ARK – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sat, 22 Jul 2023 03:54:18 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ‘เคธี วูด’ เทขายหุ้นจีนในพอร์ตกองทุนเรือธงของ ARK จนเกลี้ยง หลังเศรษฐกิจแดนมังกรส่งสัญญาณชะลอตัวชัด https://thestandard.co/cathie-wood-innovation-fund-has-completely-exited-china/ Sat, 22 Jul 2023 03:54:18 +0000 https://thestandard.co/?p=820486 เคธี วูด

เคธี วูด ซีอีโอและผู้ก่อตั้งกองทุนด้านนวัตกรรมชื่อดัง A […]

The post ‘เคธี วูด’ เทขายหุ้นจีนในพอร์ตกองทุนเรือธงของ ARK จนเกลี้ยง หลังเศรษฐกิจแดนมังกรส่งสัญญาณชะลอตัวชัด appeared first on THE STANDARD.

]]>
เคธี วูด

เคธี วูด ซีอีโอและผู้ก่อตั้งกองทุนด้านนวัตกรรมชื่อดัง ARK Investment ออกมาเปิดเผยว่า เธอได้ลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นจีนในพอร์ตของ ARK Innovation ETF (ARKK) ลงมาเหลือศูนย์แล้ว หลังจากเศรษฐกิจของแดนมังกรมีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยหันมาโฟกัสการลงทุนไปในหุ้นที่เธอมองว่ายังมีศักยภาพในการเติบโต เช่น Tesla, Coinbase, Roku และ Zoom แทน

 

“ในช่วงที่ตลาดอยู่ในภาวะหมี เราจะให้ความสำคัญกับการลงทุนในธุรกิจที่มีความแข็งแกร่งและเรามั่นใจในศักยภาพก่อน จากการพิจารณาหุ้นในพอร์ตของเราทีละตัว ในที่สุดเราก็เลือกที่จะถอนการลงทุนจากหุ้นจีนทั้งหมด” วูดระบุ

 

ย้อนกลับไปในช่วงปี 2020 ARK Investment เคยมีสัดส่วนหุ้นจีน เช่น Tencent และ KE Holdings รวมถึงหุ้นในประเทศตลาดเกิดใหม่อื่นๆ สูงถึง 25% แต่จุดยืนของวูดก็เริ่มเปลี่ยนไปหลังจากรัฐบาลจีนออกนโยบายที่มุ่งเป้าโจมตีกลุ่มมหาเศรษฐีในประเทศและอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

 

นอกจากนี้ วูดยังแสดงความกังวลถึงปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน รวมถึงปัญหาหนี้จำนวนมหาศาลของรัฐบาลท้องถิ่นซึ่งเป็นผลมาจากการเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

 

“GDP จีนเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักติดต่อกันมาถึง 15 ปี การเติบโตดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการก่อหนี้จำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ และผลลัพธ์ของมันกำลังปรากฏชัดเจนขึ้น” วูดกล่าว

 

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันกองทุน ARK Fintech Innovation ETF (ARKF) ของเธอยังคงถือหุ้นในบริษัทอีคอมเมิร์ซชื่อดังของจีนอย่าง JD.com แม้จะมีการเทขายหุ้น Pinduoduo และ Tencent ออกไปแล้วก็ตาม

 

วูดระบุว่า ในอนาคตเมื่อตลาดเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะกระทิงรอบใหม่ เธออาจพิจารณากลับเข้ามาลงทุนในหุ้นที่มีความเชื่อมโยงกับจีนอีกครั้ง เพราะกลยุทธ์การลงทุนของเธอในภาวะกระทิงคือกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ต่างๆ ให้มาก

 

กองทุน ARKK ของวูดประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในปีนี้ โดยสามารถพลิกกลับมาสร้างการเติบโตได้มากกว่า 50% หลังจากที่ต้องเผชิญกับผลขาดทุนที่สูงลิ่วในช่วงก่อนหน้านี้ โดยปัจจุบันกองทุน ARKK มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารอยู่เฉียด 9 พันล้านดอลลาร์ 

 

อ้างอิง:

The post ‘เคธี วูด’ เทขายหุ้นจีนในพอร์ตกองทุนเรือธงของ ARK จนเกลี้ยง หลังเศรษฐกิจแดนมังกรส่งสัญญาณชะลอตัวชัด appeared first on THE STANDARD.

]]>
กองทุนเรือธงของ เคธี วูด อย่าง ARKK รับค่าธรรมเนียมกว่า 300 ล้านดอลลาร์ แม้สร้างผลขาดทุนหนัก https://thestandard.co/arkk-over-300m-fees/ Fri, 10 Mar 2023 09:23:33 +0000 https://thestandard.co/?p=761127 เอลิซาเบธ แคชเนอร์

ARK Investment Management บริษัทบริหารจัดการเงินทุนภายใ […]

The post กองทุนเรือธงของ เคธี วูด อย่าง ARKK รับค่าธรรมเนียมกว่า 300 ล้านดอลลาร์ แม้สร้างผลขาดทุนหนัก appeared first on THE STANDARD.

]]>
เอลิซาเบธ แคชเนอร์

ARK Investment Management บริษัทบริหารจัดการเงินทุนภายใต้การบริหารงานของ เคธี วูด ได้รับเงินค่าธรรมเนียมจากกองทุนหลักอย่าง ARK Disruptive Innovation ETF (ARKK) คิดเป็นมูลค่ากว่า 300 ล้านดอลลาร์ หลังจากที่เริ่มก่อตั้งขึ้นมาเมื่อ 9 ปีก่อน ขณะเดียวกันกองทุนดังกล่าวได้ทำให้เงินสดของนักลงทุนหายไปเกือบ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกัน 

 

ข้อมูลจาก FactSet ระบุว่า กองทุน ARK ได้รับเงินค่าธรรมเนียมกว่า 70% ของจำนวน 310 ล้านดอลลาร์นับแต่ที่มูลค่าของกองทุนดิ่งลง 3 ใน 4 จากจุดสูงสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2021 และในปีนี้บริษัทได้รับเงินค่าธรรมเนียมประมาณ 2.3 แสนดอลลาร์ต่อวัน ท่ามกลางการฟื้นตัวเล็กน้อยของกองทุน ARKK 

 

เอลิซาเบธ แคชเนอร์ ผู้อำนวยการฝ่าย Global Funds ของ FactSet กล่าวว่า “เงินค่าธรรมเนียมช่วยให้ ARK และ เคธี วูด อยู่ได้อย่างสบาย ขณะที่นักลงทุนที่ลงเงินกับกองทุนไม่ได้โชคดีนัก” 

 

ที่ผ่านมากองทุน ARKK เน้นลงทุนในบริษัทที่ค่อนข้างผันผวนสูง โดยกองทุนมองว่าบริษัทเหล่านี้จะเข้ามาเปลี่ยนโลกในอนาคตทางด้านเทคโนโลยี โรโบติก ไบโอเทคโนโลยี และการสำรวจอวกาศ

 

ในช่วงสองสัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ 2021 เงินทุนไหลเข้ากองทุน ARKK กว่า 3 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่หน่วยลงทุนของกองทุนเพิ่มขึ้น 700% นับแต่เปิดตัว และทำให้สินทรัพย์ภายใต้การบริหารของกองทุนพุ่งขึ้นถึงระดับ 2.79 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่หลังจากที่อัตราดอกเบี้ยกลับกลายเป็นขาขึ้น กดให้ราคาหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลกดิ่งลง ส่งผลให้สินทรัพย์ของกองทุน ARKK ลงมาอยู่ที่ 7.6 พันล้านดอลลาร์ 

 

ขณะที่ค่าธรรมเนียมของกองทุน ARKK ค่อนข้างแพงกว่าอุตสาหกรรมอย่างเห็นได้ชัดที่ระดับ 0.75% ของสินทรัพย์ มากกว่ากองทุน ETFs ประเภท Active กองอื่นๆ ราวเท่าตัว 

 

ข้อมูลจาก Morningstar ระบุว่า กระแสเงินลงทุนยังคงไหลเข้าสู่กองทุน ARKK แม้ว่ากองทุนจะขาดทุนไปกว่า 9.5 พันล้านดอลลาร์ 

 

เบน จอห์นสัน หัวหน้าฝ่าย Client Solutions ของ Morningstar กล่าวว่า นักลงทุนจำนวนมากที่ขาดทุนอย่างหนักอาจไม่ต้องการถอนเงินลงทุนของพวกเขา “มันเป็นรูปแบบของการที่นักลงทุนติดกับดัก พวกเขายังคงยึดติดกับต้นทุนที่เข้าลงทุนและหวังว่าราคาจะฟื้นกลับขึ้นมาได้” 

 

นับแต่ที่กองทุน ARKK จัดตั้งขึ้นมา นักลงทุนต้องขาดทุนเกือบ 27% หากวัดผลตอบแทนแบบ Dollar-Weighted Returns หมายความว่า ทุกๆ 1 ดอลลาร์ที่ลงทุนในกองทุนมีมูลค่าเหลือเพียง 0.73 ดอลลาร์ อิงจากข้อมูลของ FactSet ส่วนนักลงทุนที่ซื้อที่จุดสูงสุดจะขาดทุนกว่า 74% 

 

ขณะที่กองทุนไทย เช่น กองทุนเปิดฟิลลิปเวิลด์อินโนเวชั่น (PWIN) ซึ่งเคยลงทุนในกองทุน ARKK สัดส่วน 50% ของพอร์ต ล่าสุดกองทุนปรับกลยุทธ์กระจายพอร์ตการลงทุนมากขึ้น โดยกระจายเงินลงทุนไปในหลายกองทุน เช่น Fidelity MSCI Innovation Tech ETF 15.47%, VanEck Pharmaceutical ETF 15.32%, First Trust NASDAQ Cybersecurity ETF 10.53%, iShare US Broker-Dealers&Secs Exchs ETF 10.45% เป็นต้น 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


อ้างอิง:

The post กองทุนเรือธงของ เคธี วูด อย่าง ARKK รับค่าธรรมเนียมกว่า 300 ล้านดอลลาร์ แม้สร้างผลขาดทุนหนัก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่องกองทุน ARK ผลตอบแทนร่วงหนัก หลังเผชิญพิษเงินเฟ้อพุ่ง ดอกเบี้ยขึ้น กูรูแนะถือลงทุนยาว 3 ปี https://thestandard.co/ark-innovation-etf/ Sun, 05 Dec 2021 03:27:37 +0000 https://thestandard.co/?p=567944 กองทุน ARK

ย้อนกลับไปช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กองทุน ARK Innovation ETF […]

The post ส่องกองทุน ARK ผลตอบแทนร่วงหนัก หลังเผชิญพิษเงินเฟ้อพุ่ง ดอกเบี้ยขึ้น กูรูแนะถือลงทุนยาว 3 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
กองทุน ARK

ย้อนกลับไปช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กองทุน ARK Innovation ETF ถือเป็นอีกหนึ่งเมกะเทรนด์ที่เป็นดาวรุ่ง และสร้างสีสันให้กับวงการการลงทุนไม่น้อย เพราะนอกจากจะเป็นธีมการลงทุนที่ชัดเจนในหุ้นนวัตกรรมทั่วโลกแล้ว ผลตอบแทนยังดีที่สุดในโลกอีกด้วย 

 

แต่เมื่อเกิดวิกฤตเงินเฟ้อสหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซงอย่างรุนแรง บวกกับ Fed มีการส่งสัญญาณเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผลตอบแทนกองทุนติดลบหนักสุด ซึ่งหากดูความเคลื่อนไหวของกองทุนดังกล่าวที่ Bloomberg ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2564 มาจนถึง ณ ปัจจุบัน ลงมาอยู่ในกรอบราว 98-110 จุด จึงเกิดคำถามขึ้นว่า กองทุนนี้เริ่มหมดเสน่ห์ และขาดความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนไปแล้วหรือไม่

 

บดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย (TMBAM Eastspring) ให้ข้อมูลกับทีมข่าว THE STANDARD WEALTH ว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผลตอบแทนของกองทุน ARK ในช่วงนี้เกิดจากปัญหาเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น บวกกับค่าแรงและต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นั่นแปลว่า ยอดขายเติบโต แต่กำไรติดลบ 

 

ซึ่งหากย้อนไปดูยอดขายของกองทุน ARK ในไตรมาสล่าสุดที่มีการประกาศออกมา พบว่า ARK ยังมียอดขายเติบโต ทั้งกองค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 40% แต่ผลตอบแทนติดลบ เพราะบริษัทที่ ARK เข้าไปลงทุนส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่กำลังมีการขยายธุรกิจ จึงยังทำให้ไม่คัฟเวอร์ต้นทุนทั้งหมดได้ และหากย้อนกลับไปดูผลตอบแทนช่วง 6 เดือน จนถึง ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2564 และจากรายงานของ Bloomberg และ Yahoo Finance จะเห็นว่า ARK ลงไปทดสอบอยู่ระดับความเคลื่อนไหวในกรอบ 98-120 จุดเท่านั้น ซึ่งถือว่าวิ่งอยู่ในกรอบ Sideway จึงส่งผลให้เกิดปัญหาความกังวลต่อการลงทุนได้

 

อย่างไรก็ตาม กองทุน ARK ยังดูน่าสนใจ ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพที่ชัดมากยิ่งขึ้น เทียบกับเหตุการณ์ในอดีตอย่างบริษัท เทสล่า มอเตอร์ ซึ่งถือว่ามีแพตเทิร์นเดียวกัน คือ Tesla ยอดขายเติบโต แต่กำไรเพิ่งจะมีได้ประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา แต่ราคาหุ้นก็ขึ้นมาล่วงหน้าแล้ว 6-7 ปี 

 

ARK จึงมีแพตเทิร์นคล้ายกับ Tesla ยอดขายเติบโตแต่ไม่มีกำไร แต่ความน่าสนใจอยู่ตรงที่จำนวนหน่วย ARK แม้ราคาจะตกลงมาตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่จำนวนหน่วยลงทุนมีเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จากนักลงทุนทั่วโลกที่ทยอยซื้อเพิ่ม นั่นเอง

การคาดหวังจะได้ผลตอบแทนจากกอง ARK ในระดับ 40-50% เหมือนในช่วงแรกๆ อาจจะเป็นไปได้ยาก แต่ผลตอบแทนในระดับ Double Digit ต่อปียังมีโอกาสขึ้นด้วยเลข 1 และเลข 2 เนื่องจาก ARK เป็นกองทุนที่มีค่าเบต้าที่สามารถวัดผลตอบแทนได้ เช่น ถ้าตลาดหุ้นบวกไป 1 ARK ก็จะบวกมากกว่าตลาดประมาณถึง 2 เท่า หรือถ้าตลาดหุ้นลงไป 1 ARK ก็จะลงมากกว่าตลาด 2 เท่าเช่นกัน เพราะฉะนั้นถ้าหากตลาดเป็นขาขึ้น ตัว ARK ก็จะมีโอกาสปรับขึ้นแรงๆ ด้วยเช่นกัน 

 

“ปีนี้ ARK ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะตั้งแต่ต้นปีมีเซกเตอร์โลเคชัน อย่างกลุ่มพลังงาน กลุ่มแบงก์ ที่วิ่งได้ดีในไตรมาสแรก เพราะว่า PE ของ ARK แพง และปีที่แล้วกำไร 100% นักลงทุนจึงเริ่มมีการขายออกมา ไม่ใช่ว่าหมดเสน่ห์ลงไป แต่นักลงทุนขายออกไป และไปเล่นกลุ่มที่ถูกอยู่ เช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคารแทน ซึ่งจะเห็นได้ว่าครึ่งปีแรกจะเกิดเซกเตอร์โลเคชัน กลุ่มแบงก์ขึ้นมาแรงมาก แต่หลังจากนั้น ARK อยู่ในลักษณะ Sideway ที่วิ่งอยู่ในกรอบ คาดว่าผลตอบแทนจะกลับมาดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2565”

 

นอกจากนี้ หากย้อนกลับไปดูช่วงวันที่ 1 ธันวาคม 2564 นักลงทุนอาจเกิดความตื่นตระหนกที่ ARK ร่วงลงแรง แต่อยากให้นักลงทุนได้ย้อนกลับไปดูต่อในช่วงวันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 ที่ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบจากข่าวโอไมครอน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตกลงไป 2% ยุโรป 3% แต่กองทุน ARK ตกลงมาแค่ 0.2% เท่านั้น นั่นหมายความว่า ARK ไม่ได้กังวล ไม่ได้มีความตกใจจากโอไมครอนมากนัก 

 

ส่วนการปรับพอร์ตของนักลงทุนนั้น แนะนำว่าหากนักลุงท่านใดมีกองทุนนี้อยู่แล้ว และขาดทุนอยู่ประมาณ 20-30% วันนี้ถ้า Cut Loss ผมมองว่ามันสายเกินไป แต่อยากให้รอดูสถานการณ์ไปก่อน เพราะว่าพื้นฐาน ARK ไม่ได้แย่ แต่เกิดจากความแพนิกของตลาดเท่านั้น จึงไม่อยากให้นักลงทุนเล่นกับอารมณ์ของตลาด เพราะปรัชญาการลงทุนของ ARK คือการถือครองระยะยาว 3 ปีขึ้นไป โดยไม่สนใจข่าวในระยะสั้น 

 

ส่วนนักลงทุนที่กำลังจะเข้ามาลงทุน แนะนำว่าควรแบ่งไม้ลง สมมติว่าลงทุน 10% อาจจะแบ่งไม้ลงทุนรอบละ 3 ไม้ เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิด Technical Rebound เมื่อไร และนักลงทุนที่สนใจในกองทุน ARK อยากให้ประเมินความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเองให้ได้ก่อน ถ้าคิดว่าสามารถรับความเสี่ยงได้ควรมีในพอร์ตไม่เกิน 5-7% 

 

ด้าน มนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (LH Fund) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับ THE STANDARD WEALTH ว่า กองทุน ARK เป็นการลงทุนระยะยาวที่นักลงทุนต้องมีความเชื่อมั่นต่อธุรกิจที่ ARK เข้าไปลงทุน เพราะส่วนใหญ่แล้วเป็นธุรกิจเทคโนโลยีสู่โลกอนาคตเกือบทั้งหมด ซึ่งเมื่อเวลาที่ดอกเบี้ยขึ้นจะมีปัญหาเกือบหมด บวกกับปัญหาเงินเฟ้อขึ้นก็จะได้รับผลกระทบตามมา 

 

ทั้งนี้ กองทุนเปิด แอล เอช อินโนเวชั่น ชนิดสะสมมูลค่า (LHINNO-A) ที่เปิดไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาก็ถือว่าได้รับผลกระทบเช่นกัน เพราะกองทุนดังกล่าวมีนโยบายการลงทุนในนวัตกรรมเปลี่ยนโลก ผ่านกองทุน ETF 3 กองทุน ได้แก่ ARK Innovation ETF, ARK Genomic ETF และ Invesco WilderHill Clean Energy ETF โดยมี 3 Class ให้นักลงทุนเลือกลงทุนได้ตามความเหมาะสม ได้แก่ Class A (ชนิดสะสมมูลค่า) Class D (ชนิดจ่ายเงินปันผล) และ Class E (ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์) โดยในปีหน้าจะมีการปรับพอร์ตให้มี ESG เข้าไปด้วย

 

แต่อย่างไรก็ตาม การลงทุนในกองทุน ARK ควรเป็นการลงทุนระยะยาว 3 ปีขึ้นไป จึงอยากให้นักลงทุนอดทนรอเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ดี ซึ่งนักลงทุนอาจตกใจ และเกิดความกังวลบ้างในช่วงที่ตลาดหุ้นตกแรงเมื่อช่วงวันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2564 เนื่องจาก Fed ออกมาตอกย้ำเรื่องของการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และเงินเฟ้อที่มาควบคู่กัน และคาดว่าปัญหาเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระยะยาว จึงเกิดปัญหาทำให้เกิดแรงกดดันต่อการลงทุนได้ 

 

“การลงทุนในระยะยาว สำหรับผมแนะนำว่า ควรลงทุนถือยาวอย่างน้อย 3 ปี เพราะเวลาที่เราเข้าไปซื้อกองทุน ARK ที่จะนำมาลงทุนในไทย จะมีการระบุในหนังสืออย่างชัดเจนว่า ควรถือครองประมาณ 3-5 ปี เพราะสิ่งที่กองทุน ARK เข้าไปลงทุนเป็นนวัตกรรมอนาคตทั้งสิ้น ที่ไม่สามารถเปลี่ยนข้ามเซกเตอร์การลงทุนได้ ซึ่งต่างจากกองทุนหุ้นญี่ปุ่น อินเดีย หรือสหรัฐฯ กองพวกนี้สามารถปรับเปลี่ยนการลงทุนได้หากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากระทบ”

 

ด้าน ชญานี จึงมานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด ระบุกับ THE STANDARD WEALTH ว่า กองทุน ARK Innovation (ARKK) มีผลตอบแทนราว -20% และ -11% ในช่วง 1 ปีและ 6 เดือนที่ผ่านมา ตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2564) หากนักลงทุนที่สนใจควรทราบว่า กองทุนนี้เป็นกองทุนที่มีความผันผวนสูง ลักษณะการลงทุนเป็นไปตามแนวคิดว่าเทคโนโลยีจะปฏิวัติอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลก ซึ่ง ARK Invest มักจะชอบหุ้นที่ผันผวนสูง หรืออาจยังไม่มีกำไรก็ได้ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยง Key-person Risk ซึ่งก็คือ Cathie Wood ที่มีผลต่อทิศทางกองทุนในอนาคต

 

กองทุนมีการลงทุนที่ค่อนข้างกระจุกตัว Top Holding 10 อันดับแรกจะอยู่ที่ 45-60% ของพอร์ต ซึ่งก่อนหน้านี้ในช่วงที่มีเงินเข้าลงทุนใน ARKK มากขึ้น ทำให้กองทุนมีความเสี่ยงเรื่องสภาพคล่องหุ้นที่ลงทุน และกระทบต่อผลตอบแทนในช่วงที่ผ่านมา 

 

ผลตอบแทนกองทุนนี้เริ่มหดตัวลงในช่วงเดือนมีนาคมที่ Bond Yield เริ่มขยับขึ้น และเกิดแรงขายหุ้นเทคโนโลยี โดยกองทุนนี้มีการลงทุนส่วนใหญ่ในหมวด Technology, Communication Services และ Healthcare ซึ่งส่วนใหญ่มีผลตอบแทนติดลบในปีนี้ ตัวอย่างหุ้นที่อยู่ใน Top Holding เช่น Teledoc, Zoom Video, Zillow Group, Exact Sciences โดยหุ้นเหล่านี้มีผลตอบแทนติดลบค่อนข้างมากในปีนี้ ซึ่งกระทบต่อผลตอบแทนกองทุนราว 8% (ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2564)

 

 

 

 

อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ปรับพุ่งขึ้น เป็นแรงกดดันให้ Fed ประกาศขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ บวกกับ Bond Yield อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้น การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก อย่าง Global REITs จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้ ทีมข่าว THE STANDARD WEALTH ได้จัด 10 อันดับที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดตั้งแต่ต้นปี

 

ทั้งนี้ ก่อนตัดสินใจลงทุน ผู้ลงทุนต้องใช้วิจารณญาณในการพิจารณาข้อมูลรายละเอียด เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน

The post ส่องกองทุน ARK ผลตอบแทนร่วงหนัก หลังเผชิญพิษเงินเฟ้อพุ่ง ดอกเบี้ยขึ้น กูรูแนะถือลงทุนยาว 3 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
บลจ.ไทยพาณิชย์ เปิดตัวกองทุนธีม ‘ARK Series’ เริ่มขาย 13-19 ส.ค. นี้ https://thestandard.co/ark-series-13-19-aug/ Fri, 13 Aug 2021 12:11:52 +0000 https://thestandard.co/?p=524917 ARK Series

ณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลั […]

The post บลจ.ไทยพาณิชย์ เปิดตัวกองทุนธีม ‘ARK Series’ เริ่มขาย 13-19 ส.ค. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ARK Series

ณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทยังคงมองเห็นโอกาสจากการลงทุนระยะยาวในกองทุน  ARK ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนสัญชาติอเมริกัน ที่เน้นลงทุนใน Disruptive Technology จากทั่วทุกมุมโลก 

 

ทั้งนี้ บริษัทเปิดให้นักลงทุนได้เลือกลงทุน 3 รูปแบบ ได้แก่ 1. ชนิดสะสมมูลค่า ที่เปิดให้ซื้อได้ในทุกช่องทาง รวมถึงผู้สนับสนุนการขายทุกราย อีกทั้งยกเว้นค่าธรรมเนียมการซื้อในช่วงเปิดเสนอขายครั้งแรก 2. ชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ในรูปแบบ e-class ซึ่งฟรีค่าธรรมเนียมการซื้อและการจัดการ โดยต้องลงทุนผ่าน SCBAM Fund Click เท่านั้น และ 3. ชนิดกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท ซึ่งกองทุนได้เปิดเสนอขายครั้งแรกพร้อมกันระหว่างวันที่ 13-19 สิงหาคม 2564

 

“กองทุน ARK เป็นกองทุน ETF ที่มุ่งลงทุนในกลุ่มบริษัทที่มีนวัตกรรมล้ำหน้า โดยจะเน้นลงทุนในบริษัทที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ หรือที่ได้รับผลประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ซึ่งหุ้นที่ลงทุนจะต้องมีโอกาสสร้างการเติบโตของกำไรได้ในระยะยาวและยั่งยืน ถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านผลการดำเนินงานของกองทุน ARK Invest จะมีการปรับตัวลงในช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่นับเป็นจังหวะดีที่จะได้สะสมกองทุนในราคาที่มีการปรับตัวลดลง เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนได้มากขึ้นในระยะยาว” ณรงค์ศักดิ์กล่าว  

 

สำหรับ SCBAM ARK Series ประกอบด้วย 5 กองทุน ได้แก่ 

 

1. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Innovation (SCB Innovation: SCBINNO) ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ ARK Innovation ETF (ARKK) เน้นลงทุนในธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ ในหลากหลายอุตสาหกรรม 

 

2. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Autonomous Technology & Robotics (SCB Autonomous Technology & Robotics: SCBAUTO) ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ ARK Autonomous Technology & Robotics ETF (ARKQ) มุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจด้านเทคโนโลยีการขนส่ง หุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติ 

 

3. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Next Generation Internet (SCB Next Generation Internet: SCBNEXT) ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ ARK Next Generation Internet ETF (ARKW) เน้นลงทุนในธุรกิจด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี   

 

4. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Genomic Revolution (SCB Genomic Revolution: SCBGENOME) ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ ARK Genomic Revolution ETF (ARKG) เน้นลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมสุขภาพและพันธุกรรมเพื่อโอกาสในการรักษาโรค  

 

5. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Fintech Innovation (SCB Fintech Innovation: SCBFINTECH) ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ ARK Fintech Innovation ETF (ARKF) มุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจด้านนวัตกรรมการเงิน 

 

โดยทั้ง 5 กองทุนนี้ลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุนหลักต่างๆ เน้นการบริหารพอร์ตลงทุนแบบ Active ผสานการวิเคราะห์ทั้งแบบ Top-Down เพื่อเฟ้นหาโอกาสในการลงทุนกับธุรกิจที่พร้อมเติบโตไปกับการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมและเทคโนโลยี และ Bottom-Up เพื่อวิเคราะห์หลักทรัพย์รายตัวเพื่อประเมินศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจ 

 

สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนหลักทั้ง 5 กองทุน คือ ARKK, ARKQ, ARKW, ARKG และ ARKF มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 86.6%, 84.2%, 84.3%, 79.1% และ 72.0% ตามลำดับ อิงข้อมูล ณ วันที่ 31 มิถุนายน 2564 จาก Morningstar Direct

The post บลจ.ไทยพาณิชย์ เปิดตัวกองทุนธีม ‘ARK Series’ เริ่มขาย 13-19 ส.ค. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผลงานกอง ARK ไตรมาสแรกเริ่มแผ่ว! กูรูแนะ ‘เลี่ยงลงทุน’ ในช่วงสั้น ขณะที่ Morningstar ไม่มั่นใจว่าผลงานจะยังโดดเด่นเหมือนอดีตหรือไม่ https://thestandard.co/ark-invest-1-2564/ Mon, 05 Apr 2021 15:11:43 +0000 https://thestandard.co/?p=472782 กอง ARK ไตรมาสแรก

ARK Invest เป็นหนึ่งในบริษัทจัดการกองทุนที่ร้อนแรงที่สุ […]

The post ผลงานกอง ARK ไตรมาสแรกเริ่มแผ่ว! กูรูแนะ ‘เลี่ยงลงทุน’ ในช่วงสั้น ขณะที่ Morningstar ไม่มั่นใจว่าผลงานจะยังโดดเด่นเหมือนอดีตหรือไม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
กอง ARK ไตรมาสแรก

ARK Invest เป็นหนึ่งในบริษัทจัดการกองทุนที่ร้อนแรงที่สุดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ในช่วงต้นปีนี้ บรรดากองทุน ETF ภายใต้การบริหารของ ARK เริ่มถูกเทขายออกมา พร้อมๆ กับแรงเทขายที่เกิดขึ้นกับหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลก ส่งผลให้ผลตอบแทนของกองทุนต่างๆ ภายใต้การบริหารของ ARK ในช่วงไตรมาสแรกค่อนข้างจะย่ำแย่กว่าที่ผ่านมาค่อนข้างมาก 

 

วิริยะชัย จิตตวัฒนรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่าย Investment Management บลจ.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) มองว่า จากนโยบายการลงทุนของ ARK ซึ่งมองว่าการเติบโตของหุ้นในกลุ่มเหล่านี้จะเป็นไปอย่างก้าวกระโดดในระยะยาว แต่ช่วงปีที่ผ่านมาราคาหุ้นเหล่านี้ปรับขึ้นมาค่อนข้างแรงและวิ่งนำพื้นฐานไปพอสมควร

 

“การพักฐานของกองทุน ARK หลังจากที่ราคาวิ่งขึ้นมาแรง จึงไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติที่จะเกิดขึ้น” 

 

อย่างไรก็ตาม กองทุน ARK มีโอกาสที่จะผันผวนมากในระยะสั้น ด้วยแรงกดดันจากการที่หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีถูกกดดันจากการเพิ่มขึ้นของบอนด์ยีลด์ ซึ่งกระทบต่อหุ้นที่มี P/E สูง และยังกดดันให้นักลงทุนจัดสรรเงินลงทุนไปยังหุ้นกลุ่ม Value มากขึ้น 

 

“จริงๆ แล้วพื้นฐานของหุ้นเทคโนโลยีเหล่านี้ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก สำหรับนักลงทุนที่เน้นลงทุนระยะยาว การย่อตัวในระดับ 10% มองว่าสามารถทยอยซื้อสะสมได้ เช่นเดียวกับนักลงทุนที่ยังคงถือครองอยู่ ที่อาจจะใช้จังหวะย่อตัวแรงในการเข้าสะสม” 

 

แต่สำหรับนักลงทุนที่เน้นจับจังหวะการลงทุน กองทุน ARK อาจจะมีความเสี่ยงค่อนข้างสูงด้วยความผันผวนที่มากขึ้น เพราะฉะนั้นแล้วนักลงทุนที่เน้นลงทุนระยะสั้นอาจจะสลับไปลงทุนในกองทุน ETF ที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มวัฏจักรซึ่งได้ประโยชน์จากการเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

 

ด้าน ประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการอาวุโสและนักกลยุทธ์การลงทุน บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ เปิดเผยว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กองทุน ETF ของ ARK เป็นหนึ่งใน ETF ที่ให้ผลตอบแทนดีมากที่สุดในโลก แต่การที่กองทุนถูกเทขายออกมาในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนถึงความเปราะบางที่มีอยู่เช่นกัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหุ้นหลักในพอร์ตของกองทุน อาทิ ARKK ซึ่งถือหุ้น Tesla อยู่ในระดับ 10% ทำให้กองทุนถูกกดดันเมื่อราคาหุ้น Tesla ปรับฐานลงมา หลังจากที่ถูกไล่ราคาขึ้นไปอย่างร้อนแรงก่อนหน้านี้ 

 

อย่างไรก็ตาม การที่กองทุนอย่าง ARKK รวมถึงกองทุนใหม่อย่าง ARKX สามารถระดมทุนได้กว่า 300 ล้านดอลลาร์ และ 700 ล้านดอลลาร์ ตามลำดับ ทำให้แรงกดดันของ ARK เริ่มเบาลง แต่การฟื้นตัวของกองทุน ARK อาจจะปรับฐานลงได้ต่ออีกในระยะถัดไป 

 

“แรงกดดันในระยะถัดไปของ ARK คือ ความเสี่ยงที่หุ้นเทคโนโลยีจะถูกขายทำกำไรได้อีก หลังจากที่บอนด์ยีลด์ปรับขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ผลประกอบการของ Tesla ก็มีแนวโน้มจะออกมายังไม่ดีนัก โดยรวมแล้วนักลงทุนจึงควรระมัดระวังการเข้าลงทุนในกองทุน ARK มากขึ้น โดยเฉพาะ ARKK ซึ่งหากราคาฟื้นตัวกลับขึ้นมา น่าจะเป็นจังหวะในการลดน้ำหนัก” 

 

กอง ARK ไตรมาสแรก

 

Morningstar ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้บริการข้อมูลและจัดอันดับเปรียบเทียบกองทุนรวม ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์กองทุน ETF ของ ARK เป็นครั้งแรก ซึ่งมีไฮไลต์สำคัญคือการเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงของ ARKK ซึ่งเป็น ETF ที่ใหญ่ที่สุดของ ARK มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ 

 

Robby Greengold นักวิเคราะห์ของ Morningstar ให้เรตติ้งของ ARKK ที่เพียง ‘Neutral’ แม้ว่ากองทุนดังกล่าวจะได้รับคะแนน 5 ดาวจาก Morningstar ด้วยผลงานในอดีตที่ผ่านมา 

 

Greengold มองว่า ด้วยองค์กรของ ARK ในปัจจุบัน ซึ่งมีผู้จัดการพอร์ตลงทุนเพียงคนเดียวคือ Cathie Wood ซีอีโอของ ARK ส่วนทีมงานที่มีก็ยังขาดประสบการณ์และขาดการควบคุมความเสี่ยงที่ดีเพียงพอ 

 

“ปัจจุบันทีมวิจัยและกระบวนการบริหารของ ARK มีลักษณะเด่นเพียงไม่กี่อย่างที่บ่งชี้ว่า ARKK จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนี Russel Mid Cap Growth บนความเสี่ยงที่เท่ากัน” 

 

ทั้งนี้ ARKK ตั้งเป้าที่จะสร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 15% ต่อปี สำหรับ 5 ปีข้างหน้า ด้วยการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวกับ AI, Blockchain, DNA Sequencing, Energy Storage และ Robotics ซึ่งเป็นอัตราผลตอบแทนที่มากกว่าดัชนี Russel ถึงเท่าตัว นับแต่ปี 2000 

 

“การมุ่งลงทุนในบริษัทที่เป็น Disruptive Innovators ถือเป็นสิ่งที่ดี และสามารถให้ผลตอบแทนสูงสำหรับนักลงทุนที่ Aggressive แต่ด้วยทีมนักวิเคราะห์ที่ยังขาดประสบการณ์ และควบคุมความเสี่ยงด้วยสัญชาตญาณ ในขณะที่ขนาดของกองทุนก็ใหญ่ขึ้นมาก ทำให้เกิดความไม่มั่นใจว่าผลงานที่เคยทำได้โดดเด่นในอดีตนั้นจะยังสามารถทำได้ต่อไปหรือไม่”

 

กอง ARK ไตรมาสแรก

 

 

ภาพประกอบ: เทียนจรัส วงศ์พิเศษกุล

The post ผลงานกอง ARK ไตรมาสแรกเริ่มแผ่ว! กูรูแนะ ‘เลี่ยงลงทุน’ ในช่วงสั้น ขณะที่ Morningstar ไม่มั่นใจว่าผลงานจะยังโดดเด่นเหมือนอดีตหรือไม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เหตุผลที่ควรถือหรือทิ้งการลงทุนแห่งอนาคตที่ปรับฐานลงมาแรงในช่วงนี้ https://thestandard.co/reasons-to-hold-or-discard-the-investment-of-the-future/ Tue, 09 Mar 2021 08:08:20 +0000 https://thestandard.co/?p=463020 หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี

ไม่ต้องอธิบายอะไรมากกับการลงทุนแนวอนาคต ไม่ว่าจะเป็น Te […]

The post เหตุผลที่ควรถือหรือทิ้งการลงทุนแห่งอนาคตที่ปรับฐานลงมาแรงในช่วงนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี

ไม่ต้องอธิบายอะไรมากกับการลงทุนแนวอนาคต ไม่ว่าจะเป็น Tesla, ARK หรือบิตคอยน์ที่ปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากวันที่ Tesla ประกาศนำบิตคอยน์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของงบการเงิน การลงทุนทั้งกลุ่มนี้ก็ร่วงลงไม่น้อยกว่า 25% ฉุดตลาดให้ปรับฐานตามไปด้วย

 

ผมให้เหตุผลที่เรา ‘ควรทิ้ง’ การลงทุนเหล่านี้ไปก่อน 

 

ข้อแรก เพราะการลงทุนเหล่านี้ติดลบ

 

ประเด็นนี้ควรเป็นเหตุผลหลักของคนที่ลงทุนแค่เพราะเห็นว่าราคาปรับตัวบวกขึ้นอย่างรวดเร็ว 

 

แม้ผลตอบแทนในอดีตจะไม่ได้ยืนยันว่าผลตอบแทนในอนาคตจะบวกหรือลบ แต่นักลงทุนต้องยอมรับว่าสถานการณ์ของตลาดการเงินช่วงนี้ ไม่เหมาะกับกลยุทธ์ Momentum

 

เพราะเมื่อตลาดอยู่ในช่วงเปลี่ยนจาก ‘ล็อกดาวน์’ เป็น ‘เปิดใหม่’ นักลงทุนสถาบันจะเปลี่ยนกลยุทธ์ไปเป็น Reversal ซื้อกลุ่ม Value หรือ Laggard รับการกลับมาเปิดทำการปกติของเศรษฐกิจ

 

และด้วยผลตอบแทนที่การลงทุนเหล่านี้ทำได้ก่อนหน้าที่ระดับบวกเกิน 100% ความเสี่ยงในการกลับตัวก็จะสูงกว่าการลงทุนธรรมดาทั่วไปอย่างมาก

 

ตัวอย่างเช่น เดือนตุลาคมปี 2019 ความหวังของอนาคตอย่างหุ้น Tesla ที่ปรับตัวบวกถึง 290% ก็เคยติดลบจากจุดสูงสุดได้หนักถึงกว่า 60% ในเวลาแค่ 20 วัน

 

หรือแม้จะเป็นบิตคอยน์ เราก็ไม่ควรลืมช่วงปี 2017 ที่ราคาปรับตัวขึ้นกว่า 700% ภายใน 5 เดือน แต่จบด้วยการติดลบกว่า 80% ในปีถัดมา และต้องรอถึงกว่า 2 ปีจากจุดต่ำสุดถึงจะฟื้นตัว 

 

ข้อสอง เพราะมีการลงทุนที่มีผลตอบแทนคาดหวังเพียงพอ แต่ระดับความเสี่ยงต่ำกว่ามาให้เลือกแล้ว

 

นี่คือเหตุผลหลักที่กลุ่ม Value ฟื้นตัว และทำให้เกิดการเปลี่ยนกลุ่มผู้นำ 

 

ประเด็นสนับสนุนมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นระดับ Valuation ที่ต่ำกว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีอัปไซด์มากขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ มองย้อนกลับไปสามครั้งล่าสุดของช่วง 100 วันแรกหลังเลือกตั้งที่มีการเปลี่ยนผู้นำสหรัฐฯ เราได้เห็นยีลด์ขาขึ้น และการฟื้นตัวของกลุ่ม Value เช่นนี้เสมอ 

 

ถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัวจริง นักเก็งกำไรจึงไม่ได้มีความจำเป็นต้องมุ่งหาความผันผวนสูงๆ เพื่อทำกำไรในระยะสั้นมากเหมือนแต่ก่อน

 

และข้อสาม ยังเร็วเกินไปสำหรับธุรกิจแห่งอนาคตเหล่านี้ 

 

บ่อยครั้งที่ความคาดหวังของนักลงทุนในตลาดนำธุรกิจจริงไปมาก

 

ตัวอย่างคือ การลงทุนตระกูล ARK Invest ที่ผมเคยเขียนถึงในช่วงเดือนมกราคมว่า ในเชิงพื้นฐาน Innovation มักลดความร้อนแรงลงเมื่อเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ช่วง ‘เติบโตปกติ’ และช่วงเติบโตปกติคือช่วงที่ยาวนานที่สุดในวัฏจักรการลงทุน 

 

Innovation อาจเป็นอนาคตก็จริง เช่นตัวอย่างที่ ARK มักหยิบยกขึ้นมาว่าลงทุนในบริษัท Amazon ในช่วงวิกฤตปี 2009 สุดท้ายก็กลายเป็นหนึ่งในการลงทุนที่ดีที่สุดในทศวรรษ แต่ที่จริงจะรอถึงปี 2015 ก็ยังไม่สายที่จะลงทุน ขณะที่นักลงทุนหลายท่านก็ไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะ ‘อยู่ยาว’ กับการลงทุนนี้มาตั้งแต่ต้น 

 

ดังนั้น ใครที่คิดว่าลงทุนไปเพราะแค่เห็นว่าการลงทุนนี้ปรับตัวขึ้น อยากเก็งกำไรสั้นๆ และไม่ได้สนใจจะลงทุนในธุรกิจอนาคตจริงๆ ก็ควร ‘ทิ้ง’ การลงทุนเหล่านี้ไป

 

แต่สำหรับคนที่อ่านแล้วไม่ถอดใจ เหตุผลที่จะ ‘อยู่ต่อ’ ก็ใช่ว่าจะไม่มี

 

ข้อแรก เพราะราคาปรับตัวลงมามากแล้ว และถ้าอนาคตมีการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อจะสามารถฟื้นตัวได้แรง

 

ความผันผวนของหุ้นโลกตอนนี้คือประมาณ 20% ต่อปี แต่การลงทุนเหล่านี้มีความผันผวนตั้งแต่ 40% ไปถึง 80% ในเชิงความเสี่ยงแน่นอนว่าดูสูงกว่าปกติ แต่นั่นก็คือเหตุผลที่การลงทุนนี้บวกมาได้อย่างมหาศาล และถ้าฟื้นตัวได้ก็จะแรงได้ในแบบเดียวกัน

 

ด้วยการปรับฐานล่าสุด แค่ให้การลงทุนเหล่านี้กลับไปที่จุดสูงสุดเดิมก็มีผลตอบแทนคาดหวังมากพอกับความเสี่ยงระดับหนึ่ง และด้วยความเป็นอนาคต เมื่อมีโฟลวใหม่เข้ามา ก็มักเป็นหนึ่งในการลงทุนที่ดึงดูดใจนักลงทุนใหม่ได้อยู่เสมอ เพราะง่ายต่อการทำความเข้าใจ 

 

ข้อสอง เพราะการลงทุนเหล่านี้ไม่ใช่สัดส่วนใหญ่ของพอร์ต และเรารับความเสี่ยงได้

 

เพราะที่จริงการลงทุนไม่ใช่การเก็งกำไร และเราไม่ได้จำเป็นต้องเก็งถูกไปหมด แต่แค่ต้องแบ่งสัดส่วนให้เหมาะสม 

 

มองในแง่ความสัมพันธ์กับตลาด เราไม่สามารถแยกการลงทุนแนว Innovation Technology หรือ Growth ออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด เช่น ดัชนี Nasdaq ก็มีความสัมพันธ์ (Correlation) กับทั้ง ARK และ Tesla เกิน 0.6 และการเติบโตของกำไรในตลาดระยะยาว ก็คาดว่าจะมาจากกลุ่มธุรกิจใหม่เหล่านี้ ไม่ใช่กลุ่ม Old Economy

 

ยิ่งถ้าเราอยากได้ผลตอบแทนที่ไม่ตามตลาด ในปัจจุบันก็หาคู่แข่งที่ดีกว่าบิตคอยน์ หรือหุ้น Innovation ยาก

 

ประเด็นที่แท้จริงจึงอาจไม่ได้อยู่ที่รูปแบบของการลงทุน แต่อยู่ที่การจัดสัดส่วนให้พอเหมาะ เพราะเราเห็นแล้วว่าตลาดรับความผันผวนมากไปกว่านี้ไม่ไหว ทางที่ดีจึงแค่ไม่ควรฝืน และทำความเข้าใจกับบทบาทของการลงทุนแต่ละชนิด

 

และข้อสุดท้าย เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าการลงทุนเหล่านี้คืออนาคต ไม่ใช่ปัจจุบัน

 

เพราะถ้าการลงทุนเหล่านี้คืออนาคตจริง ทั้งช่วงที่บวกแรงและช่วงที่ลบแรงที่ผ่านมา อาจเป็นแค่แรงกระเพื่อมของหยดน้ำกลางมหาสมุทร

 

ความผันผวนรอบนี้ทำให้เราเห็นแล้วว่า Noise ในตลาดการเงินที่เกิดขึ้นมีมากแค่ไหน 

 

แต่ยิ่งโฟลวเยอะ ผลกระทบก็จะแรงตามมา ทั้งในแง่ของราคาและความสนใจของสังคม ทำให้เกิดการถกเถียง วิจัย แข่งขัน เช่น บิตคอยน์ ถ้าราคาไม่ขึ้นมาถึงขนาดนี้ก็ยากที่นักลงทุนสถาบันทั่วโลกจะตื่นตัว ซึ่งในระยะยาวสถานการณ์เช่นนี้ยิ่งจะทำให้ Disruptive Innovation ทั้งหลายเกิดขึ้นเร็วขึ้นไปอีก

 

และนั่นก็คือมุมมองของผมเกี่ยวกับเหตุผลที่ควรถือหรือทิ้งการลงทุนแห่งอนาคตที่ปรับฐานลงมาแรง

 

ไม่มีนักลงทุนท่านไหนที่เคยเจอประสบการณ์ไวรัสระบาดทั่วโลก ล็อกดาวน์ กระตุ้นเศรษฐกิจ และกลับมาเปิดเมือง และคงไม่มีใครบอกได้ว่าหลังจากนี้การลงทุนแนวอนาคตจะรุ่งหรือร่วงกันแน่

 

ทางที่ดี จึงควรหมั่นสำรวจเหตุผลของการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้ความโลภหรือความกลัวกำหนดสัดส่วนการลงทุนของเรา คาดหวังกับการลงทุนอย่างมีเหตุผล และอย่าลืมคิดถึงวัตถุประสงค์และระยะเวลาในการลงทุนของตนเองด้วย

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

The post เหตุผลที่ควรถือหรือทิ้งการลงทุนแห่งอนาคตที่ปรับฐานลงมาแรงในช่วงนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>