เราเชื่อว่าหากเดินไปถามใครว่าร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าโปรดคือร […]
The post รวม 10 ร้านก๋วยเตี๋ยวที่แขกรับเชิญ 4 HOURS LIFE with โปรดปรานตลอดปี 2024 appeared first on THE STANDARD.
]]>เราเชื่อว่าหากเดินไปถามใครว่าร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าโปรดคือร้านไหน คำตอบที่ได้ต้องแทบไม่ซ้ำกันแน่นอน อย่างเช่นแขกรับเชิญใน 4 HOURS LIFE with ของพวกเรา ที่มีร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำไม่ซ้ำกันเลยสักคนเดียว
และเพื่อเป็นการเอาใจคนกินเส้นที่อยากลองชิมก๋วยเตี๋ยวร้านใหม่ๆ ส่งท้ายปี พวกเราจึงรวม 10 ร้านก๋วยเตี๋ยวที่แขกรับเชิญ 4 HOURS LIFE with โปรดปรานตลอดปี 2024 มาแนะนำให้ทุกคนตามไปลองกัน
ถ้าใครพร้อมแล้วมาดูกันเลยว่าจะมีร้านไหนบ้าง และร้านโปรดของทุกคนจะเป็นร้านเดียวกับแขกรับเชิญคนไหนบ้างหรือเปล่า
ร้านเย็นตาโฟเจ้าดังเจ้าโปรดของชาวคอนแวนต์ เมนูเด็ดที่เมแนะนำให้สั่งคือ ‘เกาเหลาแห้งเย็นตาโฟ’ เพราะถ้าใส่เส้นมันจะแย่งซอสเย็นตาโฟไปเสียหมด แล้วรสชาติจะจืด หรือถ้าใครอยากกินเส้นให้สั่ง ‘เส้นใหญ่แห้งเย็นตาโฟ’ โดยราคาจะเริ่มต้น 60-80 บาทต่อชาม
“เย็นตาโฟ JC เป็นร้านที่พ่อชอบซื้อมาให้กินบ่อยมากๆ เรารู้จักร้านนี้เพราะเขาเลย แล้วโรงเรียนของเราก็อยู่ใกล้ๆ แถวนี้มีเย็นตาโฟหลายเจ้า แต่เย็นตาโฟ JC คือร้านที่เราชอบที่สุด เพราะรู้สึกว่าไม่ต้องปรุงเพิ่มก็อร่อย เขาจะใส่น้ำมันกระเทียมเจียวเยอะๆ หอมๆ ผักบุ้งที่นี่กรอบกว่าที่อื่นด้วย”
อ่านบทความฉบับเต็มต่อได้ที่: https://thestandard.co/life/4-hours-with-may-after-you/
หลังจากเชฟเอียนปั่นจักรยานเสร็จ เชฟบอกว่ามีก๋วยเตี๋ยวแนะนำ 2 ร้านใกล้ๆ สนามปั่นจักรยาน ถ้าหากวันไหนไม่รีบกลับบ้านก็จะแวะกินก๋วยเตี๋ยวที่นี่ ซึ่งร้านแรกก็คือร้านลานสุข
“ร้านลานสุขจะเป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำใส เครื่องค่อนข้างอร่อยมาก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องต้มยำ หรือพวกลูกชิ้นปลาต่างๆ ร้านนี้ผมกินบ่อยจนเดี๋ยวนี้ไม่ต้องสั่งเลย เมนูประจำของผมคือเกาเหลากับบะหมี่ ปรุงพริกน้ำส้มเยอะๆ เพราะชอบกินเปรี้ยว”
อ่านบทความฉบับเต็มต่อได้ที่: https://thestandard.co/life/4-hours-life-with-chef-ian/
อย่างที่เฟยบอกว่าชอบร้านก๋วยเตี๋ยวแถวบ้านที่สุด ร้านนั้นคือร้านก๋วยเตี๋ยวเรือตะกร้อทอง สำหรับคนอื่นก๋วยเตี๋ยวเรืออาจต้องไปที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แต่สำหรับเฟยต้องไปที่ก๋วยเตี๋ยวเรือตะกร้อทอง ที่นี่เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวกินง่ายๆ เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวใกล้บ้าน มีความขลัง และด้วยน้ำซุปที่ข้นคลั่ก กินแล้วเฟยถึงกับเหงื่อออก
เราเลยถามเฟยว่าแล้วก๋วยเตี๋ยวในแบบของเฟยต้องสั่งแบบไหน เฟยบอกว่า “เล็ก ตก ชิ้น สด ไม่ตับ!” ส่วนขนาดชามที่ร้านเขาจะมีเป็นชามเล็กและชามใหญ่ เราเลยถามเฟยว่ากินแบบไหน เฟยก็บอกกับเราว่า “ชามเล็กสิ ชามเล็กมันได้ฟีล เหมือน TV Champion เราเหมือนรู้สึกว่าเราชนะอะไรสักอย่างหนึ่ง เหมือนเวลาคนเดินผ่านแล้วแบบโต๊ะนี้กินเยอะ รู้สึกภูมิใจ” หลังจากที่ได้ลองชิมแล้ว อีกหนึ่งอย่างที่ไม่ควรพลาดคือขนมถ้วย ตัดรสเผ็ดได้ดีมาก
อ่านบทความฉบับเต็มต่อได้ที่: https://thestandard.co/life/4-hours-life-with-foei-patara/
เลยจากย่านสีลมไปหน่อยก็จะมีย่านลุมพินี วิทยุ ที่เชฟไปบ่อยด้วยการเข้า-ออกร้าน Baan Restaurant “Thai Family Recipes” ร้านในละแวกร้านที่เจ้าตัวไปกินบ่อยคือก๋วยเตี๋ยวเฮียบ้วยในซอยโปโลที่เปิดมากว่า 23 ปี และเป็นที่ถูกใจของเหล่าคนดังอีกด้วย
“เป็นร้านที่อร่อยมาก เกี๊ยวและก๋วยเตี๋ยวอร่อย เวลาไปกินก็สั่งเหมือนเดิมแต่ไม่เหมือนเดิมตรงไม่สั่งเส้นใหญ่ กินเป็นบะหมี่แทนเพราะต้องกินกับเกี๊ยว” บะหมี่ในเวอร์ชันของเชฟยังคงเป็นแบบแห้งเพื่อลิ้มรสเครื่องแบบเต็มๆ
ทางเฮียบ้วยเจ้าของร้านเองก็ยังเล่าว่าบะหมี่แห้งเป็นเมนูที่ขายดีที่สุด “เดี๋ยวคอยดูเฟอร์นิเจอร์นะ” เฮียบ้วยใช้คำว่า ‘เฟอร์นิเจอร์’ แทนเครื่องต่างๆ ที่อัดแน่นมาบนบะหมี่
อ่านบทความฉบับเต็มต่อได้ที่: https://thestandard.co/life/4-hours-life-with-chef-ton/
ร้านก๋วยเตี๋ยวบนถนนทรงวาดที่เดินจากเยาวราชแค่ไม่กี่นาที ถ้าใครมาเที่ยวย่านนี้บ่อยๆ ต้องเคยเห็นแน่นอน เพราะร้านตั้งอยู่ระหว่างซอกตึก แถมยังคนเยอะตลอดด้วย
“แพมรู้จักร้านลิ้มเล่าซาก็เพราะคุณแม่เหมือนกัน แต่ว่าคนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรู้จัก แต่ขนาดคนไม่รู้จักเยอะยังหมดไวมาก เมื่อก่อนร้านจะเปิดเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น ประมาณ 2-3 ทุ่มก็หมดแล้ว ร้านจะตั้งอยู่ในซอกตึก ระหว่างซอกจะมีหน้าต่างเก่าๆ เขาจะตั้งโต๊ะตรงนั้นเลย เมนูอร่อยของเขาคือบะหมี่แห้ง จะใส่จิ๊กโฉ่ว ไม่ใช่ซีอิ๊วดำ รสชาติจะมีความเปรี้ยว ปรุงกำลังพอดี และทีเด็ดอีกอย่างหนึ่งคือ เกี๊ยวปลาปั้นด้วยมือ”
อ่านบทความฉบับเต็มต่อได้ที่: https://thestandard.co/life/4-hours-life-with-chef-pam/
อีกร้านที่หมูแวะเวียนไปฝากกระเพาะตั้งแต่วัย 8-9 ขวบคือ ‘แซว’ ร้านก๋วยเตี๋ยวชื่อดังในย่านทองหล่อที่เปิดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 ตัวร้านจะเป็นเพียงห้องเล็กๆ หนึ่งห้องแต่ครึกครื้นอยู่ตลอด แถมยังมีคนต่อคิวยาวออกมาหน้าร้านอีกต่างหาก
เมนูเบสิกของหมูคือเส้นเล็กแห้ง (70 บาท) ซึ่งเป็นเมนูที่เจ้าตัวสามารถกินวนซ้ำๆ 4-5 วันต่อสัปดาห์เลยทีเดียว
อ่านบทความฉบับเต็มต่อได้ที่: https://thestandard.co/life/4-hours-life-with-moo-polpat/
ร้านก๋วยเตี๋ยวชื่อดังย่านพระราม 2 ร้านนี้แคทเล่าว่า ถูกค้นพบโดยคุณพ่อคุณแม่ของเธอเมื่อ 3 ปีก่อน หลังจากได้ลองกินตามรอยคุณพ่อแม่แล้ว ก๋วยเตี๋ยวเจ๊โหนกก็ขึ้นแท่นเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวร้านเด็ดในดวงใจที่เธอมักจะสั่งมากินที่บ้านเป็นประจำ ทีเด็ดของร้านนี้อยู่ที่วัตถุดิบสดใหม่ น้ำซุปอร่อย ลูกชิ้นปลานุ่มเด้ง และมีประเภทของก๋วยเตี๋ยวให้เลือกจุใจ
“เจ๊โหนกเป็นร้านที่ดังที่สุดเลยสำหรับย่านนี้ (พระราม 2) แคทรับรองว่าอร่อยค่ะ เป็นร้านที่คุณพ่อคุณแม่เป็นคนค้นพบ เพราะทั้งคู่ชอบกินอาหารสตรีทฟู้ดและชอบกินก๋วยเตี๋ยวมาก เราก็เหมือนถูกปลูกฝังมากับการกินก๋วยเตี๋ยวตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำใส เย็นตาโฟ หรือน้ำตก ก็คือจะต้องกินทุกร้าน แล้วเจ๊โหนกก็เป็นร้านที่อร่อย ถึงขั้นคุณพ่อคุณแม่ยอมขับรถมากินถึงพระราม 2 ตลอด
“ปกติแคทจะสั่งมากินที่บ้าน แต่ว่าวันนี้อยู่กับ THE STANDARD LIFE จะธรรมดาไม่ได้ ก็ต้องไปกินด้วยตัวเองค่ะ ปกติแคทก็จะกินอารมณ์แบบว่าเส้นหมี่ต้มยำ เป็นน้ำบ้าง แห้งบ้าง แต่ครั้งนี้ได้ลองสั่งหลายๆ อย่างดู ต้องกินให้ครบ นี่เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้มากินถึงที่ร้าน เมนูที่แคทสั่งมีเย็นตาโฟเส้นหมี่ ลูกชิ้นปลา และเมนูเกี้ยมอี๋ อร่อยมาก ประทับใจในรสชาติที่อร่อยไม่เคยเปลี่ยนเลยสักครั้ง”
อ่านบทความฉบับเต็มต่อได้ที่: https://thestandard.co/life/4-hours-life-with-kat-sonya/
ผู้หญิงคนนี้ไม่ยึดติดกับการกินมื้อหรูติดดาวมิชลินเท่านั้น ก๋วยเตี๋ยวไก่มะระนี่แหละคือคอมฟอร์ตฟู้ดชั้นดีสำหรับเธอ โดยเฉพาะมื้อดึก!
“เวลาที่เรากลับมาจากทำงานดึกๆ ก็คือก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ สมมติงานเสร็จ 4 ทุ่ม มันจะมีอะไรเปิดอยู่แถวนี้ ไม่ได้อยากรอนาน แล้วถ้ามันไปไกลกว่านี้ก็คือโมโหหิวไปแล้ว ก็เลยลองเสิร์ชหาก๋วยเตี๋ยวไก่ดู
“แล้วก็มีฟู้ดดี้คนหนึ่งเขาบอกว่า ทำไมไม่ลองก๋วยเตี๋ยวไก่มะระล่ะ อยู่หน้าบ้านเลย สามารถเดินไปได้ เราก็ไม่เคยกินเลย พอสั่งมาก็กลายเป็นอาหารประจำมื้อดึกของเราเวลาก่อนนอน รสชาติดี ไม่ต้องปรุงเลย”
แม้จะเป็นการสั่งมากินที่บ้าน แต่เธอก็ยังต้องยกนิ้วให้กับความอร่อยอยู่ยงของก๋วยเตี๋ยวไก่มะระย่านนางลิ้นจี่ร้านนี้ ที่ปีนี้ก็มีอายุย่างเข้า 37 ปีแล้ว ทั้งความเข้มข้นของมะระกับไก่ มะระที่รสชาติไม่ขมเกินไป โดยเธอจะเลือกสั่งเป็นเส้นเล็กไม่ก็บะหมี่เป็นประจำ
อ่านบทความฉบับเต็มต่อได้ที่: https://thestandard.co/life/4-hours-life-with-woonsen/
ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่เชื่อว่าหลายคนก็ชอบ นี่คือร้านที่โบว์กินมาตั้งแต่สมัยอยู่โรงเรียนประจำ และเมนูที่กินบ่อยมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ ‘หม้อไฟ’ ใส่เนื้อกระด้ง เนื้อสด
“ทุกวันศุกร์พ่อจะมารับกลับบ้าน แล้วจะซื้อเนื้อวัฒนากลับไปทำหม้อไฟกินกัน เราก็เลยคุ้นชินกับรสชาติเนื้อวัฒนาพานิช ซึ่งโบว์ว่ารสชาติน้ำซุปเขาหาตัวจับยากนะ เขาทำมานานมาก มันมีความนัว เป็นรสชาติที่คุ้นชินด้วย”
อ่านบทความฉบับเต็มต่อได้ที่: https://thestandard.co/life/4-hours-life-bowling-eat-shout/
อีกหนึ่งร้านใกล้ๆ สยามรัตนาเบคเฮาส์ ต้องเดินเข้าไปข้างหลังจะเจอตลาดวงเวียนใหญ่ ร้านนี้ชื่อ บะหมี่เกี๊ยวกวางตุ้ง (เจ้าเก่ามหาชัย) เขาทำเส้นบะหมี่เอง เมนูที่อารยาไปแล้วต้องสั่งจะเป็นบะหมี่แห้ง ความอร่อยของเมนูนี้คือ เส้นจะกรึบๆ เกี๊ยวไส้แน่น แป้งบางเฉียบ แถมราคาคุ้มมากกับสิ่งที่ได้รับ
อ่านบทความฉบับเต็มต่อได้ที่: https://thestandard.co/life/4-hours-life-with-kinraideeva/
The post รวม 10 ร้านก๋วยเตี๋ยวที่แขกรับเชิญ 4 HOURS LIFE with โปรดปรานตลอดปี 2024 appeared first on THE STANDARD.
]]>หากไม่ทันสังเกตจะไม่รู้เลยว่าสุดซอยของโรงงานพลาสติกจะมี […]
The post HOW DO YOU LIVE? ความสำคัญของ ‘บ้าน’ แคท ซอนญ่า ไม่ได้อยู่ที่มูลค่า appeared first on THE STANDARD.
]]>หากไม่ทันสังเกตจะไม่รู้เลยว่าสุดซอยของโรงงานพลาสติกจะมีบ้านหลังหนึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้ร่มไม้และกำแพงหินสูงหลายเมตร เมื่อประตูเปิดออกจะเผยให้เห็นลานจอดรถที่ปูด้วยกระเบื้องสีดำ มีรถ Rolls-Royce SPECTRE จอดอยู่ ลานจอดรถถูกกั้นด้วยประตูไม้สักสีเข้ม ที่เมื่อผลักเข้าไปคือบ้านสไตล์โมเดิร์นทรอปิคัลคล้ายวิลล่าตากอากาศที่มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่อยู่กลางบ้าน นี่คือบ้านของ แคท-ซอนญ่า สิงหะ และ ก้อง-ภัทร บุญญลักษม์ ผู้เป็นสามี
เธอเล่าให้ฟังว่าก่อนเป็นบ้านหลังนี้ที่ตรงนี้คือที่ดินเปล่าของครอบครัวสามีที่ตั้งใจไว้สร้างเป็นเรือนหอ จนเมื่อตกลงแต่งงาน เธอและสามีจึงสร้างบ้านขึ้นมา โดยมีบริษัทรับเหมาของพ่อสามีเป็นผู้ดูแลโครงสร้าง และบริษัท Brownhouses Bhbk เป็นผู้ออกแบบตกแต่ง ทำให้ผ่านไปเพียง 1 ปี บ้านหลังนี้จึงเสร็จสมบูรณ์
บ้านที่ตั้งใจให้ดูเหมือนวิลล่าตากอากาศทรงโมเดิร์นสีขาว เพิ่มความอบอุ่นด้วยสีของไม้ที่เชื่อมกันตั้งแต่ประตู โถงทางเดินจนถึงชั้น 2 ผสมผสานด้วยสีเขียวของต้นไม้เขตร้อน และสีฟ้าของสระว่ายน้ำ ทำให้ดูผ่อนคลายราวกับว่าไม่ได้อยู่ในกรุงเทพมหานคร
ชั้นล่างเป็นพื้นที่ใช้สอยอเนกประสงค์ โซนรับแขก โซนครัว ซึ่ง แคท ซอนญ่า เล่าว่าครอบครัวจะใช้พื้นที่ตรงนี้ร่วมกันมากที่สุด จุดเด่นอยู่ที่ประตูกระจกสูง 4 เมตร ที่บานทั้งหมดสามารถเปิดออกได้กว้างจนสุด ทำให้รับลมและแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ตรงกลางคือโต๊ะรับประทานอาหารที่เพิ่มเติมสีสันให้บ้านมีชีวิตชีวา คู่กับต้นคริสต์มาสที่แต้มด้วยหิมะจำลองเข้ากับเทศกาล ก่อนที่ลึกเข้าไปจะเป็นโซฟาที่พนักพิงไม่สูงจนเกินไป ทำให้นั่งได้ทั้ง 2 ด้าน และไม่ทำให้บ้านดูทึบ
ที่ชั้นนี้เองยังมีมุมครัวที่สามีของเธอมักโชว์ฝีมือการทำสเต็ก มุมสะสมไวน์ที่ทั้งคู่ซื้อให้กันในโอกาสสำคัญพร้อมด้วยโน้ตเล็กๆ น่ารักบนฉลาก ส่วนด้านในสุดของชั้นคือห้องนันทนาการที่มีบาร์และโต๊ะพูลที่เธอและสามีแข่งขันกันเป็นประจำ
จากชั้น 1 เชื่อมสู่ชั้น 2 ด้วยบันไดที่ขนาบด้วยกำแพงวัสดุพิเศษที่ใช้ท็อปบนซีเมนต์ทำให้เหมือนอยู่ในถ้ำ แต่ก็สว่างด้วยปล่องกระจกที่เชื่อมต่อตั้งแต่ชั้นล่างจนถึงดาดฟ้า ทำให้แสงธรรมชาติส่องถึงและไม่อึมครึมเกินไปนัก
ชั้น 2 เป็นห้องนั่งเล่นที่ยังคงกระจกสูงรอบด้านทำให้เห็นตัวบ้านถนัดตา จุดเด่นของชั้นนี้คือโถงทางเดินที่เพดานกรุด้วยกระจกใสมองเห็นท้องฟ้า ทำให้แดดลอดลงมาล้อเล่นแสงกับผนัง ชั้นนี้จึงมีผนังไม่เหมือนกันในแต่ละวัน ส่วนอีกด้านคือห้องนอน ห้องเก็บของสะสมอย่างจิวเวลรีและเครื่องประดับ และห้องที่สำคัญอีกห้องหนึ่งคือห้องนอนของน้องดาริน-เด็กหญิงดริญ่า บุญญลักษม์ ที่เป็นหัวใจของเธอและสามี
ส่วนชั้นบนสุดคือดาดฟ้าที่มียิมส่วนตัว หลุมพัตต์กอล์ฟเล็กๆ และซาวน่า ทำให้บ้านหลังนี้ครบครันในการใช้ชีวิตแบบไม่ต้องออกไปไหน
ทั้งหมดคือ ‘ตัวบ้าน’ หากสำหรับ แคท ซอนญ่า ‘บ้าน’ ของเธอที่แท้จริงคือความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวที่ทำให้บ้านหลังนี้เป็นบ้านแห่งความรัก
ตั้งแต่ครอบครัวของเธอเองที่ประกอบด้วยพ่อ แม่ และน้องสาว ที่เป็นพื้นฐานสำคัญของความมั่นคงในใจ เผื่อแผ่มาถึงครอบครัวของสามีและครอบครัวของเธอโดยที่มีน้องดารินเป็นคนสำคัญที่ทำให้บ้านหลังนี้คือบ้านของหัวใจเธอมากยิ่งขึ้น แต่เหนืออื่นใด สิ่งสำคัญที่เธอทิ้งท้ายคือความรักที่มีต่อตัวเอง เธอย้ำว่าผู้หญิงทุกคนควรรักตัวเอง มีเวลาให้ตัวเอง เพราะนั่นคือฐานที่มั่นที่จะมีความรักส่งต่อคนอื่นๆ ได้
รับชม ความสำคัญของ ‘บ้าน’ แคท ซอนญ่า ไม่ได้อยู่ที่มูลค่า ได้ในรายการ HOW DO YOU LIVE? ทาง YouTube ของ THE STANDARD LIFE
The post HOW DO YOU LIVE? ความสำคัญของ ‘บ้าน’ แคท ซอนญ่า ไม่ได้อยู่ที่มูลค่า appeared first on THE STANDARD.
]]>THE STANDARD LIFE ชวน แคท-ซอนญ่า สิงหะ ดีกรีนางเอก นักธ […]
The post 4 HOURS LIFE with แคท-ซอนญ่า สิงหะ พาชิมร้านอร่อยในความทรงจำที่มีแต่ความสุข appeared first on THE STANDARD.
]]>THE STANDARD LIFE ชวน แคท-ซอนญ่า สิงหะ ดีกรีนางเอก นักธุรกิจ และเซเลบริตี้ที่หลายๆ แบรนด์ต้องการตัว ที่พาเราไปสำรวจไลฟ์สไตล์ในมุมอื่นๆ บ้าง โดยเฉพาะเรื่องของอาหารการกิน ทำให้ค้นพบว่า นอกเหนือจากภาพลักษณ์ความสวยงามและหรูหราที่เป็นภาพจำของใครต่อใครแล้ว ผู้หญิงคนนี้ยังมีโมเมนต์ในชีวิตประจำวันที่แสนเรียบง่าย เมื่อเธอเผยถึงอาหารและเมนูเด็ดที่ชอบ มีหลายร้านที่น่าตามรอยไปลิ้มลองดูสักครั้ง
4 HOURS LIFE with แคท-ซอนญ่า สิงหะ ในตอนนี้จึงขอพาทุกคนไปรู้จักและชิมร้านอร่อยในความทรงจำที่มีแต่ความสุข ตั้งแต่ร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าดังย่านพระราม 2, ไปเยือนคาเฟ่สุดอบอุ่นที่สร้างขึ้นจากความรักของครอบครัว หรือแม้แต่ Fine Dining ที่ไต่ระดับความอร่อยในรสชาติและบรรยากาศสุดหรูหราสำหรับทุกช่วงเวลาพิเศษของชีวิต ถ้าพร้อมแล้วมาตามรอยพวกเราได้ในซีรีส์คอนเทนต์กับ แคท-ซอนญ่า สิงหะ กันเลย
แคทเล่าให้เราฟังว่า เธอย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้หลังแต่งงาน ความหมายของบ้านสำหรับเธอคือ Home to My Heart
“บ้านเป็นของหัวใจแคท คือที่พักพิง คือความสงบ และมันคือที่ที่แคทรู้สึกว่าแคทมีความสุขและได้รีชาร์จพลังตัวเอง และที่สำคัญคือเป็นบ้านที่อบอุ่น เพราะเราอยู่กับคนที่เรารัก
“เป็นคนชอบอยู่บ้านมาก ติดบ้านมาก เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ด้วยความที่เราทำงานตรงนี้เราต้องเข้าสังคมตลอดเวลา เพราะฉะนั้นการอยู่บ้านคือการพักผ่อนที่แท้จริงของแคท ส่วนการออกไปข้างนอกของแคทคือการทำงาน ก็เลยรู้สึกว่ากิจกรรมต่างๆ ที่เราชอบทำอยู่ในบ้าน เริ่มตั้งแต่ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย กินอาหารอร่อยๆ หรือว่าการที่เราแค่ได้นั่งใช้ชีวิตแบบ Slow Life ตรงนี้คือความสุขของเราแล้ว
“ดังนั้น 4 Hours ของแคทวันนี้ที่อยากจะพาทุกคนไปก็อาจเริ่มต้นจากการที่เราออกกำลังกายกันก่อน โอเค เรียกเหงื่อกันนิดหนึ่ง ให้มันเป็นการโปรดักทีฟช่วงเช้า แล้วค่อยออกไปร้านอร่อยใกล้บ้าน”
เริ่มต้นที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเจ๊โหนก เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวชื่อดังย่านพระราม 2 ร้านนี้แคทเล่าว่า ถูกค้นพบโดยคุณพ่อคุณแม่ของเธอเมื่อ 3 ปีก่อน หลังจากได้ลองกินตามรอยคุณพ่อแม่แล้ว ก๋วยเตี๋ยวเจ๊โหนกก็ขึ้นแท่นเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวร้านเด็ดในดวงใจที่เธอมักจะสั่งมากินที่บ้านเป็นประจำ ทีเด็ดของร้านนี้อยู่ที่วัตถุดิบสดใหม่ น้ำซุปอร่อย ลูกชิ้นปลานุ่มเด้ง และมีประเภทของก๋วยเตี๋ยวให้เลือกจุใจ
“เจ๊โหนกเป็นร้านที่ดังที่สุดเลยสำหรับย่านนี้ (พระราม 2) แคทรับรองว่าอร่อยค่ะ เป็นร้านที่คุณพ่อคุณแม่เป็นคนค้นพบ เพราะทั้งคู่ชอบกินอาหารสตรีทฟู้ดและชอบกินก๋วยเตี๋ยวมาก เราก็เหมือนถูกปลูกฝังมากับการกินก๋วยเตี๋ยวตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำใส เย็นตาโฟ หรือน้ำตก ก็คือจะต้องกินทุกร้าน แล้วเจ๊โหนกก็เป็นร้านที่อร่อย ถึงขั้นคุณพ่อคุณแม่ยอมขับรถมากินถึงพระราม 2 ตลอด
“ปกติแคทจะสั่งมากินที่บ้าน แต่ว่าวันนี้อยู่กับ THE STANDARD LIFE จะธรรมดาไม่ได้ ก็ต้องไปกินด้วยตัวเองค่ะ ปกติแคทก็จะกินอารมณ์แบบว่าเส้นหมี่ต้มยำ เป็นน้ำบ้าง แห้งบ้าง แต่ครั้งนี้ได้ลองสั่งหลายๆ อย่างดู ต้องกินให้ครบ นี่เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้มากินถึงที่ร้าน เมนูที่แคทสั่งมีเย็นตาโฟเส้นหมี่ ลูกชิ้นปลา และเมนูเกี้ยมอี๋ อร่อยมาก ประทับใจในรสชาติที่อร่อยไม่เคยเปลี่ยนเลยสักครั้ง”
ก๋วยเตี๋ยวเจ๊โหนก
วันและเวลาเปิด-ปิด: วันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 08.30-20.30 น.
อีกหนึ่งคาเฟ่ที่ขาดไม่ได้เลยที่แคทบอกว่าต้องพาเราไปให้ได้คือ Veno Cafe ซึ่งคาเฟ่ร้านนี้มีความหมาย เพราะเป็นคาเฟ่ที่คุณพ่อของสามีเป็นคนสร้างขึ้นมาและเต็มไปด้วยความรักในทุกอณู ทั้งความใส่ใจ การออกแบบ และรสชาติของกาแฟ รวมถึงเครื่องดื่มที่ตอบโจทย์ลูกค้าที่หลากหลาย
“สำหรับแคท Veno Cafe มีความหมายทางใจกับเรามากๆ เมนูที่ไปแล้วชอบจริงๆ คือชอบทุกเมนู แต่เราอาจจะไม่อยากดื่มกาแฟ อยากจะกินอะไรที่มันค่อนข้าง Light นิดหนึ่ง เช่น กรีนทีมัทฉะ หรือโกโก้
“บรรยากาศเมื่อเข้าไปในร้าน Veno Cafe สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการตกแต่งที่ไม่ธรรมดา มุมโปรดที่แคทชอบที่สุดจะอยู่ตรงกลาง ออกแบบคล้ายๆ กับลักษณะในบ้าน โดยสร้างเป็นเหมือนห้องกระจกที่มีต้นไม้ปลูกอยู่ตรงกลาง เพิ่มเติมคือมีแสงจริงส่องเข้ามา เปิดเว้าให้แสงธรรมชาติเข้า เป็นจุดที่แคทรู้สึกว่ามันมีความสงบดี”
Veno Cafe
ที่อยู่: พระราม 2 ซอย 50 แยก 7
วันและเวลาเปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 08.00-21.00 น.
หนึ่งในร้านที่อยู่ในความทรงจำของแคทคือ Aqua ที่อยู่ในโรงแรม Anantara ที่นี่เป็นร้านที่ผูกพันมาเนิ่นนานนับสิบปี เธอแวะเวียนมาที่แห่งนี้ตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยซ่าวัยเรียนอายุประมาณ 18 ปี เรียกว่าเป็นหมุดหมายของสถานที่สำหรับแฮงเอาต์กับเพื่อนสนิทจนถึงทุกวันนี้
“Aqua เป็นร้านที่มีความทรงจำมากมายนับสิบปี แคทได้พบปะกับรุ่นพี่รุ่นน้อง เป็นร้านที่ได้พบกับมิตรภาพใหม่ๆ เยอะมากๆ เพราะมันคือที่ที่ไปแล้วจะได้เจอกับ Common Friend ของคุณแน่นอน ต้องบอกว่าสมัยนั้นซ่ามาก เวลามาที่นี่ก็จะชอบสั่งเครื่องดื่มโปรดคือ Dry Martini แล้วก็จะต้องมีมะกอก 3 ลูกด้วย รสชาติยังจำได้อยู่เลยค่ะ แต่พอกินตอนนี้ก็ขนลุกซู่เลย ดื่มไม่เก่งแล้ว”
Aqua
ที่อยู่: โรงแรม Anantara Siam Bangkok
วันและเวลาเปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 11.00-23.00 น.
ร้านอาหารสไตล์อิซากายะที่มีความพิเศษและมีเอกลักษณ์อีกหนึ่งแห่งที่แคทแนะนำกับเราคือ Kenji’s Lab เธอบอกว่าที่นี่ไม่มีที่จอดรถ แต่พอเข้าไปในร้านคนจะเต็มตลอด ด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นและอาหารจานอร่อยที่หลากหลาย เลือกสนุก ทำให้ทุกครั้งที่มากินอาหารที่นี่เธอมักจะได้รับโมเมนต์แห่งความสุขกลับไปด้วยเสมอ
“ร้าน Kenji’s Lab เหมาะกับวันที่ทุกคนเลิกงาน พอทำงานเหนื่อยมาทั้งวันก็มารวมตัวกันสังสรรค์ เวลาไปร้านนี้เรามักจะได้เห็นความสุขของโต๊ะข้างๆ เป็นร้านที่ค่อนข้างเล็กแต่ให้ฟีลแบบ Cozy มากๆ เมนูเด่นๆ ก็จะเป็นจานเล็กๆ ซึ่งอันนั้นแหละคือความสุข แม้กระทั่งเมนูที่ชอบที่สุด ฟังแล้วเหมือนจะตลกนะ แต่คือมะเขือเทศสด เขาใช้มะเขือเทศลูกเล็กๆ แล้วไม่รู้ว่าเขาทำอย่างไรมันถึงกรอบ แค่มะเขือเทศจิ้มเกลือทำไมคุณสามารถยกระดับให้มันอร่อยและมีคุณค่าได้ขนาดนี้
“หรือเมนูหอยนางรมกับน้ำจิ้มพอนสึ มันสดและหอม หรือว่าเมนไทโกะของเขาก็ย่างอร่อย แม้กระทั่งพาสต้าอูนิก็สุดยอด อยากให้ไปกิน อยากให้ไปลอง แน่นอนว่าเมนูมีให้เลือกเยอะ แล้วหลายคนน่าจะชอบไม่เหมือนกัน แต่ว่าเสน่ห์ของเขาคือมันไม่น่าเบื่อเลย เพราะว่าพอชันหนึ่งมันมาเล็กๆ กินนิดหนึ่งกินเท่าไรก็ไม่อิ่ม ไม่จบ แล้วที่สำคัญคือกว่าจะอิ่มก็กินไปหลายเมนูมากๆ”
Kenji’s Lab
วันและเวลาเปิด-ปิด: วันอังคาร-ศุกร์ เวลา 18.00-23.00 น., วันเสาร์ เวลา 11.30-22.30 น. และอาทิตย์ เวลา 10.30-14.00 น. และ 17.00-21.30 น.
ร้านนี้ค่อนข้างเป็นร้านที่จองยากสุดๆ แต่เธอกระซิบบอกว่าลองไปเถอะ ร้านนี้คุ้มค่าแก่การรอคอยเป็นที่สุด
“Terroir เป็นร้าน Favorite ของแคทที่สุดเลย ณ โมเมนต์นี้ เพิ่งรู้จักกันมาก็น่าจะประมาณปีนี้ แต่เป็นร้านที่ปีนี้จองไปแล้วประมาณ 5 รอบ อาหารจะเป็นแนวไฟน์ไดนิ่ง สิ่งที่แคทประทับใจคือเชฟที่เป็นคนอายุน้อย เป็นเด็กรุ่นใหม่ไฟแรง แคทเป็นคนที่ชอบเห็นถึงความสำคัญและเสน่ห์ของทัศนคติของคน จึงรู้สึกเห็นไฟในตัวเขา พอมันได้รับมาถึงอาหารก็ยิ่งประทับใจ
“ทุกเมนูเขาใช้วัตถุพื้นบ้านทั้งนั้นเลย ไม่ว่าจะมาจากจังหวัดเชียงราย จากโน่น จากนี่ คือมันอยู่ไม่ไกลตัวเราเลย แต่เขาสามารถยกระดับให้มันเป็นอาหารไฟน์ไดนิ่งที่อร่อยได้ขนาดนี้ แคทกล้าพูดเลยว่าอร่อยแบบเรียกว่าไม่แพ้มิชลินสตาร์ของต่างประเทศเลย กินกี่ครั้งก็ประทับใจ และก็ในทุกๆ จาน ยังไม่เจอจานไหนที่ไม่อร่อยเลย อันนี้พูดจากใจจริงๆ ว่าทุกร้านที่แนะนำมา แล้วก็ทุกๆ ร้านที่พูดถึงวันนี้ เป็นร้านที่มีความหมายและมีความทรงจำของแคทจริงๆ และแคทก็ประทับใจจริงๆ”
Terroir Expression
วันและเวลาเปิด-ปิด: วันอังคาร-เสาร์ เวลา 18.30-22.00 น.
ภาพ: lenormandie.byalainroux / Instagram
ขยับเข้าเมืองกันดีกว่า คราวนี้แคทเล่าถึงสถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำมากมายในโอกาสสำคัญของชีวิตเธอเลย นั่นคือโรงแรม Mandarin แคทเล่าว่าเธอมีความทรงจำมากมาย เป็นสถานที่ที่เป็นเหมือนรักแรกพบ เธอเลือกที่จะแต่งงานที่นั่น และยังมีร้านอาหารที่เธอชอบมากๆ ซึ่งค่อนข้างจะ Proper ขึ้นมาอีก นั่นคือร้านอาหาร Le Normandie by Alain Roux ที่อยู่ในโรงแรม Mandarin
“ร้านนี้ต้องบอกเลยว่าตั้งแต่กินมาแคทก็คิดว่าไม่มีร้านไหนอร่อยเท่าร้านนี้เลย เป็นร้านที่เหมาะสำหรับวันพิเศษ เช่น วันเกิด วันเทศกาล วันวาเลนไทน์ หรือวันปีใหม่ เวลามาเยือนที่นี่ก็เป็นอะไรที่พิเศษจริงๆ ด้วยวิวริมแม่น้ำที่สวยงาม ความละเมียดละไม รสชาติอาหาร รวมทั้งบริการทุกอย่าง ที่นี่สุดยอดมาก”
Le Normandie by Alain Roux
ที่อยู่: โรงแรม Mandarin Oriental, Bangkok
วันและเวลาเปิด-ปิด: เปิดทุกวัน เวลา 12.00-14.00 น. และ 19.00-22.00 น.
ภาพ: zumabangkok / Instagram
ข้ามมาที่โรงแรม The St. Regis กันบ้าง อีกหนึ่งสถานที่โปรดของแคทที่เธอบอกว่ามีทีเด็ดทั้งสปาและร้านอาหาร เมื่อต้องการฮีลกายและใจตัวเอง เธอจะแวะมาพักผ่อน ทำสปาที่ Elemis Spa หลังจากสปาเสร็จก็ยังสามารถลงมากินอาหารที่อีกหนึ่งร้านโปรดอย่าง Zuma ได้ด้วย
“ร้าน Zuma ความทรงจำมันเยอะมากเลย แคทนึกถึงเพื่อนนะ ถือเป็นร้านแห่งความทรงจำเกี่ยวกับเพื่อนที่กินเวลายาวนานเกือบๆ 10 ปี พอมาที่นี่รู้สึกว่าเป็นโมเมนต์ที่จำอะไรได้เยอะเหลือเกิน ทั้งเรื่องสนุกสนาน เรื่องเฮฮา ตลกขบขัน และที่ประทับใจที่สุดนอกจากความทรงจำต่างๆ ก็คือเรื่องของอาหารที่สุดยอดจริงๆ มากินกี่ครั้งก็ไม่เคยผิดหวังจริงๆ อร่อยค่ะ”
Zuma
ที่อยู่: โรงแรม The St.Regis Bangkok
วันและเวลาเปิด-ปิด: วันจันทร์-เสาร์ เวลา 11.30-15.00 น.
ภาพ: Lecabanonbkk / Instagram
เปลี่ยนมู้ดมาเป็นอาหารแนวซีฟู้ดกันบ้าง แคทบอกกับเราว่าเธอรักอาหารแนวซีฟู้ดเป็นชีวิตจิตใจ และถ้าเป็นร้านที่ยกระดับขึ้นมาในบรรยากาศอินเตอร์หน่อย เธอก็แนะนำร้าน Le Cabanon
“Le Cabanon เป็นร้านที่อร่อยจริงๆ เรื่องหอยเขาสุดยอด เราเป็นคนชอบกินหอย ไม่ว่าจะเป็นทั้งเมนูหอยทาก หรือ Escargot ร้านนี้สุดยอดมาก หอยแครงก็อร่อยด้วยวิธีการผัดกระเทียมของเขา จุดเด่นของอาหารอยู่ที่ความสดใหม่ และมีความละเมียดละไมทุกอย่าง อยากให้ลองไปสัมผัสความหรูหราในแบบฉบับที่มีความโฮมมี่ดู
“หนึ่งอย่างที่แคทประทับใจคือ เข้าไปทุกครั้ง ไม่เคยมีสักครั้งที่ดอกไม้ในร้านจะไม่หอม เขาให้ความสำคัญกับการจัดดอกไม้มากๆ มันทำให้รู้สึกว่าเขาพร้อมต้อนรับแขกทุกวันเลย ร้านเลือกดอกไม้ดีมากๆ เป็นดอกไม้ตามฤดูกาล เช่น ดอกพีโอนี เป็นดอกไม้ที่แคทชอบที่สุด คนไทยเรียกว่าดอกโบตั๋น ซึ่งโบตั๋นเป็นดอกไม้หายากและราคาสูง แต่เขาก็ไม่กั๊กเลย แคทเลยรู้สึกว่ากับดอกไม้เขายังเต็มที่ขนาดนี้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องรสชาติ ไปชิมกันเองค่ะ”
Le Cabanon
วันและเวลาเปิด-ปิด: วันจันทร์ เวลา 11.30-23.00 น. และวันพฤหัสบดี-อาทิตย์ เวลา 11.30-23.00 น.
ภาพ: ปวรุตม์ งามเอกอุดมพงศ์
The post 4 HOURS LIFE with แคท-ซอนญ่า สิงหะ พาชิมร้านอร่อยในความทรงจำที่มีแต่ความสุข appeared first on THE STANDARD.
]]>แบรนด์เครื่องสำอาง Dior จัดงานสุดยิ่งใหญ่แห่งปี โดยเนรม […]
The post เยี่ยมชม Dior Rose Gallery ที่จำลองจากบ้านและสวนของมิสเตอร์ดิออร์ พร้อมเปิดตัว Dior Prestige La Crème ครั้งแรกในไทย appeared first on THE STANDARD.
]]>แบรนด์เครื่องสำอาง Dior จัดงานสุดยิ่งใหญ่แห่งปี โดยเนรมิต Dior Rose Gallery ที่จำลองมาจากบ้านและสวนของมิสเตอร์คริสเตียน ดิออร์ ณ เมือง Granville นอร์มองดี มาไว้ที่ Park Hyatt กรุงเทพฯ ทำให้ทั่วทั้งงานอบอวลไปด้วยดอกกุหลาบสีชมพูแสนสวยที่มาพร้อมกลิ่นหอมอันเป็นเสน่ห์เฉพาะในแบบฉบับของ Dior พร้อมกันนี้ยังเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด Dior Prestige La Crème เป็นครั้งแรกในไทย โดยมีเหล่าเซเลบริตี้ นักแสดง และกูรูความงามมาร่วมสัมผัสประสบการณ์เยี่ยมชม Dior Rose Gallery ในบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความสุขท่ามกลางสวนดอกกุหลาบที่สวยงาม นอกเหนือจากดอกกุหลาบทั้งหมดแล้ว กลิ่นหอมๆ ภายในงานทางแบรนด์ก็ได้นำหัวน้ำหอมที่เป็นนำ้หอมจากกุหลาบพันธุ์พิเศษ Granville ส่งตรงจากฝรั่งเศส ทำให้ได้สัมผัสกับบรรยากาศและกลิ่นอายแบบฝรั่งเศสจริงๆ
Rose De Granville ถือกำเนิดขึ้นจากดอกกุหลาบป่ายืนต้นอันทรงพลังที่อาศัยอยู่บนผาหิน ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากกุหลาบไฮบริดสายพันธุ์อื่นกว่า 40,000 ชนิด เพราะความอุดมสมบูรณ์ด้านโมเลกุล Rose De Granville ที่มีพลังอยู่เหนือกาลเวลา เป็นกุหลาบชนิดแรกที่ได้รับการพัฒนาขึ้นสำหรับเครื่องสำอางบำรุงผิวของ Dior โดยเฉพาะ และเป็นส่วนผสมหลักในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิว Dior Prestige ซึ่งต้องใช้กระบวนการเพาะปลูกเฉพาะเพื่อให้ได้มาซึ่งสารสกัดที่มีศักยภาพสูงสุดของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวตัวใหม่อย่าง Dior Prestige La Crème สิ่งที่น่าสนใจคือในปี 2021 Rose De Granville เริ่มเพาะปลูกขึ้นโดยอยู่ห่างจาก Villa Les Rhumbs บ้านในวัยเด็กของ คริสเตียน ดิออร์ ซึ่งตั้งอยู่ในลุ่มน้ำ Granville เพียง 20 กิโลเมตร ที่นี่เป็นดั่งสวรรค์แห่งความสงบสุขของเขา Dior ก็เป็นเจ้าของพื้นที่เพาะปลูกขนาด 6 เฮกตาร์ กลางทุ่งหญ้าเขียวขจีที่อยู่ในสภาพตามธรรมชาติแห่งนี้ ที่ตั้งใจสร้างเป็นสวนกุหลาบที่สงวนไว้สำหรับสกินแคร์ในกลุ่ม Dior Prestige เท่านั้น พื้นที่เพาะปลูกตามธรรมชาติแห่งนี้ประกอบด้วยที่ดิน 20 แปลง สำหรับปลูก Rose De Granville และเป็นการลงทุนครั้งสำคัญที่ก้าวไปไกลกว่าการเกษตรรูปแบบธรรมดา นั่นสะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงของ Dior Prestige ที่ตั้งใจจะแปลงโฉมที่ดินผืนนี้ให้กลายเป็นตัวอย่างของการพัฒนาที่ยั่งยืนในเวลาเดียวกัน
พุ่มกุหลาบมากกว่า 50,000 พุ่ม ที่มาของผลิตภัณฑ์ Dior Prestige La Crème ดูแลอย่างใกล้ชิดโดย Nicolas Sambet นักเพาะพันธุ์กุหลาบประจำสวนดิออร์แห่งใหม่ เขาผ่านการฝึกอบรมโดย Jérôme Rateau* ผู้พัฒนาสายพันธุ์กุหลาบ Granville โดยใช้หลักการของ André Eve เหตุนี้ Dior Rose Garden จึงกลายเป็นจุดศูนย์รวมแห่งการสืบทอดความเชี่ยวชาญ ซึ่ง Jérôme Rateau ได้ชื่อว่าเป็นผู้ริเริ่มการเกษตรอินทรีย์ มีความคิดในการปลูกกุหลาบและไม้ยืนต้นร่วมกันเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศทางธรรมชาติของพืช และยกเลิกการใช้ปุ๋ยเคมี หลักการเหล่านี้เป็นรากฐานการเพาะปลูก Rose De Granville ที่กำลังเติบโตในสวนโดยปราศจากการใช้ปุ๋ยเคมีหรือยาฆ่าแมลง เพื่อมอบสารออกฤทธิ์อันทรงพลังและบริสุทธิ์จากแหล่งกำเนิดตามธรรมชาติให้กับสกินแคร์ กระบวนการเพาะปลูกที่เป็นมิตรต่อพืช มนุษย์ และธรรมชาติ ทำให้การเพาะปลูก Rose De Granville ครั้งนี้เป็นแนวทางการเกษตรกรรมแบบยั่งยืน และต้นกำเนิดของดอกกุหลาบที่นำมาใช้รังสรรค์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวของ Dior
หากถือ Dior Prestige La Crème ไว้ในมือ จะรู้สึกได้ว่ามีน้ำหนักเบา ซึ่งผ่านการออกแบบให้น้ำหนักโดยรวมของผลิตภัณฑ์ลดลง 20% กระปุกมีความเพรียวบางและน้ำหนักกระจกที่เบาลงถึง 32% ส่วนตัวรีฟิลก็ดำเนินการตามแนวทางนี้เช่นกัน โดยน้ำหนักโดยรวมลดลงถึง 48% ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงสู่การใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น มีการใช้วัสดุรีไซเคิลและวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ เช่น แก้วและกระดาษแข็ง คิดเป็น 83% ของบรรจุภัณฑ์ทั้งหมด การเปลี่ยนจากการทำเครื่องหมายด้วยสีทองเมทัลลิกด้วยวิธี Hot Stamping เป็นการพิมพ์ด้วยหมึกออร์แกนิกสีดำนั้นช่วยเพิ่มความสามารถในการรีไซเคิลของกระปุกแก้ว และช่วยจำกัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการพิมพ์ ขณะเดียวกัน กล่องของ La Crème ยังประกอบด้วยกระดาษแข็งรีไซเคิล 100% และกระดาษ FSCTM แผ่นพับกระดาษถูกนำออกและแทนที่ด้วย QR Code สำหรับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในครั้งนี้ กระบวนการรีฟิลได้รับการปรับปรุงและลดผลกระทบให้เหลือน้อยที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การปล่อย CO2 ลดลงเกือบ 50% จากการรีฟิลครั้งแรก และมากกว่า 70% ในครั้งที่สาม เมื่อเทียบกับการซื้อผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยแนวทางนี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของ Dior ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย
Dr.Virginie Couturaud ผู้อำนวยการด้านการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ของ Parfums Christian Dior ที่มีส่วนสำคัญในการค้นคว้าขั้นตอนพัฒนาการสกัดกุหลาบ Rose De Granville ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะจาก Dior ได้กล่าวว่า “การที่เราอยากได้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ดีที่สุดต้องผ่านกระบวนการมากมาย เริ่มจากการเก็บเกี่ยว Rose De Granville มาสดๆ แล้วนำมาผ่านการสกัดเย็นในสวนโดยตรงด้วยเครื่องสกัดในแบบ Electromagnetic Waves (การผ่านคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า) จากนั้นนำไปใส่เครื่องปั่นเหวี่ยงในห้องปฏิบัติการ จนสามารถแยกโมเลกุลทั้ง 88 ชนิดออกมาได้ และโมเลกุลก็จะถูกนำไปผสมกับน้ำเลี้ยงและเปปไทด์อีก 2 ชนิด จนได้เป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘Rosapeptide’ ซึ่งมันคือสารสกัดเข้มข้นและบริสุทธิ์ระดับสูง สามารถฟื้นบำรุงผิวได้ลึกถึง 3 ชั้น ช่วยส่งเสริมกระบวนการสังเคราะห์คอลลาเจนในชั้นผิว การสังเคราะห์ลิพิดและเซราไมด์บนผิวชั้นนอก ทำให้รู้สึกผิวแข็งแรง รู้สึกแน่นกระชับขึ้น”
“สาร Active Ingredient ที่เป็นสารออกฤทธิ์แต่ก่อนจะมีแค่ 8 ชนิด แต่ปัจจุบันมีถึง 88 ชนิด ซึ่งมันช่วยในการย้อนวัยให้ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ โดยเราจะเป็นพาร์ตเนอร์กับสถาบันหรือมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว จึงเป็นที่มาของการค้นพบ Rosapeptide ของเรา พออายุเรามากขึ้น ผิวก็จะสูญเสียความกระชับ และเริ่มเห็นริ้วรอยที่ชัดเจนขึ้น แต่เราก็มีทางแก้ให้กับทุกคน ซึ่งทาง Dior มีการจำลอง Bio Painting ออกมาเป็นผิวของคนที่อายุน้อยกับผิวของคนที่อายุมากให้ได้เห็นกันเลย และดัชนีชี้วัดก็พบว่า Rosapeptide ช่วยย้อนวัยให้ผิวดูสมบูรณ์มากขึ้นได้ แม้ว่ามันจะไม่ได้ย้อนถึงขนาดที่ว่าคนอายุ 50 ปี ดูย้อนวัยไปเหมือนคนอายุ 20 ปี แต่ว่ามันจะช่วยให้ผิวกลับไปอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด โดยทั่วไปเวลาเราใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอะไรสักอย่าง มันก็จะทำงานที่ชั้นผิวใดชั้นผิวหนึ่ง แต่สาร Rosapeptide ของเราสามารถทำงานในทั้ง 3 ชั้นผิวพร้อมกันทีเดียวเลย”
ทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นความประทับใจของผู้มาร่วมงาน รวมถึงเหล่าเซเลบริตี้ต่อไปนี้ที่ได้เปิดใจถึงความรู้สึกของพวกเขาในการมาร่วมสัมผัสกับประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟในงาน Dior Rose Gallery ดังนี้
“เอิงประทับใจใน Dior Prestige La Crème คือเรื่องความชุ่มชื้นของเนื้อครีมและมีกลิ่นที่หอมมาก และแบรนด์ Dior ไม่ได้ให้ความสำคัญแค่คุณภาพของครีมเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการรักษ์โลกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการปรับมาใช้น้ำหนักของแก้วที่ลดลง เนื้อแก้วบางลง เป็นการเปลี่ยนแปลงสู่การใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับหลายๆ แบรนด์หันมาเห็นความสำคัญของเรื่องนี้”
“งาน Dior Rose Gallery จำลองสวนดอกกุหลาบจากบ้านเกิดของมิสเตอร์คริสเตียน ดิออร์ ทั้งบริเวณบ้านและสวนจากเมือง Granville นอร์มองดีมาไว้ที่งานนี้ และมีโซนวิทยาศาสตร์ที่สามารถเดินชมแกลเลอรีที่เปิดเผยกระบวนการและขั้นตอนการวิจัยผลิตภัณฑ์ด้วย ผลิตภัณฑ์ Dior Prestige La Crème ผ่านการคิดค้นของนักวิทยาศาสตร์ที่ใช้สารสกัดที่มาจากดอกกุหลาบพันธุ์พิเศษ Granville ซึ่งน่าใช้มากครับ”
“การเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมกับ Dior Prestige La Crème ที่ผมประทับใจคือการให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วย ในความรู้สึกผม ผมว่าคนเราอยากหล่อ อยากสวยได้โดยที่ไม่ต้องทำลายสิ่งแวดล้อม การที่เราอยากเป็นส่วนหนึ่งในการลดโลกร้อนก็ทำได้ง่ายๆ เช่นเวลาจะเลือกใช้ครีม ก็ควรจะพิจารณาว่าแบรนด์ไหนบ้างที่เขาใส่ใจเรื่องส่วนผสม การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่รีไซเคิลได้ และไม่กระทบเรื่องสิ่งแวดล้อม”
“ความรู้สึกแรกที่ผมนึกถึงคำว่าคริสเตียน ดิออร์ คือความเป็นผู้หญิง ผมคิดถึงภาพของผู้หญิงที่สวย สะอาด มีความหรูหราในตัว เหมือนบรรยากาศในงานเลยครับที่เต็มไปด้วยความสวยงามจริงๆ และยังเป็นครั้งแรกในการเปิดตัว Dior Prestige La Crème ด้วย เนื้อครีมหอมกลิ่นดอกกุหลาบ และทราบมาว่าแบรนด์เขาให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมด้วย”
“การได้เห็นบรรยากาศของ Dior Rose Gallery จึงให้ความรู้สึกเหมือนได้มองเห็นเรื่องราวที่มาของการพัฒนาผลิตภัณฑ์จนกลายมาเป็นครีม Dior Prestige La Crème และ Dior ก็หันมาใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้น เป็นเรื่องที่ดีมาก การที่แบรนด์ใหญ่เริ่มต้นทำอะไรสักอย่างที่ช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อมมันเป็น Soft Power ที่จะกระตุ้นให้แบรนด์ต่างๆ หันมาตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมไปด้วยกันได้ครับ”
“บรรยากาศต่างๆ ภายในงาน Dior Rose Gallery มีความหรูหราสวยงาม ผมรู้สึกเหมือนได้ไปเยี่ยมชมสวนกุหลาบของมิสเตอร์คริสเตียน ดิออร์ จริงๆ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ดอกกุหลาบเต็มไปหมด ซึ่งดอกกุหลาบก็เป็นที่มาของผลิตภัณฑ์บำรุงผิว Dior Prestige La Crème รุ่นใหม่ ที่สำคัญนี่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมความงามที่สามารถย้อนวัยให้ผิวได้ด้วย ผมก็รู้สึกดีใจนะครับที่ Dior ก็เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง Sustainability ด้วย ทั้งการออกแบบแพ็กเกจจิ้งใหม่ให้แก้วบางลง และสามารถรีฟีลได้ด้วย ซึ่งช่วยลดโลกร้อนได้อีกทางหนึ่ง”
“แคทเป็น Big Fan คนหนึ่งของแบรนด์ Dior อยู่แล้วค่ะ เพราะผ่านการใช้สกินแคร์ทุกไลน์ของ Dior รู้สึกประทับใจในผลลัพธ์มากๆ ยิ่งพอได้สัมผัสกับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวอย่าง Dior Prestige La Crème เป็นสูตรใหม่ที่ดีกว่าเดิม และยังมีผลการวิจัยออกมาแล้วว่าหากใช้ครีมสูตรใหม่นี้ติดต่อกันเป็นเวลา 8 สัปดาห์ จะช่วยทำให้ผิวแลดูเด็กลงได้หลายปีเลยค่ะ ซึ่งเป็นผลวิจัยที่น่าตื่นเต้นมาก และพอได้ลองเนื้อครีมก็พบว่าหอมกลิ่นดอกกุหลาบมาก”
“นอกจากเรื่องคุณภาพของ Dior Prestige La Crème ที่การันตีขนาดนี้แล้ว ก็ยังมีเรื่องรายละเอียดของแพ็กเกจจิ้งที่น่าสนใจมากๆ ด้วย เช่น มีการออกแบบให้เป็นเหมือน High Jewelry เลย และแพ็กเกจของเขาถ้าเราใช้ครีมหมดแล้ว สามารถเปลี่ยนรีฟีลได้โดยที่ไม่ต้องทิ้งกระปุกเลย ซึ่งเป็นการช่วยลดปริมาณขยะจากบรรจุภัณฑ์ของเครื่องสำอาง ช่วยลดภาวะโลกร้อนไปในตัวด้วยค่ะ”
The post เยี่ยมชม Dior Rose Gallery ที่จำลองจากบ้านและสวนของมิสเตอร์ดิออร์ พร้อมเปิดตัว Dior Prestige La Crème ครั้งแรกในไทย appeared first on THE STANDARD.
]]>