(500) Days of Summer – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 17 Jul 2024 13:34:44 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 เมื่อโลกภาพยนตร์ของ (500) Days of Summer เดินทางมาบรรจบกับโลกดนตรีสุดอมตะของ The Smiths https://thestandard.co/500-days-of-summer-and-the-smiths/ Wed, 17 Jul 2024 13:34:44 +0000 https://thestandard.co/?p=959389

“I love The Smiths” “Sorry?” “I said I love The Smiths” […]

The post เมื่อโลกภาพยนตร์ของ (500) Days of Summer เดินทางมาบรรจบกับโลกดนตรีสุดอมตะของ The Smiths appeared first on THE STANDARD.

]]>

“I love The Smiths”

“Sorry?”

“I said I love The Smiths” 

 

หลายคนคงคุ้นเคยกับฉากบทสนทนาสั้นๆ ในลิฟต์ของภาพยนตร์เรื่อง (500) Days of Summer ที่ในปีนี้เวียนมาบรรจบครบปีที่ 15 แล้ว แต่ผู้คนก็ยังพูดคุยถึงฉากสุดไอคอนิกนี้กันอยู่เรื่อยๆ ทั้งในแง่ของความน่ารักที่ตัวละครทอมและซัมเมอร์มาพบเจอกันเหมือนกับชะตาลิขิต หรือจะเป็นในเชิงความอมตะของวง The Smiths ที่มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในภาพยนตร์ด้วยก็ตาม ดังนั้นวันนี้เราจึงอยากชวนคุณมาย้อนรอยถึงภาพยนตร์โรแมนติกเรื่องนี้ พร้อมทั้งส่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับเพลงของ The Smiths กันอีกสักครั้ง

 

“ทุกความสัมพันธ์มีเพลงประกอบเป็นของตัวเอง” นั่นคือสิ่งที่ Marc Webb ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้เคยกล่าวไว้ ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เขาได้ทำในวงการภาพยนตร์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นผู้กำกับมิวสิกวิดีโอให้กับวงร็อกอย่าง My Chemical Romance และ Green Day นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมในภาพยนตร์เรื่องนี้ถึงยกเพลงมาเป็นส่วนสำคัญในการถ่ายทอดเรื่องราวความรักหวานอมขมกลืนระหว่าง ทอม และ ซัมเมอร์ นั่นเอง

 

 

โดยเฉพาะกับวงร็อกสัญชาติอังกฤษอย่าง The Smiths ที่ภาพยนตร์หยิบเพลง There Is a Light That Never Goes Out มาใช้ในฉากที่ทอมกำลังฟังเพลงอยู่ในลิฟต์ แต่เพลงดันลอดออกไปนอกหูฟัง แล้วซัมเมอร์ที่เพิ่งเข้ามาในลิฟต์ก็ชมทอมว่ามีรสนิยมการฟังเพลงที่ดี ก็กลายเป็นภาพจำของภาพยนตร์ไปแล้ว ซึ่งแม้ว่าจะเป็นบทสนทนาที่ดูเรียบง่าย แต่กลับทำให้ใครหลายคนอยากทำความรู้จักกับวงร็อกระดับตำนานแห่งยุค 80 กันมากขึ้นด้วย

 

Scott Neustadter ผู้เขียนบท เคยให้สัมภาษณ์ว่า การที่พวกเขาทำฉากฟังเพลงนี้ขึ้นมาก็ทำเอาโดนวิจารณ์หนักเหมือนกันว่าคล้ายคลึงกับภาพยนตร์เรื่อง Garden State แต่ความจริงแล้วพวกเขาแค่อยากแสดงให้เห็นว่า ทั้งสองตัวละครมีอะไรที่ชอบคล้ายกัน เพราะเวลาที่คนชอบวง The Smiths บอกคนอื่นที่ชอบวงนี้เหมือนกันก็ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก แค่พูดชื่อวงก็เป็นอันเข้าใจว่ามีรสนิยมแบบเดียวกัน และนั่นก็อาจนำไปสู่ความรักได้ดังที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์นั่นเอง

 

 

นอกจากเพลงนี้แล้ว ทีมงานก็ยังเลือกเพลงอื่นๆ ของวงมาใช้อย่างเพลง Please, Please, Please, Let Me Get What I Want รวมทั้งเพลงฮิตของศิลปินคนอื่นๆ อีกมากมาย เพราะถ้าหากเราไปเปิดดูซาวด์แทร็กประกอบเรื่องนี้จะเจอทั้งเพลง She’s Got You High ของ Mumm-Ra, You Make My Dreams (Come True) ของ Daryl Hall & John Oates, Sweet Disposition จาก The Temper Trap และอีกนับสิบเพลงที่การันตีได้ว่ารสนิยมการเลือกเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ยอดเยี่ยมมาก เพราะนอกจากจะติดหูแล้ว อารมณ์ความรู้สึกก็ยังไปกันได้ดีกับตัวละคร และชวนให้ผู้ชมอินตามเรื่องราวได้อย่างเพลิดเพลิน 

 

 

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น Scott Neustadter ก็ยังบอกว่า การที่จะได้เพลงต่างๆ มาใช้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะงบประมาณภาพยนตร์ไม่มากพอที่จะซื้อเพลงที่อยากได้ทั้งหมดมาใช้อย่างถูกลิขสิทธิ์ บางเพลงที่อยากได้ก็ไม่สามารถซื้อมาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องอาศัยวิธีการเขียนจดหมายหาคนในวงการ ไม่ว่าจะ Morrissey และ Johnny Marr แห่งวง The Smiths ซึ่งแม้ว่าจะต้องติดต่อคนมากมายอยู่นาน แต่เขาก็บอกว่ามันคุ้มค่าแล้วที่ได้เพลงเหล่านี้มาประกอบภาพยนตร์ในที่สุด

 

 

อย่างไรก็ตาม เราสามารถกล่าวได้ว่า การที่พวกเขาเลือกเพลงของ The Smiths มาใช้ก็นับเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุด เพราะเพลง There Is a Light That Never Goes Out หลอมรวมกับ (500) Days of Summer อย่างสมบูรณ์ และฉากนี้ก็กลายเป็นส่วนสำคัญของโลกป๊อปคัลเจอร์ไปแล้ว เพราะถ้าหากคุณนึกถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ สิ่งต่อมาที่คุณจะคิดถึงก็จะเป็นฉากฟังเพลงที่ลิฟต์ของทอม และภาพของซัมเมอร์ สาวสวยนัยน์ตาสีฟ้า ยืนฮัมเพลงท่อนที่ร้องว่า “To die by your side is such a heavenly way to die.” (การได้ตายเคียงข้างคุณคงเป็นวิธีที่งดงามที่สุดที่จะจากไป) และคงจะปรากฏคู่กับภาพยนตร์เรื่องนี้ไปอีกนานเลยทีเดียว 

 

ภาพ: Twentieth Century Fox Film Corporation

อ้างอิง:

The post เมื่อโลกภาพยนตร์ของ (500) Days of Summer เดินทางมาบรรจบกับโลกดนตรีสุดอมตะของ The Smiths appeared first on THE STANDARD.

]]>
อยากมูฟออนแต่ยังไม่ไหว! นี่คือ 12 เรื่องรักที่จะพาคุณเศร้าให้สุดและส่งกำลังใจให้มูฟออนได้สำเร็จ https://thestandard.co/12-love-movies-that-will-make-you-saddest-and-support-move-on/ Mon, 14 Feb 2022 14:38:40 +0000 https://thestandard.co/?p=594380 หนังรัก

หากใครเคยได้ดูซีรีส์เรื่อง New Girls (2011) นำแสดงโดย Z […]

The post อยากมูฟออนแต่ยังไม่ไหว! นี่คือ 12 เรื่องรักที่จะพาคุณเศร้าให้สุดและส่งกำลังใจให้มูฟออนได้สำเร็จ appeared first on THE STANDARD.

]]>
หนังรัก

หากใครเคยได้ดูซีรีส์เรื่อง New Girls (2011) นำแสดงโดย Zooey Deschanel น่าจะพอจำได้ว่าเมื่อไรก็ตามที่ Jessica Day อกหักหรือเลิกกับคนรัก เธอจะนอนจมตัวเองอยู่บนโซฟาและเปิดภาพยนตร์คลาสสิกเรื่อง Dirty Dancing (1987) ดูและร้องไห้วนๆ ไปจนกลายเป็นอินไซด์โจ๊กที่เพื่อนๆ รูมเมตจะต้องทำให้เธอหยุดดูและหยุดร้องไห้ให้ได้ 

 

เช่นเดียวกับ Jess เราเชื่อว่าเมื่อใครก็ตามที่อกหักหรือเพิ่งจบความสัมพันธ์ การฟังเพลงเศร้าหรือดูหนังรัก เป็นหนึ่งในกิจกรรมเยียวยาจิตใจที่จะคอยอยู่เป็นเพื่อนจนกระทั่งเราหายดี และหากคุณสังเกตดีๆ Dirty Dancing ก็ไม่ใช่หนังเศร้า แต่ที่ Jess เลือกเรื่องนั้นแทนที่จะเป็นหนังช้ำรักเรื่องอื่นๆ นั่นก็อาจเป็นได้ว่าเธอรู้สึกต้องการหนังรักโรแมนติกเพื่อมากอบกู้ศรัทธาในความรักให้กลับมา หลังตัวเองต้องสูญเสียคนรักไปนั่นเอง 

 

เราคิดว่าสิ่งที่ Jess บอกเราในเรื่องนี้นอกจากว่าเราต้องการหนังรักมาเยียวยาจิตใจแล้ว การเรียนรู้ว่าตัวเองอยู่ในสเตจไหนของการยอมรับ และการเดินทางเพื่อมูฟออนแบบไหนที่เราอยากได้ก็สำคัญไม่แพ้กัน 

 

ท่ามกลางบรรยากาศวันและเดือนแห่งความรัก หากใครที่เพิ่งจบความสัมพันธ์หรือยังมูฟออนจากคนเก่าไม่ได้ THE STANDARD POP เลือกหนังรัก 12 เรื่อง กับ 12 ความสัมพันธ์ที่อาจจะไม่สมหวัง แต่ทุกเรื่องมีข้อความที่จะช่วยให้เรามูฟออนได้ดีจริงๆ

 

  • Blue Valentine 

เรื่องราวความรักของ Dean (Ryan Gosling) และ Cindy (Michelle Williams) ที่เริ่มต้นจากความหวานมากๆ แต่ต้องแยกทางกันในที่สุดเมื่อความรักของ Cindy ไม่เหมือนเดิม 

 

Blue Valentine เป็นหนังบีบหัวใจอีกเรื่องที่แสดงให้เราเห็นว่าบางทีความสัมพันธ์มันก็จบลงง่ายๆ แค่นั้นเลย ชีวิตคู่ที่ไม่มีใครทำอะไรผิดแต่ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม หนังเรื่องนี้เหมาะกับคนที่กำลังต้องการระบาย ร้องไห้ให้พอก่อนที่จะเดินต่อ สถานการณ์ในเรื่องเหมือนภาพจำลองให้เราเห็นตรงหน้าว่า หากอีกคนจะไปต่อให้เราพยายามรั้งทุกอย่างก็ไม่มีประโยชน์ การได้มองภาพเหล่านั้นตรงหน้าชัดๆ อาจช่วยให้เราตัดใจได้ดีขึ้น

 

  • Marriage Story

ภาพยนตร์บีบหัวใจอีกเรื่องที่เล่าเรื่องของ Charlie (Adam Driver) ในบทผู้กำกับการแสดง และภรรยานักแสดงสาว Nicole (Scarlett Johansson) ทั้งคู่เหมือนจะมีชีวิตคู่ที่ลงตัวระหว่างผู้กำกับและนักแสดง ไหนจะมีลูกชายน่ารักๆ อีกคน แต่เมื่อถึงวันหนึ่งชีวิตคู่เดินทางมาถึงจุดจบ เมื่อ Nicole ต้องการหย่า ซึ่งการแสดงของทั้งคู่พาเราตกอยู่ท่ามกลางครอบครัวที่กำลังจะแตกสลายได้ถึงอารมรณ์อย่างไม่ต้องพูดถึง

 

เรื่องราวของคู่นี้มีความต้องการและความฝันเข้ามาเกี่ยวข้อง การดูหนังเรื่องนี้นอกจากจะทำให้คุณได้ร้องไห้ ระบายออกมาซักครั้งและเดินทางยอมรับความจริงไปพร้อมๆ กับทั้งคู่แล้ว ยังมีเมสเสจดีๆ ที่คอยบอกให้คุณฟังความต้องการของตัวเอง เคารพในการตัดสินใจของตัวเอง และวิธีการที่จะเข้มแข็งบนทางเดินที่เลือกแล้วได้อีกด้วย 

 

  • La La Land 

อีกหนึ่งเรื่องราวของความรักที่ต้องจากลาเพื่อตามหาความฝัน La La Land เล่าเรื่องราวเส้นทางการเป็นนักแสดงของ Mia (Emma Stone) และนักเปียโน Sebastian Wilder (Ryan Gosling) ที่น่าเสียดายว่าเส้นทางไปสู่ความสำเร็จของทั้งคู่ไม่มีอีกฝ่ายอยู่ในนั้น

 

นอกเหนือจากเพลงเพราะๆ การแสดงของทั้งสองนักแสดงคุณภาพ และเรื่องราวการทำตามความฝันแล้ว La La Land บอกกับเราว่าเรามีโอกาสที่จะได้เจอคนที่มีความสำคัญกับชีวิตและเราอาจจะรักเขามาก แต่บางครั้งมันอาจจะเป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต เราต่างคนต่างต้องใช้ชีวิตต่อ และคอยยินดีกับความสำเร็จของเขาจากไกลๆ ก็พอ 

 

  • Eternal Sunshine of the Spotless Mind 

อีกหนึ่งภาพยนตร์คลาสสิกเหนือจินตนาการจาก Michel Gondry ที่เล่าเรื่องของ Joel (Jim Carrey) และ Clementine (Kate Winslet) เจ้าของวลี ‘Meet Me in Montauk’ เมื่อ Joel ต้องการเข้าเครื่องลบความจำเกี่ยวกับ Clementine หลังจากที่ทั้งคู่เลิกกันและเกิดอยากเปลี่ยนใจระหว่างทาง

 

เราเชื่อว่าหลายๆ คนเคยคิดเล่นๆ ว่าเมื่อเราเลิกกับใครสักคน ถ้าลบความทรงจำได้เลยก็คงดี ภาพยนตร์เรื่องนี้ Gondry เลยทำหน้าที่จำลองสถานการณ์ให้เราเห็นซะเลยว่าถ้าลบได้จริงจะเป็นอย่างไร และให้ความรู้สึกของผู้ชมได้เดินทางไปพร้อมๆ กับ Joel เพื่อที่จะเรียนรู้ว่าสุดท้ายคุณก็อยากเลือกที่จะจำแล้วยังเจ็บมากกว่าไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเธอเลยนั่นเอง

 

  • 500 Days of Summer

เรื่องราวไม่สมหวังของ Tom (Joseph Gordon‑Levitt) และ Summer (Zooey Deschanel) ตลอด 500 วัน ที่ทั้งคู่ใช้ชีวิตร่วมกัน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่สนุกแต่อยู่บนพื้นฐานของความไม่ชัดเจนที่ต้องจบลงเมื่อจู่ๆ Summer ที่เคยพูดว่าไม่เชื่อในความสัมพันธ์ ก็ดันไปเริ่มต้นใหม่กับคนอื่น

 

500 Days of Summer เป็นหนังรักเรื่องโปรดของใครหลายคนด้วยความใกล้ตัวที่เหมือนภาพจำลองให้คุณค่อยๆ ทบทวนว่าความสัมพันธ์ของคุณมาอยู่ถึงจุดนี้ได้อย่างไร เช่นเดียวกับ Tom ที่นั่งทบทวนเรื่องราวตลอด 500 วัน หนังเรื่องนี้ยังพาคุณไปหาคำตอบอย่างตอนที่ทั้งคู่นัดคุยกันในสวนสาธารณะเป็นครั้งสุดท้าย เพราะบางครั้งบทสนทนานั้นจะสามารถช่วยให้คุณมูฟออนได้มาก และยังบอกให้คุณเปิดโอกาสให้ตัวเองเมื่อพร้อม

 

หากคุณกำลังต้องการหนังปลอบใจ 500 Days of Summer อาจจะทำให้คุณร้องไห้แน่ๆ แต่ไม่เศร้าจนเกินไป แถมเชียร์อัพให้คุณพร้อมกับความรักครั้งใหม่อีกด้วย

 

  • Someone Great 

ภาพยนตร์ที่เราขอยกให้เป็น Hidden Gem เรื่องหนึ่งจาก Netflix Original เรื่องหนึ่งเลย เรื่องนี้เล่าสถานการณ์ความรักของ Jenny (Gina Rodriguez) นักเขียนด้านดนตรีที่ได้โอกาสทำงานกับสื่อดนตรียักษ์ใหญ่อย่าง Rolling Stone แต่นั่นทำให้เธอต้องย้ายข้ามฝั่งประเทศจากนิวยอร์กไปยังซานฟรานซิสโก และทำให้เธอต้องเลิกกับ Nate (LaKeith Stanfield) 

 

หนังเรื่องนี้ไม่ใช่ภาพยนตร์มาสเตอร์พีซอย่างเรื่องอื่นๆ กลับกันมันเป็นเรื่องรักที่เกิดกับใครก็ได้ แถมก็แอบรำคาญความเมามายของ Jenny ในบางที แต่นั่นเป็นภาพสะท้อนว่าคนเรามีวิธีการรับมือเหตุการณ์อกหักที่แตกต่างกัน Jenny อาจต้องการเมาเพื่อลืม ต้องการง้อ ฟูมฟายให้ได้ Nate กลับมา ก่อนที่เธอจะตั้งสติได้และเลือกที่จะใช้วิธีระบายความรู้สึกทั้งหมดผ่านการ ‘เขียน’ ถึง Nate เธอไม่ได้ส่งจดหมายนั้นให้ Nate แต่คนสำคัญที่ต้องอ่านจดหมายฉบับนั้นก็คือตัวเธอเองเพื่อก้าวต่อให้ได้

 

  • He’s Just Not That Into You 

อีกหนึ่งภาพยนตร์คลาสสิกที่เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของหลายๆ คู่ เรื่องนี้ดำเนินเรื่องหลักผ่าน Gigi (Ginnifer Goodwin) หญิงสาวที่เฟลกับความสัมพันธ์หลายครั้ง เพราะแยกไม่ออกว่าการที่อีกฝ่ายทำแบบนั้นเพราะเขาไม่ได้อินกับเธอจริงๆ เหมือนที่ชื่อเรื่องบอก

 

สิ่งที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้คือ หนังแสดงให้เห็นถึงการกระทำหลายๆ แบบที่บอกให้เราเลิกให้ข้ออ้างและทนอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่เฮลตี้ ถ้าเขารักคุณจริงทุกอย่างมันจะง่ายและชัดเจนแบบที่ไม่ต้องปวดหัวกับความคลุมเครืออะไรเลย 

 

 

  • How to Be Single

How to Be Single เล่าเรื่อง Alice (Dakota Johnson) ที่เพิ่งโสดและย้ายมาอยู่นิวยอร์กเพื่อเริ่มงานใหม่ Alice เหมือนตัวแทนของคนช้ำรักที่บอกตัวเองว่าไม่ต้องการความสัมพันธ์ครั้งใหม่ แต่ปล่อยให้ตัวเองมีความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนกับผู้ชายคนอื่นๆ อีกหลายคน

 

ภาพยนตร์ทำให้เราเข้าใจว่าต่อให้จะเป็นความสัมพันธ์ที่คลุมเครือก็ไม่ได้แปลว่าเธอเป็นโสดหรือสามารถใช้ชีวิตโสดได้ดี เมื่อจบความสัมพันธ์ การกลับมาโฟกัสที่ความต้องการของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการอยู่ด้วยตัวเองได้อย่าง Independent ดีทั้งต่อตัวเองและมันก็จะทำให้คุณเป็นคนรักที่ดีในอนาคตด้วยนะ 

 

  • Celeste and Jesse Forever 

Celeste (Rashida Jones) และ Jesse (Andy Samberg) คือเรื่องราวของ High School Sweethearts ที่แต่งงานกันเมื่อโตขึ้น เขาและเธอมีกันและกันมาตลอดจนลืมไปแล้วว่านานเท่าไร เมื่อทั้งสองตกลงที่จะหย่า ทั้งคู่คิดว่าเราจะยังเป็นเพื่อนกันได้จนกระทั่ง Jesse มีคนอื่น นั่นแหละถึงทำให้ Celeste เพิ่งเรียนรู้ที่จะมูฟออนจริงๆ 

 

เราเชื่อว่าคนที่เคยถามคำถามว่าเราเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าได้ไหมน่าจะอินกับเรื่องนี้มาก บางทีการที่เราเลิกกับใครสักคนแต่ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม มันไม่ได้แปลว่าเรามูฟออนได้จริง คำว่าเพื่อนในกรณีนี้มันจับต้องไม่ได้จนกระทั่งคุณจะยอมรับตัวตนใหม่ที่เปลี่ยนไปแล้วของอีกฝ่ายได้ และยอมรับความรักครั้งใหม่ของเขาได้อย่างยินดี นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าจบ 

 

  • My Best Friend’s Wedding

My Best Friend’s Wedding เป็นหนังอกหักที่เราจัดอยู่ในหมวดให้กำลังใจ เรื่องราวของ Julianne (Julia Roberts) ที่ค้นพบว่าเพื่อนรักของเธอ (ที่ตกลงกันว่าจะแต่งงานกันตอนอายุ 28 ปี) อย่าง Michael (Dermot Mulroney) กำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ตรงข้ามกับเธอทุกประการอย่าง Kimberly (Cameron Diaz)

 

My Best Friend’s Wedding บอกเราว่าจังหวะเวลาเป็นเรื่องสำคัญแค่ไหน หากบางโอกาสมันผ่านไปแล้วคุณก็ไม่สามารถเรียกมันกลับคืนมาได้ การเจอกันในตอนนี้มันอาจจะใช่สำหรับเรา แต่เมื่อเขามูฟออนไปมีอีกชีวิตใหม่ไปแล้ว เราก็ควรยอมรับและมูฟออนด้วยความยินดี

 

  • Bridesmaids 

อีกหนึ่งภาพยนตร์โรแมนติกอารมณ์ดีที่ให้กำลังใจไม่แพ้เรื่องอื่น Bridesmaids เล่าเรื่องราวของ Annie (Kristen Wiig) ตอนที่เธอเลิกกับแฟนและทำให้ร้านเบเกอรีของเธอเจ๊งไปด้วย Annie โดนไล่ออกจากงานใหม่ โดนไล่ออกจากอพาร์ตเมนต์ และมารู้ว่าเพื่อนสนิทของเธอกำลังจะแต่งงาน

 

Annie อาจจะไม่รู้ตัวในทันทีว่าเธอเริ่มรับมือกับความสูญเสียและการเปลี่ยนแปลงไม่ไหว เธอถึงทำให้ตัวเองมีความสัมพันธ์ใหม่ที่แย่ๆ รวมถึงเกือบจะพังงานแต่งของเพื่อนตัวเอง ความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นกับใครก็ได้ และคุณก็มีสิทธิ์ที่จะเสียใจ แต่อย่าจมตัวเองมากเกินไปจนปิดกั้นโอกาสดีๆ ใหม่ๆ ที่กำลังจะเข้ามา หนังเรื่องนี้บอกกับเราแบบนั้น 

 

  • The Holiday 

เราเชื่อว่า The Holiday ติดอันดับหนังรักเรื่องโปรดของใครหลายๆ คนเช่นเดียวกับเรา ไม่รู้ว่าเพราะบรรยากาศของเทศกาลด้วยไหม แต่เรื่องนี้ดูแล้วให้กำลังใจ ชุบชูใจให้เรามูฟออนได้อย่างร่าเริงมากจริงๆ 

 

The Holiday เล่าเรื่องของสองสาว Amanda (Cameron Diaz) และ Iris (Kate Winslet) ที่เพิ่งจบกับความสัมพันธ์แย่ๆ และตัดสินใจแลกบ้านกันในช่วงคริสต์มาส และทำให้ทั้งสองเจอกับความรักครั้งใหม่

 

การหนีออกไปเที่ยว พักสมองเพื่อทบทวนความต้องการของตัวเองเช่นเดียวกับสองสาวเป็นเรื่องที่คุณทำได้หลังจบความสัมพันธ์ อีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันคืออย่าลืมกอบกู้คุณค่าของตัวเองกลับมาและบอกกับตัวเองว่าคุณสมควรที่จะได้รับความรักที่ดีเช่นเดียวกับสองสาว Iris และ Amanda

 

ภาพ: Courtesy of the Film Company

The post อยากมูฟออนแต่ยังไม่ไหว! นี่คือ 12 เรื่องรักที่จะพาคุณเศร้าให้สุดและส่งกำลังใจให้มูฟออนได้สำเร็จ appeared first on THE STANDARD.

]]>
17 กรกฎาคม 2009 – ครบรอบ 12 ปี 500 Days of Summer เข้าฉาย https://thestandard.co/pop-onthisday17072009/ Sat, 17 Jul 2021 01:00:34 +0000 https://thestandard.co/?p=507439 500 Days of Summer

หากนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์เมื่อวันที่ […]

The post 17 กรกฎาคม 2009 – ครบรอบ 12 ปี 500 Days of Summer เข้าฉาย appeared first on THE STANDARD.

]]>
500 Days of Summer

หากนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2009 ปัจจุบัน ‘หนังรักแต่ไม่รัก’ สุดคลาสสิกที่ใครหลายคนยกขึ้นหิ้งอย่าง 500 Days of Summer ก็มีอายุครบ 12 ปีแล้วในวันนี้

 

500 Days of Summer เป็นภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดี้เรื่องเยี่ยมที่กำกับโดย มาร์ค เว็บบ์ ส่วนบทภาพยนตร์มีการอ้างอิงประสบการณ์ความรักในชีวิตจริงของ สก็อตต์ นอยสตัดเตอร์ (หนึ่งในคนเขียนบท) ผู้เคยถูกอดีตแฟนสาวที่ตัวเองคลั่งไคล้อย่างหนักนามว่า เจนนี่ เบ็กแมน ทิ้งไป

 

เนื้อหาของภาพยนตร์โฟกัสไปที่ความสัมพันธ์ของชายหนุ่มผู้ยึดมั่นในความชัดเจนอย่าง ทอม แฮนเซน (รับบทโดย โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์) และ ซัมเมอร์ ฟินน์ (รับบทโดย ซูอีย์ เดสชาเนล) หญิงสาวนัยน์ตาสวยผู้เปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์ ที่เข้ามาทำให้ชีวิตของทอมได้พบกับความสุขอันมากล้น ก่อนจะทิ้งให้เขาอยู่กับความทุกข์ระทมหัวใจสลายในเวลาต่อมา

 

500 Days of Summer โดดเด่นด้วยเทคนิคการนำเสนอเรื่องราวแบบไม่ลำดับเวลา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้แตกต่าง มีชั้นเชิงกว่าหนังรักทั่วไป เพราะมันช่วยให้คนดูมองเห็นภาพความคิดและความรู้สึกตลอดเวลา 500 วันอันหยุ่งเหยิงของทอมได้อย่างชัดเจนไหลลื่น หลังจากโดนซัมเมอร์ผู้หญิงที่เขาทึกทักไปเองว่าเป็น ‘คนที่ใช่’ บอกเลิก

 

ตัวภาพยนตร์พรีเมียร์ที่ Sundance Film Festival ครั้งที่ 25 และภายหลังเป็นที่ชื่นชอบของบรรดานักวิจารณ์รวมถึงกลุ่มคนดู กวาดเงินทั่วโลกไป 60.7 ล้านจากทุนสร้าง 7.5 ล้านดอลลาร์ ประสบความสำเร็จจนทำให้คาแรกเตอร์ทอมและซัมเมอร์กลายเป็นคู่รักจากภาพยนตร์ที่ป๊อปปูลาร์ แถมยังสร้างชื่อให้เพลงประกอบเพราะๆ อย่าง There Is a Light That Never Goes Out, You Make My Dreams, Sweet Disposition ฯลฯ

 

ภาพ: Fox Searchlight Pictures

The post 17 กรกฎาคม 2009 – ครบรอบ 12 ปี 500 Days of Summer เข้าฉาย appeared first on THE STANDARD.

]]>
Zooey Deschanel และ Joseph Gordon Levitt กลับมาเจอกันอีกครั้ง 10 ปีหลัง 500 Days of Summer https://thestandard.co/500-days-summer-viewing-party/ https://thestandard.co/500-days-summer-viewing-party/#respond Fri, 08 Feb 2019 06:49:53 +0000 https://thestandard.co/?p=193899

ต้องขอบคุณ Entertainment Weekly ที่ทำให้แฟน 500 Days of […]

The post Zooey Deschanel และ Joseph Gordon Levitt กลับมาเจอกันอีกครั้ง 10 ปีหลัง 500 Days of Summer appeared first on THE STANDARD.

]]>

ต้องขอบคุณ Entertainment Weekly ที่ทำให้แฟน 500 Days of Summer ได้มีโอกาสเห็นพระเอกนางเอกคู่ขวัญอย่าง ซูอีย์ เดสชาเนล รับบท ซัมเมอร์ ฟินน์ และ โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ รับบท ทอม แฮนเซน กลับมาเจอกันอีกครั้งแบบแนบชิด โดยทั้งคู่ยังมานั่งดู 500 Days of Summer ด้วยกันหลังภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายมาแล้วกว่า 10 ปี!

 

ทั้งคู่ยังแชร์ความเห็นที่มีต่อตัวละครของตัวเองในภาพยนตร์อีกด้วย รวมถึงประเด็นร้อนที่หลายๆ คน รวมทั้ง เต๋อ นวพล  (thestandard.co/3650-days-of-summer) ก็พูดถึงอย่างการที่ซัมเมอร์ดูเป็นคาแรกเตอร์ใจร้ายที่ทิ้งพระเอกอย่างทอมไปอย่างไร้เยื่อใย ทั้งที่จริงๆ แล้วตัวละครซัมเมอร์นั้นบอกชัดเจนตั้งแต่ซีนแรกว่าตัวเธอเป็นอย่างไร

 

ซูอีย์ กล่าวว่า “มันเจ๋งดีที่ภาพยนตร์ทำให้คุณอินได้ขนาดนี้ และทำให้คุณเข้าข้างทอมมากๆ ทั้งที่จริงๆ แล้วซัมเมอร์บอกมุมมองของเธอเองตลอดเวลา…ฉันเซอร์ไพรส์มากเวลามีผู้หญิงมาบอกว่า ‘ฉันเกลียดคาแรกเตอร์เธอมาก!’ ฉันก็จะแบบทำไมล่ะ เธอก็บอกความคิดเธอทุกอย่างตั้งแต่แรกเลยนะ

 

“และคนดูก็มักจะมองไม่เห็นข้อเสียของคาแรกเตอร์นี้ด้วย เพราะเรื่องมันถูกเล่าจากมุมของทอมอย่างเดียว ทำให้คุณไม่เห็นว่าทอมน่ะ ไม่ยอมฟังซัมเมอร์ตั้งแต่แรก” โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ กล่าวถึงคาแรกเตอร์ทอมของตัวเอง ซึ่งซูอีย์ก็เสริมปิดท้ายคลิปอย่างสวยงามว่า “แต่ถ้าในยุค Me Too เนี่ย ฉันว่าเราจะได้เห็นมุมมองใหม่จากหนังเรื่องนี้แน่นอน”

 

เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว โจเซฟยังออกตัวปกป้องคาแรกเตอร์ซัมเมอร์ผ่านทางทวิตเตอร์ส่วนตัวของเขา @hitRECordJoe เมื่อมีแฟนหนังรายหนึ่งทวีตต่อว่าตัวละครซัมเมอร์ โดยเขาทวีตกลับว่า “กลับไปดูอีกครั้งนะ จริงๆ แล้วส่วนใหญ่มันเป็นความผิดของทอม เขาทุ่มอย่างเดียว แต่ไม่ยอมฟัง เขาเห็นแก่ตัว แต่โชคดีที่เขาโตขึ้นในตอนจบ” (https://twitter.com/hitRECordJoe/status/1026538001990529025)

 

500 Days of Summer เป็นภาพยนตร์โรแมนติกที่ทุกคนน่าจะเคยดู ด้วยการเล่าเรื่องสลับไปมาของความรักระหว่างชายหนุ่มสิ้นหวัง ทอม แฮนเซน และ ซัมเมอร์ ฟินน์ ที่อยู่ดีๆ ก็ทิ้งเขาไป และเรื่องราวจึงย้อนกลับไปในวันเก่าๆ ว่าอะไรทำให้ความรักของพวกเขาต้องจบลง

 

ภาพยนตร์กำกับโดย มาร์ก เวบบ์ และฉายครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์ Sundance Film Festival ครั้งที่ 25 และได้กระแสตอบรับที่ดีอย่างล้นหลาม จนทำให้คาแรกเตอร์ของซัมเมอร์และทอมกลายเป็นคู่รักจากภาพยนตร์ที่ดังสุดๆ แถมยังสร้างชื่อให้กับเพลงประกอบสุดติดหูอย่าง There Is a Light That Never Goes Out – The Smiths และ You Make My Dreams Come True – Hall & Oates

 

ชมวิดีโอของ ซูอีย์ เดสชาเนล และ โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ ได้ที่

 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

The post Zooey Deschanel และ Joseph Gordon Levitt กลับมาเจอกันอีกครั้ง 10 ปีหลัง 500 Days of Summer appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/500-days-summer-viewing-party/feed/ 0
3650 Days of Summer ครบรอบ 10 ปี มานั่งดูซัมเมอร์กันอีกทีดีกว่า https://thestandard.co/3650-days-of-summer/ https://thestandard.co/3650-days-of-summer/#respond Thu, 17 Jan 2019 17:01:45 +0000 https://thestandard.co/?p=181656

500 Days of Summer ครบรอบ 10 ปีพอดีในวันนี้ เต๋อ-นวพล ธ […]

The post 3650 Days of Summer ครบรอบ 10 ปี มานั่งดูซัมเมอร์กันอีกทีดีกว่า appeared first on THE STANDARD.

]]>

500 Days of Summer ครบรอบ 10 ปีพอดีในวันนี้ เต๋อ-นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ เลยจัดทำคลิปพิเศษเพื่อย้อนไปดูหนังแห่งยุคสมัยเรื่องนี้ เพื่อดูว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง ซีนไหนคลาสสิก เกร็ดหนัง ฉากสุดแฟนตาซี ฉากที่ปวดร้าว และการทำความเข้าใจคำว่าแฟน

 

ดูจบแล้วลองมาโหวตกันว่าคุณอยู่ทีมไหน ระหว่าง #TeamTom หรือ #TeamSummer

The post 3650 Days of Summer ครบรอบ 10 ปี มานั่งดูซัมเมอร์กันอีกทีดีกว่า appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/3650-days-of-summer/feed/ 0
สุขสันต์วันเกิด Zooey Deschanel หญิงสาวผู้นิยามความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกใน 500 Days of Summer https://thestandard.co/hbd-zooey-deschanel/ https://thestandard.co/hbd-zooey-deschanel/#respond Thu, 17 Jan 2019 06:54:44 +0000 https://thestandard.co/?p=181555

ย้อนกลับไปในวันนี้ (17 มกราคม 1980) เมื่อ 39 ปีที่แล้ว […]

The post สุขสันต์วันเกิด Zooey Deschanel หญิงสาวผู้นิยามความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกใน 500 Days of Summer appeared first on THE STANDARD.

]]>

ย้อนกลับไปในวันนี้ (17 มกราคม 1980) เมื่อ 39 ปีที่แล้ว ซูอีย์ แคลร์ เดสชาเนล เด็กสาวนัยน์ตาสวยได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกเป็นครั้งแรก และเมื่อเวลาผ่านไป 29 ปี โลกใบนี้ก็เรียกขานเธอว่า ‘ซัมเมอร์’ หญิงสาวที่คาดเดาได้ยากที่สุดจากหนังเรื่อง 500 Days of Summer

 

ซูอีย์คือหนึ่งในผลผลิตวงการบันเทิงที่ DNA ของ ‘ภาพยนตร์’ ไหลเวียนอยู่ในสายเลือด ตั้งแต่แมรี โจ และเอมิลี เดสชาเนล คุณแม่กับพี่สาวที่เป็นนักแสดง ส่วนคุณพ่อ คาเลบ เดสชาเนล ก็เป็นตากล้องฝีมือดีที่เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาถ่ายภาพยอดเยี่ยมมาแล้ว 5 ครั้ง รวมไปถึงผลงานล่าสุดอย่าง The Lion King ที่แฟนหนังกำลังจะได้ชมในปีนี้ด้วยเช่นกัน

 

ซูอีย์เริ่มต้นเข้าวงการครั้งแรกเมื่ออายุ 18 ปี จากบทเล็กๆ ในซีรีส์เรื่อง Veronica’s Closet ก่อนที่จะเข้าสู่วงการภาพยนตร์เต็มตัว ตั้งแต่ Mumford (1999), Almost Famous (2000), Manic (2001), The Good Girl (2002), All the Real Girls (2003) ฯลฯ

 

ในตอนนั้นซูอีย์อยู่ในสถานะนักแสดงดาวรุ่งที่มีผลงานภาพยนตร์ออกมาอย่างต่อเนื่องทุกปี แต่ก็ยังไม่มีเรื่องไหนที่ทำให้เธอเฉิดฉายได้จริงๆ กระทั่งในปี 2008 กับบทอัลลิสัน หญิงสาวผู้เข้ามาเปลี่ยนหัวใจของชายหนุ่มที่ปฏิเสธทุกอย่างในเรื่อง Yes Man ที่ออร่าหญิงสาวนัก ‘ขโมย’ หัวใจของเธอเริ่มเด่นชัดขึ้นมา

 

กระทั่งเมื่อ 500 Days of Summer ของผู้กำกับมาร์ก เวบบ์ ออกฉายในปีต่อมา บทบาทของสาวมั่นอย่างซัมเมอร์ ที่ใช้ชีวิตอยู่กับ ‘ความสัมพันธ์ไม่มีชื่อเรียก’ นั้นเข้ามาทำให้ทอม (รับบทโดยโจเซฟ กอร์ดอน เลวิตต์) ชายหนุ่มผู้ยึดมั่นอยู่ในกรอบของความสัมพันธ์ที่ชัดเจนต้องหัวปั่น สำลักความสุข และทุกข์ระทมจนหัวใจแทบสลาย และ ‘ซัมเมอร์’ ก็กลายเป็นภาพจำของเธอที่แฟนหนัง (โดยเฉพาะผู้ชาย) ไม่อาจจะลืมเลือน

 

การหลอมรวมกันระหว่าง ‘ซูอีย์’ และ ‘ซัมเมอร์’ ทำให้เกิดปฏิกิริยาที่น่าสนใจ เสียงที่แตกออกเป็น 2 ฝ่ายจากคนดู คือถ้าไม่หลงรักซัมเมอร์ ก็อาจจะเกลียดและวางเธอไว้ในสถานะสัญลักษณ์ของคน ‘ใจร้าย’ ไปได้เลย หรือถ้าหนักยิ่งไปกว่านั้น บางคนอาจจะถึงขั้นเกิดทั้ง 2 อารมณ์ สลับปั่นป่วนไปมาว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับผู้หญิงเช่นเธอดี!? เพราะใจหนึ่งคิดว่าเธอนั้นแสนใจร้าย แต่อีกใจหนึ่งก็ดันเข้าใจได้ว่าทุกอย่างที่เธอทำนั้นมีเหตุผลและความหนักแน่นประกอบอยู่

 

คงเป็นเหมือนที่ซูอีย์เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ฉันรักตัวละครนี้มาก ซัมเมอร์เป็นผู้หญิงที่ฉลาด รักอิสระและดูน่าสนใจ เป็นผู้หญิงที่ทำให้ทอมโตขึ้น ทำให้เขาออกจากความเพ้อฝันที่คิดว่ารักเปรียบเสมือนเทพนิยายที่เขาเคยดูตอนเด็กๆ แล้วกลับมามองโลกแห่งความเป็นได้มากขึ้น”

 

ไม่ใช่แค่ทอมคนเดียวเท่านั้นหรอกที่ได้เรียนรู้โลกแห่งความเป็นจริง แต่ซัมเมอร์ได้ส่งสัญญาณไปถึงคนดูที่ยังตั้งคำถามกับความรัก ให้เห็นความจริงบางอย่าง ว่าเราไม่อาจคาดหวังให้ทุกความสัมพันธ์เป็นดั่งใจได้เสมอไป

 

นอกจากบทบาทการเป็นนักแสดง ซูอีย์ยังมีอีกหนึ่งพรสวรรค์ นั่นคือการเป็นนักร้อง เธอมีความฝันมาตั้งแต่อายุ 3 ขวบ นับตั้งแต่ได้ฟังอัลบั้ม Like a Virgin ของมาดอนน่าที่พ่อซื้อมาให้ โดยเธอและเอ็ม. วาร์ด (M. Ward) นักกีตาร์และนักแต่งเพลงชาวอเมริกันได้ร่วมกันก่อตั้งวง She & Him ในปี 2006 และปล่อย Volume One อัลบั้มเปิดตัวในปี 2008 และมีอีก 5 อัลบั้มตามมา

 

ซูอีย์เคยให้สัมภาษณ์ว่าจริงๆ แล้ว เธอชอบร้องเพลงมากกว่าการแสดง เพราะว่าตอนทำเพลงเธอสามารถควบคุมทุกอย่างได้ทั้งหมด ไม่เหมือนกับการแสดงที่ต้องอยู่ในการควบคุมของผู้กำกับทุกอย่าง ทำให้การร้องเพลงคือสิ่งที่ทำให้เธอสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของเธอออกมาให้คนอื่นเห็นได้มากที่สุด

 

นี่อาจจะเป็นเหมือนคำสาปที่ ‘ซัมเมอร์’ ได้เสกเอาไว้ เพราะถึงแม้ว่าเธอจะรักการร้องเพลงและอยากแสดงตัวตนออกมามากเท่าไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้คนยังคงจดจำซูอีย์ เดสชาเนล ในฐานะ ‘ซัมเมอร์’ มากกว่าบทบาทใดๆ อยู่ดี

 

และถ้ารวมกับความบังเอิญเล็กๆ ที่นอกจากวันนี้จะตรงกับวันเกิดของซูอีย์ วันที่ 17 มกราคม ในปี 2009 ยังเป็นวันแรกที่ 500 Days of Summer เริ่มฉายที่เทศกาลซันแดนซ์เป็นครั้งแรก ก็คงจะพอพูดได้แบบไม่เกินไปนัก ว่าเธอคนนี้เกิดมาเพื่อเป็น ‘ซัมเมอร์’ จริงๆ

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

อ้างอิง:

The post สุขสันต์วันเกิด Zooey Deschanel หญิงสาวผู้นิยามความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกใน 500 Days of Summer appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/hbd-zooey-deschanel/feed/ 0
The Only Living Boy in New York หนังรักอันซับซ้อนที่สะท้อนตัวตน ทอย ปฐมพงศ์ https://thestandard.co/the-only-living-boy-in-new-york/ https://thestandard.co/the-only-living-boy-in-new-york/#respond Thu, 30 Nov 2017 04:48:35 +0000 https://thestandard.co/?p=51763

  หลังจาก M Pictures เปิดตัวโปรเจกต์ ‘หนังผมไม่เล็ […]

The post The Only Living Boy in New York หนังรักอันซับซ้อนที่สะท้อนตัวตน ทอย ปฐมพงศ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

 

หลังจาก M Pictures เปิดตัวโปรเจกต์ ‘หนังผมไม่เล็กนะครับ’ ที่คัดหนังคุณภาพ 4 เรื่องมาเป็นของขวัญส่งท้ายปีเก่าเอาใจคอหนังทุกคนไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว โดยเรื่องแรกคือ Wind River ที่ได้ผู้กำกับอย่างก้องเกียรติ โขมศิริ มาเป็นตัวแทนบอกความรู้สึก

           

ส่วนเรื่องที่สอง M Pictures เปลี่ยนอารมณ์ไปที่แนวโรแมนติก-คอเมดี้ที่ว่าด้วยความรักวุ่นๆ ของ โทมัส เว็บบ์ (รับบทโดย คัลลัม เทอร์เนอร์) ที่กำลังสับสนทั้งในเรื่องหัวใจและเส้นทางชีวิตของตัวเองหลังเรียนจบมหาวิทยาลัย เท่านั้นยังไม่พอ เขาดันไปรู้ความจริงว่า อีธาน เว็บบ์ (รับบทโดย เพียร์ซ บรอสแนน) พ่อแท้ๆ ของตัวเองกำลังกิ๊กกับสาวแซ่บอย่าง โจฮันนา (รับบทโดย เคท เบกคินเซล) และในขณะที่ตามสืบเรื่องอยู่นั้น หนุ่มเจ้ากรรมของเราก็ดันไปหลงเสน่ห์กิ๊กของพ่อตัวเองขึ้นมาอีก ผลงานของ มาร์ก เว็บบ์ ผู้กำกับหนังโรแมนติก-คอเมดี้สุดคลาสสิกอย่าง (500) Days of Summer (2009)

 

          

 

ตัวแทนความรักวุ่นๆ ในครั้งนี้ตกเป็นของหนุ่มเจ้าเสน่ห์อย่าง ทอย-ปฐมพงศ์ เรือนใจดี นักแสดงรุ่นใหม่ที่มักจะได้รับบทเกี่ยวกับความรักที่ซับซ้อนของวัยรุ่นอยู่เสมอ ซึ่งเจ้าตัวเองก็อินกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะนอกจากเป็นแฟนตัวยงของหนังเรื่อง (500) Days of Summer อยู่แล้ว นิสัยและความรักในชีวิตของเขาก็ดันคล้ายกับเว็บบ์แบบเต็มๆ ทำให้เขาค่อนข้างเข้าใจและเห็นใจพระเอกในเรื่องนี้เป็นพิเศษ

 

“ถ้าถึงขั้นไปชอบกิ๊กของพ่อคงไม่มีนะครับ อันนั้นดูเกินไปหน่อย (หัวเราะ) แต่ถ้าแอบชอบเพื่อนนี่ผมเคยมาตั้งแต่เด็กๆ ส่วนชอบคนที่อายุมากกว่า ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ ยิ่งพอผมทำงานในวงการตั้งแต่เด็ก ทำให้ไม่มีเวลาไปมีความรักหรือทำกิจกรรมหวานๆ เหมือนคนอื่น เพราะฉะนั้นคนที่อายุมากกว่า ทำงานมามากกว่า เขาน่าจะเข้าใจเราในเรื่องนี้ได้ดีกว่าคนที่อายุพอๆ กันหรือว่าน้อยกว่า ผมคิดว่าเรื่องนี้สำคัญนะครับ ถ้าเราไม่เข้าใจกันเรื่องเวลาของการทำงานเมื่อไร นั่นคืออุปสรรคสำคัญของความรักเลย เพราะว่าการทำงานก็ถือว่าเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในชีวิตของผมตอนนี้เหมือนกัน”

 

 

แอบชอบเพื่อนครั้งแรกตั้งแต่เมื่อไร

ตั้งแต่อนุบาลเลยครับ ฟังดูแล้วเป็นเด็กแรดมากเลยเนอะ (หัวเราะ) ไม่รู้ว่าถึงขนาดเรียกว่าเป็นความรักหรือเราชอบเขาแบบจริงๆ จังๆ หรือเปล่า แต่เราจะชอบไปแหย่ ไปแกล้งเขาตลอดเวลา คือทำยังไงก็ได้ให้อยู่ใกล้เขา หรือจะโดนเขาว่าอะไรก็ยอม ถึงขนาดคุณแม่ซื้อหมามาให้แล้วถามว่าจะตั้งชื่อว่าอะไร ซึ่งตอนนั้นมันมีแต่ชื่อผู้หญิงคนนั้นก้องอยู่ในหัวตลอด สุดท้ายก็เลยเอาชื่อของเธอมาตั้งเป็นชื่อหมา (หัวเราะ) แต่ว่าไม่ได้บอกชอบกัน เพราะพอขึ้น ป.1 ก็ย้ายไปเรียนคนละโรงเรียน ทุกวันนี้เธอยังไม่รู้เลยว่าผมเอาชื่อมาตั้งเป็นชื่อหมา (หัวเราะ)

 

เวลาชอบใครสักคน วิธีการแสดงออกของทอยจะเป็นแบบไหน

อยู่ที่ว่าเราสนิทกันมากแค่ไหน ยิ่งสนิทมาก ยิ่งไม่กล้าบอก เพราะผมกลัวเสียเพื่อน แต่ถ้าไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น อาจจะเป็นเพื่อนห่างๆ เพื่อนของเพื่อน หรือคนอื่นไปเลย ผมจะใช้วิธีออกตัวแรงไปก่อนเลย หาโอกาสหรือเทศกาลเหมาะๆ เช่น วาเลนไทน์ก็ซื้อดอกไม้ให้ ให้เขารู้ไปเลยว่าเราชอบ ไม่ค่อยกลัววืดเท่าไร จะวืดก็วืดเลย (หัวเราะ) แล้วดูฟีดแบ็กว่าเขาเป็นยังไง ถ้าโอเคค่อยจีบต่อ แต่ถ้าไม่โอเค ผมจะไม่ตื๊อเลย เพราะรู้สึกว่าถ้าเขาไม่โอเคแล้วเราหยุดแค่นั้น เรายังมองหน้ากันได้อยู่นะ แล้วผมก็จะได้รู้ไปเลยว่า อ๋อ คนนี้เขาไม่ชอบเราแบบนั้น เราก็จะกลับมาคิดกับเขาเป็นเพื่อนได้เหมือนเดิม แต่ถ้าเราตื๊อเขาแล้วถลำลึกลงไปเรื่อยๆ นั่นล่ะที่จะทำให้เรากลับมาเป็นเพื่อนกันไม่ได้

 

 

เห็นหล่อๆ แบบทอย เวลาออกตัวแรงๆ ไปมีวืดบ่อยไหม

มีบ้างเป็นเรื่องธรรมดา แล้วแต่ช่วงอายุด้วย ยิ่งตอนเด็กๆ ผมเป็นคนขี้อาย เวลาอยู่ในกลุ่มเพื่อนคนก็จะไม่รู้จักหรอกครับว่าคนไหนคือทอย จะมีความเป็นบุคคลในอากาศนิดนึง คือถ้าอยู่กับกลุ่มเพื่อน ด้วยความที่ผมเป็นคนกวนๆ ก็จะโดนรุมแกล้งในกลุ่ม ไม่ใช่ผู้นำหรือตัวเด่นที่คนจะรู้จักเท่าไร แต่พอขึ้นมัธยม เริ่มมีคนรู้จักมากขึ้นก็วืดน้อยลงบ้าง แต่ก็กลายเป็นว่าเราไม่ได้มีเวลาไปทุ่มให้กับความรักมากเท่าเดิมแล้ว

 

หลังจากออกตัวแรงไปแล้วฟีดแบ็กของฝ่ายหญิงออกมาว่าชอบเราเหมือนกัน วิธีสานความสัมพันธ์หลังจากนั้นของทอยเป็นแบบไหน

ตอนแรกเราเริ่มจากการชอบแบบชายหญิงชอบกันใช่ไหมครับ คือเห็นว่าชอบแล้วออกตัวแรง แต่พอจะเริ่มจีบกันจริงๆ ผมจะใช้วิธีคุยกันแบบเพื่อน จากตอนแรกอาจจะซื้อดอกไม้ให้แบบที่บอก แต่ตอนนี้ไม่ซื้อ (หัวเราะ) เพราะไม่ได้จีบแบบผู้ชายผู้หญิง แต่เราคุยกัน กินข้าวด้วยกัน ไปส่งที่บ้าน ปรึกษาเรื่องราวต่างๆ ทำอะไรตลกๆ ให้เขาหัวเราะ ผมว่าการค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปแบบนี้ดีกว่าที่เราจะไปเร่งรัดอะไรทุกอย่างให้มันเร็วจนเกินไป เพราะสุดท้ายคนรักของเราก็คือเพื่อนคู่ชีวิตคนหนึ่งของเราเหมือนกัน

 

 

สำหรับทอย คิดว่าคนที่เป็นเพื่อนสนิทกันควรพัฒนาความสัมพันธ์จนเปลี่ยนเป็นคนรักกันหรือเปล่า

ผมว่าไม่มีอะไรตายตัวนะ แล้วแต่มุมมองของคนมากกว่า ซึ่งผมคิดว่าในความรักไม่มีอะไรผิดหรือถูก อ๋อ ยกเว้นเรื่องไปแอบชอบกิ๊กของพ่อตัวเองแบบในเรื่องนะครับ (หัวเราะ) แต่นอกจากนั้น ไม่ว่าจะรักเพื่อนสนิทหรือรักคนมีอายุมากกว่า มันไม่ควรจะมีกฎเกณฑ์อะไรมาห้าม เพราะว่าความรัก เวลามันเกิดขึ้นแล้วเราห้ามมันไม่ได้ แล้วเวลาที่เรารักใคร เราไม่ทันคิดหรอกว่าคนนั้นคือเพื่อนสนิท คนนั้นอายุมากกว่า เราคิดแค่ว่าคนนี้คือคนที่เรารัก ไม่มีปัจจัยอื่นมาเกี่ยวข้องเลย

 

ตอนนี้ความรักแบบหนุ่มสาวสำคัญสำหรับทอยมากขนาดไหน

เยอะนะครับ เต็ม 100 ผมให้ 70 เลย ผมคิดว่าเป็นกำลังใจสำคัญที่ทำให้เรามีพลังออกไปทำงาน บางทีเราท้อ เหนื่อย หรือมีความสุข มันจะมีความรู้สึกบางอย่างที่เราบอกครอบครัวไม่ได้แล้วเราอยากอวด อยากแบ่งปันความสุข อยากมีคนรับฟังความทุกข์ ผมว่าการมีใครสักคนที่เราสามารถพูดคุยและให้กำลังใจกันได้ทุกเรื่องเป็นเรื่องที่ดีมาก

 

 

ข้อดี-ข้อเสียในฐานะ ‘คนรัก’ ของทอยมีอะไรบ้าง

ข้อดีคงเป็นเรื่องความใส่ใจ ด้วยความที่ผมโตมากับแม่ มีความคิดของแม่นิดๆ เลยได้นิสัยใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มีความละเอียดของผู้หญิงมาจากแม่ด้วย เพราะฉะนั้นในเรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ผมจะไม่ค่อยพลาดเท่าไร แต่นั่นก็กลายเป็นข้อเสียในเวลาเดียวกัน เพราะทำให้ผมเป็นคนคิดเยอะ แล้วก็จะทะเลาะกันเพราะผมคิดเยอะไปเองนี่ล่ะ

 

เวลาอกหักจะเห็นทอยเป็นแบบไหน

เป็นโรคจิตครับ ถ้าอกหักจะดึงตัวเองให้ดิ่ง ให้ดาวน์ที่สุด ถาโถมลิสต์เพลงที่มันเศร้ามากๆ ใส่มือถือเอาไว้ ยิ่งเมื่อก่อนมือถือยังใส่เพลงได้ไม่เยอะ ผมจะลบทุกอย่างทิ้ง ใส่แต่เพลงเศร้าแล้วฟังตลอดเวลา ไปไหนก็ฟัง กลับบ้านก็ฟัง ฟังอยู่อย่างนั้นจนกว่ามันจะชา มันจะดีขึ้น เพลงที่รู้สึกว่าจี๊ดที่สุด ฟังบ่อยที่สุดคือเพลง รักแท้ดูแลไม่ได้ ของ POTATO ต้องมาทุกครั้ง (หัวเราะ) ไม่ว่าความสัมพันธ์นั้นเราจะถูกหรือผิด แต่ผมจะคิดว่าสุดท้ายเราเป็นคนที่ดูแลความรักนั้นไม่ได้อยู่ดี

The post The Only Living Boy in New York หนังรักอันซับซ้อนที่สะท้อนตัวตน ทอย ปฐมพงศ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/the-only-living-boy-in-new-york/feed/ 0