เสถียรภาพทางการเงิน – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 13 Feb 2024 07:19:47 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 IMF ห่วงเสถียรภาพไทย ย้ำรัฐบาลควรปรับดิจิทัลวอลเล็ตให้เฉพาะกลุ่ม https://thestandard.co/imf-warns-of-thailand-stability/ Tue, 13 Feb 2024 07:19:47 +0000 https://thestandard.co/?p=899135 IMF ห่วงเสถียรภาพไทย แนะปรับ ดิจิทัลวอลเล็ต

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยกับ THE STANDAR […]

The post IMF ห่วงเสถียรภาพไทย ย้ำรัฐบาลควรปรับดิจิทัลวอลเล็ตให้เฉพาะกลุ่ม appeared first on THE STANDARD.

]]>
IMF ห่วงเสถียรภาพไทย แนะปรับ ดิจิทัลวอลเล็ต

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยกับ THE STANDARD โดยระบุว่า หากรัฐบาลไม่รักษาวินัยการคลัง อาจสะเทือนถึงเสถียรภาพประเทศได้ พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลไทยควรปรับดิจิทัลวอลเล็ตให้เฉพาะกลุ่มมากขึ้น โดยให้มุ่งช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเป็นพิเศษ

 

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ตอบคำถาม THE STANDARD ในประเด็นผลกระทบของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต โดยระบุว่า ในมุมมองของ IMF ระบุว่า การแจกเงินขนาดใหญ่แบบไม่เฉพาะเจาะจง (Untargeted) และกึ่งทั่วหน้า (Quasi-Universal) อาจจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียงในระยะสั้น (Short-Lived) เท่านั้น นอกจากนี้การถอนมาตรการกระตุ้นในปีงบประมาณต่อไปก็อาจทำให้เกิดการหดตัวทางเศรษฐกิจได้

 

สำหรับผลกระทบของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต IMF ระบุว่า ขนาด (Size), แหล่งเงิน (Financing Terms) และรูปแบบการดำเนินงาน จำเป็นต้องมีความชัดเจนก่อน IMF ถึงจะประเมินผลกระทบได้ โดยเฉพาะผลต่อการลดความยากจนหรือความเหลื่อมล้ำ

 

อย่างไรก็ตามในทางกลับกัน การให้การสนับสนุนแบบตรงกลุ่มกับผู้มีความเปราะบางที่ไม่ได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว อาจพอดีกับงบประมาณที่เหลืออยู่ กระนั้นในการจัดการกับความยากจนและความไม่เท่าเทียมอย่าง ‘ยั่งยืน’ รัฐบาลควรมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคม (Social Safety Nets) และสร้างความก้าวหน้าของระบบภาษี

 

ทั้งนี้ ตามการประมาณการล่าสุดของ IMF เมื่อเดือนมกราคม IMF คาดการณ์ว่า การเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะเร่งตัวขึ้นเป็น 4.4% (รวมดิจิทัลวอลเล็ต) ในปี 2567 เนื่องมาจากอุปสงค์ภายนอกที่เพิ่มขึ้น การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และการเติบโตที่แข็งแกร่งของการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งคาดว่าได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นทางการคลังของรัฐบาล (ดิจิทัลวอลเล็ต) ด้วย 

 

อย่างไรก็ตาม หากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (ดิจิทัลวอลเล็ต) น้อยกว่าระดับที่คาดไว้ในปัจจุบัน (ราว 2.7% ต่อ GDP) หรือโครงการดิจิทัลวอลเล็ตถูกแบ่งออกไปใช้ 2 ปีงบประมาณ คาดการณ์การเติบโตในปี 2567 ก็อาจจะลดลง

 

เปิดความเสี่ยงเศรษฐกิจไทย อาจโตต่ำกว่าประมาณการ

 

IMF ระบุอีกว่า ไทยมีความเสี่ยงทั้งในประเทศและภายนอกหลายประการ ได้แก่ วินัยทางการคลัง (Fiscal Discipline) ที่ไม่เพียงพอและค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้นอาจ ซึ่งบ่อนทำลายเสถียรภาพระดับมหภาค

 

นอกจากนี้หนี้ภาคเอกชนก็ถือเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงิน และอาจฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจได้

 

ในด้านภายนอก การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างกะทันหัน โดยเฉพาะในจีนและสหรัฐอเมริกา ก็อาจส่งผลกระทบในทางลบต่อประเทศไทย ขณะที่ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่หนักขึ้นก็อาจส่งผลเสียต่อไทยอย่างมาก

 

เตือนไทยขาดวินัยการคลัง อาจบ่อนทำลายเสถียรภาพประเทศ

 

IMF เน้นย้ำอีกว่า การรักษาจุดยืนทางการคลัง (Fiscal Stance) ที่รอบคอบในระยะสั้น ด้วยการสนับสนุนแบบตรงเฉพาะเจาะจง (Well-Targeted) ไปยังกลุ่มเปราะบางถือเป็น ‘สิ่งสำคัญ’ จากการพิจารณาจากโมเมนตัมการบริโภคที่แข็งแกร่ง ช่องว่างของผลผลิต และพื้นที่ทางการคลังที่แคบลง ท่ามกลางสภาพแวดล้อมระดับโลกที่มีความไม่แน่นอนสูง

 

“วินัยทางการคลังที่ไม่เพียงพอภายใต้สภาวะเศรษฐกิจดังกล่าว อาจบ่อนทำลายเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรัดเข็มขัดทางการคลัง (Fiscal Consolidation) ที่ล่าช้าออกไป อาจทำให้หนี้สาธารณะแย่ลง ซึ่งอาจทำให้ภาครัฐต้องรีบหันมาใช้นโยบายที่เข้มงวดอย่างกะทันหัน ซึ่งอาจกลับมาเป็นความท้าทายต่อการเติบโตอีกที” IMF ระบุ

 

ส่วนในระยะกลาง การยกระดับการระดมรายได้และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายที่ดีขึ้น จะช่วยลดหนี้สาธารณะและทำให้พื้นที่ทางการคลังเพิ่มขึ้น สำหรับการส่งเสริมการลงทุนในด้านการศึกษา สุขภาพ และโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ

 

“การปรับนโยบายการคลังและการเงินให้กลับสู่ระดับปกติ (Normalization) อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อสร้างกันชนขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงด้านลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจได้” IMF ระบุ

 

แนะไทยกระจายความเสี่ยงจากภาคต่างประเทศ อย่างเช่น ส่งออกและท่องเที่ยว

 

IMF แนะว่า การเพิ่มความหลากหลายในตลาดส่งออกอาจช่วยลดผลกระทบด้านลบจากอุปสงค์ภายนอกที่อ่อนแอลงได้ ตัวอย่างเช่น ความพยายามในปัจจุบันของประเทศไทยในการขยายความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศต่างๆ ที่กว้างขึ้น

 

นอกจากนี้ประเทศไทยยังสามารถดำเนินการบูรณาการทางการค้า (Trade Integration) กับประเทศอาเซียนอื่นๆ ได้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็แสวงหาการใช้ประโยชน์จากกลุ่มเศรษฐกิจที่หลากหลาย ไปจนถึง Global Value Chains

 

แม้ปัจจุบันการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อ GDP ทั้งทางตรงและทางอ้อม อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาการท่องเที่ยวมากเกินไปได้เพิ่มความเสี่ยงของประเทศไทย (ดังที่พบในช่วงโควิด) และอาจส่งผลต่อแนวโน้มการเติบโตในระยะกลางได้

 

นักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากตลาดมวลชน (Mass-Market Tourists) นอกจากนี้การใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวของนักท่องเที่ยวในไทยยังน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงกว่าหรือเทียบเคียงได้ 

 

ดังนั้นการพึ่งพาการท่องเที่ยวมวลชนจำนวนมากอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตระยะกลาง เนื่องจากการจัดสรรทรัพยากรไปยังภาคส่วนที่มีมูลค่าเพิ่มที่ค่อนข้างต่ำ (Low Value-Added Sector)

 

IMF จึงแนะนำให้ไทยพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีมูลค่าสูงขึ้น (Higher Value Tourism) เช่น การท่องเที่ยวที่หรูหรา การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ เป็นต้น

 

นอกจากนี้ประเทศไทยควรพยายามยกระดับกำลังแรงงานและปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ เพื่อดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมากขึ้นและมุ่งสู่การส่งออกที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น โครงการ EEC จึงถือเป็นก้าวสำคัญในทิศทางนี้

 

“ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเปิดและพึ่งพาการค้าเป็นอย่างมาก ดังนั้นการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น ปัญหาอุปสงค์ภายนอกประเทศที่อ่อนแอในช่วงปี 2566 ส่งผลให้การส่งออกสินค้ามีประสิทธิภาพต่ำ การลงทุนในประเทศเพียงเล็กน้อยของปีที่แล้ว เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้การเติบโตที่อ่อนแอของประเทศไทย ทั้งสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคโลกและความไม่แน่นอนภายในประเทศเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของการลงทุนที่ต่ำ” IMF ระบุ

The post IMF ห่วงเสถียรภาพไทย ย้ำรัฐบาลควรปรับดิจิทัลวอลเล็ตให้เฉพาะกลุ่ม appeared first on THE STANDARD.

]]>
ธนาคารกลางรักษา ‘เสถียรภาพด้านราคา-เสถียรภาพของระบบการเงิน’ ไปพร้อมกันได้อย่างไร? https://thestandard.co/how-central-banks-maintain-price-and-financial-stability/ Sun, 18 Jun 2023 09:01:55 +0000 https://thestandard.co/?p=805058

ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ […]

The post ธนาคารกลางรักษา ‘เสถียรภาพด้านราคา-เสถียรภาพของระบบการเงิน’ ไปพร้อมกันได้อย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง โจทย์สำคัญที่ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกกำลังเผชิญคือ การชั่งน้ำหนักว่าจะหาจุดสมดุลในการดูแลเสถียรภาพด้านราคาและเสถียรภาพของระบบการเงินไปพร้อมๆ กัน

 

อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันธนาคารกลางหลายแห่งก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเขาในฐานะผู้กำหนดนโยบายการเงิน สามารถรับมือกับแรงกดดันทางการเงินและมุ่งมั่นกับการต่อสู้กับเงินเฟ้อได้

 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ความสามารถยับยั้งผลกระทบจากการล่มสลายของ Silicon Valley Bank และธนาคารภูมิภาค (Regional Bank) อื่นๆ ในสหรัฐฯ รวมถึงธนาคาร Credit Suisse ในสวิตเซอร์แลนด์ โดยไม่ทำให้เงินเฟ้อกลับมาพุ่งสูงขึ้น

 

วิกฤตในรอบนี้มีความแตกต่างจากช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2008 ซึ่งโจทย์ในตอนนั้นคือ การเพิ่มอุปสงค์มวลรวมเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะเงินฝืดและภาวะเศรษฐกิจถดถอย ไม่มีปัญหาเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่สูงอย่างเช่นในปัจจุบัน ซึ่งทำให้การสร้างจุดสมดุลระหว่างการดูแลเสถียรภาพด้านราคาและเสถียรภาพของระบบการเงินทำได้ยากกว่า

 

ความยากในการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางในรอบนี้คือ ความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างจริงจัง เพื่อดับความร้อนแรงของเศรษฐกิจและทำให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่เป้าหมาย หลังจากสถาบันการเงินหลายแห่งทั่วโลกคุ้นชินกับภาวะดอกเบี้ยต่ำมานาน 

 

เมื่อดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นเร็วและแรงพร้อมกันทั่วโลก งบดุลของธนาคารจึงดูแย่ลง ตามสินทรัพย์ เช่น เงินกู้และตราสารหนี้ที่อยู่ในมือธนาคารที่มีมูลค่าลดลง ขณะที่ภาระหนี้สินของธนาคารกลับเพิ่มสูงขึ้น หากไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาเหล่านี้อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบการเงินโดยรวมได้

 

การรับมือกับแรงกดดันทางการเงินที่ไม่รุนแรง

 

ในอดีตเมื่อธนาคารกลางเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายและเริ่มถอนสภาพคล่องออกจากระบบ โดยใช้วิธีลดขนาดของงบดุลลง หรือ Quantitative Tightening (QT) มักจะก่อให้เกิดความตึงเครียดทางเศรษฐกิจ แต่หากแรงกดดันเหล่านี้อยู่ในระดับที่ไม่รุนแรง ก็จะไม่นับว่าเป็นปัญหาใหญ่ในการบรรลุเสถียรภาพด้านราคาและเสถียรภาพของระบบการเงิน 

 

ในกรณีที่แรงกดดันทางการเงินดังกล่าวนำไปสู่การลดลงของอุปสงค์มวลรวม ธนาคารกลางก็สามารถปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อให้แน่ใจว่าเศรษฐกิจยังคงเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาก็เคยมีธนาคารกลางที่ใช้วิธีนี้ ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ธนาคารกลางของสหรัฐฯ ได้ระงับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อเผชิญกับวิกฤตสินเชื่อที่ใกล้เข้ามา แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่เหนือระดับที่ต้องการก็ตาม

 

นอกจากนี้ธนาคารกลางยังสามารถใช้เครื่องมือทางการเงินอื่นๆ นอกเหนือจากอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อควบคุมความเสี่ยงในภาคส่วนต่างๆ ของระบบการเงิน ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงที่เกิดวิกฤต Silicon Valley Bank และความวุ่นวายที่ตามมาในกลุ่มธุรกิจธนาคาร ทางธนาคารกลางของสหรัฐฯ ได้ออกโครงการเงินกู้ฉุกเฉินให้กลุ่มสถาบันการเงินอย่างรวดเร็ว เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับธนาคารและเรียกความเชื่อมั่นในระบบการเงินกลับมา 

 

อีกทั้งหากมีมาตรการจัดการความเสี่ยงในระบบการเงิน (Macro-Prudential) ก็สามารถปรับเปลี่ยนให้ยืดหยุ่นขึ้นได้ กล่าวคือถ้ามีความเสี่ยงในระบบการเงินเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย สามารถพึ่งพาเครื่องมือทางการเงินของธนาคารกลาง เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินภายในประเทศ โดยไม่ต้องใช้มาตรการสนับสนุนเพิ่มเติมจากรัฐบาล ด้วยวิธีนี้ทำให้นโยบายการเงินสามารถมุ่งเน้นไปที่การควบคุมอัตราเงินเฟ้อได้

 

ความท้าทายที่เกิดจากแรงกดดันทางการเงินที่รุนแรงขึ้น

 

แม้ว่าแรงกดดันทางการเงินดูเหมือนจะอยู่ภายใต้การควบคุมชั่วขณะ อย่างไรก็ตาม อาจมีปัจจัยหลายประการที่ทำให้สถานการณ์แย่ลงและบานปลายอย่างรวดเร็ว เป็นวิกฤตการณ์ทางการเงินที่รุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งระบบเศรษฐกิจ อาทิ การล่มสลายของธนาคารยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ เมื่อเร็วๆ นี้ ได้รับการเร่งปฏิกิริยาจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและการสื่อสาร ที่ทำให้ความกังวลของผู้คนแพร่สะพัดอย่างรวดเร็วและปัญหารุนแรงขึ้น

 

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีได้เข้ามาเป็นความท้าทายที่สำคัญของธนาคารกลาง ทำให้ผู้กำหนดนโยบายการเงินต้องดำเนินนโยบายอย่างเหมาะสมและทันท่วงทีผ่านนโยบายการเงินเชิงรุก (Aggressive Monetary Policy) ซึ่งรวมถึงการอัดฉีดสภาพคล่องในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การเข้าไปกว้านซื้อตราสารทางการเงินระยะกลางถึงระยะยาว เช่น พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่น หรือตราสารหนี้เอกชน เป็นต้น เพื่อเพิ่มปริมาณเงินหรือสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ หรืออาจเป็นการอัดฉีดเงินทุนโดยตรง หากการแทรกแซงเหล่านี้มีศักยภาพมากพอ นโยบายการเงินก็จะมุ่งเน้นไปที่การควบคุมอัตราเงินเฟ้อต่อไปโดยไม่มีอุปสรรคใดๆ

 

อย่างไรก็ตาม การรับมือกับวิกฤตการณ์ทางการเงินอาจเกินขีดความสามารถของธนาคารกลาง เนื่องจากธนาคารกลางสามารถดำเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สถาบันการเงินให้มีความมั่นคงและเสถียรภาพ แต่เมื่อต้องรับมือกับบริษัทที่ประสบปัญหาทางการเงินหรือบุคคลที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ รัฐบาลจะเป็นผู้รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว 

 

เมื่อแรงกดดันทางการเงินและความเป็นไปได้ของการล้มละลายสูงขึ้น สิ่งสำคัญคือต้องดำเนินการอย่างแข็งขัน เพื่อทำให้สถานการณ์มีเสถียรภาพ ซึ่งมักจะใช้งบประมาณแผ่นดินจำนวนมากในการดําเนินมาตรการและวิธีการต่างๆ เพื่อนำพาประเทศผ่านพ้นวิกฤต

 

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเดือนกันยายน ปี 2022 บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งในประเทศเกาหลีใต้ประกาศผิดนัดชำระหนี้ ทำให้บรรดาตลาดพันธบัตรและตลาดเงินของเกาหลีใต้เกิดความปั่นป่วน เนื่องจากนักลงทุนเริ่มวิตกกังวล และเกรงว่าปัญหานี้อาจลามไปสู่วิกฤตอสังหาริมทรัพย์เหมือนที่เกิดขึ้นในจีน 

 

ด้วยเหตุนี้ทางรัฐบาลและธนาคารกลางของเกาหลีใต้ (BOK) จึงได้ดำเนินมาตรการเพิ่มสภาพคล่องให้ตลาดเงิน โดยการซื้อหุ้นกู้และตราสารหนี้เอกชนระยะสั้น เพื่อยับยั้งการผิดนัดชำระหนี้เป็นวงกว้าง การดำเนินการเหล่านี้ทำให้ธนาคารกลางของเกาหลีใต้สามารถรับมือกับความเสี่ยงในระบบการเงิน ไปพร้อมๆ กับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อ

 

ในกรณีที่รัฐบาลไม่มีพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) หรือการสนับสนุนทางการเมืองในการจัดหาทรัพยากรที่เพียงพอ ธนาคารกลางอาจปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน เพื่อจัดการกับแรงกดดันทางการเงินและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยจำเป็นต้องระมัดระวังอย่างยิ่งเมื่อขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อลดความเสี่ยงในระบบการเงินและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะกลับสู่เป้าหมายนโยบายการเงินได้ช้าลง

 

แน่นอนว่าการสื่อสารทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สำคัญของธนาคารกลาง ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิผลต่อการคาดการณ์ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และการยึดเหนี่ยวอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ของสาธารณชน 

 

อย่างไรก็ตาม การสื่อสารนโยบายการเงินอาจเผชิญความท้าทายบางประการ เนื่องจากธนาคารกลางต้องทำให้สาธารณชนเชื่อให้ได้ว่ากำลังเอาจริงกับปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งอาจทำให้สาธารณชนเกิดความวิตกกังวลมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นอาจปล่อยให้ธนาคารกลางปรับขึ้นดอกเบี้ยช้าเกินไป เมื่อเทียบกับแนวโน้มของเงินเฟ้อ (Behind the Curve) ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกำหนดมาตรฐานที่สูงในการสื่อสารทิศทางการดำเนินนโยบายการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อ อย่างต่อเนื่อง

 

ในประเทศที่นโยบายการเงินขาดความน่าเชื่อถือและฐานะการคลังอ่อนแอ การตัดสินใจทางเศรษฐกิจจึงไม่มีทางเลือกมากนัก ประเทศเหล่านี้มีความเสี่ยงมากกว่าที่จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเคลื่อนย้ายเงินทุนในวงกว้าง ซึ่งก่อให้เกิดการอ่อนค่าของอัตราแลกเปลี่ยนอย่างรุนแรงและอัตราเงินเฟ้อที่สูง 

 

ในทางกลับกัน หากประเทศดำเนินนโยบายการเงินมีความน่าเชื่อถือและฐานะการคลังที่เข้มแข็ง ผู้กำหนดนโยบายสามารถใช้มาตรการแทรกแซงในลักษณะอื่นๆ เช่น แทรกแซงในตลาดเงินตราต่างประเทศ หรืออัดฉีดสภาพคล่องเข้าในระบบ เป็นต้น แต่หากวิกฤตใกล้เข้ามา รัฐบาลหรือธนาคารกลางอาจต้องหันมาใช้มาตรการควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ เพื่อลดความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนจากการเปลี่ยนแปลงของปริมาณเงินในตลาดการเงิน 

 

การรับมือเมื่อเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินอย่างเฉียบพลัน

 

หากสถานการณ์ทางการเงินแย่ลงจนเกิดวิกฤตใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ธนาคารกลางต่างๆ จะต้องเน้นไปที่การแก้ไขเสถียรภาพของระบบการเงินเป็นอันดับแรก 

 

ธนาคารกลางที่มีความน่าเชื่อระดับสูงมีความสามารถในการดำเนินการปรับนโยบายการเงิน โดยมุ่งลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่มีอยู่ ในกรณีที่อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง อาจแสดงถึงความพยายามของธนาคารกลางในการบรรลุเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อในกรอบเวลาที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ในทางปฏิบัติ การเกิดวิกฤตอาจสร้างแรงกดดันที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญต่ออัตราเงินเฟ้อ ดังนั้นธนาคารกลางจึงจำเป็นต้องปรับวัตถุประสงค์ของนโยบายการเงินใหม่

 

อย่างไรก็ตาม ในระบบเศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ซึ่งมีกรอบแนวทางการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจมหภาคที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่า มีแนวโน้มที่จะต้องเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ ซึ่งเกิดจากการไหลออกของเงินทุนและการอ่อนค่าของสกุลเงิน นำไปสู่อัตราเงินเฟ้อที่เลวร้ายลง 

 

ด้วยเหตุนี้ธนาคารกลางของประเทศเหล่านี้ จึงจำเป็นต้องระมัดระวังและเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดในการรักษาเสถียรภาพของค่าเงิน ซึ่งอาจจำกัดความสามารถในการดำเนินนโยบายที่กระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ว่าประเทศเหล่านี้จะสามารถดำเนินการบางอย่างได้อย่างอิสระ 

 

นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ ประเทศต้องมีการสร้างเครือข่ายความมั่นคงทางเศรษฐกิจกับนานาชาติในภาวะของความผันผวนและความไม่แน่นอน เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดวิกฤตที่ยาวนานและรุนแรง

 

ให้ความช่วยเหลือ Non-Bank เมื่อเกิดวิกฤตทางการเงิน

 

ธุรกิจการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-Bank) เช่น บริษัทประกัน กองทุนบำเหน็จ-บำนาญ และกองทุนรวม ฯลฯ กำลังมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ โดยปกติแล้วธนาคารกลางจะอัดฉีดสภาพคล่องให้กับภาคธนาคาร แต่ Non-Bank อาจไม่ได้รับประโยชน์จากสภาพคล่องนี้ Non-Bank มักจะมีทรัพยากรด้านเงินทุนที่ต่ำกว่าและมีการกำกับดูแลที่เข้มงวดน้อยกว่าธนาคาร 

 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตทางการเงิน ธนาคารกลางอาจพบว่าจำเป็นต้องจัดหาสภาพคล่องให้กับ Non-Bank เช่น ในกรณีของวิกฤตการเงินโลกปี 2008 และการระบาดของโควิด แต่มาตรฐานการให้กู้ยืมแก่ Non-Bank ควรมีความเข้มงวดมากกว่าสำหรับธนาคาร เนื่องจากความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับงบดุลของธนาคารกลางและศักยภาพในการสร้างแรงจูงใจ ที่อาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางการเงินในอนาคต

 

กล่าวโดยสรุปจากสถานการณ์ล่าสุดในสวิตเซอร์แลนด์ เกาหลีใต้ และสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่า มาตรการที่เข้มงวดของธนาคารกลางในการจัดการกับแรงกดดันทางการเงินมีส่วนช่วยลดความไม่แน่นอน ในทางกลับกัน สิ่งนี้ทำให้ธนาคารกลางสามารถให้ความสำคัญกับการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อต่อไปได้

 

อ้างอิง:

The post ธนาคารกลางรักษา ‘เสถียรภาพด้านราคา-เสถียรภาพของระบบการเงิน’ ไปพร้อมกันได้อย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
SCB CIO คาดธนาคารกลางทั่วโลกเตรียมยุติ ‘ขึ้นดอกเบี้ย’ ไตรมาส 2 ปีนี้ หลังเสถียรภาพระบบธนาคารสั่นคลอน https://thestandard.co/scb-cio-central-banks-stop-raising-interest/ Fri, 24 Mar 2023 08:50:06 +0000 https://thestandard.co/?p=768053

SCB CIO คาดธนาคารกลางหลักมีแนวโน้มหยุดขึ้นดอกเบี้ยในไตร […]

The post SCB CIO คาดธนาคารกลางทั่วโลกเตรียมยุติ ‘ขึ้นดอกเบี้ย’ ไตรมาส 2 ปีนี้ หลังเสถียรภาพระบบธนาคารสั่นคลอน appeared first on THE STANDARD.

]]>

SCB CIO คาดธนาคารกลางหลักมีแนวโน้มหยุดขึ้นดอกเบี้ยในไตรมาส 2 หลังเกิดปัจจัยความเสี่ยงเสถียรภาพสถาบันการเงิน แนะนำสะสมหุ้นกู้คุณภาพสูง, หุ้นจีน A-Share และหุ้นไทย

 

SCB CIO ประเมินหลังเกิดปัจจัยเสี่ยงต่อเสถียรภาพสถาบันการเงิน คาดว่าธนาคารกลางหลักจะเริ่มส่งสัญญาณหยุดขึ้นดอกเบี้ยภายในไตรมาส 2 และเชื่อว่าโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงต่อสถาบันการเงินจนลุกลามกลายเป็นวิกฤตทั้งระบบยังมีค่อนข้างน้อย เพราะส่วนใหญ่เป็นปัญหาเฉพาะตัว และธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) ได้ออกมาจัดการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ฝากเงินและช่วยสภาพคล่องให้กับธนาคารพาณิชย์ได้ค่อนข้างเร็ว แนะหาจังหวะสะสมหุ้นกู้คุณภาพสูง 

 

โดยเชื่อว่าผลของการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องและการระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ จะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะกลางและยาวลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 รวมทั้งหุ้นจีน A-Share และหุ้นไทยที่ Valuation น่าสนใจและมีแนวโน้มกำไรที่ฟื้นตัวในระยะข้างหน้า

 

กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากประเด็นความกังวลการแห่ถอนเงิน (Bank Run) ในสหรัฐฯ ทำให้ Fed ต้องออกมาตรการเพื่อจัดการคุ้มครองเงินฝากของธนาคารที่ถูกปิด และดูแลสภาพคล่องให้กับธนาคารที่จะมีปัญหานี้ในอนาคต 

 

โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ธนาคารขนาดกลางในสหรัฐฯ ประสบปัญหาคือ

 

  1. โครงสร้างฐานลูกค้าที่มีการกระจุกตัว (Client Base Concentration) 
  2. การบริหารสินทรัพย์และหนี้สินที่ผิดพลาด (Asset-Liability Mismatching) 

 

อย่างไรก็ตาม SCB CIO เชื่อว่าโอกาสที่จะลุกลามกลายเป็นวิกฤตทั้งระบบยังมีค่อนข้างน้อย เพราะส่วนใหญ่เป็นปัญหาเฉพาะตัว และ Fed ได้ออกมาจัดการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ฝากเงินและช่วยสภาพคล่องให้กับธนาคารพาณิชย์ได้ค่อนข้างเร็ว 

 

ส่วนกรณีเสถียรภาพสถาบันการเงินในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ SCB CIO ตั้งข้อสังเกตว่า แม้ UBS ตกลงเข้าซื้อ Credit Suisse โดยมีธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ช่วยเหลือเรื่องสภาพคล่อง แต่หนึ่งในเงื่อนไขที่สร้างความประหลาดใจให้ตลาดคือ การที่หน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของสวิตเซอร์แลนด์ (FINMA) ได้มีคำสั่งให้ผู้ถือหน่วยตราสารที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 หรือ Additional Tier 1 (AT1) ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ ต้องรับความเสียหายไปด้วย โดยมูลค่า AT1 ส่วนนี้กลายเป็นศูนย์ 

 

ดังนั้น SCB CIO มองว่าการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะช่วยลดความกังวลเสถียรภาพของระบบการเงินได้ในระดับหนึ่ง แต่น่าจะทำให้ธนาคารพาณิชย์ในยุโรปต้องถือสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องมากขึ้นและเข้มงวดขึ้นในการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวได้มากขึ้นในระยะข้างหน้า  

 

ทั้งนี้ รูปแบบการเข้าช่วยเหลือเป็นการเน้นรักษาเสถียรภาพระบบการเงินโดยรวมและดูแลผู้ฝากเงิน ขณะที่ผู้ถือหุ้นและ AT1 ต้องรับความเสียหายด้วย เป็นมาตรการช่วยเหลือที่เห็นได้ทั้งในกรณีสหรัฐฯ และสวิตเซอร์แลนด์ โดยเราเชื่อว่าธนาคารพาณิชย์ที่มีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องและฐานทุนจะยังต้องเผชิญความเสี่ยงจากการถูกประเมินอันดับและแนวโน้มความน่าเชื่อถือ (Credit Rating and Outlook Downgrade Risk) และต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นต่อไป โดยประเด็นเหล่านี้จะทำให้ธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังในการปล่อยกู้สินเชื่อมากขึ้น และน่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกโดยรวมยังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อ 

 

จากความเสี่ยงเสถียรภาพสถาบันการเงินจะทำให้ธนาคารกลางหลักมีแนวโน้มหยุดขึ้นดอกเบี้ยในไตรมาส 2 โดยในกรณีของ Fed จะนำประเด็นรอยร้าวที่เกิดขึ้นในระบบการเงิน (แม้จะมีการอุดรอยร้าวนี้ไปบ้างแล้ว) มาเป็นปัจจัยที่ใช้ตัดสินใจ เพราะในการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed นอกจากประเด็นเงินเฟ้อและการจ้างงานแล้ว ต้องพิจารณาเสถียรภาพระบบการเงิน สถาบันการเงิน ระบบการชำระเงินและการคุ้มครองผู้บริโภคด้วย ทำให้ Fed น่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีกเพียง 25% ในการประชุมเดือนพฤษภาคม โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงสุด (Terminal Rate) จะอยู่ที่ 5.00-5.25% และคงดอกเบี้ยไว้ระดับนี้จนถึงปลายปี 2023

 

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน SCB CIO ประเมินว่ายังเป็นโอกาสดีที่จะสะสมหุ้นกู้คุณภาพสูง (Positive) แม้อัตราเงินเฟ้อในช่วงสั้นจะยังอยู่ในระดับสูง แต่ราคาพลังงานโลกที่ลดลงค่อนข้างเร็วน่าจะทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงไตรมาสที่ 2 เริ่มมีสัญญาณชะลอลงเร็วขึ้น บวกกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นของเสถียรภาพสถาบันการเงิน เราคาดว่า Fed รวมถึงธนาคารกลางหลักอื่นๆ จะเริ่มส่งสัญญาณการหยุดขึ้นดอกเบี้ยในไตรมาส 2 ปี 2023 ทำให้ในช่วงนี้ยังเป็นจังหวะที่ยังทยอยสะสมหุ้นกู้คุณภาพดีได้ โดยเราเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ชะลอลง (จากราคาพลังงานที่ลดลง) รวมถึงตัวเลขทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง (จากผลของการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องและการระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์) จะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะกลางและยาวลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2023

 

นอกจากนี้ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในเอเชีย (Asian REITs) ยังน่าสนใจจากการเปิดเมือง เปิดประเทศของจีนและอาเซียน ส่งผลบวกต่ออัตราการเช่าและค่าเช่า (Occupancy Rates and Rental Rates) ในอนาคตของ REITs ทั้งในกลุ่มโรงแรม และพื้นที่เชิงพาณิชย์ (Industrial and Warehouse) โดยเฉพาะในไทยและสิงคโปร์ที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีการพึ่งพาเศรษฐกิจจีนค่อนข้างมาก ขณะที่การเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร โดยเฉพาะในกรณีของไทยเริ่มมีจำกัด ทำให้มูลค่าของ REITs ในไทยและสิงคโปร์น่าจะถูกกำหนดด้วยอัตราการเช่าและค่าเช่าที่ฟื้นตัวเป็นหลัก

 

ส่วนการลงทุนในหุ้น (Neutral) แม้มูลค่าเมื่อพิจารณาจากราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) มีความน่าสนใจมากขึ้น แต่ยังมีแรงกดดันจากทั้งต้นทุนทางการเงินที่สูง และแนวโน้มกำไรเติบโตติดลบ จึงควรระมัดระวังกลุ่มที่มีภาระหนี้สูง ด้านผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2022 ที่ออกมาล่าสุดจากตลาดหุ้น ส่วนใหญ่สะท้อน 1. การหดตัวของอัตราการเติบโตกำไรบริษัทจดทะเบียนทำให้เกิดความเสี่ยง กำไรเมื่อเทียบรายปีหดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส (Earning Recession) และ 2. การลดลงของจำนวนบริษัทที่มีกำไรดีกว่าคาด (Earnings’ Positive Surprises)

 

กำพลกล่าวว่า เราได้ปรับมุมมองหุ้นเวียดนามลงเป็น Slightly Negative (ทยอยขาย) โดยเวียดนามยังเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการลงทุนระยะยาว ส่วนสถานการณ์การผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ มองว่าจะไม่ลุกลามจนกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ความกังวลบนการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ อาจส่งผลให้มี Sentiment เชิงลบต่อธุรกิจในกลุ่มอสังหาและกลุ่มอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กลุ่มธนาคาร และกลุ่มธุรกิจก่อสร้าง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเวียดนาม ขณะที่เสถียรภาพด้านต่างประเทศของเวียดนาม โดยเฉพาะประเด็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศยังจะเป็นประเด็นกดดันต่อไปในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า โดยเรายังแนะนำให้เน้นการลงทุนในตลาดหุ้นจีน (A-Share: Positive / H-Share Slightly Positive) และตลาดหุ้นไทย (Slightly Positive) ที่ Valuation น่าสนใจและมีแนวโน้มกำไรที่ฟื้นตัวในระยะข้างหน้า

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

The post SCB CIO คาดธนาคารกลางทั่วโลกเตรียมยุติ ‘ขึ้นดอกเบี้ย’ ไตรมาส 2 ปีนี้ หลังเสถียรภาพระบบธนาคารสั่นคลอน appeared first on THE STANDARD.

]]>
SVB ล่มเป็นเหตุ ‘Moody’s’ หั่น Outlook ระบบธนาคารสหรัฐฯ เป็นลบ หวั่นเสถียรภาพสั่นคลอน https://thestandard.co/svb-crash-moodys-down-view-outlook/ Wed, 15 Mar 2023 03:02:32 +0000 https://thestandard.co/?p=763029

สถานีโทรทัศน์ CNBC รายงานว่า Moody’s Investors Service […]

The post SVB ล่มเป็นเหตุ ‘Moody’s’ หั่น Outlook ระบบธนาคารสหรัฐฯ เป็นลบ หวั่นเสถียรภาพสั่นคลอน appeared first on THE STANDARD.

]]>

สถานีโทรทัศน์ CNBC รายงานว่า Moody’s Investors Service หนึ่งในสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐอเมริกา ประกาศปรับลดมุมมอง Outlook ของระบบธนาคารสหรัฐฯ จาก ‘มีเสถียรภาพ’ สู่ ‘เชิงลบ’ โดยให้เหตุผลว่าปรับลดเพื่อสะท้อนถึงภาวะเสื่อมถอยอย่างรวดเร็วในภาวะแวดล้อมของการดำเนินงานของระบบธนาคารสหรัฐฯ หลังเกิดเหตุการณ์ลูกค้าแห่ถอนเงินฝากใน Silicon Valley Bank (SVB), Silvergate Bank และ Signature Bank (SNY) รวมทั้งการล้มละลายของ SVB และ SNY

 

รายงานระบุว่า การหั่นเครดิตความน่าเชื่อถือของ Moody’s ในครั้งนี้ยังมีขึ้นแม้ว่าทางการสหรัฐฯ ออกมาตรการคุ้มครองเงินฝาก และจัดตั้งโครงการ ‘Bank Term Funding Program’ เพื่อสกัดวิกฤตการณ์ SVB ไม่ให้ลุกลามไปยังสถาบันการเงินอื่นๆ เนื่องจาก Moody’s เห็นว่าธนาคารแห่งอื่นๆ ที่มีตัวเลขขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง (Unrealized Losses) หรือผู้ฝากเงินที่ไม่ได้รับการค้ำประกันเงินฝากจะยังคงต้องเผชิญกับความเสี่ยงต่อไป

 

ขณะเดียวกัน Moody’s ระบุเพิ่มว่ากำลังเตรียมพิจารณาปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารในสหรัฐฯ อีก 6 แห่ง คือ First Republic Bank, Zions Bancorporation, Western Alliance Bancorp, Comerica Inc, UMB Financial Corp และ Intrust Financial Corporation

 

ก่อนหน้านี้ Moody’s เพิ่งจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของ SNY สู่ระดับ ‘C’ ซึ่งเป็นระดับขยะ (Junk) พร้อมกับถอนการจัดอันดับในอนาคตสำหรับธนาคารแห่งนี้ หลังทางการสหรัฐฯ สั่งปิดกิจการในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


อ้างอิง:

The post SVB ล่มเป็นเหตุ ‘Moody’s’ หั่น Outlook ระบบธนาคารสหรัฐฯ เป็นลบ หวั่นเสถียรภาพสั่นคลอน appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เศรษฐพุฒิ’ เผยแบงก์ชาติเข้าแทรกแซงค่าเงินเป็นจังหวะเพื่อลดความผันผวน ไม่ฝืนตลาด ยันทุนสำรองหดเพราะดอลลาร์แข็งเป็นหลัก https://thestandard.co/sethaput-bot-intervene/ Tue, 04 Oct 2022 08:19:56 +0000 https://thestandard.co/?p=690780

เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ( […]

The post ‘เศรษฐพุฒิ’ เผยแบงก์ชาติเข้าแทรกแซงค่าเงินเป็นจังหวะเพื่อลดความผันผวน ไม่ฝืนตลาด ยันทุนสำรองหดเพราะดอลลาร์แข็งเป็นหลัก appeared first on THE STANDARD.

]]>

เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แสดงความเห็นถึงการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่อ่อนค่านับจากต้นปีมาแล้ว 12% จนเข้าใกล้ระดับ 38 บาทต่อดอลลาร์ในงานสัมมนา Thailand Economic Outlook 2023 ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ว่าการอ่อนค่าที่รวดเร็วของเงินบาทในเวลานี้เป็นผลมาจากการแข็งค่าขึ้นของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ที่ในปีนี้แข็งค่าขึ้นมาแล้ว 17-18% ไม่ได้เกิดจากเงินทุนเคลื่อนย้าย โดยย้ำว่าในภาพรวมเงินบาทยังเคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินสกุลอื่นในภูมิภาค

 

“ในเดือนกันยายนจะมีเงินทุนไหลออกราว 600 ล้านดอลลาร์ แต่ก็ไม่ได้น่ากังวลอะไร เรายังไม่เห็นเงินทุนไหลออกอย่างมีนัยยะ โดยหากนับจากต้นปีไทยยังมีเงินทุนไหลเข้าสุทธิที่ 3.5 พันล้านดอลลาร์” ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าว


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


เศรษฐพุฒิยังชี้แจงถึงเงินทุนสำรองฯ ของไทยที่ปรับลดลงว่า ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการตีมูลค่าของสินทรัพย์ (Valuation) ของเงินทุนสำรองฯ ที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะเงินสกุลดอลลาร์แข็งค่าขึ้น รวมถึงสินทรัพย์อื่นๆ ที่มีมูลค่าลดลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ดี ยอมรับว่า ธปท. ได้เข้าแทรกแซงเพื่อดูแลค่าเงินเป็นบางจังหวะเช่นกัน

 

“เราจะเข้าแทรกแซงดูแลค่าเงินเป็นจังหวะเพื่อไม่ให้อัตราแลกเปลี่ยนผันผวนมากเกินไป แต่เราจะไม่ฝืนตลาดเพราะรู้ว่าทำไม่ได้ เราเคยมีบทเรียนจากปี 2540 มาแล้วว่าการไปทำอะไรที่ฝืนตลาดมากๆ ทำไม่ได้” เศรษฐพุฒิกล่าว

 

ผู้ว่าฯ ธปท. ระบุว่า แม้ว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่าอยู่ที่ระดับ 38 บาทต่อดอลลาร์ แต่เสถียรภาพทางการเงินด้านต่างประเทศของไทยยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยไทยยังมีทุนสำรองอยู่ที่ 2.3 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงเป็นอันดับ 12 ของโลก และมีหนี้ต่างประเทศน้อย 

 

ขณะเดียวกัน ยังคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเกินดุลได้ในปีหน้าที่ 3.8 พันล้านดอลลาร์หรือ 0.7% ของ GDP ตามการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว ซึ่งเป็นฉากทัศน์ที่ต่างจากในช่วงวิกฤตปี 2540 

 

นอกจากนี้ ยังยืนยันว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยของไทยในปัจจุบันไม่ได้ช้าและน้อยเกินไป เนื่องจากบริบททางเศรษฐกิจไทยมีความแตกต่างจากในสหรัฐฯ และหลายประเทศในยุโรปที่เศรษฐกิจมีความร้อนแรงจนต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมเงินเฟ้อ ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มฟื้นตัวและยังไม่กลับไปสู่จุดเดียวกับช่วงเกิดเกิดวิกฤตโควิด

 

“ยืนยันว่าดอกเบี้ยเราไม่ Behind the Curve เราทำสิ่งที่เหมาะกับบริบทเศรษฐกิจของเรา ส่วนโอกาสที่เครื่องยนต์เงินเฟ้อของไทยจะติดจนเกิด Wage Price Spiral ตอนนี้ยังไม่เห็นสัญญาณและเชื่อว่ามีโอกาสน้อย เพราะโครงสร้างเศรษฐกิจต่างจากสหรัฐฯ โดยค่าแรงของไทยคิดเป็นต้นทุนการผลิตเพียง 15% ขณะที่ 50% ของแรงงานก็ประกอบอาชีพอิสระทำให้การปรับขึ้นค่าจ้างไม่ได้มีผลมากนัก” ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าว

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

The post ‘เศรษฐพุฒิ’ เผยแบงก์ชาติเข้าแทรกแซงค่าเงินเป็นจังหวะเพื่อลดความผันผวน ไม่ฝืนตลาด ยันทุนสำรองหดเพราะดอลลาร์แข็งเป็นหลัก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ธปท. ย้ำ ระบบการเงินไทยมีเสถียรภาพ แม้หลายส่วนยังเปราะบาง มองเศรษฐกิจเติบโตมั่นคงขึ้น แต่มีความไม่แน่นอนสูงและไม่เท่าเทียมกัน https://thestandard.co/bot-emphasize-that-thai-financial-system-stable-although-parts-still-fragile/ Fri, 31 Dec 2021 04:05:55 +0000 https://thestandard.co/?p=578014 ธนาคารแห่งประเทศไทย

ดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเสถียรภาพระบบการเงิน […]

The post ธปท. ย้ำ ระบบการเงินไทยมีเสถียรภาพ แม้หลายส่วนยังเปราะบาง มองเศรษฐกิจเติบโตมั่นคงขึ้น แต่มีความไม่แน่นอนสูงและไม่เท่าเทียมกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ธนาคารแห่งประเทศไทย

ดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเสถียรภาพระบบการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยรายงานการประเมินเสถียรภาพระบบการเงินไทย 2564 ว่า ระบบการเงินไทยโดยรวมมีเสถียรภาพ แต่หลายส่วนยังมีความเปราะบาง และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูงและไม่เท่าเทียม 

 

โดยรายงานฉบับนี้ ธปท. จัดทำร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เพื่อให้สาธารณชนรับทราบประเด็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทย ซึ่งจะช่วยให้สามารถเตรียมความพร้อมในการรับมือความเสี่ยงและการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในระยะต่อไป โดยมีรายละเอียดดังนี้

 

เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวได้มั่นคงขึ้น แต่ยังมีความไม่แน่นอนสูงและไม่เท่าเทียม ทำให้ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับสู่ระดับก่อนการระบาด ส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจบางกลุ่ม ซึ่งเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทย โดยภาคครัวเรือนยังมีภาระหนี้ในระดับสูงและเร่งตัวขึ้นในช่วงโควิด รวมถึงยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจ SMEs และธุรกิจในภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวยังมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องและฐานะการเงินสูงกว่าภาคธุรกิจอื่นๆ เนื่องจากฟื้นตัวได้ช้า

 

อย่างไรก็ดี ระบบการเงินไทยโดยรวมยังมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่อง อยู่ในระดับสูง สามารถทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนความต้องการสินเชื่อเพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่ธุรกิจประกันภัยในภาพรวมยังมีฐานะการเงินมั่นคง โดยผลกระทบจากการระบาดของโควิดจำกัดอยู่เฉพาะบางบริษัทที่ขายกรมธรรม์ประกันภัยโควิดแบบ ‘เจอ จ่าย จบ’ ซึ่งทางการได้มีมาตรการดูแลอย่างใกล้ชิด 

 

นอกจากนี้ผลการทดสอบภาวะวิกฤตภายใต้สถานการณ์จำลองในลักษณะมองไปข้างหน้าชี้ว่า ระบบสถาบันการเงินยังมีความเข้มแข็งเพียงพอรองรับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น ขณะที่ตลาดการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพและสามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ

 

การผสมผสานนโยบายการเงิน นโยบายการคลัง และมาตรการช่วยเหลือโดยผู้กำกับดูแลในช่วงที่ผ่านมา มีบทบาทสำคัญในการช่วยพยุงเศรษฐกิจ เสริมสร้างความเชื่อมั่นในตลาดการเงิน และดูแลลูกหนี้ให้รอดพ้นจากภาวะวิกฤต ส่งผลให้โอกาสเกิดวิกฤตของระบบการเงินไทยลดลงจากปีก่อนหน้า โดยภาครัฐได้ปรับรูปแบบของมาตรการให้สอดรับกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง 

 

โดยในปี 2564 นโยบายการเงินยังต้องอยู่ในระดับผ่อนคลายต่อเนื่อง ขณะที่มาตรการทางการเงินเน้นการให้ความช่วยเหลือภาคครัวเรือนและธุรกิจที่ตรงจุด และเป็นมาตรการระยะยาวขึ้นตามความรุนแรงและยืดเยื้อของปัญหา โดยเน้นการเสริมสภาพคล่องสำหรับกลุ่มที่ยังได้รับผลกระทบ และปรับมาตรการแก้หนี้เดิมมาเป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับลักษณะปัญหาและการฟื้นตัวของรายได้ลูกหนี้ พร้อมดูแลให้ระบบการเงิน สามารถทำหน้าที่สนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง

 

ในระยะข้างหน้า การรักษาเสถียรภาพระบบการเงินไทยยังมีความท้าทายในหลายด้านโดยเฉพาะ

 

  1. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังต้องใช้เวลาและมีความไม่แน่นอนสูงจากความเสี่ยงของไวรัสกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

 

  1. ปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน และถูกซ้ำเติมให้ชัดเจนขึ้นจากโควิด

 

  1. บริบททางเศรษฐกิจและระบบการเงินที่จะเปลี่ยนแปลงไปหลังผ่านพ้นโควิด ซึ่งจะกระทบความสามารถในการทำธุรกิจหรือการแข่งขันของบางภาคธุรกิจ ทำให้ต้องปรับตัว ดังนั้นการเร่งปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับความสามารถชำระหนี้ในระยะยาวของลูกหนี้ การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างครบวงจร และการสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ เพื่อสามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับโลกหลังโควิดจึงมีบทบาทสำคัญในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน และต้องเร่งผลักดันในระยะต่อไป

 

ภายใต้ภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูง ธปท. และหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง จะร่วมกันติดตามความเสี่ยงในภาคส่วนต่างๆ ของระบบเศรษฐกิจการเงินอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถออกมาตรการดูแลเพิ่มเติมได้อย่างทันท่วงทีหากจำเป็น รวมถึงดูแลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างราบรื่นและเอื้อให้เกิดการปรับตัวอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ร่วมกันได้อย่างมั่นคง

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

The post ธปท. ย้ำ ระบบการเงินไทยมีเสถียรภาพ แม้หลายส่วนยังเปราะบาง มองเศรษฐกิจเติบโตมั่นคงขึ้น แต่มีความไม่แน่นอนสูงและไม่เท่าเทียมกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เหมืองขุดคริปโตฯ ในจีนหลายแห่งทยอยปิดตัว หลังทางการยกระดับคุมเข้ม https://thestandard.co/many-crypto-mining-continue-shut-down-after-tight-control-in-china/ Tue, 25 May 2021 06:43:59 +0000 https://thestandard.co/?p=492709 ขุด Bitcoin

เว็บไซต์สำนักข่าว Al Jazeera เปิดเผยว่า บริษัทผู้ให้บริ […]

The post เหมืองขุดคริปโตฯ ในจีนหลายแห่งทยอยปิดตัว หลังทางการยกระดับคุมเข้ม appeared first on THE STANDARD.

]]>
ขุด Bitcoin

เว็บไซต์สำนักข่าว Al Jazeera เปิดเผยว่า บริษัทผู้ให้บริการขุดเหรียญ Bitcoin หลายแห่งในจีนต่างทยอยออกมาประกาศปิดบริษัทนับตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา หลังทางการจีนเตรียมยกระดับมาตรการควบคุมการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล รวมถึงการขุด Bitcoin ในประเทศ โดยให้เหตุผลว่าสกุลเงินดิจิทัลไม่ปลอดภัย ทั้งยังคุกคามเสถียรภาพทางการเงินของจีน

 

แม้จะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีกฎระเบียบเข้มงวดในการซื้อขาย Bitcoin และเหรียญดิจิทัลมาตั้งแต่ปี 2017 แต่จีนก็ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในตลาดขุดคริปโตเคอร์เรนซีที่ใหญ่ที่สุดของโลก โดยปัจจุบันมีการประเมินในเบื้องต้นว่า 70% ของเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีทั้งหมดที่ขุดขึ้นมาได้มาจากจีน โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันตกของประเทศที่ถือเป็นแหล่งขุดเหมืองคริปโตเคอร์เรนซีรายใหญ่

 

อย่างไรก็ตาม การที่ทางรัฐบาลกรุงปักกิ่งออกมาประกาศแสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะใช้ไม้แข็งกับบรรดาเทรดเดอร์และนักขุด ไม่เพียงแต่ทำให้ราคาของเหรียญดิจิทัลชั้นนำอย่าง Bitcoin ร่วงหนักกว่า 50% จากราคาสูงสุดตลอดกาลแล้วเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้เหล่าบริษัทผู้ให้บริการขุดเหรียญดิจิทัลต่างเร่งหาทางหนีทีไล่อย่างเต็มที่

 

เริ่มต้นที่ Huobi Mall ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล Huobi ได้ออกแถลงการณ์ในช่วงสายของวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ขอระงับการดำเนินการทุกอย่างของบริษัทเป็นการชั่วคราว พร้อมขอให้ลูกค้านักขุดทั้งหลายอยู่ในความสงบ เพราะทางบริษัทกำลังดำเนินการติดต่อผู้ให้บริการในต่างประเทศ เพื่อปูทางให้บริษัทสามารถกลับมาให้บริการได้อย่างราบรื่นอีกครั้ง

 

ด้าน BTC.TOP หนึ่งในคริปโตเคอร์เรนซี Mining Pool ก็ได้ประกาศระงับธุรกิจในจีน เนื่องจากความเสี่ยงด้านกฎระเบียบของรัฐบาลจีน โดย Jiang Zhuoer ผู้ก่อตั้ง BTC.TOP ระบุชัดว่า ในอนาคตอันใกล้บริษัทจะให้บริการขุดเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีจากอเมริกาเหนือเป็นหลัก พร้อมประเมินว่าในระยะยาวบริษัทที่ทำกิจการด้านการขุดเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีทั้งหมดในจีนจะถูกขายไปยังต่างประเทศ เนื่องจากทางการจีนปราบปรามการขุดเหรียญดิจิทัลภายในประเทศ และท้ายที่สุดก็จะสูญเสียอิทธิพลในตลาดคริปโตเคอร์เรนซีให้กับซีกโลกตะวันตกอย่างสหรัฐฯ และยุโรป ที่ตลาด Mining Pool กำลังขยายตัวเติบโตมากขึ้น

 

นอกจากนี้มีรายงานว่า HashCow อีกหนึ่งผู้ให้บริการขุดเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี และเป็นเจ้าของเหมืองคริปโตเคอร์เรนซี 10 แห่งในหลายมณฑลของจีน รวมถึงในซินเจียงและเสฉวน อีกทั้งยังเป็นผู้ขายระบบคอมพิวเตอร์พาวเวอร์สำหรับการขุดเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีให้กับนักลงทุน ประกาศให้คำมั่นที่จะปฏิบัติตามกฎระเบียบของรัฐบาลจีนอย่างเต็มที่ โดยแถลงการณ์ของบริษัทระบุชัดว่า HashCow จะยุติการซื้อแท่นขุด Bitcoin ใหม่ ซึ่งเป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับการขุด Bitcoin และจะคืนเงินทั้งหมดให้กับนักลงทุนส่วนหนึ่งที่จ่ายเงินค่าซื้อคอมพิวเตอร์พาวเวอร์ไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่ยังไม่มีการเริ่มขุดเหรียญดิจิทัลจากเครื่องเหล่านั้นไปแล้ว 

 

แม้จีนจะเผยแนวทางที่จะจัดการกับอุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซีขั้นเด็ดขาด แต่นักกลยุทธ์ส่วนหนึ่งกลับมองว่าสกุลเงินดิจิทัลอย่าง Bitcoin, Ethereum หรือ Dogecoin ยังมีโอกาสเติบโตได้อยู่ พิจารณาจากทิศทางความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดิจิทัลเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา ที่เหรียญคริปโตเคอร์เรนซีอย่าง Bitcoin มีการปรับตัวลดลง ก่อนดีดตัวพุ่งขึ้นมาอย่างร้อนแรงในช่วงปลายปี

 

โดย เบน อีมอนส์ กรรมการผู้อำนวยการ Medley Global Advisors ของสหรัฐฯ กล่าวว่า ในฐานะที่ปรึกษาการลงทุน Bitcoin ขณะนี้กำลังหยั่งรากปักหลักในตลาดต่างๆ ผ่านความผันผวน สภาพคล่อง และการปรับฐาน ขณะที่ เอมี อู๋ ซิลเวอร์แมน นักกลยุทธตลาดอนุพันธ์ของ RBC เผยตัวเลขจากการวัคค่า Sharpe Ratio หรือผลตอบแทนต่อ 1 หน่วยความเสี่ยง พบว่าค่าดังกล่าวของ Bitcoin ทำได้ดีกว่าหุ้นใน Tesla Inc, SPDR S&P 500 ETF Trust หรือ Invesco QQQ Trust Series 1 เสียอีก

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

อ้างอิง:

The post เหมืองขุดคริปโตฯ ในจีนหลายแห่งทยอยปิดตัว หลังทางการยกระดับคุมเข้ม appeared first on THE STANDARD.

]]>
Fed ห่วงความเสี่ยงระบบการเงินในสหรัฐฯ เตือนราคาสินทรัพย์ทั่วโลกเริ่มสูงเกินมูลค่าจริง https://thestandard.co/fed-warns-of-possible-significant-declines-in-stocks-as-valuations-climb/ Fri, 07 May 2021 02:36:06 +0000 https://thestandard.co/?p=485179 ธนาคารกลางสหรัฐ

ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เปิดเผยรายงานเสถียรภาพทางการเงิน […]

The post Fed ห่วงความเสี่ยงระบบการเงินในสหรัฐฯ เตือนราคาสินทรัพย์ทั่วโลกเริ่มสูงเกินมูลค่าจริง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ธนาคารกลางสหรัฐ

ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เปิดเผยรายงานเสถียรภาพทางการเงิน หรือ Financial Stability Report ที่จัดทำทุกครึ่งปี ซึ่งพบว่าภาคการเงินของสหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงเกี่ยวกับเสถียรภาพ เนื่องจากราคาสินทรัพย์ในตลาดทั้งในสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศทั่วโลกที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นนั้นเป็นราคาที่ ‘มากเกิน’ กว่ามูลค่าจริงในตลาด

 

โดย Fed ระบุว่า ขณะที่ภาพรวมของระบบการเงินจะยังคงมีเสถียรภาพดีอยู่ ท่ามกลางวิกฤตการระบาดของโควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลาย ทว่าสถานการณ์ตลาดในอนาคตกลับค่อนข้างอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ Fed มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต

 

ทั้งนี้ที่ผ่านมา เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed และเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสของ Fed มักจะคลายความวิตกเกี่ยวกับราคาสินทรัพย์ในตลาดที่ปรับตัวเพิ่มสูงว่า ตราบใดที่อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ มูลค่าสินทรัพย์เหล่านี้ก็ยังสมเหตุสมผล เท่ากับตีความได้ว่า หากกรณีที่สหรัฐฯ ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ความเคลื่อนไหวดังกล่าวย่อมมีผลสั่นคลอนเสถียรภาพของระบบการเงินของสหรัฐฯ

 

รายงานของ Fed ระบุชัดว่า ราคาสินทรัพย์ที่สูงขึ้น ส่วนหนึ่งสะท้อนให้เห็นถึงอัตราผลตอบแทนของกระทรวงการคลังในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม หากสภาพการณ์ดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไป ราคาสินทรัพย์ดังกล่าวย่อมสร้างความเสี่ยงต่อการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

 

เลล เบรนาร์ด ผู้ว่าการ Fed กล่าวว่า สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ Fed จำเป็นที่จะต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด รวมถึงเป็นสิ่งสำคัญที่ Fed จะต้องลงมือตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าระบบการเงินของสหรัฐฯ มีการป้องกันที่เหมาะสม ขณะเดียวกันก็ต้องเตือนให้ภาคธนาคารเพิ่มสัดส่วนเงินทุนในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัวเพื่อเป็นเกราะป้องกันภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

 

เบรนาร์ดระบุว่า ภาวะเสี่ยงสูงมักเกี่ยวข้องกับการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูงของนักลงทุน โดยการประเมินมูลค่าในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากระดับเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว ยิ่งเมื่อบวกกับสถานการณ์ที่หลายบริษัทต้องแบกรับหนี้มหาศาล ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดผลกระทบต่อการเงินที่รุนแรงขึ้น

 

ทั้งนี้ความไม่มีเสถียรภาพในตลาดยังอาจกระทบต่อช่องโหว่ที่มีอยู่ในสถาบันการเงินของสหรัฐฯ และก่อให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มเติมต่อระบบการเงินของสหรัฐฯ โดยรายงานได้ยกตัวอย่างของกรณี Archegos Capital Management เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่ทำธนาคารใหญ่ๆ ชั้นนำระดับโลกหลายแห่งสูญเงินมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

กรณีข้างต้นแสดงให้เห็นความเสี่ยงที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์และสถาบันการเงินอื่นๆ ที่ไม่ใช่ธนาคารจะกลายเป็นภัยคุกคามต่อระบบการเงินของสหรัฐฯ และแสดงให้เห็นข้อจำกัดของรัฐบาลในการกำกับดูแลกองทุนเฮดจ์ฟันด์และสถาบันการเงินอื่นๆ ที่ไม่ใช่ธนาคาร ดังนั้นการเปิดเผยข้อมูลที่ละเอียดและบ่อยมากขึ้นจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง:

The post Fed ห่วงความเสี่ยงระบบการเงินในสหรัฐฯ เตือนราคาสินทรัพย์ทั่วโลกเริ่มสูงเกินมูลค่าจริง appeared first on THE STANDARD.

]]>
IMF เตือนทั่วโลกใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างระมัดระวัง ห่วงความเสี่ยงหนี้พุ่ง สั่นคลอนเสถียรภาพการเงินในระยะยาว https://thestandard.co/imf-warned-economic-stimulus-measures/ Fri, 09 Apr 2021 01:43:32 +0000 https://thestandard.co/?p=474218 IMF เตือนทั่วโลกใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างระมัดระวัง ห่วงความเสี่ยงหนี้พุ่ง สั่นคลอนเสถียรภาพการเงินในระยะยาว

Geoffrey Okamoto รองกรรมการผู้จัดการอันดับหนึ่งของกองทุ […]

The post IMF เตือนทั่วโลกใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างระมัดระวัง ห่วงความเสี่ยงหนี้พุ่ง สั่นคลอนเสถียรภาพการเงินในระยะยาว appeared first on THE STANDARD.

]]>
IMF เตือนทั่วโลกใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างระมัดระวัง ห่วงความเสี่ยงหนี้พุ่ง สั่นคลอนเสถียรภาพการเงินในระยะยาว

Geoffrey Okamoto รองกรรมการผู้จัดการอันดับหนึ่งของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF แสดงความเห็นกึ่งคำเตือนต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันที่กำลังอยู่ในระหว่างการฟื้นตัวจากผลกระทบของวิกฤตโควิด-19 ที่ระบาดไปทั่วโลก โดยระบุชัดว่า รัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกจำเป็นต้องพิจารณาคัดเลือกมาตรการที่จะนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจประเทศอย่างระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะปานกลางและระยะยาวต่อไป

 

สำหรับประเด็นที่ต้องระมัดระวังในการเลือกใช้มาตรการกระตุ้นก็คือระดับหนี้ และความเปราะบางในภาคการเงิน โดยสถานีโทรทัศน์ CNBC รายงานว่า คำเตือนดังกล่าวสะท้อนความพยายามของ IMF ที่ต้องการจะรักษาสมดุลระหว่างตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก กับคุณภาพการเติบโตของเศรษฐกิจโลกให้เป็นไปอย่างยั่งยืน

 

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ แม้ IMF จะชื่นชมความพยายามของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ เพื่อหวังให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงเศรษฐกิจโลกสามารถฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็ว แต่ IMF ก็ยังไม่วายออกมาเตือนถึงความเสี่ยงของมาตรการดังกล่าวที่จะคุกคามโครงสร้างเศรษฐกิจโลกในระยะยาว

 

Okamoto กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นประโยชน์แน่นอนอย่างไร้ข้อกังขา และประเทศต่างๆ มีสิทธิ์ใช้เงินงบประมาณในการจัดการประคับประคองเศรษฐกิจของประเทศ จนกว่าที่พลเมืองทุกคนจะสามารถกลับมายืนในช่วงที่เศรษฐกิจเปิดอีกครั้ง

 

ขณะเดียวกัน เมื่อถามว่ามาตรการที่ใช้กันอยู่ของธนาคารกลางในปัจจุบันเป็นความเสี่ยงที่ทำให้เกิดการเก็งกำไรมากเกินไปใช่หรือไม่ Okamoto ตอบว่า นโยบายการเงินการคลังที่ผ่อนคลายนี้ หากใช้ไปนานๆ จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อภาคการเงินอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และรายงานเสถียรภาพการเงินโลก หรือ Global Financial Stability Report ก็ระบุชัดว่ารัฐบาลจำเป็นต้องคำนึงถึงความเสี่ยงดังกล่าวด้วย

 

คำเตือนครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่ทาง IMF เพิ่งจะออกมาปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกปีนี้ว่าจะอยู่ที่ 6% โดยเป็นอานิสงส์จากการฉีดวัคซีน และแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลนานาประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

อ้างอิง:

The post IMF เตือนทั่วโลกใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างระมัดระวัง ห่วงความเสี่ยงหนี้พุ่ง สั่นคลอนเสถียรภาพการเงินในระยะยาว appeared first on THE STANDARD.

]]>
แบงก์ชาติจับตา 4 ความเสี่ยงเสถียรภาพการเงินไทยปี 63 https://thestandard.co/financial-stability-63/ Tue, 21 Jan 2020 03:38:25 +0000 https://thestandard.co/?p=322680

สักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้อำนวยการ กลุ่มงานด้านเสถียรภาพร […]

The post แบงก์ชาติจับตา 4 ความเสี่ยงเสถียรภาพการเงินไทยปี 63 appeared first on THE STANDARD.

]]>

สักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้อำนวยการ กลุ่มงานด้านเสถียรภาพระบบการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า รายงานการประเมินเสถียรภาพระบบการเงินไทยปี 2562 โดยภาพรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งธนาคารพาณิชย์และประกันภัย มีเงินสำรองในระดับสูง แต่ความเสี่ยงในระบบการเงินยังสูง เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และความผันผวนที่มากขึ้น ขณะเดียวกันมี Non-Bank ผู้เล่นในตลาดเพิ่มมากขึ้น ทำให้การส่งผ่านความเสี่ยงในด้านต่างๆ เร็วขึ้น

 

ทั้งนี้ทาง ธปท. มองว่าปัจจุบันมีความเสี่ยง และความเปราะบาง 4 ด้านที่ต้องจับตามอง ได้แก่

 

หนี้ครัวเรือนอยู่ระดับสูง โดยช่วงไตรมาส 3 ปี 2562 อยู่ที่ 79.1% ของ GDP และปี 2563 คาดว่าจะไม่ปรับลดลงมากนัก สาเหตุเพราะ GDP ที่ยังลดลงและหนี้ที่ยังเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหนี้เพื่อการบริโภค เช่น สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล ฯลฯ ซึ่งหากครัวเรือนไทยเจอปัญหา เช่น รายได้ลดลง ฯลฯ ย่อมส่งผลต่อความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเปราะบาง เช่น ครัวเรือนที่รายได้น้อย ครัวเรือนเกษตรกร ผู้ที่เกษียณอายุ   


ดังนั้น ทาง ธปท. มุ่งสร้างวินัยทางการออม และให้ความรู้ในการใช้จ่าย รวมถึงเน้นย้ำการปล่อยสินเชื่ออย่างเหมาะสม ผ่านโครงการคลินิกแก้หนี้ รีไฟแนนซ์ ฯลฯ ปัจจุบันทาง ธปท. ร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์เรื่อง ‘มาตรการ DSR’ ซึ่งธนาคารส่งข้อมูลมาเพื่อประมวลว่ากลุ่มไหนมีความเสี่ยง ซึ่งอาจนำสู่การออกมาตรการในอนาคต

Search for Yield พฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การประเมินความเสี่ยงที่ต่ำเกินควร โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับตลาดตราสารหนี้ โดยปี 2562 ที่ผ่านมาเห็นธุรกิจออกตราสารที่ให้ผลตอบแทนสูง (High-Yield Bond เพิ่มขึ้น) โดยปี 2562 มียอดคงค้างตราสารหนี้ Non Investment Grade และ Unrate (เช่น กลุ่มที่มีเกรด BB+) มียอดเพิ่มขึ้นถึง 18% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 ขณะที่การลงทุนในต่างประเทศของกองทุนรวมแบบ Term Fund ทั้งระบบกระจุกตัวอยู่ใน 3 ประเทศหลัก เช่น จีน กาตาร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

 

ดังนั้น ทางธนาคารแห่งประเทศไทยจึงร่วมมือกับสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ( ก.ล.ต.) ยกระดับหลักเกณฑ์การออกการเสนอขาย และการให้ข้อมูลแก่ผู้ลงทุนให้เพียงพอ และเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

สหกรณ์ออมทรัพย์ ปี 2562 ที่ผ่านมาสินทรัพย์ของสหกรณ์ออมทรัพย์ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเห็นการเชื่อมโยงในระบบสหกรณ์ออมทรัพย์ผ่านการกู้ยืมและรับฝากเงินระหว่างกัน ทำให้อาจกลายเป็นช่องทางในการส่งผ่านความเสี่ยงในระบบสหกรณ์ เช่น กลุ่มสหกรณ์ออมทรัพย์ที่ขาดสภาพคล่อง (Deficit) มีการกู้ยืมและรับฝากเงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์อื่นๆ และชุมนุม โดยแบงก์ชาติติดตามอย่างต่อเนื่อง และหน่วยงานผู้กำกับควรเร่งผลักดันหลักการ 3 ด้าน ได้แก่ 1. การบริหารจัดการสภาพคล่อง 2. ด้านเครดิตหรือการก่อหนี้ของสมาชิก และ 3. ธรรมาภิบาลผู้บริหาร


การปรับปรุงเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV)

ในช่วงก่อนหน้าเริ่มใช้มาตรการ LTV พบปัญหาในหลายด้าน เช่น  

  • ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีดีมานด์เทียมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นเร็วกว่ารายได้เฉลี่ยของครัวเรือน
  • การผิดนัดชำระหนี้ของประชาชนจากกลุ่มผู้ที่ผ่อนบ้านหลายสัญญาพร้อมกัน
  • ปัญหาสต๊อกที่อยู่อาศัยใหม่มีมากเกินกว่าความต้องการซื้อที่แท้จริง
  • สถาบันการเงินแข่งขันกันปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งยอมรับความเสี่ยงที่มากขึ้น และหย่อนมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อให้ต่ำลง

 

ทางธนาคารแห่งประเทศไทยจึงออกมาตรการ LTV เพื่อลดปัญหาต่างๆ ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปี 2562 พบว่า มาตรการให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์รัดกุมขึ้น โดยค่าเฉลี่ย LTV Ratio ในส่วนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสัญญาที่ 2 (คนที่กู้ซื้อบ้านหลังที่ 2) ปรับลดลง ในไตรมาสที่ 2 ปี 2562 อยู่ที่ 83.1% ส่วนไตรมาส 3 ปี 2562 ยังลดลงต่อเนื่องลงมาที่ 81.7% ถือว่าปรับลดลงจาก ณ สิ้นปี 2561 อยู่ที่ 88.6%

 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

The post แบงก์ชาติจับตา 4 ความเสี่ยงเสถียรภาพการเงินไทยปี 63 appeared first on THE STANDARD.

]]>