โดนัลด์ ทรัมป์ – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 04 Nov 2024 06:43:14 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 วิเคราะห์โค้งสุดท้าย ‘ทรัมป์-แฮร์ริส’ ใครจะก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป ไทยได้-เสียประโยชน์แค่ไหน เรื่องอะไรบ้างที่คนไทยต้องรู้ https://thestandard.co/trump-harris-next-us-thai/ Mon, 04 Nov 2024 06:43:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1003944 วิเคราะห์โค้งสุดท้าย ‘ทรัมป์-แฮร์ริส’

เหลืออีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นก็จะถึงวันชิงชัยศึกเล […]

The post วิเคราะห์โค้งสุดท้าย ‘ทรัมป์-แฮร์ริส’ ใครจะก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป ไทยได้-เสียประโยชน์แค่ไหน เรื่องอะไรบ้างที่คนไทยต้องรู้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
วิเคราะห์โค้งสุดท้าย ‘ทรัมป์-แฮร์ริส’

เหลืออีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นก็จะถึงวันชิงชัยศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024

 

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ทางการเมืองแห่งปีที่ทั่วโลกต่างจับตาว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน หรือ คามาลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต ใครจะคว้าชัยชนะไปในครั้งนี้

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ไม่ว่าทรัมป์หรือแฮร์ริสจะก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงผู้นำของประเทศมหาอำนาจย่อมนำไปสู่การเปลี่ยนแนวทางการบริหารประเทศที่เขย่าการค้าไปทั่วโลก และมีผลต่อประเทศที่ค้าขายกับตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ เช่นเดียวกับไทย

 

THE STANDARD WEALTH ชวนวิเคราะห์ ไทยได้-เสียประโยชน์แค่ไหน เรื่องอะไรบ้างที่คนไทยต้องรู้

 

พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์ (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลวิเคราะห์ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับนโยบายเศรษฐกิจที่ส่งผลกับไทย โดยสรุปจากผลสำรวจซึ่งจัดทำโดย Reuters ร่วมกับ Ipsos ว่า แฮร์ริสมีคะแนนนิยมนำทรัมป์ที่ 46.0% ต่อ 43.0% ขณะที่ผลสำรวจซึ่งจัดทำโดย FiveThirtyEight ระบุว่า แฮร์ริสมีคะแนนนิยมนำทรัมป์ที่ 48.2% ต่อ 46.4% โดยมีเพียง 5.4% ยังไม่ตัดสินใจเลือก

 

พูนพงษ์มองว่าคะแนนนิยมอยู่ในระดับใกล้เคียงกันมาก ซึ่งเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาก่อนการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายน โดยวิเคราะห์ดังต่อไปนี้

 

ทรัมป์ แฮร์ริส

 

แฮร์ริส: นโยบายของแฮร์ริสมุ่งเน้นการลดค่าใช้จ่ายสำหรับชนชั้นแรงงาน, ควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภค, เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ, เพิ่มสวัสดิการสังคม, ควบคุมราคายา/ค่ารักษาพยาบาล/พลังงานในประเทศ ซึ่งหากแฮร์ริสชนะเลือกตั้งคาดว่า

 

  1. การดำเนินนโยบายด้านการต่างประเทศและการค้าระหว่างประเทศจะเป็นไปในทิศทางเดิม อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามว่าจะมีการประกาศนโยบายหรือมาตรการเพิ่มเติมหรือไม่
  2. อาจส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีกับพันธมิตรในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งไทยจะได้ประโยชน์จากการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการลงทุน
  3. อาจมีแนวโน้มใช้มาตรการทางภาษีกับจีนนุ่มนวลกว่าทรัมป์ แต่ก็ยังส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกับจีนอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

ไทยอาจได้ประโยชน์จาก

 

  • ผลดีต่อการลงทุนในประเทศ โดยเฉพาะด้านพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานชีวมวล ซึ่งเปิดโอกาสให้บริษัทไทยที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้เข้าร่วมลงทุนในสหรัฐฯ
  • การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่จะนำมาซึ่งโอกาสในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการร่วมลงทุนในเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น การผลิตแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง
  • นโยบายของแฮร์ริสอาจส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยี 5G และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเปิดโอกาสให้บริษัทโทรคมนาคมและซอฟต์แวร์ของไทยเข้าร่วมในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก
  • โอกาสในการร่วมทุนระหว่างบริษัทไทยและสหรัฐฯ ในอุตสาหกรรมที่เป็นอนาคตต่างๆ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ (AgriTech) ซึ่งเป็นจุดแข็งของไทย

 

อย่างไรก็ตาม อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนอุตสาหกรรมสีเขียว ส่งผลให้ไทยต้องปรับเพิ่มมาตรการการผลิต เพื่อให้รักษาส่วนแบ่งตลาดภายในสหรัฐฯ ซึ่งก่อให้เกิดต้นทุนส่วนเพิ่มที่เลี่ยงไม่ได้

 

รวมถึงการสนับสนุนยูเครนและอิสราเอลส่งผลกระทบทางอ้อมต่อต้นทุนพลังงานและความไม่มั่นคงของเศรษฐกิจโลกในทางอ้อม และการไม่เผชิญหน้าทางเศรษฐกิจกับจีนโดยตรง ส่งผลให้สหรัฐฯ อาจต้องประสานความร่วมมือกับชาติพันธมิตร ซึ่งส่งผลให้ไทยจำเป็นต้องมีจุดยืนในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

 

ไบเดน ยูเครน

ภาพ: Kevin Dietsch / Getty images

 

ทรัมป์: นโยบายของทรัมป์มุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศสอดคล้องกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ส่งผลต่อเนื่องให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นโดยเปรียบเทียบและกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกของไทย ซึ่งหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งคาดว่า

 

  • อาจเห็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญในด้านนโยบายการต่างประเทศและจุดยืนบนเวทีความมั่นคงโลกในด้านภูมิรัฐศาสตร์ (ลดการให้ความช่วยเหลือประเทศที่อยู่ในพื้นที่ขัดแย้ง เช่น ยูเครน และลดบทบาทของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนความมั่นคงบนเวทีโลกอย่าง NATO)
  • การเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญในด้านนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ การใช้มาตรการปกป้องทางการค้าของสหรัฐฯ จะเข้มข้นขึ้น รวมถึงสงครามการค้ากับจีนจะทวีความรุนแรงมากขึ้น
  • มาตรการภาษีนำเข้าซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน
  • อาจเพิ่มมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี

 

พาณิชย์ชี้ ไทยอาจได้ประโยชน์ 2 ด้าน แต่หากทรัมป์ชนะ นโยบาย America First มีผลต่อการลงทุนไทย ดังนี้

 

  1. การย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังไทย
  2. ความต้องการสินค้าทดแทนสินค้าจีนจากไทยในตลาดสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม อาจได้รับผลกระทบจาก

 

  1. มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีส่งผลทางอ้อมให้ไทยมีต้นทุนในการปรับปรุงมาตรฐานการผลิตให้สอดคล้องกับสหรัฐฯ เพื่อรักษาในตลาดสหรัฐฯ
  2. ส่งผลให้การลงทุนจากสหรัฐฯ ในไทยลดลง โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการผลิต การใช้มาตรการจูงใจทางภาษีเพื่อดึงการลงทุนกลับสู่สหรัฐฯ ทำให้บริษัทสหรัฐฯ ที่มีฐานการผลิตในไทยพิจารณาย้ายกลับประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนยานยนต์ของไทย
  3. เกิดการชะลอตัวของการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ สู่ไทย ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในระยะยาว การลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) และนวัตกรรมจากบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ในไทยลดลง

 

รวมถึงเกิดการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงบางประเภท เช่น เซมิคอนดักเตอร์ เทคโนโลยี 5G ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของไทย

 

ด้านภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า การเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของไทย “ส่งสัญญาณเฝ้าระวังเพิ่มขึ้น” โดยมีปัจจัยความกังวลต่อผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

 

“ผลต่ออุตสาหกรรมไทยจะมีทั้งได้รับอานิสงส์และผลกระทบ ดังนั้น สศอ. จึงแนะผู้ประกอบการเฝ้าติดตามผลกระทบที่ต่อภาคอุตสาหกรรมไทย เพื่อให้สามารถปรับตัวได้ทัน”

 

จรีพร จารุกรสกุล

 

เมื่อเร็วๆ นี้ THE STANDARD WEALTH พูดคุยกับ จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยจรีพรกล่าวว่า “ไม่ว่าตัวแทนพรรคจะเป็นเดโมแครตหรือรีพับลิกัน ทรัมป์จะกลับมา หรือแฮร์ริสจะขึ้นมาเป็นผู้นำสหรัฐฯ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านนโยบายสหรัฐฯ ก็ยังมองแบบคนอเมริกันคือยึดความเป็น America First สหรัฐฯ ต้องมาก่อนและไม่ยอมให้เบอร์ 2 ขึ้นมาแทนที่ การหาเสียงของพรรคการเมืองจะยังมองจีนเป็นผู้ร้ายเสมอ ถ้ายังจำได้ 4 ปีที่แล้วตอน โจ ไบเดน หาเสียงก็เป็นเช่นนี้”

 

ดังนั้นสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ (Trade War) จะยังเกิดขึ้นต่อไป อย่างไรก็ตาม อาเซียนและไทยจะได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต

 

มองข้ามช็อต Trade War และภูมิรัฐศาสตร์ ยังร้อนแรง

 

สอดคล้องกับ ปณิธาน ปวโรฬารวิทยา รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ซึ่งกล่าวในงานสัมมนา ‘US Election 2024 เจาะลึก ศึกชิงทำเนียบขาว’ ในหัวข้อ ‘เลือกตั้งอเมริกา ส่งผลอย่างไรต่อไทย’ ว่า ทั้ง 2 พรรคต่างมีนโยบายที่คำนึงถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการค้าของประเทศเป็นหลัก

 

“ไทยซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ จำเป็นต้องวางแผนและเตรียมรับมือ เพราะไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำสหรัฐฯ ก็ตาม ล้วนมีผลกระทบไปทั่วโลกรวมถึงไทย”

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะต้องมองข้ามช็อตและเฝ้าติดตามคือสงครามการค้า, ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์, สงครามสกุลเงิน และสหรัฐฯ มองจีนเป็นภัยของประเทศ ด้วยเหตุนี้มีโอกาสที่สินค้าจีนไหลเข้ามาในไทยต่อเนื่อง

 

ขณะที่ในแง่การค้า เศรษฐกิจ และการเมือง “ไทยไม่ควรแสดงจุดยืนการเลือกข้าง แต่ควรวางตัวให้เหมาะสม ทำให้เป็นที่รัก สร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนจากทั้ง 2 ประเทศ”

 

เช่นเดียวกับ สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มองว่าไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร นโยบายต่อต้านจีนจะเกิดขึ้นและทวีความร้อนแรงขึ้น ดังนั้นไทยควรมองหาโอกาสการค้าและวางตัวเป็นกลาง

 

 เกรียงไกร เธียรนุกุล

 

ประธาน ส.อ.ท. มองว่าจีนยังคงเป็นศัตรูหมายเลข 1 ของสหรัฐฯ

 

ขณะที่ เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. มองว่าไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร แม้นโยบายของทั้ง 2 คนจะแตกต่าง แต่ก็มองจีนเป็นคู่แข่งและศัตรูหมายเลข 1

 

อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจความคิดเห็นในช่วงโค้งสุดท้ายของรัฐสมรภูมิก็ยังพบว่าคะแนนของผู้สมัครทั้ง 2 คนสูสีกัน ซึ่งต้องเฝ้าจับตารัฐตัวแปรคือเพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นรัฐ Swing State

 

“แต่ไม่ว่าใครจะคว้าชัยก็ย่อมส่งผลไปทั่วโลกรวมถึงไทย โดยผลที่เกิดกับไทยต้องจับตาการส่งออก, สงครามการค้า (Trade War) และภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่ยังร้อนแรงต่อไป”

 

โดยไทยจะได้อานิสงส์จากมาตรการขึ้นกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีนในบางอุตสาหกรรม ส่งผลให้มีการย้ายฐานการผลิตมายังไทย โดยสินค้าจากจีนจะถูกตั้งกำแพงสูงขึ้น และอนาคตมีความเป็นไปได้ว่าสหรัฐฯ จะซื้อสินค้าจากจีนน้อยลง และหันมาซื้อสินค้าจากประเทศอื่นรวมถึงไทยแทน

 

ดังจะเห็นว่าไบเดนประกาศขึ้นภาษีรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่นำเข้าจากจีน จากเดิม 25% เป็น 100% และเรียกเก็บภาษี 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนพฤษภาคม ในอุตสาหกรรมนำเข้าจากจีน โดยเฉพาะพลังงานสะอาดและแผงโซลาร์เซลล์

 

ทรัมป์กับการกลับมาของวลี Make America Great Again

 

ขณะที่นโยบายของทรัมป์นั้นจะมีความรุนแรงขึ้นกว่า โดยประเด็นหลักคือการขึ้นภาษีอย่างน้อย 10-20% จากทุกประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐฯ แต่เพิ่มกำแพงภาษีจีนสูงถึง 60-100%

 

ดังนั้นจะเห็นว่านโยบายของทั้ง 2 พรรคต่างมีความรุนแรงขึ้น ซึ่งทรัมป์ยังคงย้ำนโยบาย Make America Great Again ที่ให้น้ำหนักเรื่องดุลการค้าและความมั่นคงมาเป็นอันดับแรก

 

ส่วนนโยบายลงทุนของแฮร์ริสก็จะดำเนินนโยบายต่อจากไบเดน คือเพิ่มการเก็บภาษีจากปัจจุบัน 21% เป็น 28% เน้นการลงทุนในประเทศที่เป็นมิตร เช่น เวียดนาม, เม็กซิโก และไทย

 

ส่วนทรัมป์จะส่งเสริมการลงทุนในประเทศให้กลับมา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทค เพื่อสร้างเศรษฐกิจ จ้างงานชาวอเมริกัน สร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) โดยมีนโยบายลดภาษีนิติบุคคล 15%

 

ส่วนเรื่องการกีดกันด้านเทคโนโลยี ทรัมป์จะมีความรุนแรงกว่าไบเดน ซึ่งหากแฮร์ริสได้รับชัยชนะก็จะดำเนินการเหมือนเดิม เช่น การออกกฎหมาย CHIPS and Science Act ที่สหรัฐฯ ใช้ในการเสริมสร้างการผลิตและการวิจัยอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ

 

หมายความว่าสหรัฐฯ จะไม่ถ่ายทอดเทคโนโลยีชั้นสูงหรือขายเทคโนโลยีเหล่านี้ไปยังประเทศที่ไม่เป็นมิตร นั่นก็หมายถึงจีน

 

จับตานโยบายสีเขียว ชี้ว่าไทยต้องตั้งรับ มีล็อบบี้ยิสต์วางนโยบายให้ชัดเจน

 

ส่วนมิติปัญหาเรื่องผลกระทบของสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรม ทั้ง 2 พรรคมีความแตกต่างกัน โดยแฮร์ริสและไบเดนยังคงให้ความสำคัญในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ลดการใช้พลังงานฟอสซิล สนับสนุนพลังงานสีเขียว แต่ทรัมป์ไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก

 

เกรียงไกรทิ้งท้ายว่า “เมื่อมองภาพรวมส่วนตัวคิดว่าไทยจะได้ประโยชน์ เพียงแต่หากทรัมป์ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี ไทยต้องมีล็อบบี้ยิสต์ในการเจรจาและวางนโยบายที่ชัดเจน”

 

เพราะทรัมป์จะวางกลยุทธ์ลักษณะหมูไปไก่มา แต่หากเป็นแฮร์ริสก็จะยังดำเนินการเช่นเดียวกับไบเดน เพราะฉะนั้นเรายังมีโอกาสได้เปรียบทางการค้าหากมีการเจรจาที่ดี และต้องวางมาตรการรับมือสินค้าจีนที่ยังคงทะลักมาอาเซียนและไทยให้ดีและต่อเนื่อง ไม่เช่นนั้นจะกระทบอุตสาหกรรมไทยหนักขึ้นมากกว่า 25 อุตสาหกรรมแน่นอน

 

มาดามรถถัง-นพรัตน์ กุลหิรัญ

 

ท้ายสุด มาดามรถถัง-นพรัตน์ กุลหิรัญ ผู้ก่อตั้ง บริษัท ชัยเสรี เม็ททอล แอนด์ รับเบอร์ จำกัด กล่าวว่า ชัยเสรีเป็นหนึ่งในบริษัทไทยที่มีศักยภาพในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งผลิตยานพาหนะทางการทหาร เพื่อรองรับตลาดในประเทศและส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก 37 กว่าประเทศมานาน โดยมองว่าข้อได้เปรียบของไทยคือการซื้อขายที่ไม่อิงการเมือง เป็นการซื้อขายระหว่างประเทศ ดังนั้นการเผชิญกับปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โดยที่ไทยไม่เลือกข้าง อีกทั้งไทยมีช่องทางการทูตสามารถส่งออกไปได้แทบทุกที่ ทำให้ต่างชาติต่างเลือกที่จะมาลงทุนในไทย

The post วิเคราะห์โค้งสุดท้าย ‘ทรัมป์-แฮร์ริส’ ใครจะก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป ไทยได้-เสียประโยชน์แค่ไหน เรื่องอะไรบ้างที่คนไทยต้องรู้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
“มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะมองข้ามได้” เจ้าชายแฮร์รีกล่าวถึงโทษของโซเชียลมีเดียในเหตุการจลาจล ณ รัฐสภาสหรัฐฯ https://thestandard.co/prince-harry-the-disadvantages-of-social-media/ Mon, 25 Jan 2021 08:27:30 +0000 https://thestandard.co/?p=447073 Prince Harry

เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งคนที่มักจะออกมาพูดถึงเรื่องผลกระทบด […]

The post “มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะมองข้ามได้” เจ้าชายแฮร์รีกล่าวถึงโทษของโซเชียลมีเดียในเหตุการจลาจล ณ รัฐสภาสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Prince Harry

เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งคนที่มักจะออกมาพูดถึงเรื่องผลกระทบด้านลบที่เกิดขึ้นจากสื่อโซเชียลมีเดียอยู่เสมอสำหรับเจ้าชายแฮร์รี ซึ่งล่าสุดเขาก็ได้ออกมาพูดในประเด็นนี้อีกครั้งผ่านการให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Fast Company โดยได้ยกเหตุการณ์ที่ผู้สนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ ถูกอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใช้ Twitter ปั่นให้ออกมารวมตัวกันก่อจลาจล ณ อาคารรัฐสภาเมื่อช่วงต้นเดือน เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงผลกระทบรุนแรงซึ่งเกิดจากการใช้โซเชียลมีเดียในทางที่ผิด

 

“เราได้เห็นกันมาหลายครั้งแล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหากโลกแห่งความเป็นจริงได้รับข้อมูลที่ผิดๆ นี่มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะมองข้ามได้ มีการโจมตีประชาธิปไตยในสหรัฐฯ ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากความรุนแรงบนโซเชียลมีเดีย

 

ผมเชื่อว่าเราสามารถทำให้โลกดิจิทัลของพวกเราดีขึ้นกว่านี้ได้ สามารถทำให้มันมีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้น และมีความไว้เนื้อเชื่อใจกันมากขึ้น มันถึงเวลาแล้วที่จะเดินหน้าจากการเปลี่ยนแปลงความคิดไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบ” เจ้าชายแฮร์รีกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าชายแฮร์รีออกมากล่าวถึงบทบาทปัจจุบันของสื่อโซเชียลมีเดียซึ่งหลายครั้งมักทำให้เกิดผลกระทบด้านลบต่อสังคม และแสดงท่าทีสนับสนุนให้มีการจัดระเบียบโลกออนไลน์ โดยเขาคิดว่าการเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ บนโซเชียลมีเดียจะนำมาสู่วิกฤตและปัญหาด้านมนุษยธรรมอย่างใหญ่หลวง 

 

ทั้งนี้ นอกจากการให้สัมภาษณ์แล้ว ย้อนกลับไปในเดือนสิงหาคมปีก่อน เจ้าชายแฮร์รียังเคยเขียนบทความให้กับ Fast Company เพื่อส่งข้อความไปยังบริษัทต่างๆ ให้นำเงินที่ได้จากการโฆษณาของตนมาใช้เรียกร้องความเปลี่ยนแปลงจากสถานที่ต่างๆ ที่มอบแหล่งหลบภัยและเครื่องมือสำหรับการเผยแพร่ให้แก่กลุ่มคนที่ชอบสร้างความเกลียดชังและการแบ่งแยกขึ้นในสังคม

 

ภาพ: Chris Jackson / POOL / AFP

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

อ้างอิง:

The post “มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะมองข้ามได้” เจ้าชายแฮร์รีกล่าวถึงโทษของโซเชียลมีเดียในเหตุการจลาจล ณ รัฐสภาสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
“เขาจะถูกจดจำในฐานะประธานาธิบดีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์” Arnold Schwarzenegger ประณาม โดนัลด์ ทรัมป์ หลังเหตุการณ์จลาจล ณ รัฐสภาสหรัฐฯ https://thestandard.co/arnold-schwarzenegger-condemn-trump/ Mon, 11 Jan 2021 05:49:19 +0000 https://thestandard.co/?p=441515 “เขาจะถูกจดจำในฐานะประธานาธิบดีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์” Arnold Schwarzenegger ประณาม โดนัลด์ ทรัมป์ หลังเหตุกาลจลาจล ณ รัฐสภาสหรัฐฯ

เรียกว่าเป็นข่าวใหญ่ที่ได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก สำหรั […]

The post “เขาจะถูกจดจำในฐานะประธานาธิบดีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์” Arnold Schwarzenegger ประณาม โดนัลด์ ทรัมป์ หลังเหตุการณ์จลาจล ณ รัฐสภาสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
“เขาจะถูกจดจำในฐานะประธานาธิบดีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์” Arnold Schwarzenegger ประณาม โดนัลด์ ทรัมป์ หลังเหตุกาลจลาจล ณ รัฐสภาสหรัฐฯ

เรียกว่าเป็นข่าวใหญ่ที่ได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก สำหรับเหตุการณ์ที่มีผู้สนับสนุนประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จำนวนมากรวมตัวก่อจลาจลสร้างความวุ่นวายที่อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ซึ่งหลังเกิดเหตุก็มีผู้คนมากมายที่ออกมากล่าวประณามการกระทำครั้งนี้รวมถึง อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ นักแสดงรุ่นใหญ่วัย 73 ปีด้วย

 

อาร์โนลด์ ผู้เคยทำงานสายการเมืองในฐานะผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้โพสต์วิดีโอความยาว 7 นาทีผ่าน Twitter ส่วนตัว เพื่อส่งข้อความถึงชาวอเมริกันทุกคน และประณามการกระทำครั้งนี้ของเหล่าผู้สนับสนุนทรัมป์ ซึ่ง ณ ตอนนี้มีคนเข้าชมกว่า 26 ล้านคน รีทวีตไป 280,000 ครั้ง และกดไลก์อีกมากกว่า 950,000 คน โดยเขาได้เปรียบเทียบการก่อจลาจลเมื่อวันพุธกับเหตุการณ์ Kristallnacht หรือ Night of Broken Glass ในปี 1938 ที่นาซีเยอรมันสังหารหมู่ชาวยิวจำนวนมาก แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเยอรมันกลับนิ่งเฉยและไม่เข้าแทรกแซงใดๆ

 

“ผมเติบโตขึ้นในประเทศออสเตรีย ผมตระหนักถึงเหตุการณ์ Kristallnacht หรือ Night of Broken Glass อย่างมาก มันเป็นค่ำคืนอันโหดร้ายที่นาซีเข่นฆ่าชาวยิวในปี 1938 ซึ่งการกระทำความรุนแรงนั้นได้กลายมาเป็นแนวคิดที่สืบทอดมายังกลุ่ม Proud Boys (กลุ่มนีโอฟาสซิสต์ขวาจัดที่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงทางการเมืองในสหรัฐฯ) สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันพุธคือสิ่งเดียวกับที่เกิดในเหตุการณ์ Night of Broken Glass เพียงแต่คราวนี้เศษกระจกที่แตกละเอียดเหล่านั้นมันอยู่ในรัฐสภาสหรัฐฯ และกลุ่มคนผู้ก่อจลาจลไม่เพียงทำให้กระจกของอาคารรัฐสภาแตกละเอียด แต่พวกเขายังทำลายแนวคิดที่เรายอมรับอีกด้วย” อาร์โนลด์กล่าว

 

“ทรัมป์พยายามทำรัฐประหารโดยการทำให้คนเข้าใจผิดผ่านคำพูดโกหกของเขา”

 

หลังร่ายยาวต่อเหตุการณ์จลาจลที่เกิดขึ้น อาร์โนลด์ก็ประณามทรัมป์โดยบอกว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้ต้องลงจากตำแหน่งในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเป็นผู้นำที่ล้มเหลว และเขาจะถูกจดจำในฐานะประธานาธิบดีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ อาร์โนลด์ปิดวิดีโอด้วยการกล่าวปลุกใจชาวอเมริกัน และกล่าวคำสนับสนุนพร้อมอวยพรให้ โจ ไบเดน ประสบความสำเร็จในฐานะประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ

 

 

 

ภาพ: Miguel SCHINCARIOL / AFP & ANDREW CABALLERO-REYNOLDS / AFP

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

อ้างอิง:

The post “เขาจะถูกจดจำในฐานะประธานาธิบดีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์” Arnold Schwarzenegger ประณาม โดนัลด์ ทรัมป์ หลังเหตุการณ์จลาจล ณ รัฐสภาสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
26 OCT 2019 – ผู้นำ IS เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติการบุกจู่โจมของกองทัพสหรัฐฯ https://thestandard.co/onthisday2610-2/ Mon, 26 Oct 2020 09:13:57 +0000 https://thestandard.co/?p=413099 Abu Bakr al-Baghdadi ผู้นำ IS เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติการบุกจู่โจมของกองทัพสหรัฐฯ

กองกำลังติดอาวุธไอเอส หรือไอซิส เคยเป็นกองกำลังที่เป็นข […]

The post 26 OCT 2019 – ผู้นำ IS เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติการบุกจู่โจมของกองทัพสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Abu Bakr al-Baghdadi ผู้นำ IS เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติการบุกจู่โจมของกองทัพสหรัฐฯ

กองกำลังติดอาวุธไอเอส หรือไอซิส เคยเป็นกองกำลังที่เป็นข่าวใหญ่และน่าหวั่นเกรงที่สุดในโลกช่วงหนึ่ง ขณะที่สหรัฐอเมริกาและอีกหลายประเทศนำกำลังทหารต่อสู้กับกลุ่มไอเอสมานานหลายปี จนกระทั่งวันที่ 26 ตุลาคม 2019 รัฐบาลสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่า ผู้นำสูงสุดของกลุ่มรัฐอิสลาม อาบู บักร์ อัล-บักดาดี เสียชีวิตแล้ว หลังปฏิบัติการจู่โจมทางทหารของสหรัฐฯ ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรีย 

 

ขณะที่ พล.อ. มาร์ก มิลลีย์ ประธานเสนาธิการร่วมสหรัฐฯ และ มาร์ก เอสเปอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แถลงข่าวว่า อัล-บักดาดี เสียชีวิตจากการปลิดชีพตนเอง ด้วยการจุดชนวนระเบิดฆ่าตัวตาย ขณะกองกำลังทหารหน่วยปฏิบัติการพิเศษ Delta Force บุกจู่โจมเข้าไปบริเวณที่ซ่อนของเขาและครอบครัว บริเวณริมหมู่บ้านบาริชา 

 

บักดาดีก้าวขึ้นเป็นผู้นำไอเอสตั้งแต่ปี 2010 และประกาศรวมเอากลุ่มติดอาวุธที่สวามิภักดิ์ต่อเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์มาเป็นพวกในช่วงปี 2013 ก่อนจะเป็นที่รู้จักมากขึ้นในชื่อกลุ่มรัฐอิสลามในอิรักและลิแวนต์ ซึ่งพยายามขยายอำนาจกลุ่มรัฐอิสลามด้วยการบุกยึดครองเมืองต่างๆ ในซีเรียและอิรัก

 

ขณะที่บักดาดีซ่อนตัวจากการไล่ล่าของสหรัฐฯ และนานาชาติมานานกว่า 5 ปี โดยปรากฏภาพของชายที่คาดว่าเป็นบักดาดีผ่านสื่อของไอเอสครั้งสุดท้ายช่วงเดือนกรกฎาคม ปี 2014 

The post 26 OCT 2019 – ผู้นำ IS เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติการบุกจู่โจมของกองทัพสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: วิเคราะห์ดีเบตเลือกตั้งสหรัฐฯ ยกแรก ‘ทรัมป์-ไบเดน’ – THE STANDARD Daily 30 กันยายน 2563 https://thestandard.co/thestandarddaily300963/ Thu, 01 Oct 2020 07:29:07 +0000 https://thestandard.co/?p=402805 วิเคราะห์เลือกตั้งสหรัฐฯ

THE STANDARD Daily ประจำวันที่ 30 กันยายน 2563  เว […]

The post ชมคลิป: วิเคราะห์ดีเบตเลือกตั้งสหรัฐฯ ยกแรก ‘ทรัมป์-ไบเดน’ – THE STANDARD Daily 30 กันยายน 2563 appeared first on THE STANDARD.

]]>
วิเคราะห์เลือกตั้งสหรัฐฯ
THE STANDARD Daily ประจำวันที่ 30 กันยายน 2563  เวลา 19.00 น.
 
  • วิเคราะห์ดีเบตเลือกตั้งสหรัฐฯ ยกแรก ‘ทรัมป์-ไบเดน’ กับ ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ
  • นับถอยหลังเพียง 1 เดือน ศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ จะกลับมาอีกครั้ง หลังการคว้าชัยชนะของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในปี 2016 และเช่นเดียวกับทุกครั้ง การเลือกตั้งของสหรัฐฯ จะขาดเวทีดีเบตไม่ได้ เพราะเป็นเสมือนสังเวียนประลองกำลังก่อนการเลือกตั้งทั่วไปจะมาถึง
  • ปีนี้เสียงระฆังยกที่หนึ่งของการดีเบตจากผู้แทนของสองฝ่ายคือ โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน และโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ได้เริ่มขึ้นแล้วเมื่อช่วงเช้า ซึ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 29 กันยายน ตามเวลาท้องถิ่น
  • ยกแรกจบไปแล้ว ใครแพ้ ใครชนะ แน่นอนว่าย่อมถูกจับตา เพราะใครที่ทำได้ดีกว่าอาจส่งผลต่อคะแนนนิยมในช่วงสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งชี้ชะตาวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้
  • THE STANDARD Daily เชิญ ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ นักประวัติศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญการเมืองสหรัฐฯ มาพูดคุย วิเคราะห์ มองความเห็นผ่านประสบการณ์ว่าการดีเบตครั้งนี้จะเป็นบทเรียนให้ทรัมป์และไบเดนวางกลยุทธ์อย่างไรต่อเพื่อคว้าชัยในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้

 

สามารถติดตาม THE STANDARD Daily ได้เป็นประจำทุกวันจันทร์-พฤหัส เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป ที่ Facebook Live และ Youtube Live ของ thestandardth

The post ชมคลิป: วิเคราะห์ดีเบตเลือกตั้งสหรัฐฯ ยกแรก ‘ทรัมป์-ไบเดน’ – THE STANDARD Daily 30 กันยายน 2563 appeared first on THE STANDARD.

]]>
รัฐบาลยัน สหรัฐฯ อยากเจอ แต่ ‘บิ๊กตู่’ ไม่ว่างไป และตุลาฯ นี้อาจชวดพบ ‘ทรัมป์’ https://thestandard.co/news-thailand-us-government-wants-to-meet-but-prayuth-busy/ https://thestandard.co/news-thailand-us-government-wants-to-meet-but-prayuth-busy/#respond Tue, 08 Aug 2017 12:54:49 +0000 https://thestandard.co/?p=19347

     วันที่ 8 สิงหาคม 2560 พล.อ. ประยุทธ […]

The post รัฐบาลยัน สหรัฐฯ อยากเจอ แต่ ‘บิ๊กตู่’ ไม่ว่างไป และตุลาฯ นี้อาจชวดพบ ‘ทรัมป์’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

     วันที่ 8 สิงหาคม 2560 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุม คสช. และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีการพบปะกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้ตั้งเงื่อนไขใดๆ เป็นพิเศษ โดยไทยและสหรัฐฯ เป็นมิตรประเทศกันมาอย่างยาวนานกว่า 100 ปี จึงเป็นการหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน

     ขณะที่ในวันเดียวกันนี้ พล.อ. ประยุทธ์ จะพบกับ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ที่เดินทางมาประชุมกระทรวงการต่างประเทศอาเซียน-สหรัฐฯ เพื่อหารือเตรียมความพร้อมการพบปะ โดนัลด์ ทรัมป์ ในเร็วๆ นี้

     เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า นายกฯ จะเยือนสหรัฐฯ เดือนตุลาคมนี้ ใช่หรือไม่?

     พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวสั้นๆ ว่า “มั้ง”

     ส่วนที่นายกฯ เคยพูดว่า บางประเทศไม่ให้ตนเองเดินทางไปเยือนนั้น

     “ต้องเข้าใจว่ามี 2 อย่าง คือ การประชุมที่ตนไปร่วมประชุมมาแล้วทุกการประชุม แต่ในการไปเยือนอย่างเป็นทางการไม่สามารถไปได้ เพราะเป็นผู้นำรัฐบาลนี้ ไม่ใช่การรังเกียจ แต่กฎหมายระบุไว้เช่นนั้น ทุกประเทศเข้ามาลงทุนค้าขายกับไทยหมด ส่วนเรื่องการเมืองก็ต้องเข้าใจ” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว

 

‘บิ๊กตู่’ ไปได้ทั่วโลก แต่ไม่มีเวลาไป

     ดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุม ครม. ถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีออกมาระบุว่า ไม่สามารถเดินทางไปเยือนต่างประเทศได้ เนื่องจากเป็นผู้นำจากการยึดอำนาจ ว่าไม่เป็นความจริง หลายประเทศมีคำเชิญนายกรัฐมนตรีให้ไปเยือน แต่นายกรัฐมนตรีติดภารกิจไม่สามารถไปได้

     ยอมรับว่าในช่วงแรกของการรัฐประหารสถานการณ์อาจจะเป็นเช่นนั้น แต่ขณะนี้หลายประเทศได้มีคำเชิญและเดินทางมาเยือนไทย

     ล่าสุดรองประธานสหภาพยุโรป ได้เข้าหารือกับไทย ซึ่งก็มีผลการหารือที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เอเชียหลายประเทศได้ส่งคำเชิญเข้ามา แต่นายกรัฐมนตรีไม่มีเวลาที่จะไป

 

สหรัฐฯ อยากพบ เชิญแล้ว แต่ ‘บิ๊กตู่’ ไม่ว่างไป

     ขณะที่หลังการประชุม ครม. ดอน ปรมัตถ์วินัย ให้สัมภาษณ์ถึงการมาเยือนประเทศไทยของ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ว่า มีการคุยกันหลายเรื่อง รวมถึงเรื่องกำหนดการเยือนประเทศสหรัฐอเมริกาของนายกรัฐมนตรี

     ดอน เปิดเผยว่า สหรัฐฯ มีความยินดีและอยากเชิญเราไปเยือนมาตลอด โดยก่อนหน้านี้ทางสหรัฐฯ ได้เสนอกำหนดการวันและเวลาในการเดินทางไปเยือนมาแล้ว แต่ทางการไทยปฏิเสธ เพราะเรายังไม่พร้อม เราคิดว่าไปทั้งทีก็อยากจะเตรียมข้อมูลให้พร้อมเพื่อจะได้พูดคุยในทุกๆ เรื่องและสมบูรณ์แบบที่สุด

     “เรื่องแบบนี้ถ้าพูดไปคนอาจไปตีความและมองไปอีกด้าน ถึงขั้นมองว่าเราไปง้อสหรัฐฯ ซึ่งไม่ใช่ความเป็นจริง” ดอน กล่าว

 

นักวิชาการมอง ‘บิ๊กตู่’ เยือนสหรัฐฯ ตุลาฯ นี้ เกิดยาก

     รศ.ดร. ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการสถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ (ISIS) ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ว่า หลังจาก พล.อ. ประยุทธ์ พลาดการไปเยือนสหรัฐฯ ในตอนแรกตามรายงานข่าวกำหนดการเดิมคือวันที่ 19 กรกฎาคมนั้น ส่วนตัวมองว่ายิ่งนานจะยิ่งไปยาก แต่ไม่ใช่เพราะเขา (สหรัฐฯ) ไม่ต้อนรับ หรือเราไม่อยากไป แต่ที่ไปยากเพราะทางการไทยจะติดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ดังนั้น ตามกระแสข่าวล่าสุดที่บอกว่าจะไปเดือนตุลาคม ยิ่งเป็นช่วงเดือนตุลาคม รศ.ดร. ฐิตินันท์ มองว่า ยิ่งมีโอกาสยากขึ้นเข้าไปใหญ่

 

จุดยืน ‘สหรัฐฯ’ ฟื้นสัมพันธ์ชาติอาเซียน จัดการ ‘เกาหลีเหนือ’

     รศ.ดร. ฐิตินันท์ อธิบายว่า การจะตอบคำถามว่าทำไมสหรัฐฯ ถึงมีท่าทีดีขึ้นกับรัฐบาลทหารไทยนั้น ต้องถอยไปดูการที่ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ไปเยือนฟิลิปปินส์ก่อนหน้ามาเยือนเรา ปรากฏว่าทางการฟิลิปปินส์มีท่าทีกับสหรัฐฯ ดีขึ้น หลังจากที่เคยมีท่าทีขึงขังมาตลอด ขณะที่ท่าทีของประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต ก็เป็นมิตรขึ้น เป็นสัญญาณให้เห็นว่ารัฐบาลทรัมป์ ต้องการปรับท่าทีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใหม่ เพื่อจัดการกับ ‘เกาหลีเหนือ’ ที่นับวันจะทวีความตึงเครียดมากขึ้น

     ขณะที่ความสัมพันธ์กับรัฐบาลไทยกับสหรัฐฯ โดยภาพรวมก็จะได้รับการรื้อฟื้น จากเดิมที่เคยตึงเครียดก็จะลดลง

The post รัฐบาลยัน สหรัฐฯ อยากเจอ แต่ ‘บิ๊กตู่’ ไม่ว่างไป และตุลาฯ นี้อาจชวดพบ ‘ทรัมป์’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/news-thailand-us-government-wants-to-meet-but-prayuth-busy/feed/ 0
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับจุดยืนที่เปลี่ยนไปใน NATO https://thestandard.co/news-politics-trump-nato/ https://thestandard.co/news-politics-trump-nato/#respond Sun, 04 Jun 2017 19:34:10 +0000 http://thestandard.co:8000/?p=2482

     ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ […]

The post ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับจุดยืนที่เปลี่ยนไปใน NATO appeared first on THE STANDARD.

]]>

     ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มต้นภารกิจเดินทางเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการครั้งแรกภายหลังจากการเข้ารับตำแหน่ง หนึ่งในนั้นคือการเข้าร่วมประชุมกับผู้นำยุโรปชาติสมาชิกอีก 27 ประเทศของ องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO – North Atlantic Treaty Organization) ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อหารือเกี่ยวกับทิศทางการดำเนินงานในอนาคตขององค์กรเกี่ยวกับประเด็นต่อต้านการก่อการร้าย การจัดการปัญหาผู้ลี้ภัย รวมถึงประเด็นด้านความมั่นคงอื่นๆ

     การเดินทางเยือนยุโรปและเข้าหารือกับนาโตครั้งนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากสื่อหลายสำนัก เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างทรัมป์กับยุโรปไม่ค่อยสู้ดีนัก นับตั้งแต่ช่วงที่ยังเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยทรัมป์มีการสนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายขวาในประเทศต่างๆ และสนับสนุนให้สหราชอาณาจักรออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปอย่างเปิดเผย อีกทั้งก่อนหน้านี้เขายังกล่าวโจมตีนาโตว่าเป็นองค์กรที่ล้าสมัย ไม่ปรับตัวต่อบริบทโลก และขู่จะลาออกจากการเป็นสมาชิกนาโต หากประเทศสมาชิกอื่นๆ ไม่เพิ่มเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายทางการทหารขององค์กร

     ภารกิจสำคัญขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือในปัจจุบันคืออะไร ทิศทางของสหรัฐอเมริกาต่อการเป็นสมาชิกนาโต และอนาคตของนาโตจะเป็นอย่างไร

       THE STANDARD ชวนคุณหาคำตอบไปพร้อมกัน

 

Photo: THIERRY CHARLIER, AFP/Profile

‘นาโต’ จากภัยคอมมิวนิสต์สู่ภัยการก่อการร้าย

     องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต ก่อตั้งขึ้นในช่วงสงครามเย็น เป็นความร่วมมือทางทหารของประเทศสองฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก โดยได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ แรกเริ่มมีวัตถุประสงค์เพื่อการป้องกันร่วมและถ่วงดุลอำนาจกับประเทศคอมมิวนิสต์ภายใต้กติกาสัญญาวอร์ซอ (Warsaw Pact) ที่มีสหภาพโซเวียตเป็นแกนนำ

     ต่อมาภายหลังจากที่คอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกล่มสลายลง นาโตได้จัดตั้งหุ้นส่วนเพื่อสันติภาพ (Partnership for Peace) ขึ้น โดยเป็นการขยายความร่วมมือทางทหารกับประเทศในยุโรปตะวันออกและเอเชียกลางอีก 25 ประเทศ เมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลง ภัยคอมมิวนิสต์ที่เคยเป็นภัยคุกคามหลักขององค์กรหายไป ทำให้นาโตจำเป็นต้องนิยามตัวเองใหม่ รวมถึงปรับเปลี่ยนโครงสร้างและแนวทางในการดำเนินนโยบายเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไป

     นาโตหันมาให้ความสำคัญกับปฏิบัติการรักษาสันติภาพ สร้างความสัมพันธ์อันดีกับสหประชาชาติและองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE) อีกทั้งยังหาแนวทางส่งเสริมความสัมพันธ์กับอดีตประเทศผู้นำโลกคอมมิวนิสต์อย่างรัสเซียให้มีบทบาทสำคัญเชิงสร้างสรรค์ภายในภูมิภาค นอกจากนี้นาโตยังปรับบทบาททางทหารให้เอื้อต่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน โดยดำเนินนโยบายด้านความมั่นคงที่เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศที่ไม่ใช่สมาชิก

     เหตุการณ์ก่อวินาศกรรม 9/11 เครื่องบินพลีชีพพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์และอาคารเพนตากอนเมื่อ 16 ปีที่แล้ว นับเป็นเหตุการณ์ที่หลอมรวมชาติพันธมิตรในนาโตอีกครั้ง นำไปสู่การทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายในอัฟกานิสถาน ซึ่งเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ประเทศสมาชิกนาโตปฏิบัติการทางทหารร่วมกันภายใต้มาตรา 5 ที่กล่าวว่า ‘หากประเทศสมาชิกนาโตถูกโจมตีจากประเทศนอกสมาชิก สมาชิกทั้งหมดต้องถือว่าอยู่ในสภาวะสงครามและเข้าช่วยเหลือประเทศสมาชิกที่ถูกโจมตี’

     ปัจจุบันนาโตกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ จาก ‘ภัยก่อการร้าย’ ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งทั่วโลก รวมถึงท่าทีที่แข็งกร้าวของรัสเซียภายใต้การนำของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน โดยเฉพาะการผนวกรวมแหลมไครเมียให้เป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงภายในภูมิภาคเป็นอย่างมาก

 

จุดยืนของโดนัลด์ ทรัมป์ ในนาโต

     การวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของนาโตในช่วงหาเสียงและภายหลังเข้ารับตำแหน่งทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าทิศทางการดำเนินนโยบายต่างประเทศต่อนาโตของรัฐบาลทรัมป์จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงร่วมในโลกตะวันตกไม่มากก็น้อย

     เขาเคยตั้งคำถามถึงความจำเป็นและจุดประสงค์ที่สหรัฐอเมริกายังคงต้องให้ความร่วมมือกับนาโตต่อไป รวมถึงการตัดพ้อที่สหรัฐฯ จะต้องแบกรับภาระในการทุ่มเงินสนับสนุนความร่วมมือนี้มากเกินไปจนไม่ยุติธรรม แต่ท่าทีของทรัมป์ต่อกรณีนาโตได้เปลี่ยนไปภายหลังจากเจนส์ สโตลเตนเบิร์ก (Jens Stoltenberg) เลขาธิการนาโต ขอเข้าพบที่ทำเนียบขาวเมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา

     ทรัมป์เน้นย้ำว่า ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากภัยการก่อการร้ายสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญในการร่วมมือกับนาโตเพื่อความมั่นคงในโลกตะวันตกและสังคมระหว่างประเทศ

     การประชุมสุดยอดผู้นำนาโตในครั้งนี้ ทรัมป์เลี่ยงที่จะให้การรับรองมาตรา 5 ของนาโต ซึ่งดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะต้องรับรองมาตรานี้เมื่อมีการประชุมสุดยอดผู้นำนาโต ส่งผลให้ชาติสมาชิกไม่แน่ใจถึงจุดยืนของสหรัฐฯ ในประเด็นการรักษาความมั่นคงร่วมกันเมื่อมีภัยคุกคามเกิดขึ้นในอนาคต

     นิก เบิร์นส (Nick Burns) อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำนาโต ให้ความเห็นว่า ทรัมป์คือประธานาธิบดีคนแรกนับตั้งแต่ปี 1949 ที่ไม่ประกาศสนับสนุนมาตรา 5 ของนาโต ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจทำลายภาพลักษณ์และจุดยืนของสหรัฐฯ ภายในองค์กร

    ทั้งนี้ทรัมป์ยังเรียกร้องให้ชาติสมาชิก 23 ประเทศ (จากทั้งหมด 28 ประเทศ) เพิ่มการสนับสนุนงบประมาณทางด้านการทหารของนาโตให้ถึง 2 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีตามที่ได้ตกลงกันไว้ และชี้ว่าการทุ่มงบประมาณของสหรัฐฯ ราวๆ 4 เปอร์เซ็นต์เพื่อสนับสนุนองค์กรนี้เป็นการเพิ่มภาระ และไม่ยุติธรรมต่อชาวอเมริกันและรัฐบาลสหรัฐฯ

     ข้อเรียกร้องดังกล่าวเป็นการโจมตีประเทศพันธมิตรทางอ้อมจนทำให้ตัวแทนจากประเทศสมาชิกออกมาให้ความเห็นต่อกรณีดังกล่าว หนึ่งในนั้นคืออัวร์ซูลา ฟอน เเดร์ เลเยน (Ursula von der Leyen) รัฐมนตรีกลาโหมของเยอรมนี เธอชี้แจงว่า ในปี 2014 สมาชิกนาโตตกลงจะเพิ่มงบประมาณสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านการทหารของนาโตเป็น 2 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีอย่างค่อยเป็นค่อยไปภายในปี 2024

     ดังนั้นเยอรมนีและประเทศสมาชิกอีก 22 ประเทศไม่ได้ค้างชำระหนี้จำนวนมหาศาลต่อนาโตตามที่ทรัมป์กล่าวอ้าง อีกทั้งประเทศเหล่านี้ยังเห็นพ้องและยินดีที่จะปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้อีกด้วย

  

อนาคตของนาโตกับการต่อต้านภัยการก่อการร้าย

     การประชุมในครั้งนี้ถือเป็นการต้อนรับ ‘มอนเตเนโกร’ ที่กำลังจะเข้ามาเป็นสมาชิกลำดับที่ 29 ของนาโต ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าประตูสำหรับการเข้ามาเป็นสมาชิกนาโตยังคงเปิดกว้างเสมอ การร่วมมือกันระหว่างประเทศสมาชิกจะทำให้นาโตเเข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะการต่อต้านภัยก่อการร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

     ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมในการประชุมครั้งนี้คือการประกาศต่อสู้กับกลุ่มไอเอสอย่างเป็นทางการของนาโตที่ทรัมป์พยายามเรียกร้องมาโดยตลอด แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็ต่อต้านและหาทางรับมือกับกลุ่มก่อการร้ายนี้อยู่แล้ว การประกาศต่อสู้กับกลุ่มไอเอสของนาโตจึงไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของการสู้รบเท่าใดนัก เพราะการสนับสนุนของนาโตยังคงอยู่ในวงจำกัดเเค่การช่วยฝึกกำลังพล การส่งเครื่องบินรบสอดแนม และการตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการรบเท่านั้น

     อาทิตย์ ทองอินทร์ หัวหน้าภาควิชาสังคมศาสตร์ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความเห็นว่า “ถ้อยแถลงของทรัมป์ในที่ประชุมที่เรียกร้องให้นาโตหันมาให้ความสำคัญกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่อย่างการก่อการร้ายมากขึ้น สืบเนื่องมาจากการกล่าวถ้อยแถลงก่อนหน้าในโลกอาหรับ ซึ่งเป็นการย้ำชัดถึงจุดยืนของสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ ในเวทีระหว่างประเทศ”

 

Photo: EMMANUEL DUNAND, AFP/Profile

‘รัสเซีย’ มหาอำนาจที่นาโตไม่อาจละสายตา

     ไม่เพียงประเด็นการก่อการร้าย อาทิตย์ยังมองว่า “รัสเซียเป็นมหาอำนาจที่นาโตยังต้องจับตามองต่อไป ผลพวงจากการขยายจำนวนสมาชิกและความพยายามที่จะร่วมมือกับยุโรปตะวันออกและเอเชียกลางในทศวรรษ 1990 เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้รัสเซียหวาดระแวงแบบในทุกวันนี้ และปะทุออกมาเป็นสงครามผนวกแหลมไครเมีย รวมถึงสงครามในซีเรียด้วย

     “สงครามกลางเมืองซีเรียระหว่างมหาอำนาจมีความคล้ายคลึงกับสงครามเย็น รวมถึงภัยการก่อการร้าย โดยถ้อยแถลงก่อนหน้านี้ของทรัมป์ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียจะราบรื่นขึ้น แต่ต่อมามีสมมติฐานว่ารัสเซียให้การสนับสนุนแก่รัฐบาลซีเรียในการสู้รบ สหรัฐฯ จึงตัดสินใจทิ้งระเบิดโทมาฮอว์กถล่มฐานทัพของรัฐบาลซีเรียที่ใช้กำลังความรุนแรงปราบปรามประชาชนของตนเอง สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าถ้อยแถลงของทรัมป์อาจไม่สอดคล้องกับการกระทำที่เกิดขึ้นจริงเสมอไป จึงทำให้การคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตทำได้ยากยิ่งขึ้น”

     ภายหลังการประชุมสิ้นสุดลง ทำเนียบขาวได้ออกแถลงการณ์เพื่อยืนยันว่า สหรัฐฯ จะยังคงให้การสนับสนุนประเทศสมาชิกนาโตที่ตกอยู่ในภาวะสงคราม และเหล่าผู้นำประเทศยังได้หารือถึงแนวทางในการต่อสู้กับกลุ่มไอเอสร่วมกันแล้วเพื่อเน้นย้ำสายสัมพันธ์ที่ยังคงแน่นแฟ้นระหว่างสหรัฐฯ กับยุโรป

     นาโตจะยังเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่มีความสำคัญต่อสหรัฐอเมริกาในการถ่วงดุลกับรัสเซียในอนาคต รวมถึงรักษาความมั่นคงร่วมภายในภูมิภาค แม้ว่าทรัมป์จะมีความใกล้ชิดกับรัสเซีย และเรียกร้องให้นาโตให้ความสำคัญต่อประเด็นการก่อการร้ายเพิ่มมากขึ้น แต่รัสเซียก็ยังคงเป็นมหาอำนาจที่สั่นคลอนความมั่นคงร่วมในยุโรปตะวันออกและแถบทะเลบอลติกที่สหรัฐฯ จะต้องสวมบทบาท ‘ถ่วงดุล’ ต่อไป

 

จุดยืนที่แท้จริงของนาโต

    เมื่อมหาอำนาจของโลกไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว ทิศทางในการดำเนินนโยบายต่างประเทศต่อนาโตภายใต้รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ จึงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง สหรัฐฯ จะยังคงให้ความสำคัญกับนาโตต่อไป เพียงแต่อาจจะมีการสร้างแรงกดดันที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นตามแบบฉบับของประธานาธิบดีที่มองทุกเรื่องเป็น ‘ธุรกิจและตัวเลข’    

    อาทิตย์กล่าวเสริมว่า “ภารกิจของนาโตในการต่อต้านการก่อการร้ายภายใต้การนำของมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ยังคงถูกตั้งคำถามจากมหาอำนาจที่ไม่ได้เป็นสมาชิกนาโตอย่างรัสเซีย การที่นาโตยังคงมุ่งเป้ามาที่ยุโรปตะวันออกมากกว่าตะวันออกกลาง ทำให้รัสเซียยังมองว่านาโตเป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องปรามมหาอำนาจด้วยกันเองมากกว่าจะเป็นการต่อสู้กับภัยคุกคามรูปแบบใหม่อย่างแท้จริง

    “สาเหตุที่ในหลายๆ ประเทศมีการจับอาวุธและเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาที่ฝังรากลึกภายในประเทศที่รัฐบาลประเทศนั้นๆ จะต้องรีบแก้ไข องค์การระหว่างประเทศอย่างนาโตและองค์กรอื่นๆ ทำได้เพียงยับยั้งที่ปลายเหตุผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศสมาชิก นาโตยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากการต่อต้านการก่อการร้ายอีกมากมายในอนาคต”

    ความสัมพันธ์ภายในนาโตเคยถูกสั่นคลอนจากกรณี Brexit มาแล้ว และถึงแม้ว่าการเลือกตั้งฝรั่งเศสครั้งที่ผ่านมาจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายขวา แต่ประมาณปีหน้าการเลือกตั้งในยุโรปก็ยังคงน่าจับตามอง อย่างในอิตาลี พรรคฝ่ายขวาที่กำลังได้รับความนิยมจากนโยบายจัดการผู้อพยพในขณะนี้ หากพวกเขาชนะการเลือกตั้งก็มีแนวโน้มที่จะจัดการลงประชามติเพื่อนำอิตาลีออกจากสหภาพยุโรปอีกหนึ่งประเทศ

     ถ้าวันนั้นมาถึง ความสัมพันธ์ภายในนาโต ‘อาจจะ’ ถูกสั่นคลอนอีกระลอกหนึ่ง พร้อมทั้งเกิดสัญญาณของการล่มสลายขององค์การเหนือรัฐอย่างสหภาพยุโรปก็เป็นได้

 

อ้างอิง:

The post ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับจุดยืนที่เปลี่ยนไปใน NATO appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/news-politics-trump-nato/feed/ 0