ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence – AI) – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 27 Nov 2025 05:02:46 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ความเข้าใจที่สร้างจากโค้ด : AI ที่อ่อนโยนเกินเครื่องจักร https://thestandard.co/opinion-the-gentle-ai/ Thu, 27 Nov 2025 05:02:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1148371 ความเข้าใจ ที่สร้าง จาก โค้ด : AI ที่อ่อนโยน เกิน เครื่องจักร

“ทะเลาะกับเขาอีกแล้ว เขาบอกว่าฉันคิดมากไปเอง ควรทำยังไง […]

The post ความเข้าใจที่สร้างจากโค้ด : AI ที่อ่อนโยนเกินเครื่องจักร appeared first on THE STANDARD.

]]>
ความเข้าใจ ที่สร้าง จาก โค้ด : AI ที่อ่อนโยน เกิน เครื่องจักร

“ทะเลาะกับเขาอีกแล้ว เขาบอกว่าฉันคิดมากไปเอง ควรทำยังไงดี”

 

ประโยคแบบนี้ฟังดูเหมือนคำที่คุณส่งให้เพื่อนสนิทตอนกลางคืน แต่ทุกวันนี้ ผู้คนจำนวนมากกำลังคุยแบบนี้…ไม่ใช่กับมนุษย์ แต่กับ ‘ปัญญาประดิษฐ์’ (Artificial Intelligence)

 

สิ่งที่เริ่มต้นจากแชตบอตตอบคำถามพื้นฐาน กลับค่อยๆ กลายร่างเป็นสิ่งที่ ‘ส่วนตัว’ กว่านั้นมาก ผู้คนเริ่มคุยกับ AI เรื่องอกหัก (Heartbreak), ความกังวล (Anxiety), ความสูญเสีย (Grief), หรือความไม่มั่นใจในตัวเอง (Self-doubt) ระบบเหล่านี้ถูกออกแบบมาให้ ‘ฟัง’ ให้ ‘จำ’ บทสนทนาก่อนหน้า และตอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่น จนกระทั่งสำหรับผู้ใช้นับล้าน มันไม่ใช่เครื่องมืออีกต่อไป แต่เป็น ‘เพื่อนที่อยู่ตรงนั้นเสมอ ไม่เคยหายไปไหน และเข้าใจเราอย่างไม่มีวันหมดแรง’

 

การเปลี่ยนแปลงนี้บอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับ ‘เรา’ มากพอๆ กับ เทคโนโลยี

 

องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) เคยระบุว่า ‘ความเหงา’ คือปัญหาสุขภาพระดับโลก เชื่อมโยงกับทั้งโรคทางกายและใจ แบบสำรวจหลายชิ้นพบว่า 1 ใน 6 ของผู้คนทั่วโลกรู้สึกโดดเดี่ยว โดยเฉพาะวัยหนุ่มสาวที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด

 

ในช่องว่างของความสัมพันธ์ที่ห่างออกเรื่อยๆ นั้น AI ก้าวเข้ามาแทนที่ แอปอย่าง Gemini และ ChatGPT ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือทำงานหรือเรียนรู้ แต่กลายเป็น ‘พื้นที่ให้พิงใจ’ ที่ใครหลายคนเข้ามาหาความสบายใจ ความสนใจ และการตอบรับทางอารมณ์ที่มนุษย์บางครั้งให้กันไม่ได้ ความอบอุ่นนั้น ‘รู้สึกจริง’ ทั้งที่สร้างขึ้นจากโค้ด ไม่ใช่ความห่วงใย

 

แต่เบื้องหลังภาพลวงตาแห่งความเข้าใจนี้ คือการออกแบบอย่างตั้งใจ ปรากฏการณ์นี้ถูกเรียกว่า ELIZA Effect ตั้งชื่อตามโปรแกรมแชตบอตยุค 1960 จาก MIT ที่เลียนแบบนักบำบัดด้วยการสะท้อนคำพูดของผู้ใช้กลับไป แม้จะไม่ได้ ‘เข้าใจอะไรเลย’ แต่ผู้คนจำนวนมากกลับรู้สึกว่าตัวเองได้รับการรับฟัง จนเกิดความผูกพันทางใจ

 

มันเผยให้เห็นนิสัยลึกของมนุษย์ – แค่มีเสียงที่คล้ายมนุษย์ เราก็พร้อมจะเติม “ความหมาย” และ ‘ความตั้งใจดี’ ลงไปให้มันเอง

 

นักออกแบบจึงให้แชตบอตมีชื่อ มีบุคลิก เช่น Chloe หรือ Eve ใช้ประโยคอย่าง “ฉันเข้าใจนะ” (I hear you) หรือ ‘มันคงยากสำหรับคุณมาก’ (That must be hard) และให้ระบบจำบทสนทนาเก่าเพื่อสร้างความต่อเนื่อง แม้แต่ความไม่สมบูรณ์แบบก็ถูกออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเว้นจังหวะ คำอุทานอย่าง “อืม” หรือ “คือว่า…” หรือแม้แต่จังหวะลมหายใจกับน้ำเสียงที่เปลี่ยนขึ้นลงเล็กน้อยให้ใกล้เคียงคนจริง ทุกองค์ประกอบคือการจำลองท่าทางของมนุษย์ ที่ทำให้การสื่อสารรู้สึกอบอุ่น แม้จะเป็นความอบอุ่นที่ถูกสร้างขึ้นก็ตาม

 

แต่ ความเห็นใจที่ถูกออกแบบ…ไม่ใช่ความเห็นใจจริง และเมื่อ AI “เหมือนเข้าใจความรู้สึกเรามากเกินไป” ผลลัพธ์อาจไม่เป็นอย่างที่เราคาดคิด

 

ปี 2025 คดี Raine v. OpenAI ทำให้โลกต้องหยุดฟังอีกครั้ง พ่อแม่ของเด็กชายวัย 16 ฟ้อง OpenAI ว่า การตอบในเชิงเห็นใจของ AI ทำให้ความคิดอยากทำร้ายตัวเองของลูกแย่ลง คำถามใหญ่จึงเกิดขึ้น – เมื่อ AI “ฟังอย่างอบอุ่นแต่ไม่เข้าใจจริง” นักพัฒนาต้องรับผิดชอบอย่างไร

 

นักจิตวิทยาเตือนว่า เมื่อเราชินกับคำตอบที่ไม่ตัดสินเรา และยังเข้าใจเราทุกครั้ง เราอาจเริ่มหลบเลี่ยงการปฏิสัมพันธ์กับคนจริง เลือก “ความสบายใจแบบดิจิทัล” แทน “ความยุ่งเหยิงแบบมนุษย์” สิ่งที่เหมือนจะเป็น ความสัมพันธ์… อาจค่อยๆ กลายเป็นความพึ่งพาโดยไม่รู้ตัว

 

ความกังวลเหล่านี้ทำให้อุตสาหกรรม AI ต้องชัดเจนขึ้นในพื้นที่อ่อนไหว เช่น สุขภาพ กฎหมาย หรือการเงิน

 

วันที่ 29 ตุลาคม 2025 OpenAI ปรับ Usage Policies ระบุชัดว่า ระบบของบริษัท “ห้ามถูกใช้เพื่อให้คำแนะนำเฉพาะทางที่ต้องมีใบอนุญาต เช่น คำปรึกษาทางการแพทย์หรือกฎหมาย หากไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับใบอนุญาตกำกับ”

 

การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนการขยับไปสู่ความรับผิดชอบที่มากขึ้นและการออกแบบระบบที่ปลอดภัยขึ้น

 

AI จะยังคงพัฒนาไปเรื่อยๆ เรียนรู้ที่จะเว้นจังหวะ ฟัง และปลอบโยนด้วยความแม่นยำที่เพิ่มขึ้น แต่ที่ SCBX เราเชื่อว่าบทบาทของเทคโนโลยีไม่ใช่การแทนที่ความสัมพันธ์ของมนุษย์ แต่คือการทำให้มนุษย์ “เข้าใจกันมากขึ้น” ความก้าวหน้าที่แท้จริงจึงไม่ได้วัดกันที่ AI ฟังดูเป็นมนุษย์แค่ไหน แต่ดูจากการที่เทคโนโลยีช่วยให้มนุษย์เข้าใจกันได้ลึกเพียงใด

 

เพราะความเข้าอกเข้าใจและความเห็นใจจริงไม่สามารถโปรแกรมได้ มันต้องมาจากมนุษย์

 

และบางที วันหนึ่งเมื่อมีใครพิมพ์ว่า “ทะเลาะกับเขาอีกแล้ว เขาบอกว่าฉันคิดมากไปเอง ควรทำยังไงดี” AI ที่เข้าใจความเป็นมนุษย์ อาจไม่ใช่ AI ที่ตอบด้วยน้ำเสียง หรือคำพูดเสมือนมนุษย์ที่สุด แต่อาจเป็น AI ที่กระซิบเตือนเราเบาๆ ว่า… ถึงเวลาเดินกลับไปคุยกับมนุษย์จริงๆ สักคนแล้ว

The post ความเข้าใจที่สร้างจากโค้ด : AI ที่อ่อนโยนเกินเครื่องจักร appeared first on THE STANDARD.

]]>
Google Cloud เผย AI จะเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจไทย 7.3 แสนล้านบาท ใน 5 ปี แต่จำเป็นต้องเร่งดำเนินการ 3 ด้าน https://thestandard.co/google-cloud-ai-boosts-thai-economy/ Wed, 26 Nov 2025 12:06:59 +0000 https://thestandard.co/?p=1148108 Google Cloud เผย AI จะเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจไทย 7.3 แสนล้านบาท ใน 5 ปี แต่จำเป็นต้องเร่งดำเนินการ 3 ด้าน

Google Cloud เปิดเผยผลการวิจัยจาก Public First ที่ระบุว […]

The post Google Cloud เผย AI จะเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจไทย 7.3 แสนล้านบาท ใน 5 ปี แต่จำเป็นต้องเร่งดำเนินการ 3 ด้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Google Cloud เผย AI จะเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจไทย 7.3 แสนล้านบาท ใน 5 ปี แต่จำเป็นต้องเร่งดำเนินการ 3 ด้าน

Google Cloud เปิดเผยผลการวิจัยจาก Public First ที่ระบุว่าหากองค์กรท้องถิ่นสามารถนำ AI มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้ราว 7.3 แสนล้านบาท ภายในปี 2030

 

อย่างไรก็ตาม การจะปลดล็อกมูลค่าดังกล่าว ยังมี 3 อุปสรรคหลักที่จำกัดองค์กรหลายแห่งจากการใช้ประโยชน์จาก AI อย่างเต็มประสิทธิภาพ ได้แก่ 1.การทำให้โซลูชัน AI สามารถให้คำตอบที่ถูกต้องและน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง 2.การขาดแหล่งข้อมูลที่พร้อมสำหรับการใช้งาน AI และ 3.การขาดบุคลากรที่มีทักษะด้านการจัดการข้อมูลและ AI อย่างเหมาะสม

 

อรรณพ ศิริติกุล กรรมการผู้จัดการ Google Cloud ประเทศไทย กล่าวว่า เพื่อปลดล็อกมูลค่าเศรษฐกิจไทย จำเป็นจะต้องดำเนินการ 3 ด้านสำคัญ ได้แก่

 

  1. การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ หนึ่งในนั้นคือ Data Center
  2. การพัฒนาศักยภาพบุคลากรอย่างยั่งยืน
  3. การส่งเสริมโปรเจกต์นำร่อง เพื่อให้ธุรกิจต่างๆ เห็นถึงผลลัพธ์จากการนำ AI มาใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

 

“จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารทั่วโลกพบว่า มากกว่าครึ่งรายงานว่าองค์กรของตัวเองมีรายได้เพิ่มขึ้น 6-10% จากการนำโซลูชัน AI ระดับองค์กรมาให้ทีมงานและผู้ใช้บริการได้ใช้งานโดยตรง”

 

นอกจากนี้ จะเห็นว่าบริษัทที่นำ AI ของ Google Cloud มาใช้อย่างจริงจัง สามารถก้าวข้าม Pilot Purgatory หรือการติดอยู่ในช่วงนำร่องไปได้สำเร็จ และสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) เฉลี่ยสูงถึง 727% ภายในเวลา 3 ปี พร้อมคืนทุนได้ในระยะเวลา 8 เดือน

 

ทั้งนี้ Google Cloud ได้ประกาศเปิดตัว PanyaThAI โครงการเพื่อยกระดับศักยภาพขององค์กรไทยในการพัฒนา ประยุกต์ และขยายการใช้งาน Agentic AI ระดับองค์กร เพื่อสร้างคุณค่าที่จับต้องได้และผลลัพธ์ที่วัดผลได้จริงให้กับภาคเศรษฐกิจของประเทศ

 

โครงการนี้เริ่มต้นด้วยสมาชิกผู้ก่อตั้งจำนวน 15 องค์กร ได้แก่ บิทาซซ่า, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์, ฟินโนมีนา, ไทยสมุทรประกันชีวิต, ซีเอ็ดยูเคชั่น, ช้อป โกลบอล อี-คอมเมิร์ซ, สยามพิวรรธน์, แสนสิริ, สคูลดิโอ, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, ไทยวาโก้, ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป, ท็อปส์ และทรู ดิจิทัล กรุ๊ป

 

ด้าน ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เอ็ม เอฟ อี ซี (MFEC) หนึ่งในพันธมิตรด้านการให้คำปรึกษาและการดำเนินงานของ Google Cloud เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาเช่ือว่าผู้บริหารของแต่ละองค์กรไม่ได้ติดปัญหาเรื่อง What หรือ Why แต่ติดปัญหาที่ How ซึ่งจากการทำงานร่วมกับลูกค้ากว่า 20 รายล่าสุด พบว่า

 

“แทบทุกองค์กรพยายามนำ AI เข้ามาสู่องค์กร แต่บางองค์กรประสบปัญหา สิ่งสำคัญคือ ต้องดัดองค์กรไปหา AI แทนที่จะดัด AI มาหาองค์กร หมายความว่าเราต้องปรับโครงสร้าง กระบวนการทำงาน หรือปรับเปลี่ยนคน เพราะ AI ไม่สามารถแทนที่คนได้ 100%”​

 

ปัญหาถัดมาคือ แทบทุกองค์กรคิดว่า AI เป็นความรับผิดชอบของทีมไอทีหรือเทคโนโลยี แต่จริงๆ แล้วความต้องการด้าน AI ต้องมาจากแต่ละแผนกที่จะนำ AI มาปรับใช้ อีกส่วนที่สำคัญคือ แรงผลักดันด้าน AI ต้องมาจากระดับบริหารด้วย เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

 

ภาสพรรณี มหายศ ผู้อำนวยการสายงานธุรกิจดิจิทัล SE-Education กล่าวว่า ระบบ AI Search Agent ช่วยให้ผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม e-Marketplace ค้นหาและพบข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทำให้อัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นลูกค้า (Conversion Rate) เพิ่มจาก 12% เป็น 27% ขณะเดียวกันอัตราการออกจากหน้าเว็บไซต์ทันที (Bounce Rate) ลดลงเหลือ 10% และอัตราการละทิ้งตะกร้าสินค้าอยู่ที่เพียง 6%

 

ด้าน ไทยวาโก้ จับมือ Tridorian พัฒนาโซลูชัน AI ของ Google Cloud เพื่อช่วยเสริมศักยภาพธุรกิจ โดยเทคโนโลยีสำคัญที่นำมาใช้ได้แก่ โมเดล Nano Banana Pro สำหรับ “ปรับแต่งและสร้างภาพสินค้า” ให้น่าสนใจยิ่งขึ้น และโมเดล Veo 3.1 สำหรับ “แปลงภาพนิ่งเป็นวิดีโอคุณภาพสูง” ที่สมจริงทั้งภาพและเสียง

 

สำหรับ 3 ประโยชน์หลักที่ไทยวาโก้ได้รับจากโซลูชัน AI ใหม่นี้ ได้แก่ การลดต้นทุนและลดเวลาในการผลิตคอนเทนต์ AI ช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการถ่ายทำและตัดต่อ ลดจำนวนขั้นตอนการผลิตแบบเดิม ทำให้สามารถปล่อยคอนเทนต์ได้ทันกระแสตลาด การยกระดับการนำเสนอสินค้า และขยายแคตตาล็อกได้รวดเร็ว รวมทั้งการเพิ่มปริมาณและรูปแบบชิ้นงานด้วยเทคโนโลยี Generative AI

 

ภาพ: Jonathan Raa/NurPhoto via Getty Images

The post Google Cloud เผย AI จะเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจไทย 7.3 แสนล้านบาท ใน 5 ปี แต่จำเป็นต้องเร่งดำเนินการ 3 ด้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไทยถูกโกงสูงสุดในเอเชียแปซิฟิก! พบความเสียหายกว่า 1.15 แสนล้านบาท เกิดจากผู้ใช้ ‘กดอนุมัติธุรกรรมเอง’ VISA เปิด Roadmap สู้ด้วย AI Agent พร้อมเร่งยกเลิก SMS OTP ภายในปี 2028 https://thestandard.co/thailand-scam-visa-ai-otp/ Wed, 26 Nov 2025 10:42:58 +0000 https://thestandard.co/?p=1148075 ไทยถูกโกงสูงสุดในเอเชียแปซิฟิก กว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์ พบความเสียหายกว่า 1.15 แสนล้าน เกิดจากผู้ใช้ ‘กดอนุมัติธุรกรรมเอง’ VISA เปิด Roadmap สู้ด้วย AI Agent พร้อมเร่งยกเลิก SMS OTP ภายในปี 2028

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันระบบการทำธุรกรรมต่างๆ ถูกออกแบบ […]

The post ไทยถูกโกงสูงสุดในเอเชียแปซิฟิก! พบความเสียหายกว่า 1.15 แสนล้านบาท เกิดจากผู้ใช้ ‘กดอนุมัติธุรกรรมเอง’ VISA เปิด Roadmap สู้ด้วย AI Agent พร้อมเร่งยกเลิก SMS OTP ภายในปี 2028 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไทยถูกโกงสูงสุดในเอเชียแปซิฟิก กว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์ พบความเสียหายกว่า 1.15 แสนล้าน เกิดจากผู้ใช้ ‘กดอนุมัติธุรกรรมเอง’ VISA เปิด Roadmap สู้ด้วย AI Agent พร้อมเร่งยกเลิก SMS OTP ภายในปี 2028

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันระบบการทำธุรกรรมต่างๆ ถูกออกแบบให้ทำทุกอย่างเสร็จสิ้น บนโลกออนไลน์ แม้จะสร้างความสะดวกให้กับผู้ใช้งาน สามารถชำระเงินได้ทุกที่ ทุกเวลา รวมถึงลดต้นทุนผู้ให้บริการทางการเงิน แต่การที่ข้อมูลทุกอย่างรวมศูนย์บนโลกออนไลน์ กลับกลายเป็นความเสี่ยง เปิดโอกาสให้อาชญากรไซเบอร์ ใช้ช่องโหว่ทางเทคโนโลยี ฉ้อโกงเงินได้ง่าย และสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง ซ้ำร้ายการเข้ามาของ AI ยังทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้นไปอีก

 

ล่าสุด วีซ่า ประเทศไทย เปิดภาพรวมภัยฉ้อโกงในประเทศไทย ปี 2025 โดย มร. สเตฟาน เดอ’ฮอร์ (Stefaan D’Hoore), Regional Risk Officer ประจำวีซ่าเอเชียแปซิฟิก โดยมีสาระสำคัญดังนี้

 

เมื่อดูภาพรวมความปลอดภัยการให้บริการชำระเงินของวีซ่า พบว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงประเทศไทย มีความปลอดภัยในระดับดี โดยมีอัตราการฉ้อโกงผ่านบัตรต่ำ สะท้อนถึงจุดแข็งด้านเทคโนโลยีป้องกันระบบ อย่างไรก็ตาม การฉ้อโกงผ่านธุรกรรมออนไลน์ โดยไม่ใช้บัตร ยังเป็นปัญหาใหญ่ที่วีซ่า และสถาบันการเงินทั่วโลกต้องร่วมมือกัน ยกระดับความปลอดภัย ท่ามกลางการเข้ามาของ AI ที่กระตุ้นให้เกิดอาชญากรรมไซเบอร์มากขึ้น

 

เมื่อเจาะดูข้อมูลเฉพาะประเทศไทย พบว่า ในปี 2024 ไทยมีความเสียหายจากภัยฉ้อโกงมากที่สุด ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มูลค่า 1.8 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 5.8 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการถูกหลอกให้ลงทุนมากที่สุด และส่วนใหญ่เป็นการฉ้อโกงที่ผู้ใช้งานกดอนุมัติธุรกรรมเอง (Authorised Fraud / Scams) แม้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ระบบการชำระเงินของไทยจะพัฒนาจนมีความปลอดภัยมากขึ้น แต่ด้วยระบบที่โจมตียากขึ้น ทำให้มิจฉาชีพเลิกโจมตีระบบ แล้วหันมาโจมตีผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นจุดอ่อนแทน

 

โดยมิจฉาชีพหันมาใช้รูปแบบการฉ้อโกง Authorised Fraud / Scams หลอกล่อทางจิตวิทยาให้ผู้ใช้งานกรอกข้อมูลและกดยืนยันธุรกรรมโอนเงินเอง ทำให้ระบบยืนยันตัวตนช่วยระงับการฉ้อโกงไม่ได้ สะท้อนจากความเสียหาย จากการฉ้อโกงที่ผู้ใช้กดอนุมัติเอง อยู่ที่ 1.15 แสนล้านบาทในปี 2024 เพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อน ทั้งนี้ การฉ้อโกงด้านการลงทุน สร้างความเสียหายสูงที่สุด

 

จากเดิมที่เน้นฉ้อโกงผ่านธุรกรรมออนไลน์ข้ามประเทศแบบไม่ใช้บัตร (Card-Not-Present) หรือ CNP ซึ่งผู้ถือบัตรไม่ได้เป็นคนทำรายการเอง (Unauthorised Fraud) แต่สแกมเมอร์สุ่มทดสอบหมายเลขบัตรกับร้านค้าการใช้ตัวตนปลอมจากข้อมูลผสม และการเข้ายึดบัญชีผู้ใช้แบบผิดกฎหมาย โดยจากข้อมูลพบว่า ไทยยังมีอัตราการฉ้อโกงแบบ CNP สูงกว่าค่าเฉลี่ย ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ 37.3 bps ในปี 2024 เพิ่มขึ้น 34% จากปีก่อน

 

นอกจากนี้ สแกมเมอร์ยังใช้ประโยชน์จาก AI ที่มีพัฒนาการก้าวกระโดด ทำให้การฉ้อโกงรุนแรงและขยายวงเร็วขึ้น โดยเริ่มใช้ AI และระบบ Automation สร้างข้อความหลอกลวง ให้ดูสมจริงและตรงกับกลุ่มเป้าหมายแต่ละราย จึงสามารถโจมตีเหยื่อทีเดียวพร้อมกันหลายครั้ง และหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากระบบความปลอดภัยแบบเดิมได้ สอดคล้องกับอัตราการได้เงินคืน ของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อมีเพียง 29% เท่านั้น

 

วางรากฐานความปลอดภัย ใช้ AI ส่วนตัวช็อปปิ้งแทนคน

 

ปัจจุบัน AI สามารถช่วยเลือกซื้อสินค้า วางแผนการท่องเที่ยว แนะนำโรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว จองตั๋วเครื่องบิน แต่มีข้อจำกัดคือ ยังไม่สามารถทำธุรกรรมชำระเงินแทนเจ้าของบัตรได้ VISA จึงต้องการยกระดับประสบการณ์การช็อปปิ้งให้มีความปลอดภัยและไร้รอยต่อ โดยการทำให้ AI Agent ชำระเงินแทนคนได้ด้วยการวางรากฐานระบบไว้ 4 ด้าน เพื่อทำให้การชำระเงินด้วย AI มีความปลอดภัยเทียบเท่ากับการชำระเงินผ่านบัตร

 

1. Click to pay

 

เชื่อมข้อมูลส่วนตัวกับอีเมล ไม่ต้องเสียเวลากรอกรหัสผ่าน หรือเลข CVV รหัสความปลอดภัย 3 หลักที่อยู่ด้านหลังบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต เพื่อใช้ยืนยันตัวตนในการทำธุรกรรมออนไลน์

 

2. Visa payment passkey

 

ใช้ระบบยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน ได้แก่ สแกนหน้า (Biometric) สแกนลายนิ้วมือ แทนการส่ง OTP รหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียวที่ส่งผ่านข้อความ SMS ในการทำธุรกรรมออนไลน์หรือเข้าสู่ระบบ ซึ่งมีช่องโหว่ มิจฉาชีพสามารถปลอมรหัสเข้ามาแทรกแซงได้

 

3. Tokenisation

 

ลดความเสี่ยงมิจฉาชีพ นำข้อมูลธุรกรรมชำระเงินไปใช้ต่อ โดยระบบจะเปลี่ยนข้อมูลหน้าบัตร 16 หลักให้กลายเป็น Digital Token แม้จะตัวเลขโทเคนที่ผูกไว้กับอุปกรณ์ จะคงเดิม แต่รหัสความปลอดภัยจะเปลี่ยนใหม่เรื่อยๆ ทุกครั้งที่ทำธุรกรรม ทำให้มิจฉาชีพไม่สามารถติดตามข้อมูลบัตร เพื่อนำไปใช้ฉ้อโกงรูปแบบอื่นๆ ได้ ซึ่งวิธีนี้ช่วยลดอัตราการฉ้อโกงลงได้ถึง 58%

 

4 บูรณาการข้อมูล

 

ต่อยอดฐานข้อมูลของวีซ่าที่ครอบคลุมกว่า 200 ประเทศทั่วโลก เมื่อเชื่อมข้อมูลลูกค้าเข้ากับ AI Agent จะช่วยระบุแนวทางการทำธุรกรรมของลูกค้า คาดการณ์ว่าลูกค้าใช้จ่ายอะไร ที่ไหน อย่างไร ช่วยให้ผู้ออกบัตรเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

 

วีซ่า เปิด Roadmap จัดการภัยฉ้อโกงในไทย

 

6 เสาหลักเชิงกลยุทธ์ ยกระดับความปลอดภัยระบบชำระเงินปี 2025 – 2028

 

1. เสริมความแข็งแกร่งด้านCybersecurity เพื่อรับมือภัยคุกคามใหม่ ๆ และการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบ

 

  • ร่วมมือกับธนาคาร หน่วยงานกำกับดูแล และผู้ให้บริการชำระเงิน เพื่อช่วยตรวจจับและสกัดกั้นภัยคุกคามได้อย่างทันที พร้อมทั้งแบ่งปันข่าวกรองด้านความปลอดภัยอย่างใกล้ชิดเพื่อปกป้องผู้บริโภค โดยผู้บริโภคควรระวังความเสี่ยงจากการรั่วไหลของข้อมูล และเลือกใช้ช่องทางการชำระเงินที่ปลอดภัย ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในอุตสาหกรรม ก็ควรเข้มงวดกับมาตรการป้องกันมากขึ้นเช่นกัน

 

2. พัฒนาระบบยืนยันตัวตนให้ใช้งานง่ายและไร้รอยต่อ

 

  • การทำให้การชำระเงินออนไลน์ปลอดภัยมากขึ้น ต้องยืนยันให้ได้ ว่าผู้ทำรายการเป็นเจ้าของตัวจริง การใช้เทคโนโลยี EMV® 3-D Secure เวอร์ชันล่าสุดของวีซ่า ช่วยให้ธนาคารและผู้ค้าใช้ข้อมูล เชิงลึก ในการยืนยันธุรกรรม พร้อมยังทำให้ขั้นตอนการ ชำระเงินราบรื่น ยิ่งขึ้นสำหรับลูกค้า
  • แนะนำให้ผู้ออกบัตรเลิกใช้ SMS OTPเป็นวิธียืนยันตัวตน เพียงอย่างเดียวภายในปี 2028 และหันมาใช้วิธีหลายขั้นตอนที่ปลอดภัยกว่า เช่น การยืนยันด้วยลายนิ้วมือหรือใบหน้า การยืนยันในแอป การใช้ passkey หรือการยืนยันแบบแอปต่อแอปหรือแอปต่อเว็บ ซึ่งใช้หลายช่องทางและอุปกรณ์ร่วมกันเพื่อสร้างความมั่นใจว่าเป็นผู้ใช้ตัวจริง โดยวิธีนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ ขณะเดียวกันก็ยังรักษาความรวดเร็วและความสะดวกในการชำระเงินไว้เหมือนเดิม

 

3. เพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรมด้วยการชำระเงินแบบโทเคน (Token)

 

  • ใช้เทคโนโลยี Tokenisation ปกป้องการชำระเงินทั้งในการช้อปปิ้งออนไลน์ การซื้อสินค้าที่หน้าร้าน และการทำธุรกรรมผ่านแอปบนมือถือ ทำให้ผู้บริโภคได้รับความปลอดภัยมากขึ้น โดยไม่ต้องเพิ่มขั้นตอนใด ๆ และลดความเสี่ยงที่จะถูกฉ้อโกงของร้านค้า

 

4. ยกระดับขั้นตอนชำระเงินใน eCommerce เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่น และความสะดวกให้กับผู้บริโภค

 

  • แม้ว่าการซื้อสินค้าออนไลน์ในประเทศไทยจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ขั้นตอน ชำระเงินที่ยาวหรือมีความซับซ้อนยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคยกเลิกการสั่งซื้อ ก่อนทำรายการให้เสร็จสมบูรณ์ บริการ Click to Pay ของวีซ่า ช่วยให้ขั้นตอนชำระเงินสะดวกขึ้น โดยไม่ต้องกรอกหมายเลขบัตร หรือจดจำรหัสผ่าน

 

5. ใช้มาตรฐานพื้นฐานเพื่อยกระดับประสิทธิภาพของเครือข่าย

 

  • ในประเทศไทย มาตรฐานอย่าง PCI DSS และข้อกำหนดด้านความปลอดภัย ข้อมูลบัญชีของวีซ่า ช่วยให้ธนาคาร ร้านค้า และผู้ให้บริการชำระเงิน สามารถปกป้องข้อมูลสำคัญของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

6. การสร้างระบบการชำระเงินที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่น เพื่อรับมือทั้งการฉ้อโกง ที่ผู้ใช้ไม่ได้เป็นผู้ทำรายการ และการหลอกลวงที่ทำให้ผู้ใช้กดอนุมัติเอง

 

  • ช่วยบูรณาการการทำงานร่วมกัน ของทุกภาคส่วน ผ่าน Visa’s Scam Mitigation Framework เพื่อป้องกัน ตรวจจับ และสกัดกั้นกลโกงต่าง ๆ ผ่านเทคโนโลยีขั้นสูง ระบบตรวจสอบด้วย AI และกระบวนการ คัดกรองร้านค้าที่เข้มงวดมากขึ้น รวมถึงการกำกับดูแลที่รัดกุม สำหรับหมวดร้านค้าที่มีความเสี่ยงสูง (Merchant Category Codes (MCCs)) เช่น การพนัน เนื้อหาผู้ใหญ่ และธุรกรรมคริปโต โดยกำหนด ให้มีการยืนยันข้อมูลรายไตรมาส และการควบคุมตามระดับ ความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ
  • ใช้ AI และ Machine Learning กว่า 150 โมเดล เพื่อยกระดับการตรวจจับ การฉ้อโกง ปรับปรุงขั้นตอนการยืนยันตัวตน และปกป้องโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการชำระเงิน วีซ่าเป็นเครือข่ายแรกที่นำ AI มาใช้ตรวจจับการฉ้อโกง แบบเรียลไทม์ตั้งแต่ปี 1993 และยังคงพัฒนานวัตกรรมด้านนี้อย่างต่อเนื่อง

The post ไทยถูกโกงสูงสุดในเอเชียแปซิฟิก! พบความเสียหายกว่า 1.15 แสนล้านบาท เกิดจากผู้ใช้ ‘กดอนุมัติธุรกรรมเอง’ VISA เปิด Roadmap สู้ด้วย AI Agent พร้อมเร่งยกเลิก SMS OTP ภายในปี 2028 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศป.กฉ. จัดส่งกำลังพลและสิ่งของช่วยเหลือวิกฤตน้ำท่วมสงขลา เผยใช้ AI กรองข้อมูลจัดลำดับช่วยผู้ประสบภัยสงขลา https://thestandard.co/songkhla-flood-ai-aid/ Wed, 26 Nov 2025 04:35:03 +0000 https://thestandard.co/?p=1147780 ศป.กฉ. จัดส่งกำลังพลและสิ่งของช่วยเหลือวิกฤตน้ำท่วม สงขลา เผย ใช้ AI กรองข้อมูลจัดลำดับช่วยผู้ประสบภัย สงขลา

วันนี้ (26 พฤศจิกายน) ที่ท่าอากาศยาน 2 กองบิน 6 พล.ท. ว […]

The post ศป.กฉ. จัดส่งกำลังพลและสิ่งของช่วยเหลือวิกฤตน้ำท่วมสงขลา เผยใช้ AI กรองข้อมูลจัดลำดับช่วยผู้ประสบภัยสงขลา appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศป.กฉ. จัดส่งกำลังพลและสิ่งของช่วยเหลือวิกฤตน้ำท่วม สงขลา เผย ใช้ AI กรองข้อมูลจัดลำดับช่วยผู้ประสบภัย สงขลา

วันนี้ (26 พฤศจิกายน) ที่ท่าอากาศยาน 2 กองบิน 6 พล.ท. วันชนะ สวัสดี โฆษกศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย แถลงข่าวเกี่ยวกับการจัดส่งกำลังพล และทีมแพทย์ และอุปกรณ์สนับสนุนภารกิจภาคสนาม รวมถึงสิ่งของบรรเทาทุกข์ของกองบัญชาการกองทัพไทย เพื่อเสริมทัพในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสงขลา

 

มีการจัดเตรียมของอุปโภคบริโภค เรือท้องแบน เจ็ตสกี อุปกรณ์ทางการแพทย์ และโดรน โดยจะนำของทั้งหมดขึ้นเครื่องบิน C-130 พร้อมกำลังพล ประกอบด้วย หน่วยแพทย์กู้ชีพ ชุดบินโดรน รวมถึงเจ้าหน้าที่ทหาร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติการครั้งนี้

 

พล.ท. วันชนะ เปิดเผยว่า ได้ยกระดับเรื่องน้ำท่วมในจังหวัดสงขลา เป็นภัยพิบัติเป็นระดับร้ายแรงสูงสุด คือ ระดับที่ 4 ฉะนั้นในพื้นที่จังหวัดสงขลา จึงได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัยส่วนหน้า (ศป.กฉ.ส่วนหน้า) รวบรวมหน่วยงานต่างๆ ทำงานร่วมกับจิตอาสาภาคเอกชน และภาคประชาชน ในพื้นที่กองบิน 56 มีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นผู้กำกับดูแล ซึ่งหากหน่วยงานใดจะเข้าไปในพื้นที่เพื่อช่วยเหลือประชาชน อยากให้มาประสานงานตรงนี้ก่อน เพื่อความสะดวก และการบริหารจัดการเป็นระเบียบ

 

ส่วน ศป.กฉ.ส่วนหน้า จะรับผิดชอบในพื้นที่จังหวัดสงขลาเป็นหลัก และได้แบ่งพื้นที่ของจังหวัดสงขลา เป็นพื้นที่วิกฤติหนัก คือ อำเภอหาดใหญ่ และอำเภอรอบๆ

 

สำหรับพื้นที่ของอำเภอหาดใหญ่ จะแบ่งออกเป็น 4 เขต การดูแล ช่วยเหลือ ซึ่งแต่ละเขตจะมีหน่วยที่รับผิดชอบโดยตรง และแบ่งการบริหารจัดการออกเป็น 4 การบริหารจัดการ ดังนี้

 

1. การบริหารจัดการคน คือการขนคนมาอยู่ในที่ที่ปลอดภัย หรือศูนย์พักพิง ซึ่งมีประชาชนบางส่วนที่ไม่ประสงค์ที่จะย้ายออก ก็จะดูว่าเขาอยู่ที่ไหนบ้าง รวมถึงจะมีการระบุพิกัด และจะจัดส่งอาหารเข้าไปให้

 

2. การบริหารจัดการสิ่งของ และการส่งความช่วยเหลือ ในของเครื่องอุปโภคบริโภคส่งให้ประชาชน สิ่งของที่รับบริจาคทั้งหมด รวมถึงหน่วยแพทย์ที่จะแบ่งหน้าที่ในการลงไปช่วยเหลือประชาชน และได้มีการจัดตั้งศูนย์รับบริจาคภายในกรุงเทพมหานคร คือที่พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ ส่วนในต่างจังหวัด คือมณฑลทหารบก ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ

 

3. การบริหารจัดการน้ำ จะต้องมาดูว่าจะทำยังไงให้น้ำลดเร็ว ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องหารือกันต่อไป และจะต้องจัดการในการผลักดันน้ำลงสู่ปากอ่าวโดยใช้เครื่องสูบน้ำที่มีการเตรียมการไว้แล้ว

 

4. การจัดการเรื่องข้อมูลข่าวสาร เพื่อให้สื่อมวลชนกระจายข่าวสาร รวมถึงข้อมูลขอความช่วยเหลือ ได้นำเทคโนโลยี AI เข้ามากลั่นกรองการขอความช่วยเหลือเพื่อแยกแยะความซ้ำซ้อนและจัดระบบ พร้อมจัดลำดับความสำคัญตั้งแต่เขียว เหลือง แดง เรื่องเร่งด่วนที่จะต้องเข้าไปช่วยเหลือในพื้นที่ ก่อนจะส่งข้อมูลตรงนี้ไปยังพื้นที่ส่วนหน้า และเข้าไปช่วยเหลือในพื้นที่นั้น

 

พล.ท. วันชนะกล่าวอีกว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุดจะเป็นผู้รายงานสถานการณ์ตรงไปยังนายกรัฐมนตรี และเมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นผู้บัญชาการทหารสูงสุดสามารถตัดสินใจได้ทันที

 

ส่วนข้อกังวลตอนนี้ ยอมรับว่ามีความสับสนวุ่นวาย แต่ในปัจจุบันก็ดีขึ้น รวมถึงการส่งความช่วยเหลือไปยังผู้ประสบภัยอาจจะยังไม่ทันใจผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน อยากจะขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่มาร่วมกันในครั้งนี้ ในส่วนของข้อบกพร่อง และข้อผิดพลาดที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ จะเป็นเรื่องของการแก้ไขปรับปรุงในอนาคต ซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน นอกจากนี้ เมื่อน้ำลดแล้วก็จะมีการวางแผนในเรื่องของการฟื้นฟู

 

ส่วนของการเข้าไปช่วยเหลือในปัจจุบัน กองทัพอากาศมีเที่ยวบินไม่ต่ำกว่า 3 เที่ยวขณะที่ กองทัพเรือได้ออกไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้วโดยมีการจัดส่งเรือหลวงจักรีนฤเบศ ที่ขนของมาเต็มลำเรือ ส่วนที่ล่าช้าเพราะต้องการเรื่องเตรียมความพร้อมในเรื่องของหน่วยแพทย์และการสื่อสารให้พร้อมก่อนจะเดินทางไปในพื้นที่

 

มีการเตรียมเฮลิคอปเตอร์ที่เตรียมไว้เพื่อขนย้ายผู้ป่วย และจะต้องทำงานร่วมกันกับกองทัพเรือเป็นหลักในการขนย้ายผู้ป่วยและให้ความช่วยเหลือ ปัจจุบันหน่วยทหารพัฒนา อยู่ในพื้นที่ภาค 4 มีกำลังพล 250 นาย ปัจจุบันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนกองทัพบกมีกำลังพล 1,500 นาย เฉพาะในจังหวัดสงขลา

 

สำหรับไฟฟ้าในพื้นที่บางจุดอาจจะมีปัญหา ส่วนสัญญาณโทรศัพท์ที่ก่อนหน้านี้ล่มไป ปัจจุบันได้กู้คืนกลับมาแล้ว

 

ส่วนกรณีที่มีผู้ประสบเหตุบางส่วนอาจจะไม่พอใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่และมีการยิงย้อนหลังใส่เจ้าหน้าที่กู้ภัย พล.ท. วันชนะระบุว่า อาจจะเป็นเรื่องของความไม่พอใจ ความล่าช้าหรือไม่ ทั้งนี้ทราบแล้วว่าเกิดเหตุที่ไหน ซึ่งในจุดนั้นจะมีการจัดเจ้าหน้าที่กองทัพเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่นั้นเอง และจะต้องทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่

 

อย่างไรก็ตาม ทางภาคเอกชน ได้มอบชุดโดรนมาให้กับทางกองทัพ นำไปปฏิบัติงานในพื้นที่ซึ่งจะใช้ระบุพิกัดของประชาชนที่ยังไม่ออกจากพื้นที่ และสืบหาข่าวสารที่ส่งเข้ามาในช่องทางต่างๆ

 

ศป.กฉ. จัดส่งกำลังพลและสิ่งของช่วยเหลือวิกฤตน้ำท่วม สงขลา เผย ใช้ AI กรองข้อมูลจัดลำดับช่วยผู้ประสบภัย สงขลา 1
ศป.กฉ. จัดส่งกำลังพลและสิ่งของช่วยเหลือวิกฤตน้ำท่วม สงขลา เผย ใช้ AI กรองข้อมูลจัดลำดับช่วยผู้ประสบภัย สงขลา 2
ศป.กฉ. จัดส่งกำลังพลและสิ่งของช่วยเหลือวิกฤตน้ำท่วม สงขลา เผย ใช้ AI กรองข้อมูลจัดลำดับช่วยผู้ประสบภัย สงขลา 3
ศป.กฉ. จัดส่งกำลังพลและสิ่งของช่วยเหลือวิกฤตน้ำท่วม สงขลา เผย ใช้ AI กรองข้อมูลจัดลำดับช่วยผู้ประสบภัย สงขลา 4
ศป.กฉ. จัดส่งกำลังพลและสิ่งของช่วยเหลือวิกฤตน้ำท่วม สงขลา เผย ใช้ AI กรองข้อมูลจัดลำดับช่วยผู้ประสบภัย สงขลา 5
ศป.กฉ. จัดส่งกำลังพลและสิ่งของช่วยเหลือวิกฤตน้ำท่วม สงขลา เผย ใช้ AI กรองข้อมูลจัดลำดับช่วยผู้ประสบภัย สงขลา 6
ศป.กฉ. จัดส่งกำลังพลและสิ่งของช่วยเหลือวิกฤตน้ำท่วม สงขลา เผย ใช้ AI กรองข้อมูลจัดลำดับช่วยผู้ประสบภัย สงขลา 7
ศป.กฉ. จัดส่งกำลังพลและสิ่งของช่วยเหลือวิกฤตน้ำท่วม สงขลา เผย ใช้ AI กรองข้อมูลจัดลำดับช่วยผู้ประสบภัย สงขลา 8
ศป.กฉ. จัดส่งกำลังพลและสิ่งของช่วยเหลือวิกฤตน้ำท่วม สงขลา เผย ใช้ AI กรองข้อมูลจัดลำดับช่วยผู้ประสบภัย สงขลา 9
ศป.กฉ. จัดส่งกำลังพลและสิ่งของช่วยเหลือวิกฤตน้ำท่วม สงขลา เผย ใช้ AI กรองข้อมูลจัดลำดับช่วยผู้ประสบภัย สงขลา 10
ศป.กฉ. จัดส่งกำลังพลและสิ่งของช่วยเหลือวิกฤตน้ำท่วม สงขลา เผย ใช้ AI กรองข้อมูลจัดลำดับช่วยผู้ประสบภัย สงขลา 11
ศป.กฉ. จัดส่งกำลังพลและสิ่งของช่วยเหลือวิกฤตน้ำท่วม สงขลา เผย ใช้ AI กรองข้อมูลจัดลำดับช่วยผู้ประสบภัย สงขลา 12
ศป.กฉ. จัดส่งกำลังพลและสิ่งของช่วยเหลือวิกฤตน้ำท่วม สงขลา เผย ใช้ AI กรองข้อมูลจัดลำดับช่วยผู้ประสบภัย สงขลา 13
ศป.กฉ. จัดส่งกำลังพลและสิ่งของช่วยเหลือวิกฤตน้ำท่วม สงขลา เผย ใช้ AI กรองข้อมูลจัดลำดับช่วยผู้ประสบภัย สงขลา 14
ศป.กฉ. จัดส่งกำลังพลและสิ่งของช่วยเหลือวิกฤตน้ำท่วม สงขลา เผย ใช้ AI กรองข้อมูลจัดลำดับช่วยผู้ประสบภัย สงขลา 15

The post ศป.กฉ. จัดส่งกำลังพลและสิ่งของช่วยเหลือวิกฤตน้ำท่วมสงขลา เผยใช้ AI กรองข้อมูลจัดลำดับช่วยผู้ประสบภัยสงขลา appeared first on THE STANDARD.

]]>
Google กลับมาแล้วอย่างทรงพลัง! หลังเปิดตัว Gemini 3 ทวงตำแหน่งผู้นำ AI พร้อมสัญญาณบวก Meta จ่อใช้ชิป TPU ส่งผลให้มูลค่าตลาด Alphabet พุ่งเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ใน 1 เดือน https://thestandard.co/google-gemini-3-alphabet-surge/ Wed, 26 Nov 2025 03:37:16 +0000 https://thestandard.co/?p=1147725 Google กลับมาแล้วอย่างทรงพลัง หลังเปิดตัว ** Gemini 3** ทวงตำแหน่งผู้นำ ** AI** พร้อมสัญญาณบวก ** Meta** จ่อใช้ชิป ** TPU** ส่งผลให้มูลค่าตลาด ** Alphabet** พุ่งเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ใน 1 เดือน

ตลอด 3 ปีหลังการเปิดตัว ChatGPT โลกเทคโนโลยีต่างมองว่า […]

The post Google กลับมาแล้วอย่างทรงพลัง! หลังเปิดตัว Gemini 3 ทวงตำแหน่งผู้นำ AI พร้อมสัญญาณบวก Meta จ่อใช้ชิป TPU ส่งผลให้มูลค่าตลาด Alphabet พุ่งเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ใน 1 เดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Google กลับมาแล้วอย่างทรงพลัง หลังเปิดตัว ** Gemini 3** ทวงตำแหน่งผู้นำ ** AI** พร้อมสัญญาณบวก ** Meta** จ่อใช้ชิป ** TPU** ส่งผลให้มูลค่าตลาด ** Alphabet** พุ่งเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ใน 1 เดือน

ตลอด 3 ปีหลังการเปิดตัว ChatGPT โลกเทคโนโลยีต่างมองว่า Google ผู้เคยเป็นผู้นำด้านการวิจัย AI กลายเป็นผู้ตามที่ช้ากว่า ทั้งนักวิเคราะห์ วิศวกรในบริษัทเอง และอดีตซีอีโอบางรายต่างตั้งข้อสงสัยว่าบริษัทกำลังเสียตำแหน่งผู้นำในเทคโนโลยีแห่งอนาคตให้ผู้ท้าชิงรุ่นใหม่อย่าง OpenAI แต่ภาพนั้นกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เมื่อ Google แสดงให้เห็นว่าศักยภาพอันมหาศาลของตนยังคงไม่หายไปไหน และที่สำคัญ ตอนนี้มันกลับมาแล้วอย่างทรงพลังยิ่งกว่าเดิม

 

Google ช่วงปีหลังได้เปิดตัวซอฟต์แวร์ AI ใหม่ ๆ พร้อมจับมือกับพันธมิตรด้านชิป เช่น ความร่วมมือกับ Anthropic ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่า Google ยังไม่ยอมให้ OpenAI หรือคู่แข่งรายอื่นแย่งตำแหน่งผู้นำไปง่าย ๆ โดยเฉพาะโมเดลใหม่ Gemini 3 ซึ่งได้รับเสียงยกย่องในด้านความสามารถเชิงเหตุผล การเขียนโค้ด และความแม่นยำในงานเฉพาะทางที่มักเป็นข้อผิดพลาดของแชตบอท AI รุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ Google Cloud ซึ่งเคยเป็นผู้ตาม ยังเติบโตต่อเนื่องจากความต้องการสร้างบริการ AI และความต้องการพลังประมวลผลมหาศาลที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก

 

อีกสัญญาณสำคัญคือความต้องการชิป AI ของ Google ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะ TPU ซึ่งเป็นตัวเลือกไม่กี่รายที่สามารถแข่งขันกับชิปประมวลผลของ Nvidia ได้ รายงานล่าสุดระบุว่า Meta กำลังเจรจาเพื่อใช้ชิปของ Google ในปี ค.ศ. 2027 ส่งผลให้หุ้น Alphabet พุ่งขึ้นอย่างโดดเด่น โดยบริษัทมีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์นับตั้งแต่เดือนตุลาคม ความเชื่อมั่นของตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการที่ Warren Buffett เข้าถือหุ้นในช่วงไตรมาสสาม และความคาดหวังต่อแผน AI ของบริษัท

 

นักวิเคราะห์หลายรายมองว่า Google คือ “ม้ามืด” ที่แม้จะดูนิ่ง แต่แท้จริงแล้วมีทรัพยากรและเครื่องมือที่เหนือกว่าใคร ทั้งฐานข้อมูลมหาศาลจาก Search, Android และ YouTube ระบบคลาวด์โครงสร้างครบวงจร และรายได้ที่มั่นคงซึ่งช่วยให้บริษัทเดินหน้าวิจัยอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ความกังวลเรื่องการถูกหน่วยงานกำกับดูแลเล่นงานก็ลดลง หลัง Google ไม่ถูกสั่งแยกกิจการในคดีผูกขาดครั้งใหญ่ในสหรัฐ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความเห็นว่าตลาดกำลังเปลี่ยนแปลงจากการแข่งขันด้าน AI

 

อีกด้านหนึ่ง Google ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจใหม่ เช่น Waymo ซึ่งบริการแท็กซี่ไร้คนขับเพิ่มพื้นที่ให้บริการและเริ่มเปิดวิ่งบนทางหลวง แสดงให้เห็นว่าการลงทุนระยะยาวเริ่มออกผลเชิงพาณิชย์มากขึ้น การที่ Google ควบคุมตั้งแต่แอปพลิเคชัน AI โครงสร้างพื้นฐาน โมเดลซอฟต์แวร์ ไปจนถึงชิปประมวลผล ทำให้บริษัทมีความได้เปรียบเหนือผู้เล่นอื่นที่ต้องพึ่งพาซัพพลายเออร์อย่าง Nvidia มากกว่า

 

ด้านการแข่งขันในชิป AI ความพยายามของบริษัทต่าง ๆ ที่ต้องการลดการพึ่งพา Nvidia ทำให้ TPU ของ Google กลายเป็นทางเลือกที่สำคัญขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อ Anthropic ตัดสินใจใช้ TPU มากถึง 1 ล้านตัวในดีลที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ แม้ TPU จะยังจำกัดการใช้งานเฉพาะภายในระบบคลาวด์ของ Google และมีความยืดหยุ่นน้อยกว่า GPU ของ Nvidia แต่ด้วยผลงานด้าน AI ที่โดดเด่น บริษัทต่าง ๆ ก็พร้อมยอมรับการ “ล็อกอิน” อยู่ในระบบ Google มากขึ้น

 

การฟื้นตัวของ Google ไม่ได้เกิดขึ้นโดยไร้ความเสี่ยง ในปี ค.ศ. 2023 บริษัทปรับโครงสร้างด้าน AI นำทีมทั้งหมดไปรวมภายใต้การนำของ Demis Hassabis หัวเรือใหญ่ของ DeepMind แม้จะมีช่วงผิดพลาด เช่น การเปิดตัวเครื่องมือสร้างภาพที่ผิดพลาด แต่การรวมทรัพยากรเข้าด้วยกันทำให้การพัฒนารวดเร็วและมีทิศทางมากขึ้น Hassabis ยังเป็นกาวสำคัญที่ช่วยรักษาวิศวกรเก่งระดับโลกเอาไว้ในบริษัท แม้จะมีข้อเสนอค่าตอบแทนสูงจากคู่แข่งก็ตาม

 

ผลลัพธ์ที่เห็นชัดคือ Gemini 3 Pro ที่ไต่ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำบนหลายกระดานจัดอันดับ AI นักวิจัยชื่อดังอย่าง Andrej Karpathy ยังยอมรับว่าเป็นโมเดลระดับ “Tier 1” จุดแข็งสำคัญคือการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อน รวมถึงความแม่นยำด้านภาพและข้อความซ้อนทับซึ่งเคยเป็นจุดอ่อนของ AI เกือบทุกเจ้า

 

อย่างไรก็ตาม ในด้านผู้ใช้ทั่วไป Google ยังตามหลัง OpenAI อยู่บ้าง Gemini มีผู้ใช้งาน 650 ล้านราย ขณะที่ ChatGPT มีผู้ใช้งานประจำสัปดาห์ถึง 800 ล้านราย และยอดดาวน์โหลดแอปก็ยังเป็นรอง แต่ในสายตาบริษัทขนาดใหญ่ ความน่าเชื่อถือ ความปลอดภัย และประสิทธิภาพกำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญ และนี่คือจุดที่ Google มีศักยภาพเหนือคู่แข่งหลายราย

 

ท้ายที่สุด แม้ TPU ของ Google จะยังจำกัดการเข้าถึงและไม่เหมาะกับทุกบริษัท แต่การที่ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Meta และ Anthropic เริ่มหันมามองชิปของบริษัท เป็นสัญญาณสำคัญว่า Google ไม่ได้เป็นผู้ตามอีกต่อไป Thomas Husson จาก Forrester กล่าวไว้ว่า “Google กลับมาสู่เกมแล้วอย่างเต็มตัว” และคำกล่าวที่ว่า Google กำลังจะตายจากเวทีเทคโนโลยีนั้นไม่เพียงเกินจริง แต่แทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความจริงเลยในวันนี้

 

Google อาจจะเคยดูเหมือนหลับใหล แต่ตอนนี้ยักษ์ใหญ่ได้ตื่นขึ้นแล้ว และพร้อมจะสู้ในศึก AI ที่ดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์เทคโนโลยีร่วมสมัย

 

ภาพ: VCG/VCG via Getty Images

 

อ้างอิง:

The post Google กลับมาแล้วอย่างทรงพลัง! หลังเปิดตัว Gemini 3 ทวงตำแหน่งผู้นำ AI พร้อมสัญญาณบวก Meta จ่อใช้ชิป TPU ส่งผลให้มูลค่าตลาด Alphabet พุ่งเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ใน 1 เดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เท้ง ณัฐพงษ์ ลงพื้นที่น้ำท่วมหาดใหญ่ ห่วงรัฐไร้หัวโต๊ะ ศูนย์กลางไม่มีข้อมูลชัดเจน สร้างความสับสนหน้างาน https://thestandard.co/teng-hatyai-flood-govt-confusion/ Wed, 26 Nov 2025 00:30:37 +0000 https://thestandard.co/?p=1147593 เท้ง ณัฐพงษ์ ลงพื้นที่น้ำท่วม หาดใหญ่ ห่วงรัฐไร้หัวโต๊ะ ศูนย์กลางไม่มีข้อมูลชัดเจน สร้างความสับสนหน้างาน

วานนี้ (25 พฤศจิกายน) ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรร […]

The post เท้ง ณัฐพงษ์ ลงพื้นที่น้ำท่วมหาดใหญ่ ห่วงรัฐไร้หัวโต๊ะ ศูนย์กลางไม่มีข้อมูลชัดเจน สร้างความสับสนหน้างาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เท้ง ณัฐพงษ์ ลงพื้นที่น้ำท่วม หาดใหญ่ ห่วงรัฐไร้หัวโต๊ะ ศูนย์กลางไม่มีข้อมูลชัดเจน สร้างความสับสนหน้างาน

วานนี้ (25 พฤศจิกายน) ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย สส.พรรคประชาชน ร่วมติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมรวบรวมข้อมูลความเดือดร้อนของประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ โดยพบปะประชาชนที่ศูนย์อพยพมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพภาคที่ 4 ค่ายเสนาณรงค์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

 

ณัฐพงษ์ระบุว่าสถานการณ์ล่าสุดยังมีความน่ากังวล เนื่องจากยังคงมีประชาชนติดค้างอยู่ในพื้นที่อุทกภัยเป็นจำนวนมาก ตลอดสองวันที่ผ่านมานี้มีประชาชนจำนวนมากสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มต่างๆ โพสต์และคอมเมนต์ขอความช่วยเหลือ ซึ่งปัจจุบันหลายคนไม่สามารถติดต่อสื่อสารได้แล้วเนื่องจากแบตเตอรี่โทรศัพท์หมดหรือสัญญาณอินเทอร์เน็ตมีปัญหา

 

ด้วยความที่ประชาชนจำนวนมากยังคงรอความช่วยเหลืออยู่ในที่ประสบเหตุ เมื่อคืนที่ผ่านมาทีมอาสาสมัครและนักพัฒนาจำนวนหนึ่งจึงได้ช่วยกันทำงานตลอดคืนเพื่อกวาดข้อมูลจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ โดยใช้ AI เพื่อการคัดแยก ผู้ป่วยและกลุ่มเสี่ยง เบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้ และพิกัดผู้ขอความช่วยเหลือ โดยมีอาสาสมัครช่วยตรวจสอบและคัดกรองข้อมูลก่อนส่งต่อเข้าสู่ jitasa.care เพื่อให้ทีมภาคสนามเข้าช่วยเหลือต่อได้ ซึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมาได้มีการคัดแยกและส่งต่อข้อมูลเข้าระบบแล้วกว่า 20,000 ข้อความจากหลายแพลตฟอร์ม

 

ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าสิ่งจำเป็นที่สุดตอนนี้คือการรวมศูนย์ข้อมูลการเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยเพื่อให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ อาสาสมัคร และภาคประชาชนที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่หน้างานเห็นข้อมูลที่ตรงกัน ไม่ทำงานซ้ำซ้อน มีการจัดลำดับความสำคัญ และเข้าช่วยเหลือได้ตรงจุด

 

อย่างไรก็ตาม การทำงานของอาสาสมัครในเวลานี้ยังไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากความไม่ชัดเจนของข้อมูลหลายด้าน แม้ปัจจุบันรัฐบาลจะมีการตั้งศูนย์รับมือสถานการณ์ของรัฐแล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าใครคือผู้บัญชาการสถานการณ์กันแน่ มีความสับสนว่าศูนย์การสั่งการอยู่ที่ใคร ระหว่างผู้บัญชาการทหารสูงสุด หรือว่า ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ ทั้งภาครัฐและอาสาสมัครภาคประชาชนที่ต้องเข้าพื้นที่ต้องฟังคำสั่งการหรือคำขอความร่วมมือจากใครเป็นที่สุด

 

ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าจากการรับฟังข้อมูลจากทั้งประชาชน เจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครภาคประชาชนในพื้นที่ สถานการณ์ปัจจุบันสะท้อนว่าการบริหารจัดการภัยพิบัติในเวลานี้ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน ไม่มีคำสั่งการหรือคำชี้แนะที่ชัดเจนและเป็นระบบ การกระจายกำลังให้ความช่วยเหลือประชาชนยังเต็มไปด้วยความสับสน ต่างคนต่างทำ

 

ด้วยเหตุนี้ตนจึงขอย้ำข้อเสนอของตนอีกครั้งว่า ศูนย์บริหารสถานการณ์ที่ตั้งขึ้นมาควรต้องมีการรวมศูนย์ข้อมูลที่เป็นไปในทิศทางเดียว คำสั่งต้องแน่ชัดเป็นทิศทางเดียวกัน กระจายกำลังทุกส่วนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ให้เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ณัฐพงษ์ยังกล่าวต่อไปว่าสิ่งที่น่ากังวลต่อมาคือมุมมองต่อการจัดการภัยพิบัติของรัฐบาลและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง สถานการณ์ล่าสุดที่ธรรมนัส ได้ออกมาชี้แจงว่ารัฐมีการแจ้งเตือนประชาชนแล้ว แต่ประชาชนไม่ยอมย้ายออกเอง ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง ดังจะเห็นได้ว่าก่อนเกิดเหตุอุทกภัย หน่วยงานรัฐหลายส่วนสื่อสารไปคนละทิศคนละทาง ส่วนที่แจ้งเตือนก็แจ้งเตือนแบบคลุมเครือไม่ชัดเจน โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่าต้องอพยพหรือไม่ กว่าจะมีคำสั่งชัดเจนให้อพยพก็เกิดอุทกภัยในพื้นที่จนประชาชนออกมาไม่ได้แล้ว หนำซ้ำก่อนน้ำท่วมบางหน่วยงานยังบอกว่าเอาอยู่ ขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวล

 

ที่สำคัญไปกว่านั้น นอกจากรัฐบาลไม่ยอมรับความผิดพลาดของตัวเองที่มีการแจ้งเตือนไม่ชัดเจนและไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันแล้ว รัฐบาลยังชี้แจงราวกับเป็นการกล่าวโทษประชาชน ปัดภาระให้พ้นตัว หรือหากจะไม่ยอมรับความผิด อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะเน้นสร้างขวัญและกำลังใจให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ มากกว่าที่จะปัดภาระและโทษประชาชนเช่นนี้.สิ่งที่รัฐต้องเร่งบริหารจัดการอย่างเร่งด่วนตอนนี้คือ ต้องมีแผนให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย เร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก เร่งตรวจสอบว่ามีบ้านไหนที่ยังตกค้างจากการอพยพออกมาจากบ้านที่พักอาศัย ให้ความช่วยเหลือด้านการแพทย์และอาหาร

 

รวมทั้งสำรวจพื้นที่พักพิงแต่ละแห่งว่าเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่ รวมทั้งให้สำรองกรณีที่มีความเสี่ยงอาจเป็นพื้นที่ประสบภัยเพิ่ม ณัฐพงษ์ย้ำว่า ทุกวินาทีที่ผ่านไป คือความเสี่ยงภัยของชีวิตประชาชนที่เพิ่มมากขึ้น ขอให้กำลังใจพี่น้องประชาชนและกำลังเดินหน้าให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่

 

เท้ง ณัฐพงษ์ ลงพื้นที่น้ำท่วม หาดใหญ่ ห่วงรัฐไร้หัวโต๊ะ ศูนย์กลางไม่มีข้อมูลชัดเจน สร้างความสับสนหน้างาน 1
เท้ง ณัฐพงษ์ ลงพื้นที่น้ำท่วม หาดใหญ่ ห่วงรัฐไร้หัวโต๊ะ ศูนย์กลางไม่มีข้อมูลชัดเจน สร้างความสับสนหน้างาน 2
เท้ง ณัฐพงษ์ ลงพื้นที่น้ำท่วม หาดใหญ่ ห่วงรัฐไร้หัวโต๊ะ ศูนย์กลางไม่มีข้อมูลชัดเจน สร้างความสับสนหน้างาน 3
เท้ง ณัฐพงษ์ ลงพื้นที่น้ำท่วม หาดใหญ่ ห่วงรัฐไร้หัวโต๊ะ ศูนย์กลางไม่มีข้อมูลชัดเจน สร้างความสับสนหน้างาน 4

The post เท้ง ณัฐพงษ์ ลงพื้นที่น้ำท่วมหาดใหญ่ ห่วงรัฐไร้หัวโต๊ะ ศูนย์กลางไม่มีข้อมูลชัดเจน สร้างความสับสนหน้างาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
แรงงานสหรัฐสะดุด ว่างงานพุ่งสูงสุดรอบ 4 ปี นักวิเคราะห์มอง Fed ยังมีโอกาสลดดอกเบี้ย ธ.ค. ขณะเศรษฐกิจไทยปี 2025–26 ถูกหั่นคาดการณ์โตเหลือ 1.8% และ 1.4% https://thestandard.co/us-unemployment-thai-growth-cut/ Tue, 25 Nov 2025 12:50:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1147531 แรงงานสหรัฐสะดุด ว่างงานพุ่งสูงสุดรอบ 4 ปี นักวิเคราะห์มอง Fed ยังมีโอกาสลดดอกเบี้ย ธ.ค. ขณะเศรษฐกิจไทยปี 2025–26 ถูกหั่นคาดการณ์โตเหลือ 1.8% และ 1.4%

The post แรงงานสหรัฐสะดุด ว่างงานพุ่งสูงสุดรอบ 4 ปี นักวิเคราะห์มอง Fed ยังมีโอกาสลดดอกเบี้ย ธ.ค. ขณะเศรษฐกิจไทยปี 2025–26 ถูกหั่นคาดการณ์โตเหลือ 1.8% และ 1.4% appeared first on THE STANDARD.

]]>
แรงงานสหรัฐสะดุด ว่างงานพุ่งสูงสุดรอบ 4 ปี นักวิเคราะห์มอง Fed ยังมีโอกาสลดดอกเบี้ย ธ.ค. ขณะเศรษฐกิจไทยปี 2025–26 ถูกหั่นคาดการณ์โตเหลือ 1.8% และ 1.4%

The post แรงงานสหรัฐสะดุด ว่างงานพุ่งสูงสุดรอบ 4 ปี นักวิเคราะห์มอง Fed ยังมีโอกาสลดดอกเบี้ย ธ.ค. ขณะเศรษฐกิจไทยปี 2025–26 ถูกหั่นคาดการณ์โตเหลือ 1.8% และ 1.4% appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘Qwen’ แอป AI ตัวท็อปของ Alibaba เปิดตัวแรง พร้อมท้าชน ChatGPT https://thestandard.co/qwen-ai-app-alibaba-challenges/ Tue, 25 Nov 2025 01:25:34 +0000 https://thestandard.co/?p=1147060 ‘Qwen’ แอป AI ตัวท็อปของ Alibaba เปิดตัวแรง พร้อมท้าชน ChatGPT

Alibaba เปิดตัว Qwen AI อย่างร้อนแรง! ยอดดาวน์โหลดทะลุ […]

The post ‘Qwen’ แอป AI ตัวท็อปของ Alibaba เปิดตัวแรง พร้อมท้าชน ChatGPT appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘Qwen’ แอป AI ตัวท็อปของ Alibaba เปิดตัวแรง พร้อมท้าชน ChatGPT

Alibaba เปิดตัว Qwen AI อย่างร้อนแรง! ยอดดาวน์โหลดทะลุ 10 ล้านครั้งใน 1 สัปดาห์ ตอกย้ำกลยุทธ์ ‘AI-first company’ พร้อมผสาน Qwen เข้าสู่ Taobao-Alipay หวังขับเคลื่อนธุรกิจผู้บริโภคและส่งผลต่อ Valuation ในอนาคต

 

หุ้นของยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซจีนพุ่งขึ้นมากกว่า 5% ในวันจันทร์ที่ฮ่องกง หลัง Alibaba เปิดเผยตัวเลขดังกล่าวในบล็อกโพสต์บน WeChat การเติบโตอย่างรวดเร็วนี้เกิดขึ้นหลังจากบริษัทตัดสินใจรีแบรนด์และอัปเดตแอปเดิมบน iOS และ Android ให้รวมอยู่ภายใต้ชื่อ ‘Qwen’

 

การเปิดตัวของ Qwen เน้นย้ำให้เห็นถึงกระแสความนิยมของแอป AI ที่สามารถเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเริ่มจาก ChatGPT ของ OpenAI ซึ่งเคยทำสถิติเป็นบริการที่เข้าถึงผู้ใช้ 100 ล้านคนได้เร็วที่สุดเมื่อสามปีก่อน หากไม่นับ Threads ของ Meta ซึ่งได้อานิสงส์จากเครือข่ายโซเชียลขนาดใหญ่ของบริษัทแม่ ตอนนี้ Qwen ถือเป็นหนึ่งในแอปที่เติบโตเร็วที่สุด โดยเฉพาะในจีนที่ไม่สามารถใช้ ChatGPT ได้

 

การเคลื่อนไหวของ Alibaba เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่บริษัท AI หลักๆ ของตะวันตกอย่าง ChatGPT และ Gemini ยังไม่เปิดให้บริการแก่ผู้บริโภคชาวจีน ด้วยโมเดลภาษาขนาดใหญ่กว่า 200 แบบที่กำลังแข่งขันกันเพื่อดึงดูดความสนใจในจีน Alibaba จึงมุ่งมั่นที่จะสร้างความแตกต่างด้วยการผสานรวม Qwen เข้ากับระบบนิเวศที่กว้างขึ้น ซึ่งมีแพลตฟอร์มอย่าง Alipay และ Taobao และนำเสนอแอปนี้ให้ใช้งานฟรีเพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้งานอย่างแพร่หลาย

 

Kenny Ng นักกลยุทธ์จาก China Everbright Securities International กล่าวว่า “การที่ Alibaba จะสามารถใช้แอป Qwen เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจผู้บริโภคได้หรือไม่นั้น เป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อการประเมินมูลค่าในอนาคตของบริษัท” เขากล่าวเพิ่มเติมว่า “ตลาดมองว่าก้าวนี้เป็นส่วนสำคัญในการเปรียบเทียบมูลค่าของ Alibaba กับ OpenAI ด้วย”

 

ตัวเลขผู้ใช้งานระยะแรกของ Qwen สอดคล้องกับประกาศของ Ant Group บริษัทฟินเทคในเครือ Alibaba เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่งเปิดตัวผู้ช่วย AI แบบมัลติโหมดแห่งใหม่ชื่อ LingGuang โดยมียอดดาวน์โหลดมากกว่าล้านครั้งภายใน 4 วันหลังเปิดตัว

 

Alibaba วางแผนจะค่อย ๆ เพิ่มความสามารถด้าน AI แบบ ‘agentic’ เพื่อสนับสนุนการช้อปปิ้งออนไลน์ ครอบคลุมแพลตฟอร์มหลักอย่าง Taobao ในช่วงเดือนต่อไปข้างหน้า โดยมุ่งสู่การทำให้ Qwen เป็น AI agent ที่สมบูรณ์แบบ ภายใต้การนำของซีอีโอ Eddie Wu บริษัทได้ประกาศปรับกลยุทธ์สู่การเป็น ‘AI-first company’ ซึ่งนักลงทุนจะจับตาอย่างใกล้ชิดในการประกาศผลประกอบการไตรมาสวันอังคารนี้

 

บริษัทระบุในแถลงการณ์ว่า “Alibaba มีแผนบูรณาการบริการด้านไลฟ์สไตล์และผลิตภาพให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น รวมถึงแผนที่ดิจิทัล บริการส่งอาหาร การจองท่องเที่ยว เครื่องมือสำนักงาน อีคอมเมิร์ซ การศึกษา และคำแนะนำด้านสุขภาพ เข้าไว้ในแอป Qwen โดยตรง”

 

ภาพ: VCG/VCG via Getty Images

 

อ้างอิง:

The post ‘Qwen’ แอป AI ตัวท็อปของ Alibaba เปิดตัวแรง พร้อมท้าชน ChatGPT appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทูตจีนบรรยายสรุปการเสด็จฯ เยือนจีนของในหลวงและพระบรมราชินี ‘เป็นก้าวสำคัญ’ ความสัมพันธ์ไทย-จีน https://thestandard.co/ambassador-king-queen-china-relations/ Mon, 24 Nov 2025 14:08:41 +0000 https://thestandard.co/?p=1146991 ทูตจีนบรรยายสรุปการเสด็จฯ เยือนจีนของ ในหลวงและพระบรมราชินี ‘เป็นก้าวสำคัญ’ ความสัมพันธ์ไทย-จีน

เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และ […]

The post ทูตจีนบรรยายสรุปการเสด็จฯ เยือนจีนของในหลวงและพระบรมราชินี ‘เป็นก้าวสำคัญ’ ความสัมพันธ์ไทย-จีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทูตจีนบรรยายสรุปการเสด็จฯ เยือนจีนของ ในหลวงและพระบรมราชินี ‘เป็นก้าวสำคัญ’ ความสัมพันธ์ไทย-จีน

เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 13-17 พฤศจิกายน 2568 ตามคำทูลเชิญของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ซึ่งตรงกับวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและไทย และ ‘50 ปีทองแห่งมิตรภาพจีน-ไทย’ และนับเป็นการเสด็จฯ เยือนประเทศจีนครั้งแรกของพระมหากษัตริย์ไทย นับตั้งแต่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันนั้น

 

จางเจี้ยนเว่ย เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ได้บรรยายสรุป ณ ห้องประชุมสถานเอกอัครราชทูตจีนวันนี้ (24 พฤศจิกายน) ว่า การเสด็จพระราชดำเนินเยือนจีนครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาความสัมพันธ์จีน-ไทย โดยประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้พบปะหารือกับพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และบรรลุฉันทมติสำคัญเพื่อการพัฒนาความสัมพันธ์จีน-ไทย

 

ทูตจางกล่าวว่า ทั้งสองเห็นพ้องร่วมกันที่จะสร้างประชาคมจีน-ไทยที่มีอนาคตร่วมกันและนำพาประชาคมให้ก้าวหน้าในอีก 50 ปีข้างหน้า และร่วมกันเขียนบทใหม่ของมิตรภาพจีน-ไทย โดยประธานาธิบดีสีจิ้นผิงยังได้จัดพิธีถวายการต้อนรับและงานเลี้ยงพระกระยาหารอย่างยิ่งใหญ่แด่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

 

นอกจากนี้ หลี่เฉียง นายกรัฐมนตรีจีนก็ได้พบปะหารือกับพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ระหว่างการเสด็จฯ เยือนจีนด้วย

 

โดยในระหว่างการเสด็จฯ เยือนจีน พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้ทรงวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์วีรชน และทรงเยี่ยมชมสถานที่สำคัญในกรุงปักกิ่ง เพื่อทรงเข้าใจถึงความสำเร็จในการพัฒนาประเทศให้ทันสมัยของจีนอย่างใกล้ชิดและส่งเสริมการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือระหว่างจีนและไทยในด้านวิทยาศาสตร์ การศึกษา และวัฒนธรรม

 

ทูตจีนกล่าวว่า การเสด็จฯ เยือนครั้งนี้ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจากทุกภาคส่วนของสังคมทั้งจีนและไทย ตอกย้ำความสัมพันธ์ที่ว่า “จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” เสริมสร้างไมตรีจิตระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความกระตือรือร้นในการกระชับความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน อีกทั้งสร้างแรงผลักดันที่แข็งแกร่งให้กับการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีในอนาคต

 

“การเสด็จฯ เยือนครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงามและเหนือความคาดหมายอย่างมาก ในฐานะเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในการเตรียมการและตามเสด็จฯ ตลอดการเสด็จฯ เยือนประเทศจีน ในโอกาสนี้ ผมขอแบ่งปันประสบการณ์และความรู้สึกบางประการ” ทูตจีนกล่าว

 

“ประการแรก ความเข้าใจสำคัญที่สุดจากการเสด็จฯ เยือนครั้งนี้คือ การนำของประมุขแห่งรัฐ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดและเป็นหลักประกันพื้นฐานสำหรับการพัฒนาความสัมพันธ์จีน-ไทย ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2565 ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้เยือนประเทศไทยครั้งประวัติศาสตร์ โดยได้บรรลุฉันทมติสำคัญกับพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการสร้างประชาคมจีน-ไทยที่มีอนาคตร่วมกันซึ่งเป็นการขับเคลื่อนความสัมพันธ์จีน-ไทยสู่ขั้นใหม่ ทำให้รากฐานมิตรภาพระหว่างสองประเทศมีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น และแรงผลักดันความร่วมมือมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงใส่พระทัยและสนับสนุนมิตรภาพจีน-ไทยมาอย่างยาวนาน โดยมีบทบาทชี้นำพิเศษในการส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคี สิ่งที่ประทับใจฝ่ายจีนเป็นพิเศษคือ หลังจากการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงและอยู่ในช่วงน้อมถวายความอาลัยทั่วประเทศในประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยืนยันที่จะเสด็จฯ เยือนจีนตามหมายกำหนดการ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและฝ่ายไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสัมพันธ์จีน-ไทย”

 

จางเจี้ยนเว่ย กล่าวต่อว่า “ระหว่างการเสด็จฯ เยือน ประมุขแห่งรัฐทั้งสองได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงลึกเกี่ยวกับประเด็นโดยภาพรวมและประเด็นเชิงยุทธศาสตร์เกี่ยวกับความสัมพันธ์จีน-ไทย ทั้งสองเห็นพ้องกันว่า นับตั้งแต่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อครึ่งศตวรรษก่อน ท่ามกลางสถานการณ์ระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป จีนและไทยยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ ช่วยเหลือและสนับสนุนซึ่งกันและกัน และเป็นญาติมิตรที่ดี มิตรสหายที่ดี และหุ้นส่วนที่ดีอย่างแท้จริง ประมุขแห่งรัฐทั้งสองเห็นพ้องกันว่า ในช่วงเวลาสำคัญของการพัฒนาประเทศ ทั้งสองฝ่ายควรเสริมสร้างการเชื่อมโยงเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อให้ประชาชนของทั้งสองประเทศได้รับประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นจากความร่วมมือระหว่างจีน-ไทย นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องที่จะส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางสังคมและวัฒนธรรม เพื่อให้ประชาชนของทั้งสองประเทศมีความใกล้ชิดและผูกพันกันมากยิ่งขึ้น”

 

“การทูตประมุขแห่งรัฐได้นำพาความสัมพันธ์จีน-ไทยสู่ยุคสมัยใหม่ ณ จุดเริ่มต้นทางประวัติศาสตร์ครั้งใหม่นี้ จีนยินดีที่จะร่วมมือกับไทยเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์จีน-ไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และเพื่อนำไปสู่ ​​“50 ปีทอง” อันรุ่งโรจน์ยิ่งขึ้นอีกวาระหนึ่ง”

 

 

“ประการที่สอง ผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดของการเสด็จฯ เยือนครั้งนี้คือการกำหนดแนวทางและแผนพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีในอนาคต ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงกล่าวว่า การประชุมเต็มคณะครั้งที่ 4 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 20 ได้พิจารณาและอนุมัติข้อเสนอ “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 5 ปี ฉบับที่ 15” ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมการพัฒนาที่มีคุณภาพสูงและการขยายการเปิดประเทศกว้างในระดับสูง จีนยินดีที่จะเสริมสร้างการประสานยุทธศาสตร์กับไทย ส่งเสริมความร่วมมือในโครงการสำคัญอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการรถไฟจีน-ไทย ขยายการนำเข้าสินค้าเกษตรคุณภาพสูงของไทย และขยายความร่วมมือในสาขาใหม่ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ เศรษฐกิจดิจิทัล และการบินและการบินอวกาศ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสว่า ไทยและจีนมีมิตรภาพที่ใกล้ชิด มีการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนอย่างสม่ำเสมอ และมีความร่วมมือที่กว้างขวางและลึกซึ้งซึ่งเป็นประโยชน์ร่วมกัน ความร่วมมือไทย-จีนเป็นความร่วมมือแบบพี่น้อง ไทยยินดีที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์การพัฒนาของจีน ขยายความร่วมมือกับจีนในหลากหลายสาขา เสริมสร้างการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน และกระชับมิตรภาพระหว่างไทย-จีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น”

 

“ประมุขแห่งรัฐทั้งสองประเทศได้กำหนดแนวทางการพัฒนาความสัมพันธ์จีน-ไทย ผลักดันความร่วมมือฉันมิตรระหว่างสองประเทศให้ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เรารับทราบว่าเมื่อกลับจากการตามเสด็จฯ เยือนจีน อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสริมสร้างการประสานงานกับฝ่ายจีน และผลักดันความร่วมมือในด้านต่างๆ จีนขอชื่นชมในการปฏิบัติการนี้เป็นอย่างยิ่ง เรายินดีที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับไทยเพื่อปฏิบัติตามฉันทมติสำคัญที่ประมุขแห่งรัฐทั้งสองได้บรรลุร่วมกันอย่างจริงจัง และยกระดับความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมระหว่างสองประเทศให้ดียิ่งขึ้น” ทูตจีนกล่าว

 

“ประการที่สาม ช่วงเวลาที่น่าประทับใจที่สุดของการเสด็จฯเยือนครั้งนี้คือปฏิสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างประมุขแห่งรัฐทั้งสอง ในพิธีถวายการต้อนรับ การพบปะอย่างเป็นทางการ และงานเลี้ยงต้อนรับ ประมุขแห่งรัฐทั้งสองได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างลึกซึ้งในบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นมิตร ต่างมีความสุขที่ได้อยู่ร่วมกันอย่างอบอุ่น วลีที่ว่า ‘จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน’ กลายเป็นคำที่มักถูกกล่าวถึงบ่อยครั้ง ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้เน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์อันลึกซึ้งระหว่างราชวงศ์ไทยและรัฐบาลจีน พร้อมยกย่องบทบาทสำคัญของราชวงศ์ไทยในการส่งเสริมมิตรภาพระหว่างจีนและไทย”

 

“ประธานาธิบดีกล่าวว่าทั้งสองฝ่ายควรแลกเปลี่ยนเยือนกันอย่างสม่ำเสมอเช่นเดียวกับสมาชิกครอบครัว และยินดีต้อนรับพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ให้เสด็จฯ เยือนจีนบ่อยขึ้น ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงยังได้ชื่นชมโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ โดยแสดงความตั้งใจของฝ่ายจีนที่จะให้การสนับสนุนอย่างแข็งขันและเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การบรรเทาความยากจนกับไทย เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศไทย ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงยังได้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งและน้อมถวายความอาลัยการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแสดงความยินดีกับจีนในความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีน พร้อมทั้งทรงยกย่องทั้งสองประเทศว่าเป็น ‘ญาติสนิทที่สุด’ และทรงแสดงความยินดีและภาคภูมิใจอย่างจริงใจในความสัมพันธ์จีน-ไทยที่พัฒนาอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น”

 

ทูตจีนเผยว่า หลังพิธีถวายการต้อนรับเสร็จสิ้น ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้กราบบังคมทูลถึงประวัติและรูปแบบสถาปัตยกรรมของจัตุรัสเทียนอันเหมิน ณ จัตุรัสประตูตะวันออกของมหาศาลาประชาชน ก่อนการประชุมอย่างเป็นทางการ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงยังได้กราบบังคมทูลเกี่ยวกับภาพจิตรกรรมฝาผนังขนาดใหญ่ที่แสดงถึงแกนกลางของกรุงปักกิ่งในห้องประชุม สร้างบรรยากาศที่อบอุ่น เป็นกันเอง และผ่อนคลาย ในงานเลี้ยงต้อนรับที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงถวายแด่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว บทเพลง ‘ใกล้รุ่ง’ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงประพันธ์ ได้บรรเลงอย่างกึกก้องไปทั่วห้อง สื่อถึงความรักใคร่และเครือญาติอันใกล้ชิดระหว่างจีนและไทย

 

“ปฏิสัมพันธ์ฉันมิตรเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงมิตรภาพอันแน่นแฟ้นและความไว้วางใจอันลึกซึ้งระหว่างประมุขแห่งรัฐทั้งสอง และจะเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพัฒนาการเชิงบวกของความสัมพันธ์จีน-ไทย อันจะนำไปสู่ความเข้มแข็งและการเติบโตอย่างต่อเนื่องของสายสัมพันธ์ “จีน-ไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” ที่มีมายาวนาน” ทูตจีนกล่าว

 

“ประการที่สี่ การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้เต็มไปด้วยกิจกรรมและเนื้อหาอันเข้มข้น ไม่เพียงแต่เป็นการเสด็จฯ เยือนแห่งมิตรภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการเสด็จฯ เยือนแห่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เสด็จฯ เยือนแห่งวัฒนธรรม และเสด็จฯ เยือนแห่งการศึกษา ด้วยการเตรียมการอย่างพิถีพิถันของฝ่ายจีน พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเยี่ยมชมศูนย์นวัตกรรมหุ่นยนต์อัจฉริยะ เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้หุ่นยนต์อัจฉริยะในอุตสาหกรรมการผลิต การแพทย์และการดูแลผู้สูงอายุแบบบูรณาการ ไบโอนิก การปฏิบัติงานระยะไกล และการใช้ชีวิตในบ้าน พระองค์ยังทรงเยี่ยมชมสถาบันเทคโนโลยีอวกาศแห่งประเทศจีนและศูนย์ฝึกอบรมนักบินอวกาศแห่งประเทศจีน และทรงสนทนาแบบเรียลไทม์จากพื้นดินสู่อวกาศกับนักบินอวกาศเสินโจว-21 ซึ่งกำลังปฏิบัติภารกิจในอวกาศ ณ ศูนย์ควบคุมการบินอวกาศปักกิ่ง นับเป็นการจัดเตรียมพิเศษที่ฝ่ายจีนได้จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมมิตรภาพระหว่างจีนและไทยในระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินเยือน พระองค์ได้ทรงแสดงความยินดีกับจีนในความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ด้านเทคโนโลยีอวกาศ และทรงซักถามด้วยสนพระทัยยิ่งเกี่ยวกับสภาพการทำงานและที่พักอาศัยของนักบินอวกาศ การประชุมทางวิดีโอที่วางแผนไว้เดิมใช้เวลา 7 หรือ 8 นาที แต่กลับใช้เวลาเกือบ 20 นาที ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านและยกระดับเศรษฐกิจอย่างแข็งขัน การเสด็จพระราชดำเนินเยือนของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทอดพระเนตรเห็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอันล้ำสมัยของจีน รวมถึงความสำเร็จด้านนวัตกรรมอันล้ำสมัย ผมเชื่อว่าปัญญาประดิษฐ์ การสำรวจอวกาศลึก และการบินอวกาศ มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นไฮไลท์สำหรับความร่วมมือเชิงปฏิบัติระหว่างจีนและไทย” ทูตจีนกล่าว

 

“พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใส่พระทัยอย่างยิ่งต่อการศึกษา ในระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินเยือนจีน พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีและทรัพยากรการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการจีน และทอดพระเนตรชั้นเรียนภาษาอังกฤษแบบโต้ตอบแบบเรียลไทม์ทางไกล ซึ่งจัดโดยโรงเรียนประถมศึกษาสองแห่งในกรุงปักกิ่งและไหหลำ ผ่านแพลตฟอร์มการศึกษาอัจฉริยะ การดำเนินการเช่นนี้จะส่งเสริมการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือด้านการศึกษาอัจฉริยะระหว่างสองประเทศ และมีส่วนช่วยการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในประเทศไทย พระองค์ยังเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมวัดหลิงกวงเป็นพิเศษเพื่อสักการะพระบรมสารีริกธาตุพระเขี้ยวแก้ว และเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรพิธีเปิดนิทรรศการโบราณวัตถุทางวัฒนธรรมจีน-ไทย ณ พิพิธภัณฑ์พระราชวังโบราณของจีน กิจกรรมเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความผูกพันทางวัฒนธรรมและการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างจีนและไทย และเสริมสร้างความเข้าใจและมิตรภาพระหว่างประชาชนทั้งสอง”

 

“ประการที่ห้า ประโยชน์สำคัญที่ไม่คาดคิดจากการเสด็จพระราชดำเนินเยือนครั้งนี้คือ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีทรงได้รับความชื่นชมอย่างล้นหลามในประเทศจีน การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ได้รับความสนใจอย่างสูงจากทุกภาคส่วนของสังคมจีน พระบารมีและพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสิริโฉมและพระจริยวัตรอันอันงดงามสง่าของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีสร้างความประทับใจให้กับชาวเน็ตชาวจีนเป็นอย่างมาก ดึงดูดแฟนๆ จำนวนมาก และจุดประกายให้เกิด ‘กระแสการท่องเที่ยวไทยบูม’ ในประเทศจีน เราเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าการเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่งผลให้ชาวจีนมีความประทับใจในไทยมากขึ้น หัวใจของประชาชนทั้งสองประเทศมีความใกล้ชิดกันมากขึ้น และความสัมพันธ์ ‘จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน’ ได้หยั่งรากลึกลงในจิตใจของประชาชนมากยิ่งขึ้น”

 

“เป็นที่น่าสังเกตว่าการเสด็จฯเยือนครั้งนี้อยู่ในช่วงเวลาแห่งการถวายความอาลัยการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อให้การเสด็จฯ เยือนครั้งนี้ประสบผลสำเร็จ ทั้งจีนและไทยได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดตลอดมา โดยคำนึงถึงความสะดวกสบายของทั้งสองฝ่าย ต่างก็เคารพขนบธรรมเนียมประเพณีทางวัฒนธรรมของทั้งสองฝ่าย เพื่อแสดงความเสียใจและถวายความอาลัยต่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ฝ่ายจีนได้จัดเตรียมสถานที่อย่างพิถีพิถัน โดยตกแต่งสถานที่อย่างเรียบง่ายแต่สง่างาม สะท้อนบรรยากาศที่เคร่งขรึมและสง่างาม พนักงานต้อนรับชาวจีนทุกคนสวมชุดสีเข้มเพื่อแสดงความเคารพต่อพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและฝ่ายไทย ผมขอแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อสำนักพระราชวัง สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องของไทย ความร่วมมืออย่างจริงใจระหว่างหน่วยงานต่างๆ ของทั้งจีนและไทย จึงทำให้การเสด็จฯเยือนครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์”

 

ช่วงท้าย ทูตจางเจี้ยนเว่ยได้กล่าวขอบคุณสื่อมวลชนทั้งจีนและไทยสำหรับความร่วมมืออย่างดีและการรายงานข่าวอย่างสมบูรณ์และเข้มข้น ภาพของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงและพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวร่วมตรวจแถวกองเกียรติยศ เดินเคียงข้างกันเข้าสู่สถานที่จัดงาน และสนทนาอย่างเป็นกันเอง เป็นที่กล่าวขวัญอย่างกว้างขวาง การจัดขบวนรถจีน เครื่องแบบของเจ้าหน้าที่ และมาตรการรักษาความปลอดภัยที่พิถีพิถัน ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวาง ชาวเน็ตไทยต่างยกย่องความสมพระเกียรติอย่างยิ่งที่ฝ่ายจีนถวายต่อพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว การต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ สมพระเกียรติ นอกจากนี้ชาวเน็ตยังแสดงความคิดเห็นด้วยวลีที่ซาบซึ้งใจ ที่มากที่สุดก็คือ “ขอบคุณประเทศจีนสำหรับการถวายการต้อนรับพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างสมพระเกียรติ” “ขอบคุณประเทศจีนให้ความเคารพและนับถืออย่างสูงสุดต่อพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและระบอบการเมืองไทย” และ “ไทยจีนใช่อื่นไกล พี่น้องกัน “เมื่อรายงานข่าวเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ทรงวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์วีรชน สื่อมวลชนไทยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญพิเศษของการทรงวางพวงมาลา และยกย่องความไว้วางใจและการสนับสนุนซึ่งกันและกันระหว่างจีนและไทย นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุดถึงมิตรภาพอันใกล้ชิดและความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนจีนและไทย

 

ทูตจีนกล่าวสรุปว่า การเสด็จพระราชดำเนินเยือนจีนครั้งแรกของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีได้เติมเต็มช่องว่างทางประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์จีน-ไทย และเป็นหมุดหมายที่มีความสำคัญยิ่งยวด การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ได้สานต่อมิตรภาพอันดีงามระหว่างจีนและไทย เสริมสร้างความไว้วางใจทางการเมือง ส่งเสริมความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน กระชับการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และทำให้แนวคิด “จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” ฝังรากลึกในจิตใจประชาชนมากยิ่งขึ้น ส่งเสริมการสร้างประชาคมจีน-ไทยที่มีอนาคตร่วมกัน และสร้างรากฐานที่มั่นคงยิ่งขึ้นสำหรับความสัมพันธ์จีน-ไทยในอีก 50 ปีข้างหน้า

 

“ผมเชื่อมั่นว่าอนาคตของความสัมพันธ์จีน-ไทยจะยิ่งสดใสยิ่งขึ้น” ทูตจีนกล่าว

The post ทูตจีนบรรยายสรุปการเสด็จฯ เยือนจีนของในหลวงและพระบรมราชินี ‘เป็นก้าวสำคัญ’ ความสัมพันธ์ไทย-จีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจาะลึกรายงาน ‘The Widening AI Value Gap’ จาก BCG ทำไมมีองค์กรแค่ 5% ที่เพิ่มรายได้ 5 เท่า ลดต้นทุน 3 เท่าจากการนำ AI มาใช้ [PR NEWS] https://thestandard.co/bcg-ai-widening-value-gap/ Mon, 24 Nov 2025 05:00:19 +0000 https://thestandard.co/?p=1145931 เจาะลึกรายงาน ‘The Widening AI Value Gap’ จาก **BCG** ทำไมมีองค์กรแค่ 5% ที่เพิ่มรายได้ 5 เท่า ลดต้นทุน 3 เท่า จากการนำ **AI** มาใช้ [Advertorial]

AI จะเปลี่ยนฉากทัศน์ธุรกิจในอนาคตเร็วกว่าคลื่นเทคโนโลยี […]

The post เจาะลึกรายงาน ‘The Widening AI Value Gap’ จาก BCG ทำไมมีองค์กรแค่ 5% ที่เพิ่มรายได้ 5 เท่า ลดต้นทุน 3 เท่าจากการนำ AI มาใช้ [PR NEWS] appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจาะลึกรายงาน ‘The Widening AI Value Gap’ จาก **BCG** ทำไมมีองค์กรแค่ 5% ที่เพิ่มรายได้ 5 เท่า ลดต้นทุน 3 เท่า จากการนำ **AI** มาใช้ [Advertorial]

AI จะเปลี่ยนฉากทัศน์ธุรกิจในอนาคตเร็วกว่าคลื่นเทคโนโลยีใด ๆ ที่เคยเกิดขึ้นและมีความเป็นไปได้ว่า บริษัทที่สามารถสร้างมูลค่าที่แท้จริงจาก AI จะทิ้งห่างคู่แข่งที่มอง AI เป็นแค่เครื่องมือ

 

ข้อมูลจากรายงานการวิจัยในหัวข้อ ‘The Widening AI Value Gap’ ที่ทำการสำรวจบริษัททั่วโลกกว่า 1,250 บริษัท ในทุกอุสาหกรรมที่ลงทุนในเทคโนโลยี AI โดย Boston Consulting Group หรือ BCG บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจระดับโลก พบว่า มีบริษัทเพียง 5% เท่านั้น ที่ประสบความสำเร็จในการนำ AI มาสร้างให้เกิดผลลัพธ์เชิงธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรมและขยายผลได้ในระดับองค์กร สามารถเพิ่มรายได้ถึง 5 เท่า และลดต้นทุนได้ 3 เท่า เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ และมีมากกว่า 60% กลับไม่สามารถสร้างมูลค่าจากการลงทุนด้าน AI ได้จริง และได้ผลลัพธ์เพียงเล็กน้อย

 

BCG เรียกองค์กร 5% เหล่านั้นว่า ‘Future-built companies’ ที่ไม่เพียงแค่ประสบความสำเร็จ แต่ยังสร้าง ‘AI Value Gap’ ที่กว้างขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์

 

เจาะลึกรายงาน ‘The Widening AI Value Gap’ จาก **BCG** ทำไมมีองค์กรแค่ 5% ที่เพิ่มรายได้ 5 เท่า ลดต้นทุน 3 เท่า จากการนำ **AI** มาใช้ [Advertorial] 1

 

อิษฎา หิรัญวิวัฒน์กุล Managing Director & Senior Partner Head of BCG Thailand ชี้ให้เห็น 3 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทเหล่านั้นสร้าง ‘Real Value’ ได้

 

  • Continue to Reinvest: ลงทุนซ้ำต่อเนื่องเมื่อเห็นผลลัพธ์ เพื่อให้เกิด Success Loop
  • Compounding Advantage: ลงทุนถูกจุดทำให้บริษัทเปลี่ยนแปลงเชิงบวก และความสำเร็จนั้นก็ยิ่งสร้างผลประโยชน์ทบต้นต่อยอดขึ้นไปอีก
  • Execution, Not Experimentation: โฟกัสที่การลงมือทำให้สำเร็จ ไม่ทดลองไปเรื่อย ๆ

 

“บริษัท 60% ที่สร้างผลลัพธ์จากการลงทุนใน AI ไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่โฟกัสไปที่การทำ Pilot แล้วก็จบที่ตรงนั้น เลยไม่ได้ Value หรือถึงจะได้ก็ไม่สามารถขยายผลต่อได้”

 

ขณะเดียวกันบริษัท 5% ที่ประสบความสำเร็จ จะมีความชัดเจนว่าอะไรคือผลลัพธ์ที่องค์กรอยากให้เกิดขึ้นจริงและ Value ที่แท้จริงของธุรกิจอยู่ตรงไหน “ส่วนใหญ่แล้ว 70% ของ Value อยู่ที่ Core Function ก็คือ R&D, Sales and Marketing, Pricing, Manufacturing สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น หรือมีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด”

 

คลี่กลยุทธ์ลงทุน AI ให้เกิดคุณค่าจริง

 

อิษฎา กล่าวว่าข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือ ‘วิธีคิด’ ของผู้นำเวลาพูดถึงเรื่องการนำ AI ไปใช้ในธุรกิจ แทนที่จะมองเป็นการ implementation เครื่องมือ พวกเขาเลือกที่จะเปลี่ยนวิธีการทำงาน แล้วค่อยดูว่าจะเอา AI มาช่วยได้อย่างไร “พวกเขาจะคิดก่อนว่า หากต้องเริ่มบริษัทจากศูนย์หรือต้องการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ควรมีวิธีการทำงานอย่างไร จากนั้นจึงค่อยถามว่า AI จะเข้ามาช่วยได้อย่างไร อาจใช้กฎ 10-20-70 โดย 70% ต้องโฟกัสที่บุคลากรและกระบวนการ 20% เป็นเรื่องของเทคโนโลยีและ 10% คือเครื่องมือหรืออัลกอริทึม”

 

เจาะลึกรายงาน ‘The Widening AI Value Gap’ จาก **BCG** ทำไมมีองค์กรแค่ 5% ที่เพิ่มรายได้ 5 เท่า ลดต้นทุน 3 เท่า จากการนำ **AI** มาใช้ [Advertorial] 2

 

“บริษัทที่ล้มเหลวจำนวนมากมักจะคิดกลับด้าน คือมุ่งไปที่เครื่องมือก่อนแล้วบังคับให้คนใช้ ทำให้เกิดปัญหาในการปฎิบัติงานมูลค่าก็ไม่เกิด”

 

เขาเน้นย้ำว่า ‘ผู้นำ’ คือหัวใจของการสร้างคุณค่าจากการใช้ AI ในองค์กร โดยยกตัวอย่างกรณีของ Foxconn ที่ประธานบริษัทเป็นผู้กำหนดเป้าหมายด้าน AI อย่างชัดเจน และมุ่งโฟกัสที่ Use Case ที่สร้างผลลัพธ์จริง ทำให้ธุรกิจเห็นผลต่อเนื่อง ตรงกันข้ามกับบางองค์กรที่ยังติดหล่ม ลงทุนกับ AI มากแต่ไม่เกิดมูลค่า เพราะปล่อยให้แต่ละแผนกกำหนดทิศทางและเลือกเครื่องมือกันเอง จนทรัพยากรกระจัดกระจายไปอยู่กับโครงการย่อยที่ไม่เชื่อมโยงกันและไม่ก่อให้เกิดภาพรวมที่ชัดเจน

 

“สิ่งต่อมาคือ ต้องคิดแบบ AI First ตอนนี้หลายบริษัทเริ่มใช้ AI Agent ซึ่งเป็นระบบที่ผสานความสามารถด้านการคาดการณ์และการสร้างสรรค์ ทำให้ AI มีเหตุผล เรียนรู้ได้ และลงมือทำได้เองโดยแทบไม่ต้องพึ่งมนุษย์ ยกตัวอย่าง กระบวนการกู้เงิน ที่มีคนอยู่ในกระบวนการ เมื่อก่อนอาจใช้เวลา 3-5 วัน แต่ถ้าใช้ AI agent อาจลดเวลาการทำงานเหลือไม่กี่ชั่วโมง แล้วโยกคนไปดูเรื่องการกำหนดกฎเกณฑ์ในการคัดกรองคนเพื่อบอก AI Agent ว่าคนแบบไหนควรหรือไม่ควรอนุมัติ”

 

“ถ้าบริษัทไหนคิดเรื่องการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานใหม่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ดีขึ้นแบบ Ai Frist แล้วค่อยคิดว่าจะเอา AI Agent หรือเครื่องมือไหนมาประกอบ จากผลการศึกษาพบว่าบริษัทจะไปได้ค่อนข้างไกลและได้เม็ดเงินกลับมาชัดเจนกว่า”

 

ข้อผิดพลาดที่หลายคนมองข้ามคือ ‘การไม่โฟกัส’ อิษฎา บอกว่า หลายเคสที่เจอส่วนใหญ่บริษัทโฟกัสไปที่การทำ AI Transformation ต้องมี AI Road Map บางแห่งมีกว่า 80 Use Case ที่จะเอา AI มาใช้ เขาบอกว่านี่คือปัญหาหลัก

 

“บางบริษัทไม่มีโฟกัส หรือไม่ก็โฟกัสผิดจุด ตัวอย่างที่ดีคือ Foxconn หรือ Rio Tinto เขามีเพียง 5-6 Use Case ในการเริ่ม เขาเลือกโฟกัสจุดที่สำคัญจริง ๆ ไม่ได้หว่านแห อย่าลืมว่าทุกวันนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนไว คุณเลือกลงทุนวันนี้ปีหน้าอาจจะเปลี่ยนก็ได้ อย่าไปโฟกัสที่เครื่องมือก่อน ต้องโฟกัสที่เป้าหมาย เพื่อที่จะได้เห็นว่าเราจะปลี่ยนแปลงกระบวนการ วิธีการทำงานอะไรเพื่อให้ได้ประโยชน์ที่แท้จริง”

 

BCG กับบทบาทของที่ปรึกษาระดับโลก

 

สำหรับบริษัทที่ยังหลงทาง อิษฎา บอกว่า BCG จะเริ่มจากการเข้าไปช่วย CEO เพื่อระบุและชี้ชัดว่าอะไรคือสิ่งที่เขาควรจะโฟกัส แล้วค่อยช่วย Reimagine Process หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จากนั้นถึงจะระบุเครื่องมืออะไรที่เหมาะ มี Use Case และ AI อะไรบ้างที่จะช่วยได้

 

“เราก็มีทีม BCGX มาช่วยสร้างและพัฒนา Technology แล้วก็เข้าไป implement รวมถึงช่วยให้บุคลากรนำเครื่องมือเหล่านี้ไปใช้ไปจนถึงติดตามผลลัพธ์”

 

เขายกตัวอย่าง L’Oréal ที่ใช้ AI มา Reimagine Process ในส่วนของ Sales and Marketing ซึ่งเป็นแกนหลักของธุรกิจที่สร้างผลกำไรที่แท้จริง โดยใช้ AI ช่วยสร้างคุณค่าให้ลูกค้า ด้วยการเปลี่ยนวิธีการซื้อเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว โดยมุ่งเน้นการแก้ไข Pain Point ของลูกค้าที่ไม่มีเวลา หรือคนรุ่นใหม่ที่ไม่ชอบคุยกับพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ไปจนถึงข้อจำกัดในการเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยวิเคราะห์และแนะนำปัญหาผิว

 

เจาะลึกรายงาน ‘The Widening AI Value Gap’ จาก **BCG** ทำไมมีองค์กรแค่ 5% ที่เพิ่มรายได้ 5 เท่า ลดต้นทุน 3 เท่า จากการนำ **AI** มาใช้ [Advertorial] 3

 

“L’Oréal สร้างแอปพลิเคชัน Beauty Genius มาช่วยวิเคราะห์สภาพผิวลูกค้าแบบเรียลไทม์พร้อมแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และยังทำให้การซื้อสินค้าสะดวก รวดเร็ว เพราะสามารถคลิกเลือกสินค้า ชำระเงิน จากนั้นรอรับสินค้าที่บ้านได้เลย นี่คือตัวอย่างของธุรกิจที่เริ่มต้นจาก Pain Point แล้วค่อยจินตนาการว่า AI จะมาช่วยอะไรได้บ้าง”

 

อิษฎา ยกตัวอย่างการนำ AI มาใช้ในโรงกลั่นน้ำมัน สะท้อนถึงการสร้างมูลค่าจากการปรับปรุงกระบวนการทำงาน จากเดิมทีมวิศวกรและทีมงานที่อยู่ในห้องควบคุมจะทำหน้าที่กำหนดอุณหภูมิและความดันที่เหมาะสม แม้จะสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพในระดับที่ยอมรับได้ แต่เป็นเรื่องยากที่จะรู้ว่าจุดใดคือจุดที่สร้างมูลค่าสูงสุด หรือจุดที่ประหยัดต้นทุนที่สุด

 

BCG ได้พัฒนาเครื่องมือ AI ซึ่งปัจจุบันมีโรงกลั่นกว่า 100 แห่งทั่วโลกนำไปใช้ เครื่องมือดังกล่าวจะช่วยให้เห็นผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ เช่น การ Operate ที่ 102 องศา จะทำให้เงินเพิ่มขึ้นหรือทำให้บริษัทสูญเสียเงินเป็นจำนวนกี่เหรียญ โดย AI จะทำหน้าที่ปรับระดับที่เหมาะสมที่สุดตลอดเวลา

 

“การติดตั้งเครื่องมือให้ Value แค่ 10% แต่สิ่งสำคัญคือการเปลี่ยนวิธีคิดและกระบวนการทำงานซึ่งเป็น 70% ของ Value”

 

AI Optimization ไม่ได้จำกัดแค่เรื่องการสร้างผลกำไรทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังขยายขีดความสามารถให้ครอบคลุมเรื่อง ESG ได้ เขายกตัวอย่างการนำเครื่องมือ AI ไปใช้ในโรงกลั่นน้ำมัน สามารถบริหารจัดการเพื่อให้เกิดการปล่อยก๊าซให้น้อยที่สุด ช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมาย ESG และสร้างข้อได้เปรียบในการส่งออกในยังยุโรปที่มีกฎระเบียบภาษี CBAM

 

“หลายบริษัทต้องคิดเรื่อง ESG และ AI ควบคู่กัน จะทำอย่างไรให้ AI ไปช่วยเรื่อง ESG ปัจจุบันบริษัทที่ทำซอฟต์แวร์ด้าน Carbon Accounting กำลังนำ AI มาเพิ่มความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล จากเมื่อก่อน Carbon Accounting ทำหน้าที่เพียงบันทึกข้อมูลว่าปล่อยคาร์บอนเท่าไร มาจากกิจกรรมไหนบ้าง แต่ปัจจุบัน AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกพร้อมแนะแนวทางแก้ไขได้เลย”

 

เจาะลึกรายงาน ‘The Widening AI Value Gap’ จาก **BCG** ทำไมมีองค์กรแค่ 5% ที่เพิ่มรายได้ 5 เท่า ลดต้นทุน 3 เท่า จากการนำ **AI** มาใช้ [Advertorial] 4

 

ก้าวข้ามขีดจำกัด AI บนโจทย์ความท้าทายด้านกฎหมาย

 

ความท้าทายในการนำ AI ไปใช้ให้เกิดประโยชน์จริง ยังอยู่ที่กฎหมายและนโยบายภาครัฐ ที่มีส่วนให้เทคโนโลยีเกิดยากหรือไปได้ไม่สุด

 

อิษฏายกตัวอย่าง Self-Driving Car ที่ประเทศอังกฤษ หากเกิดกรณีที่ขับไปชนคน คำถามคือ ใครคือผู้รับผิดชอบ ระหว่าง เจ้าของรถ คนที่นั่งในรถ บริษัทผลิตรถยนต์ หรือบริษัทที่ผลิต AI ปัจจุบันมีกฎหมาย ‘Automated Vehicles Act 2024’ กำหนดความรับผิดชอบสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นขณะรถอยู่ในโหมดขับเคลื่อนอัตโนมัติอยู่ที่บริษัท AI เพราะ AI คือสมองกลที่ตัดสินใจ

 

“จะเห็นว่าหากเราสามารถปลดล็อกกฎเกณฑ์เหล่านี้ได้ อาจเห็นเทคโนโลยีอีกมากมายเกิดขึ้น เช่น Self-Driving Taxi ที่สามารถทำงานได้ 24 ชั่วโมง ลดการสูญเสียทรัพยากรและอาจทำให้รถติดน้อยลง เพราะในอนาคตธุรกิจอาจต้องแข่งกันที่วิธีคิดว่าจะเอา AI มาใช้ในธุรกิจอย่างไรให้เกิด Value สูงสุด ใครที่คิดได้ก่อนจะไปได้ไกลและเร็วกว่าคู่แข่ง”

 

“ส่วนตัวอยากฝากถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้โฟกัสเรื่องของกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยี หรือสร้างแซนด์บ็อกซ์เพิ่มเติมเพื่อให้มีพื้นที่ให้การทดลองและพัฒนาเทคโนโลยีให้เกิดขึ้นจริง ยิ่งถ้าสิ่งนั้นมันช่วยตอบโจทย์ผู้บริโภค ตอบโจทย์พนักงาน ตอบโจทย์ผู้ถือหุ้น มันก็จะเกิด Value กับทุกภาคส่วนในท้ายที่สุด” อิษฏา กล่าวทิ้งท้าย

The post เจาะลึกรายงาน ‘The Widening AI Value Gap’ จาก BCG ทำไมมีองค์กรแค่ 5% ที่เพิ่มรายได้ 5 เท่า ลดต้นทุน 3 เท่าจากการนำ AI มาใช้ [PR NEWS] appeared first on THE STANDARD.

]]>