแอฟริกาและตะวันออกกลาง ช่วยสนับสนุนโรดแมปการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของทั้งไทยและออสเตรเลียให้เติบโตอย่างยั่งยืนบนฐานของโครงสร้างพื้นฐานที่มีความเสถียรสูง

The post Google Cloud ผุดโปรเจกต์ ‘TalayLink’ เคเบิลใต้น้ำเชื่อมไทย-ออสเตรเลีย หนุนไทยสู่ฮับดิจิทัลอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Airbus คาดการณ์ เอเชียแปซิฟิกจะต้องการเครื่องบินใหม่ 19,560 ลำในอีก 20 ปีข้างหน้า https://thestandard.co/airbus-forecast-asia-plane-demand/ Sat, 15 Nov 2025 08:43:37 +0000 https://thestandard.co/?p=1143740 Airbus คาดการณ์ เอเชียแปซิฟิกจะต้องการเครื่องบินใหม่ 19,560 ลำในอีก 20 ปีข้างหน้า

Airbus คาดการณ์ตลาดภูมิภาคล่าสุด (15 พฤศจิกายน) โดยระบุ […]

The post Airbus คาดการณ์ เอเชียแปซิฟิกจะต้องการเครื่องบินใหม่ 19,560 ลำในอีก 20 ปีข้างหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
Airbus คาดการณ์ เอเชียแปซิฟิกจะต้องการเครื่องบินใหม่ 19,560 ลำในอีก 20 ปีข้างหน้า

Airbus คาดการณ์ตลาดภูมิภาคล่าสุด (15 พฤศจิกายน) โดยระบุว่าอุตสาหกรรมการบินในเอเชียแปซิฟิกจะต้องการเครื่องบินใหม่จำนวน 19,560 ลำในช่วง 20 ปีข้างหน้า จำนวนนี้คิดเป็น 46% ของความต้องการเครื่องบินใหม่ทั่วโลกที่คาดว่าจะอยู่ที่ 42,520 ลำในช่วงเวลาเดียวกัน

 

อานันท์ สแตนลีย์ ประธาน Airbus ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้นำเสนอการคาดการณ์ล่าสุดในงานประชุมใหญ่ประจำปีของสมาคมสายการบินแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Association of Asia-Pacific Airlines: AAPA) ณ กรุงเทพมหานคร โดยเน้นย้ำถึงการเติบโตต่อเนื่องและความสำคัญของภูมิภาคในตลาดการบินโลก

 

การคาดการณ์สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงจีนและอินเดีย สะท้อนให้เห็นการขยายฝูงบินอย่างต่อเนื่องของภูมิภาคนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น คาดว่าภูมิภาคจะเติบโตเฉลี่ย 4.4% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 3.6%

 

ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนความต้องการเครื่องบินลำตัวกว้าง (Widebody) เช่น เครื่องบิน A330neo และเครื่องบินตระกูล A350 โดยคาดว่าจะต้องการเครื่องบินประมาณ 3,500 ลำ โดยคิดเป็น 43% ของความต้องการกลุ่มเครื่องบินที่มีขนาดใหญ่ทั่วโลก ขณะเดียวกันคาดว่า ภูมิภาคนี้จะต้องการเครื่องบินทางเดินเดียว (Single-aisle) ประมาณ 16,100 ลำ เช่น เครื่องบิน A220 และเครื่องบินตระกูล A320neo เพื่อรองรับเส้นทางบินระยะสั้นถึงกลาง

 

Airbus ประเมินว่า เกือบ 68% ของการส่งมอบเครื่องบินใหม่จะเป็นการขยายฝูงบิน ส่วนอีก 32% จะเป็นการทดแทนเครื่องบินรุ่นเก่า ซึ่งช่วยสนับสนุนความพยายามที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศ โดยเครื่องบินลำตัวกว้างรุ่นใหม่ของ Airbus สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงได้ทันทีถึง 25% พร้อมทั้งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตามไปด้วย

 

ในส่วนของการขนส่งสินค้าทางอากาศ คาดว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีฝูงเครื่องบินขนส่งสินค้าประมาณ 850 ลำ คิดเป็นราว 1 ใน 3 ของฝูงบินขนส่งสินค้าทั่วโลก โดยประมาณ 250 ลำจะเป็นเครื่องบินผลิตขึ้นใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องบินลำตัวกว้าง สะท้อนถึงความต้องการขนส่งทางอากาศที่แข็งแกร่งและเพิ่มขึ้นในภูมิภาค

 

เครื่องบิน A350F รุ่นใหม่ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากโครงสร้างเครื่องบิน A350 ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจะสามารถตอบสนองความต้องการนี้ได้ด้วยประสิทธิภาพการบินที่สูง ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และประสิทธิภาพด้านต้นทุนที่ดีที่สุดในประเภทเดียวกัน นอกจากนี้ A350F ยังเป็นไปตามมาตรฐานการปล่อยก๊าซล่าสุดขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ทำให้เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ในตลาดเครื่องบินขนส่งสินค้าขนาดใหญ่

 

ในตลาดขนส่งผู้โดยสาร เครื่องบิน A350 ได้กลายเป็นผู้นำด้านการบินระยะไกลจากภูมิภาค โดยมีเครื่องบิน A350 ประมาณ 315 ลำให้บริการในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก เครื่องบินเหล่านี้ให้บริการในเส้นทางบินที่ยาวที่สุดในโลก รวมถึงการบินตรงจากสิงคโปร์ไปยังนิวยอร์ก

 

ในขณะเดียวกัน กระบวนการทดแทนเครื่องบิน A330ceo กำลังดำเนินอยู่ โดยมีเครื่องบิน A330ceo ประมาณ 550 ลำให้บริการในภูมิภาค เครื่องบิน A330neo ถูกวางตำแหน่งเป็นตัวเลือกทดแทนโดยธรรมชาติ ซึ่งช่วยให้สายการบินเปลี่ยนผ่านได้อย่างราบรื่น พร้อมทั้งมีความเหมือนกันทั้งในการฝึกอบรมนักบินและการดำเนินงานทางเทคนิคระหว่างสองรุ่น

 

อานันท์ สแตนลีย์ ประธาน Airbus ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นของการเติบโต ขับเคลื่อนด้วยความต้องการเดินทางทางอากาศและโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง Airbus มุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรกับสายการบินในภูมิภาคนี้ เพื่อนำเสนอฝูงบินที่ทันสมัยและยั่งยืน”

 

ภาพ: Airbus

อ้างอิง:

  • Airbus

The post Airbus คาดการณ์ เอเชียแปซิฟิกจะต้องการเครื่องบินใหม่ 19,560 ลำในอีก 20 ปีข้างหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
อนาคตธุรกิจดิจิทัลเอเชีย: ส่องโอกาส ความท้าทาย และกลยุทธ์อยู่รอดในตลาดที่แข่งขันสูงผ่านเลนส์ Dexian [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/dexian-apac-digital-transformation-thailand-hub/ Thu, 30 Oct 2025 06:00:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1136711 dexian-apac-digital-transformation-thailand-hub

โลกธุรกิจในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้วัดกันที่ขนาดของบริษัทเพี […]

The post อนาคตธุรกิจดิจิทัลเอเชีย: ส่องโอกาส ความท้าทาย และกลยุทธ์อยู่รอดในตลาดที่แข่งขันสูงผ่านเลนส์ Dexian [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
dexian-apac-digital-transformation-thailand-hub

โลกธุรกิจในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้วัดกันที่ขนาดของบริษัทเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่เป็นการวัดกันที่ ใครเข้าใจการเปลี่ยนแปลงและลงมือปรับตัวได้เร็วกว่า

 

เอเชียแปซิฟิก (APAC) คือสมรภูมิหลักของการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล โดยไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์กำลังก้าวกระโดดใช้เทคโนโลยีสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ ตอบโจทย์คนยุคดิจิทัล เช่น การชำระเงินด้วย QR และระบบนิเวศดิจิทัลที่ซับซ้อน

 

ไทยเองมีเป้าหมายเชิงนโยบาย “Thailand 4.0” ที่ต้องการผลักดันให้เศรษฐกิจดิจิทัลมีสัดส่วนถึง 30% ของ GDP ภายในปี 2030 ทำให้ตลาดนี้มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่อทั้งภาครัฐและเอกชน

 

นี่คือเหตุผลว่าทำไมบริษัท IT Solutions ระดับโลกอย่าง Dexian จึงเลือก “ปักหมุด” การเติบโตในเอเชียแปซิฟิก โดยใช้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในฐานสำคัญ 

 

THE STANDARD มีโอกาสสนทนากับสองผู้บริหารหลักของ Dexian ได้แก่ Ashu Bhatia, ITS Practice Global Lead และ Vikram Motiani, Managing Director APAC เพื่อเจาะลึกมุมมองว่า Dexian กำลังมองตลาด การแข่งขัน และอนาคตของ Digital Transformation อย่างไรในภูมิภาคที่เคลื่อนไหวรวดเร็วที่สุดในโลก

 

มองตลาด APAC ผ่านเลนส์ Dexian

 

“เอเชียแปซิฟิกไม่ใช่ตลาดที่กำลังไล่ตามโลก แต่กำลังกลายเป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล” Ashu Bhatia กล่าวย้ำในช่วงต้นการสนทนา

 

Ashu Bhatia, ITS Practice Global Lead

Ashu Bhatia, ITS Practice Global Lead

 

กว่า 35 ปีที่ Dexian ทำงานในอเมริกาเหนือ บราซิล เม็กซิโก และยุโรป ประสบการณ์เหล่านั้นทำให้พวกเขาเห็นความแตกต่างที่ชัดเจน เมื่อหันกลับมามองเอเชีย 

 

“สิ่งที่เกิดขึ้นในไทยหรือสิงคโปร์วันนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการปรับปรุงระบบ แต่เป็นการก้าวกระโดดสร้างสิ่งใหม่ เช่น PromptPay ของไทย หรือการสร้าง Digital Twin ในภาคการผลิต ซึ่งไม่เพียงทัดเทียม แต่บางครั้งยังเหนือกว่าสิ่งที่โลกตะวันตกทำอยู่”

 

สำหรับ Dexian นี่คือโอกาสในการเปลี่ยนภูมิภาคนี้ให้เป็นพื้นที่ทดสอบนวัตกรรมระดับโลก “ลูกค้าในเอเชียแปซิฟิกฉลาดและรู้ว่าต้องการอะไร พวกเขาต้องการ Customer Experience ที่ดีขึ้น ต้องการการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล และต้องการควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุดแข็งของ Dexian คือเราเล็กพอที่จะฟังเสียงลูกค้าทุกราย แต่ใหญ่พอที่จะลงมือทำให้สำเร็จ” Vikram กล่าว

 

Vikram Motiani, Managing Director APAC

Vikram Motiani, Managing Director APAC

 

วิธีคว้าโอกาสลูกค้าใหม่ APAC ในตลาดที่แข่งขันสูง

 

ลูกค้าในภูมิภาคนี้ไม่เพียงต้องการระบบที่เสถียรแบบเดิม แต่ยังมองหาโซลูชันที่ยืดหยุ่น ปรับตัวเร็ว และสอดคล้องกับชีวิตดิจิทัลของผู้บริโภคยุคใหม่

 

Ashu ยกตัวอย่างว่า แม้ Core Banking ของธนาคารใหญ่ในไทยยังเป็นระบบเดิม แต่ Mobile Banking หรือ Embedded Finance กลับมีนวัตกรรมใหม่เกิดขึ้นทุกวัน “วันนี้คุณสามารถเรียกบริการรถรับส่ง แล้วซื้อประกัน Micro Insurance ได้ในไม่กี่คลิก สิ่งเหล่านี้คือสัญญาณว่าผู้บริโภคพร้อมจะยอมรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เร็วกว่าสหรัฐอเมริกา หรือยุโรปด้วยซ้ำ”

 

Dexian เชื่อว่าในตลาดเอเชียแปซิฟิกที่แข่งขันสูง พวกเขามีความได้เปรียบในการสร้างและนำ Insight ไปปฏิบัติได้จริง “เรานำมาตรฐานระดับโลกมาปรับใช้ แต่ไม่ยัดเยียด เราฟังเสียงลูกค้า เคารพกฎหมายท้องถิ่น และทำให้โซลูชันให้เหมาะสมกับลูกค้าท้องถิ่นจนใช้ได้จริง นี่คือสิ่งที่ทำให้เราแตกต่างออกไป” Ashu กล่าว

 

3 จุดแข็ง Dexian ที่ทำให้โดดเด่นและแตกต่าง

 

Dexian โดดเด่นด้วยการลงมือทำจริง สร้างแบรนด์ที่จดจำในฐานะพันธมิตรที่ “พูดแล้วทำจริง” Vikram สรุปจุดแข็ง 3 ข้อชัดเจน

 

  • Leadership การมีผู้นำที่เข้าใจธุรกิจ และทำงานใกล้ชิดกับลูกค้า
  • Hybrid Delivery Model การทำงานผสมผสาน Onshore, Offshore และ Nearshore ได้อย่างยืดหยุ่น
  • AI-first Mindset การนำ AI มาเป็นหัวใจในการคิดและส่งมอบ ไม่ใช่แค่เครื่องมือเสริม

 

“เราคือบริษัทที่เติบโตมาจากความเชี่ยวชาญเรื่อง AI เราไม่เพียงใช้ AI กับลูกค้า แต่ยังใช้ภายในองค์กรเอง เพื่อทำให้พนักงานคิดค้นนวัตกรรมและส่งมอบได้เร็วขึ้น เหตุผลที่ลูกค้าเลือกเรา ไม่ใช่เพราะเรามีเครื่องมือ แต่เพราะเราสามารถทำให้เครื่องมือเหล่านั้น ‘ทำงานได้จริง’ ในตลาดท้องถิ่น” Vikram กล่าว

 

“ลูกค้าหลายรายเคยผิดหวังจากผู้ให้บริการรายใหญ่ที่สัญญาไว้แต่ทำไม่ได้ แต่เมื่อทำงานกับ Dexian เราส่งมอบตามเวลาและคุณภาพที่ตกลงไว้ นี่คือสิ่งที่สร้าง Trust และทำให้เราได้สัญญาต่อเนื่อง”

 

จาก Staffing Firm สู่ IT Solution Partner

 

หลายคนยังคงจดจำ Dexian ในฐานะ บริษัทจัดหาบุคลากร (Staffing Firm) แต่ Ashu ยืนยันว่า วันนี้บริษัทได้ก้าวไปไกลกว่านั้นแล้ว

 

“คน (People) ยังคงเป็นหัวใจหลักของเรา แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เราต่อยอดด้วย แพลตฟอร์ม (Platform) และ กระบวนการ (Process) เพราะถ้าคุณมีคนเก่ง แต่ขาดเครื่องมือและระบบที่เหมาะสม คุณก็ไม่สามารถสร้างคุณค่าจริงให้ลูกค้าได้” Ashu อธิบาย

 

Dexian IT Solutions Asia-Pacific Digital Transformation

 

โมเดลที่ Dexian ใช้คือการผสมผสานทั้งสามเสาหลัก People, Platform และ Process เข้าด้วยกัน ทำให้สามารถออกแบบโซลูชันที่ครบวงจร ตั้งแต่การจัดหาคนเก่ง การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม (เช่น ServiceNow, Salesforce, SAP) ไปจนถึงการออกแบบกระบวนการทำงานที่สร้างคุณค่าเพิ่ม

 

อีกก้าวสำคัญของ Dexian คือการซื้อกิจการ Conga Technologies ซึ่งเชี่ยวชาญด้าน Automation และ Contract Management Ashu เล่าว่า ทุกบริษัทต้องบริหารสัญญา เช่น การต่ออายุสัญญากับซัพพลายเออร์ หรือการเจรจาเงื่อนไขใหม่เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ Conga ใช้ Automation และ AI-first เพื่อให้กระบวนการเหล่านี้รวดเร็วขึ้น

 

ถือเป็นการสร้าง Strategic Synergy ที่ทำให้ Dexian นำเสนอโซลูชัน Intelligent Contract Management ได้กับทุกอุตสาหกรรม ทั้งน้ำมัน การเงิน ค้าปลีก และอื่น ๆ อีกมากมาย

 

ผลลัพธ์ที่จับต้องได้จากตัวเลขสู่ความเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ

 

ในโลกธุรกิจ เทคโนโลยีจะมีความหมายก็ต่อเมื่อสามารถสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ทั้งการลดต้นทุน เพิ่มรายได้ หรือทำให้ธุรกิจเร็วขึ้น Dexian เข้าใจและใช้ผลลัพธ์จากลูกค้าเป็นเครื่องยืนยันคุณค่า Vikram เล่าตรงไปตรงมาว่า ผ่าน 3 ตัวอย่างว่า

 

  • ลูกค้าสถาบันการเงินรายหนึ่ง เราช่วยเขาปรับโมเดล IT Delivery ทำให้ประหยัดต้นทุนได้กว่า 24%
  • ลูกค้าอุตสาหกรรมการผลิต เรานำ Predictive AI เข้าไปใช้ วิเคราะห์เครื่องจักรล่วงหน้า จนเขาเติบโตได้ 30%
  • บริษัทโลจิสติกส์ในไทย เราตั้งระบบให้เสร็จภายในเวลาอันรวดเร็ว ลูกค้าประทับใจมากจนขอให้เราขยายไปช่วยในประเทศอื่นด้วย”

 

Dexian IT Solutions Asia-Pacific Digital Transformation

 

Ashu อธิบายเพิ่มเติมว่า หลักการที่ Dexian ใช้ไม่ใช่แค่การ “ติดตั้งเทคโนโลยี” แต่คือการออกแบบระบบที่ทำงานร่วมกันอย่างครบวงจร ตัวอย่างชัดเจนคือ Preventive Maintenance ในโรงงานผลิต

 

“ในอุตสาหกรรมที่เครื่องจักรหยุดเพียง 1% ก็หมายถึงความสูญเสียมหาศาล ลูกค้าหลายรายต่างต้องการระบบที่ช่วยทำนายความเสี่ยงล่วงหน้า เราใช้เซนเซอร์เก็บข้อมูล เช่น อุณหภูมิ ความชื้น และความร้อนจากการใช้งานหลายปี นำข้อมูลเข้าสู่แพลตฟอร์ม แล้วระบบสามารถบอกได้ว่า ‘ชิ้นส่วนนี้มีโอกาสพังภายในอีก 1 เดือน’”

 

สิ่งนี้ไม่เพียงทำให้ลูกค้าวางแผนซ่อมบำรุงได้ล่วงหน้า แต่ยังเชื่อมเข้ากับ ซัพพลายเชนและทีมช่าง ระบบจะสั่งอะไหล่และเรียกช่างมาเปลี่ยนตรงเวลาโดยอัตโนมัติ ผลคือ ลด Downtime และสร้าง ROI 15–20%

 

หลากหลายอุตสาหกรรมยังเติบโตด้านดิจิทัลได้อีก

 

Dexian ไม่ได้จำกัดอยู่แค่อุตสาหกรรมการเงินหรือการผลิต แต่ยังขยายไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่กำลังเติบโต เช่น Healthcare และภาครัฐ

 

“Healthcare จะเป็นคลื่นลูกใหม่ของ Digital Transformation เพราะมันเกี่ยวข้องกับชีวิตผู้คน ตั้งแต่การนัดหมายหมอ ไปจนถึงการลดเวลารอคิวในโรงพยาบาลใหญ่ ๆ หรือการดูแลผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกล การใช้ดิจิทัลจะสร้างผลกระทบมหาศาล” Ashu กล่าว

 

Vikram เสริมว่า อุตสาหกรรม Manufacturing และ Semiconductors ก็เป็นอีกสองกลุ่มที่จะเติบโตเร็วในเอเชีย เพราะต้องการทั้งความแม่นยำและการทำงานแบบ Data-driven

 

ความท้าทายของตลาด APAC ที่ต้องก้าวข้าม

 

สำหรับ Dexian การเติบโตในเอเชียแปซิฟิกคือความท้าทายสำคัญ Ashu เผยว่าอุปสรรคไม่ใช่เทคโนโลยี แต่คือการสร้างการยอมรับและการปรับใช้จากลูกค้า

 

“ลูกค้าในเอเชียมักถามเราก่อนเสมอว่า ‘คุณเคยทำแบบนี้ที่ยุโรปหรือสหรัฐฯ ไหม? มีเคสสตัดดีให้ดูหรือเปล่า?’ เพราะพวกเขา Risk Averse มาก ต่างจากตะวันตกที่พร้อมลองสิ่งใหม่ ๆ เราจึงต้องสร้าง Trust ผ่านผลงานจริง ไม่ใช่คำพูด” Ashu กล่าว

 

นอกจากนี้ Vikram ขยายความว่า ความท้าทายของลูกค้าในเอเชียแปซิฟิกสามารถสรุปได้ 3 เรื่องหลัก

 

  • Legacy Systems ระบบเก่าที่ใช้งานมานาน ทั้งแพง ซับซ้อน และเต็มไปด้วยแรงต้านจากทีมงาน
  • Talent & Skills Gap การขาดบุคลากรที่มีทักษะด้าน Cloud, Data, AI ทำให้องค์กรต้องลงทุนอย่างมากในการ Upskill และ Reskill
  • Culture & Readiness แม้จะมีเทคโนโลยี แต่ถ้าวัฒนธรรมองค์กรยังไม่พร้อมเปลี่ยน ความพยายามก็อาจล้มเหลว

 

ความท้าทายใหญ่ขององค์กรในภูมิภาคนี้คือความเข้าใจผิดเรื่อง AI หลายคนเชื่อว่า AI แก้ได้ทุกปัญหา แต่ Ashu เตือนว่า AI ต้องมี Data Platform ที่แข็งแรง มิฉะนั้นจะเป็น Garbage In, Garbage Out ทำให้ Dexian จึงเน้นช่วยลูกค้าสร้าง Data Platform & Data Cleaning ก่อนการใช้ AI เต็มรูปแบบ ซึ่งคิดเป็น 70% ของรายได้

 

Vikram เสริมว่า “อีกความเข้าใจผิดคือ AI จะทำให้คนตกงานทั้งหมด ความจริงคือมันจะทำให้งานบางส่วนหายไป แต่จะมีงานใหม่เกิดขึ้น ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการ Upskill และ Reskill เพื่อให้คนทำงานร่วมกับ AI ได้”

 

การเปลี่ยนแปลงที่ดีต้องเริ่มต้นได้ดีก่อน

 

สิ่งที่ Dexian เลือกทำคือ ไม่ผลักดัน Big Bang Transformation แต่เริ่มจาก Pilot Project ขนาดเล็กที่ลูกค้าเห็นผลลัพธ์ได้จริง

 

“เราบอกลูกค้าเสมอว่า ไม่ต้องเปลี่ยนทุกอย่างในครั้งเดียว เริ่มจากโครงการเล็ก ๆ ที่พิสูจน์คุณค่าได้ก่อน แล้วค่อยขยาย นี่คือวิธีที่ทำให้ลูกค้ามั่นใจ และทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริง” Vikram กล่าว

 

Dexian ดำเนินการ Change Management ให้ลูกค้าแบบคู่ขนาน ทั้งการอบรมผู้บริหารให้มี AI Fluency และร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเพื่อสร้าง Talent Pipeline เพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่พร้อมรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และเปลี่ยนวิธีคิดทั้งองค์กร

 

การเติบโตทางดิจิทัลขององค์กรต้องครบรอบด้าน

 

ช่วงท้ายของการสนทนา Vikram และ Ashu มักกล่าวถึง “Growth” ซึ่งไม่ได้หมายถึงการเติบโตเชิงปริมาณเท่านั้น แต่เป็นการเติบโตทั้งในด้านความกว้างและความลึก โดย Vikram ชี้แจงว่า Dexian มองการเติบโตในสามมิติหลัก

 

  • Geographic Expansion การขยายไปยังตลาดใหม่อย่างเวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งถูกมองว่าเป็น “ดาวรุ่ง” ของ Digital Transformation
  • Industry Expansion จากการเงิน น้ำมัน ก๊าซ และการผลิต ไปสู่ Healthcare, Government และ Public Sector ที่กำลังเปิดรับการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล
  • AI & Data Deepening การลงทุนเชิงลึกเพื่อทำให้ Dexian เป็น AI-first Company อย่างแท้จริง ใช้ AI ทั้งกับลูกค้าและภายในองค์กรเอง

 

“เราไม่ได้มองแค่การเติบโตในเชิงพื้นที่ แต่ยังมองเชิงลึกเพื่อทำให้ Dexian ก้าวสู่การเป็น Top 5 Global IT Solutions และ Talent Firm” Vikram กล่าว

 

วิสัยทัศน์ต่อประเทศไทยในเรื่องเติบโตด้านดิจิทัล

 

Ashu ย้ำว่าไทยเป็น Hub สำคัญในภูมิภาค โดยกำลังสร้าง Center of Excellence (CoE) ในกรุงเทพฯ เพื่อขยายสู่ประเทศเพื่อนบ้าน Dexian ยังลงทุนใน Talent Development ร่วมกับมหาวิทยาลัยไทย เช่น จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ และมหิดล เพื่อสร้าง Talent ด้าน AI, Data และ Cloud ซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาวที่สร้างประโยชน์ทั้งต่อ Dexian และระบบนิเวศของประเทศ

 

แม้จะตั้งเป้าใหญ่ในระดับโลก แต่สิ่งที่ทำให้ Dexian แตกต่างคือการไม่ลืมความเป็นท้องถิ่น “เราไม่ใช่แค่บริษัทที่ขายเพียงสไลด์นำเสนอหรือรายงาน ลูกค้าต้องการคนที่ลงมือทำ และส่งมอบผลลัพธ์จริง Dexian ทำสิ่งนี้ได้ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เราต่างจากคู่แข่ง” Ashu กล่าว

 

ในตอนท้ายของการสนทนา ทั้งสองผู้บริหารฝากข้อความถึงลูกค้าในเอเชียแปซิฟิกที่กำลังมองหาพันธมิตรด้านดิจิทัล “เราพร้อมที่จะเดินไปกับคุณ ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้นโครงการเล็ก ๆ หรือกำลังทำ Transformation ครั้งใหญ่ เรามีทั้งความเชี่ยวชาญระดับโลกและความเข้าใจท้องถิ่น และเราจะอยู่กับคุณในระยะยาว” Vikram กล่าว

 

Ashu เสริมว่า “หลายบริษัทกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายและความเสี่ยง สิ่งที่ผมอยากบอกคือ Dexian สามารถเริ่มเล็ก ๆ ให้คุณเห็นผลจริงก่อน แล้วค่อยขยายไปเรื่อย ๆ และอย่าลืมว่า เราไม่ได้มาแทนที่ทีมของคุณ แต่เรามาเสริมศักยภาพให้คุณโฟกัสในสิ่งที่ทำได้ดีที่สุด”

 

เส้นทางของ Dexian อาจเริ่มจากการเป็น Staffing Firm แต่วันนี้บริษัทกำลังยืนในฐานะ Digital Transformation Partner ตัวจริง ที่มีทั้งเทคโนโลยีระดับโลก ความเข้าใจท้องถิ่น และการลงมือทำที่พิสูจน์ได้

 

“เราไม่ใช่บริษัทที่บินลงมาแล้วบินกลับ แต่เราอยู่ที่นี่จริง ๆ และจะเติบโตไปพร้อมกับลูกค้า” สะท้อนตัวตนชัดเจนว่า บริษัทที่ไม่เพียงมองเห็นอนาคต แต่กำลังสร้างให้เป็นจริงในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นหัวใจของการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลโลก

 

ทีม Dexian (Thailand) ที่กรุงเทพ

ทีม Dexian (Thailand) ที่กรุงเทพ

 

รู้จัก Dexian ให้มากขึ้น

 

Dexian คือบริษัทระดับโลกที่เชี่ยวชาญทั้ง Talent Solutions และ IT Solutions โดยมุ่งผสาน “คน” และ “เทคโนโลยี” เข้าด้วยกันเพื่อช่วยองค์กรปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ บริษัทมีเครือข่ายครอบคลุมกว่า 70 สาขาทั่วโลก พนักงานกว่า 12,000 คน และประสบการณ์ยาวนานกว่า สามทศวรรษ ในการทำงานร่วมกับองค์กรตั้งแต่ Fortune 500 ไปจนถึงภาคธุรกิจท้องถิ่น

 

ด้วยโมเดลการทำงานที่ยืดหยุ่นทั้ง Onshore, Offshore และ Nearshore Dexian สามารถส่งมอบโซลูชันที่ครอบคลุมตั้งแต่การสรรหาบุคลากร การวางระบบโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure, Cloud) การพัฒนาแอปพลิเคชัน ไปจนถึง AI, Data Analytics และ Cybersecurity เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายขององค์กรยุคใหม่ได้อย่างครบวงจร

The post อนาคตธุรกิจดิจิทัลเอเชีย: ส่องโอกาส ความท้าทาย และกลยุทธ์อยู่รอดในตลาดที่แข่งขันสูงผ่านเลนส์ Dexian [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
Riot ปรับระบบใหม่ ทีม Challengers มีสิทธิ์ลุ้นศึกชิงแชมป์โลก Valorant 2026 https://thestandard.co/riot-new-system-challengers-worlds/ Fri, 24 Oct 2025 07:31:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1134858 Riot ปรับระบบใหม่ ทีม Challengers มีสิทธิ์ลุ้นศึกชิงแชมป์โลก Valorant 2026

หลังจบฤดูกาล 2025 ลงไปไม่นาน ภาพสะท้อนการแข่งขันเกม VAL […]

The post Riot ปรับระบบใหม่ ทีม Challengers มีสิทธิ์ลุ้นศึกชิงแชมป์โลก Valorant 2026 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Riot ปรับระบบใหม่ ทีม Challengers มีสิทธิ์ลุ้นศึกชิงแชมป์โลก Valorant 2026

หลังจบฤดูกาล 2025 ลงไปไม่นาน ภาพสะท้อนการแข่งขันเกม VALORANT โดยเฉพาะในฝั่ง Pacific กำลังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของจำนวนผู้เล่น แฟนคลับ และทีมหน้าใหม่ที่พุ่งทะยานเข้าสู่เวทีอาชีพ

 

แต่ในปี 2026 นี้ เส้นทางของเหล่า Challengers กำลังจะเปลี่ยนไป เมื่อ Riot Games ประกาศอัปเดตครั้งใหญ่ในระบบ Path to Champions ที่จะพลิกโฉมโครงสร้างการแข่งขันของลีก Challengers ทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป

 

🔺 เส้นทางใหม่ของทีม Challengers

 

จากเดิมที่ทีมต้องผ่านรอบ Ascension เพื่อเลื่อนชั้นสู่ลีกระดับนานาชาติ โดยปีหน้า ทีมจาก Challengers จะได้มีโอกาสต่อสู้โดยตรง เพื่อคว้าสิทธิ์เข้าสู่รอบ Stage 2 Playoffs ของลีกอินเตอร์ จุดเริ่มต้นสู่เส้นทาง VALORANT Champions

 

ในปี 2026 แต่ละลีกระดับนานาชาติจะมอบ 4 สิทธิ์ ให้ทีมจาก Challengers เข้าร่วม Stage 2 Playoffs โดยโควตาของภูมิภาค เอเชียแปซิฟิก (APAC) จะจัดสรรดังนี้

 

  • ทีมอันดับ 1 จาก Southeast Asia, Japan, และ Korea ได้สิทธิ์เข้าสู่ Stage 2 Playoffs โดยตรง

 

  • สิทธิ์สุดท้าย (อันดับ 4) จะตัดสินผ่านรอบ Last Chance Qualifier (LCQ) ระหว่างทีมจาก South Asia, Oceania และทีมอันดับ 2–3 จาก Southeast Asia

 

นอกจากนี้ ทีม Challengers ที่ทะลุเข้าสู่ Stage 2 Playoffs จะได้รับเงินสนับสนุน 75,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 2.5 ล้านบาท) เพื่อใช้พัฒนาและเตรียมทีมสำหรับการแข่งขันระดับโลก

 

ส่วนทีม Academy จะยังคงแข่งขันในลีก Challengers ได้เช่นเดิม แต่จะไม่สามารถผ่านเข้าสู่ Stage 2 Playoffs และตั้งแต่ปี 2026 ระบบ “ป้องกันการตกชั้น” (relegation protection) สำหรับทีม Academy จะถูกยกเลิก เพื่อให้การแข่งขันเข้มข้นและเป็นธรรมยิ่งขึ้น

 

ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมของแต่ละภูมิภาคจะประกาศในเร็วๆ นี้

 

🔺 โฉมใหม่ของ Challengers SEA

 

Riot ยังประกาศโครงสร้างใหม่ของ Challengers Southeast Asia (SEA) ที่จะเปิดเวทีให้ผู้เล่นท้องถิ่นได้เปล่งประกายมากขึ้น ด้วยการแข่งขันแบบ 2 Split ต่อปี ผสานรอบ Local Qualifier ในประเทศ และรอบ Pan-Regional ระดับภูมิภาค

 

เส้นทางเริ่มจากรอบ Open Qualifier ในแต่ละประเทศ ทีมที่ผ่านเข้ามาจะลงแข่งใน Local Qualifier Tournament โดยทีมอันดับ 1-2 จะได้สิทธิ์เข้าสู่ Challengers SEA (12 ทีมต่อ Split)

 

ในปี 2026 จะมีการแข่งขันใน ไทย, อินโดนีเซีย, เวียดนาม และฟิลิปปินส์
ส่วนประเทศอื่น ๆ จะเข้าร่วมในรอบ Final Qualifier และทีมที่ทำผลงานเด่นในระบบ Premier จะได้รับสิทธิ์เข้าร่วม Challengers SEA ด้วย

 

นอกจากนี้ Riot ยังเตรียมยกเลิกข้อจำกัดด้านการถ่ายทอดสดแบบเอ็กซ์คลูซีฟ เปิดโอกาสให้พาร์ตเนอร์ในแต่ละประเทศถ่ายทอดสดได้ในภาษาท้องถิ่น เพื่อให้ชุมชนแฟน VALORANT เข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น

 

ทางด้าน เจค สิน หัวหน้า VALORANT Esports ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ว่า “เราอยากเห็นทีมจากเอเชียแปซิฟิกมีพื้นที่แสดงศักยภาพบนเวทีโลกมากขึ้น การปรับโครงสร้างครั้งนี้คือการเปิดประตูให้เหล่า Challengers ได้พิสูจน์ตัวเอง และสร้างตำนานใหม่ในเวที VALORANT Esports”

The post Riot ปรับระบบใหม่ ทีม Challengers มีสิทธิ์ลุ้นศึกชิงแชมป์โลก Valorant 2026 appeared first on THE STANDARD.

]]>
จับตาเวทีประชุมความมั่นคงเอเชีย-แปซิฟิก Shangri-La Dialogue 2025 ที่สิงคโปร์ https://thestandard.co/shangri-la-strategic-forum/ Mon, 26 May 2025 05:53:48 +0000 https://thestandard.co/?p=1078545 shangri-la-strategic-forum

การประชุมสุดยอดด้านความมั่นคงที่สำคัญที่สุดของภูมิภาคเอ […]

The post จับตาเวทีประชุมความมั่นคงเอเชีย-แปซิฟิก Shangri-La Dialogue 2025 ที่สิงคโปร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
shangri-la-strategic-forum

การประชุมสุดยอดด้านความมั่นคงที่สำคัญที่สุดของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกกำลังจะเริ่มขึ้นในสัปดาห์นี้แล้ว นั่นก็คือเวที Shangri-La Dialogue 2025 ซึ่งจัดโดยสถาบัน IISS (International Institute for Strategic Studies) ในเวลานี้กำลังเตรียมต้อนรับผู้นำด้านกลาโหมจากทั่วโลก โดยการประชุมจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2025 ณ ประเทศสิงคโปร์

 

เวทีนี้ไม่เพียงเป็นที่รวมตัวของรัฐมนตรีกลาโหม ผู้นำทหาร นักการทูต และผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงจากเอเชีย-แปซิฟิก ยุโรป และอเมริกาเหนือเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ “เจรจาเชิงยุทธศาสตร์” เพื่อรับมือกับความท้าทายรอบด้านของภูมิภาคในช่วงเวลาที่การเมืองโลกกำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว

 

บุคคลสำคัญที่ยืนยันเข้าร่วม ไม่ว่าจะเป็น เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ซึ่งเขาจะกล่าวสุนทรพจน์เปิดการประชุมในวันที่ 30 พฤษภาคม โดยถือเป็นครั้งแรกที่ผู้นำฝรั่งเศสขึ้นกล่าวบนเวทีนี้ พร้อมคาดหมายว่าจะสะท้อนวิสัยทัศน์ของฝรั่งเศสในฐานะชาติยุโรปที่มีบทบาทในอินโด-แปซิฟิก

 

นอกจากนี้ ยังมี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย จะกล่าวถ้อยแถลงพิเศษ สะท้อนมุมมองของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และพีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐอเมริกา เป็นอีกหนึ่งผู้มีบทบาทสำคัญที่ยืนยันเข้าร่วมและจะขึ้นเวทีหารือกับผู้นำจากทั่วภูมิภาค

 

ขณะที่หัวข้อหลักที่น่าจับตาในปีนี้ ได้แก่

 

  1. ความมั่นคงในมหาสมุทรอินเดีย (Securing the Indian Ocean)
  • ประเด็นการปกป้องอธิปไตยทางทะเล ปราบปรามการละเมิดกฎหมาย เช่น การประมงผิดกฎหมาย ลักลอบขนยาเสพติด และการค้ามนุษย์ในน่านน้ำเศรษฐกิจสำคัญของโลก
  1. การจัดการความเสี่ยงจากการแพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
  • การหากลไกควบคุมและลดอาวุธนิวเคลียร์ ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างรัฐมหาอำนาจนิวเคลียร์หลายประเทศในภูมิภาค
  1. การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ (Great Power Competition)
  • การปะทะเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนในภูมิภาค รวมถึงบทบาทของประเทศต่าง ๆ ในการรักษาความสมดุล

 

เวที Shangri-La Dialogue ถูกจับตามองอย่างมากในปีนี้ เพราะเกิดขึ้นในช่วงที่ภูมิรัฐศาสตร์อินโด-แปซิฟิกกำลังเปราะบาง และการหารือครั้งนี้อาจกำหนดทิศทางความมั่นคงของภูมิภาคในอนาคตอันใกล้

 

ภาพ: Antoine Gyori-Corbis / Corbis via Getty Images, Contributor / Getty Images, Alex Wong / Getty Images

 

อ้างอิง:

The post จับตาเวทีประชุมความมั่นคงเอเชีย-แปซิฟิก Shangri-La Dialogue 2025 ที่สิงคโปร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สำรวจ 6 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความพร้อมของกำลังแรงงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก https://thestandard.co/asia-pacific-workforce-readiness-6-factors/ Fri, 30 Jun 2023 03:23:13 +0000 https://thestandard.co/?p=809731 แรงงาน

แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤตโรคระบาด แต่ธุรก […]

The post สำรวจ 6 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความพร้อมของกำลังแรงงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก appeared first on THE STANDARD.

]]>
แรงงาน

แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤตโรคระบาด แต่ธุรกิจยังต้องเผชิญกับความท้าทายในด้านต่างๆ ที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความท้าทายด้านการเงิน สังคม และสิ่งแวดล้อม ทำให้ธุรกิจทั่วทุกภูมิภาค รวมถึงภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต้องเร่งปรับตัว เพื่อเปลี่ยนความไม่แน่นอนให้เป็นโอกาส และเปลี่ยนปัญหาให้เป็นศักยภาพในการเติบโต

 

แต่การจะเปลี่ยนผ่านธุรกิจใดๆ เพื่อให้สามารถเอาตัวรอดและเติบโตได้ท่ามกลางความไม่แน่นอน องค์กรจำเป็นที่จะต้องได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่จากพนักงานที่ก็ต้องมีความกระตือรือร้นและมีความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆ กันด้วย ซึ่งคำถามสำคัญในวันนี้คือ “แล้วพนักงานมีความพร้อมที่จะปรับตัวไปพร้อมกับองค์กรแล้วหรือยัง?” 

 

รายงานผลสำรวจ Asia Pacific Workforce Hopes and Fears Survey 2023: Is the workforce ready for reinvention? ได้รวบรวมความคิดเห็นของกำลังแรงงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จำนวนกว่า 19,500 คน ซึ่งมีผู้ตอบแบบสำรวจจากประเทศไทยรวมอยู่ด้วยถึง 1,000 ราย ได้นำเสนอ 6 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงของพนักงาน ไว้ได้อย่างน่าสนใจ ดังนี้

 

  1. มุมมองต่อความสามารถในการอยู่รอดของธุรกิจ รายงานพบว่า 51% ของพนักงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเชื่อว่า บริษัทที่ตนทำงานอยู่จะไม่สามารถอยู่รอดได้ในอีก 10 ปีข้างหน้า หากยังดำเนินธุรกิจในรูปแบบเดิม ใกล้เคียงกับแรงงานไทยที่ 49% โดยยังพบด้วยว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง มิลเลนเนียล (47%) มีมุมมองเชิงบวกต่อความสามารถในการอยู่รอดของธุรกิจน้อยกว่า กลุ่ม Gen X (62%) 

 

  1. ความรู้สึกของพนักงาน พนักงานในภูมิภาคนี้ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในงานที่ทำอยู่ โดย 57% แสดงความพึงพอใจในงานปัจจุบัน ในขณะที่ 79% ของกำลังแรงงานไทยมีความพึงพอใจในงานของตน ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แต่ความพึงพอใจของกำลังแรงงานในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่าง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง และสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าที่ 29% ถึง 45% 

 

อย่างไรก็ดี พนักงานมากกว่า 40% ในภูมิภาคนี้ ต้องการขอขึ้นเงินเดือนและเลื่อนตำแหน่งในอีก 12 เดือนข้างหน้า เช่นเดียวกับกำลังแรงงานไทยที่ 47% นอกจากนี้ 28% ของกำลังแรงงานในภูมิภาคก็กำลังมองหางานใหม่มากขึ้นกว่าปีก่อนที่ 18% สำหรับแรงงานไทยมี 30% ที่ต้องการเปลี่ยนงาน เปรียบเทียบกับปีก่อนที่ 13% ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น

 

แรงงาน

 

  1. ทักษะแรงงาน 70% ของกำลังแรงงานไทยเชื่อว่า ทักษะที่จำเป็นในการทำงานจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในอีก 5 ปีข้างหน้า สูงกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ 44% และสูงที่สุดในภูมิภาคนี้ โดยทักษะในการทำงานร่วมกัน (Collaborative Skills) มีความสำคัญเป็นอันดับแรกที่ 84% ตามมาด้วยทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytic Skills) และทักษะความเป็นผู้นำ (Leadership Skills) ที่ 83% เท่ากัน อย่างไรก็ดี ทักษะด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน (Green Skills) ยังคงถูกมองว่ามีความสำคัญน้อยที่สุดทั้งในระดับภูมิภาคและในระดับโลก 

 

  1. เทคโนโลยีเกิดใหม่ แรงงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกส่วนใหญ่มีมุมมองเชิงบวกต่อผลกระทบของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีต่องานของตน โดยมองว่าสามารถนำมาใช้ประโยชน์และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ได้ โดย 47% ของกำลังแรงงานไทยเชื่อว่า AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงาน และ 44% มองว่า AI จะสร้างโอกาสในการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ อย่างไรก็ดี ยังมีแรงงานอีกส่วนหนึ่งที่ขาดความมั่นใจในการเรียนรู้ทักษะเกี่ยวกับ AI สำหรับทักษะด้านดิจิทัลนั้นๆ มากกว่า 50% ของแรงงานในภูมิภาคนี้เชื่อว่า ทักษะดิจิทัลจะมีความสำคัญต่อการทำงานในอนาคต เช่นเดียวกับแรงงานไทยที่ 77%

 

  1. สภาพแวดล้อมในการทำงาน กำลังแรงงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีความคิดเห็นและความรู้สึกต่อสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่ แต่โดยรวมยังมีข้อแนะนำที่องค์กรสามารถปรับปรุงได้ในหลายๆ ด้าน เช่น การสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ทันสมัย สนับสนุนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ให้ความสำคัญกับความหลากหลายและการมีส่วนร่วม และการสร้างความเชื่อมั่นให้กับพนักงาน

 

เป็นที่น่าสนใจว่า 71% ของกำลังแรงงานไทยกล่าวว่า ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมจากหัวหน้างาน ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในภูมิภาค และ 42% กล่าวว่า ได้รับการสนับสนุนให้แสดงความคิดเห็นและโต้แย้งได้ อย่างไรก็ดี แม้ว่าการให้ข้อเสนอแนะ (Feedback) จะถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาการทำงาน แต่มีเพียงประมาณครึ่งหนึ่งของกำลังแรงงานในภูมิภาคเท่านั้นที่มีความกระตือรือร้นในการได้รับข้อเสนอแนะและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงาน

 

  1. แนวปฏิบัติด้านสภาพภูมิอากาศขององค์กร แม้ว่าในปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเป็นหนึ่งในกระแสสำคัญของโลกที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของทุกภาคส่วน แต่รายงานพบว่า กำลังแรงงานในภูมิภาคยังคงไม่มีความกระตือรือร้นในการผลักดันให้นายจ้างหันมาให้ความสำคัญในประเด็นนี้ โดยมีเพียง 41% ของกำลังแรงงานภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเท่านั้นที่มองว่า นายจ้างมีหน้าที่ความรับผิดชอบต่อการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม เปรียบเทียบกับแรงงานไทยที่ 56% ขณะที่ 61% เชื่อว่านายจ้างของตนมีการปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อมในระดับที่เพียงพอ

 

อ้างอิง: 

The post สำรวจ 6 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความพร้อมของกำลังแรงงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีนเตือนก่อตั้งพันธมิตรทางทหารคล้าย NATO ในเอเชีย-แปซิฟิก ผลักภูมิภาคสู่วังวนความขัดแย้ง https://thestandard.co/china-forming-asia-pacific-nato-alike/ Sun, 04 Jun 2023 11:18:07 +0000 https://thestandard.co/?p=799209 NATO

พล.อ. หลี่ฉางฟู่ (Li Shangfu) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโ […]

The post จีนเตือนก่อตั้งพันธมิตรทางทหารคล้าย NATO ในเอเชีย-แปซิฟิก ผลักภูมิภาคสู่วังวนความขัดแย้ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
NATO

พล.อ. หลี่ฉางฟู่ (Li Shangfu) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของจีน กล่าวในการประชุมความมั่นคง Shangri-La Dialogue ที่สิงคโปร์วันนี้ (4 มิถุนายน) เตือนการจัดตั้งพันธมิตรทางทหารคล้ายองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือ NATO ขึ้นในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก อาจผลักทั้งภูมิภาคไปสู่วังวนแห่งความขัดแย้ง

 

“โดยเนื้อแท้แล้ว ความพยายามที่จะผลักดันให้มีกลุ่มพันธมิตรที่มีลักษณะคล้าย NATO ในเอเชีย-แปซิฟิกนั้น เป็นวิธีการลักพาตัวประเทศในภูมิภาค และจะก่อให้เกิดความขัดแย้งและการเผชิญหน้าที่เกินปกติ ซึ่งรังแต่จะทำให้เอเชีย-แปซิฟิกจมดิ่งไปสู่วังวนแห่งข้อพิพาทและความขัดแย้ง”

 

ขณะที่เขาชี้ว่า “เอเชีย-แปซิฟิกในปัจจุบันต้องการความร่วมมือที่เปิดกว้างและครอบคลุม ไม่ใช่การรวมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ” และย้ำว่า “ต้องไม่ลืมภัยพิบัติร้ายแรงที่เกิดกับผู้คนในทุกประเทศอันเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และต้องไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์อันน่าสลดใจดังกล่าวเกิดขึ้นซ้ำรอย”

 

ทั้งนี้ พล.อ. หลี่ไม่ได้ระบุถึงประเทศใดอย่างชัดเจน แต่คาดว่าเป็นการสื่อถึงสหรัฐฯ ที่มีการเดินหน้าสร้างกลุ่มพันธมิตรและหุ้นส่วนในเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งรวมถึง AUKUS ที่จับมือกับออสเตรเลียและอังกฤษ และกลุ่ม QUAD ที่ร่วมกับออสเตรเลีย อินเดีย และญี่ปุ่น

 

นอกจากนี้ พล.อ. หลี่ยังกล่าวหา ‘บางประเทศ’ ที่พยายามเพิ่มการแข่งขันทางอาวุธ และจงใจแทรกแซงกิจการภายในของผู้อื่น และระบุว่า “ความคิดแบบสงครามเย็นกำลังฟื้นคืนชีพในขณะนี้ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อความมั่นคงอย่างมาก” และมองว่า “ความเคารพซึ่งกันและกันควรมีชัยชนะเหนือการกลั่นแกล้งและพยายามเป็นเจ้าโลก”

 

ท่าทีของ พล.อ. หลี่มีขึ้นหลังจากที่วานนี้ ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แสดงความกังวลต่อการที่จีนไม่เต็มใจมีส่วนร่วมในการจัดการกับวิกฤตทางทหาร และเตือนว่าการเจรจาคือกุญแจสำคัญในการหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง

 

โดยความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันและปักกิ่งตึงเครียดอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาจากหลายประเด็น รวมถึงกรณีไต้หวันและข้อพิพาทด้านดินแดนในทะเลจีนใต้ ตลอดจนประเด็นความมั่นคงและการค้า ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีมาตรการจำกัดการส่งออกชิปเซมิคอนดักเตอร์ไปยังจีน

 

อย่างไรก็ตาม พล.อ. หลี่ยืนยันว่า แม้จีนและสหรัฐฯ จะมีระบบที่แตกต่างและมีความต่างกันในหลายๆ ด้าน แต่โลกนี้ยังกว้างใหญ่พอที่ทั้งสองประเทศจะเติบโตไปด้วยกันได้

 

“สิ่งนี้ไม่ควรขัดขวางทั้งสองฝ่ายจากการแสวงหาจุดร่วมและผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคี และกระชับความร่วมมือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความขัดแย้งหรือการเผชิญหน้าที่รุนแรงระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะเป็นหายนะที่ไม่อาจทนได้สำหรับโลก”

 

ภาพ: Britta Pedersen / Picture Alliance via Getty Images

อ้างอิง:

The post จีนเตือนก่อตั้งพันธมิตรทางทหารคล้าย NATO ในเอเชีย-แปซิฟิก ผลักภูมิภาคสู่วังวนความขัดแย้ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
IMF เตือน ‘เอเชีย’ เสี่ยงสูญ GDP 3% หากการค้าโลกแยกตัว เหตุเป็นผู้เล่นหลักในห่วงโซ่อุปทานโลก https://thestandard.co/imf-asia-gdp-risk-3-percent/ Sat, 29 Oct 2022 03:32:52 +0000 https://thestandard.co/?p=701709

IMF เตือนว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีโอกาสได้รับผลกระทบมา […]

The post IMF เตือน ‘เอเชีย’ เสี่ยงสูญ GDP 3% หากการค้าโลกแยกตัว เหตุเป็นผู้เล่นหลักในห่วงโซ่อุปทานโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>

IMF เตือนว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีโอกาสได้รับผลกระทบมากกว่าภูมิภาคอื่นๆ หากระบบการค้าโลกแยกตัวจากกัน เนื่องจากความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ เหตุเอเชียเป็นผู้เล่นหลักในห่วงโซ่อุปทานโลก นอกจากนี้ การแยกตัวทางการค้ายังอาจส่งผลกระทบต่อประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชียและบริษัทที่มีหนี้สูงมากขึ้นด้วย

 

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวในรายงาน ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันศุกร์ (28 ตุลาคม) ว่าประเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกอาจสูญเสียผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) มากกว่า 3% หากการค้าในบางภาคส่วนถูกตัดขาดออกจากกัน เนื่องมาจากมาตรการคว่ำบาตรชิปของสหรัฐฯ ต่อจีนเมื่อเร็วๆ นี้ และหากมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) ต่างๆ เพิ่มขึ้นจนสู่ระดับ ‘ยุคสงครามเย็น’ 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


โดยการสูญเสีย GDP ที่กว่า 3% ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนี้ นับว่าสูงกว่าการสูญเสียของโลกเป็นรายปีถึง 2 เท่า ตามการคาดการณ์ของ IMF

 

นอกจากนี้ ภาคส่วนต่างๆ ในเอเชียยังอาจหดตัวลง เนื่องจากการค้าที่ลดลงมีแนวโน้มจะส่งผลให้เกิดการสูญเสียการจ้างงานโดยเฉลี่ยสูงถึง 7%

 

Krishna Srinivasan ผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียและแปซิฟิกของ IMF กล่าวว่า ความไม่แน่นอนทางการค้าที่เพิ่มขึ้น และมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น อาจนำไปสู่การแยกตัวที่ทำให้โลกถูกแบ่งออก โดยเอเชียเสี่ยงที่จะสูญเสียอย่างมาก เนื่องจากเป็นผู้เล่นหลักในห่วงโซ่อุปทานโลก

 

IMF ระบุอีกว่า สัญญาณของแยกตัวทั่วโลกเกิดขึ้นระหว่างสงครามการค้าของสหรัฐฯ และจีน ตั้งแต่ปี 2018 โดยสัญญาณนั้นยังน่ากังวลมากขึ้น ท่ามกลางสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียได้เพิ่มความไม่แน่นอนมากขึ้นต่อความสัมพันธ์ทางการค้า

 

“ความไม่แน่นอนของนโยบายด้านการค้า ไม่ได้เป็นแค่ข้อจำกัดเท่านั้น แต่ยังอาจขัดขวางกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เนื่องจากจะทำให้บริษัทต่างๆ หยุดการจ้างงานและการลงทุน ขณะที่บริษัทใหม่จะเลื่อนการเข้าตลาดออกไป” IMF กล่าว

 

ตัวอย่างเช่น ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนในปี 2018 ได้ลดการลงทุนลงประมาณ 3.5% ภายหลัง 2 ปี

 

โดยการแยกตัวทางการค้าอาจส่งผลกระทบมากขึ้นสำหรับตลาดเกิดใหม่ในเอเชียและบริษัทที่มีหนี้สูงด้วย

 

ด้าน IMF กำลังเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ยกเลิกข้อจำกัดทางการค้าที่สร้างความเสียหาย และลดความไม่แน่นอนผ่านการสื่อสารวัตถุประสงค์ด้านนโยบายที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

 

อ้างอิง:

The post IMF เตือน ‘เอเชีย’ เสี่ยงสูญ GDP 3% หากการค้าโลกแยกตัว เหตุเป็นผู้เล่นหลักในห่วงโซ่อุปทานโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: Forbes เผย 50 สตรีทรงอิทธิพลในภูมิภาคเอเชีย ไทยติดโผ ‘จรีพร-มาดามแป้ง-รื่นวดี-เจ๊ไฝ’ https://thestandard.co/morning-wealth-13012022-3/ Thu, 13 Jan 2022 08:00:50 +0000 https://thestandard.co/?p=582014 Forbes

Forbes เปิดเผยรายชื่อ 50 ผู้หญิงเก่งสุดแกร่งผู้ทรงอิทธิ […]

The post ชมคลิป: Forbes เผย 50 สตรีทรงอิทธิพลในภูมิภาคเอเชีย ไทยติดโผ ‘จรีพร-มาดามแป้ง-รื่นวดี-เจ๊ไฝ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Forbes

Forbes เปิดเผยรายชื่อ 50 ผู้หญิงเก่งสุดแกร่งผู้ทรงอิทธิพลประจำภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมาจากทุกสาขาอาชีพ โดยผู้หญิงกลุ่มนี้มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป และอยู่ในตำแหน่งผู้นำหรือแกนนำที่ได้รับการยอมรับรับถือในวงการมาอย่างยาวนาน สตรีไทยคนไหนติดโผรายชื่อ ติดตามได้ในไฮไลต์นี้

 

รายการ Morning Wealth ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 07.00-08.00 น. ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: 

The post ชมคลิป: Forbes เผย 50 สตรีทรงอิทธิพลในภูมิภาคเอเชีย ไทยติดโผ ‘จรีพร-มาดามแป้ง-รื่นวดี-เจ๊ไฝ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สีจิ้นผิงเตือนเอเชียแปซิฟิก อย่ากลับสู่ความตึงเครียดแบบยุคสงครามเย็น https://thestandard.co/xi-jinping-and-asia-pacific/ Thu, 11 Nov 2021 07:06:16 +0000 https://thestandard.co/?p=558669 Xi Jinping

ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนเตือนไม่ให้ภูมิภาคเอเชียแปซิ […]

The post สีจิ้นผิงเตือนเอเชียแปซิฟิก อย่ากลับสู่ความตึงเครียดแบบยุคสงครามเย็น appeared first on THE STANDARD.

]]>
Xi Jinping

ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนเตือนไม่ให้ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกหวนคืนสู่การเผชิญหน้าและแบ่งแยกแบบยุคสงครามเย็น พร้อมแนะว่าทุกประเทศในภูมิภาคควรร่วมมือกันให้มากขึ้นเพื่อพิชิตความท้าทาย ทั้งการฟื้นฟูประเทศจากโรคระบาดโควิดและแก้วิกฤตสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง

 

สีจิ้นผิงกล่าวในการประชุมทางไกลภาคธุรกิจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมสุดยอดผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิกที่นิวซีแลนด์เป็นเจ้าภาพว่า “ความพยายามในการขีดเส้นทางอุดมการณ์และสร้างวงกลมเล็กๆ บนพื้นฐานภูมิรัฐศาสตร์จะประสบความล้มเหลว”

 

คำกล่าวของผู้นำมีขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจากกรณีไต้หวัน ขณะที่สหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กลับมาให้ความสำคัญกับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอีกครั้ง และมีการกระชับความร่วมมือกับหลายประเทศ เช่น ในกลุ่ม Quad กับอินเดีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย และสร้างกลุ่มพันธมิตรใหม่ในชื่อ AUKUS ร่วมกับออสเตรเลียและสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่ถูกมองว่าเพื่อคานอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการทหารของจีนในภูมิภาค

 

แอนโทนี บลินเคน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวานนี้ (10 พฤศจิกายน) ว่า สหรัฐฯ จะทำให้แน่ใจว่าไต้หวันสามารถป้องกันตนเองจากประเทศใดก็ตามที่พยายามเปลี่ยนแปลงสภาพที่เป็นอยู่ด้วยกำลังทหาร

 

ก่อนหน้านี้ในวันอังคาร (9 พฤศจิกายน) กองทัพจีนเผยว่า ได้ดำเนินการลาดตระเวนเพื่อเตรียมพร้อมสู้รบในบริเวณใกล้กับช่องแคบไต้หวัน หลังกระทรวงกลาโหมจีนประณามสหรัฐฯ ที่ส่งคณะผู้แทนจากสภาคองเกรสไปเยือนไต้หวัน ซึ่งเป็นการกระทำที่จีนมองว่าแทรกแซงกิจการภายในประเทศ

 

อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดระหว่างสองชาติมหาอำนาจอาจลดลงบ้าง เมื่อ โจ ไบเดน กับ สีจิ้นผิง มีกำหนดหารือกันในรูปแบบการประชุมทางไกล ซึ่งคาดว่าจะจัดขึ้นในวันจันทร์หน้า (15 พฤศจิกายน) 

 

ภาพ: Kevin Frayer / Getty Images

อ้างอิง: 

The post สีจิ้นผิงเตือนเอเชียแปซิฟิก อย่ากลับสู่ความตึงเครียดแบบยุคสงครามเย็น appeared first on THE STANDARD.

]]>