โรคความจำเสื่อม – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 24 Mar 2021 09:24:48 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 พรีเมียร์ลีกเตรียมเปิดเผยผลการศึกษา ‘โรคความจำเสื่อมในนักฟุตบอล’ อาจจำกัดจำนวนการโหม่งบอล https://thestandard.co/premier-prepare-to-unveil-player-amnesia/ Wed, 24 Mar 2021 09:24:48 +0000 https://thestandard.co/?p=468438 พรีเมียร์ลีกเตรียมเปิดเผยผลการศึกษา ‘โรคความจำเสื่อมในนักฟุตบอล’ อาจจำกัดจำนวนการโหม่งบอล

พรีเมียร์ลีกเตรียมเปิดเผยผลการศึกษาเกี่ยวกับปัญหาของโรค […]

The post พรีเมียร์ลีกเตรียมเปิดเผยผลการศึกษา ‘โรคความจำเสื่อมในนักฟุตบอล’ อาจจำกัดจำนวนการโหม่งบอล appeared first on THE STANDARD.

]]>
พรีเมียร์ลีกเตรียมเปิดเผยผลการศึกษา ‘โรคความจำเสื่อมในนักฟุตบอล’ อาจจำกัดจำนวนการโหม่งบอล

พรีเมียร์ลีกเตรียมเปิดเผยผลการศึกษาเกี่ยวกับปัญหาของโรคความจำเสื่อมในหมู่นักฟุตบอลว่ามีความเชื่อมโยงกับการโหม่งบอลหรือไม่ ขณะที่คณะทำงานของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (FA) มีคำแนะนำให้จำกัดจำนวนการโหม่งในระหว่างการซ้อมลง

 

จากความสูญเสียของนักฟุตบอลในอดีตจำนวนมากที่ต้องเสียชีวิตหรือได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคความจำเสื่อม ซึ่งปีกลายวงการฟุตบอลอังกฤษสูญเสีย น็อบบี สไตล์ส ตำนานทีม ‘สิงโตคำราม’ ชุดแชมป์ฟุตบอลโลก ซึ่งเป็น 1 ใน 5 คนที่เสียชีวิตจากโรคนี้ และยังมีข่าวร้ายเมื่อ เซอร์ บ็อบบี ชาร์ลตัน ยอดศูนย์หน้าของทีมยุคเดียวกันป่วยเป็นโรคความจำเสื่อมเช่นกัน ทำให้มีการเรียกร้องให้วงการฟุตบอลหาคำตอบอย่างจริงจังว่าการโหม่งบอลมีส่วนทำให้เกิดโรคนี้หรือไม่

 

สำหรับการศึกษาในเรื่องนี้ ทางด้านพรีเมียร์ลีกได้ทำการศึกษาโดยมีการตรวจวัดแรงปะทะที่เกิดขึ้นจากการโหม่งหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการโหม่งบอลในระยะสั้น การโหม่งระยะยาว โหม่งจากลูกเปิดจากริมเส้น หรือการโหม่งจากลูกเตะจากประตู ซึ่งคาดว่าข้อสรุปจากเรื่องนี้ที่จะออกมาในวันศุกร์นี้จะนำไปสู่แนวทางในการปฏิบัติเรื่องของการจำกัดจำนวนครั้งในการโหม่งในระหว่างการฝึกซ้อม โดยเฉพาะในการฝึกซ้อมการโหม่งเฉพาะที่จะส่งผลกระทบต่อศีรษะมากที่สุด

 

ด้าน FA โดย ดร.ชาร์ล็อตต์ โควี หัวหน้าแพทย์ของ FA เปิดเผยต่อทางด้านกระทรวงดิจิทัล วัฒนธรรม สื่อ และกีฬา (DCMS) ของอังกฤษ ว่าคณะทำงานเฉพาะกิจที่เกิดจากการรวบรวมบุคลากรในวงการกีฬาและวงการแพทย์ได้มีคำแนะนำอย่างเป็นทางการในการลดจำนวนการโหม่งในเกมฟุตบอล

 

โควีเผยว่า “คำแนะนำที่เราได้รับจากการศึกษาของคณะทำงานเฉพาะกิจ ซึ่งเป็นคณะทำงานอิสระ คือเราควรจะลดจำนวนการโหม่งในเกมฟุตบอลลง เราเห็นตรงกันในเรื่องนี้ ไม่มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการลดจำนวนของการโหม่งในเกมลง โดยการโหม่งหลักๆ จะเกิดขึ้นในการซ้อม ดังนั้น การจำกัดจำนวนในการซ้อมและประเภทของการโหม่งคือทิศทางที่เราต้องการจะเดินไปต่อ และเราก็ได้ดำเนินการแล้วในเกมระดับเยาวชน

 

“สิ่งสำคัญสำหรับการศึกษาคือเรื่องของแรงปะทะจากการโหม่งในแต่ละรูปแบบ ซึ่งจะช่วยทำให้เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เช่น ในจำนวนการโหม่ง 20 ครั้ง การโหม่งบอลจากระยะสั้นย่อมไม่เหมือนกับการโหม่งบอลจากระยะยาว หรือการโหม่งลูกที่ถูกเตะเปิดโด่งขึ้นมา การโหม่งบอลระยะยาว 10 ครั้ง อาจจะเท่ากับการโหม่งระยะสั้น 20 ครั้ง

 

“พวกเราต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยก่อนที่เราจะวางกฎสำหรับเกมฟุตบอลอาชีพ แต่เรามีความตั้งใจที่จะทำเช่นนั้น รวมถึงในเกมฟุตบอลระดับรากหญ้าของผู้ใหญ่ด้วย”

 

ด้าน คริส ซัตตัน อดีตศูนย์หน้าทีมชาติอังกฤษของทีมนอริช ซิตี้, แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส และกลาสโกว์ เซลติก ได้แจ้งต่อคณะกรรมการว่าสโมสรฟุตบอลควรจะจำกัดจำนวนการโหม่งในการซ้อมให้สูงสุดได้แค่ 20 ครั้งต่อการซื้อแต่ละมื้อ และควรจะมีการกำหนดการเว้นเวลาขั้นต่ำ 48 ชั่วโมงในระหว่างการซ้อมโหม่งเฉพาะเหล่านั้น

 

“เราไม่จำเป็นจะต้องมาประชุมกันซ้ำแล้วซ้ำอีกในเรื่องนี้ เรื่องนี้มันควรจะต้องเกิดขึ้นทันที” ซัตตันกล่าว “มีนักฟุตบอลในอดีตเป็นร้อยหรือเป็นพันคนที่เสียชีวิตจากโรคความจำเสื่อม ถ้าเราไม่จำกัดมันตั้งแต่ตอนนี้ ก็จะมีคนอีกเป็นร้อยเป็นพันคนที่จะตายในอนาคต”

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

อ้างอิง:

The post พรีเมียร์ลีกเตรียมเปิดเผยผลการศึกษา ‘โรคความจำเสื่อมในนักฟุตบอล’ อาจจำกัดจำนวนการโหม่งบอล appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เซอร์อเล็กซ์’ ขึ้นเวทีร่วมกับ ‘คิงเคนนี’ และแกเร็ธ เซาธ์เกต ในงานการกุศลระดมทุนสู้โรคความจำเสื่อม https://thestandard.co/sir-alex-ferguson-kenny-dalglish-and-gareth-southgate-join-charity-event-against-dementia/ Tue, 05 Jan 2021 07:32:14 +0000 https://thestandard.co/?p=439433 เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

เพราะการแข่งขันในสนามไม่ได้มีความหมายมากไปกว่าชีวิต จึง […]

The post ‘เซอร์อเล็กซ์’ ขึ้นเวทีร่วมกับ ‘คิงเคนนี’ และแกเร็ธ เซาธ์เกต ในงานการกุศลระดมทุนสู้โรคความจำเสื่อม appeared first on THE STANDARD.

]]>
เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

เพราะการแข่งขันในสนามไม่ได้มีความหมายมากไปกว่าชีวิต จึงนำไปสู่การจับมือกันของสองอดีตผู้จัดการทีมผู้ยิ่งใหญ่ของสองทีมที่เป็นคู่ปรับตลอดกาลอย่าง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ เซอร์เคนนี ดัลกลิช รวมถึง แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษคนปัจจุบันร่วมจัดงานการกุศลเพื่อระดมทุนช่วยเหลือในการต่อสู้กับโรคความจำเสื่อม

 

ปัญหาเรื่องโรคความจำเสื่อมในหมู่นักฟุตบอลได้ถูกยกระดับการรับรู้อย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อปีกลายที่วงการฟุตบอลต้องสูญเสียยอดนักเตะระดับตำนานทีมชาติอังกฤษชุดแชมป์ฟุตบอลโลกอย่าง น็อบบี สไตล์ส ซึ่งเป็นผู้เล่นคนที่ 5 ของชุดแชมป์ในปี 1966 ที่เสียชีวิตด้วยโรคนี้ และยังมี เซอร์บ็อบบี ชาร์ลตัน ที่ถูกตรวจพบว่าป่วยเป็นโรคนี้เป็นรายล่าสุด

 

ด้วยเหตุนี้ทำให้มีการคิดที่จะจัดงานการกุศลแบบออนไลน์ขึ้นโดยมีผู้ร่วมดำเนินรายการ 3 คนได้แก่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดผู้จัดการทีมที่เก่งที่สุดตลอดกาล, เซอร์เคนนี ดัลกลิช หรือ ‘คิง เคนนี’ ราชาแห่งทีมลิเวอร์พูล ผู้ประสบความสำเร็จมหาศาลทั้งในฐานะนักฟุตบอลและในฐานะผู้จัดการทีม และ แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีม ‘สิงโตคำราม’ คนปัจจุบัน และมี เคลลี เคทส์ พิธีการสาวเป็นผู้ดำเนินรายการ

 

เซอร์เคนนีกล่าวถึงปัญหาเรื่องโรคความจำเสื่อมในหมู่อดีตนักกีฬาระดับชั้นนำที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคนี้ “คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักฟุตบอลก็สามารถเจ็บป่วยด้วยโรคนี้ได้ ซึ่งผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือเท่าที่ผมสามารถช่วยได้”

 

“กลุ่มคนเหล่านี้ต้องการการสนับสนุน แต่ผมคิดว่าการหาให้ได้ว่ามีความเชื่อมโยงกันระหว่างการเล่นฟุตบอลกับโรคความจำเสื่อมนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญ มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับอดีตนักฟุตบอลที่เราได้เห็น ซึ่งการค้นคว้าวิจัยเพิ่มเติมเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง”

 

เซอร์เคนนียังกล่าวถึงความสัมพันธ์กับเซอร์อเล็กซ์ที่เป็นนายใหญ่ของทีมคู่ปรับตลอดกาลที่จะได้ขึ้นเวทีเดียวกันว่า “ความเป็นคู่แข่งของเรานั้นอยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่จำเป็น ซึ่งสำหรับเราทั้งสองคนก็มีเพียงแค่เรื่องของการปกป้องสโมสรของเราเอง

 

“เราไม่เคยมีความบาดหมางอะไรกันมากกว่านั้น มีเพียงแค่ความเคารพที่มีให้แก่กัน พวกเรามักจะดื่มไวน์กันหลังจบเกมและเราก็ส่งจดหมายหากันเพื่อแสดงความยินดีหากอีกฝ่ายประสบความสำเร็จอะไรสักอย่าง ตลอดหลายปีที่ผ่านมามีหลายครั้งมากที่เขาให้กำลังใจผม และผมก็ให้กำลังใจเขาเช่นกัน ในโอกาสนี้จึงเป็นเรื่องดีที่เราจะได้ทำอะไรที่มีความหมายด้วยกัน”

 

แฟนๆ สามารถซื้อบัตรผ่านออนไลน์เพื่อชมอีเวนต์ที่จะมีขึ้นในวันที่ 15 มกราคมนี้ทาง www.LockdownTheatre.net โดย เทรเวอร์ อีสต์ ผู้จัดซึ่งเป็นผู้บริหารของสโมสรพลีมัธ อาไกล์ และอดีตผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ หวังว่าจะสามารถหารายได้จากกิจกรรมนี้มากกว่า 6 หลัก ซึ่งจะถูกนำไปมอบให้แก่องค์กร the Alzheimer’s Society’s Sport United Against Dementia ที่เป็นกำลังสำคัญในกาต่อสู้กับปัญหาโรคความจำเสื่อมในหมู่นักกีฬา และสมาคมผู้จัดการทีมลีก (LMA) ที่จะให้ความช่วยเหลือสมาชิกขององค์กรที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคความจำเสื่อม ทั้งในแง่ของกำลังใจและในแง่ของความเป็นอยู่ที่ดี รวมถึงการสนับสนุนงบประมาณโครงการ SCORES ที่มีเป้าหมายในการศึกษาเพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมอดีตนักฟุตบอลจึงมีความเสี่ยงสูงเกี่ยวกับปัญหาความเสื่อมของระบบประสาทเมื่อมีอายุมากขึ้น

 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า 

อ้างอิง:

The post ‘เซอร์อเล็กซ์’ ขึ้นเวทีร่วมกับ ‘คิงเคนนี’ และแกเร็ธ เซาธ์เกต ในงานการกุศลระดมทุนสู้โรคความจำเสื่อม appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตำนาน ‘ปีศาจแดง’ เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ถูกตรวจพบเป็นโรคความจำเสื่อม https://thestandard.co/bobby-charlton-found-amnesia/ Mon, 02 Nov 2020 04:07:15 +0000 https://thestandard.co/?p=415406 ตำนาน ‘ปีศาจแดง’ เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ถูกตรวจพบเป็นโรคความจำเสื่อม

เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน นักฟุตบอลที่ได้รับการยกย่องว่ายิ […]

The post ตำนาน ‘ปีศาจแดง’ เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ถูกตรวจพบเป็นโรคความจำเสื่อม appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตำนาน ‘ปีศาจแดง’ เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ถูกตรวจพบเป็นโรคความจำเสื่อม

เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน นักฟุตบอลที่ได้รับการยกย่องว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศอังกฤษและทีม ‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่ามีอาการของโรคความจำเสื่อม

 

อาการป่วยของตำนานตลอดกาลของอังกฤษในวัย 83 ปีได้รับการเปิดเผยเป็นครั้งแรกจาก เลดี้ นอร์มา ชาร์ลตัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สังคมตระหนักถึงโรคความจำเสื่อมที่มีส่วนคร่าชีวิตของนักฟุตบอลในระดับตำนานหลายคน รวมถึง น็อบบี้ สไตล์ส อดีตขุนพลทีมชาติอังกฤษชุดแชมป์โลก ปี 1966 ที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และแจ็ค ชาร์ลตัน พี่ชายของเซอร์ บ็อบบี้ ที่เพิ่งเสียชีวิตในวัย 85 ปีด้วยโรคความจำเสื่อมและโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

 

ทางด้านแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเซอร์ บ็อบบี้ รับใช้สโมสรเป็นเวลานานถึง 17 ปี พาทีมพิชิตแชมป์ลีก 3 สมัย แชมป์ยูโรเปียนคัพ 1 สมัย และเป็นทีมแรกจากอังกฤษที่ทำได้ รวมถึงแชมป์เอฟเอคัพ ออกแถลงการณ์ในเรื่องนี้ว่า “ทุกคนที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รู้สึกโศกเศร้ากับอาการป่วยของเซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน และเราจะขอส่งความรักและกำลังใจให้แก่เซอร์ บ็อบบี้ และครอบครัว” นอกจากนี้สโมสรยืนยันว่าตำแหน่งในบอร์ดบริหารของเซอร์ บ็อบบี้ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง

 

ขณะที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ดาวยิงรุ่นปัจจุบันส่งกำลังใจผ่านข้อความถึงตำนานผู้ยิ่งใหญ่ว่า “ขอให้เข้มแข็ง พวกเรารักคุณ”

 

เมื่อปีกลายมีการเปิดเผยผลการศึกษาเรื่องโรคความจำเสื่อมโดย ดร.วิลลี่ สจวร์ต แพทย์ผู้เชี่ยวชาญประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ พบว่ามีนักฟุตบอลจำนวนถึง 7,676 คนที่เล่นฟุตบอลอาชีพในระหว่างปี 1900-1976 ที่ป่วยเป็นโรคนี้ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมากเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ป่วยโรคความจำเสื่อมทั่วไปที่มีจำนวน 23,000 คน

 

ผลการศึกษานี้เกิดขึ้น 17 ปีหลังจากที่ เจฟฟ์ อัสเซิล อดีตนักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษและเวสต์ บรอมวิช อัลเบียน เสียชีวิตด้วยโรคความจำเสื่อมในวัย 59 ปี โดยมีการเปรียบโรคนี้ว่าเป็น “อาการบาดเจ็บธรรมดาในอุตสาหกรรม” ซึ่งบุตรสาวของอัสเซิลกล่าวหลังมีการเปิดเผยผลการศึกษาว่า “นักฟุตบอลที่เจ็บป่วยจากโรคความจำเสื่อมจะต้องไม่เป็นแค่สถิติ พวกเขาจะต้องไม่ถูกลืมเลือน”

 

เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 1953 ก่อนที่จะรับใช้สโมสร 17 ปี ลงเล่น 758 นัด ทำไป 249 ประตู ซึ่งเป็นสถิติที่ยืนยงยาวนาน ก่อนจะถูก ไรอัน กิกส์ และเวย์น รูนีย์ นักเตะรุ่นหลังทำลายสถิติการลงสนามและจำนวนประตู 

 

โดยในวัย 20 ปี เขาได้รอดชีวิตจากเหตุเครื่องบินตกที่มิวนิกอันเป็นสาเหตุให้ 8 ผู้เล่นของทีมเสียชีวิต ก่อนจะเป็นกำลังสำคัญในการพาทีมกลับมาครองความยิ่งใหญ่ คว้าแชมป์ยูโรเปียนคัพในปี 1968 โดยเป็นผู้ทำ 2 ประตูในรอบชิงชนะเลิศ และได้รับรางวัลบัลลงดอร์ในปี 1966 หลังพาทีมชาติอังกฤษคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยแรกและสมัยเดียวได้ และได้รับการยกย่องว่าเป็นนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศอังกฤษ

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

The post ตำนาน ‘ปีศาจแดง’ เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ถูกตรวจพบเป็นโรคความจำเสื่อม appeared first on THE STANDARD.

]]>
อาการนี้แหละใช่เลย! หลงๆ ลืมๆ ความจำเสื่อม… ฉันต้องกลัวๆ หรือเปล่า? https://thestandard.co/wellness-amnesia/ https://thestandard.co/wellness-amnesia/#respond Fri, 20 Oct 2017 05:03:28 +0000 https://thestandard.co/?p=36048

     อุ๊ย… ลืมไปว่าเมื่อเช้าก่อนออกไปทำง […]

The post อาการนี้แหละใช่เลย! หลงๆ ลืมๆ ความจำเสื่อม… ฉันต้องกลัวๆ หรือเปล่า? appeared first on THE STANDARD.

]]>

     อุ๊ย… ลืมไปว่าเมื่อเช้าก่อนออกไปทำงาน ปิดประตู ล็อกประตูบ้านเรียบร้อยแล้วหรือยัง

     เอ… เมื่อตะกี้จะพูดอะไรนะ

     อยู่ๆ ก็ลืมเฉยเลย ปากกา… ฉันเอาปากกาไปวางไว้ที่ไหน

     ตายๆ… โทรศัพท์อยู่ที่ไหน… อ๋อ ถืออยู่ในมือ

 

     เคยเป็นกันใช่ไหมครับ อาการหลงๆ ลืมๆ ไปชั่วขณะแบบนี้ เอ… นี่เป็นสัญญาณของโรคความจำเสื่อมหรือเปล่านะ หลายคนคิดว่าอาการหลงๆ ลืมๆ ลืมง่าย ลืมเก่ง เป็นอาการที่เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้สูงอายุเท่านั้น บางคนก็เชื่อว่าอาการหลงลืม เป็นสัญญาณเตือนของอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อม หลายคนสังเกตว่าหมู่นี้เราหลงลืมบ่อยเหลือเกิน เรากำลังจะสมองเสื่อมแน่ๆ เลย… ความเข้าใจนี้ถูกต้องหรือเปล่า เรามีคำตอบให้ครับ

 

สมองกับความทรงจำ

     สมองของคนเรามีระบบบันทึกความทรงจำที่ดีเยี่ยม ความจำคือการที่สมองรับรู้เรื่องราวต่างๆ และนำมาเข้ารหัสจัดเก็บเอาไว้อย่างเป็นระบบ เมื่อถึงเวลาจะใช้งานสมองก็ดึงออกมาได้ทันท่วงที เราแบ่งความจำของมนุษย์ออกเป็นสองแบบคือความทรงจำระยะสั้น (short-term memory) และความทรงจำระยะยาว (long-term memory)

     ความทรงจำระยะสั้น: เป็นความจำเฉพาะหน้ากับเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้า เช่น มีคนบอกหมายเลขโทรศัพท์ เราก็จะรีบจำแล้วจดเอาไว้ ผ่านไปวันสองวันเราก็ลืมเลขนั้นไปแล้ว เป็นต้น ความจำระยะสั้นเป็นข้อมูลชั่วคราวที่สมองของเราไม่นำไปจัดเก็บแบบถาวร ดังนั้น การที่เราจะลืมไปแล้วว่าเมื่อห้าวันก่อนเรากินอะไรเป็นอาหารมื้อเย็นจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ

     ความทรงจำระยะยาว: เป็นความจำที่สมองรู้ว่านี่คือเรื่องสำคัญ และมีการย้ายข้อมูลจากคลังชั่วคราวไปจัดเก็บเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ได้แก่ ประสบการณ์ใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เรื่องราวการเรียนรู้ต่างๆ ความสามารถในการอ่านภาษา การจดจำสูตรคณิตศาสตร์ เป็นต้น

 

หลงๆ ลืมๆ

     อาการหลงลืม (forgetting) : เกิดจากการที่สมองของเราไม่สามารถดึงเอาชุดข้อมูลที่จัดเก็บมาใช้ได้ การหลงลืมของคนส่วนมากมักเกิดกับความทรงจำระยะสั้นมากกว่าระยะยาว การที่คนเราจะเกิดการหลงลืมนั้น เนื่องมาจากสาเหตุได้หลายอย่าง เช่น การถูกรบกวนโดยสิ่งอื่นๆ ทำให้สมองไม่สามารถดึงความจำมาได้ชั่วคราว เช่น การอดนอน, การดื่มเหล้ามากๆ จนแฮง, ฤทธิ์ของยาบางประเภท

     การถูกกดเอาไว้โดยสภาวะอะไรบางอย่าง เช่น ความเครียด, สภาวะซึมเศร้า เป็นต้น เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว คุณคงพอจะมองเห็นว่าอาการหลงๆ ลืมๆ ที่เกิดขึ้นกับคนเรา มีทั้งการหลงลืมที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติ เช่น การลืมว่าวางของไว้ที่ไหน การลืมชื่อของเพื่อนคนที่เราไม่ได้เห็นหน้ามานานเป็นสิบๆ ปี และการหลงลืมที่ผิดปกติ เช่น เห็นปากกาวางอยู่ตรงหน้า แต่นึกไม่ออกว่าของสิ่งนี้ใช้ทำอะไร

หากคุณมีอาการหลงลืมเกิดขึ้น แต่เป็นการหลงลืมที่เป็นปกติ ก็ไม่ต้องตกใจไปครับ ลองสำรวจตัวเองดูว่ามีสภาวะอะไรหรือเปล่าที่ทำให้คุณเป็นแบบนั้น แต่ถ้าการหลงลืมที่เกิดขึ้นนั้นผิดปกติไปมาก และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ก็คงถึงเวลาที่จะต้องพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษา

จะทำอย่างไรเมื่อเกิดอาการหลงลืม?

     หากคุณมีอาการหลงลืมเกิดขึ้น แต่เป็นการหลงลืมที่เป็นปกติ ก็ไม่ต้องตกใจไปครับ ลองสำรวจตัวเองดูว่ามีสภาวะอะไรหรือเปล่าที่ทำให้คุณเป็นแบบนั้น แต่ถ้าการหลงลืมที่เกิดขึ้นนั้นผิดปกติไปมาก และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ก็คงถึงเวลาที่จะต้องพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษา

     อย่างไรก็ตาม หากนั่นเป็นเพียงอาการหลงลืมโดยทั่วไป เรามีเคล็ดลับช่วยบริหารความจำให้ดีขึ้น โดย Dr. Keith L. Black ศัลยแพทย์สมองชื่อดัง ผู้ก่อตั้ง Keith’s Brain Institute มาฝากให้ลองนำไปปฏิบัติดังนี้ครับ

  1. ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ มีวิจัยทางการแพทย์หลายฉบับแสดงให้เห็นว่าการออกกำลังกายช่วยให้มนุษย์มีความจำที่ดีขึ้น เลือกวิธีออกกำลังกายที่คุณจะรู้สึกสนุกกับมัน ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือแม้แต่เต้นลีลาศ
  2. เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อร่างกาย คำพูดที่ว่า You are, what you eat ยังคงเป็นจริงเสมอ ผักใบเขียว ผลไม้ เป็นสิ่งที่ไม่ควรขาดไปเลยในแต่ละมื้ออาหาร
  3. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนให้ได้ต่อเนื่องอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง จะช่วยให้สมองของคุณได้ผ่อนคลาย และมีเวลาในการจัดระบบของข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับมาในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี
  4. ตรวจสุขภาพ และดูว่าตัวเองมีปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้าง เมื่อพบก็รีบจัดการควบคุมให้อยู่ในสภาวะปกติ ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่มีผลต่อระบบความจำของร่างกายได้แก่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โคเลสเตอรอลสูง การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ อุบัติเหตุศีรษะกระทบกระแทกเป็นต้น
  1. จัดการบริหารความเครียดให้ได้ ความเครียดที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายมีความจำที่แย่ลง และหากรู้สึกว่าตนเองอาจจะมีสภาวะซึมเศร้า รีบหาทางแก้ไขโดยด่วนครับ
  2. จัดเวลาให้ได้พบปะเพื่อนฝูง และมีกิจกรรมนอกบ้านอย่างเหมาะสม การเบื่อหน่ายสังคม แยกตัวอยู่ลำพังไม่เป็นผลอันดีต่อระบบความจำของร่างกายครับ

     หากคุณมีอาการหลงๆ ลืมๆ บ่อยๆ ละก็… ลองทำตามคำแนะนำทั้งหกข้อข้างต้น เพียงไม่นานคุณจะพบว่าความจำกลับมาดีขึ้นอย่างแน่นอนครับ

     เมื่อมาถึงตรงนี้ หากคุณเกิดลืมไปแล้วว่าคำแนะนำที่เรากำลังคุยกันอยู่มีอะไรบ้าง โปรดเลื่อนหน้าจอนี้ขึ้นไป แล้วเริ่มอ่านใหม่อีกครั้งได้เลยครับ

 

อ้างอิง:

  • Hermann Ebbinghaus, Psychology: An elementary textbook. New York: Arno Press, 1906
  • Keith L Black, CogGevity – Things everyone should do for Optimal Brain health. Black’s Brain institute, 2017

The post อาการนี้แหละใช่เลย! หลงๆ ลืมๆ ความจำเสื่อม… ฉันต้องกลัวๆ หรือเปล่า? appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/wellness-amnesia/feed/ 0