AR – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 10 Jul 2024 08:20:35 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในร้านค้าปลีกมากขึ้น ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมและผู้ประกอบการต้องปรับตัวตาม https://thestandard.co/technology-increasingly-important-retail-stores/ Wed, 10 Jul 2024 08:20:35 +0000 https://thestandard.co/?p=956012 เทคโนโลยี ร้านค้าปลีก

เทคโนโลยีกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในร้านค้าปลีกทั้งแบบออน […]

The post เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในร้านค้าปลีกมากขึ้น ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมและผู้ประกอบการต้องปรับตัวตาม appeared first on THE STANDARD.

]]>
เทคโนโลยี ร้านค้าปลีก

เทคโนโลยีกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในร้านค้าปลีกทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าและดึงดูดผู้บริโภคมากขึ้น ผู้ประกอบการอาจนำเทคโนโลยีมาใช้ในร้านค้าปลีกและสร้างความมั่นใจว่าเทคโนโลยีสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและช่วยกระตุ้นยอดขาย 

 

SCB EIC ได้จัดทำแบบสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ใช้ในร้านค้าปลีก เช่น Self-Checkout, Chatbot / Chat & Shop และ AR / VR พบว่า

 

กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่รู้จักและเคยใช้เทคโนโลยีเหล่านี้มาก่อน สำหรับผู้ที่ไม่เคยรู้จักเทคโนโลยีในร้านค้าปลีกมากกว่าครึ่งมีความสนใจที่จะทดลองใช้ โดยเลือกทดลองเทคโนโลยีที่ซับซ้อนน้อยกว่า 

 

  • ผู้บริโภคที่รู้จักกับเทคโนโลยีร้านค้าปลีกส่วนมากเคยใช้เทคโนโลยีในการซื้อสินค้า แต่อีกราว 18% ไม่เคยใช้งานมาก่อน ซึ่งเทคโนโลยีที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้อยากทดลองใช้งานมากที่สุด ได้แก่ Self-Checkout, AR / VR และ Pick-Up Picture และหากต้องการให้คนกลุ่มนี้ใช้งาน จำเป็นต้องสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยและความสะดวกในการใช้งาน มีคำแนะนำชัดเจน และมีความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น

 

  • แม้ผู้บริโภคจะเคยใช้เทคโนโลยีในการซื้อสินค้าแล้ว แต่ยังคงกังวลเรื่องความยุ่งยากในการใช้งาน และความปลอดภัยของข้อมูล โดยเฉพาะผู้สูงวัยที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากที่สุด ขณะที่ผู้บริโภคกลุ่มอายุน้อยกังวลเรื่องความยุ่งยากในการใช้งาน ปัญหาทางเทคนิคและความไม่เสถียรของระบบก็เป็นอุปสรรคสำคัญ เทคโนโลยีในร้านค้าปลีกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ Self-Checkout, Chatbot และ Interactive Screen ซึ่งมีความซับซ้อนในการใช้งานน้อยกว่าเทคโนโลยีอื่นๆ แสดงให้เห็นว่า นอกจากการอำนวยความสะดวกในการซื้อสินค้าแล้ว เทคโนโลยีต้องใช้งานง่าย จึงจะได้รับความนิยมในการใช้งาน

 

  • ผู้บริโภคเคยใช้เทคโนโลยี Self-Checkout มากที่สุด และส่วนใหญ่ต้องการให้มีในร้าน Grocery โดยเฉพาะ Supermarket ในขณะที่กลุ่ม Non-Grocery ต้องการให้มีในห้างสรรพสินค้า อย่างไรก็ดี ปัญหาหลักที่พบคือการใช้คูปองส่วนลดต่างๆ ส่วน Chatbot เป็นเทคโนโลยีที่มีผู้บริโภคเคยใช้รองลงมา แต่พบปัญหาจากความสามารถของ Chatbot ที่ค่อนข้างจำกัด โดยผู้บริโภคต้องการให้พัฒนาความสามารถมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ราวครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่างเคยใช้เทคโนโลยี AR / VR แต่ให้ความเห็นว่าเป็นเทคโนโลยีที่ยุ่งยากและซับซ้อนในการใช้งาน

 

การนำเทคโนโลยีมาใช้ในร้านค้าปลีกควรพิจารณาความซับซ้อนและการใช้งานง่าย เพื่อให้เหมาะกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

 

หากกลุ่มลูกค้าเป็น Gen X และผู้สูงวัยที่ไม่คุ้นชินกับเทคโนโลยี ควรเลือกเทคโนโลยีที่ไม่ซับซ้อนและใช้งานง่าย เช่น Self-Checkout ที่มีคำแนะนำชัดเจน และมีพนักงานพร้อมให้ความช่วยเหลือ แต่หากกลุ่มลูกค้าเป็นคนรุ่นใหม่และวัยทำงาน ควรนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น AR / VR และ Interactive Screen มาใช้ พร้อมสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยและความสะดวกในการใช้งาน

 

ในทางกลับกัน หากกลุ่มลูกค้าเป็นคนรุ่นใหม่และวัยทำงาน ผู้ประกอบการสามารถนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีความซับซ้อน เช่น AR / VR มาใช้ได้ อีกทั้งร้านค้าควรพัฒนาความสามารถของเทคโนโลยีให้รองรับการใช้งานที่หลากหลาย เช่น Self-Checkout ควรปรับปรุงระบบให้รองรับการใช้คูปองและการชั่งน้ำหนัก เป็นต้น

 

เมื่อเจาะลึกไปในปัญหาของการใช้ Retail Tech ชนิดต่างๆ แล้ว SCB EIC เสนอแนะการปรับกลยุทธ์ในการบริหารจัดการ และนำ Retail Tech มาใช้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดังนี้

 

  1. เทคโนโลยี Self-Checkout ควรมีในร้านกลุ่ม Grocery โดยเตรียมระบบให้รองรับการใช้คูปองและส่วนลดได้ และมีเซ็นเซอร์วัดน้ำหนักสินค้าเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้บริโภคพบ 

 

  1. เทคโนโลยี Chatbot แม้มีผู้ใช้เป็นจำนวนมาก แต่ยังมีข้อจำกัดในบางเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องความสามารถในการเข้าใจภาษาที่ซับซ้อน อีกทั้งการแก้ปัญหาของ Chatbot ยังค่อนข้างจำกัด ร้านค้าอาจเตรียมระบบแจ้งเตือนให้มีเจ้าหน้าที่สามารถเข้ามาช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าได้โดยเร็ว 

 

  1. เทคโนโลยี AR / VR อาจยังไม่ถูกใช้อย่างแพร่หลาย และยังพบปัญหาในการใช้งาน หรือมีความซับซ้อนในการใช้งาน ควรนำไปใช้ในร้านค้าที่มีกลุ่มลูกค้าที่มีความคุ้นชินกับเทคโนโลยี เช่น Gen Y และ Gen Z เป็นกลุ่มเป้าหมาย โดยเหมาะกับสินค้าที่ต้องการให้เห็นภาพเสมือนจริง เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องสำอาง และเสื้อผ้า

 

แนวโน้มเทคโนโลยียังคงเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อวงการค้าปลีกในระยะข้างหน้า

 

ซึ่งหากร้านค้าปลีกสามารถเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมและเพิ่มความสะดวกในการซื้อสินค้า จะส่งผลให้ร้านค้าปลีกสามารถเติบโตและช่วยกระตุ้นยอดขาย อีกทั้งยังสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า เพื่อให้กลับมาใช้บริการซ้ำในอนาคตอีกด้วย

 

อ่านรายงานฉบับเต็มต่อได้ที่: https://www.scbeic.com/th/detail/product/retail-tech-100724

The post เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในร้านค้าปลีกมากขึ้น ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมและผู้ประกอบการต้องปรับตัวตาม appeared first on THE STANDARD.

]]>
Apple Vision Pro: จากเวทมนตร์สู่ความว่างเปล่า ความหวังที่ริบหรี่ของ Apple ในโลกแห่งเทคโนโลยี AR https://thestandard.co/apple-vision-pro-magic-to-nothing/ Tue, 09 Jul 2024 05:39:12 +0000 https://thestandard.co/?p=955329

Kevin Roose ผู้เป็นคอลัมนิสต์ด้านเทคโนโลยีของ The New Y […]

The post Apple Vision Pro: จากเวทมนตร์สู่ความว่างเปล่า ความหวังที่ริบหรี่ของ Apple ในโลกแห่งเทคโนโลยี AR appeared first on THE STANDARD.

]]>

Kevin Roose ผู้เป็นคอลัมนิสต์ด้านเทคโนโลยีของ The New York Times ออกมาเขียนบทความที่ระบุว่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมาเขามีโอกาสได้ลองใช้ Apple Vision Pro เป็นครั้งแรก มันให้ความรู้สึกเหมือนเวทมนตร์ จนหลงรักชุดหูฟัง ‘Spatial Computing’ ราคา 3,500 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.27 แสนบาท) นี้ แม้ว่าจะยังไม่รู้ว่ามันมีไว้เพื่ออะไรกันแน่

 

เขาพกมันไปทุกที่ ทนต่อสายตาแปลกๆ จากเพื่อนร่วมงาน คนแปลกหน้าในร้านกาแฟ และผู้โดยสารบนเครื่องบิน แต่ความตื่นเต้นก็จางหายไป ทุกวันนี้เขาแทบไม่ได้ใช้ Vision Pro เลย นานๆ ครั้งจะหยิบมาใช้เขียนงานหรือดูภาพยนตร์บนเตียงตอนภรรยาหลับ

 

Apple ยังไม่เปิดเผยยอดขายอย่างเป็นทางการ แต่จากการประเมินของนักวิเคราะห์บ่งชี้ว่า Vision Pro อาจไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดไว้ ผู้ใช้หลายคนขอคืนเงินและมีการขายต่อในราคาเพียง 2,500 ดอลลาร์ (ประมาณ 90,000 บาท) บนเว็บไซต์ขายของมือสอง

 

เมื่อสอบถามเพื่อนๆ ที่เป็นเจ้าของ Vision Pro ที่ส่วนใหญ่เป็นนักข่าวและคนทำงานด้านเทคโนโลยีพบว่า มีน้อยคนนักที่ยังคงใช้งานอยู่

 

ในงานประชุมนักพัฒนาระดับโลก (WWDC) ประจำปี Apple ประกาศฟีเจอร์ใหม่ๆ สำหรับ Vision Pro เช่น visionOS เวอร์ชันใหม่ การควบคุมด้วยท่าทาง และการแปลงรูปภาพเก่าเป็น ‘Spatial Photos’ แบบ 3 มิติ แต่ก็เป็นเพียงการปรับปรุงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ใช่การยกเครื่องครั้งใหญ่อย่างที่แฟนๆ หลายคนคาดหวังไว้ 

 

อีกทั้ง Vision Pro ยังถูกบดบังรัศมีด้วยโครงการใหม่ที่น่าตื่นเต้นกว่านั่นคือ Generative AI หรือ ‘Apple Intelligence’ ซึ่งบริษัทกำลังผลักดันให้เข้าไปอยู่ในผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ รวมถึง Siri เวอร์ชันใหม่ที่จะเปิดตัวบน iPhone ในปีนี้

 

เขามองปัญหาหลักของ Vision Pro นั่นคือราคาที่สูงเกินไป ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงได้ นอกจากนี้แว่นตายังมีน้ำหนักมากเกินไป ทำให้สวมใส่ไม่สบายเป็นเวลานาน แบตเตอรี่ภายนอกก็เป็นอีกหนึ่งปัญหา และยังมีปัญหาอื่นๆ เช่น การใช้งานในที่มืดหรือแสงน้อย การป้อนข้อความ และโหมด Guest ที่ยุ่งยาก

 

นอกจากปัญหาฮาร์ดแวร์แล้ว Vision Pro ยังขาดแอปพลิเคชันที่น่าสนใจ ไม่มีแอป YouTube, Netflix, Spotify และ Instagram ทำให้ประสบการณ์ในการใช้งานไม่ดีเท่าที่ควร

 

Apple ยังล่าช้าในการอัปเดตเนื้อหาสำหรับ Vision Pro เช่น วิดีโอ Immersive ที่ถ่ายทำด้วยกล้อง 3 มิติพิเศษ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่สามารถทำได้ด้วย Vision Pro แต่หลังจากที่ดูวิดีโอเหล่านี้จนหมดแล้ว สิ่งที่เหลือให้ดูก็คือเนื้อหา 2 มิติแบบเดียวกับที่ดูบนทีวีหรือ iPad

 

ส่วนตัวของ Kevin Roose ยังคงคิดว่า Vision Pro เป็นเทคโนโลยีที่น่าทึ่ง แต่ถ้า Apple ต้องการให้ Vision Pro ดึงดูดคนหมู่มาก ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เช่น ลดราคา แก้ไขข้อบกพร่อง ปรับปรุงจุดที่ยังไม่สมบูรณ์ และปล่อยเนื้อหา Immersive มากขึ้น

 

ที่สำคัญที่สุดคือ Apple ต้องหาและสนับสนุนแอปพลิเคชันที่เป็น ‘Killer App’ ซึ่งเป็นแอปใหม่ๆ ที่สามารถใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติของ Vision Pro ได้อย่างเต็มที่ และเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้คนซื้อ

 

Vision Pro ยังใหม่อยู่ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Apple ก็ใช้เวลาหนึ่งหรือสองรุ่นกว่าจะประสบความสำเร็จ (Apple Watch ก็เคยล้มเหลวในตอนเปิดตัว จนกระทั่ง Apple ค้นพบว่าการติดตามสุขภาพเป็นคุณสมบัติที่สำคัญ) Apple กล่าวหลายครั้งว่า พวกเขามองว่า Vision Pro เป็นการทดลองในช่วงแรก ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบ

 

แต่เขากังวลว่า Vision Pro อาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย เพราะมันไม่ใช่โครงการใหม่ที่โดดเด่นที่สุดของ Apple (ตอนนี้คือ AI ซึ่ง Wall Street กำลังเรียกร้องและผู้ใช้หลายคนตื่นเต้น) และไม่ใช่ผลิตภัณฑ์หลักที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับ Apple เช่น iPhone หรือ iPad

 

เพื่อให้ Vision Pro สามารถแสดงศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ Apple จำเป็นต้องให้ความรักและวิสัยทัศน์กับมันมากขึ้น Apple ต้องตอบคำถามพื้นฐานให้ดีกว่านี้ เช่น อุปกรณ์นี้มีไว้เพื่ออะไร? มันจะปรับปรุงชีวิตของฉันหรือทำให้มี Productivity มากกว่าสิ่งอื่นๆ ที่สามารถซื้อได้ในราคา 3,500 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.23 แสนบาท) ได้อย่างไร? รวมถึงสามารถทำอะไรกับมันได้บ้างที่ไม่สามารถทำได้บนแล็ปท็อปหรือทีวีจอใหญ่?

 

ถ้า Apple ยังไม่ขยับตัวครั้งใหญ่ Vision Pro อาจต้องเผชิญกับการถูกลืมเลือน และชาว Vision Bros ก็อาจกลายเป็นเหล่า Google Glassholes แห่งปี 2024 กลุ่มเกรียนกล้าหาญแต่โง่เขลา ที่เดิมพันกับเทคโนโลยีล้ำยุคชิ้นใหม่ และพ่ายแพ้อย่างไม่เป็นท่า ราวกับนักพนันที่หมดตัวในคาสิโนแห่งนวัตกรรม

 

ภาพ: Wang Gang / Feature China / Future Publishing via Getty Images

อ้างอิง:

The post Apple Vision Pro: จากเวทมนตร์สู่ความว่างเปล่า ความหวังที่ริบหรี่ของ Apple ในโลกแห่งเทคโนโลยี AR appeared first on THE STANDARD.

]]>
จนถึงตอนนี้ AR และ VR ยังอยู่ในทางตัน วิสัยทัศน์ของ Apple จะประสบความสำเร็จได้อย่างไรในขณะที่คนอื่นยังล้มเหลว https://thestandard.co/apple-vr-ar-headset/ Tue, 30 May 2023 03:35:37 +0000 https://thestandard.co/?p=796783 Apple

Apple ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่เราทุกคนรู้จัก กำลังทำงา […]

The post จนถึงตอนนี้ AR และ VR ยังอยู่ในทางตัน วิสัยทัศน์ของ Apple จะประสบความสำเร็จได้อย่างไรในขณะที่คนอื่นยังล้มเหลว appeared first on THE STANDARD.

]]>
Apple

Apple ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่เราทุกคนรู้จัก กำลังทำงานเกี่ยวกับสิ่งใหม่ นั่นคือชุดหูฟังที่หวังจะทำให้ความจริงเสริมและความจริงเสมือน (AR และ VR) เป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเรา

 

AR และ VR เป็นเหมือนเวทมนตร์ ทำให้เราเข้าสู่โลกดิจิทัลที่ให้ความรู้สึกเกือบเหมือนโลกจริง พวกเขาทำงานโดยการฉายภาพดิจิทัลหรือสภาพแวดล้อมที่สามารถโต้ตอบกับเราได้แบบเรียลไทม์ ความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้คือ AR ซ้อนทับองค์ประกอบดิจิทัลบนมุมมองโลกแห่งความเป็นจริงของเรา ในขณะที่ VR จะพาเราดำดิ่งลงไปในสภาพแวดล้อมเสมือนจริง

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

แม้ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ฟังดูเจ๋ง แต่ก็ยังไม่ได้รับความนิยมหรือเป็นเทคโนโลยีกระแสหลัก ส่วนใหญ่เป็นเพราะการพัฒนาแอปพลิเคชันที่น่าสนใจและฮาร์ดแวร์ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความท้าทาย 

  

Apple ตั้งเป้าที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ด้วยชุดหูฟังที่กำลังจะเปิดตัว ซึ่งคาดว่าจะเปิดเผยในการประชุมนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในเดือนมิถุนายน อุปกรณ์นี้ไม่เพียงแค่นำเสนอความเป็นจริงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นการผสมผสานของทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน 

 

ซึ่งหมายความว่าชุดหูฟังสามารถให้คุณเห็นและโต้ตอบกับวัตถุดิจิทัลในสภาพแวดล้อมทางกายภาพ (AR) หรือนำไปสู่โลกดิจิทัลทั้งหมด (VR)

 

ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับ Apple คือการหลีกเลี่ยงหลุมพรางที่ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีรายอื่นต้องเผชิญ ตัวอย่างเช่น Microsoft และ Google ได้เปิดตัวชุดหูฟัง AR ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามความพยายามของทั้ง Microsoft และ Google ก็ไม่สำเร็จตามที่คาดไว้ สาเหตุหลักคือค่าใช้จ่ายสูง ขาดแอปที่น่าสนใจ และชุดหูฟังค่อนข้างอึดอัดและไม่สวยงาม

 

แต่การมีแก็ดเจ็ตเจ๋งๆ สักชิ้นนั้นไม่เพียงพอในการที่จะเปิดตัวจริงๆ Apple จะต้องเอาชนะไม่เพียงแต่ฐานแฟนที่เหนียวแน่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักพัฒนาที่จะสร้างแอปและบริการสำหรับชุดหูฟังแอปเหล่านี้จะต้องน่าดึงดูดใจจนทำให้ผู้ใช้ยินดีจ่ายในราคาสูง (มีข่าวลือว่าประมาณ 3,000 ดอลลาร์ หรือราว 1 แสนบาท) สำหรับชุดหูฟัง

 

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อุปกรณ์ AR และ VR พัฒนาไปไกลมาก พวกมันเบาขึ้น สบายขึ้น และมีความสามารถมากขึ้น ข้อได้เปรียบที่สำคัญอย่างหนึ่งของเทคโนโลยีเหล่านี้คือสามารถใช้ประโยชน์จากการรับรู้เชิงพื้นที่ของเราได้

 

ตัวอย่างเช่น แทนที่จะเลื่อนดูเอกสารในโฟลเดอร์บนคอมพิวเตอร์ของคุณ ลองจินตนาการว่าสามารถจัดเรียงและเข้าถึงเอกสารเหล่านั้นในพื้นที่รอบๆ ตัวคุณได้ หรือแทนที่จะสร้างเนื้อหา 3 มิติบนหน้าจอ 2 มิติ ลองจินตนาการว่าสามารถปั้นและขึ้นรูปงานออกแบบของคุณในอากาศตรงหน้าคุณ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิธีการเปลี่ยนแปลงที่ AR และ VR สามารถเปลี่ยนวิธีที่เราโต้ตอบกับเนื้อหาดิจิทัล

 

อุตสาหกรรมเกมยังแสดงความสนใจอย่างมากใน AR และ VR อย่างเช่น Pokémon Go ซึ่งเปิดตัวในปี 2016 ได้รับความนิยมอย่างมากจาก AR ทำให้ผู้เล่นสามารถจับสิ่งมีชีวิตเสมือนจริงในสภาพแวดล้อมจริงได้ 

 

ชุดหูฟัง VR2 ของ Sony ซึ่งทำให้ผู้เล่นดื่มด่ำกับโลกแห่งเกม ขายได้ 600,000 เครื่องในเวลาเพียง 6 สัปดาห์ หาก Apple สามารถสร้างเกมที่มอบประสบการณ์ที่เต็มอิ่มสมจริงก็จะช่วยเพิ่มความนิยมให้กับชุดหูฟังใหม่ได้อย่างมาก

 

อย่างไรก็ตาม ศักยภาพของ AR และ VR เป็นมากกว่าเกม ตัวอย่างเช่น AR สามารถปรับปรุงการนำทางโดยการซ้อนทับทิศทางโดยตรงไปยังมุมมองของโลกแห่งความจริง ในด้านสถาปัตยกรรม VR ช่วยให้นักออกแบบและลูกค้าสามารถสำรวจและแก้ไขการออกแบบอาคารในแบบ 3 มิติก่อนที่จะสร้าง ซึ่งอาจเป็นการปรับปรุงกระบวนการออกแบบ

 

แม้จะมีความเป็นไปได้ที่น่าตื่นเต้นเหล่านี้ แต่ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Apple ก็คือการทำให้ชุดหูฟังสวมใส่สบายและมีสไตล์ ซึ่งจำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าชุดหูฟังมีน้ำหนักเบาพอที่จะสวมใส่เป็นเวลานาน และไม่ก่อให้เกิดอาการเมารถ ซึ่งเป็นปัญหาทั่วไปของเทคโนโลยี VR นอกจากนี้ยังต้องทำให้ชุดหูฟังมีความสวยงามเพื่อดึงดูดฐานแฟนๆ ที่ใส่ใจในแฟชั่น
 

คำถามใหญ่คือศักยภาพที่ยั่วเย้าของ AR และ VR สามารถเอาชนะอุปสรรคที่เคยขัดขวางเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ให้เข้าสู่กระแสหลักได้หรือไม่ หากทำได้เราอาจอยู่ในโลกที่ความเป็นจริงทางดิจิทัลและทางกายภาพผสมผสานกันอย่างลงตัวในไม่ช้า

 

อ้างอิง:

The post จนถึงตอนนี้ AR และ VR ยังอยู่ในทางตัน วิสัยทัศน์ของ Apple จะประสบความสำเร็จได้อย่างไรในขณะที่คนอื่นยังล้มเหลว appeared first on THE STANDARD.

]]>
Apple เปิดตัวสินค้าใหม่ไม่ปัง ไร้เงาเทคโนโลยีเจ๋งๆ หรือจะซุ่มเงียบเก็บไม้เด็ดอย่าง AR ไว้ใช้ในอนาคต https://thestandard.co/apple-product-unveiled-not-impact-enough/ Fri, 17 Sep 2021 06:54:47 +0000 https://thestandard.co/?p=537652 Apple

หลังจากงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของ Apple คงได้ยินเสียงบ่นเป็ […]

The post Apple เปิดตัวสินค้าใหม่ไม่ปัง ไร้เงาเทคโนโลยีเจ๋งๆ หรือจะซุ่มเงียบเก็บไม้เด็ดอย่าง AR ไว้ใช้ในอนาคต appeared first on THE STANDARD.

]]>
Apple

หลังจากงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของ Apple คงได้ยินเสียงบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่เห็นมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย เหมือนการเปิดตัวครั้งนี้เป็นแค่การปรับปรุงจากโมเดลรุ่นก่อนเท่านั้น

 

ซึ่งการเปิดตัวในครั้งนี้ไม่ได้ตอบสนองความคาดหวังของผู้รอคอย ที่คาดว่าจะได้เห็นเทคโนโลยีเจ๋งๆ ที่จะเป็นก้าวต่อไปของโลกเทคโนโลยีในอนาคต และสามารถทำให้ Apple เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดเหมือนตอนที่เปิดตัว iPhone รุ่นแรก

 

หากย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว แม่ทัพของ Apple อย่าง ทิม คุก พูดย้ำบ่อยๆ เกี่ยวกับเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทำงานร่วมกับกล้องที่ล้ำหน้าและชิปประมวลผลสมัยใหม่ ที่เมื่อทำงานร่วมกันทั้งหมดแล้วสามารถประมวลผลวัตถุผ่านกล้องได้ว่าวัตถุนี้มีความเกี่ยวข้องกับผู้ใช้ยังไง และจะทำการเพิ่มกราฟิกที่เกี่ยวข้องโดยแสดงผลทับวัตถุในโลกจริงผ่านหน้าจอ

 

โดยในงานเปิดตัวของ Apple แทบไม่ได้พูดถึงเทคโนโลยี AR นี้เลย มีเพียงแต่กล่าวถึงอย่างรวบรัดเกี่ยวกับแอปพลิเคชัน AR ที่จะทำงานบน iPad เท่านั้นเอง

 

ยูทูเบอร์ชาวอเมริกันจากช่อง iJustine อย่าง จัสติน เอซาริก หยิบประเด็นเรื่อง AR ที่ไม่ได้ถูกพูดถึงในงานเปิดตัว เข้าสัมภาษณ์แม่ทัพอย่าง ทิม คุก หลังจบงานเปิดตัว 

 

 

ทิม คุก กล่าวว่า “ผมเป็นแฟนตัวยงของ AR นะ ผมมองว่า AR เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีล้ำหน้า ที่ในอนาคตเมื่อเรามองกลับมาแล้วจะคิดว่าที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตโดยไม่มี AR มาได้ยังไง”

 

นอกจากนั้นยังกล่าวว่า AR จะถูกใช้หลักๆ ในด้านการศึกษาและการช้อปปิ้ง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือเฟอร์นิเจอร์ ที่ AR สามารถทำให้เราเห็นได้ก่อนซื้อว่าเฟอร์นิเจอร์ชิ้นนี้เหมาะกับบ้านเราหรือไม่ หรือเสื้อผ้าชุดนี้เหมาะกับเราหรือไม่

 

ทั้งยังกล่าวว่า “ตอนนี้ AR พึ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น โดยต่อไปในอนาคต อุปกรณ์ที่ใช้ AR เป็นเทคโนโลยีหลักอย่างแว่นตาอัจฉริยะ (Smart Glasses) จะถูกใช้ในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องปกติเหมือนสมาร์ทโฟน”

 

โดยงานเปิดตัวที่ผ่านมานี้ ที่ไม่ค่อยได้มีการพูดถึง AR อาจเป็นเพราะ Apple ต้องการเน้นไปที่สินค้าใหม่ที่สามารถออกวางขายได้เท่านั้น ซึ่งจะมีเพียงการกล่าวถึง AR ในรูปแบบซอฟต์แวร์ที่ใช้ใน iPhone และ iPad เท่านั้น ยังไม่ได้พูดถึง AR ในรูปแบบฮาร์ดแวร์

 

ซึ่งการที่ไม่ได้พูดถึง AR มากนัก ไม่ได้แปลว่า Apple จะถอนตัวจากเทคโนโลยีนี้แล้ว โดย Apple ได้ทำการเข้าซื้อบริษัท Start Up หลายแห่งที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีหน้าจอเลนส์แว่น รวมถึงจ้างคนเพิ่มเป็นจำนวนมากในการพัฒนาโปรเจกต์นี้อีกด้วย

 

ทางด้านของคู่แข่งอย่าง Facebook พึ่งมีการเปิดตัวแว่นอัจฉริยะที่สามารถถ่ายวิดีโอได้ ร่วมกับแบรนด์แว่นตาระดับโลกอย่าง Rayban ในสัปดาห์นี้ โดย Facebook กล่าวว่า แว่นอัจฉริยะนี้จะเป็นเหมือนสารตั้งต้นที่สามารถนำไปต่อยอดพัฒนาเทคโนโลยีล้ำหน้าต่อไปได้ในอนาคต

 

ในส่วนของเทคฯ ยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ก็มีการพัฒนาแว่นอัจฉริยะนี้อยู่เช่นกัน ในชื่อ Hololens รวมถึงมีการทำสัญญากับกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์อีกด้วย ในด้านของ Google บริษัทเสิร์ชเอนจินชั้นนำของโลก ก็มีการเปิดตัว Google Glass ไปตั้งแต่ปี 2013 แล้ว

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 

อ้างอิง:

The post Apple เปิดตัวสินค้าใหม่ไม่ปัง ไร้เงาเทคโนโลยีเจ๋งๆ หรือจะซุ่มเงียบเก็บไม้เด็ดอย่าง AR ไว้ใช้ในอนาคต appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักวิเคราะห์คาด Apple จะเปิดตัวแว่นอัจฉริยะ Mixed Reality ปีหน้า และอาจเปิดตัวคอนแทคเลนส์ AR ในปี 2030 เป็นต้นไป https://thestandard.co/apple-mixed-reality-headset-2022/ Mon, 08 Mar 2021 05:51:59 +0000 https://thestandard.co/?p=462489 Apple จะเปิดตัวแว่นอัจฉริยะ

เป็นอีกหนึ่งค่ายผู้พัฒนานวัตกรรมที่มีความพยายามในการพัฒ […]

The post นักวิเคราะห์คาด Apple จะเปิดตัวแว่นอัจฉริยะ Mixed Reality ปีหน้า และอาจเปิดตัวคอนแทคเลนส์ AR ในปี 2030 เป็นต้นไป appeared first on THE STANDARD.

]]>
Apple จะเปิดตัวแว่นอัจฉริยะ

เป็นอีกหนึ่งค่ายผู้พัฒนานวัตกรรมที่มีความพยายามในการพัฒนาเทคโนโลยี AR มาโดยตลอดสำหรับ Apple โดยล่าสุด Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์ที่มีความแม่นยำและน่าเชื่อถือในการทำนายผลิตภัณฑ์ที่ Apple จะเปิดตัวใหม่ ได้ออกมาคาดการณ์ว่า Apple ใกล้จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในกลุ่มแว่นตาอัจฉริยะแล้ว

 

โดยคาดว่าเราจะได้เห็นผลิตภัณฑ์แบบแว่น Mixed Reality ที่ใช้งานในลักษณะการใส่ครอบศีรษะเปิดตัวออกมาในปี 2022 ที่จะถึงนี้ ส่วนแว่นตา AR นั้นคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงกลางปี 2025 และตามมาด้วยคอนแทคเลนส์ AR ที่คาดว่าน่าจะเปิดตัวเข้าสู่ตลาดในช่วงระหว่างปี 2030-2040

 

Kuo ได้แสดงความเห็นไว้ว่า “เราเชื่อว่าผลิตภัณฑ์แบบครอบศีรษะของ Apple นั้นจะช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ผสมผสานกันทั้ง AR และ VR ส่วนแว่นตาและคอนแทคเลนส์อัจฉริยะที่พวกเขาได้พัฒนาขึ้นมานั้นน่าจะเน้นไปที่การโฟกัสเทคโนโลยีการใช้งานในแบบ AR มากกว่า”

 

และขึ้นชื่อว่าเป็นผลิตภัณฑ์ของ Apple ราคาก็น่าจะสูงขึ้นไปด้วย ส่งผลให้นักวิเคราะห์คนเก่งเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ Mixed Reality Headset น่าจะมีราคาจำหน่ายไม่ต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ ​หรือราว 30,700 บาทเลยทีเดียว ส่วนในเชิงการใช้งานนั้น เขาเน้นว่าผลิตภัณฑ์ของ Apple น่าจะให้ประสบการณ์ในเชิงการใช้งานจริงได้ดีกว่าผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกันจากแบรนด์อื่นๆ ที่วางจำหน่ายในท้องตลาด และน่าจะสามารถใช้งานมันได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพา iPhone 

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

The post นักวิเคราะห์คาด Apple จะเปิดตัวแว่นอัจฉริยะ Mixed Reality ปีหน้า และอาจเปิดตัวคอนแทคเลนส์ AR ในปี 2030 เป็นต้นไป appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘แขวน’ นิทรรศการ 44 ปี 6 ตุลา บอกเล่าเรื่องราวผ่าน AR ประวัติศาสตร์ความทรงจำของการเมืองไทย https://thestandard.co/exhibition-ar-thai-history/ Thu, 01 Oct 2020 09:50:54 +0000 https://thestandard.co/?p=402894 ‘แขวน’ นิทรรศการ 44 ปี 6 ตุลา บอกเล่าเรื่องราวผ่าน AR ประวัติศาสตร์ความทรงจำของการเมืองไทย

ผ่านมากว่า 44 ปีแล้วสำหรับเหตุการณ์ทางการเมืองที่ถือว่า […]

The post ‘แขวน’ นิทรรศการ 44 ปี 6 ตุลา บอกเล่าเรื่องราวผ่าน AR ประวัติศาสตร์ความทรงจำของการเมืองไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘แขวน’ นิทรรศการ 44 ปี 6 ตุลา บอกเล่าเรื่องราวผ่าน AR ประวัติศาสตร์ความทรงจำของการเมืองไทย

ผ่านมากว่า 44 ปีแล้วสำหรับเหตุการณ์ทางการเมืองที่ถือว่าเป็นความวิปโยคครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย สำหรับกรณี 6 ตุลาคม 2519 หรือที่เรียกกันว่าเป็น ‘วันฆ่านกพิราบ’

 

ขณะที่อีกไม่กี่วัน วันสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองไทย นั่นคือวันที่ 6 ตุลาคม กำลังจะย้อนกลับมาอีกหน

 

‘เหตุการณ์ 6 ตุลา’ เป็นเหตุการณ์จลาจล ปราบปรามนักศึกษาและผู้ประท้วงในและบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และท้องสนามหลวง ขณะที่นักศึกษาจากหลายมหาวิทยาลัยกำลังชุมนุมประท้วงการเดินทางกลับประเทศของ จอมพล ถนอม กิตติขจร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่สนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปัจจัยอื่นๆ เช่น การเดินทางกลับประเทศของ จอมพล ประภาส จารุเสถียร ที่ได้หนีออกไปนอกประเทศอีกครั้ง ความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล เสนีย์ ปราโมช และการสังหารโหดช่างไฟฟ้า 2 คนที่จังหวัดนครปฐมโดยฝั่งขวา

 

สถิติอย่างเป็นทางการระบุว่า มีผู้เสียชีวิต 46 คน ซึ่งมีทั้งถูกยิงด้วยอาวุธปืน ถูกทุบตี ถูกเผา ถูกข่มขืน หรือถูกทำให้พิการ โดยสถิติจากมูลนิธิป๋วยคาดการณ์ตัวเลขผู้เสียชีวิตมีมากกว่า 100 คน ที่ผ่านมาไม่มีผู้ก่อการคนใดถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และประเด็นดังกล่าวกลายเป็นประเด็นที่มีความละเอียดอ่อนอย่างยิ่งในประเทศไทย 

 

ทุกๆ ปีจะมีการจัดงานรำลึกที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยปีนี้ที่บริเวณโถงหอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มีการจัดนิทรรศการภายใต้หัวข้อ ‘แขวน’ 44 ปี 6 ตุลาคม 2519

 

การจัดนิทรรศการในปีนี้นอกจากจะมีการนำวัตถุพยานที่เคยจัดแสดงในปีที่แล้วมาให้ชมกันอีกหน ยังมีการใช้เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) ด้วยการนำภาพเสมือนที่เป็นรูปแบบสามมิติ จำลองเข้าสู่โลกจริงผ่านกล้องและการประมวลผลที่จะนำวัตถุมาทับซ้อนเข้าเป็นภาพเดียวกัน เราสามารถมองผ่านกล้องได้โดยตรง มาร่วมอธิบายอดีตเพื่อเชื่อมโยงภาพปัจจุบันของพื้นที่ที่เคยเกิดความรุนแรง ในฐานะที่หลายคนอาจเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ประวัติศาสตร์ แต่อาจไม่ทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งจะช่วยเล่าเรื่องให้มีความเข้าใจต่อข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ 6 ตุลาคมได้มากขึ้น 

 

สำหรับนิทรรศการนี้จะจัดตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป โดยสามารถเข้าชมได้ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น. ส่วนจะต่อเนื่องยาวนานแค่ไหน ต้องรอผลการพูดคุยกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง ส่วนนิทรรศการจะมีการเปิดอย่างเป็นทางการอีกครั้งในวันที่ 6 ตุลาคมนี้ ใครที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ Facebook ‘44 ปี 6 ตุลา’

 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

The post ‘แขวน’ นิทรรศการ 44 ปี 6 ตุลา บอกเล่าเรื่องราวผ่าน AR ประวัติศาสตร์ความทรงจำของการเมืองไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
Google เปิดตัว AR ไดโนเสาร์ Jurassic World ชวนสำรวจเพื่อนดึกดำบรรพ์แบบใกล้ชิด https://thestandard.co/google-launched-ar-jurassic-world/ Wed, 01 Jul 2020 07:16:48 +0000 https://thestandard.co/?p=376605

หลายๆ คนอาจจะเคยมีโอกาสได้ลองใช้งานฟีเจอร์ AR ของ Googl […]

The post Google เปิดตัว AR ไดโนเสาร์ Jurassic World ชวนสำรวจเพื่อนดึกดำบรรพ์แบบใกล้ชิด appeared first on THE STANDARD.

]]>

หลายๆ คนอาจจะเคยมีโอกาสได้ลองใช้งานฟีเจอร์ AR ของ Google Search ในการจำลองสัตว์โลกนานาชนิดมาอยู่ใกล้ตัวเพื่อให้สามารถศึกษาลักษณะทางกายภาพเบื้องต้น หรือเพื่อความเพลิดเพลินบันเทิงใจ

 

แต่ตอนนี้ Google ได้ยกระดับประสบการณ์การใช้งาน Search และเทคโนโลยี AR ของพวกเขาไปอีกขั้น ภายใต้ความร่วมมือกับ Universal Brand Development, Amblin Entertainment และ Ludia เพื่อนำไดโนเสาร์มากกว่า 10 สายพันธ์ุจากแฟรนไชส์ภาพยนตร์สุดอมตะ ‘Jurassic World’ มาให้ผู้ใช้งานได้ลองเล่นและสัมผัสกันแบบใกล้ชิดบนโมเดล 3 มิติ

 

คามิโล ซานิน ผู้นำทีมพัฒนาคาแรกเตอร์ไดโนเสาร์จาก Ludia เปิดเผยว่าพวกเขาได้ร่วมกับพาร์ตเนอร์สร้างโมเดลไดโนเสาร์แบบ 3 มิติด้วยการรีเสิร์ชข้อมูลของสัตว์โลกดึกดำบรรพ์แต่ละสายพันธ์ุอย่างละเอียด รวมถึงศึกษาร่วมกับนักบรรพชีวินวิทยา และทีมงาน Jurassic World เพื่อให้สามารถสร้างสรรค์ไดโนเสาร์แต่ละตัวให้ออกมามีความสมจริงและตรงตามข้อมูลในประวัติศาสตร์ได้

มากที่สุด ลงลึกถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ลักษณะของผิวหนัง

 

โดยไดโนเสาร์ที่สามารถใช้งานในโหมด AR ของ Google ได้ ประกอบด้วย Tyrannosaurus Rex, Velociraptor, Triceratops, Spinosaurus, Stegosaurus, Brachiosaurus, Ankylosaurus, Dilophosaurus, Pteranodon, และ Parasaurolophus

 

วิธีการใช้งานสามารถทำได้ง่ายๆ ทั้งผู้ใช้สมาร์ทโฟนในระบบปฏิบัติการ Android  และ iOS โดยผู้ใช้งาน Android ให้พิมพ์ Dinosaur หรือเสิร์ชชื่อไดโนเสาร์ 1 ใน 10 สายพันธ์ุที่มีรายช่ือในลิสต์ข้างต้นบนแอปฯ ของ Google หรือเบราว์เซอร์ Chrome แล้วกดเลือกดูแบบ 3 มิติ (View in 3D) (รองรับระบบปฏิบัติการ Android 7 หรือใหม่กว่า) (ตัวอย่างเช่น https://www.google.com/search?rlz=1CDGOYI_enTH720TH720&hl=en-US&sxsrf=ALeKk019mHSBvvJCeZ3FnQHNEiJUN56hxA%3A1593577471308&ei=_w_8Xsu7Epr0rQHhl6GoAQ&q=tyrannosaurus&gs_ssp=eJzj4tDP1Tcwz8jKMGD04i2pLErMy8svTiwtKi0GAGTzCLU&oq=t&gs_lcp=ChNtb2JpbGUtZ3dzLXdpei1zZXJwEAEYBDIECCMQJzIECCMQJzIECCMQJzIECC4QQzIECC4QQzIECC4QQzIICAAQgwEQiwMyCwguEIsDEKMDEKgDOgQIABBHOgcIIxDqAhAnOgkIIxDqAhAnEBNQ6-IIWOviCGCL9AhoAnABeACAAaUCiAGlApIBAzItMZgBAKABAbABD7gBAQ&sclient=mobile-gws-wiz-serp)

 

ส่วนผู้ใช้งาน iOS (เฉพาะ iOS11 หรือใหม่กว่า) ให้เสิร์ชคำว่า Dinosaur หรือชื่อไดโนเสาร์ 1 ใน 10 สายพันธ์ุบนแอปฯ ของ Google หรือผ่านเว็บไซต์ Google.com บน Chrome และ Safari จากนั้นเลือกดูแบบ 3 มิติ เพียงเท่านี้คุณก็จะได้สัมผัสไดโนเสาร์สายพันธ์ุต่างๆ จากโลก Jurassic World แบบใกล้ชิดแล้ว

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

The post Google เปิดตัว AR ไดโนเสาร์ Jurassic World ชวนสำรวจเพื่อนดึกดำบรรพ์แบบใกล้ชิด appeared first on THE STANDARD.

]]>
แว่นตาอัจฉริยะหลบไป ‘คอนแทคเลนส์ AR’ กำลังจะมา ฉายโฮโลแกรมล้ำๆ ในตาได้ทันที https://thestandard.co/ar-contact-lenses/ Fri, 17 Jan 2020 03:28:14 +0000 https://thestandard.co/?p=321587 คอนแทคเลนส์ AR

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราคงคุ้นเคยกับแว่นตาอัจฉริยะที่หลา […]

The post แว่นตาอัจฉริยะหลบไป ‘คอนแทคเลนส์ AR’ กำลังจะมา ฉายโฮโลแกรมล้ำๆ ในตาได้ทันที appeared first on THE STANDARD.

]]>
คอนแทคเลนส์ AR

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราคงคุ้นเคยกับแว่นตาอัจฉริยะที่หลายค่ายต่างเข็นออกมาประชัน ทั้ง Google Glass, Snapchat Spectacles และ The Magic Leap ทว่าด้วยข้อจำกัดทั้งความไม่สะดวกในการสวมใส่หรือราคาที่ค่อนข้างสูง ทำให้แว่นตาอัจฉริยะเหล่านี้ยังไม่ได้แจ้งเกิดกันเสียที

 

ขณะเดียวกันแว่นตาอัจฉริยะกำลังเจอคู่แข่งที่น่ากลัวขึ้นมาทันที เมื่อ Mojo Vision เทคสตาร์ทอัพในซิลิคอนแวลลีย์ กำลังพยายามสร้าง ‘คอนแทคเลนส์อัจฉริยะตัวแรกของโลก’ ที่นอกจากจะช่วยให้ผู้ที่มีสายตาสั้นสามารถมองเห็นโลกภายนอกได้อย่างชัดเจน ยังทำหน้าที่คล้ายกับ VR (Virtual Reality) อีกด้วย 

 

เทคสตาร์ทอัพอ้างว่า คอนแทคเลนส์อัจฉริยะของพวกเขามีจอแสดงผล 14,000 ppi เทียบให้เห็นชัดเจนคือจอของ iPhone 11 มีการแสดงผลเพียง 326 ppi เท่านั้น ภายในยังมีเซนเซอร์ภาพ คลื่นส่งวิทยุ และเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว ซึ่งจะช่วยในการวางซ้อนภาพและทำให้มีความเสถียร ทั้งหมดนี้จะมีขนาดเล็กจนสามารถในเข้าไปในคอนแทคเลนส์ได้

 

นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นตรงที่สามารถทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์ AR เพราะคอนแทคเลนส์จะสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนในมือ เวลามีแจ้งเตือนสามารถดูได้ทันที ตลอดจนทำหน้าที่นำทาง หรือพิมพ์เขียวของอุปกรณ์ที่กำลังประกอบอยู่ ปรากฏขึ้นเป็นภาพโฮโลแกรมล้ำๆ ในตาได้ทันที

 

Mojo Vision เพิ่งได้รับการระดมทุนในรอบ Series B มูลค่า 58 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนมีนาคมปีก่อน รวมๆ แล้วได้รับการระดมทุนไปทั้งสิ้น 108 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.2 พันล้านบาท หมายมั้นปั้นมือที่จะพัฒนาและวางขาย ‘คอนแทคเลนส์ AR’ ภายในปี 2 ปีต่อจากนี้ หลังจากใช้เวลาพัฒนามานานกว่า 3 ปี

 

อย่างไรก็ตาม ‘คอนแทคเลนส์ AR’ ยังมีความท้าทายหลายด้าน ทั้งต้องพิสูจน์ว่า อุปกรณ์ขนาดเล็กนี้สามารถทำงานได้ด้วยตัวเอง ตลอดจนการทำงานร่วมกันระหว่างแพลตฟอร์ม การขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากคอนแทคเลนส์ถือเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ และยังมีข้อกฎหมายหากผู้ใช้งานไม่ได้มีปัญหาทางสายตา

 

และที่มากกว่านั้นคือ สังคมจะเปิดกว้างกับไอเดีย ‘คอนแทคเลนส์ AR’ มากแค่ไหน ยังเป็นเรื่องที่ต้องจับตาอยู่

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง:

The post แว่นตาอัจฉริยะหลบไป ‘คอนแทคเลนส์ AR’ กำลังจะมา ฉายโฮโลแกรมล้ำๆ ในตาได้ทันที appeared first on THE STANDARD.

]]>
รีบจองตั๋วไปสิงคโปร์! ดูภาพยนตร์ Augmented Reality เรื่องแรก ‘Rewild Our Planet’ https://thestandard.co/rewild-our-planet-2/ Sat, 06 Apr 2019 01:45:34 +0000 https://thestandard.co/?p=232490 Rewild Our Planet

ArtScience Museum ของสิงคโปร์ร่วมกับ Netflix จัดงานเปิด […]

The post รีบจองตั๋วไปสิงคโปร์! ดูภาพยนตร์ Augmented Reality เรื่องแรก ‘Rewild Our Planet’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Rewild Our Planet

ArtScience Museum ของสิงคโปร์ร่วมกับ Netflix จัดงานเปิดตัวภาพยนตร์ Augmented Reality (AR) เรื่องแรกในชื่อ Rewild Our Planet ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีสุดล้ำพาคนดูให้เข้าไปอยู่ในสถานที่ต่างๆ ในธีมแบบอนุรักษ์ธรรมชาติ และเสมือนจริงเหมือนไปสัมผัสด้วยตัวเอง โดยจะแบ่งออกเป็น 4 Biomes หรือ 4 นิเวศวิทยา ได้แก่ Forests of Borneo and India, Oceans of Asia, Grasslands of Mongolia และ Frozen worlds of the Arctic เพื่อให้คนดูอย่างเรามองการอนุรักษ์ธรรมชาติให้กลายเป็นเรื่องสนุก และ ‘ใกล้ตัว’ มากขึ้นไปอีก

 

Rewild Our Planet

 

THE STANDARD มีโอกาสเดินทางไปร่วมประสบการณ์แปลกใหม่ในการชมภาพยนตร์ Augmented Reality เรื่องนี้ที่ ArtScience Museum ประเทศสิงคโปร์รอบแรกของโลก ซึ่งทำให้เรารู้สึกอินกับเรื่องอนุรักษ์ธรรมชาติมากขึ้นอีกเท่าตัว

 

Rewild Our Planet

จากซ้ายไปขวา Honor Harger (Executive Director ArtScience Museum), Kim Stengert (หัวหน้าฝ่าย Strategic Communications and External Relations WWF สิงคโปร์), Miguel de Andrés-Clavera (หัวหน้าฝ่าย Creative Technology Google APAC), Jessica Lee (head of communications ประจำ Netflix Asia) และ Trent Clews-de Castella ผู้ก่อตั้ง Phoria

 

โดย Rewild Our Planet ดึงคอนเทนต์หลักมาจากซีรีส์ใหม่ล่าสุดของ Netflix ที่เข้าฉายแล้วเมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมาในชื่อว่า Our Planet ซึ่ง Netflix ได้ร่วมมือกับ World Wide Fund for Nature หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ WWF โดยเป็นซีรีส์แนวสารคดีจำนวน 8 ตอน และได้ผู้สร้างที่อยู่เบื้องหลัง Blue Planet และ Planet Earth แค่ตัวซีรีส์เองก็ทุ่มทุนสุดๆ ด้วยการถ่ายทำยาวนานถึง 4 ปี และต้องเดินทางไปถ่ายทำกว่า 50 ประเทศทั่วโลกเลยทีเดียว โดยคนที่มาให้เสียงประกอบสารคดีก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น Sir David Attenborough โฆษกชาวอังกฤษที่พากย์สารคดีมาตั้งแต่ปี 1969, เจ้าของรางวัล Emmy และ BAFTA และเจ้าของเสียงที่ใครหลายๆ คนอาจจะคุ้นหูตอนเด็กๆ เวลาดูสารคดี National Geographic (ไม่เชื่อลองฟังเสียงของเขาจากคลิปนี้) ซึ่งเขากล่าวว่าซีรีส์ Our Planet นี้ “จะพาคนดูไปกับการเดินทางอันสุดพิเศษในการค้นพบความงาม ความเปราะบางของโลกและธรรมชาติ”

 

Rewild Our Planet

 

ส่วนเวอร์ชันภาพยนตร์ที่ใช้เทคโนโลยี AR ในชื่อ Rewild Our Planet ก็เป็นการผสานกำลังกันระหว่างยักษ์ใหญ่ทั้ง กองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF), Google, Netflix, Phoria และพิพิธภัณฑ์ศิลปะวิทยาศาสตร์ (ArtScience Museum) ของสิงคโปร์ ทำให้คนดูมีโอกาสได้ชมฟุตเทจจากซีรีส์ Our Planet แบบ 4K พร้อมเทคโนโลยี ARCore จาก Google และจอฉายภาพยนตร์แบบ IMAX ระบบเสียงรอบทิศทาง เมื่อคนดูเดินเข้าไปในห้องที่จัดงานแล้วก็จะพบกับจอขนาดใหญ่ พร้อมพื้นยกระดับกลางห้องที่มีสัญลักษณ์ของ 4 Biomes หรือ 4 นิเวศวิทยา (Forests, Oceans, Grasslands และ Arctic) ติดอยู่ที่พื้น โดยผู้เข้าชมจะได้รับอุปกรณ์เป็น Pixel 2 พร้อมที่จับในการส่องเลนส์ไปยังสัญลักษณ์บนพื้นนั้นๆ เพื่อเริ่มการชม Rewild Our Planet

 

เมื่อมองผ่านจอ Pixel 3 จะเห็นกราฟิกต่างๆ ที่ถูกออกแบบมาให้เข้ากับฟุตเทจของ Our Planet และคนดูสามารถขยับ เดินรอบสถานที่ แล้วมองผ่านจอไปได้โดยจะเห็นกราฟิกต่างๆ แบบรอบทิศทาง เช่น ในหมวดฟอร์เรสต์ คนดูจะสามารถมองเห็นผืนป่าขึ้นมา พร้อมกับกราฟิกนกเงือกที่บินอยู่รอบๆ ห้องด้วย

 

Rewild Our Planet

 

แต่ที่น่ารักไปกว่านั้นคือการออกแบบให้ประสบการณ์การชมภาพยนตร์แบบ Augmented Reality ครั้งนี้เป็นมากกว่าแค่การชมภาพยนตร์เฉยๆ แต่เป็นการร่วมกัน ‘แบ่งปัน’ ประสบการณ์ได้ด้วย โดยในตอนท้ายของภาพยนตร์จะเปิดโอกาสให้ผู้ชมเลือกระบบนิเวศที่ตนเองอยากช่วยเหลือ โดยเดินเข้าไปสแกนสัญลักษณ์บนพื้น จากนั้นบนจอก็จะฉายจำนวนผู้เข้าร่วมทีมกู้ระบบนิเวศหมวดต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น หมวดฟอร์เรสต์ แต่ละคนในทีมก็สามารถช่วยกันปลูกป่าให้กลับมาอุดมสมบูรณ์หลังโดนไฟป่าได้ด้วย ซึ่งชื่อของผู้เข้าร่วมงานทุกคนก็ยังจะถูกบันทึกไว้ทั้งในระบบ Augmented Reality ในงาน (หากมีเพื่อนมาเล่นต่อหลังจากเราอีก 2 อาทิตย์ก็ยังจะเจอชื่อของเราอยู่) รวมทั้งโชว์ในเว็บไซต์ด้วย เพื่อทำให้คนดูไม่เพียงแต่เข้าใจถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับระบบนิเวศเท่านั้น แต่ยังสร้างความต้องการที่จะลงมือช่วยเหลือโลกใบนี้ของเราด้วย

 

เอาเป็นว่าใครอยากมาดูความล้ำอนาคตแบบนี้ด้วยตาของตัวเองก็บินมาสิงคโปร์ได้เลย เพราะภาพยนตร์เรื่อง Rewild Our Planet จะเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมได้ที่พิพิธภัณฑ์ ArtScience Museum ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน ถึง 2 มิถุนายน 2562 เวลา 10.00-19.00 น. ทุกวัน แบบฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ส่วนใครไม่ทันรอบนี้ Rewild Our Planet จะมีฉายอีกครั้งที่ Dolby SoHo นิวยอร์ก และ We The Curious ที่บริสตอล หลังจากนี้ด้วย

 

ภาพ:Marina Bay Sands

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

The post รีบจองตั๋วไปสิงคโปร์! ดูภาพยนตร์ Augmented Reality เรื่องแรก ‘Rewild Our Planet’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Google Maps พัฒนาฟีเจอร์ โชว์ป้าย-ลูกศรนำทางบนหน้าจอด้วยระบบ AR https://thestandard.co/google-maps-ar/ https://thestandard.co/google-maps-ar/#respond Wed, 13 Feb 2019 03:03:50 +0000 https://thestandard.co/?p=197478 google-maps-ar

เมื่อวันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แอปพลิเคชัน Go […]

The post Google Maps พัฒนาฟีเจอร์ โชว์ป้าย-ลูกศรนำทางบนหน้าจอด้วยระบบ AR appeared first on THE STANDARD.

]]>
google-maps-ar

เมื่อวันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แอปพลิเคชัน Google Maps เปิดให้ผู้ใช้งานบางรายใช้ฟีเจอร์เสริมใหม่ที่ผนวกเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality) เพื่อสร้างภาพกราฟิกอย่างป้ายหรือลูกศรบอกทางให้แสดงบนหน้าจอผสานไปกับภาพจริงที่ได้จากการเปิดกล้องโทรศัพท์ หวังให้ผู้ใช้หลงทางน้อยลง

 

เรเชล อิมมาน พนักงาน Google หัวหน้าฝ่ายประสบการณ์ผู้ใช้งาน (User Experience) ของฟีเจอร์ดังกล่าวเปิดเผยว่า Google ต้องการมอบความสะดวกสบายให้ผู้ใช้มากขึ้นเวลาต้องดูแผนที่บนหน้าจอสองมิติและเดินทางจริงๆ บนโลก

 

“พวกเราต่างเคยเจอปัญหาจำพวกเดินออกจากรถไฟฟ้าแล้วก็เดินหลงไปเกือบช่วงตึกก่อนจะรู้ทาง เวลาที่ต้องเดินย้อนกลับมาในทางที่ควรไปตั้งแต่แรกมันเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดมาก” เธอกล่าว

 

ทว่าการปรับใช้เทคโนโลยีนี้เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก และอีกปัญหาหนึ่งคือการให้แอปพลิเคชันทำงานสอดรับวัตถุหรือสถานที่จริงๆ รอบตัวผู้ใช้

 

หากกดเปิดฟีเจอร์นี้ ผู้ใช้จะเห็นภาพชื่อถนนลอยอยู่กลางอากาศ เมื่อหันไปตามทางที่ควรไปก็จะพบกับลูกศรชี้ทาง และเมื่อเดินตามไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหมายก็จะพบหมุดสีแดงขนาดใหญ่ปักอยู่ อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้ยังมีสิ่งที่ต้องพัฒนาอีกมาก เพราะบางครั้งภาพเสมือนที่ควรจะนำทางผู้ใช้ก็หายไปเอง

 

การระบุตำแหน่งของผู้ใช้และทิศทางที่หันอยู่ถือเป็นอีกเรื่องที่ทำให้ต้องใช้เวลาในการปรับปรุงเทคโนโลยีนี้อย่างมาก

 

โดยปกติแล้วสมาร์ทโฟนจะใช้ GPS และเข็มทิศในเครื่องเพื่อระบุตำแหน่งและทิศทางของผู้ใช้ แต่ปัญหาก็อาจเกิดขึ้นได้ในเมืองใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นอาคารสูงที่รบกวนการส่งคลื่นวิทยุเพื่อระบุพิกัด GPS จากดาวเทียมนอกโลก และสัญญาณหรือคลื่นแม่เหล็กจากวัตถุต่างๆ รอบตัวที่ทำให้เข็มทิศอาจทำงานได้ไม่สมบูรณ์

 

นอกจากนี้ Google ยังใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ช่วยพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อใช้แยกแยะตำแหน่งและวัตถุรอบข้างผู้ใช้งาน ซึ่งผนวกเข้ากับฐานข้อมูลสตรีทวิวที่เก็บสะสมมานับสิบปี และฟีเจอร์ยังเปิดให้มีระบบเรียนรู้เอง (Machine Learning) เพื่อให้จำแนกว่าสิ่งใดเหมือนเดิมหรือสิ่งใดที่ไม่ควรนำมาประกอบการคำนวณ อาทิ ต้นไม้ที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล

 

ปัจจุบัน Google ยังไม่ระบุว่าจะให้ผู้ใช้งานทั่วไปได้สัมผัสฟีเจอร์ใหม่นี้ได้เมื่อใด คาดการณ์กันว่าหน้าตาของฟีเจอร์อาจจะแตกต่างออกไปเมื่อถึงมือผู้ใช้งานทั่วไปแล้ว

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

The post Google Maps พัฒนาฟีเจอร์ โชว์ป้าย-ลูกศรนำทางบนหน้าจอด้วยระบบ AR appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/google-maps-ar/feed/ 0