แชมป์โลก – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 18 Nov 2024 13:42:06 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 น้ำตาแห่งความฝันของ ฆอร์เก มาร์ติน แชมป์โลกโมโตจีพีผู้มีชีวิตเหมือนอยู่บนรถไฟเหาะตีลังกา https://thestandard.co/jorge-martin-motogp-champion-dreams/ Mon, 18 Nov 2024 13:42:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1010110 jorge martin

น้ำตาแห่งความฝันของ ฆอร์เก มาร์ติน แชมป์โลกโมโตจีพี ผู้ […]

The post น้ำตาแห่งความฝันของ ฆอร์เก มาร์ติน แชมป์โลกโมโตจีพีผู้มีชีวิตเหมือนอยู่บนรถไฟเหาะตีลังกา appeared first on THE STANDARD.

]]>
jorge martin

น้ำตาแห่งความฝันของ ฆอร์เก มาร์ติน แชมป์โลกโมโตจีพี ผู้มีชีวิตเหมือนอยู่บนรถไฟเหาะตีลังกา

 

“ช่วง 2-3 รอบสุดท้าย ผมแทบขี่ไม่ได้เลย ผมเริ่มร้องไห้นิดหน่อยแล้ว มันเป็นการแข่งขันที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์อย่างแท้จริง มันเป็นการเดินทางที่ยาวนาน มีทั้งอุบัติเหตุและอาการบาดเจ็บมากมาย และในที่สุดเราก็มาถึงจุดนี้แล้ว” 

 

ฆอร์เก มาร์ติน นักบิดชาวสเปนวัย 26 ปีจากทีมพรีมา พราแมค เรซซิง อธิบายถึงความรู้สึกของเขาหลังได้ขึ้นชื่อว่า ‘แชมป์โลก’ จากการจบอันดับที่ 3 ในเรซสุดท้ายของฤดูกาลที่เซอร์กิตเดอบาร์เซโลนา-กาตาลุญญา ซึ่งทำให้เขาเก็บเพิ่มเป็น 508 คะแนน คว้าแชมป์โลก โดยเอาชนะคู่ปรับและเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง ฟรานเชสโก บัญญายา ไปได้ 10 คะแนน

 

มาร์ตินทำตามความฝันในวัยเด็กของเขาได้สำเร็จ ก่อนเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต เมื่อฤดูกาลหน้าเขาตกลงย้ายไปร่วมทีมอาพริเลีย เรซซิง ซึ่งนั่นจะทำให้เขาไม่ได้ควบรถของดูคาติอีกต่อไป

 

แต่ถึงอย่างนั้นชีวิตของเขาก่อนเดินทางมาถึงความสำเร็จในวันนี้ก็มีอะไรมากมายที่ต้องฝ่าฟัน และหลายครั้งอุปสรรคที่เจอก็เหมือนทำให้ชีวิตของเขาต้องอยู่บนรถไฟเหาะตีลังกาก็มิปาน

 

ความฝันแต่วัยเยาว์และจุดหักเหครั้งสำคัญ

 

ฆอร์เก มาร์ติน

 

“ผมชอบมอเตอร์ไซค์มาโดยตลอดและมันเหมือนเกม คือเริ่มต้นอย่างช้าๆ แล้วผมก็เร็วขึ้น แล้วผมก็ชนะ ได้รับการเลื่อนขั้นไปสู่การแข่งขันชิงแชมป์ครั้งต่อไป จากนั้นก็ชิงแชมป์ครั้งต่อไป…”

 

มาร์ตินสรุปชีวิตนักขับของเขาอย่างราบเรียบเช่นนั้น แม้มันจะเป็นความจริงอย่างยากจะปฏิเสธ และเป็นเส้นทางที่นักแข่งอาชีพทุกคนต้องเดินไป ทว่าสิ่งที่เขาสรุปออกมามันขาดทั้งรายละเอียด สีสัน และข้อมูลบางอย่างที่หล่อหลอมเขาให้เป็น ‘ฆอร์เก มาร์ติน แชมป์โลกโมโตจีพี’ แบบที่เรารู้จักกันในวันนี้

 

เขาเกิดในช่วงปลายยุค 90 และเติบโตมาจนรู้ความปลายยุค 2000 และต้นยุค 2010 ทำให้ชีวิตของเขาคุ้นชินกับชื่อของนักบิดระดับตำนานหลายคนอย่าง วาเลนติโน รอสซี, เคซีย์ สโตเนอร์, ฆอร์เก ลอเรนโซ และแม้แต่ มาร์ค มาร์เกซ

 

ความสนใจของเขาได้รับการเติมเต็มอย่างสมบูรณ์แบบจากครอบครัว ทำให้เขาตั้งใจที่จะไปในเส้นทางนักบิดจนสุดทางตั้งแต่ยังเด็ก

 

มาร์ตินกล่าวว่า “ครอบครัวของผมทุ่มเทอย่างหนักเพื่อสิ่งนี้ ผมมาจากมาดริด ดังนั้นการเดินทางจากที่นั่นไปยังสนามแข่งในย่านชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน บาเลนเซีย และบาร์เซโลนา เราต้องเดินทางทุกสุดสัปดาห์ ทั้งพ่อและแม่ของผมทำงานตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ดังนั้นมันจึงยากมาก แม้ว่าสำหรับผมแล้ว ผมแค่เล่นๆ ไปเรื่อยๆ ก็ตาม”

 

ชีวิตของมาร์ตินเหมือนจะราบรื่นและสงบสุข จนกระทั่งเกิดวิกฤตการเงินทั่วโลก พ่อของเขาตกงาน และเงินที่ใช้ไปแข่งขันก็หมดลง

 

มาร์ตินในวัย 15 ปี ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญเกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง และเลือกที่จะเดินตามความฝันต่อไป โดยสมัครเข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือกเพื่อแข่งขันในศึกเรดบูล โมโตจีพี รุกกี้ส์ คัพ การแข่งขันสำหรับนักบิดหน้าใหม่ และเป็นเวทีสู่การแข่งขันชิงแชมป์ 125 ซีซี หรือโมโตทรี ในโมโตจีพีต่อไป

 

มาร์ตินเริ่มต้นสนามแรกในศึกเรดบูล โมโตจีพี รุกกี้ส์ คัพ ได้อย่างเหลือเชื่อ เพราะเขาล้มตั้งแต่การแข่งขันสนามแรกในเซอร์กิโต เดอ เฆเรซ ฤดูกาล 2012 แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มีพัฒนาการที่ดีจนสามารถจบอันดับ 12 ในตารางคะแนนรวมของฤดูกาลแรกที่แข่งขันได้สำเร็จ

 

ในฤดูกาลต่อมา มาร์ตินสามารถปีนขึ้นมาจบอันดับ 2 และในฤดูกาลที่ 3 เมื่อปี 2014 มาร์ตินก็คว้าแชมป์ในศึกรุกกี้ส์ คัพ ได้สำเร็จ ทำให้เขาเดินทางไปสู่บทต่อไปของชีวิต นั่นคือการเป็นนักขับโมโตทรี

 

เพื่อน คู่แข่ง เส้นทางอาชีพ และสิ่งที่หล่อหลอมจนกลายเป็น ‘มาร์ติเนเตอร์’

 

 

มาร์ตินเริ่มต้นเส้นทางในโมโตทรีกับทีมมหินทรา ซึ่งที่นั่นเองเขามีเพื่อนร่วมทีมชื่อ ฟรานเชสโก บัญญายา ในตอนนั้นเขาไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเพื่อนร่วมทีมคนนี้จะเป็นคู่แข่งที่ร้ายกาจที่สุดในอาชีพของเขา และเป็นคนที่ทำให้เขาต้องผิดหวังจากแชมป์โลกในปี 2023

 

ไม่ใช่แค่ ‘เป็กโก’ เท่านั้นที่เขาต้องเจอในโมโตทรี เพราะอีกหลายชื่อที่เขาต้องแข่งขันด้วยในตอนนั้นกลายเป็นคู่แข่งในปัจจุบันของเขาในตอนนี้ ทั้ง เอเนีย บาสเตียนินี, แบรด บินเดอร์, ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร, โยอัน เมียร์ และ ฟาบิโอ ดิ จิอันนันโตนิโอ 

 

ผลงานของมาร์ตินกับมหินทราไม่ดีนัก โดยในปี 2015 เขาจบอันดับ 17 และปี 2016 เขาจบอันดับ 16 โดยมีเพียงโพเดียมเดียวจาก 34 เรซเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อย้ายทีมไปยังเกรซินี โมโตทรี เขาก็พิสูจน์ว่า 2 ปีแรกในโมโตทรีที่ไม่ประสบความสำเร็จนั้น ไม่ได้เป็นเพราะฝีมือหรือพรสวรรค์ของเขา เพราะในปี 2017 มาร์ตินควบรถฮอนด้าจบอันดับ 4 และในปี 2018 เขาคว้าแชมป์โมโตทรีได้สำเร็จ

 

แชมป์โลกโมโตทรีหยิบยื่นโอกาสสู่โมโตทูให้เขาไปสู่ทีมเรดบูล เคทีเอ็ม และเขาอยู่ที่นั่นเพียง 2 ปีก็โดนดึงสู่โมโตจีพีกับทีมพรีมา พราแมค เรซซิง

 

ผลงานและศักยภาพของเขาเพียงพอที่จะทำให้เขาได้ที่นั่งในประเภทพรีเมียร์กับทีมพราแมคในปี 2021 แต่การจะบอกว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตในโมโตจีพีที่วุ่นวายนั้น ยังถือว่าพูดน้อยเกินไปด้วยซ้ำ

 

มาร์ตินประสบอุบัติเหตุตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาขึ้นไปคร่อมรถดูคาติ เดสโมเซดิซี หมายเลข 89 ของเขา หลังจากนั้นเขาต้องเจอกับอาการบาดเจ็บมากมาย ทั้งกระดูกแข้งและกระดูกน่องหัก รวมไปถึงกระดูกมือหักหลายครั้ง ซึ่งเป็นปัญหาหลักในการกลับมาขี่มอเตอร์ไซค์อีกครั้ง

 

เขากล่าวต่อว่า “สิ่งที่ยากที่สุดในการเอาชนะคือความเจ็บปวดทั้งหมดที่เกิดขึ้นในร่างกาย ผมมีปัญหาบางอย่าง แม้กระทั่งตอนที่ผมชนะการแข่งขันครั้งแรกในชีวิต ผมก็ยังต้องต่อสู้กับปัญหาพวกนี้”

 

หลังจากขึ้นโพเดียมในศึกโมโตจีพีครั้งแรกในชีวิตที่ออสเตรียนกรังด์ปรีซ์ในวันที่ 15 สิงหาคม 2021 สัปดาห์ต่อมาเขาก็ยังต้องไปเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล และโดยรวมแล้วฤดูกาลแรกของเขาในโมโตจีพี เขาได้แข่งขันไปเพียง 14 เรซเท่านั้น

 

แต่ความใจสู้ที่เข้า-ออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นและเจ็บตัวบ่อยครั้งนี่เองที่นำมาซึ่งฉายาที่ทุกคนรู้จักกันมายาวนานจวบจนปัจจุบัน นั่นคือ ‘มาร์ติเนเตอร์’ ซึ่งมาจากชื่อของเขาอย่าง มาร์ติน บวกกับ เทอร์มิเนเตอร์ หรือคนเหล็ก ภาพยนตร์ชื่อดังในฮอลลีวูดนั่นเอง

 

แชมป์โลกโมโตจีพีที่สม่ำเสมอที่สุด

 

 

ประสบการณ์เฉียดแชมป์โลกของเขาเกิดขึ้นในปี 2023 และอย่างที่ทุกคนรู้กันดี นั่นคือในสนามสุดท้ายที่บาเลนเซียกรังด์ปรีซ์ มาร์ตินมอบแชมป์ให้บัญญายาแบบไม่ได้ลุ้น หลังตัวเองพลาดท่าล้มลงในรอบที่ 6 ทำให้เขาไม่ได้ลุ้นแชมป์จนสุดทาง

 

นั่นเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวดสำหรับมาร์ติน แต่มันก็เป็นบทเรียนครั้งสำคัญด้วย และที่น่าประทับใจคือเขาเรียนรู้จากมันได้อย่างดี

 

มาร์ตินกล่าวว่า “บางครั้งผมต้องใจเย็นลง ผ่อนคลาย และพยายามวิเคราะห์สถานการณ์ให้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น ฤดูกาลที่แล้วที่ผมนำอยู่ 3 วินาที (และล้ม) มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะทำแบบนั้น”

 

“อารมณ์ การควบคุมแรงกระตุ้น และการจัดการช่วงเวลาสำคัญ เป็นแง่มุมบางประการที่ผมพัฒนาขึ้นมากที่สุด”

 

สิ่งที่สนับสนุนแนวคิดนั้นของมาร์ตินได้ดีที่สุดคือผลงานของเขาในฤดูกาลนี้ เขาจบอันดับ 1 เพียงแค่ 3 สนามเท่านั้น ซึ่งมันน้อยกว่าปีที่แล้วอยู่ 1 เรซด้วยซ้ำ แต่เขากลับเป็นแชมป์โลกได้ในบั้นปลาย

 

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะมาร์ตินจัดการช่วงเวลาสำคัญได้ดีแบบที่เขาบอก เขาอดทนมากขึ้น สุขุมมากขึ้น และเลือกที่จะไม่เสี่ยงในจังหวะที่ไม่ควรเสี่ยงอีกต่อไป

 

ผลที่ได้คือการที่เขาจบโพเดียมมากถึง 16 จาก 20 สนามในปีนี้ และเป็นการจบอันดับที่ 2 ถึง 10 สนาม แม้ว่าเป็กโกจะคว้าแชมป์ได้ถึง 11 สนาม แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะคว้าแชมป์ เพราะเขาล้มมากกว่ามาร์ติน 1 สนาม (มาร์ตินล้ม 2 สนาม บัญญายาล้ม 3 สนาม) 

 

1 สนามที่มาร์ตินล้มน้อยกว่า นำมาซึ่งคะแนนช่องว่าง 10 คะแนนที่บัญญายามีน้อยกว่าจนไม่สามารถป้องกันแชมป์โลกไว้ได้ แม้ว่าจบอันดับ 1 ถึง 11 สนามก็ตาม

 

สิ่งที่มาร์ตินทำนั่นคือเรียนรู้จากความผิดพลาดและทำผลงานให้สม่ำเสมอขึ้น เขาล้มน้อยลงอย่างชัดเจน และความสม่ำเสมอนี่เองที่ทำให้เขาเอาชนะพรสวรรค์ราวปีศาจของบัญญายาได้ในท้ายที่สุด

 

ก้าวต่อไปที่ต้องรอดูปลายทาง

 

 

บทสรุปของโมโตจีพีฤดูกาล 2024 จบลงด้วยการคว้าแชมป์ของดูคาติในทุกประเภท โดยแชมป์บุคคลอย่างมาร์ตินก็ขับรถดูคาติ แชมป์ประเภททีมก็ของทีมโรงงานดูคาติอย่างดูคาติ เลโนโว และแชมป์ผู้ผลิตก็ยังเป็นของค่ายดูคาติที่ทิ้งห่างเคทีเอ็มขาดลอยเกือบ 400 แต้ม

 

นั่นหมายความว่าโมโตจีพีในยุคสมัยนี้เป็นของดูคาติอย่างแท้จริง ซึ่งที่เป็นแบบนี้ก็ไม่ได้เพิ่งมาเป็นด้วย เพราะดูคาติคว้าแชมป์ในประเภททีมผู้ผลิตมาแล้ว 5 สมัยซ้อน ขณะที่ในประเภททีม 4 ปีหลังสุดทีมที่ชนะก็ใช้รถของดูคาติ

 

ดังนั้นอนาคตของมาร์ตินที่กำลังจะย้ายไปร่วมทีมอาพริเลีย เรซซิง ในฤดูกาลหน้า ย่อมต้องถูกตั้งคำถามถึงศักยภาพในการป้องกันแชมป์โลกของตัวเอง เมื่อไม่ได้ควบรถดูคาติ เดสโมเซดิซี อีกต่อไป

 

แต่สิ่งที่แลกมากับการย้ายทีมครั้งนี้จะทำให้มาร์ตินกลายเป็นนักบิดของทีมโรงงานอย่างเต็มตัว หลังเป็นแชมป์ในนามทีมอิสระอย่างพรีมา พราแมค เรซซิง ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 23 ปีที่มีนักบิดจากทีมอิสระครองแชมป์โลกได้สำเร็จ โดยคนล่าสุดที่ทำได้ต้องย้อนไปในสมัยที่ ‘เดอะด็อกเตอร์’ วาเลนติโน รอสซี คว้าแชมป์ในนามนาสโตร อัซซูร์โร เมื่อปี 2001 เลยทีเดียว

 

ขณะที่เส้นทางสายใหม่จะรอเขาอยู่ในอนาคตอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่เขาเปิดเผยว่า สิ่งที่เขาจะทำหลังคว้าแชมป์โลกคือการเตรียมตัวให้พร้อมมากกว่าการฉลองอย่างยิ่งใหญ่

 

“ผมอยากสนุกกับกระบวนการการทำงาน สนุกกับการฝึกซ้อม และในท้ายที่สุดแล้ว ชัยชนะคือผลที่ตามมาจากการทำเช่นนั้น หากคุณทำงานทุกอย่างด้วยดี คุณจะมีสมาธิ ผลที่ตามมาก็คือคุณจะชนะ ดังนั้นผมไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับชัยชนะ ผมหมกมุ่นอยู่กับกระบวนการมากกว่า”

 

อ้างอิง:

 

The post น้ำตาแห่งความฝันของ ฆอร์เก มาร์ติน แชมป์โลกโมโตจีพีผู้มีชีวิตเหมือนอยู่บนรถไฟเหาะตีลังกา appeared first on THE STANDARD.

]]>