กว่า 14 ปีของการเป็นเว็บไซต์ข่าวเทคโนโลยีคุณภาพ วันนี้ […]
The post Google และ Facebook ประเทศไทยชี้ ปัญญาประดิษฐ์เป็นของทุกคน ช่วยต่อยอดความสำเร็จ appeared first on THE STANDARD.
]]>กว่า 14 ปีของการเป็นเว็บไซต์ข่าวเทคโนโลยีคุณภาพ วันนี้ (8 ก.ค.) ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของ Blognone ที่จัดงานสัมมนาด้านเทคโนโลยีเชิงธุรกิจครั้งแรกภายใต้ชื่อ Blognone Tomorrow ด้วยแนวคิด What’s Next in Tech World เพื่อแบ่งปันมุมมองและไอเดียการปรับตัวของผู้ประกอบการธุรกิจในยุคที่เทคโนโลยีกำลังเข้ามาครอบงำชีวิตของเรามากขึ้นเรื่อยๆ
อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Blognone เริ่มต้นงานโดยยกประเด็นซอฟต์แวร์กำลังกลืนกินบริษัททั่วโลก ในเวลาเดียวกันกับที่ ‘เทคโนโลยี’ เข้ามามีบทบาทกับภาคธุรกิจที่หลากหลาย แม้แต่ในภาคอุตสาหกรรมที่หลายคนอาจนึกไม่ถึง เช่น ภาคการเกษตร อาหาร และการก่อสร้าง
“ปัจจุบัน 5 บริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดของโลกเปลี่ยนจากบริษัทในกลุ่มธุรกิจน้ำมันมาเป็นบริษัทเทคโนโลยีแล้ว เราจึงสามารถพูดได้เต็มปากว่าทุกบริษัทในวันนี้เป็นบริษัทเทคโนโลยีทั้งหมด แม้แต่อุตสาหกรรมที่หลายคนอาจจะไม่คิดว่าเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสักเท่าไรอย่างการเกษตร อาหาร และการก่อสร้าง”
อิสริยะบอกต่อว่าการเกษตรเคยเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูง พึ่งพาดินฟ้าอากาศมาก และใช้เทคโนโลยีต่ำ แต่กลับกันคือในวันนี้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะโดรนดูแลแปลงเกษตรและพ่นยาฆ่าแมลงทดแทนแรงงานมนุษย์ เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมการผลิตอาหารที่เริ่มมีการใช้วัตถุดิบสังเคราะห์จากพืชเพื่อปูทางให้เกิดความยั่งยืนในวันข้างหน้า ตลอดจนอุตสาหกรรมการก่อสร้างที่มีการใช้ปัญญาประดิษฐ์และเครื่องพิมพ์ 3 มิติสร้างสะพานข้ามแม่น้ำในประเทศเนเธอร์แลนด์
“ไม่ว่าคุณจะอยู่ในอุตสาหกรรมใดก็ต้องปรับตัวพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี คำถามคือทำอย่างไรจึงจะนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงได้เหมาะสมที่สุด”
ปัญญาประดิษฐ์เป็นของคนทุกคน
งานสัมมนาครั้งนี้มีวิทยากรจากองค์กรชั้นนำขึ้นเวทีให้ความรู้และอัปเดตเทรนด์ความเปลี่ยนแปลงเป็นจำนวนมาก เช่น LINE, AIS, Google, Facebook, SCB, Dtac, KBank ฯลฯ และประเด็นที่วิทยากรส่วนใหญ่พูดก็ครอบคลุมตั้งแต่ปัญญาประดิษฐ์ (AI), อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT), Big Data ไปจนถึง Cloud เก็บข้อมูล
เราหยิบประเด็น ‘ปัญญาประดิษฐ์’ มาเล่าเป็นหลัก เพราะใกล้ตัวทุกคนและเป็นหัวข้อที่สองบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Google และ Facebook เลือกแสดงทัศนะได้อย่างน่าสนใจ
ไมเคิล จิตติวาณิชย์ หัวหน้าแผนกการตลาด Google ประเทศไทย มองปัญญาประดิษฐ์ว่าเป็นของคนทุกคน (AI for Everyone) ทั้งยังชี้ให้เห็นว่านวัตกรรมยอดนิยมส่วนใหญ่ในวันนี้ของ Google ล้วนแล้วแต่มีต้นตอมาจากปัญญาประดิษฐ์และ Machine Learning แทบทั้งสิ้น
“ปัญญาประดิษฐ์คือศาสตร์ของการทำให้สิ่งต่างๆ ฉลาดมากขึ้น แต่ถูกพูดถึงบ่อยในช่วงนี้เพราะเทคนิค Machine Learning ที่ทำให้ AI ก้าวกระโดดในเชิงการพัฒนามากขึ้น ความต่างกันของระบบการเขียนโปรแกรมรูปแบบนี้คือเราสามารถสอนให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้การเขียนโปรแกรมได้ด้วยตัวเอง แล้วกระบวนการสอนก็มีทั้งการฝึก (Training) และการสรุปผล (Inference)”
ตัวอย่างคือการสอนให้ปัญญาประดิษฐ์รู้จักแยกแยะ ‘หมา’ และ ‘แมว’ ผ่านภาพถ่ายในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ก่อนที่ในที่สุดมันจะสามารถแยกหมาและแมวออกจากกันด้วยการรู้จำและการคาดเดาได้ด้วยตัวเอง
ไมเคิลบอกต่อว่า Google ศึกษาการใช้ AI มาเป็นเวลานานแล้ว โดยมองการสร้างประโยชน์จาก AI ออกเป็น 3 ส่วนคือ
1. Making Apps & Services More Useful ทำให้แอปพลิเคชันและบริการต่างๆ ของ Google เข้ามามีประโยชน์ในชีวิตประจำวันของผู้ใช้ ตัวอย่างในกลุ่มนี้ เช่น Google Photo ที่ใช้ทั้ง AI และ Machine Learning เข้ามาทำประโยชน์ผ่านการรู้จำภาพถ่ายต่างๆ, Google Translate ฟีเจอร์ Word Lens ที่สามารถแปลภาษาผ่านรูปถ่าย และผู้ช่วยปัญญาประดิษฐ์ Google Assistant ที่เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นาน
2. Helping Others Innovate ทำให้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้าถึงได้ทุกๆ ธุรกิจเพื่อให้ทุกฝ่ายใช้ประโยชน์ได้กับภาคธุรกิจของตน ตัวอย่างคือการเปิด Open Source ‘TensorFlow’ หรือการเขียนโปรแกรมสอนคอมพิวเตอร์ให้สามารถเรียนรู้ได้, ทำ Cloud APIs บน Google Cloud เพื่อให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถนำโมเดล Machine Learning ของ Google ไปปรับใช้ต่อได้ทันที และสุดท้ายคือการสร้างฮาร์ดแวร์ Tensor Processing Unit ซึ่งใช้รัน Machine Learning ได้โดยเฉพาะ
ผลลัพธ์ที่ได้จาก 3 สิ่งนี้คือการที่บริษัทผู้ผลิตอาหารสำหรับเด็กในญี่ปุ่น Kewpie ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของ Google มาคัดเลือกวัตถุดิบอาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัย
3. Solving for Humanity’s Big Challenges ช่วยเหลือให้นักวิจัยใช้ปัญญาประดิษฐ์แก้ปัญหาด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เช่น Health Tech ที่นำ AI มาสอนให้รู้จักวินิจฉัยความเสี่ยงของมนุษย์ที่จะมีโอกาสป่วยเป็นโรคต่างๆ จากการตรวจดูดวงตา รวมถึงโรคหัวใจ เพื่อวางแผนรักษาและป้องกันให้ทันท่วงที โดยภายในระยะเวลา 2 ปีของการพัฒนา ปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์ของพวกเขาสามารถวินิจฉัยได้ใกล้เคียงกับแพทย์เฉพาะทางแล้ว
นอกจากนี้ยังมีการเทรน AI ให้รู้จักวิเคราะห์อาการป่วยของพืชชนิดต่างๆ รวมถึงใช้ตรวจหาดาวเคราะห์ในอวกาศอีกด้วย
“ภารกิจของ Google คืออยากให้ปัญญาประดิษฐ์เป็นของคนทุกคนได้เหมือนๆ กัน สามารถสร้างประโยชน์ในชีวิตประจำวันของเรา และองค์กรภาคธุรกิจต่างๆ รวมไปถึงแก้ไขปัญหาของโลกเราในหลายๆ เรื่องได้ ในมุมมองของเรา AI จึงเปรียบเสมือนหนึ่งใน ‘การเปลี่ยนแปลงที่มีศักยภาพที่สุดของโลก’ ผมอยากให้ทุกคนได้ศึกษาการใช้ AI และการสร้างประโยชน์จากมันในด้านต่างๆ”
การควบคุมพลังปัญญาประดิษฐ์กับการใช้ประโยชน์ในด้านธุรกิจ
เคยสังเกตไหมว่าทำไมหน้านิวส์ฟีดส่วนตัวบนแพลตฟอร์ม Facebook ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้จึงแสดงผลเนื้อหาและโพสต์ต่างๆ ได้ตรงตามความสนใจของเรา ณ เวลานั้นๆ ได้แม่นยำจนน่าตกใจ
เมธิศร์ มุกดาสิริ Client Partner และหัวหน้าแผนกธุรกิจค้าปลีกของ Facebook ประเทศไทย บอกว่าโซเชียลมีเดียของพวกเขาอาศัยหลักการทำงานบนปัญญาประดิษฐ์และ Machine Learning เพื่อให้อัลกอริทึมประมวลผลต่างๆ ออกมา ไปจนถึงการคัดกรองเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังถูกประยุกต์ไปใช้ประโยชน์ในด้านธุรกิจเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดเล็ก กลาง และใหญ่อีกด้วย โดยโฟกัสไปที่ 3 ด้านหลัก ได้แก่
1. Reach Audience Efficiently เข้าถึงลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ
2. Delivery Relevant Message ส่งสารที่โดนใจผู้บริโภคไปยังกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ
3. Drive Sales Effectively ช่วยเพิ่มและกระตุ้นยอดขาย
วิธีง่ายๆ ที่เมธิศร์อธิบายคือ สมมติว่าเราเป็นผู้ประกอบการร้านคัพเค้กออนไลน์ที่อร่อย แต่มีงบการตลาดจำกัด การใช้ AI ของ Facebook ให้คนจดจำแบรนด์ได้เป็นวิธีที่ทำง่ายและได้ผลที่สุด
ตัวอย่างเช่น การใช้ฟีเจอร์ Campaign Optimization ส่งสารไปยังกลุ่มผู้ใช้ที่มีแนวโน้มจะจดจำโฆษณาของเราได้ ซึ่งระบบปัญญาประดิษฐ์ของ Facebook จะเรียนรู้โดยทดลองกับผู้ใช้แต่ละรายว่าใครมีโอกาสจำโฆษณาได้มากที่สุด หลังจากนั้นระบบก็จะส่งโฆษณาไปยังผู้ใช้กลุ่มดังกล่าว
ส่วนขั้นตอนการเลือกรูปโปรโมตร้านโดยใช้ Dynamic Creative คือการหาว่ารูปโฆษณาเวอร์ชันใดจะเหมาะกับผู้ใช้แต่ละกลุ่มมากที่สุด โดยศึกษาจากรสนิยมของผู้ใช้ในกลุ่มที่แตกต่างกัน ผลลัพธ์ที่ได้คือใบปิดโฆษณาเวอร์ชันที่เหมาะสมที่สุดกับผู้ใช้งานในแต่ละช่วงวัย
และสุดท้ายคือฟีเจอร์ Dynamic Ads เพื่อดูว่าคนที่คลิกเข้าเยี่ยมชมเพจนิยมดูสินค้าชนิดใดบ่อยที่สุด ก่อนที่ Facebook จะสร้างโฆษณาสินค้านั้นๆ ออกมาอัตโนมัติผ่านเทมเพลตโฆษณาเพียงรูปแบบเดียว ผลที่ได้คือทำให้ยอดขายสินค้าเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องสร้างโฆษณาแบบใหม่อยู่บ่อยๆ นี่คือประโยชน์ของ AI บน Facebook ที่ภาคธุรกิจระดับเล็ก กลาง และใหญ่สามารถใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อธุรกิจของตนเอง
เมธิศร์บอกว่าเป้าหมายต่อไปของ Facebook คือการสร้างประสบการณ์ของผู้ใช้ให้ดีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในด้าน AI และเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR) รวมถึงการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างไม่รู้จบ
ปัจจุบัน Facebook มีผู้ใช้งานในประเทศไทยมากกว่า 51 ล้านรายต่อเดือน โดยกรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีประชากรใช้ Facebook มากที่สุดของโลก ทั้งยังเป็นต้นทางการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ของ Facebook มากมาย รวมถึงการขายของแบบ Social Commerce ซึ่งนำไปสู่แรงบันดาลใจของการสร้างช่องทางการขายของ Marketplace
“ทั้งหมดที่ผมเล่ามาเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของนวัตกรรมอีกมหาศาลที่จะเกิดขึ้น มีอะไรมากกว่านี้ให้เราทำ นี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางเท่านั้น” เมธิศร์กล่าวทิ้งท้าย
จนถึงทุกวันนี้ที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันแล้วว่าปัญญาประดิษฐ์มีบทบาทกับชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นจริงๆ ที่น่าสนใจคือต่อจากนี้เป็นต้นไปเมื่อหลายฝ่ายให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะความสามารถของมันอย่างจริงจัง ศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ก็จะก้าวกระโดดจนอาจจะทัดเทียมหรือแซงมนุษย์อย่างเราไปเลยก็ว่าได้
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
The post Google และ Facebook ประเทศไทยชี้ ปัญญาประดิษฐ์เป็นของทุกคน ช่วยต่อยอดความสำเร็จ appeared first on THE STANDARD.
]]>พุธที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โธธ โซเชียล และวันบิต แมท […]
The post สรุปข้อมูลโซเชียลมีเดียไทยปี 2017 วัยรุ่นหนีพ่อแม่มาเล่นทวิตเตอร์มากขึ้น เฟซบุ๊กแตะ 49 ล้านราย อันดับ 8 โลก appeared first on THE STANDARD.
]]>พุธที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โธธ โซเชียล และวันบิต แมทเทอร์ ผู้ให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียลได้ร่วมกันจัดงาน Thailand Zocial Awards 2018 ครั้งที่ 6 ขึ้น ภายในงานมีการสรุปข้อมูลการใช้งานโซเชียลมีเดียท่ีน่าสนใจของคนไทยตลอดรอบปี 2017 ที่ผ่านมาจากข้อความเกือบๆ 3,600 ล้านข้อความบนโซเชียลมีเดียแต่ละแพลตฟอร์ม (Facebook, Instagram, Twitter, LINE, Google และ Pantip) พบประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
จากการคัดกรองข้อมูลดิบบนโลกโซเชียลมีเดียไทยปีที่ผ่านมา กล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โธธ โซเชียล จำกัด เผยว่า แต่ละแพลตฟอร์มมีการเปลี่ยนแปลงไปมากมายเช่นเดียวกับพฤติกรรมของผู้บริโภค และเมื่อจำแนกตามชาร์ตความถี่ของแต่ละวันจะพบว่า เดือนตุลาคมหรือช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จะมีข้อความปรากฏบนโซเชียลมีเดียของคนไทยมากเป็นพิเศษ
เมื่อแยกตามไตรมาสในแต่ละปีจะปรากฏเป็นคียเวิร์ดที่สำคัญดังนี้
เมื่อแยกเป็นประเด็นย่อยต่างๆ จะพบว่าประเด็นส่วนใหญ่ที่ถูกพูดถึงบนโลกโซเชียลมีเดียจะอยู่ในวงการ ‘บันเทิง’ เป็นหลัก สะท้อนให้เห็นว่าวงการบันเทิงสำคัญกับสังคมไทยมากๆ มีการเปรียบเทียบกันคร่าวๆ ว่าประเด็นบันเทิงจะถูกพูดถึงมากกว่าประเด็นทางธุรกิจกว่า 10 เท่าตัว (300 ล้านข้อความ : 30 ล้านข้อความ) ในจำนวนนี้ 52.5% คือการพูดถึงศิลปินชาย, 29.7% พูดถึงรายการทีวี และอีก 5.9% พูดถึงตัวนักแสดง
Twitter คือโซเชียลมีเดียที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดในไทย เด็กวัยรุ่นหนีพ่อแม่มาจากแพลตฟอร์มอื่น
พเนิน อัศววิภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วันบิต แมทเทอร์ จำกัด สรุปภาพรวมการใช้งานโซเชียลมีเดียจำแนกตามแต่ละแพลตฟอร์มหลักๆ และพบว่า Twitter คือแพลตฟอร์มที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดด้านยอดผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 33% มีจำนวนผู้ใช้รวมมากกว่า 12 ล้านราย แบ่งเป็น Active User ที่ 5.7 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วกว่า 80% (ปี 2017 มี Active User 3.6 ล้านราย)
เหตุผลส่วนใหญ่ที่ทำให้ Twitter มีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดนั้น ทีมงาน Twitter ประเทศไทย บอกว่าเป็นเพราะวัยรุ่นไทยในช่วงวัย 16-24 ปี ใช้แพลตฟอร์มของตนเป็นที่ลี้ภัยจากการถูกคุกคามของผู้ปกครอง พ่อแม่ และผู้ใหญ่บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ จนทำให้กลุ่มวัยรุ่นไทยมีสัดส่วนการใช้งาน Twitter มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก
อย่างไรก็ดี เมื่อมองกลับไปยัง Facebook และ Instagram สองแพลตฟอร์มเจ้าสำคัญในตลาด จะพบว่าปีที่ผ่านมา Facebook ในไทยมียอดผู้ใช้รวมอยู่ที่ 49 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วแค่ 4% เท่านั้น ด้าน Instagram มียอดผู้ใช้รวม 13.6 ล้านราย คิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 24% ซึ่งพเนินมองว่าเมื่อแพลตฟอร์มมีอัตราการเติบโตที่ช้าลง แต่จำนวนแบรนด์ที่ต้องการลงโฆษณากลับมีมากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้มีการแย่งพื้นที่สื่อกันเอง ส่งผลให้ค่าโฆษณาแพงขึ้น และทำให้แบรนด์-เอเจนซีหลายๆ เจ้าต้องเปลี่ยนกลยุทธ์การทำการตลาดในปี 2018 ใหม่กันทั้งหมด
***หมายเหตุ: ข้อมูลทั้งหมดนับจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2018 เท่านั้น
Facebook ปรับหน้าฟีดใหม่ ทำเอ็นเกจเมนต์ต่อโพสต์ตก 27%!
หลังการปรับนโยบายเปลี่ยนการแสดงผลหน้านิวส์ฟีดบน Facebook ของผู้ใช้งานแบบใหม่ โดยเน้นให้โชว์โพสต์จากแบรนด์น้อยลงเพื่อให้เห็นโพสต์จากเพื่อนๆ หรือผู้ใช้งานคนอื่นๆ มากขึ้นนั้น พเนินบอกว่าเมื่อเปรียบเทียบในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วและปีนี้ (มกราคม 2017, 2018) พบว่าแบรนด์มีอัตราการโพสต์คอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียมากขึ้น 52% มีอัตราการได้รับเอ็นเกจเมนต์รวมเพิ่มขึ้น 12%
ถึงแม้จำนวนโพสต์และเอ็นเกจเมนต์จะสูงขึ้น แต่เมื่อจำแนกแยกตามเอ็นเกจเมนต์ต่อโพสต์จะพบว่าสัดส่วนกลับลดลงจากเดิมที่ 27% เลยทีเดียว นั่นหมายความว่าแต่ละแบรนด์ต้องแข่งขันกันหนักมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อแย่งเอ็นเกจเมนต์กัน ต้องขยันปล่อยโพสต์ให้ถี่ขึ้นกว่าเดิมเพื่อดันตัวเองให้กลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิมบนโลกออนไลน์
ส่วนประเภทของคอนเทนต์ที่ได้รับเอ็นเกจเมนต์เฉลี่ยสูงสุดบน Facebook จากการเก็บข้อมูลบนเพจ 100,000 เพจใน 27 หมวดอุตสาหกรรม มีดังนี้
จากข้อมูลและผลลัพธ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับแพลตฟอร์ม Facebook ในปัจจุบันนั้นได้นำไปสู่การตั้งคำถามว่า แบรนด์ต่างๆ ควรจะกระจายช่องทางการสื่อสารของตัวเองไปยังแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น Twitter หรือไม่
พเนินตอบในข้อสงสัยนี้โดยยกจำนวนยอดผู้ใช้แบบ Active User ที่เพิ่มขึ้นระหว่างช่วงปี 2016-2017 ที่ 83%, จำนวนทวีตของแบรนด์เพิ่มขึ้น 124% และจำนวนรีทวีตโพสต์ของแต่ละแบรนด์โดยผู้ใช้ทั่วไปเพิ่มขึ้น 101% มาประกอบ โดยชี้ว่าถึงเวลาแล้วที่แบรนด์ต่างๆ อาจจะเริ่มหันมาใช้แพลตฟอร์มนี้ แต่สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายของแต่ละแบรนด์ด้วย
ภาพรวมและนโนบายการให้ความสำคัญของ 6 แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในปี 2018
เว็บไซต์ Pantip.com – อภิศิลป์ ตรุงกานนท์ ตัวแทนจากเว็บไซต์พันทิป
ภาพรวมปี 2017
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ
สิ่งที่เราจะได้เห็นในปี 2018 นี้
Twitter – ชนะชัย ไชยปัญญา จากบริษัท มีเดียโดนัทส์ จำกัด ตัวแทนอย่างเป็นทางการของ Twitter ประเทศไทย
ภาพรวมปี 2017
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ
สิ่งที่เราจะได้เห็นในปี 2018 นี้
LINE – นรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร ตัวแทนจาก LINE ประเทศไทย
ภาพรวมปี 2017
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ
สิ่งที่เราจะได้เห็นในปี 2018 นี้
ไมเคิล จิตติวาณิชย์ Google ประเทศไทย
ภาพรวมปี 2017
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ
สิ่งที่เราจะได้เห็นในปี 2018 นี้
Facebook – ดวงพร พรหมอ่อน ตัวแทนจาก Facebook ประเทศไทย
ภาพรวมปี 2017
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ
สิ่งที่เราจะได้เห็นในปี 2018 นี้
ในแต่ละปี ผู้ให้บริการโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์มย่อมมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการให้บริการของตัวเองอยู่เสมอ ระดับความเปลี่ยนแปลงในบางปีอาจจะเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย ขณะที่บางปีอาจจะเปลี่ยนไปแบบเหนือความคาดหมาย (เหมือน Facebook กับการเปลี่ยนอัลกอริทึมหน้าฟีดในปี 2018) แต่ส่ิงที่สำคัญที่สุดซึ่งสปีกเกอร์ทุกๆ คนเน้นย้ำคือการที่แบรนด์และคนทำคอนเทนต์ก็ต้อง ‘ปรับตัว’ ด้วยเช่นกัน
เหตุผลที่ต้องปรับตัวไม่ใช่แค่เพื่อให้วิ่งตามแพลตฟอร์ม คู่แข่ง และผู้บริโภคให้ทันเท่านั้น แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณหยุดอยู่กับที่ นั่นเท่ากับว่าคุณจะเสียโอกาสโดยสูญเปล่า ทำให้คุณล้าหลังกว่าชาวบ้านอยู่เสมอ และหนักที่สุดคือคุณจะหลุดจากวงโคจรเดิมของตัวเองอย่างน่าเสียดาย
สำคัญที่สุดคือหากเกิดกระบวนการนำ ‘ข้อมูล’ ที่มีมาประมวลผลเพื่อออกแบบและวางกลยุทธ์สื่อสารให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อแบรนด์ได้เมื่อไร ก็จะช่วยผ่อนแรงการทำงานได้มหาศาลตามไปด้วย
The post สรุปข้อมูลโซเชียลมีเดียไทยปี 2017 วัยรุ่นหนีพ่อแม่มาเล่นทวิตเตอร์มากขึ้น เฟซบุ๊กแตะ 49 ล้านราย อันดับ 8 โลก appeared first on THE STANDARD.
]]>