ธนาคารโลกแต่งตั้ง เมลินดา กู๊ด ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศไทยและประเทศเมียนมาคนใหม่ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567

การแต่งตั้งดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญของทั้งสองประเทศ โดยประเทศไทยเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปี พ.ศ. 2569 ของกลุ่มธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ณ กรุงเทพมหานคร อีกทั้งปีนี้ยังเป็นปีที่ธนาคารโลกฉลองการครบรอบ 75 ปีที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกของธนาคารโลก ซึ่งเป็นความร่วมมือที่ยาวนานถึง 7 ทศวรรษในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ

ขณะที่การพัฒนาของประเทศเมียนมามีความซับซ้อนและพลิกผันเป็นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อันเป็นผลจากการเกิดวิกฤตการณ์หลายอย่างที่ทับซ้อนกัน

หน้าที่หลักของกู๊ดในการรับตำแหน่งครั้งนี้คือ การกำกับดูแลโครงการต่างๆ ของธนาคารโลกในประเทศไทยและประเทศเมียนมา รวมทั้งดำเนินการเจรจาเชิงนโยบายของธนาคารโลกกับภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา ภาคเอกชน และพันธมิตรอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง

สำหรับประเทศไทย กู๊ดจะมุ่งเน้นไปที่การดำเนินการตามกรอบความร่วมมือเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (Country Partnership Framework: CPF) ฉบับใหม่สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2568-2572 ซึ่งธนาคารโลกจะใช้เป็นพิมพ์เขียวในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูงอย่างยั่งยืน กรอบความร่วมมือเพื่อการพัฒนาประเทศจะสอดคล้องกับเป้าหมายของกลุ่มธนาคารโลกในการยุติความยากจนขั้นรุนแรง และเพิ่มความมั่งคั่งบนโลกที่น่าอยู่ร่วมกัน

ในส่วนของประเทศเมียนมา ธนาคารโลกยังคงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนประเทศและประชาชนเมียนมาตามยุทธศาสตร์ความเปราะบาง ความขัดแย้ง และความรุนแรง (Fragility, Conflict, and Violence: FCV) ของธนาคารโลก ภายใต้การนำของกู๊ด การทำงานจะมุ่งเน้นที่การให้ข้อมูลเชิงวิเคราะห์ที่ครอบคลุมและคำแนะนำเชิงกลยุทธ์ เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มคนยากจนและกลุ่มเปราะบาง

“ดิฉันรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับตำแหน่งใหม่ในฐานะผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศไทยและประเทศเมียนมา และหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนประชาชนของทั้งสองประเทศในการรับมือกับสภาพแวดล้อมของโลกที่ซับซ้อนหลังการระบาดใหญ่ของโควิด” กู๊ดกล่าว

เมลินดา กู๊ด เป็นชาวอเมริกัน เริ่มทำงานกับธนาคารโลกในปี 2548 และมีประสบการณ์ทำงานในตำแหน่งผู้บริหารหลายครั้ง รวมถึงในเอเชียใต้ที่เธอเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศอัฟกานิสถาน และผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการในประเทศปากีสถาน ก่อนที่จะร่วมงานกับธนาคารโลกกู๊ดเคยร่วมงานกับธนาคารพัฒนาเอเชียในประเทศฟิลิปปินส์และ Millennium Challenge Corporation ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เธอเริ่มต้นอาชีพของเธอในฐานะทนายความของบริษัทเอกชนในนครนิวยอร์กและประเทศสิงคโปร์ นอกจากนี้เธอยังเคยทำงานในเอเชียใต้, เอเชียตะวันออก, เอเชียกลาง, หมู่เกาะแปซิฟิก และอเมริกาเหนือ

ความร่วมมือที่มุ่งเน้นไปด้านความรู้ระหว่างธนาคารโลกกับประเทศไทย ได้รวมเอาระบบวิเคราะห์ที่ล้ำหน้าและการบริการให้คำปรึกษา เพื่อสนับสนุนแนวทางการพัฒนาของประเทศ ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนการดำเนินงานของธนาคารโลกในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ, การบริหารการคลังและเศรษฐกิจของประเทศไทย เนื่องจากประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น ดังนั้นความร่วมมือนี้จึงมีจุดมุ่งหมายในการเพิ่มความสามารถในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศไทยอีกด้วย 

ปัจจุบันธนาคารโลกร่วมมือกับหน่วยงานรัฐของไทยหลายหน่วยงาน เพื่อประเมินนโยบายด้านนวัตกรรมของประเทศ ปรับปรุงคุณภาพการศึกษา และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของเมืองรองต่างๆ ให้พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลง

ในประเทศเมียนมา ธนาคารโลกได้ดำเนินงานศึกษาแบบวิเคราะห์เชิงลึก พัฒนาความรู้ในพื้นที่ และเผยแพร่ข้อมูลเหล่านั้นในวงกว้างผ่าน World Bank Myanmar Monitoring Platform นอกจากนี้ธนาคารโลกยังให้ความช่วยเหลือชุมชนเปราะบางของเมียนมาผ่านโครงการ Myanmar Community Support Project (MCSP) ซึ่งมีเป้าหมายในการเพิ่มความมั่นคงทางอาหาร และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต โดยโครงการดังกล่าวดำเนินการโดยโครงการอาหารโลก (World Food Programme) และคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (International Committee of the Red Cross)

ภาพ: NurPhoto / Contributor / Getty Images

The post ธนาคารโลกแต่งตั้ง ‘เมลินดา กู๊ด’ เป็นผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศไทยและเมียนมาคนใหม่ appeared first on THE STANDARD.

พลเมืองชาวอัฟกันราว 6 ล้านคนเข้าใกล้ภาวะอดอยากมากยิ่งขึ้นทุกขณะ หลัง ‘โครงการอาหารโลก’ (WFP) เตรียมระงับความช่วยเหลือด้านอาหารแก่อัฟกานิสถาน หากไม่ได้รับเงินทุนสนับสนุนก้อนใหม่ในเร็ววันนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ WFP จะไม่มีทรัพยากรมากเพียงพอที่จะส่งมอบความช่วยเหลือทางด้านอาหารให้แก่บรรดาประเทศวิกฤต รวมถึงอัฟกานิสถานภายในเดือนมิถุนายนนี้

โดยชาวอัฟกันจำนวน 19.9 ล้านคนได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอ และมีความเสี่ยงที่จะเผชิญวิกฤตด้านความมั่นคงทางด้านอาหารในอนาคตอันใกล้

ทางด้านฟิลิปป์ ครอปฟ์ หัวหน้าฝ่ายสื่อสารองค์กรของ WFP เผยว่า “การส่งมอบความช่วยเหลือทางด้านอาหารของเราลดลงจาก 13 ล้านคน ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มาอยู่ที่ราว 9 ล้านคนในเดือนเมษายนนี้ โดยอาจลดลงเหลือราว 5 ล้านคนในช่วงเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ และลดลงเป็นศูนย์ในเดือนมิถุนายนนี้เป็นต้นไป”

ขณะที่ เสี่ยวเหว่ยหลี่ ผู้อำนวยการโครงการ WFP ประจำอัฟกานิสถานระบุว่า “ประเทศนี้มีความเสี่ยงสูงสุดที่จะเผชิญหน้ากับภาวะอดอยากยาวนานกว่า 1 ใน 4 ของศตวรรษ และความช่วยเหลือทางด้านอาหารของ WFP ก็เป็นหนทางสุดท้ายของชาวอัฟกันหลายล้านคน”

ความมั่นคงและความมีเสถียรภาพของอัฟกานิสถานถูกสั่นคลอนด้วยความอดอยากและการล่มสลายทางเศรษฐกิจ นับตั้งแต่กลุ่มตาลีบันกลับขึ้นมามีอำนาจในเดือนสิงหาคม 2021 หลังสงคราม 20 ปีและการเข้าไปมีอิทธิพลของกองทัพสหรัฐอเมริกาในพื้นที่แถบนั้น ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศที่บอบช้ำจากสงครามและความขัดแย้งเช่นนี้ต้องพึ่งพาเงินทุนจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งการก้าวขึ้นสู่อำนาจที่ไม่ชอบธรรมของตาลีบันยังมีส่วนทำให้ประชาคมโลกไม่ยอมรับและดำเนินมาตรการคว่ำบาตรต่ออัฟกานิสถานอย่างเข้มข้นขึ้น 

นอกจากนี้กลุ่มตาลีบันยังได้รับกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงความพยายามในการจำกัดสิทธิ เสรีภาพ รวมถึงพื้นที่ทางการแสดงออกของบรรดาผู้หญิงชาวอัฟกัน โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องการแต่งกายให้เหมาะสม รวมถึงการตัดสิทธิให้เข้าถึงพื้นที่ทางการศึกษาและการทำงานภายในสังคมอัฟกันภายใต้รัฐบาลตาลีบัน

โดยหลายประเทศในประชาคมโลกมีความเสี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับความไม่มั่นคงทางด้านอาหารมากยิ่งขึ้น ซึ่งนอกจากจะมาจากปัจจัยภายในประเทศนั้นๆ รวมถึงประเด็นเรื่องสงคราม ความขัดแย้ง และภาวะโรคระบาดแล้ว ยังเกี่ยวเนื่องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกอีกด้วย ส่งผลให้วิกฤตด้านมนุษยธรรมโลกมีแนวโน้มรุนแรงมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย

ภาพ: A M Syed / Shutterstock

อ้างอิง:

• https://www.aljazeera.com/news/2023/4/20/millions-close-to-hunger-after-wfp-cuts-food-aid-to-afghanistan
• https://www.wfp.org/emergencies/afghanistan-emergency 
• https://earth.org/the-food-crisis-in-afghanistan/

The post ชาวอัฟกันราว 6 ล้านคนเข้าใกล้ภาวะอดอยาก หลัง WFP เตรียมระงับความช่วยเหลือด้านอาหารแก่อัฟกานิสถาน appeared first on THE STANDARD.

โครงการอาหารโลก (WFP) และองค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยรายงานความมั่นคงด้านอาหารและโภชนาการของสหประชาชาติประจำปี 2022 โดยระบุว่า ยอดผู้ขาดแคลนอาหารปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา หลังจากที่เคยทะยานขึ้นอย่างมากเมื่อปี 2020 จากโควิด ส่วนในปีนี้ สงครามในยูเครนและปัญหาสภาวะโลกรวนยังมีแนวโน้มก่อให้เกิดความอดอยาก และการย้ายถิ่นฐานเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์

รายงานระบุว่า ในปี 2021 ผู้คนมากถึง 828 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 9.8% ของประชากรโลกได้รับผลกระทบจากความหิวโหย หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2020 กว่า 46 ล้านคน และมากกว่าปี 2019 ราว 150 ล้านคน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่ากังวล เพราะระดับคนที่อดอยากในปี 2015-2019 นั้นค่อนข้างทรงตัวมาตลอด

นอกจากนี้ ผู้หญิงยังมีความเสี่ยงที่จะขาดแคลนอาหารมากกว่าผู้ชาย โดยผู้หญิง 31.9% เผชิญกับความไม่มั่นคงทางอาหารในระดับปานกลางหรือรุนแรง ขณะสัดส่วนของผู้ชายอยู่ที่ 27.6%

ขณะเดียวกัน สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ก่อตัวขึ้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ส่งผลให้การส่งออกสินค้าจำเป็นอย่างธัญพืช เชื้อเพลิง และปุ๋ยหยุดชะงักลง สิ่งที่ตามมาคือราคาอาหารปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ทั่วโลก ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เข้ามาซ้ำเติมความย่ำแย่จากโควิดที่ยังไม่ทันจางหายไป นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อปัญหาความมั่นคงทางอาหาร เช่น ความขัดแย้งทางการเมือง สภาวะโลกรวน เศรษฐกิจถดถอย และความไม่เท่าเทียม

เดวิด บีสลีย์ กรรมการบริหารของ WFP กล่าวว่า “มีความเสี่ยงอย่างมากที่ตัวเลขเหล่านี้จะพุ่งสูงขึ้นอีกในช่วงหลายเดือนข้างหน้า” โดยเสริมว่า สงครามรัสเซียและยูเครนจ่อสร้างแรงกดดันให้ประเทศต่างๆ เผชิญกับความอดอยาก

“ผลที่ตามมาคือโลกจะเผชิญกับความไม่มั่นคง ความอดอยาก และการอพยพจำนวนมากในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เราต้องดำเนินการในวันนี้เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะที่จะเกิดขึ้นในอนาคต” เขากล่าวเสริม

ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ของ WHO ระบุว่า “ทุกปีมีผู้เสียชีวิต 11 ล้านคนเนื่องจากการรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ราคาอาหารที่สูงขึ้นหมายความว่าสถานการณ์นี้จะยิ่งแย่ลงอีก 

“องค์การอนามัยโลกสนับสนุนความพยายามของประเทศต่างๆ ในการปรับปรุงระบบอาหารผ่านการเก็บภาษีอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ สนับสนุนทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ ปกป้องเด็กจากการตลาดที่เป็นอันตราย และรับรองฉลากโภชนาการที่ชัดเจน” เขากล่าวเสริม

แฟ้มภาพ: Paula Bronstein / Getty Images

อ้างอิง:

• https://www.aljazeera.com/news/2022/7/6/world-hunger-rising-as-un-agencies-warn-of-looming-catastrophe
• https://news.un.org/en/story/2022/07/1122032
• https://www.dailysabah.com/world/looming-catastrophe-world-hunger-rises-to-23b-people-in-2021/news

The post UN เผยยอดผู้ขาดแคลนอาหารเพิ่มขึ้นทั่วโลกในปี 2021 เตือนสงครามยูเครน-โลกร้อน อาจทำคนอดอยากพุ่งเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ appeared first on THE STANDARD.

เดวิด บีสลีย์ ผู้อำนวยการโครงการอาหารโลก ขององค์การสหประชาชาติ (United Nations World Food Programme) ได้ออกมากล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ CNN Business ว่า กลุ่มบุคคลที่ร่ำรวยกลุ่มเล็กๆ สามารถช่วยแก้ปัญหาความหิวโหยของโลกได้ โดยใช้เพียงเศษเสี้ยวของความมั่งคั่ง ซึ่งเขาได้กล่าวถึงชาย 2 คนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกคือ อีลอน มัสก์ และ เจฟฟ์ เบโซส์

“เงิน 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2 แสนล้านบาท) เพื่อช่วยเหลือผู้คน 42 ล้านคนที่จะเสียชีวิต หากเราไม่สามารถเข้าถึงพวกเขาได้ มันไม่ใช่เรื่องซับซ้อน” เขากล่าวเสริม

มัสก์ ผู้ก่อตั้ง Tesla มีความมั่งคั้งอยู่ที่ 2.886 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 9.5 ล้านล้านบาท ตามข้อมูลของ Bloomberg Billionaires Index ซึ่งหมายความว่าบีสลีย์ขอบริจาคเพียง 2% ของความมั่งคั่งของเขา

ตามรายงานของ Institute for Policy Studies และ Americans for Tax Fairness เผยว่า มูลค่าความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคโควิด ณ เดือนตุลาคม ความมั่งคั่งรวมอยู่ที่ 5.04 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 167.6 ล้านล้านบาท

บีสลีย์กล่าวว่า ‘สถานการณ์ที่เลวร้ายลง’ ของวิกฤตการณ์ต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการระบาดใหญ่ของโควิด ทำให้หลายประเทศกำลังถูก ‘ความอดอยาก’ มาเคาะประตูถึงหน้าบ้าน

รายงานของ WFP ที่เพิ่งเปิดเผยออกมาระบุว่า ครึ่งหนึ่งของประชากรอัฟกานิสถาน 22.8 ล้านคน เผชิญกับวิกฤตความหิวโหยอย่างรุนแรง อันเกิดจากวิกฤตการว่างงานและวิกฤตสภาพคล่อง หมายความว่าประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤตด้านมนุษยธรรม และเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี จำนวน 3.2 ล้านคน ตกอยู่ในความเสี่ยง

ขณะเดียวกัน รายงานชุดใหม่ของรัฐบาลไบเดนได้ออกคำเตือนอย่างจริงจังว่า ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะแผ่กว้างและจะสร้างปัญหาให้กับทุกรัฐบาล โดยจะก่อให้เกิดการโยกย้ายถิ่นฐาน เป็นต้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

• ‘อีลอน มัสก์’ กลายเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกด้วยมูลค่าความมั่งคั่ง 7.7 ล้านล้านบาท ซึ่งเท่ากับนำทรัพย์สินของ บิล เกตส์ และ วอร์เรน บัฟเฟตต์ มารวมกัน
• ‘อีลอน มัสก์’ รวยขึ้น 1.19 ล้านล้านบาทภายใน 1 วัน จนตอนนี้ความมั่งคั่งมีมูลค่ามากกว่า ExxonMobil หรือ Nike แล้ว

อ้างอิง:

• https://edition.cnn.com/2021/10/26/economy/musk-world-hunger-wfp-intl/index.html 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

• Twitter: twitter.com/standard_wealth
• Instagram: instagram.com/thestandardwealth
• Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP

The post ผู้อำนวยการโครงการอาหารโลกกล่าวว่า เพียง 2% จากความมั่งคั่งของ ‘อีลอน มัสก์’ จะสามารถแก้ปัญหา ‘ความหิวโหย’ ของโลกได้ appeared first on THE STANDARD.

ปฏิเสธไม่ได้เลยสำหรับความสำเร็จอันล้นหลามของ The Weeknd หรือ Abel Tesfaye ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา และล่าสุด World Food Programme (WFP) หรือโครงการอาหารโลก ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านมนุษยธรรมภายใต้องค์การสหประชาชาติ (UN) ก็ตอกย้ำความเป็นไอคอนที่น่าชื่นชมแห่งยุคของศิลปินหนุ่ม ด้วยการประกาศให้ The Weeknd เป็นทูตสันถวไมตรีคนใหม่เคียงข้างนักแสดงสาว Kate Hudson, ดีไซเนอร์ Michael Kors และคนอื่นๆ อีกมากมาย

ถ้าหากใครที่ติดตาม The Weeknd นอกเหนือจากในฐานะนักร้องที่เก่งกาจ ก็จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาเขายังเป็นกระบอกเสียงทำให้ผู้คนรับรู้และให้ความสำคัญกับปัญหาความอดอยากที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก และยังบริจาคเงินมากกว่า 3 ล้านดอลลาร์ หรือราว 101 ล้านบาท ให้กับองค์กรการกุศลมากมายอยู่เรื่อยมา ซึ่งไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้เขาก็เพิ่งบริจาคเงินจำนวน 31 ล้านบาท ให้กับ WFP เพื่อช่วยเหลือผู้อดอยากจากสถานการณ์สู้รบในประเทศเอธิโอเปียบ้านเกิดของพ่อและแม่ของเขา

The Weeknd กล่าวว่า “โครงการอาหารโลกของ UN กำลังทำงานที่เร่งด่วนและสำคัญ นั่นคือการเปลี่ยนแปลงและช่วยชีวิตคนในทุกๆ วัน ผมมีความกระตือรือร้นที่จะช่วยแก้ไขปัญหาความหิวโหยและผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือทั่วโลก การร่วมมือของเราคือการขยายความพยายามและตั้งใจในการช่วยเหลืออย่างแท้จริง และนำมาซึ่งจุดจบของความทรมานเหล่านั้น”

ด้านซีอีโอของ WFP ประจำประเทศสหรัฐอเมริกา Barron Segar ก็ได้เผยความรู้สึกในการเลือก The Weeknd มาเป็นทูตสันถวไมตรีเช่นกัน “ไม่ว่าจะเป็นการแสดงหรือการเป็นกระบอกเสียงให้ปัญหาความอดอยากที่เกิดขึ้นทั่วโลก เสียงของ The Weeknd นั้นทรงพลังและยังสร้างแรงบันดาลใจ เรามีเป้าหมายที่ตรงกันคือการทุ่มเทในการช่วยเหลือคนทั่วโลก”

ภาพ: Rich Fury/Getty Images for U.N. World Food Programme 

อ้างอิง: 

• https://www.prnewswire.com/news-releases/un-world-food-programme-announces-the-weeknd-as-goodwill-ambassador-301395733.html

The post The Weeknd เป็นทูตสันถวไมตรีคนใหม่ของสหประชาชาติ ด้านโครงการอาหารโลก appeared first on THE STANDARD.

วานนี้ (22 เมษายน) โครงการอาหารโลก (World Food Program: WFP) เตือน ภายใน 6 เดือนข้างหน้า ชาวเมียนมากว่า 3.4 ล้านราย อาจประสบภาวะความหิวโหย หลังราคาสินค้าต่างๆ เพิ่มสูงขึ้น เศรษฐกิจได้รับผลกระทบ เกิดการว่างงาน หลายภาคส่วนหยุดชะงัก เนื่องจากผลพวงของการก่อรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนของกองทัพเมียนมา ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ภายในประเทศ

WFP ยังระบุอีกว่า ความไม่มั่นคงทางด้านอาหารในเมียนมามีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นอีก การค้าการลงทุนจากต่างประเทศหยุดชะงัก โครงการพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐานอย่างนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากเกาหลีใต้ รวมถึงโครงการสร้างสะพานเชื่อมย่างกุ้งกับตาน-ลยีน รวมถึงขยายเขตเศรษฐกิจพิเศษติละวาที่ได้รับการสนับสนุนจากญี่ปุ่น ถูกระงับชั่วคราว แบรนด์สินค้าจากตะวันตกหลายแบรนด์ก็ปฏิเสธคำสั่งส่งสินค้าลอตใหม่ไปยังเมียนมา หลังตกอยู่ภายใต้เงารัฐประหารของกองทัพ

ทางด้าน สตีเฟน แอนเดอร์สัน ผู้อำนวยการ WFP ประจำเมียนมาชี้ คนยากจนในเมียนมาจะว่างงานและมีแนวโน้มไม่สามารถหาอาหารเพื่อเลี้ยงชีพได้มากยิ่งขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องเข้าช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม บรรเทาวิกฤตดังกล่าวโดยเร็ว และป้องกันความมั่นคงทางด้านอาหารที่กำลังเสื่อมถอยลง

จากการเฝ้าติดตามตลาดเมียนมาของ WFP พบว่า ราคาข้าวเฉลี่ยทั่วประเทศเพิ่มสูงขึ้น 5% นับตั้งแต่มกราคมที่ผ่านมา ในบางเมืองของรัฐคะฉิ่น ราคาข้าวพุ่งสูงถึง 43% ขณะที่ราคาน้ำมันประกอบอาหารเพิ่มสูงขึ้น 32% ส่วราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้นราว 30% ทั่วประเทศ 

โดย WFP เป็นหน่วยงานด้านมนุษยธรรมภายใต้องค์การสหประชาชาติ (UN) ที่ให้ความช่วยเหลือและจัดการกับปัญหาความหิวโหยทั่วโลก ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี 2020 หลังคณะกรรมการพิจารณาว่า WFP มีความพยายามอย่างยิ่งยวดในการต่อสู้กับความหิวโหยและขับเคลื่อนสันติภาพในพื้นที่พิพาทและมีความขัดแย้ง ทั้งยังป้องกันการใช้ความหิวโหยเป็นหนึ่งในเครื่องมือในสงครามและความขัดแย้ง

บทความที่เกี่ยวข้อง:

• รัฐประหารเมียนมา: ใครเป็นใครใน ‘รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ’ เพื่อคานอำนาจกองทัพ 
• 4 ฉากทัศน์ชี้ชะตาอนาคตเมียนมา ไทยควรมีบทบาทอย่างไร โดย รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม

ภาพ: Ye Aung Thu / AFP

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

อ้างอิง:

• https://www.wfp.org/news/wfp-step-operations-response-fast-rising-hunger-myanmar
• https://www.irrawaddy.com/news/burma/world-food-program-warns-widespread-hunger-myanmar.html 
• https://www.irrawaddy.com/news/burma/myanmars-economy-freefall-military-regime.html 

The post โครงการอาหารโลกเตือน ภายใน 6 เดือนข้างหน้า ชาวเมียนมากว่า 3.4 ล้านราย อาจประสบภาวะความหิวโหย จากวิกฤตในประเทศ appeared first on THE STANDARD.

คณะกรรมการพิจารณารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ตัดสินใจมอบรางวัลนี้ให้กับ ‘โครงการอาหารโลก’ (World Food Programme: WFP) หน่วยงานด้านมนุษยธรรมภายใต้องค์การสหประชาชาติ (UN) ที่ให้ความช่วยเหลือและจัดการกับปัญหาความหิวโหยทั่วโลก

โดยคณะกรรมการให้เหตุผลว่า WFP มีความพยายามอย่างยิ่งยวดในการต่อสู้กับความหิวโหยและขับเคลื่อนสันติภาพในพื้นที่พิพาทและมีความขัดแย้ง ทั้งยังป้องกันการใช้ความหิวโหยเป็นหนึ่งในเครื่องมือในสงครามและความขัดแย้ง

The post ‘โครงการอาหารโลก’ คว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ 2020 appeared first on THE STANDARD.

โครงการอาหารโลก (World Food Programme: WFP) องค์กรไม่แสวงผลกำไรภายใต้สหประชาชาติ (UN) ประกาศยุติการส่งความช่วยเหลือทางด้านอาหารบางส่วนเข้าไปยังเยเมนแล้ว โดยเฉพาะในกรุงซานา เมืองหลวงของประเทศ เนื่องจากระบบโครงสร้างพื้นฐานส่วนใหญ่ได้รับความเสียหายเกือบหมด อีกทั้งอาจกระทบต่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่โครงการที่เดินทางเข้าไปช่วยเหลือ

แต่อย่างไรก็ตาม การส่งความช่วยเหลือให้แก่เด็ก หญิงตั้งครรภ์ รวมถึงการพยาบาลแม่และเด็กจะยังคงดำเนินต่อไป แม้สถานการณ์ความรุนแรงในเยเมนจะรุนแรงเพิ่มมากขึ้น

เยเมนถือเป็นหนึ่งในประเทศที่เผชิญหน้ากับวิกฤตด้านมนุษยธรรมครั้งใหญ่ที่สุดในโลก ต้องได้รับความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน คาดการณ์ว่า ขณะนี้มีประชากรกว่า 12 ล้านคน หรือราว 40% ของประชากรทั้งหมดกำลังตกอยู่ในภาวะอดยาก และประสบปัญหาทุพโภชนาการอย่างรุนแรง ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ถูกกบฏฮูตีครอบครอง

เมื่อช่วงปลายปี 2018 ที่ผ่านมา ตัวแทนรัฐบาลเยเมนและกบฏฮูตีบรรลุข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวที่กรุงสตอกโฮล์ม พร้อมทั้งเคลื่อนกองกำลังออกจากเมืองท่าต่างๆ Hudaydah, Salif และ Ras Issa เพื่อเปิดทางให้กับทีมช่วยเหลือเข้าไปยังพื้นที่ด้านใน บรรเทาความหิวโหยของประชากรหลายล้านคนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามเยเมนที่ยืดเยื้อมานานกว่า 3 ปี ซึ่งนับเป็นวิกฤตด้านมนุษยธรรมครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ก่อนที่จะกลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง

ความขัดแย้งภายในเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2014 เมื่อกบฏฮูตี กลุ่มมุสลิมนิกายชีอะห์ทำการยึดครองดินแดนต่างๆ ในเยเมน พร้อมกดดันให้ประธานาธิบดี Abdrabbuh Mansur Hadi เดินทางลี้ภัยยังต่างประเทศ โดยความขัดแย้งดังกล่าวปะทุขึ้นกลายเป็นสงครามตัวแทนเมื่อปี 2015 หลังจากซาอุดีอาระเบียและชาติอาหรับ มุสลิมนิกายซุนนีอีก 8 ชาติ ต่างกระโจนเข้ามาในสนามรบแห่งนี้ โดยตั้งเป้าจะโจมตีกลุ่มกบฏ และคืนอำนาจให้แก่ประธานาธิบดี

โดย The Armed Conflict Location & Event Data Project (ACLED) ระบุว่า จำนวนยอดผู้เสียชีวิตจากวิกฤตในเยเมนสูงเกือบ 1 แสนคนแล้ว นับตั้งแต่ปี 2015 โดยเฉพาะในปีนี้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 11,900 คน

ภาพ: Mohammed Hamoud / Getty Images

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

อ้างอิง:

• www.acleddata.com/2019/06/18/yemen-snapshots-2015-2019
• www.bbc.com/news/world-middle-east-48716258
• www.theguardian.com/world/2019/jun/20/yemen-civil-war-the-conflict-explained

The post ยูเอ็นยุติส่งความช่วยเหลือด้านอาหารบางส่วนไปเยเมน หลังมีผู้เสียชีวิตแล้วเกือบ 1 แสนคน นับตั้งแต่ปี 2015 appeared first on THE STANDARD.