Anthony Albanese – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 06 Mar 2024 03:23:25 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 นายกฯ หารือผู้นำอาเซียน-ออสเตรเลีย ผลักดันความเชื่อมโยงไร้รอยต่อทุกมิติ https://thestandard.co/srettha-meets-with-asean-australia-leaders/ Wed, 06 Mar 2024 03:23:25 +0000 https://thestandard.co/?p=907734

วันนี้ (6 มีนาคม) ที่ Melbourne Convention and Exhibiti […]

The post นายกฯ หารือผู้นำอาเซียน-ออสเตรเลีย ผลักดันความเชื่อมโยงไร้รอยต่อทุกมิติ appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (6 มีนาคม) ที่ Melbourne Convention and Exhibition Centre นครเมลเบิร์น เครือรัฐออสเตรเลีย เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยผู้นำอาเซียนและ แอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย เข้าร่วมการประชุมเต็มคณะของผู้นำอาเซียน-ออสเตรเลีย ในโอกาสครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-ออสเตรเลีย ภายใต้หัวข้อ ‘ASEAN-Australia Cooperation under ASEAN’s Three Community Pillars’ 

 

นายกรัฐมนตรีพร้อมผู้นำอาเซียนและออสเตรเลีย ต่างยินดีที่อาเซียนและออสเตรเลียได้ร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-ออสเตรเลีย โดยออสเตรเลียนับเป็นประเทศแรกที่ได้รับสถานะประเทศคู่เจรจาของอาเซียน ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างมีความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือให้ใกล้ชิดมากขึ้น จนนำไปสู่การยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน พร้อมเสนอให้ที่ประชุมฯ ใช้โอกาสที่สถานการณ์โลกปัจจุบันแบ่งเป็นหลายขั้ว กระชับความร่วมมือทั้งภายในภูมิภาคและระดับโลก เพื่อนำมาซึ่งสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองของอาเซียนและออสเตรเลีย ผ่านการผลักดันความร่วมมือ 

 

ผลักดันความเชื่อมโยงทุกมิติ-ส่งเสริมพลังงานสะอาด

 

โดยนายกรัฐมนตรีได้ระบุ 2 ประเด็นเร่งด่วน ซึ่งจะทำให้เกิดสันติสุขและความมั่นคง ดังนี้

 

ประการแรก การส่งเสริมความเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อในทุกมิติ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้อาเซียนและออสเตรเลียใช้ประโยชน์จากศักยภาพอย่างเต็มที่ ผ่านการสนับสนุนความเชื่อมโยงในมิติต่างๆ ดังนี้

 

  • ความเชื่อมโยงการค้าและด้านการลงทุน ซึ่งจะส่งเสริมมูลค่าทางการค้าระหว่างกัน และใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี ทั้งกรอบ RCEP และความตกลงเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (AANZFTA)

 

  • ความเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อส่งเสริมการขนส่งอย่างไร้รอยต่อ โดยเสนอให้ออสเตรเลียซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านระบบการจัดการท่าเรือ กระชับความร่วมมือกับอาเซียนซึ่งอยู่ระหว่างพัฒนาเอกสารแนวทางสำหรับท่าเรืออัจฉริยะ รวมทั้งเชิญชวนออสเตรเลียเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการแลนด์บริดจ์ EEC ระบบขนส่งทางราง และสนามบินด้วย

 

  • ความเชื่อมโยงด้านดิจิทัล ผ่านการลงทุนในการเปลี่ยนผ่านไปสู่นวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านดิจิทัล ซึ่งปัจจุบันอาเซียนกำลังพัฒนากรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (DEFA) ที่ถือเป็นกรอบข้อตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลฉบับแรกของโลก และคาดว่าจะเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียนได้ 2 เท่า หรือ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมหวังว่าออสเตรเลียจะใช้ข้อริเริ่มออสเตรเลียสำหรับอาเซียน เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัล และการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของอาเซียนในอนาคตด้วย

 

  • ความเชื่อมโยงระหว่างประชาชน ด้วยซอฟต์พาวเวอร์และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ต้องการการลงทุนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ควบคู่กับการส่งเสริมการไปมาหาสู่ระหว่างกันของประชาชน ซึ่งไทยหวังว่าทุนจากออสเตรเลียที่มอบให้นักเรียนในอาเซียน และการจัดตั้งศูนย์ ASEAN-Australia จะส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการศึกษา ศิลปะ วัฒนธรรม และการอบรมเพิ่มพูนทักษะ ระหว่างกันมากยิ่งขึ้น รวมทั้งหวังว่าออสเตรเลียจะอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าให้กับประเทศในอาเซียน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและการดำเนินธุรกิจระหว่างกันให้สะดวกมากยิ่งขึ้น

 

ประการที่สอง การส่งเสริมวาระสีเขียวในภูมิภาค โดยสนับสนุนการลงทุนในเศรษฐกิจสีเขียว และการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานสะอาด ซึ่งออสเตรเลียสามารถเข้ามามีส่วนร่วมกับอาเซียน ในการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า การลงทุนในพลังงานที่สะอาดและยั่งยืน การเงินสีเขียวผ่านพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน และการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม รวมทั้งหวังว่าออสเตรเลียจะร่วมแบ่งปันเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญในการจัดการคาร์บอน และตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต เพื่อรองรับยุทธศาสตร์อาเซียนเพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอน 

 

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรียังแสดงเจตนารมณ์ที่จะร่วมมือกับทุกฝ่าย ในการกระชับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน เพื่อมุ่งไปสู่ภูมิภาคที่เชื่อมโยงและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้นในอนาคต

 

ร่วมพิธีต้อนรับประมุข ก่อนบินไปเยอรมนี

 

จากนั้นนายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมพิธีต้อนรับประมุขประเทศ และหัวหน้ารัฐบาล โดยผู้สำเร็จราชการประจำรัฐวิกตอเรีย ก่อนจะร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวัน โดยผู้สำเร็จราชการประจำรัฐวิกตอเรียเป็นเจ้าภาพ 

 

ช่วงบ่ายนายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมการประชุมอย่างไม่เป็นทางการของผู้นำอาเซียน-ออสเตรเลีย และในช่วงเย็นจะเข้าร่วมพิธีอำลาผู้นำอย่างไม่เป็นทางการ ณ ทำเนียบผู้สำเร็จราชการประจำรัฐวิกตอเรีย ก่อนเดินทางออกจากท่าอากาศยานเมลเบิร์น ไปยังกรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีต่อไป

The post นายกฯ หารือผู้นำอาเซียน-ออสเตรเลีย ผลักดันความเชื่อมโยงไร้รอยต่อทุกมิติ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เศรษฐาหารือ 3 ผู้นำ ออสเตรเลีย-มาเลเซีย-สปป.ลาว ส่งเสริมท่องเที่ยวเชื่อมโยง 6 ประเทศอาเซียน สวมถุงเท้าโคอาลา โชว์ผ้าพันคอไทย https://thestandard.co/srettha-discusses-3-leaders/ Tue, 05 Mar 2024 03:19:02 +0000 https://thestandard.co/?p=907258

วันนี้ (5 มีนาคม) ตามเวลาท้องถิ่นนครเมลเบิร์น เครือรัฐอ […]

The post เศรษฐาหารือ 3 ผู้นำ ออสเตรเลีย-มาเลเซีย-สปป.ลาว ส่งเสริมท่องเที่ยวเชื่อมโยง 6 ประเทศอาเซียน สวมถุงเท้าโคอาลา โชว์ผ้าพันคอไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (5 มีนาคม) ตามเวลาท้องถิ่นนครเมลเบิร์น เครือรัฐออสเตรเลีย ซึ่งเร็วกว่าไทย 4 ชั่วโมง เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีกำหนดการพบหารือกับผู้นำมาเลเซีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เครือรัฐออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ รวมถึงหารือกับผู้บริหารบริษัทต่างๆ ระหว่างร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์

 

หารือมาเลเซีย ส่งเสริมท่องเที่ยวเชื่อมโยง 6 ประเทศอาเซียน

 

นายกรัฐมนตรีเปิดเผยถึงการหารือทวิภาคีกับ ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในประเด็นจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ได้หารือถึงการเปิดพื้นที่ชายแดนเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจชายแดน และการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศให้ดียิ่งขึ้น 

 

ส่วนเรื่องการส่งเสริมความร่วมมือท่องเที่ยวเชื่อมโยง 6 ประเทศอาเซียน ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวของทุกประเทศเห็นด้วย และจะนำมาพูดคุยต่อยอดอีกครั้ง ยกเลิกการกรอกใบ ตม.6 เพื่อที่นักท่องเที่ยวเมืองอื่นๆ บริเวณชายแดน นอกเหนือจากด่านสะเดา จะสามารถเดินทางมาเที่ยวไทยได้สะดวก รวมถึงได้พูดคุยเรื่องตั๋วเครื่องบินที่มีราคาแพง รวมทั้งช่วงเวลา Takeoff ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวบางกลุ่ม และการทำความร่วมมือเรื่องการลงทุนอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล โดยสำนักงานฮาลาลของทั้งสองประเทศจะมาพูดคุยกัน พร้อมหารือเกี่ยวกับการท่องเที่ยวใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ เป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญควบคู่ไปกับด้านความมั่นคง ซึ่งทั้งสองฝ่ายพร้อมที่จะร่วมมือเพื่อความสงบสุข

 

นายกรัฐมนตรียังได้แนะนำนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเกี่ยวกับกิจกรรม ITB ที่เบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และงาน MIPIM 2024 ที่เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส ว่าตนเองจะไปร่วมงานและจะแชร์ข้อมูล เพราะมาเลเซียก็อยากโปรโมตเรื่องการท่องเที่ยวเช่นกัน ส่วนการประชาสัมพันธ์จะเป็นรูปแบบภูมิภาคหรือไม่ จะเน้นที่ประเทศไทยก่อน และตรงไหนที่สามารถช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านได้ก็ยินดี และอยากส่งเสริมให้คนไทยไปเที่ยวมาเลเซียให้มากขึ้น 

 

หารือขายยาง ส่งโรงงานผลิตถุงมือมาเลเซีย

 

นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า ได้พบเจอกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียบ่อยครั้ง และวันนี้ก็เป็นการติดตามงานแต่ละโครงการ ซึ่งได้พูดคุยถึงเรื่องยางพาราที่มาเลเซียนำเข้าจำนวนมาก เพราะมีโรงงานผลิตถุงมือและถุงยางอนามัยจำนวนมาก จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ให้ติดต่อการขายยางให้กับมาเลเซีย ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดี โดยขณะนี้ราคายางพาราค่อนข้างสูง เพราะในสต็อกมีจำนวนน้อย แต่หากทราบออร์เดอร์ล่วงหน้าก็จะสามารถรักษาราคาที่ต้องการขายไว้ได้ 

 

ผลักดันความร่วมมือไทย-สปป.ลาว

 

ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า วันนี้เป็นโอกาสดีที่จะได้พบหารือกับ สอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ซึ่งจะผลักดันความร่วมมืออย่างเต็มที่ แม้วันนี้เป็นการหารือกลุ่มเล็ก เพราะเราเป็นบ้านใกล้เรือนเคียง  

 

โดยในเดือนพฤษภาคมนี้ จะเริ่มการเดินรถจากหนองคายไปเวียงจันทน์ ทั้งนี้ ยังได้พูดคุยกันถึงการสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 บึงกาฬ-บอลิคำไซ ที่คาดว่าจะสามารถเปิดใช้งานได้ในปีนี้ ทั้งนี้ ไทยเราได้เริ่มศึกษาออกแบบสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ เพื่อรองรับการเดินทางใน 5-6 ปีข้างหน้า 

 

นอกจากนี้ตนจะไปร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดงานครบรอบ 30 ปี สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1 ซึ่งจังหวัดหนองคาย นครหลวงเวียงจันทน์ และออสเตรเลีย จะร่วมกันจัดในวันที่ 21 เมษายนนี้ เพื่อเฉลิมฉลองให้กับมิตรภาพระหว่างสองประเทศ และส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกันด้วย

 

เตรียมหารือออสเตรเลีย เหมืองแร่โปแตช

 

นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า จะได้หารือกับ แอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย พูดคุยเรื่องการค้าการลงทุน ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างสองประเทศ (TAFTA) การแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนกับประชาชน รวมถึงเรื่องเหมืองแร่โปแตชที่ออสเตรเลียสนใจจะไปลงทุนในไทย ตลอดจนเรื่องการศึกษาและเกษตรแม่นยำ



ด้านการท่องเที่ยวและการศึกษา นายกรัฐมนตรีพร้อมส่งเสริมการท่องเที่ยว การจัดทำ MOU ด้านการท่องเที่ยวระหว่างกัน โดยเสนอแนะให้มีการส่งเสริมเที่ยวบินตรงระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มจำนวนโควตา Work and Holiday Visa ไทย-ออสเตรเลีย 

 

ขณะที่ด้านการศึกษา ยินดีส่งเสริมการตั้งสาขาของสถาบันการศึกษาออสเตรเลียในไทย ส่งเสริมหลักสูตรอาชีวศึกษา โดยเน้นการแลกเปลี่ยนบุคลากรและร่วมพัฒนาหลักสูตร รวมถึงอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตราระหว่างกันเพื่อตอบโจทย์ความร่วมมือทางการศึกษา

 

ถุงเท้าโคอาลา-ผ้าพันคอกาฬสินธุ์

 

ทั้งนี้ ระหว่างช่วงพัก ก่อนการหารือผู้นำประเทศต่างๆ นายกรัฐมนตรีได้ไปเดินเล่นบริเวณด้านหลังโรงแรมที่พัก ใกล้กับสะพาน Evan Walker ซึ่งเป็นเส้นทางเลียบแม่น้ำ Yarra โดยแต่งชุดสูทสากล สวมผ้าพันคอเป็นลายผ้าขาวม้าสีเหลือง-ดำ ที่ชาวบ้านจังหวัดกาฬสินธุ์มอบให้จากการลงพื้นที่ เมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา พร้อมโชว์ถุงเท้าลายโคอาลา ซึ่ง พล.อ. เดวิด เฮอร์ลีย์ ผู้สำเร็จราชการแห่งเครือรัฐออสเตรเลีย มอบให้เป็นของขวัญจำนวน 2 คู่ โดยอีกหนึ่งคู่เป็นลายกิ้งก่าและจิงโจ้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของออสเตรเลีย ในวันพรุ่งนี้จะดูชุดที่สวมว่าเหมาะสมที่จะใส่ถุงเท้าลายกิ้งก่าและจิงโจ้หรือไม่

 

The post เศรษฐาหารือ 3 ผู้นำ ออสเตรเลีย-มาเลเซีย-สปป.ลาว ส่งเสริมท่องเที่ยวเชื่อมโยง 6 ประเทศอาเซียน สวมถุงเท้าโคอาลา โชว์ผ้าพันคอไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
เศรษฐาหารือนายกฯ แคนาดา-ออสเตรเลีย เจรจา FTA ดึงลงทุนในไทย https://thestandard.co/srettha-discusses-with-canada-australia-pm/ Fri, 17 Nov 2023 06:07:33 +0000 https://thestandard.co/?p=866716 Srettha and Trudeau

วันนี้ (16 พฤศจิกายน) (ตามเวลาท้องถิ่นนครซานฟรานซิสโก ส […]

The post เศรษฐาหารือนายกฯ แคนาดา-ออสเตรเลีย เจรจา FTA ดึงลงทุนในไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
Srettha and Trudeau

วันนี้ (16 พฤศจิกายน) (ตามเวลาท้องถิ่นนครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา) ที่ศูนย์การประชุมมอสโคนีเซ็นเตอร์ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หารือทวิภาคีกับ จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา และ แอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีเครือรัฐออสเตรเลีย

 

หารือแคนาดา เจรจา FTA 

 

นายกรัฐมนตรีระบุว่า การเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้เพื่อประกาศให้ทราบว่า ประเทศไทยเปิดแล้ว และพร้อมรับการลงทุน การเกิดสถานการณ์ระหว่างประเทศทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตมาภูมิภาคอาเซียน เช่น ไทย และเวียดนาม มากขึ้น โดยมีภาคเอกชนชั้นนำต่างประเทศเข้ามาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทยมากขึ้น ในครั้งนี้มีโอกาสได้พบหารือกับภาคเอกชนชั้นนำหลายรายที่กำลังพิจารณาใช้ไทยเป็นฐานการผลิต 

 

ด้านนายกรัฐมนตรีแคนาดากล่าวว่า แคนาดาพร้อมทำงานร่วมกับรัฐบาลของไทยทั้งในระดับทวิภาคีและภูมิภาค ซึ่งสถานการณ์ระหว่างประเทศทำให้ภาคเอกชนจะต้องเพิ่มศักยภาพความยืดหยุ่นในภาคการผลิตมากขึ้น รวมทั้งกระชับความร่วมมือระหว่างประเทศให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นด้วย ไทยถือเป็นประเทศคู่ค้ารายสำคัญของแคนาดา อย่างไรก็ตาม ไทยและแคนาดายังไม่มี FTA ระหว่างกัน โดยทั้งสองฝ่ายเห็นว่าความตกลง FTA ระหว่าง ASEAN-Canada ซึ่งกำลังเจรจากันอยู่น่าจะเป็นโอกาสที่ดีให้ทั้งสองฝ่ายใช้ประโยชน์จาก FTA ดังกล่าว

 

ไทยเตรียมบินถกร่วม อาเซียน-ออสเตรเลีย เดือนมีนาคม 2567

 

เศรษฐายืนยันความพร้อมที่จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดสมัยพิเศษ เพื่อฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-ออสเตรเลียในเดือนมีนาคม 2567 ซึ่งจะพาภาคเอกชนร่วมคณะไปด้วย โดยไทยและออสเตรเลียมี FTA ที่มีความก้าวหน้ามาก มีการแลกเปลี่ยนและความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนที่ใกล้ชิด การท่องเที่ยวเป็นนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลและเศรษฐกิจไทย โดยคนออสเตรเลียนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยจำนวนมาก ในขณะที่คนไทยก็นิยมท่องเที่ยวออสเตรเลีย เนื่องจากมีความปลอดภัย ทั้งนี้ มีบริษัทชั้นนำย้ายฐานการผลิตมาไทยเป็นจำนวนมาก เช่น ด้านรถยนต์ไฟฟ้า การตั้งศูนย์ Data Center รวมถึงจะมาลงทุนในไทยด้วย

 

ด้านนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียแสดงความยินดี และเชื่อมั่นในการเข้ารับตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี และไทยถือเป็นหุ้นส่วนที่สำคัญของออสเตรเลีย ทั้งทวิภาคีและในกรอบอาเซียน โดยออสเตรเลียมีคนไทยอาศัยอยู่จำนวนมากทั้งภาคธุรกิจและอาหาร เป็นต้น รวมถึงมีความร่วมมือสถาบันการศึกษาระหว่างกันอย่างดี อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน อัตราเงินเฟ้อสูงมากเนื่องจากสถานการณ์ระหว่างประเทศจึงทำให้สินค้าในประเทศราคาสูงขึ้นและประชาชนได้รับผลกระทบ

 

นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียยังยินดีที่ผู้นำอาเซียนทุกท่านได้ตอบรับเข้าร่วมการประชุมอาเซียน-ออสเตรเลียแล้ว ทั้งนี้เศรษฐกิจระหว่างออสเตรเลียกับอาเซียนมีความเกื้อหนุนกันอย่างดี ทั้งนี้ ยังได้กล่าวชื่นชมการจัดการประชุม APEC ปี 2022 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพว่าประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง

 

The post เศรษฐาหารือนายกฯ แคนาดา-ออสเตรเลีย เจรจา FTA ดึงลงทุนในไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีน-ออสเตรเลีย ในความสัมพันธ์แบบ Frenemy ที่ต่างยังต้องการกันและกัน https://thestandard.co/china-australia-frenemy/ Mon, 06 Nov 2023 13:11:13 +0000 https://thestandard.co/?p=863057

อาจกล่าวได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับออสเตรเลียช่วงตล […]

The post จีน-ออสเตรเลีย ในความสัมพันธ์แบบ Frenemy ที่ต่างยังต้องการกันและกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>

อาจกล่าวได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับออสเตรเลียช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมาเป็นในรูปแบบที่เรียกว่า Frenemy คือเป็นทั้งเพื่อน (Friend) และอาจเป็นทั้งอริ (Enemy) ในเวลาเดียวกัน หรือถึงแม้อาจจะอยากเลิกคบก็เลิกคบไม่ได้ และต่างฝ่ายต่างก็ยังต้องการกันและกันอยู่ 

 

ความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะตกต่ำลงในระยะหลังๆ ของทั้งสองประเทศ ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการกล่าวหาและโจมตีกันในประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน ท่ามกลางความสัมพันธ์ทางด้านการทหารที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นระหว่างออสเตรเลียกับสหรัฐอเมริกา รวมถึงมุมมองและการรับรู้ถึงการเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของอีกฝ่ายก็มีแนวโน้มที่เด่นชัดขึ้น เช่น ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดโดย Lowy Institute ที่สอบถามความเห็นของพลเมืองออสเตรเลียว่า ‘มีความเป็นไปได้ หรือไม่น่าเป็นไปได้ ที่จีนจะกลายเป็นภัยคุกคามทางทหารต่อออสเตรเลียในอีก 20 ปีข้างหน้า’ ซึ่งราว 75% ตอบว่า มีความเป็นไปได้ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงมากเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

ความเคลื่อนไหวสำคัญล่าสุดคือ แอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียคนปัจจุบัน เดินทางเยือนจีนเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ถือเป็นผู้นำออสเตรเลียคนแรกในรอบ 7 ปีที่เดินทางเยือนประเทศจีน โดยเขายังได้พบกับ สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน และ หลี่เฉียง นายกรัฐมนตรี อีกด้วย 

 

ออสเตรเลีย (ยัง) ต้องการจีน 

 

การตัดสินใจเยือนจีนของผู้นำออสเตรเลียในช่วงที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศอยู่ในช่วงตกต่ำครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นอย่างเด่นชัดแล้วว่า ออสเตรเลียยังต้องการจีน ถึงแม้ว่าออสเตรเลียจะวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนของจีนอยู่บ่อยครั้ง รวมถึงเรียกร้องให้มีการตรวจสอบถึงต้นตอของการแพร่ระบาดโควิดในจีน ขณะเดียวกันออสเตรเลียก็มีความใกล้ชิดกับรัฐบาลสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในด้านความมั่นคง ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่ทำให้รัฐบาลจีนไม่สบายใจทั้งสิ้น 

 

แต่ด้วยผลประโยชน์ทางด้านการค้าและการลงทุนก็เลยทำให้ออสเตรเลียผละมือออกจากจีนไม่ได้ แม้จะมีมุมมองด้านความมั่นคงที่แตกต่างกันก็ตาม โดยความสัมพันธ์ทางด้านการค้าระหว่างออสเตรเลียกับจีนยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปี 2020 ที่สินค้าส่งออกเกือบครึ่งหนึ่งของออสเตรเลียส่งไปขายที่จีน ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรในช่วงเวลาเดียวกัน 

 

โดยในปี 2021 ปริมาณการค้าระหว่างออสเตรเลียกับจีนมีมูลค่าสูงถึงราว 2.31 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเติบโตถึง 35.1% โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเข้าสินค้าออสเตรเลียของจีนที่มีมูลค่า 1.65 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 40.6% เมื่อเทียบกับปี 2020

 

แต่อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาจีนมักใช้แนวทางการกำหนดภาษีและเพิ่มข้อจำกัดให้กับสินค้าบางชนิดของออสเตรเลีย เพื่อเป็นการส่งสัญญาณถึงความไม่พอใจที่เกิดขึ้นจากประเด็นปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น การเดินทางเยือนจีนของอัลบาเนซีในครั้งนี้จึงมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีกับจีน และเรียกร้องให้จีนผ่อนปรนข้อจำกัดทางการด้านค้าระหว่างกัน 

 

ความเคลื่อนไหวนี้ยังตอกย้ำความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในโอกาสครบรอบ 50 ปีของการเดินทางเยือนจีนครั้งประวัติศาสตร์ในปี 1973 ของ กอฟ วิตลัม นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียในขณะนั้น ซึ่งถือเป็นผู้นำออสเตรเลียคนแรกที่เดินทางเยือนจีน หลังจากออสเตรเลียสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์

 

จีนก็ต้องการออสเตรเลีย (ด้วย)

 

จีนมองออสเตรเลียในฐานะพันธมิตรทางด้านการค้าที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติ โดยจีนพึ่งพาสินค้าและวัตถุดิบจากออสเตรเลียอย่างมากเพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของตนเอง โดยเฉพาะแร่เหล็กและก๊าซธรรมชาติ 

 

รัฐบาลจีนเริ่มตระหนักว่า มาตรการและข้อจำกัดทางเศรษฐกิจของจีนอาจมีส่วนผลักให้ออสเตรเลียเข้าใกล้กับสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้น เราจึงเห็นความพยายามของรัฐบาลจีนในการผ่อนปรนข้อจำกัดต่างๆ รวมถึงเปิดช่องทางการติดต่อสื่อสารระหว่างกันให้เป็นปกติ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และใช้เป็นช่องทางในการโน้มน้าวออสเตรเลียให้ขยับออกจากมหาอำนาจนอกภูมิภาคอย่างสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้น

 

นอกจากนี้ จีนเองก็ยังต้องการแรงสนับสนุนจากออสเตรเลียในการผลักดันเข้าเป็นสมาชิกของข้อตกลงความครอบคลุมและความก้าวหน้าเพื่อหุ้นส่วนทางการค้าภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก (CPTPP) หลังสหรัฐฯ ถอนตัวออกไปในสมัย โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจนถึงขณะนี้มีหลายประเทศรวมถึงออสเตรเลียเอง ที่ยังคงแสดงท่าทีขัดขวางการเข้าร่วมกลุ่มของจีน

 

THE STANDARD ถามความเห็น ภากร กัทชลี อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถึงความสัมพันธ์แบบ ‘Frenemy’ ของจีนและออสเตรเลียว่าสะท้อนนัยอะไร และความสัมพันธ์นี้เกี่ยวพันกับการเมืองและเศรษฐกิจโลกมากน้อยแค่ไหน

 

ภากรกล่าวว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับออสเตรเลียเป็นหนึ่งในความสัมพันธ์ทวิภาคีที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน เท่าที่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็มากกว่า 250 ปี โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางการค้า โดยตลาดจีนถือเป็นตลาดส่งออกสำคัญของออสเตรเลีย ในช่วงปี 2020 มากกว่า 40% ของมูลค่าส่งออกของออสเตรเลียเกิดขึ้นที่จีน

 

“ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศที่เริ่มส่อเค้าถึงปัญหา นับตั้งแต่ปี 2018 ที่จีนมีประเด็นพิพาททางการค้ากับสหรัฐฯ และกระทบไปยังพันธมิตรของสหรัฐฯ อย่างออสเตรเลียด้วย โดยเฉพาะประเด็นสินค้าทางด้านเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างโทรคมนาคม ผ่านการกีดกัน Huawei บริษัทเรือธงด้านเทคโนโลยีของจีน ที่สหรัฐฯ รวมถึงพันธมิตรอย่างออสเตรเลีย มีความกังวลด้านความปลอดภัยและความเสี่ยงเรื่องของข้อมูลที่อาจถูกส่งไปยังรัฐบาลจีนผ่านทางอุปกรณ์สื่อสารดังกล่าว ทำให้เริ่มมีการตั้งข้อจำกัดทางการค้าขึ้น และยิ่งปะทุหนักขึ้นไปอีกเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด ซึ่งออสเตรเลียเองก็ร่วมวงกับสหรัฐฯ และพันธมิตรอีกบางประเทศในการตั้งข้อสงสัยจีนเกี่ยวกับต้นตอของการแพร่ระบาด รวมไปถึงกรณีที่นักข่าวของจีนถูกหน่วยข่าวกรองออสเตรเลียบุกค้น ก็ทำให้ความขัดแย้งยิ่งมากขึ้น จีนจึงเริ่มโต้ตอบด้วยมาตรการต่างๆ ทั้งทางการค้าและการเมือง

 

“นอกจากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันระหว่างออสเตรเลียกับสหรัฐฯ แล้ว อิทธิพลทางการเมืองของจีนที่เริ่มแผ่ขยายไปมาก โดยเฉพาะในเอเชีย รวมถึงภูมิภาคอาเซียนที่ออสเตรเลียเองก็มีอิทธิพลอยู่แต่เดิม ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างออสเตรเลียกับจีนตึงเครียดและเย็นชาขึ้นในระยะหลัง

 

“แต่ล่าสุดในปีนี้ การเดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียสะท้อนจุดยืนว่า ออสเตรเลียพร้อมที่จะปรับปรุงความสัมพันธ์ทวิภาคีกับจีน และลดอุปสรรคทางการค้ากับจีน โดยเราคงได้เห็นการหยุดใช้มาตรการภาษีกับสินค้าสำคัญหลายชนิดจากออสเตรเลีย อาทิ ไวน์ ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ เพราะมีการส่งสัญญาณบ่งชี้มาแล้วตั้งแต่ที่ผู้นำออสเตรเลียยืนยันว่าจะเดินทางเยือนจีน

 

“แน่นอนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ส่งผลต่อเศรษฐกิจจีนและออสเตรเลียอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในด้านการค้า เพราะจีนเองก็ต้องการที่จะขยายตลาดออกไปให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะสินค้าเรือธงตามนโยบายที่จีนดำเนินอยู่อย่างสินค้าเทคโนโลยี และจีนเองก็จำเป็นต้องใช้สินค้าบางชนิดที่นำเข้าจากออสเตรเลีย ขณะเดียวกันออสเตรเลียเองก็ต้องการส่งออกไปจีน เพราะจีนมีตลาดขนาดใหญ่และมีกำลังซื้อสูง

 

“สำหรับเศรษฐกิจโลก ด้วยความที่เศรษฐกิจจีนเองก็เป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลก และออสเตรเลียก็ถือเป็นประเทศสำคัญของโลกเช่นกัน ถ้าหากทั้งสองประเทศยังคงปล่อยให้ความขัดแย้งขยายตัวต่อไปก็จะสร้างแรงกระเพื่อมต่อทั้งเศรษฐกิจโลกและห่วงโซ่อุปทานโลกไม่น้อย”

 

ภากรยังอธิบายอีกว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับออสเตรเลียในขณะนี้ก็เหมือนกับความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับประเทศในสหภาพยุโรปขณะนี้ ที่เราได้เห็นว่าจีนและสหภาพยุโรปมีการหารือและเดินทางเยือนกันและกันมากขึ้น เพราะต่างฝ่ายต่างต้องพึ่งพากัน เรื่องทั้งการค้าและการเมืองระหว่างประเทศ เราได้เห็นท่าทีของจีนที่ยืนยันว่าจะใช้การเจรจาอย่างใกล้ชิดในการแก้ไขปัญหา หากทางสหภาพยุโรปมีการตั้งกำแพงกีดกันการค้า สินค้าจำพวกรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จากจีน ซึ่งบ่งบอกได้ว่าจีนต้องการที่จะใช้วิธีที่อ่อนขึ้น ไม่แข็งกร้าวเหมือนแต่ก่อน เพราะตอนนี้เศรษฐกิจจีนเองก็มีการชะลอตัวและได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกและภายนอกอยู่แล้ว ซึ่งก็สามารถเทียบเคียงได้กับกรณีของออสเตรเลียเช่นเดียวกัน

 

“อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งที่ผ่านมาระหว่างจีนกับออสเตรเลียก็ส่งผลเชิงบวกมายังประเทศในแถบอาเซียน แอฟริกา และอื่นๆ ในแถบเส้นทาง BRI มากขึ้น เพราะจีนต้องการหาตลาดและคู่ค้าใหม่ โดยเฉพาะในอาเซียน เราจึงเห็นว่าจีนมุ่งเป้ามาที่ภูมิภาคเหล่านี้ทั้งการค้า การลงทุน ความสัมพันธ์ระดับรัฐต่อรัฐ และการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนที่เปลี่ยนทิศมาจากออสเตรเลีย ซึ่งจะเห็นได้จากจำนวนนักเรียนจีนที่ไปเรียนในออสเตรเลียเริ่มลดลง แต่มาในแถบอาเซียน เช่น สิงคโปร์ รวมถึงประเทศไทยมากยิ่งขึ้น”

 

ภาพ: James Brickwood / Sydney Morning Herald via Getty Images

อ้างอิง: 

The post จีน-ออสเตรเลีย ในความสัมพันธ์แบบ Frenemy ที่ต่างยังต้องการกันและกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ออสเตรเลียเตรียมผลักดันกฎหมาย ขวางรัสเซียสร้างสถานทูตใหม่ใกล้รัฐสภา ชี้ภัยคุกคามความมั่นคง https://thestandard.co/australia-block-russian-embassy-near-parliament/ Thu, 15 Jun 2023 03:19:11 +0000 https://thestandard.co/?p=803697 Anthony Albanese

วันนี้ (15 มิถุนายน) แอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเ […]

The post ออสเตรเลียเตรียมผลักดันกฎหมาย ขวางรัสเซียสร้างสถานทูตใหม่ใกล้รัฐสภา ชี้ภัยคุกคามความมั่นคง appeared first on THE STANDARD.

]]>
Anthony Albanese

วันนี้ (15 มิถุนายน) แอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย เปิดเผยว่า รัฐบาลออสเตรเลียจะเสนอกฎหมายฉบับใหม่เข้าสู่รัฐสภา เพื่อยกเลิกสัญญาเช่าที่ดินของรัสเซียที่อยู่ใกล้กับอาคารรัฐสภาในกรุงแคนเบอร์รา ซึ่งรัสเซียวางแผนก่อสร้างเป็นอาคารสถานเอกอัครราชทูตแห่งใหม่ โดยระบุเหตุผลว่าเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ

 

ปัจจุบันรัสเซียถือครองสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าว หลังทำข้อตกลงกับ National Capital Authority ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลกลาง มาตั้งแต่ปี 2008 และได้รับการอนุมัติให้ก่อสร้างสถานทูตแห่งใหม่เมื่อปี 2011

 

ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างออสเตรเลียกับรัสเซียย่ำแย่ลง จากการที่รัสเซียเปิดฉากรุกรานยูเครน ส่งผลให้รัฐบาลแคนเบอร์ราพยายามล้มเลิกข้อตกลงดังกล่าว

 

โดยเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว รัฐบาลออสเตรเลียได้ประกาศว่าจะยุติสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าว เนื่องจากรัสเซียละเมิดเงื่อนไขอนุมัติการก่อสร้าง 

 

ความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้เกิดขึ้นหลังศาลรัฐบาลกลางมีคำพิพากษาในคดีฟ้องร้องเกี่ยวกับสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าว ซึ่งศาลตัดสินให้คำสั่งฟ้องขับไล่ของ National Capital Authority นั้นไม่ถูกต้อง ส่งผลให้รัฐบาลแคนเบอร์ราต้องหันไปผลักดันกฎหมายฉบับใหม่เพื่อขัดขวางการก่อสร้าง โดยยึดเหตุผลด้านความมั่นคง

 

“รัฐบาลได้รับคำแนะนำด้านความมั่นคงที่ชัดเจนอย่างมากเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการมีอยู่ของ (สถานเอกอัครราชทูต) รัสเซียที่ใกล้กับรัฐสภา เรากำลังดำเนินการอย่างรวดเร็ว เพื่อให้แน่ใจว่าพื้นที่เช่านั้นจะไม่กลายเป็นการคงอยู่ทางการทูตอย่างเป็นทางการ”

 

สำหรับกฎหมายใหม่ดังกล่าวซึ่งได้รับการสนับสนุนจากทั้งสองสภา ไม่ได้ขัดขวางรัสเซียจากการมีฐานทางการทูตในออสเตรเลีย แต่เฉพาะการสร้างสถานทูตใกล้กับรัฐสภาเท่านั้น

 

แคลร์ โอนีล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของออสเตรเลีย ชี้ว่า ที่ดินดังกล่าว ‘อยู่ติดโดยตรง’ กับอาคารรัฐสภา

 

“ปัญหาหลักในการเสนอสถานทูตรัสเซียแห่งที่ 2 ในกรุงแคนเบอร์รา คือเรื่องสถานที่ตั้ง รัฐบาลได้รับคำแนะนำด้านความมั่นคงแห่งชาติที่ชัดเจนว่า นี่จะเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของเรา และนั่นคือสาเหตุที่รัฐบาลต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดในวันนี้ เพื่อยุติเรื่องนี้ที่ยืดเยื้อมานาน”

 

ขณะที่อัลบาเนซีกล่าวว่า “เขาคาดการณ์ว่ากลุ่มนักการทูตของรัสเซียในออสเตรเลียจะไม่พอใจในความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น โดยก่อนหน้านี้เคยมีการขู่ว่าจะต่อสู้คดีนี้ผ่านศาล

 

“เราจะรอการตอบสนองที่เกิดขึ้น แต่เราก็คาดการณ์ไว้เช่นกัน” เขากล่าว พร้อมทั้งชี้ว่า รัสเซียไม่อยู่ในฐานะที่จะพูดถึงกฎหมายระหว่างประเทศได้ หลังจากที่ทำสงครามรุกรานยูเครน

 

“เราไม่คาดหวังว่ารัสเซียจะอยู่ในฐานะที่จะพูดถึงกฎหมายระหว่างประเทศได้ เนื่องจากพวกเขาปฏิเสธอย่างต่อเนื่องและโจ่งแจ้งเกี่ยวกับการรุกรานยูเครน”

 

ทางด้านสถานเอกอัครราชทูตรัสเซียได้ประกาศก่อนหน้านี้ว่า มีความมุ่งมั่นที่จะก่อสร้างสถานทูตแห่งใหม่ให้สำเร็จ แม้ว่าจะเผชิญการคัดค้านจากรัฐบาลออสเตรเลียก็ตาม

 

ภาพ: James Brickwood / Sydney Morning Herald via Getty Images

อ้างอิง:

The post ออสเตรเลียเตรียมผลักดันกฎหมาย ขวางรัสเซียสร้างสถานทูตใหม่ใกล้รัฐสภา ชี้ภัยคุกคามความมั่นคง appeared first on THE STANDARD.

]]>
เกิดเหตุรถบัสที่เพิ่งกลับจากงานแต่งคว่ำในออสเตรเลีย เสียชีวิต 10 คน ล่าสุดคนขับโดนจับแล้ว https://thestandard.co/10-people-killed-bus-accident-australia/ Mon, 12 Jun 2023 09:52:18 +0000 https://thestandard.co/?p=802196

เจ้าหน้าที่ตำรวจออสเตรเลียเปิดเผยว่า เกิดอุบัติเหตุรถบั […]

The post เกิดเหตุรถบัสที่เพิ่งกลับจากงานแต่งคว่ำในออสเตรเลีย เสียชีวิต 10 คน ล่าสุดคนขับโดนจับแล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>

เจ้าหน้าที่ตำรวจออสเตรเลียเปิดเผยว่า เกิดอุบัติเหตุรถบัสซึ่งบรรทุกผู้โดยสารที่เพิ่งกลับจากเลี้ยงฉลองแต่งงานคว่ำในออสเตรเลีย ส่งผลให้มีผู้โดยสารอย่างน้อย 10 คนเสียชีวิต นับเป็นอุบัติเหตุทางรถบัสที่เลวร้ายที่สุดในรอบเกือบ 30 ปีของประเทศ โดยล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวคนขับในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นที่เรียบร้อยแล้วในวันนี้ (12 มิถุนายน)

 

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลา 23.30 น. ของวันอาทิตย์ ตามเวลาท้องถิ่น โดยรถบัสซึ่งบรรทุกผู้โดยสาร 35 ชีวิตที่เพิ่งกลับจากงานแต่งงานได้ไถลออกนอกถนนและพลิกคว่ำที่บริเวณวงเวียนของถนนแห่งหนึ่งใกล้กับเมืองเกรตา รัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากนครซิดนีย์ทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 180 กิโลเมตร โดยนอกเหนือจากผู้เสียชีวิตแล้วยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 25 คนด้วยกัน

 

เจ้าหน้าที่เผยว่า คนขับรถซึ่งเป็นชายวัย 58 ปี ได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบว่ามีสารเสพติดอยู่ในร่างกายหรือไม่ โดยทางการปฏิเสธที่จะให้ประกันตัว และเขามีกำหนดขึ้นศาลในวันพรุ่งนี้ (13 มิถุนายน) ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้คนได้นำดอกไม้มาวางใกล้กับจุดเกิดเหตุเพื่อแสดงความอาลัยต่อผู้ที่จากไป ด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตที่มากเป็นประวัติการณ์ ผนวกกับความโศกเศร้าที่เกิดขึ้นในวันที่ทุกคนควรจะมีความสุขที่สุด

 

แอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีของออสเตรเลีย ได้ออกมาแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ โดยกล่าวว่า “เราทุกคนทราบดีถึงความสุขที่ได้ไปร่วมงานแต่งงาน มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดเท่าที่ใครสักคนจะมีได้

 

“วันแห่งความสุขในสถานที่อันสวยงามที่ต้องจบลงด้วยการสูญเสียและการบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ช่างโหดร้ายยิ่งนัก ช่างน่าเศร้า และไม่ยุติธรรมเสียเลย”

 

ภาพ: AAP Image / Darren Pateman via Reuters

อ้างอิง:

The post เกิดเหตุรถบัสที่เพิ่งกลับจากงานแต่งคว่ำในออสเตรเลีย เสียชีวิต 10 คน ล่าสุดคนขับโดนจับแล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
ประชุมความมั่นคง Shangri-La Dialogue เปิดฉากวันนี้ คาดบรรยากาศอึมครึมจากปัญหาตึงเครียดสหรัฐฯ-จีน https://thestandard.co/us-china-shangri-la-dialogue-2023/ Fri, 02 Jun 2023 04:41:05 +0000 https://thestandard.co/?p=798355 Shangri-La Dialogue

การประชุม Shangri-La Dialogue เปิดฉากที่สิงคโปร์ในวันนี […]

The post ประชุมความมั่นคง Shangri-La Dialogue เปิดฉากวันนี้ คาดบรรยากาศอึมครึมจากปัญหาตึงเครียดสหรัฐฯ-จีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Shangri-La Dialogue

การประชุม Shangri-La Dialogue เปิดฉากที่สิงคโปร์ในวันนี้ (2 มิถุนายน) เป็นที่คาดหมายว่าอาจปกคลุมด้วยสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐฯ หลังจากจีนปฏิเสธคำเชิญของสหรัฐฯ ที่เสนอให้มีการพบปะหารือระดับทวิภาคีระหว่างรัฐมนตรีกลาโหมของสองประเทศ

 

Shangri-La Dialogue ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์ระหว่างวันที่ 2-4 มิถุนายนนี้ เป็นการประชุมด้านความมั่นคงระดับสูงของเอเชีย โดยมีเจ้าหน้าที่กลาโหมระดับสูง นายทหารระดับสูง นักการทูต ผู้ผลิตอาวุธ และนักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงจากทั่วโลกมารวมตัวกัน สำหรับในปีนี้จะมีผู้แทนมากกว่า 600 คนจาก 49 ประเทศเข้าร่วมการประชุม และนายกรัฐมนตรี แอนโทนี อัลบาเนซี ของออสเตรเลีย จะกล่าวปาฐกถาพิเศษเปิดการประชุม

 

นักวิเคราะห์กล่าวว่า การประชุมนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่ฝ่ายทหารของประเทศต่างๆ จะได้พบปะหารือ จัดการประชุมระดับทวิภาคีและพหุภาคีนอกรอบการประชุมใหญ่ รวมถึงเป็นเวทีให้รัฐมนตรีกลาโหมของหลายชาติได้กล่าวสุนทรพจน์

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (29 พฤษภาคม) กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือเพนตากอน เปิดเผยว่า จีนปฏิเสธคำเชิญของรัฐมนตรีลอยด์ ออสติน ที่จะหารือกับ หลี่ซ่างฝู รัฐมนตรีกลาโหมของจีน ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งนับเป็นสัญญาณความตึงเครียดรอบใหม่ระหว่างสองประเทศ

 

โฆษกกระทรวงกลาโหมของจีนกล่าวในการตอบคำถามของผู้สื่อข่าวระหว่างการแถลงข่าวที่กรุงปักกิ่งว่า การแลกเปลี่ยนระหว่างกองทัพทั้งสองดำเนินอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด แต่สหรัฐฯ เป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวสำหรับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

 

“ในแง่หนึ่ง สหรัฐฯ พูดเสมอว่าต้องการเสริมสร้างการสื่อสารระหว่างสองฝ่ายให้แข็งแกร่งขึ้น แต่อีกด้านกลับเพิกเฉยต่อข้อกังวลของจีน และสร้างอุปสรรคปลอมๆ ขึ้นมาบ่อนทำลายความไว้วางใจซึ่งกันและกันระหว่างกองทัพของสองชาติอย่างร้ายแรง” โฆษกกระทรวงกลาโหมจีนกล่าวโดยไม่บอกว่าอุปสรรคที่ว่านั้นคืออะไร

 

ด้านออสตินกล่าวที่กรุงโตเกียวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (1 มิถุนายน) ว่า “น่าเสียดาย” ที่การประชุมทวิภาคีกับรัฐมนตรีกลาโหมของจีนจะไม่เกิดขึ้น

 

“ผมยินดีเปิดรับทุกโอกาสที่จะได้มีส่วนร่วมกับหลี่” ออสตินกล่าว “ผมคิดว่ากระทรวงกลาโหมควรพูดคุยกันเป็นประจำ หรือควรมีช่องทางที่เปิดกว้างสำหรับการสื่อสาร”

 

นอกจากความสัมพันธ์ตึงเครียดของสองชาติมหาอำนาจแล้ว นักวิเคราะห์มองว่า สงครามของรัสเซียในยูเครน ความตึงเครียดระหว่างจีนกับไต้หวัน และโครงการอาวุธของเกาหลีเหนือ จะเป็นประเด็นที่ผู้แทนเจรจาหลายคนหยิบยกขึ้นมาหารือในการประชุมประจำปีนี้ อย่างไรก็ตาม จะไม่มีตัวแทนจากรัฐบาลรัสเซียหรือเกาหลีเหนือเข้าร่วม

 

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์จับตาบทบาทของ หลี่ซ่างฝู รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ของจีนในการประชุมเวทีนี้ โดยหลี่ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีกลาโหมเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เป็นอดีตนายพลแห่งกองทัพปลดแอกประชาชน เขามีบทบาทสำคัญต่อการยกระดับพัฒนากองทัพจีนสู่ความทันสมัย หลี่ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรมาตั้งแต่ปี 2018 กรณีการจัดซื้ออาวุธจากรัสเซีย

 

ภาพ: Reuters

อ้างอิง:

The post ประชุมความมั่นคง Shangri-La Dialogue เปิดฉากวันนี้ คาดบรรยากาศอึมครึมจากปัญหาตึงเครียดสหรัฐฯ-จีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
นายกฯ อินเดียเยือนออสเตรเลีย ประกาศข้อตกลงการเคลื่อนย้ายพลเมืองฉบับใหม่ หวังยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ https://thestandard.co/india-prime-minister-visits-australia/ Wed, 24 May 2023 10:00:00 +0000 https://thestandard.co/?p=794779 นเรนทรา โมดี

วันนี้ (24 พฤษภาคม) นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย เข […]

The post นายกฯ อินเดียเยือนออสเตรเลีย ประกาศข้อตกลงการเคลื่อนย้ายพลเมืองฉบับใหม่ หวังยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
นเรนทรา โมดี

วันนี้ (24 พฤษภาคม) นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย เข้าพบ แอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีของออสเตรเลีย ในเมืองซิดนีย์ โดยภายหลังการประชุมเสร็จสิ้น ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันประกาศข้อตกลงการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานฉบับใหม่ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ โดยส่งเสริมการเดินทางระหว่างกันของนักเรียน นักศึกษา ผู้สำเร็จการศึกษา นักวิจัย และนักธุรกิจ

 

ทั้งนี้ การเจรจาข้อตกลงเคลื่อนย้ายพลเมืองฉบับนี้ได้ดำเนินมาหลายปีแล้ว โดยปัจจุบันออสเตรเลียเป็นจุดหมายการย้ายถิ่นฐานของประชากรอินเดียจำนวนมาก โดยข้อมูลชี้ให้เห็นว่า นับตั้งแต่ปี 2016 มีผู้คนมากกว่า 1 ล้านคนที่ย้ายไปตั้งถิ่นฐานในออสเตรเลีย โดยเกือบ 1 ใน 4 มาจากอินเดีย

 

แถลงการณ์ร่วมระบุไว้ว่า ข้อตกลงฉบับนี้จะนำไปสู่การจัดตั้งโครงการใหม่ที่เรียกว่า MATES (Mobility Arrangement for Talented Early Professionals Scheme) ซึ่งจะเปิดทางให้มีการเคลื่อนย้ายของบุคลากรระดับหัวกะทิในสาขาอาชีพต่างๆ สำหรับชาวอินเดียโดยเฉพาะ

 

นอกเหนือจากข้อตกลงเรื่องการเคลื่อนย้ายของประชาชนระหว่างสองประเทศแล้ว การเจรจาระหว่างโมดีและอัลบาเนซียังครอบคลุมประเด็นความร่วมมือด้านการขุดแร่ธาตุ และความคืบหน้าในการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจสำหรับการผลักดันไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) ให้เป็นพลังงานทดแทน

 

นอกจากนี้ผู้นำทั้งสองยังพูดคุยถึงสถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาคที่กำลังตึงเครียด เนื่องจากทั้งคู่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม Quad (Quadrilateral Security Dialogue) ซึ่งประกอบไปด้วย 4 ประเทศใหญ่ในย่านอินโด-แปซิฟิก คือ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอินเดีย

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา การประชุมตามกำหนดของกลุ่ม Quad ถูกยกเลิก หลังจาก โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต้องเดินทางกลับไปยังกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อเจรจาปัญหาเกี่ยวกับเพดานหนี้

 

แต่ทางด้านโมดียืนยันที่จะเยือนซิดนีย์ต่อภายหลังเข้าร่วมการประชุมสุดยอด G7 ที่ประเทศญี่ปุ่น

 

ซึ่งการเยือนออสเตรเลียของโมดีครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2014 และเกิดขึ้นสองเดือนหลังจากที่นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียไปเยือนประเทศอินเดียเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

 

นอกเหนือจากการประชุมกับอัลบาเนซีแล้ว โมดียังได้ขึ้นปราศรัยที่สนามกีฬาในร่มที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของซิดนีย์ ซึ่งมีชาวอินเดียหลายพันคนที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ออสเตรเลียเข้าร่วมฟังเมื่อวานนี้

 

โดยโมดีกล่าวว่า ชุมชนชาวอินเดียในออสเตรเลียถือเป็น ‘สะพานที่มีชีวิต’ ระหว่างสองประเทศ และความสัมพันธ์ระหว่างอินเดีย-ออสเตรเลียตั้งอยู่บนพื้นฐานความไว้วางใจและความเคารพซึ่งกันและกัน

 

ด้านนายกฯ ออสเตรเลีย กล่าวในงานว่า “ครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นใครบางคนบนเวทีนี้คือ บรูซ สปริงส์ทีน (Bruce Springsteen) และเขาไม่ได้รับการต้อนรับเหมือนนายกฯ โมดีในวันนี้”

 

ภาพ: Dean Lewins-Pool / Getty Images

 

อ้างอิง:

The post นายกฯ อินเดียเยือนออสเตรเลีย ประกาศข้อตกลงการเคลื่อนย้ายพลเมืองฉบับใหม่ หวังยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ออสเตรเลียเผยคำถามลงประชามติ 2023 “คุณเห็นชอบกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อรับรองสิทธิชนพื้นเมืองหรือไม่” https://thestandard.co/australia-reveals-2023-referendum-questions/ Thu, 23 Mar 2023 10:06:01 +0000 https://thestandard.co/?p=767403 รัฐธรรมนูญ ออสเตรเลีย

ทางการออสเตรเลียภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แอนโทนี อัลบ […]

The post ออสเตรเลียเผยคำถามลงประชามติ 2023 “คุณเห็นชอบกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อรับรองสิทธิชนพื้นเมืองหรือไม่” appeared first on THE STANDARD.

]]>
รัฐธรรมนูญ ออสเตรเลีย

ทางการออสเตรเลียภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แอนโทนี อัลบาเนซี เผยคำถามสำคัญที่จะใช้ในการลงประชามติในช่วงปลายปี 2023 ว่าด้วยเรื่องการปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญออสเตรเลีย เพื่อรับรองสิทธิชนพื้นเมืองเป็นครั้งแรกในรอบ 122 ปี นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันประกาศใช้เมื่อปี 1901

 

ตลอดระยะเวลา 122 ปีที่ผ่านมา รัฐธรรมนูญออสเตรเลียไม่เคยระบุหรือยอมรับว่า ชนพื้นเมืองในออสเตรเลียถือเป็นประชากรดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในประเทศแห่งนี้มาอย่างยาวนานกว่า 65,000 ปี โดยปัจจุบันชนพื้นเมืองอย่างชาวอะบอริจิน (Aborigine) และชาวเกาะช่องแคบทอร์เรส (Torres Strait Islander) คิดเป็น 3.8% ของประชากรในออสเตรเลีย 

 

โดยคาดว่าการลงประชามติในครั้งนี้น่าจะจัดขึ้นราวช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2023 ซึ่งนอกจากจะเป็นการผลักดันเรื่องการรับรองสิทธิของชนพื้นเมืองแล้ว ยังจะปูทางไปสู่การจัดตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษารัฐสภาว่าด้วยชนพื้นเมืองอย่าง ‘Aboriginal and Torres Strait Islander Voice’ ขึ้นอีกด้วย

 

อัลบาเนซีระบุว่า “วันนี้คือผลลัพธ์ของการทำงานอย่างอดทนและกระตือรือร้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตอนนี้โอกาสที่จะสร้างประวัติศาสตร์และสร้างอนาคตที่ดีกว่าเป็นของพวกคุณแล้ว ชาวออสเตรเลีย”

 

ทางด้านนักประวัติศาสตร์ชี้ว่า ‘Great Australian Silence’ เป็นคำศัพท์ที่ได้รับการบัญญัติขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เพื่อใช้อธิบายถึงความพยายามในการลบล้างมุมมองและประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ของชนชาวพื้นเมืองให้หายไปจากประวัติศาสตร์กระแสหลักของออสเตรเลีย

 

แม้กระแสการลงประชามติในช่วงปลายปีนี้จะเป็นไปในทิศทางบวก แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญออสเตรเลียไม่เคยเป็นเรื่องง่าย โดยการลงประชามติราว 4 ใน 5 ของออสเตรเลียล้วนไม่ประสบผลสำเร็จ มีเพียง 8 จากทั้งหมด 44 ครั้งเท่านั้น ที่ได้รับมติเห็นชอบจากพลเมืองออสเตรเลีย 

 

การลงประชามติครั้งล่าสุดของออสเตรเลียเกิดขึ้นในปี 1999 เป็นการลงประชามติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเพื่อจัดตั้งสาธารณรัฐ และแทนที่ระบอบกษัตริย์ของสหราชอาณาจักรด้วยระบอบประธานาธิบดีในฐานะประมุขแห่งรัฐ โดยพลเมืองออสเตรเลียมีมติคัดค้านข้อเสนอดังกล่าว

 

ผลสำรวจล่าสุดโดย The Guardian เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (21 มีนาคม) ชี้ว่า เสียงสนับสนุนต่อประเด็นชนพื้นเมืองในออสเตรเลียลดลง 5% จากการสำรวจความคิดเห็นครั้งก่อนหน้า แต่อย่างไรก็ตาม พลเมืองออสเตรเลียราว 59% ยังคงเป็นเสียงข้างมากที่สนับสนุนให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเพื่อรองรับสิทธิชนพื้นเมืองเป็นครั้งแรก

 

ภาพ: Tamati Smith / Getty Images

อ้างอิง:

The post ออสเตรเลียเผยคำถามลงประชามติ 2023 “คุณเห็นชอบกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อรับรองสิทธิชนพื้นเมืองหรือไม่” appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผู้นำกลุ่ม AUKUS เห็นพ้องข้อตกลง เดินหน้าโครงการเรือดำน้ำนิวเคลียร์ https://thestandard.co/aukus-agreed-submarine-nuclear/ Tue, 14 Mar 2023 02:35:26 +0000 https://thestandard.co/?p=762492 ผู้นำกลุ่ม AUKUS

ผู้นำกลุ่ม AUKUS ได้แก่ แอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีอ […]

The post ผู้นำกลุ่ม AUKUS เห็นพ้องข้อตกลง เดินหน้าโครงการเรือดำน้ำนิวเคลียร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผู้นำกลุ่ม AUKUS

ผู้นำกลุ่ม AUKUS ได้แก่ แอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย, ริชี ซูนัค นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร และ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เห็นพ้องในข้อตกลง เดินหน้าโครงการสร้างกองเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ขึ้น เมื่อวานนี้ (13 มีนาคม) โดยพันธมิตรดังกล่าวจะทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างและพัฒนากองเรือดำน้ำใหม่โดยใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวนี้เป็นไปเพื่อรับมือการขยายอิทธิพลของจีนในแถบอินโด-แปซิฟิก 

 

หลังจากที่ผู้นำทั้ง 3 ประเทศร่วมตกลงหารือกันที่เมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ไบเดนได้เน้นย้ำว่า เรือดำน้ำดังกล่าวที่ออสเตรเลียจะได้รับจะไม่มีการติดอาวุธนิวเคลียร์แต่อย่างใด เพื่อไม่ให้กระทบต่อความมุ่งมั่นของออสเตรเลียที่ต้องการจะเป็นประเทศปลอดอาวุธนิวเคลียร์ 

 

โดยสมาชิกของกองทัพออสเตรเลียจะได้รับการส่งตัวไปฝึกอบรมเกี่ยวกับเรือดำน้ำที่ฐานทัพเรือของสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรภายในปีนี้ ขณะที่ตั้งแต่ปี 2027 กองทัพสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรจะตั้งฐานทัพเรือดำน้ำนิวเคลียร์จำนวนหนึ่งขึ้นที่ฐานทัพเรือออสเตรเลีย (RAN) ในเมืองเพิร์ท รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ก่อนที่ออสเตรเลียจะเปิดดีลซื้อเรือดำน้ำชั้นเวอร์จิเนียของสหรัฐฯ จำนวน 3 ลำในช่วงต้นทศวรรษ 2030 และอาจได้รับข้อเสนอให้สามารถซื้อเพิ่มได้อีก 2 ลำ

 

หลังจากนั้นจะเป็นการออกแบบและเดินหน้าโครงการสร้างเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์รุ่นใหม่ สำหรับกองทัพเรือสหราชอาณาจักรและออสเตรเลียที่มีชื่อว่า ‘SSN-AUKUS’ ซึ่งจะสร้างในสหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย โดยสหราชอาณาจักรเป็นผู้ออกแบบ แต่ใช้เทคโนโลยีจากทั้ง 3 ประเทศ 

 

ข้อตกลงดังกล่าวนี้จะช่วยให้ออสเตรเลียมีเรือดำน้ำที่สามารถเดินทางได้ไกลขึ้นและเร็วกว่ากองเรือที่มีอยู่ในขณะนี้ พร้อมติดตั้งขีปนาวุธร่อนที่สามารถโจมตีเป้าหมายทั้งบนบกและในทะเลได้ โดยจะเพิ่มค่าใช้จ่ายให้กับออสเตรเลียสูงถึง 3.68 แสนล้านดอลลาร์ออสเตรเลียในช่วง 30 ปีนับจากนี้

 

ผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่า การสร้างความร่วมมือในครั้งนี้ช่วยสะท้อนให้เห็นว่าระบอบประชาธิปไตยสามารถส่งมอบความมั่นคงและความรุ่งเรืองของเราเองได้อย่างไร ไม่เพียงแต่เพื่อพวกเราเอง แต่เพื่อโลกทั้งใบ” โดยสหรัฐฯ ให้คำมั่นเตรียมจัดสรรงบประมาณ 4.6 พันล้านดอลลาร์ (1.6 แสนล้านบาท) ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างเรือดำน้ำและพัฒนาระบบซ่อมบำรุงเรือดำน้ำชั้นเวอร์จิเนีย

 

ทางด้านอัลบาเนซีระบุว่า โครงการเรือดำน้ำนี้มีส่วนช่วยเพิ่มอัตราการจ้างงานในตำแหน่งใหม่ๆ อีกหลายพันตำแหน่ง และนี่อาจเป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางกลาโหมครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของออสเตรเลีย ทั้งยังเป็นข้อตกลงแรกในรอบ 65 ปีที่สหรัฐฯ ยอมแบ่งปันเทคโนโลยีขับเคลื่อนนิวเคลียร์ของตน 

 

ขณะที่ซูนัคชี้ว่า ตลอดระยะเวลา 18 เดือนที่ AUKUS ได้มีการรวมกลุ่มกัน ความมั่นคงโลกเผชิญหน้ากับความท้าทายต่างๆ มากยิ่งขึ้นทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็นการรุกรานยูเครนของกองทัพรัสเซีย ความพยายามในการแผ่ขยายอิทธิพลของจีน พฤติกรรมที่คาดเดาไม่ได้ของอิหร่านและเกาหลีเหนือ ทั้งหมดล้วนเป็นภัยคุกคามที่ทำให้โลกตกอยู่ในอันตราย ความวุ่นวายและความแตกแยก

 

ด้าน เหมาหนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนได้เน้นย้ำเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ข้อตกลงดังกล่าวนี้มีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการแข่งขันด้านอาวุธ รวมถึงบ่อนทำลายสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเรียกร้องให้ผู้นำกลุ่ม AUKUS ละทิ้งแนวคิดช่วงสงครามเย็นและปฏิบัติตามกฎระเบียบระหว่างประเทศ เพื่อขับเคลื่อนสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคนี้ให้มากยิ่งขึ้น

 

โดย เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ยืนยันว่า สหรัฐฯ ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะสร้างกลุ่มพันธมิตรใหม่ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับองค์การ NATO ขึ้นภายในภูมิภาคนี้แต่อย่างใด พร้อมทั้งระบุว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยสร้างหลักประกันว่าภูมิภาคอินโดแปซิฟิกจะยังคงเสรีและเปิดกว้าง ไม่ตกอยู่ภายใต้การแผ่อิทธิพลของชาติใดชาติหนึ่ง

 

หนึ่งในคำถามสำคัญที่ตามมาคือ ที่ผ่านมาจีนถือเป็นคู่ค้าที่สำคัญของออสเตรเลีย มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่ออสเตรเลียจะกระชับความสัมพันธ์ทางด้านการทหารและความมั่นคงกับสหรัฐฯ ควบคู่กับการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีนไปพร้อมๆ กัน 

 

ภาพ: Jim Watson / AFP

 

อ้างอิง:

The post ผู้นำกลุ่ม AUKUS เห็นพ้องข้อตกลง เดินหน้าโครงการเรือดำน้ำนิวเคลียร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>