ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence – AI) – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 06 Nov 2025 13:02:25 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 สำรวจ 3 ปัจจัย ‘คน-กระบวนการ-เทคโนโลยี’ เหตุผลที่องค์กรไทยเริ่มทำ AI แล้ว ‘ยังไปไม่สุด’ https://thestandard.co/key-takeaway-why-thai-ai-stalls/ Thu, 06 Nov 2025 13:01:44 +0000 https://thestandard.co/?p=1140493

AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป องค์กรไทยส่วนใหญ่ได้ R […]

The post สำรวจ 3 ปัจจัย ‘คน-กระบวนการ-เทคโนโลยี’ เหตุผลที่องค์กรไทยเริ่มทำ AI แล้ว ‘ยังไปไม่สุด’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป องค์กรไทยส่วนใหญ่ได้ ‘เริ่ม’ เดินหน้ากันอย่างจริงจังแล้ว สัญญาณบวกคือ 40% ขององค์กรระบุว่าผู้นำระดับสูงมีส่วนร่วมอย่างมาก และมองว่า AI คือวาระสำคัญระดับผู้บริหาร

 

พชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้สรุปภาพใหญ่ไว้อย่างน่าสนใจ บนเวที Tech Stage ในงาน THE STANDARD Economic Forum 2025 หัวข้อ Thailand’s AI-Driven Leadership Partner with Bluebik ว่า แม้หลายองค์กรจะเริ่มลงทุนด้าน AI แล้ว แต่ ‘การขยายผล’ เพื่อให้เกิดผลกระทบทั่วทั้งองค์กรนั้น ยังถือเป็นความท้าทายใหญ่ ทำให้การใช้ AI เพื่อสเกลองค์กรยังไปไม่สุด

 

3 อุปสรรคสำคัญที่กำลัง ‘ติดค้าง’ อยู่ในองค์กรไทย ได้แก่

 

1. คน (People): วัฒนธรรมและทักษะที่ยังไม่ทันเกม

 

อุปสรรคอันดับหนึ่งที่องค์กรไทยเห็นพ้องกันคือ ‘ขาดบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI’ ซึ่งข้อมูลชี้ชัดว่าเป็น Pain Point สูงสุดขององค์กรไทยถึง 20%

 

ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ องค์กรส่วนใหญ่ยังไม่เร่งสร้างคนจากภายใน โดยเกือบครึ่งขององค์กรยังอบรมพนักงานด้าน AI ไม่ถึง 10%

 

อีกจุดอ่อนใหญ่คือผู้นำด้าน AI ที่ยังขาดแคลน ปัจจุบัน 40% ของโครงการ AI ถูกนำโดยฝ่าย IT ขณะที่มีองค์กรเพียง 11% เท่านั้นที่มีผู้บริหารหรือทีมเฉพาะด้าน AI โดยตรง

 

ผลที่ตามมาคือการทำงานแบบไซโล การสื่อสารระหว่างทีมธุรกิจกับทีมเทคนิคไม่ลื่นไหล โดยมีถึง 57% ขององค์กรที่ระบุว่า ‘ขาดความเข้าใจร่วมกัน’ และอีก 48% ที่ชี้ว่า ‘มีช่องว่างด้านการสื่อสาร’

 

2. กระบวนการ (Process): มีเครื่องมือแต่ไร้กฎกติกา

 

เพียง 15% ขององค์กรไทยเท่านั้นที่มีกรอบการกำกับดูแล AI อย่างเป็นทางการ ขณะที่อีก 40% อยู่ในระหว่างพัฒนา และที่น่าตกใจคือ 27% ระบุว่าการบริหารความเสี่ยง AI ‘ยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ’

 

เมื่อไม่มีกฎกติกาที่ชัดเจน การวัดผลของ AI จึงกระจัดกระจาย 20% ขององค์กรยัง ‘ไม่ได้วัดผล AI เลย’ และแม้องค์กรส่วนใหญ่ถึง 65% จะวัดผลโดยอิงกับ ‘ประสิทธิภาพ’หรือ ‘ROI’ ถึง 47% แต่กลับมีเพียง 20% เท่านั้นที่ลงทุนเพื่อจุดประสงค์ด้านนวัตกรรม

 

3. เทคโนโลยี (Technology): พึ่งพา “เช่าใช้” มากกว่า “สร้างเอง”

 

ในยุคที่เทคโนโลยีพร้อมใช้งานแบบ Plug-and-Play องค์กรไทยจำนวนมากกำลังเลือกทางลัดที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงระยะยาว

 

54% ขององค์กรใช้โมเดล AI/ML จากผู้ให้บริการคลาวด์ ขณะที่อีก 42% ใช้ Pre-trained Models และ APIs จากแพลตฟอร์มต่างประเทศ เช่น OpenAI หรือ Google Vertex AI มีเพียง 35% เท่านั้นที่พัฒนาโมเดลขึ้นเองภายในองค์กร

 

การพึ่งพาโซลูชันสำเร็จรูปในฟังก์ชันเชิงกลยุทธ์ อาจส่งผลให้ขาดความสามารถแข่งขันในอนาคต โดยเฉพาะหากไม่สามารถปรับเทคโนโลยีให้เข้ากับบริบทเฉพาะของไทยได้

 

ปลดล็อก AI ด้วย 6 องค์ประกอบหลัก

 

เมื่อเห็นปัญหาชัดเจน พชรจึงเสนอ ‘พิมพ์เขียว’ ที่จะปลดล็อกศักยภาพ AI ให้เกิดผลจริง ด้วยการจัดการ 6 องค์ประกอบสำคัญ ภายใต้ 3 เสาหลัก

 

เสาที่ 1: ยกระดับ “คน” (People)

 

  • AI Leadership: ต้องเปลี่ยน AI ให้เป็นวาระของ C-Suite ไม่ใช่แค่เรื่องของ IT
  • AI Workforce: เร่ง Upskill พนักงานเดิม และยกระดับ AI Literacy ให้ทั่วถึงทั้งองค์กร ไม่ใช่ฝึกอบรมแค่ไม่ถึง 10%
  • Cross-functional Collaboration: ต้องสร้างสะพานเชื่อมทีมเทคนิคและธุรกิจ พร้อมจัดการปัญหาการสื่อสารและความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน

 

เสาที่ 2: วางระบบ “กระบวนการ” (Process)

 

  • Governance: สร้างกฎกติกาที่ชัดเจน โดยเริ่มจาก Data Governance, Regulatory Compliance และ Risk Management
  • Performance Metrics: เปลี่ยนวิธีวัดผลจาก ROI เพียงอย่างเดียว ไปสู่การวัดแบบองค์รวม เช่น OKRs, Customer Satisfaction และ Employee Adoption

 

เสาที่ 3: สร้าง “เทคโนโลยี” (Technology)

 

  • AI/ML Solutions: ลดการพึ่งพาโซลูชันสำเร็จรูป และสร้าง Core Capability 3 ด้าน ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานที่องค์กรเป็นเจ้าของ ความสามารถในการปรับแต่งโมเดลให้เข้าใจบริบทไทย และการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI ที่ฝังอยู่ในกระบวนการหลักของธุรกิจ

 

AI จะเปลี่ยนองค์กรได้จริงหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ว่าเริ่มหรือยัง แต่อยู่ที่ว่า กล้าปรับทั้ง “คน–กระบวนการ–เทคโนโลยี” พร้อมกันหรือเปล่า

 

ลองเริ่มต้นด้วยการ เช็ก 6 องค์ประกอบหลัก ดังนี้

 

  • ผู้นำมีวิสัยทัศน์เรื่อง AI หรือยัง?
  • คนในองค์กรเข้าใจและใช้งาน AI ได้จริงแค่ไหน?
  • กระบวนการรองรับชัดเจนหรือยังมีช่องโหว่?
  • วัดผลถูกจุดหรือยังยึดแค่ ROI?
  • เทคโนโลยีที่ใช้อยู่ “เช่า” หรือ “สร้าง”?
  • เรามีความสามารถด้าน AI ที่เป็นของตัวเองแล้วหรือยัง?

 

เพราะการขับเคลื่อน AI ให้เกิดผลจริง ไม่ใช่แค่เรื่องของงบประมาณหรือเครื่องมือ แต่คือเรื่องของการ ‘เลือกลงทุนในสิ่งที่ใช่’ และ ‘ทำให้คนทั้งองค์กรเติบโตไปกับมันได้’

The post สำรวจ 3 ปัจจัย ‘คน-กระบวนการ-เทคโนโลยี’ เหตุผลที่องค์กรไทยเริ่มทำ AI แล้ว ‘ยังไปไม่สุด’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ถึงเวลาพลิกโฉมเกษตรไทยจากแค่อยู่รอด สู่ฮีโร่เซกเตอร์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย หลังภาคแรงงานใหญ่สุดของประเทศสร้าง GDP ไม่ถึง 10% https://thestandard.co/thestandard-economicforum-2025-15/ Thu, 06 Nov 2025 09:40:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1140404 ถึงเวลาพลิกโฉม เกษตรไทย จากแค่อยู่รอด สู่ ฮีโร่เซกเตอร์ ขับเคลื่อน เศรษฐกิจไทย หลังภาคแรงงานใหญ่สุดของประเทศสร้าง GDP ไม่ถึง 10%

ภาคเกษตรของไทยถือเป็นฐานสำคัญของเศรษฐกิจ โดยมีแรงงานกว่ […]

The post ถึงเวลาพลิกโฉมเกษตรไทยจากแค่อยู่รอด สู่ฮีโร่เซกเตอร์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย หลังภาคแรงงานใหญ่สุดของประเทศสร้าง GDP ไม่ถึง 10% appeared first on THE STANDARD.

]]>
ถึงเวลาพลิกโฉม เกษตรไทย จากแค่อยู่รอด สู่ ฮีโร่เซกเตอร์ ขับเคลื่อน เศรษฐกิจไทย หลังภาคแรงงานใหญ่สุดของประเทศสร้าง GDP ไม่ถึง 10%

ภาคเกษตรของไทยถือเป็นฐานสำคัญของเศรษฐกิจ โดยมีแรงงานกว่าหนึ่งในสามของประเทศ แต่กลับสร้างผลผลิตทางเศรษฐกิจ (GDP) ได้ไม่ถึง 10% ของทั้งประเทศ ตัวเลขดังกล่าวจุดคำถามสำคัญในวงการเศรษฐกิจว่า ประเทศไทยยังขับเคลื่อนด้วยภาคเกษตรได้จริงหรือไม่

 

ยิ่งก้าวสู่ภูมิทัศน์ใหม่ของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยี และสภาพภูมิอากาศ เป็นตัวแปรให้เกษตรไทยต้องเร่งปรับตัวตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำไปจนถึงปลายน้ำ เพื่อเปลี่ยนจากสร้างการอยู่รอด สู่การสร้างความมั่งคั่งในอนาคต

 

คำถามนี้เป็นหัวใจสำคัญของเวที THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 ภายใต้หัวข้อ ‘From Survival to Prosperity: Thailand’s Agricultural Transformation’ ซึ่งรวมผู้นำภาคเกษตรและผู้ประกอบการจากหลายสาขามาร่วมแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ เพื่อหาคำตอบให้กับอนาคตของเกษตรไทย

 

เทคโนโลยีคือทางรอด เมื่อดาวเทียม AI และบล็อกเชนเข้ามาช่วยเกษตรกร

 

อุกฤษ อุณหเลขกะ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธารา กรีน อินโนเวชั่น กล่าวถึงบทบาทของเทคโนโลยีที่เข้ามายกระดับภาคเกษตร โดยบริษัทได้นำ AI และบล็อกเชน มาช่วยจัดการซัปพลายเชน เพื่อช่วยเกษตรกรวางแผนการเพาะปลูกอย่างมีประสิทธิภาพ ล่าสุดยังขยายไปถึงการใช้ดาวเทียมติดตามพื้นที่ป่าในประเทศลาวกว่า 1 ล้านไร่ เพื่อบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต

 

อุกฤษ อุณหเลขกะ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธารา กรีน อินโนเวชั่น

อุกฤษ อุณหเลขกะ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธารา กรีน อินโนเวชั่น

 

นอกจากนี้ ยังรับดูแลพื้นที่เกษตรขนาดใหญ่ในไทย หลังจากภาครัฐเริ่มจัดเก็บภาษีที่ดินในอัตราสูง ทำให้เจ้าของที่ดินหลายรายมอบหมายให้บริษัทช่วยบริหารพื้นที่เพาะปลูก ทั้งทุเรียน อ้อย และพืชเศรษฐกิจอื่นๆ รวมแล้วหลายหมื่นไร่ ซึ่งการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องเปิดโอกาสให้บริษัทได้ร่วมมือกับหน่วยงานรัฐและต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมแนวทางเกษตรยั่งยืนและช่วยเกษตรกรลดการปล่อยคาร์บอน

 

พร้อมกล่าวต่อไปว่า จากประสบการณ์ในภาคสนาม ทำให้ได้พบ 5 ความท้าทายหลักของอุตสาหกรรมเกษตรไทย ที่ต้องเร่งแก้ไข ได้แก่

 

1.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไทยมีพื้นที่ชลประทานเพียง 20% นอกจากนั้นต้องพึ่งน้ำฝน ส่งผลให้ผลผลิตไม่แน่นอน โดยเฉพาะในช่วงภัยแล้งหรือน้ำท่วม ผลผลิตอาจลดลง 50–80% นำไปสู่หนี้สินและปัญหาสังคมต่อเนื่อง

 

2.ผลกระทบจากสงครามและนโยบายโลก เช่น นโยบายทางการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบราคาสินค้าเกษตรโดยตรง ตัวอย่างเช่น ข้อตกลงลดภาษีข้าวโพดกับไทยในยุคโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งทำให้ราคาข้าวโพดไทยร่วงทันที

 

3.ปัญหาคุณภาพดินเสื่อมโทรม การปลูกพืชเชิงเดี่ยวและการเผาอ้อยทำให้ดินเสื่อมสภาพ ส่งผลต่อผลผลิตระยะยาว

 

4.โครงสร้างประชากรเกษตรกรสูงวัย อายุเฉลี่ยของเกษตรกรไทยเกือบ 60 ปี หากคนรุ่นใหม่ไม่เข้าสู่อาชีพนี้ โรงงานและอุตสาหกรรมอาจขาดวัตถุดิบในอนาคต

 

5.มาตรการสิ่งแวดล้อมจากประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะยุโรปที่เริ่มตรวจสอบที่มาของสินค้าว่าทำลายป่าหรือไม่ ซึ่งเป็นทั้งความท้าทายและโอกาส หากไทยสามารถผลิตสินค้าเกษตรที่โปร่งใสและยั่งยืนได้

 

มุมมองจากภาคเอกชน เกษตรไทยคือฐานเศรษฐกิจที่ยังไม่ถูกนับมูลค่าเต็ม

 

สินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEGH ซึ่งดำเนินธุรกิจยางพาราและพลังงาน ฉายภาพต่อว่า ตัวเลข GDP ภาคเกษตรไทยอยู่ที่ 7–8% นั้น ยังสะท้อนไม่ครบ เพราะนับเฉพาะภาคเกษตรขั้นต้น ยังไม่รวมมูลค่าจากภาคแปรรูปสินค้าเกษตร ซึ่งหากนำมารวมกัน จะดันสัดส่วน GDP ภาคเกษตรสูงถึง 20–30% ของประเทศ เทียบเท่ากับภาคอสังหาริมทรัพย์

 

สินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEGH

สินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEGH

 

อีกทั้ง ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบด้านทรัพยากรธรรมชาติและพื้นที่เพาะปลูก ซึ่งหากบริหารจัดการดีจะสร้างมูลค่าเพิ่มได้มหาศาล ถ้าเทียบกับประเทศที่มีเหมืองเพชรหรือทองไม่ได้หมายความว่าคนอยู่ดีมีสุขกว่าไทย แต่อยู่ที่ว่าไทยสร้างอีโคซิสเต็มที่ทุกคนได้ประโยชน์ร่วมกันได้มากแค่ไหน

 

พร้อมเน้นว่า หากสินค้าเกษตรเติบโต จะส่งผลต่อ GDP ทั้งระบบ เพราะแรงงานภาคเกษตรยังคิดเป็นกว่า 30% ของประเทศ และยังเกี่ยวโยงกับภาคอื่น เช่น การท่องเที่ยวเชิงเกษตร และ แฟชั่นยั่งยืน (Sustainable Fashion) ที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ

 

เสียงจากภาคอุตสาหกรรม เข้าใจโครงสร้าง Producer–Processor

 

ภูมิรัฐ หวังปรีดาเลิศกุล ผู้อำนวยการฝ่ายไร่และวิศวกรบริหารกลุ่ม บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS อธิบายว่า ห่วงโซ่อุตสาหกรรมเกษตรประกอบด้วยสองกลุ่มหลักคือ

1. Producer (ผู้ผลิต) ได้แก่ เกษตรกรที่ปลูกพืชและส่งต่อผลผลิต
2. Processor (ผู้ประกอบการ) ที่รับผลผลิตไปแปรรูป

 

ภูมิรัฐ หวังปรีดาเลิศกุล ผู้อำนวยการฝ่ายไร่และวิศวกรบริหารกลุ่ม บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

ภูมิรัฐ หวังปรีดาเลิศกุล ผู้อำนวยการฝ่ายไร่และวิศวกรบริหารกลุ่ม บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

 

โดยในระบบนี้ เกษตรกรรายย่อยต้องเผชิญความเสี่ยงหลายด้าน ทั้งการกระจุกตัวของพื้นที่เพาะปลูก, คุณภาพพันธุ์พืช, และ โรคระบาดทางการเกษตร รวมถึงต้นทุนทางการเงินสูงและเข้าถึงทุนยาก ขณะที่ภาค Processor มีข้อได้เปรียบเรื่องแหล่งทุนและอำนาจต่อรองที่สูงกว่า

 

จะผลักดันเกษตรไทยให้เป็น ‘ฮีโร่เซกเตอร์’ ต้องทำอย่างไร

 

ผู้ร่วมเสวนาต่างเห็นตรงกันว่า ภาคเกษตรจะกลายเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้จริง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน

 

ถึงเวลาพลิกโฉม เกษตรไทย จากแค่อยู่รอด สู่ ฮีโร่เซกเตอร์ ขับเคลื่อน เศรษฐกิจไทย หลังภาคแรงงานใหญ่สุดของประเทศสร้าง GDP ไม่ถึง 10% 4

 

สินีนุชจาก TEGH เสนอว่า ไทยต้องเรียนรู้จากประเทศที่ประสบความสำเร็จ เช่น จีน ที่ลงทุนอย่างจริงจังในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีการผลิต เพื่อเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และไทยต้องมุ่งสู่การลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างซัพพลายเชนที่ครบวงจร โดยต้องดำเนินกลยุทธ์ 3 ด้านพร้อมกันคือ Smart, Strategy และ Sustain

 

ขณะที่อุกฤษ มองว่า AI ด้านเกษตร จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เช่น การใช้ข้อมูลพยากรณ์อากาศแม่นยำเพื่อวางแผนการผลิต จะช่วยลดความสูญเสียและต้นทุน ขณะเดียวกัน การมี Data-driven Supply Chain จะทำให้ไทยแข็งแกร่งขึ้นในฐานะผู้ส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่ของโลก

 

ตามด้วย ภูมิรัฐ จาก KTIS ทิ้งท้ายว่า การพัฒนาเกษตรไทยให้ก้าวสู่ความมั่งคั่ง ต้องเกิดจากความร่วมมือของ 3 กลุ่มหลัก คือ ผู้ผลิต (เกษตรกร) ที่เพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูก ตามด้วย ผู้ประกอบการ (Processor) ที่แปรรูปและสร้างมูลค่าเพิ่ม และผู้บริโภค ที่เลือกบริโภคสินค้ายั่งยืนและมีคุณภาพ

 

“วันนี้ผู้บริโภคทั่วโลกเริ่มสนใจต้นทางของสินค้ามากขึ้น และพร้อมจ่ายในราคาที่สูงขึ้นสำหรับสินค้าพรีเมียมและยั่งยืน ภูมิรัฐกล่าว พร้อมย้ำว่ารัฐบาลต้องมีบทบาทสำคัญในการสร้างกติกากลาง และสนับสนุนการลงทุนใหม่ๆ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรของไทยในระยะยาว”

 

ท้ายที่สุดเกษตรไทยกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญ ระหว่าง ความท้าทายมหาศาล กับ โอกาสในการยกระดับประเทศ หากสามารถบูรณาการเทคโนโลยี ความร่วมมือ และนโยบายที่เอื้อต่อการเติบโตได้อย่างยั่งยืน ภาคเกษตรจะไม่ใช่เพียงหลังบ้านของเศรษฐกิจไทยอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นฮีโร่เซกเตอร์ ที่ขับเคลื่อนความมั่งคั่งของชาติในอนาคต

The post ถึงเวลาพลิกโฉมเกษตรไทยจากแค่อยู่รอด สู่ฮีโร่เซกเตอร์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย หลังภาคแรงงานใหญ่สุดของประเทศสร้าง GDP ไม่ถึง 10% appeared first on THE STANDARD.

]]>
iOS 27 จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ Apple ‘ยกเครื่อง AI’ ปูทางสู่ ‘iPhone จอพับ’ https://thestandard.co/apple-ios-27-siri-gemini-iphone/ Thu, 06 Nov 2025 03:21:28 +0000 https://thestandard.co/?p=1140174 iOS 27 จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ Apple ‘ยกเครื่อง AI’ ปูทางสู่ ‘iPhone จอพับ’

แม้ว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่เพิ่งได้สัมผัสกับ iOS 26 ที่เพิ่งเป […]

The post iOS 27 จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ Apple ‘ยกเครื่อง AI’ ปูทางสู่ ‘iPhone จอพับ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
iOS 27 จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ Apple ‘ยกเครื่อง AI’ ปูทางสู่ ‘iPhone จอพับ’

แม้ว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่เพิ่งได้สัมผัสกับ iOS 26 ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน แต่มีข่าวลือว่า iOS 27 ที่จะมาถึงในปีหน้า อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดของ Apple โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการรุกเข้าสู่ตลาดฮาร์ดแวร์ใหม่!

 

Siri อาจหันไปพึ่ง Google Gemini?

 

MacRumors รายงานว่า Apple อาจร่วมมือกับ Google เพื่อใช้โมเดล Gemini ในการพัฒนา Siri เวอร์ชันใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 1,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ความร่วมมือนี้จะทำให้ Google พัฒนาโมเดล Gemini แบบพิเศษสำหรับ Apple โดยเฉพาะ โดยโมเดลดังกล่าวจะทำงานบนเซิร์ฟเวอร์ Private Cloud Compute เพื่อขับเคลื่อนฟีเจอร์ AI ของ Siri

 

iOS 27 จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ Apple ‘ยกเครื่อง AI’ ปูทางสู่ ‘iPhone จอพับ’ 1

 

ทิศทางของ Apple Intelligence

 

ในอีกด้านหนึ่ง Apple ยังคงให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีของตนเอง โดย 9toMac ระบุว่า iOS 27 จะมีการอัปเดต Apple Intelligence ครั้งใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับปรุงโมเดลภาษา (LLM) ภายในให้มีความสามารถสูงขึ้น และเพิ่มความสามารถในการทำงานเชิงรุก (Proactive) ที่คาดเดาความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้น

 

iOS 27 จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ Apple ‘ยกเครื่อง AI’ ปูทางสู่ ‘iPhone จอพับ’ 2

 

ปูทางสู่การมาของ iPhone จอพับ

 

นอกเหนือจากเรื่อง AI แล้ว อีกประเด็นที่น่าสนใจคือการเตรียมพร้อมสำหรับฮาร์ดแวร์ตัวใหม่ โดย MacRumors เคยรายงานเมื่อเดือนกรกฎาคมว่า iOS 27 จะมีการเปลี่ยนแปลงที่เน้นฟีเจอร์ซอฟต์แวร์ที่ปรับแต่งมาสำหรับ ‘iPhone จอพับ’ รุ่นแรก

 

คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงปลายปี2026 โดยที่ดีไซน์คล้าย Samsung Galaxy Z Fold พับแบบทรงหนังสือ (Book Style) มีหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ดีไซน์คล้าย iPhone ทั่วไป แต่เมื่อกางออกจะมีขนาด 7.8 นิ้ว มาพร้อมเทคโนโลยีหน้าจอที่จะไม่ปรากฏรอยพับให้เห็น

 

iOS 27 จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ Apple ‘ยกเครื่อง AI’ ปูทางสู่ ‘iPhone จอพับ’ 3

ภาพ: AI Generator

 

นี่จึงเป็นสัญญาณที่ชัดเจนอย่างยิ่งว่า Apple กำลังพัฒนาซอฟต์แวร์และส่วนติดต่อผู้ใช้ (Interface) เพื่อรองรับจอพับโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นการยืนยันทางอ้อมว่าโครงการ ‘iPhone จอพับ’ ที่เป็นข่าวลือมานานหลายปี กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาภายในจริง และจำเป็นต้องมีซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมารองรับการใช้งานโดยเฉพาะ

 

iOS 27 ปี 2026

 

iOS 27 ที่จะเปิดตัวในปีหน้า 2026 จึงเป็นที่น่าจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะอาจจะเป็นการยกเครื่องซอฟต์แวร์ครั้งใหญ่ ทั้งในด้าน AI ที่อาจร่วมมือกับ Google รวมถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับ iPhone ไลน์อัพใหม่

 

iOS 27 จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ Apple ‘ยกเครื่อง AI’ ปูทางสู่ ‘iPhone จอพับ’ 4

 

อ้างอิง:

The post iOS 27 จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ Apple ‘ยกเครื่อง AI’ ปูทางสู่ ‘iPhone จอพับ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Kim Kardashian เผยว่าเคยสอบตกวิชากฎหมายจากการใช้ ChatGPT https://thestandard.co/kim-kardashian-failed-law-chatgpt/ Wed, 05 Nov 2025 04:04:53 +0000 https://thestandard.co/?p=1139856 Kim Kardashian เผยว่าเคยสอบตกวิชากฎหมายจากการใช้ ChatGPT

Kim Kardashian ยอมรับว่าเธอใช้ ChatGPT สำหรับการเรียนกฎ […]

The post Kim Kardashian เผยว่าเคยสอบตกวิชากฎหมายจากการใช้ ChatGPT appeared first on THE STANDARD.

]]>
Kim Kardashian เผยว่าเคยสอบตกวิชากฎหมายจากการใช้ ChatGPT

Kim Kardashian ยอมรับว่าเธอใช้ ChatGPT สำหรับการเรียนกฎหมาย ในรายการใช้เครื่องจับเท็จ Vanity Fair’s Lie Detector Test ของ Teyana Taylor โดยอีกฝ่ายถามว่าเธอเคยใช้ AI ของ ChatGPT หรือไม่

 

เธอตอบว่า “ฉันใช้มันสำหรับคำแนะนำด้านกฎหมายน่ะ ก็คือตอนที่ฉันอยากได้คำตอบ ฉันก็จะถ่ายรูป แล้วก็ใส่เข้าไปในนั้น” พิธีกรจึงกล่าวว่า “งั้นคุณก็กำลังโกงน่ะสิ” 

 

Kim จึงอธิบายว่า “มันผิดตลอดเลย มันทำให้ฉันสอบตกด้วย แล้วฉันก็จะโกรธมาก และตะโกนใส่มันว่า ‘เธอทำให้ฉันสอบตกนะ ทำแบบนี้ทำไมเนี่ย’ แล้วมันก็จะตอบกลับฉันแหละ ซึ่งฉันก็จะพิมพ์ไปว่า ‘เธอกำลังจะทำให้ฉันทำผิดนะ รู้สึกอย่างไรบ้างล่ะที่ฉันต้องมาหาคำตอบจากเธอ แล้วมันก็จะตอบฉันว่า ‘นี่เป็นการสอนให้คุณเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง คุณรู้คำตอบอยู่แล้ว’”

 

เธอคิดว่า AI ควรทำได้ดีกว่านี้ เพราะเธอพึ่งพามันค่อนข้างมาก สิ่งนี้สามารถช่วยเธอได้หลายอย่าง บางครั้งก็ยังให้คำแนะนำในชีวิตหรือกำลังใจดีๆ ให้กับเธอได้ด้วย แต่ในบางครั้ง ChatGPT ก็เหมือนเพื่อนที่มีความ Toxic เพราะทำให้เราผิดพลาดอะไรหลายอย่างเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม Kim Kardashian เพิ่งเรียนกฎหมายจบไปเมื่อไม่นานมานี้ โดยเธอใช้เวลาเรียนประมาณ 6 ปี พร้อมจบหลักสูตรฝึกงานในแคลิฟอร์เนียเรียบร้อยแล้ว และเธอกำลังรอผลสอบเนติบัณฑิตที่จะทำให้เธอมีใบอนุญาตทนายความอีกด้วย ในขณะเดียวกัน เธอก็เพิ่งรับบทเป็นทนายความในซีรีส์เรื่อง All’s Fair ที่เพิ่งเปิดตัวผ่านทาง Disney+ ไปเมื่อ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมาเช่นกัน

 

ภาพ: Christopher Polk/Variety via Getty Images

อ้างอิง:

The post Kim Kardashian เผยว่าเคยสอบตกวิชากฎหมายจากการใช้ ChatGPT appeared first on THE STANDARD.

]]>
เมื่อ AI ‘โคลนนิ่งมนุษย์’ ได้จริง โลกคอนเทนต์จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป https://thestandard.co/ai-clones-humans-change-content/ Wed, 05 Nov 2025 01:42:33 +0000 https://thestandard.co/?p=1139806 เมื่อ AI ‘โคลนนิ่ง มนุษย์’ ได้จริง โลกคอนเทนต์จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ไม่นานมานี้ หลายคนคงเห็นคลิปคนแบกช้างกลางถนน คลิปแมวพูด […]

The post เมื่อ AI ‘โคลนนิ่งมนุษย์’ ได้จริง โลกคอนเทนต์จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป appeared first on THE STANDARD.

]]>
เมื่อ AI ‘โคลนนิ่ง มนุษย์’ ได้จริง โลกคอนเทนต์จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ไม่นานมานี้ หลายคนคงเห็นคลิปคนแบกช้างกลางถนน คลิปแมวพูดได้ หรือศิลปิน/คนดังที่เสียไปแล้วกลับมาโบกมือทักทายในโซเชียลมีเดีย แต่สุดท้ายเฉลยว่าทั้งหมดคือวิดีโอที่สร้างโดย AI ผ่านฟีเจอร์ใหม่ชื่อ Cameo ใน Sora 2 ของ OpenAI

 

นี่ไม่ใช่เรื่องในอนาคตอีกต่อไป แต่คือปัจจุบันที่กำลังจะเปลี่ยนวงการคอนเทนต์และสื่อไปตลอดกาล

 

🟡 Sora Cameo: เมื่อ AI จำลองตัวเราได้ครบทั้งเสียงและสายตา

 

Sora คือเทคโนโลยี Text-to-Video ที่ให้คุณพิมพ์ข้อความ แล้ว AI จะสร้างวิดีโอพร้อมภาพ เสียง และอารมณ์ออกมาในไม่กี่วินาที
แต่สิ่งที่ปฏิวัติจริงๆ คือ ‘Cameo’ ฟีเจอร์ที่ให้คุณอัดวิดีโอตัวเองเพียง 20 วินาที จากนั้นระบบจะเรียนรู้ใบหน้า น้ำเสียง และท่าทาง เพื่อสร้างอวาตาร์ของผู้ใช้ที่เหมือนจนแทบแยกไม่ออก

 

หลังจากนั้น คุณไม่ต้องอยู่ตรงนั้นอีกต่อไป เพราะ ‘คุณในโลกดิจิทัล’ สามารถพูดแทนคุณได้ทุกที่ ทุกเวลา

 

OpenAI บอกว่า จุดประสงค์ของ Sora Cameo ไม่ใช่การแทนที่มนุษย์ แต่เพื่ออำนวยความสะดวกให้ครีเอเตอร์สามารถโฟกัสกับไอเดียมากกว่ากระบวนการโปรดักชันที่ยุ่งยาก

 

🟡 จากสตูดิโอ 20 คน เหลือแค่คุณคนเดียว

 

Cameo เปลี่ยนทุกอย่างในอุตสาหกรรมคอนเทนต์ เพราะมันช่วยให้คนธรรมดาสามารถสร้างวิดีโอคุณภาพสูงในเวลาไม่กี่นาที โดยไม่ต้องมีทีมกล้อง ไฟ หรือห้องตัดต่ออีกต่อไป จากงบหลักแสน เหลือไม่กี่บาท จากหลายวัน เหลือไม่กี่นาที ทำให้ครีเอเตอร์สร้างวิดีโอได้ 24 ชั่วโมง ไม่ต้องรอวันดีหรืออารมณ์ดี

 

แม้คนที่ไม่กล้าออกกล้อง ก็สามารถสร้าง “ตัวเองในเวอร์ชันมั่นใจ” เพื่อเล่าเรื่อง แนะนำสินค้า หรือสื่อสารในแบบที่ต้องการได้ นี่คือเหตุผลที่หลายสำนักเรียก Sora ว่า

 

“The most disruptive creative tool since the iPhone” หรือ “เครื่องมือสร้างสรรค์ที่พลิกโฉมวงการที่สุดนับตั้งแต่ไอโฟนเปิดตัว”

 

🟡 เมื่อโลกเต็มไปด้วยสิ่งที่ปลอมแต่ดูเหมือนจริง

 

เรากำลังเข้าสู่ยุคที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็อาจแยกไม่ออกว่าอะไรคือของจริง
กรณีเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว:

 

🔸ภาพยานอวกาศปลอม ถูกแชร์จนผู้เชี่ยวชาญต้องออกมาเตือน

🔸ข่าวหญิงไทยถูกสร้าง AI เป็นตัวเอง เพื่อหลอกเงินผ่านวิดีโอคอล

 

แม้ Sora จะมีระบบยืนยันตัวตนและอนุญาตการใช้ cameo เท่านั้น แต่ในโลกความเป็นจริง เครื่องมือ deepfake อื่น ๆ ก็มีอยู่เกลื่อน และยากจะควบคุม

 

สิ่งนี้ไม่ได้ท้าทายแค่ความจริง แต่มันยังท้าทายความเชื่อใจในสังคมดิจิทัลอย่างลึกซึ้ง

 

🟡 5 หลักคิดจากโลกของสื่อ

 

ในอนาคตอันใกล้ เราอาจเห็น

 

🔸อินฟลูเอนเซอร์มีอวาตาร์ของตัวเอง 10 คน ทำคอนเทนต์พร้อมกัน 24 ชั่วโมง

🔸ผู้บริหารใช้ร่างเสมือนสื่อสารกับพนักงานทั่วโลก

🔸นักแสดงเล่นซีรีส์ 5 เรื่องพร้อมกันโดยไม่ต้องเข้ากองถ่าย

🔸แบรนด์ใช้ avatar ของพนักงานแทนแอดมินจริง

 

ทุกอย่างเป็นไปได้ แต่สิ่งที่แทนไม่ได้อย่างแน่นอน คือ Trust — ความเชื่อใจที่มาจากความจริงใจ

 

เราจะอยู่กับมันอย่างไร:

 

🔸1. เรียนรู้ให้เร็วที่สุด — อย่ากลัวที่จะลอง ใช้ Sora หรือ AI Avatar เพื่อเข้าใจมันก่อนใคร

🔸2. นิยามตัวตนให้ชัดเจน — ในโลกที่ทุกอย่างลอกได้ สิ่งที่ไม่มีใครลอกได้คือแก่นของคุณ

🔸3. โปร่งใสกับผู้ชม — ถ้าใช้ AI ช่วย ก็บอกไปตรงๆ เพราะอนาคตของ influencer คือ Trust ไม่ใช่ยอดวิว

🔸4. ผสมมนุษย์กับเครื่องจักรให้เหมาะสม — ใช้ AI ทำงานซ้ำซาก แต่เก็บงานที่ต้องใช้หัวใจไว้กับตัวเอง

🔸5. ลงทุนในสิ่งที่ AI ทำไม่ได้ — เช่น Empathy, Storytelling, และ Human Understanding

 

Sora Cameo คือบททดสอบว่าเราจะนิยามความเป็นมนุษย์ใหม่อย่างไร

 

ถ้าเราใช้มันสร้างสิ่งดี มันจะขยายพลังของเรา แต่ถ้าเราปล่อยให้มันแทนที่ตัวเรา มันจะกลืนเราโดยไม่รู้ตัว

The post เมื่อ AI ‘โคลนนิ่งมนุษย์’ ได้จริง โลกคอนเทนต์จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เร่งด้วยกรีน รอดด้วยกัน’ สูตรแห่งความสำเร็จของชาติอาเซียน ในการก้าวข้ามผ่าน ‘วิกฤตซ้อนวิกฤต’ https://thestandard.co/asean-green-recovery-crisis-strategy/ Wed, 05 Nov 2025 00:35:21 +0000 https://thestandard.co/?p=1139782 ‘เร่งด้วยกรีน รอดด้วยกัน’ สูตรแห่งความสำเร็จของชาติ อาเซียน ในการก้าวข้ามผ่าน ‘วิกฤตซ้อนวิกฤต’

ภาพรวมเศรษฐกิจอาเซียน บนทางแพร่งของวิกฤตและโอกาส   […]

The post ‘เร่งด้วยกรีน รอดด้วยกัน’ สูตรแห่งความสำเร็จของชาติอาเซียน ในการก้าวข้ามผ่าน ‘วิกฤตซ้อนวิกฤต’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เร่งด้วยกรีน รอดด้วยกัน’ สูตรแห่งความสำเร็จของชาติ อาเซียน ในการก้าวข้ามผ่าน ‘วิกฤตซ้อนวิกฤต’

ภาพรวมเศรษฐกิจอาเซียน บนทางแพร่งของวิกฤตและโอกาส

 

ในห้วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับ “วิกฤตซ้อนวิกฤต” (polycrisis) ซึ่งเกิดจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจที่ผันผวน และวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน กำลังยืนอยู่บนทางแพร่งที่สำคัญ แม้ภูมิภาคนี้จะมีศักยภาพการเติบโตที่น่าทึ่งด้วยเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติมากที่สุดในโลก ทั้งพายุไต้ฝุ่น ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น และความไม่มั่นคงทางพลังงาน

 

ความเปราะบางของอาเซียนยังถูกซ้ำเติมด้วยเงื่อนไขเฉพาะของภูมิภาค นั่นคือการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลสูง โครงสร้างเศรษฐกิจที่ประกอบด้วยบุคคลที่ประกอบอาชีพอิสระจำนวนมาก ส่งผลให้มีรายได้ต่ำและเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคมที่อ่อนแอ ยิ่งไปกว่านั้น ประชากรมากกว่าสามในสี่อาศัยอยู่ในเขตชายฝั่ง และภาคเกษตรกรรมและการท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

ด้วยเหตุนี้ การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนในอาเซียนจึงต้องแตกต่างจากที่อื่น ต้องเป็นการเปลี่ยนผ่านที่ไม่เพียงแต่รวดเร็ว แต่ต้อง “ยุติธรรมและครอบคลุม” เพื่อให้มั่นใจว่าการเติบโตจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ผู้นำจากหลากหลายภาคส่วนจึงมารวมตัวกัน ณ เวที ESG Symposium 2025 เพื่อประกาศวิสัยทัศน์และจุดประกายความร่วมมือเพื่อสร้างการเปลี่ยนผ่านที่เท่าเทียมและขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน

 

มุมมองจากผู้นำ ทำไมต้องเร่งด้วยกรีนในอาเซียน?

 

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวในงาน ESG Symposium 2025 ว่า ความร่วมมือภาคเอกชนคือพลังขับเคลื่อนที่สำคัญ ในการผลักดันให้เศรษฐกิจอาเซียนนั้นเจอทางรอด ท่ามกลางวิกฤตซ้อนวิกฤต และสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน

 

ธรรมศักดิ์เน้นว่า จากวิกฤตต่างๆ ที่เราพบเจอในปัจจุบัน ซึ่งที่เห็นและสัมผัสได้ชัดเจนที่สุดก็คือ วิกฤตซ้อนวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนทางเศรษฐกิจ และสภาพภูมิอากาศแปรปรวนรุนแรง คำถามสำคัญที่เราต้องตระหนักไม่ใช่ “เราควรดำเนินการหรือไม่” แต่เราต้องตระหนักและถามกันเองว่า “เราจะสร้างอนาคตที่ยั่งยืนได้อย่างไร”

 

‘เร่งด้วยกรีน รอดด้วยกัน’ สูตรแห่งความสำเร็จของชาติ อาเซียน ในการก้าวข้ามผ่าน ‘วิกฤตซ้อนวิกฤต’ 1

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี

 

สำหรับ SCG ในฐานะภาคเอกชนซึ่งเป็นผู้นำด้านการปฏิรูปเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว จะมุ่งเน้นการลงมือปฏิบัติจริง ผ่านโครงการความร่วมมือข้ามภาคส่วนหลายโครงการ

 

โดยโครงการที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ โครงการ Saraburi Sandbox ซึ่งทำให้จังหวัดสระบุรีกลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย และเป็นคลัสเตอร์อุตสาหกรรมแห่งที่ 3 ในอาเซียนที่เข้าร่วมโครงการ Transitioning Industrial Cluster ของ World Economic Forum ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในการสร้างการเปลี่ยนแปลง

 

นอกจากนี้ ยังมีโครงการ ‘Go Together’ ซึ่งเป็นโครงการที่จัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างศักยภาพ SME กว่า 1,300 แห่งทั่วประเทศ SCG ได้ช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถของ SME เหล่านี้ในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว รวมถึงการเร่งการเข้าถึงและนำเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานมาใช้ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตและสนับสนุนการเติบโตที่ยั่งยืน และหลักสูตร Net Zero Accelerator Program ซึ่งเป็นการจับมือกับพันธมิตร 12 ราย เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของ SME และหน่วยงานภาครัฐในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero

 

การเปลี่ยนผ่านที่ ‘ยุติธรรม’ ต้องสร้างความไว้วางใจ

 

David McLachlan-Karr, Regional Director, UN Development Coordination Office (DCO), Asia-Pacific กล่าวบนเวทีเดียวกันว่า การเปลี่ยนผ่านที่ยุติธรรมต้องสร้างความไว้วางใจ โดยเขาย้ำว่า ความท้าทายของอาเซียนคือการต้องเปลี่ยนผ่านระบบเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง พร้อมกับสร้างความเชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนผ่านนั้นต้อง “ยุติธรรมและครอบคลุม” ซึ่ง UN เข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนรัฐบาลในภูมิภาค โดยเฉพาะการสนับสนุนโครงการความร่วมมือเพื่อการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรม (Just Energy Transition Partnership) ในอินโดนีเซีย ซึ่งช่วยให้จังหวัดที่ผลิตถ่านหินสามารถออกแบบแผนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียวที่คำนึงถึงชุมชนและแรงงาน

 

เขาย้ำว่า การเปลี่ยนผ่านที่ยุติธรรมไม่ใช่แค่เรื่องทางเทคนิค แต่เป็นเรื่องของการมีส่วนร่วมและที่สำคัญที่สุดคือ “ความไว้วางใจระหว่างรัฐบาลและประชาชน”

 

‘เร่งด้วยกรีน รอดด้วยกัน’ สูตรแห่งความสำเร็จของชาติ อาเซียน ในการก้าวข้ามผ่าน ‘วิกฤตซ้อนวิกฤต’ 2

David McLachlan-Karr, Regional Director, UN Development Coordination Office (DCO), Asia- Pacific

 

สอดคล้องกับ Koji Sato President & CEO, Toyota Motor Corporation ที่เชื่อว่า การมี “แนวทางหลากหลาย” หรือ Multi-Pathway Approaches จะเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านอย่างยั่งยืน

 

Koji Sato ได้นำเสนอปรัชญา “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” และ ‘แนวทางหลากหลาย’ (Multi-Pathway Approaches) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน เนื่องจากบริบทของอาเซียนและประเทศไทยมีความหลากหลายในการใช้งานรถยนต์และแหล่งพลังงาน การพึ่งพาทางเลือกใดทางเลือกหนึ่งเพียงอย่างเดียวจึงไม่เหมาะสม

 

‘เร่งด้วยกรีน รอดด้วยกัน’ สูตรแห่งความสำเร็จของชาติ อาเซียน ในการก้าวข้ามผ่าน ‘วิกฤตซ้อนวิกฤต’ 3

Koji Sato President & CEO, Toyota Motor Corporation

 

มุมมองของ Koji Sato นั้น มาจาก DNA ของ Toyota ที่มุ่งมั่นพัฒนาโซลูชันที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฮบริด, รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV), หรือแม้กระทั่งการพัฒนาเชื้อเพลิงคาร์บอนเป็นกลางที่สามารถใช้กับรถยนต์ 20 ล้านคันที่มีอยู่บนท้องถนนในไทย เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนจะสามารถเข้าถึงการเดินทางที่ยั่งยืนได้

 

บทบาทของ AI จะชัดขึ้นในฐานะผู้ส่งสัญญาณ

 

ดร. Sai Ravela และ Prof. Miho Mazereeuw, MIT ชี้ให้เห็นความท้าทายอันเร่งด่วน หรือเรียกได้ว่าเป็นวิกฤตของอาเซียน ซึ่งก็คือ ภัยพิบัติธรรมชาติ

 

โดย Sai ชี้ให้เห็นว่า อาเซียนเป็นภูมิภาคที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมอย่างมหาศาล ซึ่งการปรับตัว (Adaptation) และการบรรเทาผลกระทบ (Mitigation) ต้องดำเนินการไปพร้อมกัน และบนเวทีนี้ Sai ได้นำเสนอการใช้เครื่องมือ AI ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เพื่อสร้างแผนที่ความเปราะบางของเมือง ซึ่งช่วยระบุจุดอันตรายและวางแผนรับมือความเสี่ยงจากภัยพิบัติได้อย่างแม่นยำ

 

ขณะที่ Miho ย้ำถึงเรื่องการมีส่วนร่วมของชุมชนในการปรับตัว โดยยกตัวอย่างจากญี่ปุ่นที่ชุมชนตัดสินใจที่จะไม่ย้ายถิ่นฐาน แต่ร่วมกันสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้งานได้สองแบบ (dual-use) เพื่อรับมือกับแผ่นดินไหวและสึนามิ

 

ซึ่งเธอชื่นชมว่า​ “นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนของการปรับตัวที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน”

 

บทบาทสำคัญของภาคการเงินในการ ‘ลดความเป็นสีน้ำตาล’

 

ดร.เศรษฐพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การเปลี่ยนผ่านในอาเซียนนั้น ต้อง ‘นำโดยภาครัฐอย่างมีนัยสำคัญ’ โดยภาคการเงินมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านนี้ ด้วยแนวคิด “อย่าให้ความสมบูรณ์แบบเป็นศัตรูของความดี” (Don’t let perfect be the enemy of good)

 

ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงริเริ่มโครงการ ‘การเงินเพื่อการเปลี่ยนผ่าน’ (transition finance) ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ 8 แห่ง เพื่อสนับสนุนธุรกิจที่ปล่อยคาร์บอนสูงให้สามารถ “ลดความเป็นสีน้ำตาล” (de-brown) ของเศรษฐกิจลงได้ โครงการนี้แสดงให้เห็นว่าแม้การวัดผลจะยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่การลงมือทำอย่างเป็นรูปธรรมก็สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้

 

บทสรุป: ความร่วมมือคือหนทางรอดเดียว

 

เสียงของผู้นำจากหลากหลายภาคส่วนล้วนส่งสารเดียวกันคือ การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนในอาเซียนไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการทำงานเพียงลำพัง ภูมิภาคนี้มีทั้งความเปราะบางและศักยภาพอันยิ่งใหญ่ ซึ่งต้องการการผนึกกำลังจากทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการเงิน หรือภาควิชาการ อาเซียนมีโอกาสที่จะเป็นผู้นำในการสร้างอนาคตที่ไม่เพียงแต่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังยุติธรรมและครอบคลุมสำหรับทุกคน และการเปลี่ยนผ่านที่เท่าเทียมเพื่อความยั่งยืนของอาเซียนนี้คือการเดินทางร่วมกันที่ต้องการความมุ่งมั่นอย่างไม่หยุดยั้ง

The post ‘เร่งด้วยกรีน รอดด้วยกัน’ สูตรแห่งความสำเร็จของชาติอาเซียน ในการก้าวข้ามผ่าน ‘วิกฤตซ้อนวิกฤต’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
แค่พักรบชั่วคราว! บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ชี้ ดีล สหรัฐฯ-จีน 1 ปี ไม่แก้ปม Cold War ทางเศรษฐกิจ https://thestandard.co/us-china-economic-cold-war/ Tue, 04 Nov 2025 12:16:08 +0000 https://thestandard.co/?p=1139743 แค่พักรบชั่วคราว บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ชี้ ดีล สหรัฐฯ- จีน 1 ปี ไม่แก้ปม Cold War ทางเศรษฐกิจ

The post แค่พักรบชั่วคราว! บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ชี้ ดีล สหรัฐฯ-จีน 1 ปี ไม่แก้ปม Cold War ทางเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
แค่พักรบชั่วคราว บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ชี้ ดีล สหรัฐฯ- จีน 1 ปี ไม่แก้ปม Cold War ทางเศรษฐกิจ

The post แค่พักรบชั่วคราว! บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ชี้ ดีล สหรัฐฯ-จีน 1 ปี ไม่แก้ปม Cold War ทางเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไชยชนก นำทัพดีอีเอส จับมือ Google เสิร์ฟ Google AI Pro ให้นักศึกษาใช้ฟรี 12 เดือน ตั้งเป้าเฟส 2 ศึกษาเพื่อขยาย AI ระดับพรีเมียมสู่คนไทยกว่า 5 ล้านคน https://thestandard.co/google-ai-pro-to-students-phase-2/ Mon, 03 Nov 2025 05:36:38 +0000 https://thestandard.co/?p=1139042 ไชยชนก นำทัพ ดีอีเอส จับมือ Google เสิร์ฟ Google AI Pro ให้นักศึกษาใช้ฟรี 12 เดือน ตั้งเป้า เฟส 2 ศึกษาเพื่อขยาย AI ระดับพรีเมียมสู่คนไทยกว่า 5 ล้านคน

วันนี้ (3 พฤศจิกายน) ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและส […]

The post ไชยชนก นำทัพดีอีเอส จับมือ Google เสิร์ฟ Google AI Pro ให้นักศึกษาใช้ฟรี 12 เดือน ตั้งเป้าเฟส 2 ศึกษาเพื่อขยาย AI ระดับพรีเมียมสู่คนไทยกว่า 5 ล้านคน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไชยชนก นำทัพ ดีอีเอส จับมือ Google เสิร์ฟ Google AI Pro ให้นักศึกษาใช้ฟรี 12 เดือน ตั้งเป้า เฟส 2 ศึกษาเพื่อขยาย AI ระดับพรีเมียมสู่คนไทยกว่า 5 ล้านคน

วันนี้ (3 พฤศจิกายน) ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) แถลงเปิดตัว ‘โครงการความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กับ Google Cloud เพื่อขยายโอกาสด้านเทคโนโลยีด้วย AI’ ร่วมกับ อรรณพ ศิริติกุล Country Director Google Cloud ประเทศไทย

 

ไชยชนกกล่าวว่า รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นประธานในงานวันนี้ เพื่อขยายโอกาสด้านเทคโนโลยีด้วย AI โดยเฉพาะในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์กำลังเปลี่ยนแปลงโลกในทุกมิติ รัฐบาลโดยกระทรวงดีอีเอสได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและตระหนักดีว่า AI ไม่ใช่เพียงเครื่องมือทางเทคโนโลยี แต่เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของไทย

 

“เรามีภารกิจที่ชัดเจนในการลดความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยี และใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน วันนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของประเทศไทย เป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระหว่างกระทรวงดีอีเอส และ Google ซึ่งเป็นพันธมิตรเทคโนโลยีระดับโลก” ไชยชนกกล่าว

 

รัฐบาลมีความมุ่งมั่น และให้ความสำคัญกับการพัฒนา AI อย่างต่อเนื่อง และด้วยการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ทั้งสองฝ่ายจึงตัดสินใจสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เพื่อมอบสิทธิพิเศษให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน นักเรียน นิสิต และนักศึกษา ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ

 

ความร่วมมือนี้เกิดขึ้นจากการขยายสิทธิ์การใช้งานในรูปแบบส่วนตัว ให้กับนักเรียน นิสิต และนักศึกษาได้ทดลองใช้งาน AI โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อเปิดโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะทางเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียม

 

ไชยชนกกล่าวต่อว่า “ผู้ที่ใช้งาน AI อยู่แล้วจะทราบดีถึงความแตกต่างระหว่างเวอร์ชันฟรีกับแบบโปร ซึ่งบางคนอาจต้องแชร์บัญชีผู้ใช้งาน การแชร์บัญชีจะทำให้ประสิทธิภาพของระบบลดลง และกระทบต่อการเรียนรู้ของ AI เอง ดังนั้นกระทรวงดีอีเอสจึงพร้อมผลักดันให้การเข้าถึงเทคโนโลยีเป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชนทุกคน”

 

ทั้งนี้ กระทรวงดีอีเอสจะทำงานร่วมกับ Google อย่างใกล้ชิด เพื่อศึกษาขยายสิทธิ์ให้คนไทยสามารถเข้าถึงการใช้งานได้ในระยะต่อไป โดยมีการหารือกับบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่หลายแห่ง เช่น Microsoft, Huawei เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการใหม่ที่จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึง AI ได้อย่างทั่วถึง

 

นอกจากนี้ ไชยชนกยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และการป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลจากการใช้ AI โดยกล่าวว่า วิวัฒนาการของเทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องของความสะดวกสบายเพียงอย่างเดียว แต่ต้องควบคู่กับความปลอดภัย ซึ่ง Google และกระทรวงดีอีเอสมีแนวคิดตรงกันในเรื่องนี้

 

กระทรวงดีอีเอส ต้องการให้ประชาชนและเยาวชนสามารถคิดวิเคราะห์ได้ด้วยตนเอง โดยไม่พึ่งพา AI มากจนเกินไป เพราะการคิดของมนุษย์คือพื้นฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืน และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลควรเป็นเพียงเครื่องมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

 

อีกทั้ง ยังมีการหารือร่วมกันเพื่อจัดตั้ง ‘Cyber Space’ สำหรับพัฒนาศักยภาพด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ โดย Google ในฐานะผู้นำเทคโนโลยีระดับโลก จะนำองค์ความรู้และระบบซอฟต์แวร์มาช่วยลดภัยจากอาชญากรรมไซเบอร์ เช่น โปรแกรมมิงที่เป็นอันตราย หรือมัลแวร์ที่แอบแฝงในระบบต่างๆ ซึ่งจะช่วยเสริมความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานในประเทศไทย

 

ไชยชนกกล่าวขอบคุณพันธมิตรจาก Google และทุกภาคส่วนที่ร่วมกันผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ โดยวันนี้เราไม่ได้เพียงมอบ AI ให้กับนักเรียนหรือนักศึกษา แต่เรากำลังวางรากฐานใหม่ให้กับอนาคตเทคโนโลยีของประเทศไทย เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม

 

ไชยชนกให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ในเชิงเจตนาและความตั้งใจของความร่วมมือครั้งนี้ คือการยกระดับมาตรฐานการเข้าถึงเทคโนโลยี AI ให้ประชาชนเข้าถึงได้มากขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับความรู้ เพราะ AI ในวันนี้ถือเป็นอีกหนึ่งวิวัฒนาการสำคัญ ที่จะกลายเป็นหนึ่งในสิทธิพื้นฐานของอนาคต ที่ประชาชนไทยควรเข้าถึง เพื่อให้ประเทศสามารถพัฒนาไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

 

สำหรับการเปิดให้นักศึกษาอายุ 18 ปีขึ้นไปเข้าถึง AI ระดับพรีเมียมนั้น ไชยชนกเชื่อว่าจะช่วยสร้างโอกาสและอนาคตให้กับเยาวชนไทย พร้อมพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของตนเอง โดยที่ผ่านมาหลายคนเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่าง AI แบบฟรี และแบบพรีเมียม แต่ไม่สามารถเข้าถึงได้เพราะราคาค่อนข้างสูง จึงเกิดการแชร์บัญชีกัน ซึ่งถึงแม้จะเป็นเจตนาดี แต่ก็ทำให้ประสิทธิภาพการใช้งานลดลง

 

“ความร่วมมือนี้จะทำให้น้องๆ ทุกคนมีบัญชีของตัวเอง ใช้งานได้เต็มฟังก์ชันในรูปแบบพรีเมียมฟรี เป็นเวลา 1 ปีเต็ม ซึ่งเชื่อว่าจะสร้างประโยชน์อย่างมาก พร้อมฝากถึงนักศึกษาว่า อยากให้รีบลงทะเบียนภายในวันที่ 9 ธันวาคมนี้ และที่สำคัญคือการใช้ AI อย่างมีสติ ถ้าเราใช้ AI เพื่อทดแทนการคิด หรือการทำงานของเราไปเลย สุดท้ายคนที่เสียคือผู้ใช้เอง แต่ถ้าใช้อย่างมีสติ เพื่อยกระดับความรู้ การคิด การทำโปรเจกต์ หรือการวิจัยอย่างมีประสิทธิภาพ มันจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยพัฒนาอนาคตของตัวเองและของประเทศได้

 

ขณะที่ อรรณพ ศิริติกุล Country Director Google Cloud ประเทศไทย กล่าวถึงการขยายสิทธิ์ให้กับประชาชนทั่วไปหลังวันที่ 9 ธันวาคม 2568 Google ได้มีการร่วมมือหรือเตรียมการกับทางดีอี ว่า ขณะนี้ Google อยู่ระหว่างการศึกษาความร่วมมือกับ กระทรวงดีอีเอส เพื่อหาวิธีให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้มากขึ้น

 

ขณะนี้ เรามีการศึกษาร่วมกันว่า จะทำอย่างไรให้คนไทยเข้าถึง AI ได้มากขึ้น ซึ่งตนมองอยู่ 2 เรื่องด้วยกัน เรื่องแรกคือการเข้าถึงในรูปแบบปกติของ ‘Google AI Pro’ ที่สามารถค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตหรือแหล่งข้อมูลสาธารณะได้ทั้งหมด แต่ Google มองไปไกลกว่านั้น โดยต้องการสร้าง AI ที่เป็นพื้นฐานของประเทศอย่างแท้จริง ซึ่งจะออกแบบให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย

 

“สิ่งที่เราคำนึงถึงคือเรื่อง ‘Data Sovereignty’ ข้อมูลต้องเป็นของประเทศไทยเอง รวมถึงข้อมูลด้านการศึกษาและข้อมูลสำคัญต่างๆ ภายในประเทศ เราจึงกำลังพิจารณาวิธีพัฒนา AI เวอร์ชันใหม่ให้แตกต่าง และสอดคล้องกับวัฒนธรรมของคนไทยมากขึ้น แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น กระทรวงดีอีเอสจะยังคงมีบทบาทในการดูแลระบบ ความปลอดภัย และความมั่นใจในการใช้งานของประชาชน เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้ AI ได้อย่างปลอดภัย และเกิดประโยชน์สูงสุด

 

ในส่วนของเฟส 2 ไชยชนกเปิดเผยว่า ได้มีการหารือกับกูเกิลเพื่อขยายผลให้ประชาชนกลุ่มอื่นนอกจากนักศึกษาเข้าถึงได้ รวมถึงผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน โดยตั้งเป้าขยายสิทธิ์ให้ประชาชนเข้าถึงได้ราว 5 ล้านผู้ใช้งานภายใน 2 ปี

 

ไชยชนกกล่าวทิ้งท้ายว่า จริงๆ ไม่ต้องเชิญชวนอะไรมาก เพราะผมเชื่อว่าประชาชนทุกคนที่มีสิทธิ์ อยากเข้าถึงอยู่แล้ว ขอฝากสื่อมวลชนช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้รับรู้โดยเร็ว เพื่อให้พี่น้องประชาชนมาลงทะเบียนและใช้ประโยชน์จากโครงการดีๆ แบบนี้ให้ได้มากที่สุด โดยกระทรวงดีอีเอสจะมีการวัดผล (KPI) เพื่อประเมินการใช้งาน และใช้เป็นฐานในการพัฒนาโครงการต่อไป จน AI กลายเป็นหนึ่งในสิทธิพื้นฐาน ของชีวิตประชาชนไทยในอนาคต

 

ไชยชนก นำทัพ ดีอีเอส จับมือ Google เสิร์ฟ Google AI Pro ให้นักศึกษาใช้ฟรี 12 เดือน ตั้งเป้า เฟส 2 ศึกษาเพื่อขยาย AI ระดับพรีเมียมสู่คนไทยกว่า 5 ล้านคน 1 ไชยชนก นำทัพ ดีอีเอส จับมือ Google เสิร์ฟ Google AI Pro ให้นักศึกษาใช้ฟรี 12 เดือน ตั้งเป้า เฟส 2 ศึกษาเพื่อขยาย AI ระดับพรีเมียมสู่คนไทยกว่า 5 ล้านคน 2 ไชยชนก นำทัพ ดีอีเอส จับมือ Google เสิร์ฟ Google AI Pro ให้นักศึกษาใช้ฟรี 12 เดือน ตั้งเป้า เฟส 2 ศึกษาเพื่อขยาย AI ระดับพรีเมียมสู่คนไทยกว่า 5 ล้านคน 3 ไชยชนก นำทัพ ดีอีเอส จับมือ Google เสิร์ฟ Google AI Pro ให้นักศึกษาใช้ฟรี 12 เดือน ตั้งเป้า เฟส 2 ศึกษาเพื่อขยาย AI ระดับพรีเมียมสู่คนไทยกว่า 5 ล้านคน 4 ไชยชนก นำทัพ ดีอีเอส จับมือ Google เสิร์ฟ Google AI Pro ให้นักศึกษาใช้ฟรี 12 เดือน ตั้งเป้า เฟส 2 ศึกษาเพื่อขยาย AI ระดับพรีเมียมสู่คนไทยกว่า 5 ล้านคน 5 ไชยชนก นำทัพ ดีอีเอส จับมือ Google เสิร์ฟ Google AI Pro ให้นักศึกษาใช้ฟรี 12 เดือน ตั้งเป้า เฟส 2 ศึกษาเพื่อขยาย AI ระดับพรีเมียมสู่คนไทยกว่า 5 ล้านคน 6

The post ไชยชนก นำทัพดีอีเอส จับมือ Google เสิร์ฟ Google AI Pro ให้นักศึกษาใช้ฟรี 12 เดือน ตั้งเป้าเฟส 2 ศึกษาเพื่อขยาย AI ระดับพรีเมียมสู่คนไทยกว่า 5 ล้านคน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่อง 5 ปรากฏการณ์ในตลาดหุ้น หลัง Nvidia ทะยานสู่ 5 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นบริษัทแรกของโลก https://thestandard.co/nvidia-5-trillion-stock-impact/ Mon, 03 Nov 2025 05:20:35 +0000 https://thestandard.co/?p=1139023 ส่อง 5 ปรากฏการณ์ในตลาดหุ้น หลัง Nvidia ทะยานสู่ 5 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นบริษัทแรกของโลก

Nvidia Corp. ได้สร้างหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับตลาดการ […]

The post ส่อง 5 ปรากฏการณ์ในตลาดหุ้น หลัง Nvidia ทะยานสู่ 5 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นบริษัทแรกของโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่อง 5 ปรากฏการณ์ในตลาดหุ้น หลัง Nvidia ทะยานสู่ 5 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นบริษัทแรกของโลก

Nvidia Corp. ได้สร้างหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับตลาดการเงินโลกอีกครั้ง เมื่อกลายเป็นบริษัทแรกที่มีมูลค่าตลาดทะลุระดับ 5 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 175 ล้านล้านบาท ได้สำเร็จเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

การทะยานขึ้นของยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตชิป AI รายนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างสถิติใหม่ แต่ยังเป็นการตอกย้ำถึงอิทธิพลอันมหาศาลที่บริษัทนี้มีต่อเศรษฐกิจโลกและทิศทางของ Wall Street อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

 

แมตต์ มิสกิน รองหัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนร่วมของ Manulife John Hancock Investments กล่าวถึงปรากฏการณ์นี้ว่า “นี่คือสิ่งที่โดดเด่นอย่างมากเมื่อเทียบกับในอดีต เป็นสิ่งที่น่าจับตามองแห่งยุคสมัยจริงๆ”

 

Microsoft Corp., Meta Platforms Inc. และ Amazon.com Inc. ต่างให้คำมั่นว่าจะยังคงใช้จ่ายอย่างหนักในด้าน AI บริษัททั้งสี่คาดว่าจะเพิ่มการใช้จ่ายรวมกัน 34% เป็นประมาณ 4.4 แสนล้านดอลลาร์ ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ตามข้อมูลที่รวบรวมโดย Bloomberg

 

การใช้จ่ายเหล่านั้นเป็นเหตุผลหลักว่าทำไมรายได้ของ Nvidia จึงคาดว่าจะสูงถึง 2.85 แสนล้านดอลลาร์ ในปีงบประมาณหน้า เพิ่มขึ้นจากเพียง 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปีงบประมาณ 2020

 

ทั้งนี้ Bloomberg รายงาน​ 5 ปรากฏการณ์สำคัญที่แสดงให้เห็นว่า Nvidia กำลังมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นโลกอย่างไร

 

1. น้ำหนักในดัชนี S&P 500 สูงสุดเป็นประวัติการณ์

 

ในฐานะบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก Nvidia มีน้ำหนักในดัชนี S&P 500 สูงถึง 8.5% ซึ่ง มากกว่ามูลค่าของบริษัทที่อยู่ท้ายตาราง 240 แห่งรวมกัน ตัวเลขนี้ถือเป็นสถิติสูงสุดใหม่สำหรับหุ้นตัวเดียวในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ แซงหน้าสถิติเดิมของ Apple (7.7% ในปี 2566) และ Microsoft (7.4% ในปี 2566) ปัจจุบัน หุ้นกลุ่ม Magnificent Seven มีน้ำหนักรวมกันในดัชนีสูงถึง 36%

 

ปรากฏการณ์นี้ทำให้ แมตต์ มิสกิน ตั้งข้อสังเกตว่า “มันรู้สึกเหมือนว่าดัชนี S&P 500 กำลังใส่ไข่จำนวนมากไว้ในตะกร้าใบเดียว”

 

2. มีมูลค่ามากกว่าตลาดหุ้นของ ‘เกือบทุกประเทศ’ ในโลก

 

มูลค่า 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐของ Nvidia ไม่เพียงแต่ทิ้งห่าง Apple ในอันดับสองไปไกลถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ยังมีมูลค่ามากกว่าตลาดหุ้นของ เนเธอร์แลนด์, สเปน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอิตาลี รวมกัน

 

หากเปรียบเทียบเป็นรายประเทศ ปัจจุบัน Nvidia มีขนาดใหญ่กว่าตลาดหุ้นของทุกประเทศในโลก ยกเว้นเพียง 5 ตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐฯ, จีน, ญี่ปุ่น, ฮ่องกง และอินเดีย

 

3. Wall Street เทใจให้ ‘ซื้อ’ เกือบเป็นเอกฉันท์

 

ความเชื่อมั่นต่อ Nvidia ยังคงท่วมท้นในหมู่นักวิเคราะห์ โดย 91% ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และมีนักวิเคราะห์เพียงรายเดียว คือ เจย์ โกลด์เบิร์ก จาก Seaport Global ที่ให้คำแนะนำ “ขาย” สวนทางตลาดมาตั้งแต่เดือนเมษายน หลังจากราคาหุ้นได้เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าตั้งแต่นั้นมา

 

ล่าสุด นักวิเคราะห์จาก HSBC ได้ให้ราคาเป้าหมายที่สูงที่สุดในตลาดที่ 230 ดอลลาร์ ซึ่งหากไปถึงจุดนั้น จะทำให้ Nvidia มีมูลค่าตลาดสูงถึง 8 ล้านล้านดอลลาร์

 

4. การเติบโตของรายได้ที่ ‘ผิดปกติ’ สำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่

 

โดยปกติ บริษัทที่มีขนาดใหญ่มากมักจะเติบโตได้ช้าลง แต่ Nvidia กลับเป็นข้อยกเว้น โดยคาดว่ารายได้ในปีงบประมาณปัจจุบันจะ ขยายตัวเกือบ 60% แม้จะชะลอตัวลงจากสองปีก่อน แต่ก็ยังทิ้งห่างคู่แข่งอย่าง Microsoft ที่คาดโต 15% และ Apple ที่คาดโต 6.2% อย่างขาดลอย

 

แรงขับเคลื่อนหลักมาจากการทุ่มงบลงทุน (Capex) ด้าน AI ของกลุ่ม Big Tech โดย Microsoft, Meta, Amazon และ Google คาดว่าจะใช้จ่ายรวมกันถึง 4.4 แสนล้านดอลลาร์ ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งส่วนใหญ่จะไหลเข้าสู่ Nvidia

 

5. สร้างความมั่งคั่งให้ เจนเซน หวง แตะระดับ Top 10 ของโลก

 

การทะยานขึ้นของหุ้นได้ส่งผลให้ความมั่งคั่งสุทธิของ เจนเซน หวง ผู้ก่อตั้งและซีอีอของบริษัท พุ่งสูงถึง 1.76 แสนล้านดอลลาร์ โดยเพิ่มขึ้นกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้เพียงปีเดียว ส่งผลให้เขากลายเป็นหนึ่งใน 10 บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

 

Jensen Huang Effect!

 

ไม่เพียงแค่ 5 ปรากฏการณ์ข้างต้น ความร้อนแรงของ Nvidia ยังได้แผ่ออกไปยังตลาดหุ้นอื่นๆ อย่างตลาดหุ้นเกาหลีใต้ โดยดัชนี Kospi เปิดตลาดสัปดาห์แรกของเดือนพฤศจิกายนด้วยการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 2.5% ทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์

 

การทะยานขึ้นครั้งนี้เป็นการต่อยอดจากเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นเดือนที่ดัชนีปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบกว่าสองทศวรรษ นับแต่ปี 2001 โดยพุ่งขึ้น 20% ด้วยแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากกระแสความคลั่งไคล้ใน AI และการที่ Nvidia Corp. เข้ามาทำข้อตกลงกับบริษัทเทคโนโลยีในประเทศ
แรงซื้อในวันนี้ (3 พฤศจิกายน) ยังคงกระจุกตัวในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชั้นนำของเกาหลีใต้อย่าง Samsung Electronics Co. และ SK Hynix Inc. ซึ่งทั้งคู่เป็นซัพพลายเออร์คนสำคัญของ Nvidia นอกจากนี้ กระแสเชิงบวกดังกล่าวยังได้แผ่ขยายไปยังหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่าง HD Hyundai Electric Co. รวมถึงบริษัทหุ่นยนต์และเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ ที่ถูกมองว่าจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนา AI

 

อัน ฮยองจิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Billionfold Asset Management Inc. เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “Jensen Huang Effect” โดยอ้างถึงการมาเยือนกรุงโซลของ CEO แห่ง Nvidia เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพื่อประกาศข้อตกลงต่างๆ อัน ฮยองจิน กล่าวเสริมว่า ผลกระทบจากการเข้าพบผู้นำธุรกิจอย่าง เจย์ วาย. ลี ประธานของ Samsung และผู้บริหารรายอื่นๆ “กำลังถูกขยายผลอย่างมากในตลาด”

 

อ้างอิง:

The post ส่อง 5 ปรากฏการณ์ในตลาดหุ้น หลัง Nvidia ทะยานสู่ 5 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นบริษัทแรกของโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
อนุทินยอมรับกดดันแก้ปัญหาสแกมเมอร์ ชี้ ปปง.เกี่ยวข้องโดยตรงอาชญากรรมทางไซเบอร์ “เงินดำไม่ใช่เทา ฟอกอย่างไรก็ไม่สะอาด” https://thestandard.co/slug-anutin-scammers-dirty-money-ppg-involved/ Mon, 03 Nov 2025 03:46:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1138970 อนุทิน ยอมรับกดดันแก้ปัญหา สแกมเมอร์ ชี้ ปปง. เกี่ยวข้องโดยตรง อาชญากรรมทางไซเบอร์ “เงินดำไม่ใช่เทา ฟอกอย่างไรก็ไม่สะอาด”

วันนี้ (3 พฤศจิกายน) อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรั […]

The post อนุทินยอมรับกดดันแก้ปัญหาสแกมเมอร์ ชี้ ปปง.เกี่ยวข้องโดยตรงอาชญากรรมทางไซเบอร์ “เงินดำไม่ใช่เทา ฟอกอย่างไรก็ไม่สะอาด” appeared first on THE STANDARD.

]]>
อนุทิน ยอมรับกดดันแก้ปัญหา สแกมเมอร์ ชี้ ปปง. เกี่ยวข้องโดยตรง อาชญากรรมทางไซเบอร์ “เงินดำไม่ใช่เทา ฟอกอย่างไรก็ไม่สะอาด”

วันนี้ (3 พฤศจิกายน) อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่คณะกรรมการ คณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. โดยมี พล.ต.อ. เพิ่มพูน ชิดชอบ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธานกรรมการ ปปง. และมี เทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ ปปง. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม

 

ฉัตรชัย ได้กล่าวรายงานว่า ขณะนี้สำนักงาน ปปง. มีการจัดการกับบัญชีม้าไปแล้วกว่า 800,000 บัญชี และมีเงินคงค้างในระบบกว่า 3,000 กว่าล้านบาท ขณะเดียวกันยังรายงานอุปสรรคปัญหาว่า การทำงานของ ปปง. ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของไทยที่มีกฎหมายเฉพาะอยู่ 2 ฉบับ ซึ่งเป็นมาตรฐานกฎหมายไทยที่ต้องปฏิบัติตามสากล ซึ่งถือเป็นปัญหาอุปสรรค ขณะเดียวกัน อีกหนึ่งปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการคือ ไม่เท่าทันมิจฉาชีพ ควรจะต้องมีระบบ AI หรือเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามา เพราะ ปปง. จะต้องมีฐานข้อมูลรองรับ

 

จากนั้น อนุทิน กล่าวมอบนโยบายว่า ขอบคุณที่ได้เชิญให้ตนมาเยี่ยมสถานที่แห่งนี้ เพราะตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ได้มีโอกาสพบกับทางประธานและเลขาธิการ ปปง. อยู่ 2–3 ครั้ง ได้สอบถามถึงภารกิจต่างๆ พร้อมระบุว่า ความเข้าใจตอนแรก ตนเข้าใจว่าหน่วยงานนี้สังกัดกระทรวงยุติธรรม จึงไม่ได้ติดต่อหรือสั่งการโดยตรง หลังจากเข้ามาสังคายนาระบบภายในทำเนียบรัฐบาล จึงทราบว่า ปปง. เป็นหน่วยงานที่ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี

 

“จริงๆ งานของท่านก็มีความสำคัญมากอยู่แล้ว ภารกิจของ ปปง. ได้รับความสนใจของประชาชนและสังคมมากเป็นพิเศษ เนื่องจากในช่วงนี้ไม่มีอะไรดังไปกว่าสแกมเมอร์ อาชญากรรมทางการเงินและเทคโนโลยี ซึ่งในธุรกรรมต่างๆ ของมิจฉาชีพ ธุรกิจประเภทนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้กับภารกิจของ ปปง. ที่ต้องฟอกเงินให้สะอาด เพราะเงินไม่ใช่เทา แต่ดำฟอกอย่างไรก็ไม่สะอาด”

 

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวอีกว่า ตนในฐานะที่กำกับดูแลสำนักงาน ปปง. ต้องยอมรับว่ามีความกดดันจากประชาชนและสังคม ตลอดจนประชาคมนานาชาติ ในเรื่องของการดำเนินการปัญหาอาชญากรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สแกมเมอร์” ซึ่งถ้าเราดำเนินการไม่เด็ดขาด ไม่เต็มที่ ไม่ใช่เพียงแค่จะถูกตราหน้าว่าไม่มีผลงาน แต่สิ่งที่จะตามมาหลังจากนั้นคือการถูกคว่ำบาตร ถูกกีดกัน และถูกกดดันจากนานาชาติ นี่คือสิ่งที่สำคัญมาก

The post อนุทินยอมรับกดดันแก้ปัญหาสแกมเมอร์ ชี้ ปปง.เกี่ยวข้องโดยตรงอาชญากรรมทางไซเบอร์ “เงินดำไม่ใช่เทา ฟอกอย่างไรก็ไม่สะอาด” appeared first on THE STANDARD.

]]>