โรงพยาบาลพญาไท – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 10 Jul 2024 06:28:18 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 เครือ รพ.พญาไท-เปาโล สร้างนวัตกรรมและทำการตลาดอย่างไร จนพาองค์กรไทยคว้ารางวัล ‘Asia Marketing Company of the Year 2024’ จากเวที AMF Asia Marketing Excellence Awards ได้สำเร็จ [PR News] https://thestandard.co/phyathai-paolo-asia-marketing-company-of-the-year-2024/ Tue, 09 Jul 2024 04:40:51 +0000 https://thestandard.co/?p=954926 พญาไท-เปาโล

คำกล่าวที่ว่า “คนไทยถ้าตั้งใจทำอะไรไม่แพ้ชาติใดในโลก” ถ […]

The post เครือ รพ.พญาไท-เปาโล สร้างนวัตกรรมและทำการตลาดอย่างไร จนพาองค์กรไทยคว้ารางวัล ‘Asia Marketing Company of the Year 2024’ จากเวที AMF Asia Marketing Excellence Awards ได้สำเร็จ [PR News] appeared first on THE STANDARD.

]]>
พญาไท-เปาโล

คำกล่าวที่ว่า “คนไทยถ้าตั้งใจทำอะไรไม่แพ้ชาติใดในโลก” ถูกพิสูจน์จนเป็นที่ประจักษ์บนเวทีระดับโลกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

 

ดร.สมชาติ วิศิษฐชัยชาญ อุปนายก และประธานฝ่ายออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้และนวัตกรรมการตลาด สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (MAT) และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบนเวที AMF Asia Marketing Excellence Awards ที่จัดโดยสหพันธ์การตลาดแห่งเอเชีย (AMF) เชื่อมั่นในศักยภาพของคนไทย โดยเฉพาะด้านการตลาด “คนไทยเป็นนักคิดค้น มีความคิดสร้างสรรค์สูง เราขาดแค่โอกาสในการนำเสนอผลงาน แต่เมื่อได้รับโอกาส เราทำได้ดีเสมอ”

 

 

คำกล่าวนี้ไม่เกินจริงอีกเช่นกัน เพราะในปี 2024 สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (MAT) หนึ่งในสมาชิก 18 ประเทศของ AMF ได้ส่งผลงานการตลาดระดับองค์กรใน 2 กลุ่มรางวัล ได้แก่ เครือ รพ.พญาไท-เปาโล ในกลุ่มรางวัล Asia Marketing Company of the Year 2024 หรือสุดยอดบริษัทการตลาดแห่งเอเชีย ประจำปี 2024 และบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในกลุ่มรางวัล Asia Marketing Excellence Awards (Marketing 3.0) 2024

 

นอกจากนี้ยังได้นำเสนออีก 4 รายชื่อนักการตลาดเพื่อเข้าพิจารณารางวัลระดับบุคคล ได้แก่ อัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) รางวัล Asia’s Top Outstanding Woman Marketeer of the Year 2024, พลาวุฒิ เจริญจิตมั่น กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมครอน กรุ๊ป จำกัด รางวัล Asia’s Top Outstanding Youth Marketeer of the Year 2024 รวมทั้ง วุฒิพงษ์ ลิขิตชีวัน CEO & Founder บริษัท อาตี๋ มีเดีย จำกัด และ สิทธินันท์ พลวิสุทธิ์ศักดิ์ เจ้าของเว็บไซต์ Content Shifu รางวัล Asia’s Top Outstanding Netizen (Digital) Marketeer of the Year 2024

 

“นับเป็นความสำเร็จที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ที่ 2 องค์กร และ 4 บุคคล ที่สมาคมฯ ส่งเข้าประกวด สามารถกวาดรางวัลจากเวที AMF กลับมาได้ทั้งหมด”

 

 

ดร.สมชาติ วิศิษฐชัยชาญ กล่าวว่า รางวัลที่ได้รับในปีนี้ตอกย้ำวิสัยทัศน์ของสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (MAT) ที่มุ่งมั่นมาตลอด 57 ปี ในการยกระดับคุณภาพงานการตลาดและวิชาชีพทางการตลาด รวมถึงผลักดันนักการตลาดและผลงานการตลาดไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับประเทศและสากล

 

“นอกจากการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการตลาด หนึ่งในบทบาทสำคัญของสมาคมฯ คือการสร้างเครือข่ายในประเทศไทย อาเซียน และระดับโลก ผ่านการส่งเสริมการแข่งขันที่มีคุณภาพ องค์กรหรือบุคคลที่ได้รับรางวัลต้องสามารถสร้างการรับรู้ในวงกว้าง เป็นแรงบันดาลใจ และเป็นต้นแบบในการพัฒนางานที่สร้างสรรค์”

 

การสร้างความเข้าใจในการทำการตลาดอย่างถูกต้องและเหมาะสม ก็เป็นบทบาทสำคัญที่ ดร.สมชาติ มองว่าจำเป็นในยุคที่ ‘การตลาด’ มีบทบาทสำคัญในทุกสิ่ง

 

“เราต้องมองเกมการตลาดให้ขาด เพราะบางอย่างก็เป็นการตลาดแบบใต้เข็มขัด ไม่เหมาะสมกับบริบทของคนไทย เอาเปรียบผู้บริโภค และไม่ยุติธรรมในหลายรูปแบบ ยิ่งตอนนี้ทิศทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการตลาดในภูมิภาคเอเชียน่าจับตามอง หมดยุคทำการตลาดแบบ Mass โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย หลายอย่างเกิดขึ้นทางฝั่งตะวันตกก็จริง แต่เมื่อพูดถึงนวัตกรรม คนที่ขับเคลื่อนคือการตลาดของเอเชีย

 

“การที่เครือ รพ.พญาไท-เปาโล คว้ารางวัล Asia Marketing Company of the Year 2024 ถือเป็นการยกระดับระบบสุขภาพ และเป็นแรงบันดาลใจให้องค์กรอื่นๆ นำวิธีคิดนี้ไปต่อยอด ใครจะคิดว่าองค์กรในธุรกิจ Health & Wellness จะได้รับรางวัลการตลาดในเอเชีย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และกลยุทธ์การตลาดไม่น้อยไปกว่าองค์กรเชิงพาณิชย์เลย”

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ประเทศไทยคว้ารางวัล Marketing Company of the Year ในเวทีระดับนานาชาติ เพราะในปี 2017 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นองค์กรแรกของไทยที่ได้รับรางวัลนี้ แต่เครือ รพ.พญาไท-เปาโล เป็นองค์กรในธุรกิจโรงพยาบาลองค์กรแรกที่ MAT เลือกเสนอชื่อเข้าแข่งขัน

 

“เราเห็นศักยภาพของ รพ.พญาไท-เปาโล ตั้งแต่ตอนที่เข้าประกวดและได้รับรางวัลจากเวที MAT Awards ที่ทางสมาคมฯ เป็นผู้จัด วิสัยทัศน์ขององค์กรและผลงานที่ทำเป็นสิ่งที่จับต้องได้ เป็นนวัตกรรมและโซลูชันที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไข้ได้จริง

 

“การพิจารณาคัดเลือกองค์กรหรือบุคคลเข้าชิงรางวัล เราต้องการให้เป็นตัวแทนของประเทศไทยอย่างแท้จริง โดยเกณฑ์พิจารณาของสหพันธ์การตลาดแห่งเอเชีย (AMF) สำหรับรางวัลองค์กรสุดยอดการตลาดแห่งเอเชีย (Asia Marketing Excellence Awards) ในหมวดหมู่ของ Marketing Company of the Year และหมวดหมู่ของ Marketing 3.0 นั้น ต้องเป็นองค์กรที่มีผลประกอบการดีเลิศ เติบโตติดต่อกัน 3 ปี โดยที่ Marketing Company of the Year จะต้องมีกลยุทธ์การตลาดที่ชัดเจน และวัฒนธรรมองค์กรที่ใช้การตลาดเป็นตัวขับเคลื่อนผ่านกลยุทธ์จะต้องสามารถสร้างผลประกอบการให้กับองค์กรด้วย

 

“รางวัล Asia Marketing Excellence Awards (Marketing 3.0) เน้นเรื่อง Responsible Marketing ซึ่งต้องมีกลยุทธ์ที่แสดงถึงวิสัยทัศน์และความรับผิดชอบต่อสังคม รวมถึงการดูแลชุมชนและส่งเสริมความยั่งยืนผ่านสินค้าและบริการขององค์กร

 

“นอกจากเกณฑ์ข้างต้น สมาคมฯ จะเลือกองค์กรที่ทำการตลาดอย่างซื่อสัตย์ ชัดเจนในกลยุทธ์ โซลูชัน และนวัตกรรม ซึ่งต้องตรงกับความต้องการของลูกค้าและลงมือทำจริง”

 

“เครือ รพ.พญาไท-เปาโล ผ่านทุกเกณฑ์การพิจารณา” วนิดา เศรษฐเศวต ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและสื่อสารการตลาดองค์กร เครือ รพ.พญาไท-เปาโล เผยว่า

 

 

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทยที่เล็งเห็นศักยภาพและให้โอกาสเครือ รพ.พญาไท-เปาโล เป็นตัวแทนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมแข่งขันในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าเราจะเคยมีประสบการณ์ในการประกวด และได้รับรางวัล Gold Awards ประเภทการตลาดที่มีความเป็นเลิศด้านกลยุทธ์ (Strategic Marketing) ในแคมเปญ ‘All You Can Check by Phyathai’ จากเวที MAT Award 2023 รวมทั้งได้รับรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ด้านองค์กรนวัตกรรมดีเด่น จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ในปี 2565 ซึ่งทั้งสองรางวัลนี้ถือเป็นรางวัลระดับประเทศ 

 

แต่รางวัล AMF เป็นการแข่งขันด้านการตลาดระดับสากลในกลุ่มประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นครั้งแรก 

 

หลังจากทราบว่า เครือ รพ.พญาไท-เปาโล ได้รับการคัดเลือก เรามีเวลาเตรียมข้อมูลสำหรับการนำเสนอประมาณ 1 เดือนเท่านั้น ถือเป็นความท้าทายในการคัดเลือกประเด็นและตัวอย่างเคสที่ประสบความสำเร็จ เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์เชิงประจักษ์และผลกระทบทางบวกในวงกว้าง

 

เราเริ่มต้นจากการศึกษาเกณฑ์ชี้วัดของรางวัลนี้ พร้อมทั้งค้นคว้าหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ทั้งภายในองค์กรและในกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อสกัดเฉพาะประเด็นเชิงยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ทางการตลาดที่น่าสนใจสำหรับการนำเสนอผลงานภายในเวลา 15 นาที

 

เริ่มต้นจากวิสัยทัศน์ของเครือ รพ.พญาไท-เปาโล มีความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำในการส่งเสริมสุขภาพด้วยนวัตกรรมทางการแพทย์ เราสร้างสภาพแวดล้อมภายในองค์กรให้เอื้อต่อการสร้างสรรค์และริเริ่มนวัตกรรมใหม่ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีด้านสุขภาพให้กับคนไข้ ดังปณิธานของ อัฐ ทองแตง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เครือ รพ.พญาไท-เปาโล ที่ต้องการสร้าง People Culture เพื่อพัฒนาคนให้เป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร

 

นอกจากนี้ยังกล้าที่จะเปิดรับ นำความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้ในส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

 

ส่งผลให้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา องค์กรมีนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งในกระบวนการทำงานภายใน และสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับลูกค้าตลอดทั้ง Health Journey

 

ผลงานที่โดดเด่นและได้รับการคัดเลือกสำหรับการนำเสนอ ได้แก่ ที่นอนลดแผลกดทับ (Never Pressure Injuries: NPI), การอ่านคลื่นหัวใจด้วย AI (AI EKG) และแอปพลิเคชัน Health Up

 

 

“เราเลือก 3 นวัตกรรมนี้เพราะเป็นโซลูชันที่แก้ปัญหาสุขภาพของคนไข้ได้จริง และสามารถขยายผลไปสู่ระบบสาธารณสุขของไทยได้ในอนาคต เช่น ที่นอนลดแผลกดทับ (Never Pressure Injuries: NPI) เป็นนวัตกรรมที่เกิดจากทีมพยาบาลที่ดูแลคนไข้ติดเตียง ทำให้เขาเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งกับตัวผู้ป่วยและคนที่ต้องดูแลผู้ป่วย เราได้ทำงานร่วมกับสตาร์ทอัพในการใช้เทคโนโลยีและ AI เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมของคนไข้ ทำให้สามารถควบคุมแรงกดอัตโนมัติ ใช้งานสะดวกด้วยการควบคุมผ่านแอปพลิเคชัน เป็นนวัตกรรมที่มาช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและผู้ดูแล ปัจจุบันใช้กับคนไข้ในโรงพยาบาลและมีวางจำหน่ายเพื่อให้ใช้ที่บ้านได้”

 

 

‘AI EKG’ การนำเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแก่ผู้รับบริการตรวจสุขภาพ เนื่องจากเราเป็นผู้นำในตลาดตรวจสุขภาพ (Health Check-up) แต่ละปีเรามีคนไข้มาตรวจสุขภาพเป็นจำนวนมากถึงแสนกว่าคน เรานำ Data เหล่านั้นมาให้ AI เรียนรู้ ถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่พัฒนามาจากทีมแพทย์ของศูนย์หัวใจของโรงพยาบาล 

 

นวัตกรรมดังกล่าวเข้ามาช่วยลดระยะเวลาการทำงานของอายุรแพทย์หัวใจและหลอดเลือด ให้ผู้ป่วยได้รับการบริการที่รวดเร็วขึ้น และในอนาคตยังสามารถนำไปใช้กับกลุ่มโรงพยาบาลในเครือ และขยายผลไปในหน่วยรถตรวจสุขภาพ รถพยาบาล โรงพยาบาลเครือข่าย หรือโรงพยาบาลห่างไกลที่ไม่มีแพทย์หัวใจประจำ สามารถส่งผลตรวจเข้าไปยังศูนย์กลางเพื่อช่วยอ่านผลได้ทันท่วงที และหวังว่าในอนาคตจะสามารถนำเข้าไปใช้ในระบบประกันสังคม เพื่อลดระยะเวลารอคิวตรวจโรคหัวใจของผู้ป่วย เพราะคนไข้บางรายไม่สามารถรอได้

 

 

“สุดท้ายคือแอปพลิเคชัน Health Up ช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้บริการด้านสุขภาพของคนไข้ให้ลื่นไหลทั้งออนไลน์และออนไซต์ โดยมีฟีเจอร์ Multiple Account ให้สามารถเข้าไปดูข้อมูลสุขภาพทั้งหมดของคนในครอบครัวผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่เพียงเครื่องเดียว เช่น ผลเลือด, ประวัติการแพ้ยา, เคยผ่าตัดอะไรบ้าง, ผลเอ็กซเรย์, ตารางการนัดหมายแพทย์ ฯลฯ ถ้ามีเหตุฉุกเฉินไปพบหมอที่ไหนก็ไม่ต้องกลับมาที่โรงพยาบาลเดิมเพื่อขอข้อมูลอีก และถึงแม้ไม่ได้เป็นคนไข้ของเราก็สามารถใช้บริการแอปเพื่อเข้าไปอ่านข้อมูลด้านสุขภาพได้”

 

วนิดากล่าวว่า เหนือกว่าชัยชนะบนเวที AMF คือประสบการณ์ที่ได้จากการเข้าประกวด “โอกาสครั้งนี้เปลี่ยนกระบวนทัศน์การทำงานของตัวเองและองค์กรไปเลย เราได้เห็นมุมมองการตลาดจากผู้ที่เชี่ยวชาญในหลากหลายธุรกิจ ช่วยเปิดโลกทัศน์ใหม่สำหรับการตลาดและอาชีพนักการตลาด

 

“ถ้าถามว่าอะไรคือความโดดเด่นที่ทำให้เราได้รางวัล คิดว่าเป็นการนำเสนอกลยุทธ์การตลาดที่สร้างความแตกต่างด้วยการนำเอานวัตกรรมเข้ามาใช้พัฒนา และสร้างสรรค์การให้บริการทางการแพทย์เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไข้ โดยมีผลลัพธ์เชิงประจักษ์และความมุ่งมั่นในการนำนวัตกรรมมาช่วยสร้างสุขภาวะที่ดีขึ้นให้กับสังคม”

 

 

สร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการขับเคลื่อนด้านการตลาดและนวัตกรรมแบบเครือ รพ.พญาไท-เปาโล

 

วนิดากล่าวย้ำตลอดการสัมภาษณ์ว่า “กุญแจสำคัญของความสำเร็จทั้งหมดเกิดขึ้นจาก ‘คน’ หรือ ‘บุคลากร’ ทั้งหมดในองค์กร พวกเขามีหัวใจที่ไม่เคยหยุดพัฒนา สอดคล้องกับสิ่งที่ อัฐ ทองแตง ได้วางเป้าหมายไว้ว่า เราจะเป็นองค์กรที่สร้าง People Culture ที่ทุกคนในที่นี้เป็นคนที่ไม่เพียงแค่เก่งเท่านั้น แต่ต้องดีด้วย ดีคือการมีความเข้าอกเข้าใจและกระตือรือร้นในงานของตนเองเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับคนไข้ของเราในทุกครั้งที่เข้ามารับบริการ เรามีคติที่ทุกคนต้องยึดถือว่า ‘ดีที่สุดไม่มี มีแต่ดีขึ้น’ ง่ายๆ คือ ทำสิ่งตรงหน้าให้ดีและคิดว่าพรุ่งนี้มันจะดีขึ้นได้อย่างไร จนทำให้เรามีผลงานนวัตกรรมที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหา และพัฒนาในแต่ละฟังก์ชันงานจนเกิดเป็นนวัตกรรมด้านสินค้าและบริการทางการแพทย์มากมายในองค์กร”

 

ดร.สมชาติ เสริมในมุมของผู้ที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงการตลาดว่า การจะเป็นองค์กรที่เติบโตอย่างยั่งยืนได้นั้นต้องชัดเจนในสิ่งที่เป็น ลงมือทำทันที มองความล้มเหลวคือการเรียนรู้ 

 

“โลกเปลี่ยนตลอด ความไม่ชัดเจนเป็นสิ่งที่พบเจออยู่ตลอดเวลา สิ่งที่เราต้องทำคือชัดเจนในสิ่งที่เป็น เช่น ถ้าเราตั้งใจทำธุรกิจสุขภาพอะไร แม้ว่ามันจะขัดแย้งกับทิศทางหรือวิสัยทัศน์ เราต้องรับภาพนั้นและตัดสินใจ เมื่อโลกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว การตลาดในปัจจุบันเราต้องลงมือทำ ทดสอบ ล้มเหลว ลองใหม่ เรียนรู้จากลูกค้า ปรับตัวและปรับเปลี่ยนตามองค์กรของเรา สุดท้าย ผู้นำต้องมี Mindset ที่เชื่อว่าการลองและลงมือทำเป็นการเรียนรู้ไม่ใช่ความล้มเหลว ยิ่งล้มเหลวเร็ว เราก็จะเรียนรู้เร็วขึ้น เก่งขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมใด ต้องเรียนรู้ว่าจริตของผู้ใช้บริการมองหาอะไร หมดยุคของการลงทุนด้วยเงินมหาศาล แต่เป็นยุคที่คุณควรจะเสียค่าฉลาดให้น้อย แต่ใช้ให้บ่อย แล้วเข้าสู่วังวนของการเรียนรู้

 

“การจะสร้างธุรกิจให้ยั่งยืน คีย์หลักคือทำอย่างไรให้ธุรกิจอยู่ได้ด้วยตัวเอง แต่ก่อนที่คุณจะอยู่ได้ลูกค้าต้องอยู่ ต้องมองทุกอย่างให้เป็น Ecosystem มองคู่ค้า คู่แข่งเป็นพันธมิตร มองลูกน้องเป็นพันธมิตร คุณโตคนเดียวไม่ได้ ต้องโตไปทั้งองคาพยพ”

 

 

วนิดายกตัวอย่างแนวทางการตลาดที่ดีต่อชุมชนและชีวิตของผู้คนในแบบของเครือ รพ.พญาไท-เปาโล ที่ทำมาโดยตลอด

 

“เราเชื่อเรื่องการเติบโตไปด้วยกัน สิ่งที่เราทำคือการส่งมอบความรู้และแนวทางการดูแลสุขภาพที่ดีให้กับผู้คนตลอดเส้นทางสุขภาพอย่างครบวงจรทั้งในเชิงป้องกัน รักษา และฟื้นฟู เรามี The Selection แพลตฟอร์มออนไลน์เรื่องสุขภาพ ทำหน้าที่ในการให้ความรู้ คัดสรรสินค้าและบริการด้านสุขภาพที่ได้คุณภาพมาแนะนำให้กับคนทั่วไป โดยมีคณะกรรมการที่เรียกว่า Health Journey Committee ซึ่งเป็นผู้ที่มีความชำนาญการด้านสุขภาพในสาขาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์, พยาบาล, นักโภชนาการ, นักกายภาพบำบัด ฯลฯ ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากความตั้งใจของผู้ประกอบการที่มุ่งสร้างสรรค์สินค้าที่ดีต่อสุขภาพ เริ่มตั้งแต่วัตถุดิบ กระบวนการผลิต มีผลงานวิจัยรับรอง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

 

“เรายังมีกิจกรรมต่างๆ ผ่านงานสื่อสารและประชาสัมพันธ์ด้านสุขภาพในหลากหลายมีเดียแพลตฟอร์ม ทั้งสื่อออฟไลน์และออนไลน์ โดยเรามีช่องทางของเราเองและสื่อพันธมิตร เช่น สถานีวิทยุ GREEN WAVE, PPTV, ไทยรัฐออนไลน์, ช่อง 3, อมรินทร์กรุ๊ป รวมถึงสื่อมวลชนอื่นๆ (Mass Media) ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงการสื่อว่าหากต้องการข้อมูลสุขภาพ เครือ รพ.พญาไท-เปาโล พร้อมเสิร์ฟข้อมูลให้อย่างทันท่วงที”

 

นี่คือตัวอย่างของการทำการตลาดในรูปแบบ Creative Marketing สร้างสรรค์และสร้างคุณค่าให้กับกลุ่มเป้าหมาย เราอยากเชิญให้องค์กรทำการตลาดในแนวนี้มากขึ้น ดร.สมชาติกล่าวเสริม

 

เมื่อถามถึงทิศทางต่อไปของเครือ รพ.พญาไท-เปาโล ในแง่การรักษามาตรฐานและพัฒนาความเป็นเลิศ วนิดากล่าวว่า “ต้องไม่หยุดพัฒนา กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ให้คิดอยู่เสมอว่าสิ่งที่ทำอยู่มันดีขึ้นได้อีกไหม เพราะการตลาดในยุคนี้มันไดนามิกมาก สิ่งที่เคยใช่อาจจะไม่ใช่ในวันนี้ เราต้องพร้อมปรับตัว เปิดรับและเรียนรู้จากสิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามาอยู่เสมอ

The post เครือ รพ.พญาไท-เปาโล สร้างนวัตกรรมและทำการตลาดอย่างไร จนพาองค์กรไทยคว้ารางวัล ‘Asia Marketing Company of the Year 2024’ จากเวที AMF Asia Marketing Excellence Awards ได้สำเร็จ [PR News] appeared first on THE STANDARD.

]]>
ถอดแนวคิด ‘พญาไท พหลโยธิน’ การรีแบรนด์เพื่อก้าว ‘สู่ยุคใหม่ของสุขภาพที่ดีกว่าเพื่อทุกคน’ [PR NEWS] https://thestandard.co/phyathai-phaholyothin-rebrand-idea/ Thu, 23 May 2024 04:20:15 +0000 https://thestandard.co/?p=931637 พญาไท พหลโยธิน

เวลาพูดถึงการ ‘รีแบรนด์’ หลักใหญ่ใจความคือการปรับโลโก้ […]

The post ถอดแนวคิด ‘พญาไท พหลโยธิน’ การรีแบรนด์เพื่อก้าว ‘สู่ยุคใหม่ของสุขภาพที่ดีกว่าเพื่อทุกคน’ [PR NEWS] appeared first on THE STANDARD.

]]>
พญาไท พหลโยธิน

เวลาพูดถึงการ ‘รีแบรนด์’ หลักใหญ่ใจความคือการปรับโลโก้ เปลี่ยนสโลแกน ไปจนถึงเปลี่ยนชื่อแบรนด์ใหม่ ‘พญาไท พหลโยธิน’ ก็เช่นกัน ตอนนี้หากเดินลงจากบีทีเอสสถานีสะพานควาย จะเห็นป้ายโรงพยาบาล ‘พญาไท พหลโยธิน’ และโลโก้ที่คุ้นตาของเครือพญาไทมาแทนที่โลโก้และชื่อเดิม ‘เปาโล พหลโยธิน’ ภายใต้แนวคิด ‘สู่ยุคใหม่ของสุขภาพที่ดีกว่าเพื่อทุกคน’ (It’s time for the new age of holistic health care)

 

 

แต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการรีแบรนด์ครั้งนี้ THE STANDARD มีโอกาสพูดคุยกับ ผศ.นพ.วีรยะ เภาเจริญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพญาไท พหลโยธิน ถึงที่มาของการรีแบรนด์และที่มาของแนวคิดในการพลิกโฉม ‘พญาไท พหลโยธิน’ ให้เป็นมากกว่าโรงพยาบาล

 

นอกจากเรื่องกลยุทธ์ภายในกลุ่มโรงพยาบาลพญาไทที่ต้องการสร้างมาตรฐานเดียวกัน ร่วมบริหารทรัพยากรและแผนการดูแลผู้ป่วยร่วมกันระหว่าง พญาไท 1, พญาไท 2 และเปาโล พหลโยธิน (ปัจจุบันคือพญาไท พหลโยธิน) ผศ.นพ.วีรยะ บอกว่า บริบทของสังคมที่เปลี่ยนไปเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรงพยาบาลปรับกลยุทธ์เชิงรุกและเชิงรับ เพื่อตอบรับกลุ่มผู้ป่วยที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะกลุ่ม New Age ที่มีความสนใจเรื่องสุขภาพและมี Active Life มากขึ้น

 

พญาไท พหลโยธิน

 

การเติบโตของย่านสะพานควาย-อารีย์ก็มีผลเช่นกัน จากที่เคยเป็นย่านที่อยู่อาศัยของครอบครัวใหญ่ แต่เมื่อมีการขยายตัวของเมืองรุกคืบ ทำให้อาคารสำนักงาน ออฟฟิศ และคอนโดมิเนียมเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้จำนวนครอบครัวเดี่ยวสูงขึ้น ไปจนถึงกลุ่มคนต่างชาติหรือคนที่ย้ายถิ่นเพื่อเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ

 

“นอกจากบริบทที่กล่าวไป การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุก็มีส่วน เราพบว่าคนสูงวัยเดี๋ยวนี้สนใจเรื่องสุขภาพและการป้องกันมากขึ้น จึงเป็นที่มาของแนวคิด ‘สู่ยุคใหม่ของสุขภาพที่ดีกว่าเพื่อทุกคน’ โดยเน้นไปที่เรื่องของ Health & Well-being ไม่ว่าจะวัยไหนก็ล้วนต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดี”

 

พญาไท พหลโยธิน

 

การจะก้าวสู่ยุคใหม่ของสุขภาพที่ดีกว่าเพื่อทุกคนได้นั้นต้องส่งมอบประสบการณ์ที่ตอบโจทย์คนทุกเพศทุกวัยได้อย่างแท้จริง พญาไท พหลโยธิน จึงนำอัตลักษณ์ความเป็น ‘พญาไท’ มาใช้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศ ความเอาใจใส่ และการดูแลผู้เข้ารับบริการตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้ามา

 

 

“กลุ่ม New Age มองหาประสบการณ์การมาโรงพยาบาลที่ต่างไปจากคนยุคก่อน เขาต้องการความรวดเร็ว ทุกอย่างต้องคล่องตัวและตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลได้ เรามีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยเสริมการให้บริการ เพิ่มความสะดวกสบายทั้งกับผู้ใช้บริการเองและบุคลากรทางการแพทย์ด้วย อย่างแอปพลิเคชัน Health Up ที่สามารถนัดและติดตามการนัดหมายด้วยตัวเองจากที่บ้าน นอกจากนั้นแอปนี้ยังรวบรวมทุกความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูล พร้อมบริการ Telecare พูดคุยปรึกษาปัญหาสุขภาพ 24 ชั่วโมง”

 

หมดยุคมาโรงพยาบาลเพราะป่วย

ผศ.นพ.วีรยะ ย้ำว่าภาพลักษณ์ใหม่ที่อยากให้เกิดขึ้นกับพญาไท พหลโยธิน คือลบภาพจำว่าคนที่มาโรงพยาบาลคือคนป่วย จากนี้ไปคนมาโรงพยาบาลเพื่อมาช้อปปิ้งเรื่องของสุขภาพก็ได้

 

“หลายๆ อย่างที่ปรับเปลี่ยนพร้อมการรีแบรนด์ คือการให้ความสำคัญกับ Health & Wellness สร้างเสริมสุขภาพไม่ให้เจ็บป่วย อีกหน่อยคุณสามารถมาโรงพยาบาลเพื่อช้อปปิ้งสุขภาพของตนเองได้อย่างหลากหลาย ไม่ใช่เพียงเพื่อการรักษาโรค หรือซื้ออาหารเสริมและวิตามินเท่านั้น แต่ยังเน้นไปที่โปรแกรมและบริการที่เกี่ยวกับเรื่องของ Health & Wellness”

 

พญาไท พหลโยธิน

 

และเพื่อให้ตอบโจทย์ทุกกลุ่มวัย ยุคใหม่ของการดูแลสุขภาพจึงโฟกัสไปที่การดูแล Active Life ในทุกช่วงอายุ

 

“ยกตัวอย่างกลุ่มเด็ก เรามีศูนย์พัฒนาการเด็ก Child Development ดูแลตั้งแต่เด็กเล็กเพื่อให้พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยมีนักจิตวิทยาคลินิกและนักจิตวิทยาพัฒนาการคอยดูแล มีนักกิจกรรมบำบัด นักแก้ไขคำพูด และครูการศึกษาพิเศษ เมื่อเข้าสู่วัยทำงานก็จะมีปัญหาเรื่องของโรคที่เกิดจากการทำงาน ออฟฟิศซินโดรม หรือแม้แต่การเสริมสร้างสุขภาพจิต เรามี Let’s Talk (ศูนย์จิตเวช) ให้บริการพูดคุย รับฟัง ปรึกษาปัญหาสุขภาพใจ และมีพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมบำบัดในบรรยากาศที่มีความอบอุ่น ปลอดภัย ภายใต้การดูแลจากทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทางที่มากประสบการณ์ เมื่อเข้าสู่วัยชราก็เข้าสู่เรื่องของการชะลอวัย การสร้างเสริมกล้ามเนื้อ ปอด หัวใจ สุขภาพเพศ อีกอันก็คือ Weight Wellness ศูนย์ลดน้ำหนัก เพื่อสร้างสุขภาวะที่ดีในการดูแลผู้ป่วยโรคอ้วนในทุกกระบวนการ ยกระดับการให้บริการเพื่อส่งมอบการดูแลรักษาสุขภาพระยะยาวในทุกช่วงอายุเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีในสังคม”

 

ยังมีบริการทางการแพทย์อื่นๆ ที่ปรับโฉมการให้บริการ เพิ่มนวัตกรรมไปพร้อมกับการรีแบรนด์ อาทิ Love Space (คลินิกเติมรัก) การดูแลสุขภาพเพศ พื้นที่ Safe Zone สำหรับทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถรับคำปรึกษาผ่าน Telecare ได้ หรือการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องขั้นสูงในช่องท้องอื่นๆ เช่น ลำไส้ ตับอ่อน หรือท่อทางเดินน้ำดี ที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของศัลยแพทย์ รวมไปถึงการบริการด้านทันตกรรม Digital Dental ซึ่งถือเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกๆ ของไทยที่นำนวัตกรรมดิจิทัลมารักษาด้านทันตกรรม

 

 

สำหรับการบริการ Platinum Service นั้น แม้จะมีให้บริการในทุกสาขาของโรงพยาบาล แต่สิ่งที่พญาไท พหลโยธิน ต่างจากที่อื่นๆ คือ ‘การรับรองการดูแลอุปัฏฐากพระสงฆ์อาพาธ’ ตามหลักพระธรรมวินัยอย่างครบวงจร ให้การรักษา ส่งเสริม ป้องกัน ฟื้นฟูดูแลสุขภาพพระภิกษุสงฆ์และสามเณรที่อาพาธตามมาตรฐานวิชาชีพ ในโครงการ ‘คุณพระช่วย’ จากกรมการแพทย์และโรงพยาบาลสงฆ์ ในฐานะโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรก และเป็นต้นแบบการถ่ายทอดองค์ความรู้ไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ในเครือ

 

เติบโตอย่างยั่งยืนต้องเติบโตพร้อมชุมชน

แนวทางสำคัญของโรงพยาบาลพญาไท พหลโยธิน คือการเติบโตไปพร้อมกับชุมชนรอบข้าง ซึ่งปัจจุบันชุมชนรอบข้างเป็นลักษณะขององค์กรและบริษัทเป็นส่วนใหญ่

 

“พญาไท พหลโยธิน มีความเชี่ยวชาญทั้งด้านการแพทย์และนวัตกรรม และเราตั้งอยู่ระหว่าง ‘ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี’ ซึ่งเป็นย่านที่มีจำนวนโรงพยาบาลมากที่สุดในประเทศไทยกว่า 30 แห่ง ในทุกภาคส่วน ย่านนี้จะมีการวางแผนใช้ทรัพยากรร่วมกัน เพื่อเสริมการให้บริการทางการแพทย์ให้ได้ประโยชน์สูงสุด และ ‘ย่านนวัตกรรมอารีย์’ เป็นการรวมตัวของกลุ่มองค์กรอุตสาหกรรมต่างๆ จะร่วมมือกันจัดการพัฒนานวัตกรรมที่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเชิงลึก เช่น สมาร์ทซิตี้ การจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือการจัดการพลังงาน ทางพญาไท พหลโยธิน ก็นำนวัตกรรมการแพทย์ไปเข้าร่วม อย่างเรื่องของ Telemedicine หรือการจัดการฐานข้อมูลของโรงพยาบาล การจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ นี่คือภาพการร่วมมือ

 

“อีกส่วนหนึ่งคือเมื่อเราอยู่ในวงล้อมขององค์กร การเติบโตร่วมกันกับองค์กรต่างๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญ ผมเชื่อว่าผู้บริหารทุกองค์กรอยากให้พนักงานอยู่ดีมีสุข ทั้งเรื่องการส่งเสริมสุขภาพและการรักษา ยกตัวอย่างการมีส่วนร่วมของเรากับกลุ่มบริษัทลูกค้าองค์กร ไม่ใช่แค่ดูแลตรวจสุขภาพประจำปีให้กับพนักงาน เรานำนวัตกรรมเข้าไปศึกษาพนักงานในองค์กรว่าสัดส่วนปัญหาสุขภาพด้านไหนที่พบ แล้วจึงจัดโปรแกรมการดูแลสุขภาพเฉพาะองค์กร ทำให้ Productivity ขององค์กรดีขึ้น การขาดลามาสายลดลง รวมไปถึงสุขภาพใจด้วย เพราะเราดูไปถึงว่าพนักงานทำงานกลางวันหรือกลางคืน แนวโน้มความเครียดจากการทำงานคืออะไร การเดินร่วมกันไปแบบนี้ก็จะทำให้ความยั่งยืนเกิดขึ้นทั้งองค์กรและโรงพยาบาล”

 

พญาไท พหลโยธิน

 

ก้าวสู่ต้นแบบขององค์กรที่โดดเด่นเรื่อง Agility

เมื่อถามถึงเป้าหมายต่อไปของพญาไท พหลโยธิน ในเรื่องของการเป็นต้นแบบให้กับโรงพยาบาลอื่นๆ ในเครือ ผศ.นพ.วีรยะ บอกว่าอยากเป็นต้นแบบในเรื่องของ Agility หรือองค์กรที่แข็งแกร่ง และพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็ว

 

“เราเป็นองค์กรที่พร้อมเปิดรับเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สำคัญคือนอกจากเราจะสร้างบุคลากรให้พร้อมปรับตัวทุกการเปลี่ยนแปลง เรายังสร้างนวัตกรที่สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อปรับใช้กับผู้ป่วยได้อีกมากมาย”

 

 

ผศ.นพ.วีรยะ ยกตัวอย่างการพัฒนา Clinical Program หรือการรักษาพยาบาลในกลุ่มโรคใหม่ๆ และกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ รวมถึง Telemedicine ที่พญาไท พหลโยธิน ถูกยกให้เป็นต้นแบบและเป็นสถานที่ในการเริ่มต้นในช่วงที่เกิดโควิด-19

 

“พญาไท พหลโยธิน ต่อจากนี้ยังคงพัฒนานวัตกรรมและบริการใหม่ๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของลูกค้าที่เปลี่ยนไป แต่อย่างไรก็ดี ผมเชื่อว่าปัจจุบันคนตระหนักเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้อง การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา ก็อยากให้ทุกคนดูแลสุขภาพ เพื่อที่จะได้มีสุขภาพชีวิตที่ดีตราบนานเท่านาน” ผศ.นพ.วีรยะ กล่าวทิ้งท้าย

The post ถอดแนวคิด ‘พญาไท พหลโยธิน’ การรีแบรนด์เพื่อก้าว ‘สู่ยุคใหม่ของสุขภาพที่ดีกว่าเพื่อทุกคน’ [PR NEWS] appeared first on THE STANDARD.

]]>
ถกประเด็นเรื่อง ‘การดูแลพนักงานดีเยี่ยม’ กับ ‘สุภาพร บัญชาจารุรัตน์’ ผู้อำนวยการสายทรัพยากรบุคคล เครือ รพ.พญาไท-เครือ รพ.เปาโล จนคว้า 2 รางวัลจาก HR Asia ปี 2022 https://thestandard.co/phyathai-paolo-hospital-hr-asia/ Mon, 17 Oct 2022 07:50:05 +0000 https://thestandard.co/?p=696146 HR Asia

ปกติแล้วมุมมองเรื่อง ‘องค์กรในฝัน’ มักจะถูกเล่าโดยพนักง […]

The post ถกประเด็นเรื่อง ‘การดูแลพนักงานดีเยี่ยม’ กับ ‘สุภาพร บัญชาจารุรัตน์’ ผู้อำนวยการสายทรัพยากรบุคคล เครือ รพ.พญาไท-เครือ รพ.เปาโล จนคว้า 2 รางวัลจาก HR Asia ปี 2022 appeared first on THE STANDARD.

]]>
HR Asia

ปกติแล้วมุมมองเรื่อง ‘องค์กรในฝัน’ มักจะถูกเล่าโดยพนักงาน และลิสต์สิ่งที่พนักงานต้องการให้ช่วยเหลือ เพื่อให้ HR ได้นำมาบริหารจัดการ ซึ่งในแต่ละยุคก็จะมีความแตกต่างกันออกไป

  

จังหวะดีที่ THE STANDARD มีโอกาสพูดคุยกับ สุภาพร บัญชาจารุรัตน์ ผู้อำนวยการสายทรัพยากรบุคคล เครือ รพ.พญาไทและเครือ รพ.เปาโล ในฐานะผู้ที่อยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนองค์กรที่มีบุคลากรกว่า 10,000 ชีวิต ให้สามารถคว้ารางวัล ‘HR Asia Best Companies to Work for in Asia Awards 2022’ ที่ได้รับ 3 ปีซ้อน จัดขึ้นโดยนิตยสาร HR Asia พ่วงด้วยรางวัลพิเศษด้านการดูแลใส่ใจพนักงานดีเยี่ยม ‘We Care – HR Asia Most Caring Companies Awards 2022’  

 

HR Asia

 

คงไม่มีจังหวะไหนเหมาะเท่านี้ที่จะถามว่า ‘นิยามองค์กรในฝัน’ ในมุมของ HR คืออะไร ซึ่งคำตอบที่ได้ก็เป็นไปตามคิด สุภาพรบอกว่า หากตอบในมุม HR องค์กรในฝันก็คือองค์กรที่พนักงานทุกคนทำงานอย่างมีความสุข แต่ถ้าตอบโดยสวมหมวกของพนักงานคนหนึ่ง เธอบอกว่า “ส่วนตัวไม่คิดว่าองค์กรในฝันมีจริง เพราะฝันของแต่ละคนไม่เหมือนกันนะ ดังนั้นนิยามองค์กรในฝันของแต่ละคนก็ต่างกัน บางคนทำงานเพื่อสร้างครอบครัว เขาอาจจะโฟกัสที่ค่าตอบแทน อีกคนฝันอยากจะทำงานที่ท้าทาย เพื่อความก้าวหน้า ก็อาจจะมองหาองค์กรที่ไม่มีระบบ Seniority พอฝันต่างกันมันจึงไม่มีองค์กรที่ตอบโจทย์ความฝันใครได้ทั้งหมด” 

 

บทหนักจึงไปตกอยู่ที่ HR ที่จะต้องเข้าใจให้ได้ (มากที่สุด) ว่าความฝันของพนักงานคืออะไร? 

 

ประสบการณ์การทำงานกว่า 40 ปี สุภาพรผ่านการทำงานกับบุคคลหลากหลายรูปแบบในหลากธุรกิจ ทั้งธุรกิจรีเทล อุตสาหกรรมการผลิต จนมาถึงธุรกิจสุขภาพ

 

“ความท้าทายคือ ธุรกิจสุขภาพเป็นธุรกิจที่คนทำงานมีความเครียดโดยไม่รู้ตัว เพราะลูกค้าโรงพยาบาลส่วนใหญ่มาเพราะต้องการความช่วยเหลือ มีความไม่สบายกายไม่สบายใจ แล้วเราจะทำอย่างไรให้บุคลากรของเราพร้อมที่จะดูแลลูกค้าได้อย่างเต็มที่ และมีความสุขตลอดการทำงาน ขณะเดียวกันพอจบงานในแต่ละวันเขาต้องเอาความเครียดออกจากตัวให้ได้

 

“อีกความท้าทายคือ ธุรกิจสุขภาพรวมคนหลากหลายสาขาวิชาชีพมาอยู่ร่วมกัน เราต้องนำสองโครงสร้างของคลินิกและโครงสร้างฝ่ายบริหารมาบริหารจัดการร่วมกัน ทำอย่างไรให้เกิดความเป็นธรรมในการบริหารจัดการ ยิ่งเป็นการบริหารทุกโรงพยาบาลในเครือ ถ้าเป็นไปได้เราต้องทำให้เกิดนโยบายเดียว เพื่อที่เวลาโยกย้ายโอนย้ายจะสะดวกและรองรับการให้บริการผู้ป่วยได้ดีขึ้น” 

 

เพื่อค้นหาสิ่งที่พนักงานอยากได้ ไม่ใช่สิ่งที่ HR อยากให้ สุภาพรจึงใช้วิธีในการเก็บข้อมูล ด้วยการพูดคุยกับพนักงานให้ได้มากที่สุด เพื่อค้นหาว่าอะไรคือสิ่งที่พนักงานต้องการและนำมาบริหารจัดการค่าตอบแทนและสวัสดิการที่เหมาะสม เธอบอกว่า แม้จะไม่สามารถสร้างองค์กรในฝันได้ตรงใจทุกคนได้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุขในการทำงาน 

 

HR Asia

 

จุดเริ่มต้น ‘We Before Me’ วัฒนธรรมองค์กรที่หล่อหลอมบุคลากรให้เป็นหนึ่งเดียว

สุภาพรเล่าต่อว่า กว่าจะได้ ‘We Before Me’ หรือ การเห็นแก่ส่วนรวมก่อนส่วนตน ซึ่งเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ปฏิบัติกันมาอย่างยาวนานนั้น เกิดขึ้นจากการพูดคุยกับผู้บริหารในเครือโรงพยาบาลพญาไทและเครือโรงพยาบาลเปาโลทั้งหมดมาทำเวิร์กช็อปเพื่อค้นหาวัฒนธรรมที่ต้องการ

 

‘We Before Me’ เราต้องการให้บุคลากรของเราเห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว เราจึงใช้แนวทางการหล่อหลอมบุคลากรของเราด้วย 6 We ได้แก่ ‘We Open’ เปิดใจรับสิ่งใหม่ ‘We Can’ เราทำได้ ‘We Change’ เราปรับได้ ‘We Serve’ เราใส่ใจลูกค้าและคนรอบข้าง ‘We Own’ เราตั้งใจทำทุกๆ สิ่งเหมือนเป็นเจ้าของ และสุดท้ายคือ ‘We Happy’ เราสุขใจ เราอยากให้พนักงานเราแสดงพฤติกรรมทั้งหมดนี้อย่างมีความสุข

 

“เวลาออกแบบวัฒนธรรม เราคาดหวังที่จะให้บุคลากรสามารถนำสิ่งเหล่านี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วย จนเกิดเป็นพฤติกรรมที่กระทำประจำวัน สำคัญที่สุดคือ ผู้บริหารต้องเป็นตัวอย่างในการนำวัฒนธรรมนี้มาใช้อย่างจริงจัง” 

 

สุภาพรเล่าว่า เวลาจัดกิจกรรมไม่ว่าจะจัดอบรมทั้งในสถานที่และนอกสถานที่ เราจะผสมพนักงานทุกโรงพยาบาลในเครือทั้ง 11 โรงพยาบาลเข้ามาทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อให้พนักงานได้มีโอกาสรู้จักกัน “ข้อดีคือ พนักงานสามารถแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกัน ได้ศึกษาพฤติกรรมร่วมกัน ทำให้ไม่มีปัญหาเวลาพนักงานต้องโยกย้ายโอนย้าย เพราะทุกคนรู้จักกัน สามารถทำงานร่วมกันได้ด้วยวัฒนธรรมเดียวกัน” 


ความเป็นหนึ่งเดียวของบุคลากร นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ประจักษ์แก่สายตาคนภายนอก

วันนี้เครือโรงพยาบาลพญาไทและเครือโรงพยาบาลเปาโล สามารถคว้ารางวัล ‘HR Asia Best Companies to Work for in Asia Awards 2022’ ที่จัดขึ้นโดยนิตยสาร HR Asia ซึ่งเป็นหนึ่งในนิตยสารด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในภูมิภาคเอเชีย มีสมาชิกเป็นองค์กรชั้นนำของภาคอุตสาหกรรมต่างๆ จาก 14 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย โดยปีนี้มีองค์กรไทยที่เข้าร่วมประกวดทั้งสิ้น 219 องค์กร   

 

HR Asia

 

รางวัลนี้เปรียบง่ายๆ ก็เหมือนแบบประเมินประสิทธิภาพทางด้านการบริหารบุคลากรขององค์กรที่เข้าร่วมประกวด โดยมีแนวคิดที่ครอบคลุมมุมมองต่างๆ อย่างครบถ้วน และยังสามารถนำข้อกำหนดต่างๆ ไปบริหารจัดการและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของบุคลากรต่อไป 

 

‘HR Asia Best Companies to Work for in Asia Awards 2022’ หรือ รางวัลองค์กรดีเด่นที่น่าทำงานมากที่สุดในเอเชีย มีหลักเกณฑ์การพิจารณารางวัลจากการบริหารจัดการภายในองค์กรที่ดีเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงาน การดูแลเอาใจใส่และสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมในการทำงาน ให้เกียรติและเคารพซึ่งกันและกัน พัฒนาศักยภาพและสนับสนุนการเรียนรู้ ตลอดจนการส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานเป็นทีม ซึ่งเครือโรงพยาบาลพญาไท-เครือโรงพยาบาลเปาโล ได้รับรางวัลนี้เป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน ตั้งแต่ปี 2563-2565 ตอกย้ำการเป็นองค์กรด้านการบริหารธุรกิจสุขภาพชั้นนำของประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล

 

ในบรรดาเกณฑ์การพิจารณ์ข้างต้น สุภาพรมองว่า ทุกเกณฑ์สำคัญเท่ากัน จึงไม่สามารถจัดลำดับได้ว่าสิ่งใดควรทำก่อนทำหลัง แต่ขึ้นอยู่กับโอกาสและสถานการณ์ การทำให้พนักงานมีส่วนร่วม สร้างบรรยากาศทำงานให้ดี หรือการพัฒนาศักยภาพทุกการบริหารค่าตอบแทน เป็นต้น ทุกอย่างสามารถทำควบคู่กันได้หมดในเวลาที่เหมาะสม 

 

HR Asia

 

เมื่อถามว่า อะไรคือองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ได้รางวัล สุภาพรยกเครดิตให้กับสารตั้งต้นที่ดีนั่นคือ ‘บุคลากร’ 

 

“ส่วนตัวมองว่าพนักงานมีส่วนเยอะมากกับการได้รับรางวัลนี้ เพราะสิ่งต่างๆ ที่เรามอบให้เขาตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นสวัสดิการ โครงการต่างๆ มันมาจากเสียงของพวกเขาที่บอกกับเรา อะไรทำให้เขามีความสุข สิ่งไหนที่เขาต้องการ พนักงานกับองค์กรต้องไปด้วยกัน หล่อหลอมจนเกิดเป็น Engagement แต่เราก็ไม่ได้ให้ทุกอย่างที่พนักงานอยากได้ เราให้ในสิ่งที่ควรจะให้ในเวลาที่เหมาะสม ชัดเจน และเป็นธรรม

 

“เรามีการทำ Engagement Survey กับพนักงานมา 10 กว่าปี เมื่อก่อนทำแค่ Satisfaction Survey ดูเรื่องความพึงพอใจของพนักงานในการอยู่กับเรา แต่ก็ยังพบว่าก็ยังมีคนที่ไม่อยากอยู่กับเรา แปลว่าแค่สำรวจความพึงพอใจไม่พอ ต้องสร้างการมีส่วนร่วม กว่าจะมาถึงวันนี้เราเรียนรู้แล้วปรับจากพนักงาน ทำแบบนี้วนไปเรื่อยๆ จะไม่ยึดติดว่าเคยให้แบบนี้ก็ต้องให้แบบนี้ตลอดไป เพราะโลกมันเปลี่ยน สิ่งที่เคยดีมันอาจไม่ดีในตอนนี้แล้วก็ได้ เจเนอเรชันก็เปลี่ยน คนรุ่นก่อนเราทุ่มเททำงานกันดึกๆ แต่ยุคนี้อยู่ดึกได้นะแต่ต้องมีคุณค่าสำหรับฉัน งานต้องท้าทายนะ ไม่ใช่ให้ทำงานหนักแต่การเรียนรู้ไม่เกิด เราจึงมีเวทีให้พนักงานเรียนรู้ นวัตกรรมหลายๆ อย่างเกิดขึ้นจากความคิดของพนักงาน” 

 

ปีนี้เครือโรงพยาบาลพญาไทและเปาโล ยังคว้ารางวัลด้านการดูแลใส่ใจพนักงานดีเยี่ยม (We Care – HR Asia Most Caring Companies Awards  2022) คัดเลือกจากองค์กรที่ได้รับรางวัล Best Companies to Work for in Asia 2022 สะท้อนให้เห็นการเป็นองค์กรที่อยู่กันแบบครอบครัว มีความรักความเข้าใจ และความช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันตลอดมา

 

สุภาพรขยายความคำว่า “ดูแลพนักงานดีเยี่ยม” ว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะช่วงที่ผ่านมาทั่วโลกประสบการณ์กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 

 

“ช่วงแรกเราจัดตารางการทำงานเพื่อให้เขาเซฟทั้งกับตัวเองและครอบครัวเขาที่สุด ด้วยการแบ่งเวลาเข้ากะทำงาน และจัดเวลาพักเพื่อการกักตัวที่โรงพยาบาล เพื่อป้องกันครอบครัวเขา หลังจากกักตัวก็จะให้กลับไปพักผ่อนที่บ้านก่อน แล้วค่อยกลับมาเข้ากะใหม่เพื่อให้เขาได้พักและอยู่กับครอบครัว หรือถ้าครอบครัวใครติดเชื้อเราดูแลหมด

 

“สถานการณ์นี้ทำให้เรามองเห็นบุคลากรใน 2 มุม มุมแรกคือ บุคลากรเครียดมากขึ้นเนื่องจากสถานการณ์มันใกล้ตัวมากๆ และช่วงนั้นความไม่พึงพอใจในบริการสูง เพราะผู้คนหวาดกลัวเนื่องจากเป็นโรคระบาดใหม่ แต่อีกมุมเราได้เห็นนวัตกรรมมากมายด้วยการปรับวิธีการทำงานเพื่อให้สามารถดูแลผู้ป่วยได้ดีขึ้นและเร็วขึ้น พนักงานออกแบบการทำงานที่หลากหลายขึ้น พวกเขาบริหารจัดการกันเอง การจัดตารางเวร การเทิร์นเตียง ประเมินผู้ป่วยวิกฤต ประสานงานส่งต่อผู้ป่วย ทำให้เกิดเป็นรูปแบบการทำงานแบบใหม่ 

 

‘สุขภาพบุคลากร’ ปัญหาที่หลายองค์กรมองข้าม

แม้ว่าตอนนี้การสร้างสภาพแวดล้อมด้านการทำงานจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บุคลากรมีความสุข แต่สุภาพรบอกให้มองลึกไปถึงการดูแลใส่ใจสุขภาพของพนักงานอย่างจริงจัง เพราะสุขภาพที่ดีนำมาซึ่งการบริหารต้นทุนของบุคลากร 

 

“เราจัดตั้งส่วนงาน Healthy Workplace หน้าที่คือ ทำโปรแกรมที่เกี่ยวกับการบริหารสุขภาวะที่ครอบคลุมเรื่องจิตใจและร่างกาย เรามีเครื่องมือประเมินพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ (Health Assessment) ที่ให้พนักงานสามารถประเมินภาวะความเสี่ยงด้านสุขภาพที่จะเกิดขึ้นในอนาคตผ่านแบบประเมินที่รียกว่า Let’s Get Healthy (LGH) ซึ่งเป็นแบบประเมินที่ผ่านการวิจัยจากสหรัฐอเมริกา แล้วเอาผลประเมินความเสี่ยงทางด้านสุขภาพพนักงานมาวิเคราะห์ร่วมกับผลการเช็กอัพประจำปี ก่อนจะส่งไปที่อเมริกาเพื่อให้เขาประมวลผลแล้วส่งกลับมาเป็นรายงาน จะเห็นเลยว่าพนักงานคนไหนมีความเสี่ยงเรื่องอะไร แล้วนำสิ่งเหล่านี้มาจัดกลุ่มเพื่อจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพให้กับพนักงานได้

 

สุภาพรยังเสริมด้วยว่าแผนก HR ในธุรกิจสุขภาพจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีบุคลากรที่มาจากวิชาชีพอื่นมาร่วมทำงานด้วย เพื่อที่จะเข้าใจบุคลากรทุกคนและออกแบบกิจกรรมให้ตอบโจทย์จริงๆ เช่น โปรแกรมลดความเครียด โปรแกรมออกกำลังกาย ซึ่งตอนนี้โปรแกรมต่างๆ ยังขยายผลนำไปปรับใช้กับพนักงานในองค์กรอื่นๆ ที่ทำไปแล้วก็เช่น ปตท. คาดว่าจะสามารถขยายผลต่อไปยังองค์กรอื่นๆ ที่สนใจอีกด้วย 

 

HR Asia

 

ที่เจ๋งกว่านั้น ที่นี่มี ‘HR Friend’ อีเมลที่พนักงานทุกคนสามารถเมลมาเล่าปัญหาได้ทุกเรื่อง จะเรียกว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัยของพนักงานก็ได้ เพราะจะมีเพียงสุภาพรเพียงคนเดียวท่านั้นที่อ่านอีเมลนี้ได้ “บางทีถ้าเราได้คุยกับพนักงานก่อนจะได้เข้าใจปัญหาเขามากขึ้น บางเรื่องเราต้องสกรีนก่อน ทำให้เราเห็นบางเรื่องในการบริหารในโรงพยาบาล ซึ่งเราสามารถเข้าไปดูแลได้ในทางอ้อม เช่น ปัญหาครอบครัวของพนักงาน ทำให้เราคิดว่าดูแลพนักงานอย่าดูแลแค่ชีวิตการทำงานของพนักงาน เพราะถ้าเราดูแลแค่การทำงานแปลว่าเรามองแต่ผลประโยชน์ที่เขาจะทำให้กับองค์กร แต่ถ้าเราสามารถแบ่งปันเวลาของเราไปดูแลครอบครัวเรามันจะเกิดบาลานซ์ เป็นที่มาของโครงการ สอนลูกแทนคุณให้ลูกๆ พนักงานมาเรียนหนังสือกับพี่ๆ HR ช่วงปิดเทอม”

 

แนวคิดการบริหารคนหลากเจเนอเรชัน

สุภาพรย้ำว่า สิ่งสำคัญคือต้องโฟกัสที่มายด์เซ็ต มองทุกคนมีศักยภาพและความสามารถเท่าเทียม เครือโรงพยาบาลพญาไท และเครือโรงพยาบาลเปาโล จึงไม่เน้นระบบการเติบโตด้วย Seniority เราจะเน้นศักยภาพของบุคลากรร่วมกันการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทุกกิจกรรมไม่มีการแบ่งแยกรุ่น ทุกเจนเนอเรชันจึงทำงานร่วมกันและทำกิจกรรมด้วยกันได้ ส่วนเรื่องการปรับสัดส่วนองค์กรในวันที่ประเทศเข้าสู่สังคมสูงอายุ จะดูที่ศักยภาพของบุคคลเป็นหลัก หากถึงวัยเกษียณแต่ยังแข็งแรงและทำงานได้ก็จะต่ออายุเกษียณให้

 

HR Asia

 

แต่การจะทำให้วัฒนธรรมองค์กรที่ดีอยู่แล้วยังคงถือปฏิบัติต่อไปรุ่นสู่รุ่น พนักงานและองค์กรต้องร่วมมือกัน โดยเฉพาะผู้บริหารในทุกระดับชั้น จำเป็นต้องวางตัวเหมือนเป็น HR คนแรกของทีม เพราะทำงานใกล้ชิดกับพนักงานมากกว่าฝ่าย HR “สิ่งที่ผู้บริหารควรต้องทำคือ เมื่อเข้าใจพนักงานที่ดูแล้วต้องส่งผ่านสิ่งนั้นกลับมาให้เรา เพื่อที่ HR จะได้ออกแบบแนวทางไปซัพพอร์ตพนักงาน”

  

สุดท้ายแล้ว เราถามสุภาพรว่า กดดันหรือไม่ที่ได้รางวัลมากมายและยังได้ติดต่อกันหลายปี เพราะนั่นหมายถึงต้องรักษามาตรฐานที่มีให้ดีและอาจจะหมายถึงการไม่หยุดพัฒนา “ไม่กดดันเลย รางวัลมันเป็นตัว Reconfirm มากกว่าว่าสิ่งที่เราเป็นมันดีจริงหรือไม่ เราก็แค่เป็นตัวของตัวเอง รางวัลจึงไม่ใช่เป้าหมายหลักที่เราลุกขึ้นมาทำ แต่เราอยากเป็นองค์กรที่พนักงานอยู่แล้วมีความสุข ถึงเราไม่ประกวดเราก็ได้รางวัล แค่นี้ก็พอแล้ว สุดท้ายเราบอกกับพนักงานของเราเสมอว่า “ทุกข์ของพนักงาน คือการบ้านของ HR” และนี่คือแนวทางที่ HR ของเราทุกคนใช้ในการทำงานและเป็นแรงผลักดันให้เรามุ่งมั่นในการดูแลพนักงาน เพื่อพัฒนาองค์กรของเราต่อไป

 

HR Asia

The post ถกประเด็นเรื่อง ‘การดูแลพนักงานดีเยี่ยม’ กับ ‘สุภาพร บัญชาจารุรัตน์’ ผู้อำนวยการสายทรัพยากรบุคคล เครือ รพ.พญาไท-เครือ รพ.เปาโล จนคว้า 2 รางวัลจาก HR Asia ปี 2022 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Reuters ตีข่าว คนไทยต้อง ‘สู้เพื่อวัคซีน’ ขายหมดในไม่กี่นาทีหลังเปิดขายผ่าน Shopee https://thestandard.co/reuters-thai-people-fight-for-vaccines-through-shopee-sold-out-sold-out-in-minutes/ Sat, 10 Jul 2021 05:19:23 +0000 https://thestandard.co/?p=510896 วัคซีน moderna

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่า โรงพยาบาลในประเทศไทยที่ […]

The post Reuters ตีข่าว คนไทยต้อง ‘สู้เพื่อวัคซีน’ ขายหมดในไม่กี่นาทีหลังเปิดขายผ่าน Shopee appeared first on THE STANDARD.

]]>
วัคซีน moderna

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่า โรงพยาบาลในประเทศไทยที่รับจองวัคซีนของ Moderna ขายหมดในไม่กี่นาทีหลังเปิดขายใน Shopee ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ

 

ด้วยการระบาดที่เลวร้ายลงและความกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนที่ฉีดในปัจจุบัน ความต้องการวัคซีน mRNA ซึ่งไม่สามารถหาได้จนถึงช่วงใกล้สิ้นปี จึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศไทย

 

“มันถูกขายหมดภายในไม่กี่นาที” โฆษกของ Shopee กล่าว โดยเสริมว่าการขายวัคซีนทำให้การเข้าชมเพจของโรงพยาบาลพญาไทพุ่งสูงขึ้น โดยดึงดูดผู้เข้าชมได้กว่า 2.6 ล้านคน

 

วัคซีน Moderna ของโรงพยาบาลพญาไทที่จำหน่ายผ่าน Shopee มีจำนวน 1,800 เข็ม จำหน่ายราคาเข็มละ 1,650 บาท โดย “วัคซีนถูกขายหมดด้วยความเร็วสูงสุดเป็นประวัติการณ์” อัฐ ทองแตง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของโรงพยาบาลกล่าวกับ Reuters “ผมรู้สึกเสียใจอย่างมากสำหรับผู้ที่พลาดมัน”

 

ผู้ใช้รายหนึ่งของ Shopee เขียนว่า “(วัคซีน) หายไปใน 15 วินาที และฉันโชคดีมากที่ได้รับมัน” ขณะที่ผู้ใช้อีกรายหนึ่งระบุว่า “เป็นการต่อสู้เพื่อวัคซีน”

 

Reuters ชี้ว่า ความต้องการวัคซีน Moderna เพิ่มขึ้นหลังจากบันทึกของกระทรวงสาธารณสุขที่หลุดออกมาแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยกำลังพิจารณาที่จะให้วัคซีน mRNA เป็นวัคซีนบูสเตอร์แก่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่ได้รับวัคซีนของ Sinovac จำนวน 2 เข็มแล้ว

 

ประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียรายงานว่า มีการติดเชื้อขั้นรุนแรงในหมู่บุคลากรทางการแพทย์แม้ว่าจะได้รับการฉีดวัคซีน Sinovac จำนวน 2 เข็มแล้วก็ตาม

 

สำหรับวัคซีน Moderna นั้น โรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทยได้รวมกันโดยสั่งซื้อผ่านรัฐ คาดว่าจะได้รับวัคซีน Moderna จำนวน 5 ล้านโดสระหว่างปีนี้และปี 2565 นอกจากนี้ประเทศไทยยังได้สั่งซื้อวัคซีน Pfizer-BioNTech จำนวน 20 ล้านโดส ที่จะส่งมอบหลังจากเดือนตุลาคม

 

อ้างอิง:

The post Reuters ตีข่าว คนไทยต้อง ‘สู้เพื่อวัคซีน’ ขายหมดในไม่กี่นาทีหลังเปิดขายผ่าน Shopee appeared first on THE STANDARD.

]]>
เพราะสิ่งดีๆ มากมายบนโลกนี้ มักเกิดขึ้นจากคนคนหนึ่งเสมอ [Advertorial] https://thestandard.co/phyathai-hospital/ Fri, 13 Dec 2019 10:00:31 +0000 https://thestandard.co/?p=311897 โรงพยาบาลพญาไท

โรงพยาบาลพญาไท เป็นโรงพยาบาลที่ส่งเสริมเทคโนโลยีและนวัต […]

The post เพราะสิ่งดีๆ มากมายบนโลกนี้ มักเกิดขึ้นจากคนคนหนึ่งเสมอ [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>
โรงพยาบาลพญาไท

โรงพยาบาลพญาไท เป็นโรงพยาบาลที่ส่งเสริมเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าพวกเขาไม่ได้รับการสนับสนุนจากพนักงานหรือคนในองค์กร

 

พญาไทเชื่อว่าคนในองค์กรมีไอเดียดีๆ มากมายที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อการทำงานและเป็นประโยชน์กับคนไข้ จึงพยายามที่จะพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด โดยการสร้างทีมที่จะพัฒนานวัตกรรมและให้ความรู้เพื่อให้คนของพญาไทได้ปล่อยของและพัฒนาตัวเองได้ถึงขีดสุด

The post เพราะสิ่งดีๆ มากมายบนโลกนี้ มักเกิดขึ้นจากคนคนหนึ่งเสมอ [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จัก 10 แบรนด์ไทยที่มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุดในปี 2017 https://thestandard.co/top-valuable-brands-2017/ https://thestandard.co/top-valuable-brands-2017/#respond Thu, 17 Aug 2017 04:46:53 +0000 https://thestandard.co/?p=20844

     ถ้าคนในวงการภาพยนตร์หรือคอหนังรอคอย […]

The post รู้จัก 10 แบรนด์ไทยที่มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุดในปี 2017 appeared first on THE STANDARD.

]]>

     ถ้าคนในวงการภาพยนตร์หรือคอหนังรอคอยการประกาศรางวัลตามเวทีต่างๆ กันแทบทุกปี เช่น งานประกาศรางวัลออสการ์ หรือเทศกาลหนังเมืองคานส์ คนที่ติดตามข่าวสารแวดวงธุรกิจก็คงตื่นเต้นไปกับการจัดอันดับแบรนด์ธุรกิจชั้นนำโดยนิตยสาร Forbes หรืออันดับมหาเศรษฐีคนล่าสุดของโลกโดยสำนักข่าวชื่อดัง นอกจากจะเป็นสีสันประจำปีแล้ว การจัดอันดับเหล่านี้ยังสะท้อนให้เห็นภาพรวมการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจ โดยเฉพาะในปีนี้ที่บริษัทเทคโนโลยีพากันผงาดขึ้นมาติดอันดับท็อป 10 ของโลก

     อย่างไรก็ดี เราอดสงสัยไม่ได้ว่า แล้วการจัดอันดับแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงสุดในวงการธุรกิจไทยจะชี้วัดจากอะไร ที่สำคัญไปกว่านั้น การจัดอันดับเหล่านี้บ่งบอกอะไรได้บ้าง

     ล่าสุด วันที่ 16 สิงหาคม 2560 ศ. ดร. กุณฑลี รื่นรมย์ และ ดร. เอกก์ ภทรธนกุล อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด ได้ประกาศรายชื่อแบรนด์ไทยที่มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุดในปี 2017 (Thailand’s Top Corporate Brand Value 2017) ใน 13 หมวดธุรกิจ จากกว่า 500 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า CBS Valuation ซึ่งเป็นผลงานวิจัยของทั้งสองที่พัฒนามาร่วม 10 ปี คำนวณตัวเลขจากงบการเงินในรายงานประจำปีของบริษัทที่เปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์เพื่อวัดมูลค่าแบรนด์องค์กร ซึ่งเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ให้ออกมาเป็นตัวเลขทางการเงิน

     ธุรกิจ 13 หมวดที่ว่านี้ ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม, ธนาคาร, ประกันภัยและประกันชีวิต, วัสดุก่อสร้าง, พัฒนาอสังหาริมทรัพย์, พลังงานและสาธารณูปโภค, พาณิชย์, การแพทย์, สื่อและสิ่งพิมพ์, การท่องเที่ยวและสันทนาการ, ขนส่งและโลจิสติกส์, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

     ศ. ดร. กุณฑลี และ ดร. เอกก์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาธุรกิจส่วนใหญ่ใช้เครื่องมือวัดมูลค่าของแบรนด์จากต่างประเทศ ซึ่งมีขั้นตอนยุ่งยากซับซ้อน จึงต้องการพัฒนาขึ้นเองและเปิดให้ภาคเอกชนใช้งานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจไทยเข้าใจและให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์องค์กร โดยปีนี้ได้ปรับเกณฑ์การตัดสิน โดยนำประเด็นของความโปร่งใสและธรรมาภิบาลขององค์กรเข้ามาประกอบการพิจารณาด้วย พร้อมชี้ว่ามูลค่าแบรนด์เป็นทรัพย์สินประเภทจับต้องไม่ได้ก็จริง แต่ก็มีผลต่อความน่าเชื่อถือของแบรนด์ รวมทั้งการสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืนในระยะยาว

     ทั้งสองชี้ว่า การชี้วัดมูลค่าของแบรนด์องค์กรจะช่วยลดต้นทุนระยะยาว เช่น ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและน่าเชื่อถือ ช่วยประหยัดงบประมาณด้านการตลาด เมื่อแบรนด์มีความน่าเชื่อถือก็จะช่วยดึงดูดพนักงาน พาร์ตเนอร์ และนักลงทุนที่มีฝีมือเข้ามาร่วมงานในอนาคตนั่นเอง

 

 

เปิดโผแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงสุด: ท่าอากาศยานไทย – เครือ รพ. กรุงเทพ – อินทัช มาแรง
     จากงานวิจัยดังกล่าว แบรนด์ไทยที่มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุดประจำปี 2017 ใน 13 หมวดธุรกิจ มีดังนี้

1. บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
หมวด: ธุรกิจอาหาร

มูลค่า 93,089 ล้านบาท

     ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ถือเป็นธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่ครองกิจการโรงแรมและรีสอร์ตกว่า 150 แห่ง เช่น โรงแรมอนันตรา, อวานี, โฟร์ซีซันส์, เจ ดับบลิว แมริออท เป็นต้น และยังดำเนินธุรกิจอาหารผ่านบริษัทย่อย บริษัท เดอะ ไมเนอร์ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารจานด่วนรายใหญ่ในเอเชีย ปัจจุบันดำเนินธุรกิจใน 4 ตลาดหลักคือ ไทย ออสเตรเลีย จีน และสิงคโปร์ โดยมีแบรนด์ร้านอาหารชื่อดังในเครือ เช่น เดอะ พิซซ่า คัมปานี, เดอะ คอฟฟี่ คลับ, เบรด ทอล์ก, สเวนเซ่นส์, แดรี่ ควีน, ซิซซ์เลอร์ และเบอร์เกอร์คิง

 

2. ธนาคารกสิกรไทย
หมวด: ธนาคารพาณิชย์

มูลค่า 170,007 ล้านบาท

     นักวิจัยทั้งสองท่านชี้ว่า ที่ผ่านมากสิกรไทยตื่นตัวกับกระแส Digital Banking และปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจดิจิทัลได้รวดเร็วชัดเจน โดยเฉพาะการพัฒนานวัตกรรม Mobile Banking สำหรับทำธุรกรรมผ่านแอปฯ เป็นเจ้าแรก ซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากถึง 5 ล้านคน จากข้อมูลของกสิกรไทยพบว่า สถิติการทำธุรกรรมบน K-Mobile Banking ในปี 2559 สูงถึง 1,688 ล้านรายการ มีมูลค่าการทำธุรกรรม 4.35 ล้านล้านบาท

 

3. กรุงเทพประกันชีวิต
หมวด: ประกันภัยและประกันชีวิต
มูลค่า 55,188 ล้านบาท

     กรุงเทพประกันชีวิต ครองแชมป์ในหมวดนี้ติดต่อกันถึง 3 ปี เนื่องจากบริษัทมีความมั่นคงสูง โดยไตรมาสแรกของปีนี้ทำกำไรราว 922 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทไม่มีภาระในการตั้งสำรองพิเศษ ทั้งยังมีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้น 3% จากสิ้นปี คิดเป็น 290,904 ล้านบาท

     ก่อนหน้านี้ในปี 2556 บริษัทได้รับรางวัลแบรนด์ธุรกิจดาวรุ่งที่มีอัตราการเติบโตของมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุดในหมวดการเงิน จากโครงการงานวิจัยการวัดมูลค่าและจัดอันดับแบรนด์องค์กรไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

4. บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน)
หมวด: วัสดุก่อสร้าง
มูลค่า 49,280 ล้านบาท

     ปูนซีเมนต์นครหลวง หรือปูนอินทรี ถือเป็นผู้ประกอบธุรกิจปูนซีเมนต์ชั้นนำของประเทศที่เริ่มดำเนินกิจการตั้งแต่ปี 2515 โดยปี 2558 บริษัทเริ่มเดินหน้าปรับโฉมองค์กรและระบบโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ เพื่อก้าวสู่ยุคอุตสาหกรรมแห่ง Internet of Things

 

5. บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)
หมวด: ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

มูลค่า 139,199 ล้านบาท

     บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกรายใหญ่ ภายใต้การดำเนินการของกลุ่มเซ็นทรัล ปัจจุบันมีศูนย์การค้า 30 แห่ง อาคารสำนักงาน 7 แห่ง โรงแรม 2 แห่ง และโครงการคอนโดมิเนียมสำหรับอยู่อาศัย 1 แห่ง

 

6. บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน)

หมวด: พลังงานและสาธารณูปโภค

มูลค่า 65,339 ล้านบาท
     บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) หรือ Glow Energy คือบริษัทเอกชนผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้ารายใหญ่ในไทย โดยมีลูกค้ารายหลักคือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ปีที่ผ่านมาบริษัทได้ประกาศรายงานผลประกอบการประจำปี 2559 ที่มีความแข็งแกร่ง รายได้รวมอยู่ที่ 53,902 ล้านบาท กำไรสุทธิ 8,953 ล้านบาท และยังได้ลงทุนในโรงงานไฟฟ้าพลังงานขยะอุตสาหกรรมขนาด 9 เมกะวัตต์ ในจังหวัดชลบุรี โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายใน 2 ปีข้างหน้า

 

7. Big C

หมวด: ธุรกิจพาณิชย์

มูลค่า 114,456 ล้านบาท

     สาเหตุที่ บมจ. บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ หรือ Big C ยังคงครองแชมป์ของหมวดพาณิชย์ในปีนี้ได้นั้น อาจเพราะว่า Big C เริ่มปรับกลยุทธ์มามุ่งขยายสาขา Mini Big C มากขึ้น แทนที่จะเน้นไฮเปอร์มาร์เก็ตอย่างเดียวดังที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าว่าจะเป็นร้านสะดวกซื้ออันดับ 2 ของตลาดภายใน 3-5 ปีข้างหน้า และขยายสาขาได้มากกว่า 1,000 สาขา ปัจจุบัน Big C อยู่ภายใต้ ทีซีซี กรุ๊ป ของ เจริญ สิริวัฒนภักดี ที่เข้าซื้อกิจการไปเมื่อปี 2559

 

8. บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)

หมวด: ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ

มูลค่า 255,714 ล้านบาท
     แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงธุรกิจการแพทย์ หลายคนย่อมนึกถึงบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ หรือ BDMS (Bangkok Dusit Medical Services) เป็นอันดับแรกๆ เพราะถือเป็นกลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนแบบครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดของไทย โดยมี นพ. ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ เศรษฐีหุ้นไทยปี 2016 เป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่

     BDMS เป็นกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่มีเครือข่ายใหญ่ที่สุดในไทย ประกอบด้วย กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช กลุ่มโรงพยาบาลพญาไท กลุ่มโรงพยาบาลเปาโล และโรงพยาบาลบีเอ็นเอช นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลในกัมพูชาคือ Royal Phnom Penh Hospital และ Royal Angkor International Hospital

 

9. บริษัท วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน)

หมวด: ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์

มูลค่า 32,915 ล้านบาท

     VGI Global Media ถือเป็นเจ้าพ่อแห่งวงการสื่อ out of home ผู้ให้บริการเครือข่ายสื่อแบบครบวงจร เน้นขายพื้นที่สื่อโฆษณาโดยแทรกซึมเข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่สื่อโฆษณาตามท้องถนน รถไฟฟ้าบีทีเอส ด่านเก็บเงินทางด่วน สื่อโฆษณาในสนามบิน อาคารสำนักงาน รวมไปถึงสื่อบนบริการชำระเงิน Rabbit Digital ที่ใช้ได้กับระบบรถไฟฟ้าและร้านค้าที่เข้าร่วม

 

10. บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน)

หมวด: ธุรกิจการท่องเที่ยวและสันทนาการ

มูลค่า 33,269 ล้านบาท

     ในฐานะแชมป์สมัยที่ 3 กลุ่มธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตของกลุ่มเซ็นทรัลไม่เพียงแต่ได้รับการยกย่องในฐานะโรงแรมชั้นนำในไทย แต่ยังประสบความสำเร็จในการรุกคืบสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเปิดโรงแรมในตะวันออกกลางมากถึง 5 แห่ง

 

11. บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)

หมวด: ธุรกิจการขนส่งและโลจิสติกส์

มูลค่า 309,111 ล้านบาท

     จะเห็นได้ว่า บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ถือเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดใน 13 หมวดธุรกิจ หากพิจารณาตามโครงสร้าง AOT เป็นธุรกิจท่าอากาศยานสังกัดกระทรวงคมนาคม มีรายได้มาจาก 2 ส่วนหลักคือ รายได้จากกิจการการบิน ได้แก่ ค่าบริการสนามบิน (ค่าบริการในการขึ้น-ลงของอากาศยาน และค่าบริการที่เก็บอากาศยาน) ค่าบริการผู้โดยสารขาออก และค่าเครื่องอำนวยความสะดวก และรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบิน เช่น รายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ ค่าเช่าสำนักงานและอสังหาริมทรัพย์ และรายได้จากการให้บริการ

     ที่ผ่านมารายได้ของ AOT เติบโตสูง โดยได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวตามไปด้วย

     จากรายงานประจำปี 2559 พบว่า AOT มีรายได้จากกิจการการบินคิดเป็น 60.2% ของรายได้ทั้งหมด โดยได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวที่เติบโตดี แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในต่างประเทศ เช่น เหตุการณ์ความรุนแรงในปารีส การก่อการร้ายที่ท่าอากาศยานในประเทศเบลเยียมและประเทศตุรกี แต่ AOT กลับมีกำไรสุทธิกว่า 19 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 842 ล้านบาท โดยมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นกว่า 7.2 พันล้านบาท

     ที่สำคัญ AOT ยังลงทุนในธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น บริษัท โรงแรมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำกัด, บริษัท ไทยเชื้อเพลิงการบิน จํากัด, บริษัท ครัวการบินภูเก็ต จํากัด, บริษัท ดอนเมือง อินเตอร์เนชั่นแนล (กิจการโรงแรม) เป็นต้น

 

12. บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

หมวด: ธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

มูลค่า 50,381 ล้านบาท

     เดลต้า ถือเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมธุรกิจด้านการจัดการพลังงานและการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มีโรงงานในไทย อินเดีย และสโลวาเกีย โดยครองแชมป์ในหมวดนี้ติดต่อกัน 3 สมัย

 

13. บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด

หมวด: เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

มูลค่า 182,151 ล้านบาท

     นับว่าเป็นธุรกิจเทเลคอมรายใหญ่ที่ปรับตัวตามกระแสสังคมโลกได้ฉับไว และสนใจลงทุนในธุรกิจและเทคโนโลยีใหม่ โดยตั้งงบกว่า 250 ล้านบาทเพื่อลงทุนในบริการดิจิทัล Internet of Things และ Big Data

 

5 แบรนด์ไทยที่มีมูลค่าสูงสุดติดต่อกัน 5 ปี (Thailand’s Top Corporate Brand Value Hall of Fame)

     นอกจากนี้ ปีนี้ยังเป็นปีแรกที่ทางผู้จัดงานได้มอบรางวัลเกียรติยศ ‘Thailand’s Top Corporate Brand Values Hall of Fame 2017’ ให้แก่องค์กรที่มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุดต่อเนื่อง 5 ปี ได้แก่

 

 

1. บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน)

     กลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค หมวดธุรกิจแฟชั่น

2. ธนาคารไทยพาณิชย์

     กลุ่มอุตสาหกรรมการเงิน หมวดธุรกิจ ธนาคาร

3. บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

     กลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุตสาหกรรม หมวดธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์

4. บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)

     กลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดธุรกิจ วัสดุก่อสร้าง

5. บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส

     กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี หมวดธุรกิจ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

 

ภาพประกอบ: Karin Foxx

อ้างอิง:

The post รู้จัก 10 แบรนด์ไทยที่มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุดในปี 2017 appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/top-valuable-brands-2017/feed/ 0
‘เมื่อดวงตาถูกใช้ช่วยเเทนการสื่อสาร’ รู้จัก SenzE นวัตกรรมช่วยเหลือผู้ป่วยทุพพลภาพและสื่อสารลำบาก https://thestandard.co/senze-eyetrackingsystem/ https://thestandard.co/senze-eyetrackingsystem/#respond Sat, 12 Aug 2017 12:23:06 +0000 https://thestandard.co/?p=20211

     จากสถิติข้อมูลล่าสุดที่จัดเก็บโดยกร […]

The post ‘เมื่อดวงตาถูกใช้ช่วยเเทนการสื่อสาร’ รู้จัก SenzE นวัตกรรมช่วยเหลือผู้ป่วยทุพพลภาพและสื่อสารลำบาก appeared first on THE STANDARD.

]]>

     จากสถิติข้อมูลล่าสุดที่จัดเก็บโดยกระทรวงสาธารณสุขเมื่อปี 2557 พบว่าประเทศไทยมีผู้ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ประมาณ 500,000 ราย และมียอดผู้เสียชีวิตจากโรคดังกล่าวมากถึง 25,000 คน ขณะที่โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) ซึ่งแม้จะมีโอกาสเป็นได้น้อยกว่า แต่หนทางการรักษาให้หายเป็นปกติก็ค่อนข้างริบหรี่

     ที่สำคัญผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองหรืออัมพาต และโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงส่วนใหญ่ยังต้องเผชิญสภาวะการสูญเสียความสามารถทางการเคลื่อนไหวร่างกายหรือแม้แต่ ‘การสื่อสาร’ ที่ผู้ป่วยบางรายไม่สามารถพูดคุยได้เลย ทำให้พวกเขาไม่สามารถดำเนินกิจวัตรประจำวันได้เฉกเช่นคนปกติทั่วไป

 

 

     เมื่อเข้าใจถึงปัญหาและอยากเป็นส่วนหนึ่งของการหาทางออก เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว เพียร์-ปิยะศักดิ์ บุญคมรัตน์ จึงหันมาพัฒนานวัตกรรมช่วยเหลือผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวด้วยเทคโนโลยี Eye Tracking System จนเกิดเป็น ‘SenzE’ เครื่องมือช่วยเหลือผู้ป่วยเพื่อการสื่อสารโดยควบคุมผ่านดวงตา

     THE STANDARD ชวนคุณมาทำความรู้จักกับ SenzE ภายใต้การพัฒนาของปิยะศักดิ์และบริษัท เมดิเทค โซลูชั่น จำกัด (Meditech Solution) เพื่อค้นหาที่มา แรงบันดาลใจ และโอกาสของการได้ช่วยเหลือผู้ป่วยหลายๆ รายไปพร้อมๆ กัน

 

จากความต้องการอยากช่วยเหลือคุณพ่อของเพื่อนขยายสู่โอกาสช่วยเหลือผู้ป่วยอีกหลายแสนคน

     เดิมทีปิยะศักดิ์ประกอบธุรกิจในนามบริษัท บางกอก เว็บโซลูชั่น จำกัด ซึ่งดำเนินกิจการรับออกแบบเว็บไซต์ พัฒนาระบบ e-Learning และซอฟต์แวร์ให้กับหน่วยงานชั้นนำต่างๆ เป็นส่วนใหญ่ กระทั่งวันหนึ่งในปี 2555 หลังจากที่เพื่อนของเขาได้เข้ามาขอคำปรึกษาเพราะต้องการช่วยเหลือคุณพ่อที่ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงให้กลับมาสื่อสารได้อีกครั้ง เขาจึงหันเหความสนใจทั้งหมดมามุ่งเป้าหมายพัฒนานวัตกรรมเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ไม่สามารถสื่อสารได้ด้วยตัวเอง

     ปิยะศักดิ์ตั้งข้อสังเกตว่าคงมีผู้ป่วยเพียงไม่กี่รายบนโลกใบนี้ที่สามารถใช้กล้ามเนื้อบนใบหน้าถ่ายทอดออกมาเป็นประโยคคำพูดเหมือนที่ สตีเฟน ฮอว์คิง (Stephen Hawking) นักฟิสิกส์ทฤษฎีและนักจักรวาลวิทยาชื่อดัง ซึ่งป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงสามารถทำได้ และเมื่อผู้ป่วยสูญเสียทักษะการพูดโดยสิ้นเชิง ทักษะการได้ยินและการมองเห็นก็น่าจะยังใช้การได้อยู่ ฉะนั้นแล้วความสามารถในการควบคุมดวงตาที่ยังไม่เสื่อมสภาพก็น่าจะพอต่อยอดสร้างประโยชน์ได้บ้าง

     “ผมค้นพบว่าในประเทศสหรัฐอเมริกาและสวีเดนมีการนำเทคโนโลยีการตรวจจับความเคลื่อนไหวของดวงตา (Eye Tracking System) มาใช้ช่วยเหลือผู้ป่วยด้านการสื่อสาร เลยคิดที่จะนำเข้าเทคโนโลยีดังกล่าวแล้วเขียนโปรแกรมให้เป็นภาษาไทย แต่ก็แอบรู้สึกว่าบางทีเราอาจจะต่อยอดมันได้มากกว่านั้น ผมจึงนำแนวคิดและเทคโนโลยีนี้ไปปรึกษากับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) และได้รับคำแนะนำว่าเป็นไอเดียที่น่าสนใจ เป็นประโยชน์ไม่น้อย ประกอบกับช่วงเวลาดังกล่าวยังไม่เคยมีผู้ประกอบการรายใดในไทยนำโปรเจกต์ที่ใกล้เคียงกันมาปรึกษาเลย ผมจึงอาสาขอลองทำโดยได้งบประมาณในการพัฒนาจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

     “เราใช้ระยะเวลาพัฒนาฮาร์ดแวร์ดังกล่าวและการวิจัย-พัฒนา (R&D) นานถึง 8 เดือน ก่อนจะได้เป็น SenzE อุปกรณ์ช่วยสื่อสารทางสายตา (ตาทำหน้าที่เสมือนเมาส์ เมื่อกะพริบตาจะเท่ากับการกดคลิก) ผ่านการเขียนโปรแกรมบนเครื่องคอมพิวเตอร์และกล้องเว็บเเคมที่ใช้ตรวจจับการเคลื่อนไหวของดวงตา หลังจากนั้นก็เริ่มนำอุปกรณ์รุ่นโปรโตไทป์เข้าไปขออนุญาตทดลองผลการใช้งานทางคลินิก Clinical Trials ที่สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ ผู้ป่วยจริง และผ่านการทดสอบครบถ้วนทุกขั้นตอน”  ปิยะศักดิ์กล่าว

 

 

แพทย์ชี้ช่วยลบข้อจำกัดด้านการสื่อสารของผู้ป่วยซึ่งเดิมทีต้องใช้ ‘บัตรคำ’

     อาจกล่าวได้ว่า SenzE คือการทลาย Pain Point หรือปัญหาด้านการสื่อสารที่เกิดขึ้นเรื้อรังในผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ผู้ป่วยอัมพาต ฯลฯ อย่างเเท้จริง เพราะหลังจากที่เเพทย์จำนวนหนึ่งได้ทดสอบอุปกรณ์ดังกล่าวผ่านการใช้งานในห้องปฏิบัติการหรือกับผู้ป่วยจริง พวกเขาก็ลงความเห็นในทิศทางเดียวกันว่านวัตกรรมนี้มีประสิทธิภาพในการใช้งานสูง และไม่เป็นอันตรายกับตัวผู้ใช้แต่อย่างใด

     ปิยะศักดิ์บอกว่า “ในตอนนั้นคุณหมอหัวหน้าภาควิชาประจำสถาบันประสาทวิทยาได้เข้ามาดูแลการทดสอบด้วยตัวเอง เพราะตื่นเต้นกับตัวเทคโนโลยี เขาบอกว่าเดิมทีเวลาจะรักษาหรือดูแลผู้ป่วยก็ต้องใช้บัตรคำแทนการสื่อสารตลอด ผู้ป่วยจะต้องเปิดบัตรคำจำนวนกว่า 100 ใบเพื่อสื่อสารความต้องการของตนออกมาเช่น อยากเข้าห้องน้ำ, ทานอาหาร, อยากพลิกตัว, เจ็บปวดส่วนใดของร่างกาย ซึ่งทำให้เสียเวลาและไม่รู้ว่าสิ่งที่ผู้ป่วยต้องการจะอยู่ที่บัตรเบอร์อะไร และบางทีบัตรคำเองก็อาจจะไม่มีสิ่งที่ผู้ป่วยต้องการเลยก็ได้

     “เเพทย์หลายท่านลงความเห็นหลังจากที่ทดลองวิจัยและใช้งาน SenzE กับผู้ป่วยจริงว่า เป็นอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยกับตัวผู้ป่วย ขณะที่ผู้ป่วยจำนวนกว่า 70% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุก็สามารถใช้งานได้อย่างไร้ปัญหาตั้งแต่เวอร์ชันโปรโตไทป์ สะท้อนให้เห็นว่านวัตกรรมของเราไม่ได้ถูกต่อต้านจากผู้ที่อาจจะไม่ได้สนใจเทคโนโลยี เพราะเขามองอุปกรณ์ของเราเป็นโอกาสที่จะช่วยให้กลับมาสื่อสารได้อีกครั้ง หลังจากนั้นเป็นต้นมาผมก็เริ่มนำอุปกรณ์ไปเดินสายประกวดตามเวทีต่างๆ และได้รับการร่วมทุนจากบริษัทหลายๆ แห่ง”

     ให้หลัง 8 เดือน Meditech Solution ก็พัฒนา SenzE เวอร์ชันเเรกสำเร็จจนสามารถวางขายในท้องตลาดได้ในราคาประมาณ 180,000 บาท (ถูกกว่าต่างประเทศที่ขายในราคา 300,000 บาทและยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยเครื่องรองรับภาษาไทยและอังกฤษ และในช่วงระยะเวลา 5 ปีหลังสุด พวกเขาก็สามารถพัฒนา SenzE ออกมาได้มากถึง 4 รุ่นแล้ว

 

 

นวัตกรรมช่วยสานต่อรอยยิ้มและเสริมสร้างกำลังใจที่ดีสู่ผู้ป่วย

     สำหรับ SenzE เวอร์ชัน 4 ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดมาพร้อมกับความสามารถที่ครบครันรอบด้าน ทั้งฟีเจอร์ระบบแปลภาษา (ผ่าน Google), ระบบไลฟ์แชตเเละมอนิเตอร์แบบเรียลไทม์บนตัวแอปพลิเคชันของผู้ดูแลและเเพทย์, ความสามารถในการท่องอินเทอร์เน็ตและโซเชียล (เฟซบุ๊ก, ยูทูบ, เว็บไซต์ทั่วไป), ระบบสัญญาณเตือนฉุกเฉิน, รองรับภาษาในการใช้งานได้ 17 ภาษา

     นอกจากนี้ชุดคำสั่งการสื่อสารทั้งหมด 6 หมวดหมู่ได้แก่ ความรู้สึก, ​ความต้องการ,​ อาหารและเครื่องดื่ม, คีย์บอร์ดสนทนา, ความบันเทิงและกิจกรรม ก็สามารถปรับเพิ่มลดได้ตลอดเวลาตามพฤติกรรมและลักษณะนิสัยของผู้ใช้งาน (ผู้ป่วย) ในหมวดความรู้สึกสามารถบอกอาการเจ็บปวดในตำแหน่งต่างๆ ตามระดับที่รู้สึกได้, หมวดอาหารสามารถบอกเมนูที่อยากทานและรสชาติที่ต้องการ ด้านการใช้งาน จากเดิมที่ต้องกะพริบตา 2 ครั้ง เพื่อเเทนการกดคลิกก็ถูกเปลี่ยนมาใช้การมองจ้องเป็นระยะเวลา 2 วินาทีแทนเพื่อให้ใช้งานง่ายขึ้น (ปรับเพิ่มระยะเวลาได้ตามความเหมาะสม) สนนราคาเครื่องคอมพิวเตอร์ 240,000 บาท ส่วนเเท็บเล็ตจะอยู่ที่ 60,000 บาท

     ปิยะศักดิ์บอกกับเราว่า “ส่วนใหญ่แล้วญาติและผู้ดูแลจะเป็นคนฟีดแบ็กผลการใช้งานกลับมาให้เรา และก็มีหลายเคสที่เราได้เห็นผลการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเขาอย่างชัดเจน อย่างเคสอาม่ารายหนึ่งซึ่งป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่จังหวัดชลบุรี จากเดิมที่ไม่เคยมีความสุขและรอยยิ้ม หรือแม้แต่กำลังใจในการใช้ชีวิต กระทั่งได้ลองใช้อุปกรณ์ของเรา ผู้ดูแลก็เล่าให้เราฟังว่าอาม่าเริ่มพูดคุยกับลูกหลานได้มากขึ้น ส่วนเราก็ได้เห็นรอยยิ้ม ความหวัง และกำลังใจของเขา
     “ส่วนเคสล่าสุดของอาจารย์แพทย์ท่ีโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ก็ใช้อุปกรณ์ของเราในการรักษาและดูผู้ป่วยต่ออีกที ทั้งๆ ที่ตัวเขาป่วยอยู่บนเตียงและไม่สามารถพูดได้เลยด้วยซ้ำ มีผู้ป่วยและแพทย์จำนวนไม่น้อยเลยที่มาขอบคุณนวัตกรรมของเรา เพราะเป็นส่ิงที่พวกเขารอคอยกันมานาน และจนถึงทุกวันนี้ก็ยอมรับว่ามันมาไกลพอสมควรนะครับ ผมเองก็ไม่คิดว่าเราจะพัฒนามาถึงขนาดนี้ได้”

 

 

โจทย์ใหญ่คือการแก้อุปสรรคด้านราคาและการเจาะกลุ่มผู้ใช้งานทางบ้าน (Home Users) ให้มากขึ้น

     ปัจจุบัน SenzE มียอดผู้ใช้งานแบบ Active Users ไม่เกิน 100 ราย แบ่งเป็นสัดส่วนการใช้งานตามโรงพยาบาล 60% และผู้ใช้งานทั่วไป 40% โดยในช่วงระยะเเรกๆ พวกเขาอาศัยการวิ่งเข้าไปตามโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อแนะนำนวัตกรรมนี้ และยังได้รับโอกาสจากการร่วมงานกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติและ ‘Intouch’ ในนาม AIS ทำโปรเจกต์เพื่อซื้ออุปกรณ์เวอร์ชันแรกทั้งหมด 30 เครื่องไปบริจาคให้โรงพยาบาลรัฐบาลจำนวน 10 แห่ง ส่วนเวอร์ชันล่าสุดโรงพยาบาลอย่างบำรุงราษฎร์, กรุงเทพ, ปิยะเวท, พญาไท, เปาโล และวิชัยยุทธ ก็เริ่มนำอุปกรณ์เข้าไปทดลองใช้กับผู้ป่วยจริงแล้ว โดยมีโรงพยาบาลบางแห่งที่อยู่ในขั้นตอนพิจารณาการจัดซื้ออยู่

     อย่างไรก็ดีปัญหาสำคัญคือราคาวางจำหน่ายที่ยังคงสูงเกินไปเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ตัวผู้ป่วยต้องแบกรับ (ราคาเครื่อง 240,000 บาท) ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีโครงการบริจาคอุปกรณ์สำหรับผู้ป่วยที่มีความต้องการใช้ หรือโปรโมชันผ่อน 0% เป็นระยะเวลา 10 เดือน, ให้เช่า 8,500 บาทต่อเดือน และลดราคาตามสเปกที่ไม่ต้องการ กระนั้นอุปสรรคด้านราคาและการไม่สามารถบริจาคเป็นจำนวนมากได้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ SenzE ยังคงเข้าถึงผู้ป่วยตามครัวเรือนได้ยากอยู่

     ต่อประเด็นดังกล่าว ปิยะศักดิ์บอกว่า “เราวางแผนไว้ว่าเครื่อง SenzE เวอร์ชันล่าสุดจะทำงานร่วมกับเว็บไซต์ ‘เทใจ’ ที่ดำเนินการระดมทุนเเบบ Crowdfunding กับโรงพยาบาลรัฐบาล 5 แห่ง ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยอัมพาต, ผู้ป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแรง, ผู้ป่วย ICU, ผู้ป่วยบาดเจ็บกระดูกสันหลัง รวมถึงผู้ป่วยนอนติดเตียงสามารถใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์ของเราได้ นอกจากนี้ก็พยายามพูดคุยกับหน่วยงานหลายๆ แห่งเหมือนกัน เช่น ปลัดกระทรวงคมนาคมและกองทุนความปลอดภัยด้านการใช้รถใช้ถนนเพื่อหาลู่ทางการนำเงินรายได้จากการประมูลทะเบียนเลขสวยมาต่อ
ยอดซื้อ SenzE ไปบริจาคให้กับผู้ป่วย ซึ่งเขาก็โอเคเพราะมองว่ามันเป็นประโยชน์ เราพยายามจะผลักดันนวัตกรรมของเราเข้าไปกับหน่วยงานพวกนี้มากขึ้น

     “หากมองในแง่การพัฒนาเทคโนโลยี ผมมองว่าเราทำสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว แต่ในแง่ของการขายก็ยังคงต้องทำการบ้านอีกเยอะ โจทย์สำคัญคือการทำให้เทคโนโลยีของเราเป็นที่รู้จักกว้างขวางกับผู้ใช้ทั่วไปจากทางบ้านมากกว่านี้ เพราะก่อนหน้านี้เรามุ่งให้ความสำคัญกับตัวโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์เป็นส่วนใหญ่มากกว่า

     “ส่วนในอนาคตเรามองถึงโอกาสการไปบุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากยังไม่ค่อยพบเห็นเทคโนโลยีแบบนี้ในเอเชียมากนัก จะมีก็แค่ในญี่ปุ่นหรือเกาหลีที่ Samsung พัฒนาหลังจากเรา 2 ปีเพื่อการกุศล ส่วนสหรัฐอเมริกา แคนนาดา สวีเดน เยอรมัน เดนมาร์ก ก็มีการใช้นวัตกรรมเหล่านี้เช่นกัน ซึ่งในอาเซียนน่าจะมีแค่เราเพียงเจ้าเดียว ดังนั้นเวลาที่นำ SenzE ไปออกบูธในสิงคโปร์, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย ก็จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนในประเทศเขามาก แต่ก็คงต้องหาตัวแทนจำหน่ายและพาร์ตเนอร์ให้ได้เสียก่อน”

     ในวันที่ไม่สามารถสื่อสารด้วยคำพูดหรือท่าทางการเคลื่อนไหวเพื่อบอกความรู้สึก อารมณ์หรือความต้องการได้อีกต่อไป อย่างน้อยที่สุด SenzE ก็น่าจะช่วยเหลือผู้ป่วยทุพพลภาพให้กลับมาสื่อสารและมอบกำลังใจที่งดงามให้กับพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง

     ถ้าคุณสนใจอยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้ป่วยให้กลับมาสื่อสารได้อีกครั้ง สามารถติดตามโปรเจกต์การระดมทุนเพิ่มเติมได้ที่ taejai.com/en หรือ www.meditechsolution.com

The post ‘เมื่อดวงตาถูกใช้ช่วยเเทนการสื่อสาร’ รู้จัก SenzE นวัตกรรมช่วยเหลือผู้ป่วยทุพพลภาพและสื่อสารลำบาก appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/senze-eyetrackingsystem/feed/ 0