ครั้งหนึ่งนักทำหนังท่านหนึ่งเคยบอกว่า สำหรับเขาแล้ว แม้เรื่องโกหกจะน่าเชื่อถือแค่ไหน แต่เขากลับคิดว่าเรื่องโกหกที่จริงที่สุดคือเรื่องที่สร้างมาจากชีวิตของตัวเอง เขาเชื่อว่ามีแต่เรื่องโกหกที่มาจากจิตใต้สำนึกของตัวเราเท่านั้นที่สามารถสร้างโลกทั้งใบให้เข้าไปหลบซ่อนจากความจริงที่แสนน่ากลัวได้ โลกที่เต็มไปด้วยคำโกหกนั้นเป็นสถานที่เดียวที่ปลอดภัยมากพอให้เราทำในสิ่งที่ไม่กล้าทำได้ สิ่งที่เราใคร่ครวญ สงสัย หรือตั้งคำถาม และมีแต่โลกที่ถูกสร้างขึ้นมาเท่านั้นที่เปิดโอกาสให้เราหยิบยืมโลกในรูปแบบต่างๆ มาอธิบายความจริงของชีวิตที่เราไม่สามารถเล่าออกมาได้ 

อาจไม่ต้องเกริ่นอะไรมาก Beau is Afraid ผลงานลำดับที่สามของ Ari Aster ก็ดูจะใช้วิธีการที่ละม้ายคล้ายคลึงแบบนั้น เรื่องราวของมันว่าด้วย Beau Wassermann (Joaquin Phoenix) หนุ่มใหญ่ที่ใช้ชีวิตอย่างทุลักทุเลท่ามกลางเมืองที่เต็มไปด้วยความรุนแรง ทุกวันเขามักจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดระแวงผู้คน จนวันหนึ่งเขาต้องเดินทางกลับไปเยี่ยมแม่ที่เมืองอันแสนห่างไกล และการเดินทางนั้นก็เป็นดั่งทริปนรกที่พาคนดูไปสำรวจถึงตัวตนและความกลัวที่ซุกซ่อนอยู่ภายในตัวของ Beau 

แน่นอนว่า Ari Aster ได้ทิ้งเงื่อนงำเอาไว้ให้กับคนดูตั้งแต่แรกเริ่มแล้วว่า นี่ไม่ใช่แค่การเดินทางกลับไปเยี่ยมแม่ที่มีความสัมพันธ์ระหองระแหงกับเขาเพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นการพาคนดูไปสำรวจล้วงลึกถึงสภาวะกึ่งจริงกึ่งฝันอันยุ่งเหยิงของตัวละครที่มีสาเหตุมาจากเรื่องราวในอดีต 

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อหนังดำเนินมาถึงจุดหนึ่ง พร้อมกับการเดินทางของ Beau ที่ดูจะออกจากครรลองของโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น หนังก็ได้เผยให้เห็นถึงปมความผิดบาปที่อยู่ในใจ และความคับแค้นที่ Beau พยายามจะปฏิเสธมาตลอดชีวิต ปมที่ว่าได้กลายเป็นเหมือนอาการป่วยไข้ที่ส่งผลต่อตัวเขาทั้งทางด้านกายภาพและจิตใจ ซึ่งมันแสดงให้เห็นผ่านการที่เขามักจะถามคนอื่นอยู่เสมอว่า ‘แท้จริงแล้วเขาควรทำอย่างไร?’

Hereditary (2018)

Midsommar (2019)

หากมองย้อนกลับไปยังผลงานก่อนหน้านั้นของ Ari Aster อย่าง Hereditary (2018) และ Midsommar (2019) เราอาจบอกได้ว่าเขามักมีวิธีการนำเสนอเรื่องราวสยองขวัญผ่านอาการป่วยไข้ของตัวละครที่สร้างความพะอืดพะอมชวนสำรอกให้กับคนดู พร้อมบรรยากาศความตลกพิลึกพิลั่นที่หลอกล่อความกลัวในจิตใจของผู้คนภายในเรื่องเหมือนกับลัทธิในรูปแบบหนึ่ง 

ในกรณีของ Beau is Afraid เราอาจมองได้ว่าอาการหวาดกลัวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับ Beau เป็นผลพวงที่มาจากเรื่องราวความสัมพันธ์ในอดีตระหว่างเขากับผู้เป็นแม่ สำหรับหนุ่มใหญ่แม่จึงเป็นทั้งบ่อเกิดแห่งความกลัวและเป็นเหมือนเรื่องเล่าที่คอยตามหลอกหลอนเขาตลอดการเดินทาง ฉะนั้นการจะอนุมานว่า ‘แม่’ ในหนังเรื่องนี้เปรียบเสมือนกับลัทธิในอีกรูปแบบหนึ่งก็คงจะไม่ผิดเสียทีเดียว และด้วยความที่ดูคับคล้ายกลายเป็นลัทธิ จุดเริ่มต้นไปจนถึงจุดจบของการเดินทางทั้งหมดที่เราเห็นก็อาจมีที่มาจากคำถามสั้นๆ เพียงแค่ข้อเดียวที่อยู่ในช่วงต้นเรื่องอย่าง ‘คุณอยากฆ่าแม่ไหม?’ ก็เป็นได้  

แต่ก็อย่างว่า Beau is Afraid ยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นอายและตัวตนของ Ari Aster ทุกกระเบียดนิ้ว เพียงแต่บางครั้งความทะเยอทะยานและบ้าบิ่นของเขาก็เป็นเหมือนดาบสองคมในเวลาเดียวกัน การระบายความใคร่ลงไปในงานอย่างไม่แยแสใครเท่าไรก็อาจทำให้คนดูรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกเพิกเฉยและทดสอบโดยคนทำหนังที่ไร้ซึ่งโพยในการเฉลยคำตอบใดๆ และมันยากมากที่จะไม่ตั้งคำถามว่า ‘เขาทำหนังให้ตัวเองดูรู้เรื่องคนเดียวหรือเปล่า?’ 

แต่อีกด้านก็ต้องชื่นชมว่าหนังในแบบฉบับของเขาไม่ใช่สิ่งที่หาชมกันได้ทั่วไป มันเต็มไปด้วยความแปลกและพิสดารในเชิงภาษาภาพยนตร์ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นก็ได้มอบประสบการณ์บางอย่างให้กับคนดูที่หนังเรื่องอื่นยากที่จะมอบให้ได้

และเรื่องตลกร้ายที่สุดก็อาจเป็นการที่เรากำลังนั่งหัวเราะเยาะให้กับชีวิตอันน่าเวทนาของชายคนหนึ่งที่จิตใจของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลที่เกิดจาก ‘ความกลัว’ ในวัยเยาว์

ถึงกระนั้น ความเก่งกล้าอย่างหนึ่งของ Ari Aster ก็คือการใช้เหลี่ยมมุมต่างๆ ในการหลอกล่อคนดูด้วยคำถามข้อหนึ่งที่เป็นดั่งประกายไฟให้เกิดการตีความและค้นหาความหมายที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้อยู่ภายในหนัง ซึ่งคำถามที่เดิมพันสูงลิ่วข้อนั้นก็คือ เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับ Beau เป็นเรื่องจริง หรือเป็นเพียงแค่เรื่องที่เขาปรุงแต่งขึ้นมาจากจิตใต้สำนึกที่เต็มไปด้วยความกลัวของตัวเอง? 

โดยส่วนตัวผู้เขียนเชื่อว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเกือบทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่มโนภาพของ Beau มันเป็นเหมือนโรงละครชีวิตที่คอยฉายภาพและเรื่องราวของเขาออกมาในรูปแบบต่างๆ กระนั้นเอง โรงละครที่ว่าก็เป็นเหมือนโลกในรูปแบบเฉพาะที่มีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามแต่ที่จินตนาการของเขาสร้างออกมา แต่แง่หนึ่งที่เหมือนกันคือมันบอกเล่าถึงความกลัวที่เขาพยายามจะหลบซ่อนเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแม่ ความจริงของพ่อ ผู้คน หรือกระทั่งการมีเซ็กซ์กับผู้หญิง 

โลกเหล่านั้นเป็น ‘ความจริงในอีกรูปแบบหนึ่ง ‘ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อบอกเล่า ‘ความจริงในอีกรูปแบบหนึ่ง’ ของชีวิตที่ Beau ไม่กล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับมันตรงๆ ซึ่งความอาจหาญอย่างถึงที่สุดของ Ari Aster ก็อยู่ตรงที่การให้คนดูเลือกด้วยตัวเองว่าอันไหนคือเรื่องจริงและไม่จริง จะเชื่อหรือไม่เชื่อ จากประสบการณ์ที่แตกต่างกันของคนดูภายใต้บรรยากาศอันแสนกระอักกระอ่วนของหนังที่ยาวถึงสามชั่วโมง

ไม่ว่าจะเข้าใจในสิ่งที่ Ari Aster นำเสนอมากน้อยเพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องชื่นชมมากที่สุดก็คือ Joaquin Phoenix ที่เรียกได้ว่าทุ่มเทให้กับการแสดงราวกับว่าไม่มีอะไรจะให้เสียอีกแล้วในชีวิตนี้ และมันไม่ใช่แค่การสะกดคนดูให้นั่งอยู่กับที่นานถึงสามชั่วโมงเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการแสดงความตื้นลึกหนาบางของตัวละครออกมาได้อย่างน่าเศร้าและชวนใจสลายในคราบของผู้ใหญ่ที่ไร้ซึ่งภาวะการเติบโตใดๆ นอกจากร่างกาย

อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของ Beau is Afraid ก็ชวนให้เราอดคิดไม่ได้ว่านี่ไม่ใช่แค่การตัดสินความผิดของ Beau เพียงอย่างเดียว แต่มันอาจหมายรวมไปถึงโลกที่เขาสร้างขึ้นมาจากการหลบหนีความกลัวทั้งหมดด้วย เราอาจห่างไกลจากความกลัวในรูปแบบต่างๆ ที่ Beau เผชิญก็จริง แต่ส่วนตัวผู้เขียนแล้ว แง่หนึ่งที่แน่ชัดคือ แม่ ก็เป็น ‘ลัทธิ’ ในรูปแบบหนึ่งเช่นกัน

ถ้าหากหนังคือการสร้างความจริงให้คนดู ‘เชื่อ’ และการโต้เถียงเป็นเครื่องมือที่ทำให้เกิดการพูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆ ในโลกของ Beau อย่างไม่รู้จบ ท้ายที่สุดแล้วมันอาจจะไม่สามารถตัดสินได้อย่างตรงไปตรงมาว่าหนังเรื่องนี้ดีหรือไม่ดี แต่ที่แน่ๆ คนเดียวที่ชนะจากเวทีการตีความถอดรหัสเหล่านั้นก็คงไม่ใช่ใครอื่น นอกเสียจากตัวของ Ari Aster เอง

Beau is Afraid เข้าฉายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้

รับชมตัวอย่างได้ที่:

The post Beau Is Afraid โลกในโรงละครชีวิต appeared first on THE STANDARD.

เหลือเวลาอีกไม่นานแล้วที่คอภาพยนตร์ชาวไทย จะได้ไปรับชมการแสดงอันยอดเยี่ยมของ Joaquin Phoenix ในผลงานการแสดงเรื่องใหม่อย่าง Beau is Afraid โบอย่าไปกลัว ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดจากค่าย A24 ที่มีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 25 พฤษภาคมนี้ โดยได้ Ari Aster ผู้เคยเขย่าขวัญผู้ชมมาแล้วใน Hereditary (2018) และ Midsommar (2019) มานั่งแท่นเขียนบทและกำกับ 

THE STANDARD POP ถือโอกาสรวบรวม 3 เกร็ดน่าสนใจของภาพยนตร์เรื่องนี้มาให้ทุกคนได้อุ่นเครื่อง ก่อนไปร่วมสำรวจเรื่องราวการเกิด แก่ เจ็บ กลัว ของชายชื่อ Beau ผู้ป่วยเป็นโรควิตกกังวล พร้อมกันในโรงภาพยนตร์ 

Beau is Afraid ผลงานที่อัดแน่นไปด้วยอารมณ์ขันและตัวตนของ Ari Aster 

ผู้ชมหลายคนอาจเริ่มรู้จักชื่อของผู้กำกับ Ari Aster จากผลงานสยองขวัญปั่นประสาทอย่าง Hereditary (2018) ซึ่งเป็นการกำกับภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของเขา แต่ก่อนหน้านั้น Ari Aster เคยร่างบทภาพยนตร์เรื่อง Beau is Afraid ไว้ตั้งแต่ก่อนที่ Hereditary จะออกฉายเสียอีก 

โดยจุดเริ่มต้นของ Beau is Afraid มาจากเหตุการณ์ที่ห้องเช่าเดิมของ Ari Aster กำลังจะหมดสัญญาเช่า เขาจึงต้องเริ่มหาที่อยู่ใหม่ แต่ในระหว่างนั้นเอง เขาก็นึกถึงภาพของชายคนหนึ่งอาศัยอยู่ในห้องพักของตัวเอง ทุกข์ทรมานจากโรคเครียด กลัวทุกสิ่งอย่าง เขาเตรียมตัวไปเยี่ยมแม่ แต่มันอาจจะเป็นไปไม่ได้ 

Ari Aster จึงนำภาพดังกล่าวมาต่อยอด ใส่แง่มุมความคิดและตัวตนของตัวเองผสมลงไป เสริมด้วยการสร้างสรรค์โลกการ์ตูนเหนือจินตนาการและอารมณ์ขันในสไตล์ของตัวเอง รวมถึงอิทธิพลที่ Ari Aster ได้รับจากตำนานกรีกและงานเขียนของนักเขียนชื่อดังหลายคน เช่น Tennessee Williams, Jorge Luis Borges, Miguel de Cervantes ฯลฯ เพื่อพัฒนารูปแบบการเล่าเรื่องให้แตกต่างจากการเล่าเรื่องทั่วไป แต่เสมือนเป็นงานเขียนที่ไม่ปะติดปะต่อกัน เพื่อไม่ให้ผู้ชมสามารถคาดเดาเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ง่ายเกินไป จนทำให้ Beau is Afraid กลายเป็นผลงานที่อันแน่นไปด้วยตัวตนของ Ari Aster มากกว่าทุกเรื่องที่เคยทำ 

หลังจากที่ Ari Aster ใช้เวลาปลูกปั้นบทภาพยนตร์อยู่นานหลายปี ในท้ายที่สุดก็เกิดเป็นเรื่องราวการเดินทางของ Beau (Joaquin Phoenix) ชายวัยกลางคนที่กำลังป่วยเป็นโรควิตกกังวล วันหนึ่งเขาต้องออกเดินทางไปเยี่ยม Mona (Patti LuPone) แม่ที่ไม่ได้เจอหน้ากันนานหลายปี แต่ในระหว่างที่เขากำลังเตรียมตัวออกเดินทางก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันโกลาหลและปั่นประสาทที่จะพาผู้ชมไปขุดคุ้ยจิตใจอันซับซ้อนของ Beau

Joaquin Phoenix กับการทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อพาผู้ชมไปสำรวจ ‘ความหวาดกลัว’ ของ Beau อย่างลึกถึงแก่น 

Joaquin Phoenix นับว่าเป็นอีกหนึ่งนักแสดงมากฝีมือที่ทุ่มเทให้กับทุกบทบาทที่เขาได้รับ จนทำให้ตัวละครของเขากลายเป็นที่จดจำของผู้ชมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Gladiator (2000) กับบทบาทของ Commodus ลูกชายของจักรพรรดิผู้กระหายอำนาจ, Her (2013) กับบทบาทของ Theodore ชายหนุ่มขี้เหงาที่ตกกลุ่มรัก AI อัจฉริยะ หรือ Joker (2019) กับบทบาทของ Arthur Fleck ที่ส่งให้เขาคว้ารางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมมาได้สำเร็จ 

สำหรับการรับบทเป็น Beau ครั้งนี้ Joaquin Phoenix ยังคงทำการบ้านอย่างละเอียดเพื่อถ่ายทอดแง่มุมความรู้สึกของตัวละครออกมาอย่างครบถ้วน ทั้งการช่วยเหลือผู้กำกับ Ari Aster ในการพัฒนาตัวละครให้แหลมคมมากยิ่งขึ้นตั้งแต่ก่อนถ่ายทำ การแปลงโฉมตัวเองและวิธีการพูดเพื่อให้เข้ากับบทบาท และลงทุนเล่นฉากสตันท์ด้วยตัวเองเกือบทั้งหมด เพื่อซึมซับอารมณ์ที่ตัวละครกำลังเผชิญให้ได้อย่างลึกถึงแก่น ไปจนถึงสปิริตของการเป็นนักแสดงที่แม้ร่างกายของตัวเองจะอ่อนเพลีย แต่เขาก็ยังคงไปยืนข้างกล้องเพื่อช่วยต่อบทให้กับนักแสดงคนอื่นๆ จนเสร็จก่อนที่เขาจะเป็นลมไป 

โดย Ari Aster เล่าถึงความประทับใจที่ได้ร่วมงานกับ Joaquin Phoenix ครั้งนี้ว่า “ก่อนที่เราได้ร่วมงานกัน ผมรู้สึกว่า Joaquin เป็นนักแสดงที่เก่งที่สุดในโลก และหลังจากที่ได้ร่วมงานกันเขาทำให้ผมรู้สึกประทับใจ ในฐานะนักแสดง Joaquin ซึมซับอารมณ์ตัวละครเท่าที่เป็นไปได้ ผมไม่เคยทำงานกับนักแสดงคนไหนสนุกขนาดนี้ เขาถามทุกคำถามเท่าที่นักแสดงคนหนึ่งจะนึกออก ใส่ใจทุกรายละเอียดในบทที่ได้รับ และเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ขั้นเตรียมงานจนถึงปิดกล้อง Joaquin ทุ่มเทเกินร้อยให้กับ Beau จริงๆ” 

ขณะที่ Joaquin Phoenix เล่าถึงความรู้สึกที่ได้ทำงานกับผู้กำกับ Ari Aster ว่า “ผมรู้ว่าผมแค่เล่นๆ แบบขอไปทีต่อหน้า Ari ไม่ได้ เขาสัมผัสได้แน่นอน มันดีนะที่ได้ร่วมงานกับคนที่ใส่ใจขนาดนี้ บางครั้งผมก็สนุกเมื่อได้เผชิญกับความลำบาก Ari Aster เป็นคนที่มีแรงผลักดันให้คุณจนถึงขีดสุด และพร้อมจะได้รับแรงผลักดันกลับเช่นกัน ทำงานกับเขามันตื่นเต้นดี”

เหล่าทัพนักแสดงและทีมงานเบื้องหลังมากฝีมือที่มาร่วมเนรมิตจินตนาการของ Ari Aster ให้กลายเป็นจริง 

นอกจากชื่อของผู้กำกับ Ari Aster และ Joaquin Phoenix ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังรายล้อมไปด้วยทีมงานเบื้องหลังมากฝีมือที่จะมาร่วมถ่ายทอดเรื่องราวครั้งนี้ นำโดย Pawel Pogorzelski ที่เคยร่วมงานกับ Ari Aster มาแล้วใน Hereditary  และ Midsommar มารับหน้าที่ผู้กำกับภาพ, Lucian Johnston จาก Hereditary  และ Midsommar มารับหน้าที่ตัดต่อ, Fiona Crombie จาก The Favourite (2018) และ Cruella (2021) มารับหน้าที่ออกแบบงานสร้าง และ Bobby Krlic จาก Midsommar รับหน้าที่ประพันธ์ดนตรีประกอบ 

พร้อมด้วยทีมนักแสดงสมทบมากฝีมือที่จะมาเติมเต็มให้การเดินทางครั้งนี้ปั่นประสาทมากกว่าเดิม ได้แก่ Patti LuPone จาก Witness (1985), Nathan Lane จาก The Birdcage (1996), Amy Ryan จาก Birdman (2014), Stephen McKinley Henderson จาก Dune (2021)

Beau is Afraid มีกำหนดเข้าฉายวันที่ 25 พฤษภาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์  

รับชมตัวอย่างได้ที่: 

ภาพ: Mongkol Major

The post 3 เกร็ดน่าสนใจจาก Beau is Afraid ผลงานปั่นประสาทและเปี่ยมอารมณ์ขันจากผู้กำกับ Midsommar appeared first on THE STANDARD.

Ari Aster ผู้กำกับจาก Hereditary (2018) และ Midsommar (2019) จะกลับมาสั่นประสาทคนดูอีกครั้งด้วย Beau Is Afraid (2023) ที่ขึ้นแท่นหนังทำรายได้เปิดตัวสูงสุดของค่าย A24 ในปีนี้ ท่ามกลางคำวิจารณ์ร้อนแรงที่แบ่งเป็น 2 ฝั่งชัดเจนหลังจากได้ชมภาพยนตร์

พล็อต Beau Is Afraid อยู่ในหัวของ Ari Aster มาหลายปี จนเขาเพิ่งมีโอกาสได้หยิบมาทำเป็นภาพยนตร์ความยาว 3 ชั่วโมง เติมแต่งจินตนาการให้เรื่องราวทวีความตลกร้าย ชวนผวา และคาดเดาอะไรไม่ได้ ผ่านการถ่ายทอดของนักแสดงมากฝีมืออย่าง Joaquin Phoenix, Patti LuPone, Amy Ryan และ Nathan Lane

หนังเล่าเรื่องของ Beau Wassermann (Joaquin Phoenix) หนุ่มใหญ่ผู้ป่วยโรควิตกกังวลที่ต้องกลับบ้านไปหา Mona (Patti LuPone) แม่ของเขาในวาระสุดท้าย ขณะที่ในเมืองที่เขาอยู่เต็มไปด้วยผู้คนและเรื่องราวประหลาด

แล้ว Beau ก็พบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาในห้องนอนของเด็กผู้หญิง พ่อแม่ของเธอเป็นคนบอกว่าเขาเพิ่งประสบอุบัติเหตุรถชน และไม่ปล่อยให้เขาออกไปจากบ้านหลังนี้ ทั้งหมดจึงกลายเป็นการเดินทางผ่านฝันร้ายอันยาวนาน โดยมีบางสิ่งบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัวคอยจับจ้องเขาอย่างไม่ละสายตา

ร่วมเดินทางกลับบ้านไปสู่อีกโลกที่สุดพิลึกพิลั่นพร้อมกันได้ใน Beau Is Afraid (2023) วันที่ 25 พฤษภาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์

ตัวอย่างภาพยนตร์

ภาพ: A24

The post เดินทางสู่ฝันร้ายกับ Beau Is Afraid จากผู้กำกับ Midsommar 25 พ.ค. นี้ ในโรงภาพยนตร์ appeared first on THE STANDARD.