เลือกตั้งสหรัฐฯ – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 24 Oct 2025 02:57:47 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ‘ถั่วเหลือง’ อาจเป็นอาวุธเศรษฐกิจใหม่ หลังจีนเล็งแบนการซื้อ หวังทำลายฐานเสียงทรัมป์ ด้านเกษตรกรสหรัฐฯ กังวลสูญเสียตลาดถาวรให้บราซิล https://thestandard.co/china-targets-trump-soybeans/ Fri, 24 Oct 2025 02:57:47 +0000 https://thestandard.co/?p=1134676 ‘ถั่วเหลือง’ อาจเป็นอาวุธเศรษฐกิจใหม่ หลังจีนเล็งแบนการซื้อ หวังทำลายฐานเสียง ทรัมป์ ด้านเกษตรกร สหรัฐฯ กังวลสูญเสียตลาดถาวรให้ บราซิล

ทุกฤดูใบไม้ร่วง เกษตรกรสหรัฐฯ จะเก็บเกี่ยวถั่วเหลืองจำน […]

The post ‘ถั่วเหลือง’ อาจเป็นอาวุธเศรษฐกิจใหม่ หลังจีนเล็งแบนการซื้อ หวังทำลายฐานเสียงทรัมป์ ด้านเกษตรกรสหรัฐฯ กังวลสูญเสียตลาดถาวรให้บราซิล appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ถั่วเหลือง’ อาจเป็นอาวุธเศรษฐกิจใหม่ หลังจีนเล็งแบนการซื้อ หวังทำลายฐานเสียง ทรัมป์ ด้านเกษตรกร สหรัฐฯ กังวลสูญเสียตลาดถาวรให้ บราซิล

ทุกฤดูใบไม้ร่วง เกษตรกรสหรัฐฯ จะเก็บเกี่ยวถั่วเหลืองจำนวนมหาศาลที่มีพื้นที่เพาะปลูกมากกว่ารัฐแอริโซนา แต่ปีนี้ผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดอย่างจีนกลับหายไปจากตลาด รัฐบาลปักกิ่งได้ตอบโต้สงครามการค้ากับสหรัฐฯ ด้วยการเก็บภาษีตอบโต้สินค้า

 

การเกษตรของอเมริกาในเดือนมีนาคม ส่งผลให้ผู้นำเข้าเชิงพาณิชย์ของจีนหยุดซื้อนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ก่อนฤดูกาลเก็บเกี่ยวจะเริ่มขึ้นด้วยซ้ำ การตัดสินใจนี้กลายเป็นอาวุธทางเศรษฐกิจของจีนที่ใช้กดดันประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ โดยตรง เพราะกลุ่มเกษตรกรถั่วเหลืองเป็นฐานเสียงสำคัญของเขา

 

เมื่อปีที่แล้ว จีนซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นกว่า 20% ของผลผลิตทั้งหมด เพื่อนำไปผลิตอาหารสัตว์และน้ำมันพืช แต่ในปีนี้ จีนยังไม่ได้จองซื้อแม้แต่ลำเดียวจากผลผลิตรอบใหม่

 

สำหรับเกษตรกรอเมริกัน การวิจารณ์ทรัมป์ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อถั่วเหลืองกองพะเนินอยู่โกดัง พวกเขาเริ่มรู้สึกว่าเป็นเหยื่อร่วมในสงครามที่ไม่ได้เลือกเอง หลายคนกังวลว่าต่อให้เกิดข้อตกลง จีนอาจไม่กลับมาซื้อในระดับเดิม เพราะหันไปพึ่งพาซัปพลายจากบราซิลและอาร์เจนตินามากขึ้น ซึ่งจะทำให้ความเสียหายต่อภาคเกษตรสหรัฐฯ ยืดเยื้อในระยะยาว เกษตรกรบางคนยอมรับว่าเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลช่วยประคองได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆ คือตลาดที่ขายได้

 

ขณะที่ทรัมป์ได้ตอบโต้ในสื่อสังคมออนไลน์ โดยเรียกการคว่ำบาตรถั่วเหลืองครั้งนี้ว่า “การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ทางเศรษฐกิจ” และยืนยันว่าการทำให้จีนกลับมาซื้อถั่วเหลืองคือหนึ่งในเป้าหมายหลักของการเจรจา พร้อมเดินหน้าหาตลาดใหม่ในประเทศอื่น แต่เจ้าหน้าที่ในอุตสาหกรรมส่วนใหญ่เห็นว่าไม่มีประเทศใดทดแทนจีนได้

 

Brooke Rollins รัฐมนตรีเกษตรของสหรัฐฯ ระบุว่า รัฐบาลจะกลับมาจ่ายเงินช่วยเหลือ 3,000 ล้านดอลลาร์ จากโครงการ Farm Service Agency ที่เคยถูกระงับเพราะภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลกลาง

 

ทรัมป์กล่าวบนเครื่องบิน Air Force One ว่า “เกษตรกรของเราถูกจีนบอยคอตต์ ผมไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น เกษตรกรของเรายอดเยี่ยม โดยเฉพาะเกษตรกรถั่วเหลือง ผมต้องการให้จีนกลับมาซื้อในระดับเดิมอย่างน้อยก็เท่าที่เคยซื้อก่อนหน้า”

 

แต่แม้จะเกิดข้อตกลงในอีกไม่กี่สัปดาห์ ผลผลิตจำนวนมากในปีนี้ก็น่าจะยัง ไร้ผู้ซื้อ เพราะจีนได้วางแผนจัดหาซัปพลายจากที่อื่นล่วงหน้าแล้ว และโรงงานผลิตอาหารสัตว์ในจีนก็เริ่มทำสัญญาสำหรับปีหน้าไปบางส่วน

 

กลยุทธ์ถั่วเหลืองของจีนเองก็มีความเสี่ยง การพึ่งพาบราซิลมากขึ้นหมายถึงต้นทุนที่สูงขึ้น และความไม่แน่นอนจากสภาพอากาศในอเมริกาใต้ อีกทั้งหากเกิดข้อตกลงกับ Trump จนถั่วเหลืองอเมริกาทะลักกลับเข้าสู่ตลาดจีน ราคาภายในประเทศอาจร่วงแรง ขณะนี้ราคากากถั่วเหลืองในจีนเริ่มอ่อนตัวแล้ว จากการคาดการณ์ว่าอาจมีการกลับมานำเข้าจากสหรัฐฯ

 

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายระยะยาวของจีนคือการกระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งพาคู่แข่งทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างสหรัฐฯ ซึ่งจีนมีทางเลือกมากมาย ทั้งจากบราซิลและอาร์เจนตินา ในสหรัฐฯ ไม่เพียงแต่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ การขนส่งถั่วเหลืองทั่วประเทศก็หยุดชะงัก โดยปกติ ช่วงเวลานี้ รถไฟขนสินค้าจะลำเลียงถั่วเหลืองจากมิดเวสต์ไปยังท่าเรือฝั่งตะวันตกเพื่อส่งออกไปเอเชีย ซึ่งปีที่แล้วมีการส่งออกกว่า 25 ล้านตัน แต่ปีนี้ทุกอย่างหยุดนิ่ง

 

เกษตรกรหลายคนคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าสถานการณ์แบบนี้อาจเกิดขึ้น เพราะจีนเคยหยุดซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ หลายครั้งในยุค Trump ก่อนหน้านี้ และเคยกลับมาซื้ออีกครั้งในปีที่พบกับประธานาธิบดี Joe Biden ซึ่งถูกมองว่าเป็น “ท่าทีสร้างมิตรภาพ”

 

ทำเนียบขาวประกาศว่าประธานาธิบดี Donald Trump และประธานาธิบดี Xi Jinping ของจีน จะพบกันในวันพฤหัสบดีหน้า นอกรอบการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก ขณะที่ผู้นำสองประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกกำลังพิจารณาที่จะคลี่คลายสงครามการค้าที่กำลังคุกรุ่น

 

การประชุมที่เกาหลีใต้ ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอด APAC จะเป็นการพบปะกันครั้งแรกของผู้นำทั้งสอง นับตั้งแต่ Trump กลับมามีอำนาจในเดือนมกราคม ทั้งสองได้พูดคุยกันอย่างน้อย 3 ครั้งในปีนี้ โดยครั้งล่าสุดคือเดือนกันยายน Trump และ Xi Jinping พบกันครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ. 2019 ในช่วงที่ Trump ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก

 

ภาพ: Lucas Ninno/Getty Images

อ้างอิง:

The post ‘ถั่วเหลือง’ อาจเป็นอาวุธเศรษฐกิจใหม่ หลังจีนเล็งแบนการซื้อ หวังทำลายฐานเสียงทรัมป์ ด้านเกษตรกรสหรัฐฯ กังวลสูญเสียตลาดถาวรให้บราซิล appeared first on THE STANDARD.

]]>
เดโมแครตงัดกลยุทธ์ล่าคะแนนเสียง เจาะ ‘วัยรุ่นผู้ชาย’ หวังกู้ความนิยม รับเลือกตั้งมิดเทอมปี 2026 https://thestandard.co/democrats-young-men-voters-midterm-2026-strategy/ Tue, 07 Oct 2025 04:39:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1127440 democrats-young-men-voters-midterm-2026-strategy

พรรคเดโมแครตตั้งเป้าหมายตีตลาด ‘วัยรุ่นชายแท้’ หวังกู้ค […]

The post เดโมแครตงัดกลยุทธ์ล่าคะแนนเสียง เจาะ ‘วัยรุ่นผู้ชาย’ หวังกู้ความนิยม รับเลือกตั้งมิดเทอมปี 2026 appeared first on THE STANDARD.

]]>
democrats-young-men-voters-midterm-2026-strategy

พรรคเดโมแครตตั้งเป้าหมายตีตลาด ‘วัยรุ่นชายแท้’ หวังกู้คะแนนเสียงในการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกามิดเทอมปี 2026 ต้าน โดนัลด์ ทรัมป์ และพรรครีพับลิกัน แต่นักวิเคราะห์ชี้ภายในพรรคยังระส่ำ ไร้ทิศทาง และกลยุทธ์ที่ชัดเจน

 

ล่าสุดสำนักข่าว Reuters รายงานว่า ภายในพรรคเดโมแครตมีการหารือกลยุทธ์เพิ่มคะแนนโหวตเตอร์ในการเลือกตั้งมิดเทอมปี 2026 โดยกลยุทธ์สำคัญ คือ การได้ฐานคะแนนเสียงกลุ่มวัยรุ่นผู้ชาย ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2024 

 

รายงานระบุว่า พรรคเดโมแครตตระหนักดีถึงข้อดี-ข้อเสียของพรรค แต่ปัญหาสำคัญ คือ การขาดแนวทางร่วมกัน โดยขณะนี้ บุคลากรภายใน กำลังทดลองเดินเกม สื่อสาร และวางแผนกลยุทธ์ เช่น พาอินฟลูเอนเซอร์ทัวร์อาคารรัฐสภา ขณะที่นักการเมืองในพรรคเริ่มเปลี่ยนแนวทางสื่อสารด้วยการทำพอดแคสต์ ซึ่งวิธีการเหล่านี้คือสิ่งที่ทรัมป์และพรรครีพับลิกันทำมาก่อน

 

น่าสนใจว่า ชื่อของ ชาร์ลี เคิร์ก อินฟลูเอนเซอร์ฝ่ายขวา และผู้ก่อตั้งกลุ่ม Turning Point ที่ถูกลอบสังหารได้รับการพูดถึง เพราะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้กลุ่มผู้ชายวัยรุ่น เลือกพรรครีพับลิกันในปี 2024 ถึง 46% หรือเพิ่มขึ้นราว 7% หากเทียบกับตัวเลขในการเลือกตั้งปี 2020 โดยนักวิเคราะห์อธิบายว่า เคิร์กประสบความสำเร็จ เพราะใช้บ่มเพาะและปลูกฝังวัฒนธรรมบางอย่างให้กลุ่มวัยรุ่นผู้ชาย

 

อย่างไรก็ตาม คริส มอว์เรย์ (Chris Mowrey) อินฟลูเอนเซอร์วัย 23 และผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครต ออกมาวิจารณ์แนวทางดังกล่าวว่า เดโมแครตไม่สามารถต้าน ‘ระบบ’ ของรีพับลิกันที่มีเงินทุนหนา ทรัพยากรมาก และคนเยอะได้ สะท้อนจากสิ่งที่อินฟลูเอนเซอร์ฝ่ายขวาทำ เช่น เบน ชาพิโร (Ben Shapiro) นับเป็นเรื่องยากของพรรคเดโมแครตที่ไม่มีพื้นฐานเช่นนี้จะทำได้

 

เดโมแครตเดินเกมตีตลาดวัยรุ่นชายแท้อย่างไร

 

ตั้งแต่ปี 2024 คณะกรรมการแห่งชาติพรรคเดโมแครต (Democratic National Committee) เริ่มใช้กลยุทธ์ตีตลาดอินฟลูเอนเซอร์ โดยหวังสร้างสัมพันธ์อันดีกับคอนเทนต์ครีเอเตอร์ในแวดวงผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นวงการเกม กีฬา และฟิตเนสใน TikTok ผ่านการพูดคุยเนื้อหาในรายการ และสร้างแรงดึงดูดเหมือนกับที่พรรครีพับลิกันทำ

 

นอกจากนี้ พรรคเดโมแครตยังลงทุนไปกับ ‘โฆษณา’ ซึ่งล่าสุดคือ แคมเปญหาเสียงวันแรงงานที่เจาะกลุ่มผู้ชายวัย 18-44 ปี ใน 35 เขตที่มีคะแนนผันผวน พร้อมกับข้อความที่ว่า “วันแรงงานนี้ พรรครีพับลิกันทำให้ราคาเบียร์สูงขึ้น” รวมถึงโฆษณาที่ชื่อว่า ‘Kidnapping your Girlfriend’ โดยเสียดสีนโยบายขับไล่ผู้อพยพของทรัมป์ ที่กำลังจะกวาดล้างผู้หญิงต่างชาติออกไป

 

ขณะเดียวกันยังปรากฏภาพของนักการเมืองชายเดโมแครตในรายการพอดแคสต์ ทั้ง เกวิน นิวซอม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย, จอร์จ ชาพิโร ผู้ว่าการรัฐเพนซิลเวเนีย, เบอร์นีย์ แซนเดอร์ส อดีตแคนดิเดตประธานาธิบดีฝ่ายซ้ายรุ่นเก๋า และ พีต บูติเจจ อดีตรัฐมนตรีคมนาคมที่เป็นกลุ่ม LGBTQIA+ ซึ่งบางครั้งก็ออกรายการคู่กับฝ่ายขวา อย่างกรณีนิวซอมเป็นพิธีกรให้รายการพอดแคสต์ของเคิร์กกับ สตีฟ แบนนอน (Steve Bannon) นักยุทธศาสตร์การเมืองผู้สนับสนุนทรัมป์

 

ภาพที่เป็นไวรัลและแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของพรรคเดโมแครต คือ แม็กเวลล์ ฟอสต์ (Maxwell Frost) สส.ที่อายุน้อยที่สุดของพรรค พา IShowSpeed อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังที่มียอดผู้ติดตามราวสิบล้านทุกแพลตฟอร์ม ทัวร์อาคารรัฐสภา ซึ่งสร้างความฮือฮาให้กับโลกโซเชียลมีเดีย 

 

โจ จาคอบสัน (Joe Jacobson) นักกลยุทธ์พรรคเดโมแครตอธิบายเบื้องหลังสิ่งที่เดโมแครตกำลังทำว่า ขณะนี้กลุ่มวัยรุ่นผู้ชายกำลังมองหานักการเมืองที่สามารถนั่งจิบเบียร์ และมีอะไรคล้ายคลึงได้ แต่ปัญหาคือภาพลักษณ์ของพรรคแห้งเฉาเกินไป แม้จะมีนโยบายที่ดีก็ตาม

 

ภาพ: Sheila Fitzgerald / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post เดโมแครตงัดกลยุทธ์ล่าคะแนนเสียง เจาะ ‘วัยรุ่นผู้ชาย’ หวังกู้ความนิยม รับเลือกตั้งมิดเทอมปี 2026 appeared first on THE STANDARD.

]]>
โดนัลด์ ทรัมป์ จากเจ้าพ่ออสังหาสู่ความหวังประธานาธิบดีสมัยที่ 2 https://thestandard.co/donald-trump-second-term-presidential-hope/ Tue, 21 Jan 2025 01:20:30 +0000 https://thestandard.co/?p=999847 donald-trump v2

โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ เกิดเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 1946 ใ […]

The post โดนัลด์ ทรัมป์ จากเจ้าพ่ออสังหาสู่ความหวังประธานาธิบดีสมัยที่ 2 appeared first on THE STANDARD.

]]>
donald-trump v2

โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ เกิดเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 1946 ในควีนส์ รัฐนิวยอร์ก เขาเป็นบุตรคนที่ 4 จากบุตรทั้งหมด 5 คนของเฟรเดอริก นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และ แมรี ทรัมป์ ไฮโซและนักการกุศลชาวนิวยอร์ก

 

ทรัมป์เติบโตมาแบบเด็กชายที่กระตือรือร้นและมั่นใจในตนเอง ในวัย 13 ปีเขาเริ่มประพฤติตัวไม่ดีในโรงเรียน ส่งผลให้พ่อและแม่ตัดสินใจส่งเขาไปเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยนิวยอร์ก (New York Military Academy) โดยหวังให้ระเบียบวินัยของโรงเรียนช่วยขัดเกลาและส่งเสริมความกระตือรือร้นของเขาไปในทางบวก 

 

เขาทำได้ดีทั้งในด้านสังคมและวิชาการ จนกลายเป็นนักกีฬาดาวเด่นและผู้นำนักเรียน ก่อนจะศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮมในปี 1964 และย้ายไปเรียนสาขาเศรษฐศาสตร์ที่โรงเรียนการเงินวอร์ตัน (Wharton School of Finance) มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียในอีก 2 ปีต่อมา กระทั่งสำเร็จการศึกษาในปี 1968

 

หลังสำเร็จการศึกษา ทรัมป์รับสืบทอดบริษัทต่อจากพ่อ เนื่องจาก เฟร็ด พี่ชายของเขาเลือกที่จะเป็นนักบิน โดยมีส่วนช่วยบริหารโครงการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ในนิวยอร์ก และได้อำนาจบริหารบริษัทเต็มตัวในปี 1971 ก่อนจะเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Trump Organization ซึ่งภายใต้การบริหารของทรัมป์ได้ปรับเปลี่ยนธุรกิจของครอบครัวจากโครงการที่พักอาศัยระดับกลางในย่านบรูกลินและควีนส์มาเป็นโครงการหรูหราในแมนฮัตตัน

 

จากบทบาทนักธุรกิจใหญ่ มีหลายครั้งที่ทรัมป์ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการเมือง ทั้งในแง่สนอกสนใจและประชดประชัน ถึงขั้นมองว่าชีวิตของนักการเมืองนั้นโหดร้าย 

 

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ผ่านการเป็นสมาชิกพรรคทั้งรีพับลิกัน เดโมแครต และพรรคอิสระอย่างพรรค Reform (ที่เขาเคยเปิดตัวลงสมัครชิงประธานาธิบดีอยู่ 3 เดือน ก่อนจะถอนตัว) 

 

กระทั่งปี 2011 ทรัมป์แสดงท่าทีว่าต้องการลงสมัครชิงประธานาธิบดีแข่งกับ บารัก โอบามา ในการเลือกตั้งปี 2012 แต่ท้ายที่สุดก็ประกาศไม่ลงสมัคร

 

กระทั่งเดือนมิถุนายน 2015 ทรัมป์ตัดสินใจประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งปี 2016 โดยประกาศถ้อยแถลงว่า ‘ความฝันแบบอเมริกัน’ (American Dream) ได้ตายไปแล้ว แต่เขาสัญญาว่าจะ ‘นำมันกลับมาอย่างยิ่งใหญ่และดีขึ้นกว่าเดิม’

 

ถือเป็นบททดสอบที่สำคัญอย่างยิ่งหากเขาชนะเลือกตั้ง ซึ่งหลากหลายนโยบายที่เขาประกาศไว้ช่วงหาเสียง ทั้งนโยบายผู้อพยพ เศรษฐกิจ การค้า การต่างประเทศ รวมถึงท่าทีกับคู่ปรปักษ์ เช่น จีน รัสเซีย และอิหร่าน ท่ามกลางฉากทัศน์ความขัดแย้งที่ลุกลามอยู่ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะยูเครนและตะวันออกกลาง คาดว่าจะมีผลอย่างมากต่อหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงไทย ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

 

info trump v2

 

ภาพประกอบ: กริน วสุรัฐกร

 

อ้างอิง:

The post โดนัลด์ ทรัมป์ จากเจ้าพ่ออสังหาสู่ความหวังประธานาธิบดีสมัยที่ 2 appeared first on THE STANDARD.

]]>
โดนัลด์ ทรัมป์ จากเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ สู่ความหวังประธานาธิบดีสมัยที่ 2 https://thestandard.co/trump-presidential-comeback/ Tue, 21 Jan 2025 01:00:16 +0000 https://thestandard.co/?p=998990 trump

โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์วัย 78 ปี สร้า […]

The post โดนัลด์ ทรัมป์ จากเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ สู่ความหวังประธานาธิบดีสมัยที่ 2 appeared first on THE STANDARD.

]]>
trump

โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์วัย 78 ปี สร้างประวัติศาสตร์ในการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 โดยเอาชนะ คามาลา แฮร์ริส คู่ท้าชิงจากพรรคเดโมแครตไปได้ในการเลือกตั้งเมื่อปลายปีที่ผ่านมา

 

การดำรงตำแหน่งในช่วงสมัยแรกของทรัมป์เรียกได้ว่าเป็นการสร้าง ‘ปรากฏการณ์’ ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ จากบทบาทแข็งกร้าวในนโยบายต่างประเทศต่ออิหร่านและการเปิดฉากสงครามการค้ากับจีน การแสดงจุดยืนรักษาผลประโยชน์ของชาวอเมริกัน และการดำเนินนโยบายคนเข้าเมืองที่เข้มงวด ทั้งการห้ามพลเมืองจากหลายประเทศมุสลิมเข้าประเทศ การสร้างกำแพงแนวชายแดนเม็กซิโก และการเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมาย 

 

หากเขาชนะเลือกตั้งสมัยที่ 2 แน่นอนว่าหนทางข้างหน้ายังเต็มไปด้วยความท้าทาย ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง สงคราม และภาวะเศรษฐกิจที่ยากลำบากทั่วโลก

 

และนี่คือเรื่องราวชีวประวัติบางส่วนของหนึ่งในผู้ท้าชิงเก้าอี้ผู้นำทำเนียบขาว ที่อาจกำหนดทิศทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกตลอด 4 ปีข้างหน้า

 

เติบโตสู่มหาเศรษฐีอสังหาริมทรัพย์

 

โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ เกิดเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 1946 ในควีนส์ รัฐนิวยอร์ก เขาเป็นบุตรคนที่ 4 จากบุตรทั้งหมด 5 คนของ เฟรเดอริก นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และ แมรี ทรัมป์ ไฮโซและนักการกุศลชาวนิวยอร์ก

 

ในช่วงทศวรรษ 1950 ความมั่งคั่งของตระกูลทรัมป์เพิ่มขึ้นพร้อมกับการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 

 

ทรัมป์เติบโตมาแบบเด็กชายที่กระตือรือร้นและมั่นใจในตนเอง ในวัย 13 ปีเขาเริ่มประพฤติตัวไม่ดีในโรงเรียน ส่งผลให้พ่อและแม่ตัดสินใจส่งเขาไปเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยนิวยอร์ก (New York Military Academy) โดยหวังให้ระเบียบวินัยของโรงเรียนช่วยขัดเกลาและส่งเสริมความกระตือรือร้นของเขาไปในทางบวก 

 

เขาทำได้ดีทั้งในด้านสังคมและวิชาการ จนกลายเป็นนักกีฬาดาวเด่นและผู้นำนักเรียน ก่อนจะศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮมในปี 1964 และย้ายไปเรียนสาขาเศรษฐศาสตร์ที่โรงเรียนการเงินวอร์ตัน (Wharton School of Finance) มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ในอีก 2 ปีต่อมา กระทั่งสำเร็จการศึกษาในปี 1968

 

หลังสำเร็จการศึกษา ทรัมป์รับสืบทอดบริษัทต่อจากพ่อ เนื่องจาก เฟรด พี่ชายของเขา เลือกที่จะเป็นนักบิน โดยมีส่วนช่วยบริหารโครงการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ในนิวยอร์ก และได้อำนาจบริหารบริษัทเต็มตัวในปี 1971 ก่อนจะเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Trump Organization ซึ่งภายใต้การบริหารของทรัมป์ได้ปรับเปลี่ยนธุรกิจของครอบครัว จากโครงการที่พักอาศัยระดับกลางในย่านบรูกลินและควีนส์มาเป็นโครงการหรูหราในแมนฮัตตัน

 

โดยถนน Fifth Avenue กลายมาเป็นที่ตั้งของ Trump Tower ซึ่งต่อมาเป็นทั้งบ้านและทรัพย์สินที่มีชื่อเสียงที่สุดของทรัมป์

 

ทรัพย์สินอื่นๆ ที่ใช้ชื่อแบรนด์ของทรัมป์มีทั้งคาสิโน, คอนโดมิเนียม, สนามกอล์ฟ และโรงแรม ในหลายเมืองของสหรัฐฯ และต่างประเทศ เช่น อินเดีย ตุรกี และฟิลิปปินส์

 

ชีวิตครอบครัว-สัมพันธ์ฉาว

 

สำหรับชีวิตครอบครัว ในปี 1977 ทรัมป์แต่งงานครั้งแรกกับ อิวานา เซลนิชโควา นางแบบและอดีตนักสกีชาวเชโกสโลวาเกีย และมีลูกด้วยกัน 3 คน ได้แก่ โดนัลด์ จูเนียร์, อิวานกา และเอริก ก่อนจะหย่าขาดจากกันในปี 1992 หลังทรัมป์ตกเป็นข่าวว่ามีความสัมพันธ์กับ มาร์ลา เมเปิลส์ หญิงสาวที่ต่อมากลายเป็นภรรยาคนที่ 2 ซึ่งทรัมป์แต่งงานด้วยในปี 1993 

 

ทรัมป์กับมาร์ลามีลูกสาวด้วยกัน 1 คนชื่อ ทิฟฟานี และชีวิตสมรสของทั้งคู่ก็ยืนยาวต่อมาอีก 6 ปี ก่อนที่ทั้งคู่จะหย่าขาดจากกันในปี 1999 

 

ในปี 2005 ทรัมป์ตัดสินใจแต่งงานรอบที่ 3 กับ เมลาเนีย คเนาส์ หรือปัจจุบันคือ เมลาเนีย ทรัมป์ และมีลูกชายด้วยกันอีก 1 คน คือ บาร์รอน วิลเลียม ทรัมป์ ซึ่งเพิ่งอายุครบ 18 ปี 

 

อย่างไรก็ตาม หลังเข้าสู่แวดวงการเมือง เขาเผชิญกับหลายข้อกล่าวหาอื้อฉาว ทั้งเรื่องการประพฤติผิดทางเพศและความสัมพันธ์นอกสมรส

 

โดยเมื่อต้นปีที่แล้ว คณะลูกขุนในนิวยอร์กตัดสินความผิดในคดีล่วงละเมิดทางเพศนักเขียนหญิง อี. จีน แคร์รอล ในช่วงทศวรรษที่ 1990 และทำให้เธอเสื่อมเสียชื่อเสียงจากการโพสต์ข้อความลงแพลตฟอร์ม Truth Social ว่าข้อกล่าวหาของเธอเป็นคำโกหก ซึ่งศาลสั่งให้ทรัมป์จ่ายเงินเธอทั้งหมด 88 ล้านดอลลาร์ แต่เขาได้ยื่นอุทธรณ์

 

นอกจากนี้ทรัมป์ยังถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาญา 34 กระทง ฐานปลอมแปลงเอกสารทางธุรกิจ เพื่อปกปิดข้อตกลงเรื่องการจ่ายเงินปิดปาก สตอร์มี แดเนียลส์ นักแสดงหนังผู้ใหญ่ จากกรณีความสัมพันธ์นอกสมรสในปี 2006

 

ชื่อเสียง-ความล้มเหลว

 

ทรัมป์ยังสร้างชื่อในวงการบันเทิงจากการเป็นเจ้าของเวทีประกวดนางงาม Miss Universe, Miss USA และ Miss Teen USA จากนั้นจึงเป็นผู้จัดรายการเรียลิตี้โชว์ The Apprentice ของ NBC

 

นอกจากนี้เขายังเขียนหนังสือหลายเล่มและปรากฏตัวทั้งในภาพยนตร์และรายการมวยปล้ำอาชีพ รวมทั้งยังทำธุรกิจขายสินค้าทุกประเภท ตั้งแต่เครื่องดื่มไปจนถึงเนกไท 

 

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์เคยยื่นล้มละลายทางธุรกิจมาแล้ว 6 ครั้ง และธุรกิจหลายอย่างของเขารวมถึง Trump Steaks และ Trump University ก็ล้มละลาย

 

โดยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของเขาลดลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่ง Forbes ประเมินว่า ปัจจุบันเขามีมูลค่าทรัพย์สินอยู่ที่ประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 

 

ขณะที่เขายังเคยเผชิญคดีความและข้อครหาเรื่องการปกปิดข้อมูลภาษี และยังถูกศาลตัดสินโทษปรับเงินเกือบ 355 ล้านดอลลาร์สหรัฐในคดีตกแต่งข้อมูลทรัพย์สินเพื่อหลอกลวงผู้ให้กู้ยืมเงิน

 

เส้นทางสู่การเมือง

 

จากบทบาทนักธุรกิจใหญ่ มีหลายครั้งที่ทรัมป์ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการเมือง ทั้งในแง่สนอกสนใจและประชดประชัน ถึงขั้นมองว่าชีวิตของนักการเมืองนั้นโหดร้าย 

 

ในปี 1987 ทรัมป์เคยลงโฆษณาเต็มหน้าในหนังสือพิมพ์ใหญ่ 3 ฉบับ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศและวิธีขจัดการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลาง ก่อนที่ในปีต่อมาเขาจะเข้าพบ ลี แอตวอเตอร์ ที่ปรึกษาประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน แห่งพรรครีพับลิกัน เพื่อขอพิจารณาเป็นคู่ชิงรองประธานาธิบดีร่วมกับ จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช ที่ขณะนั้นเป็นตัวแทนผู้สมัครชิงประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกัน โดยบุชมองว่าคำขอดังกล่าวค่อนข้าง ‘แปลกและไม่น่าเชื่อ’

 

อย่างไรก็ตาม เขาผ่านการเป็นสมาชิกพรรค ทั้งรีพับลิกัน เดโมแครต และพรรคอิสระอย่างพรรค Reform (ที่เขาเคยเปิดตัวลงสมัครชิงประธานาธิบดีอยู่ 3 เดือน ก่อนจะถอนตัว) 

 

กระทั่งปี 2011 ทรัมป์แสดงท่าทีว่าต้องการลงสมัครชิงประธานาธิบดีแข่งกับ บารัก โอบามา ในการเลือกตั้งปี 2012 แต่ท้ายที่สุดก็ประกาศไม่ลงสมัคร

 

กระทั่งเดือนมิถุนายน 2015 ทรัมป์ตัดสินใจประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งปี 2016 โดยประกาศถ้อยแถลงว่า ‘ความฝันแบบอเมริกัน’ (American Dream) นั้นได้ตายไปแล้ว แต่เขาสัญญาว่าจะ ‘นำมันกลับมาอย่างยิ่งใหญ่และดีขึ้นกว่าเดิม’

 

ช่วงสมัยแรกของทรัมป์เต็มไปด้วยปรากฏการณ์ ทั้งการเดินหน้าหลายนโยบายที่ถูกมองว่า ‘สุดโต่ง’ ทั้งการทำสงครามการค้ากับจีน การดำเนินนโยบายผู้อพยพเข้าเมืองที่เข้มงวด เช่น การเนรเทศผู้อพยพเข้าเมืองแบบผิดกฎหมาย หรือการสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโก ตลอดจนการถอนสหรัฐฯ จากข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านและข้อตกลงปารีส 

 

แต่ในอีกแง่หนึ่ง ทุกอย่างที่เขาทำก็สามารถมองได้ว่าเป็นไปตามคำพูดที่เขาเน้นย้ำคือ ‘อเมริกาต้องมาก่อน’ (America First) และคำมั่นที่จะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง (Make America Great Again) ที่ยังคงเป็นสโลแกนหาเสียงของเขาในรอบนี้

 

อย่างไรก็ตาม การขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ของทรัมป์ มีบททดสอบสำคัญรออยู่มากมาย โดยเฉพาะนโยบายหลากหลายที่เขาประกาศไว้ในช่วงหาเสียง ทั้งนโยบายผู้อพยพ, เศรษฐกิจ, การค้า, การต่างประเทศ และท่าทีกับคู่ปรปักษ์ เช่น จีน รัสเซีย และอิหร่าน ท่ามกลางฉากทัศน์ความขัดแย้งที่ลุกลามอยู่ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะยูเครนและตะวันออกกลาง ซึ่งคาดว่าจะมีผลอย่างมากต่อหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงไทย ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

 

ภาพ: Robert Perry / Stringer

อ้างอิง:

The post โดนัลด์ ทรัมป์ จากเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ สู่ความหวังประธานาธิบดีสมัยที่ 2 appeared first on THE STANDARD.

]]>
รายงานของที่ปรึกษาพิเศษสหรัฐฯ ชี้ชัดหลักฐานมัด “ทรัมป์น่าจะถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีเลือกตั้งปี 2020” https://thestandard.co/trump-2020-election-case/ Tue, 14 Jan 2025 09:57:08 +0000 https://thestandard.co/?p=1030410 trump-2020-election-case

รายงานจาก แจ็ค สมิธ ที่ปรึกษาพิเศษ เปิดเผยเมื่อเช้าวานน […]

The post รายงานของที่ปรึกษาพิเศษสหรัฐฯ ชี้ชัดหลักฐานมัด “ทรัมป์น่าจะถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีเลือกตั้งปี 2020” appeared first on THE STANDARD.

]]>
trump-2020-election-case

รายงานจาก แจ็ค สมิธ ที่ปรึกษาพิเศษ เปิดเผยเมื่อเช้าวานนี้ (13 มกราคม) ว่า หากไม่มีการเลือกตั้งในปี 2024 ที่ทำให้ โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี การดำเนินคดีต่อทรัมป์ในคดีพยายามยึดอำนาจหลังพ่ายแพ้การเลือกตั้งในปี 2020 จะมีหลักฐานเพียงพอสำหรับการตัดสินว่ามีความผิดในศาล

 

สมิธระบุในรายงานว่า “แม้จะเป็นคดีที่มีน้ำหนักมากเพียงใด แต่กระทรวงยุติธรรมยังคงยึดมั่นว่า รัฐธรรมนูญห้ามการฟ้องร้องและดำเนินคดีประธานาธิบดี ซึ่งเป็นมุมมองที่ไม่เปลี่ยนแปลงแม้จะเป็นกรณีร้ายแรงหรือมีหลักฐานแน่นหนา” 

 

นอกจากนี้ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า หากไม่มีการเลือกตั้งของทรัมป์และการกลับมาสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศในเร็วๆ นี้ การประเมินจากหลักฐานที่มีอยู่จะเพียงพอต่อการตัดสินความผิดของทรัมป์ในศาลได้

 

ขณะที่รายงานฉบับนี้ ซึ่งมีความยาวทั้งหมด 137 หน้า เป็นส่วนหนึ่งของรายงานสุดท้ายของสมิธที่ถูกส่งไปยังสภาคองเกรสเมื่อช่วงเที่ยงคืนวานนี้ โดยยังมีอีกส่วนที่เกี่ยวกับคดีการจัดการเอกสารลับของทรัมป์ที่ยังคงเป็นความลับ


โดยรายงานนี้ถือเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์อย่างรุนแรง ที่สมิธเน้นถึงความพยายามของทรัมป์ในการล้มล้างผลการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม รวมถึงการสนับสนุนให้เกิดความรุนแรงต่อฝ่ายตรงข้ามในช่วงวุ่นวายระหว่างวันเลือกตั้งและวันที่ 6 มกราคม 2021 ซึ่งเป็นวันที่ผู้สนับสนุนทรัมป์บุกโจมตีอาคารรัฐสภา ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บกว่า 140 นาย

 

ในรายงานสมิธชี้ชัดว่า การโจมตีรัฐสภาเกิดขึ้นจากการยุยงของทรัมป์ โดยอ้างคำให้การของผู้ต้องหาหลายคนที่ระบุว่า พวกเขาทำเพื่อสนองต่อคำพูดและการกระทำของทรัมป์ นอกจากนี้รายงานยังมีรายละเอียดความรุนแรงที่ตำรวจเผชิญ เช่น การถูกทำร้ายอย่างหนักจนเกิดอาการคล้าย ‘ช็อก’ และความพยายามในการปกป้องเจ้าหน้าที่รัฐและสื่อมวลชนที่อยู่ภายในอาคารรัฐสภา

 

สมิธเปิดเผยว่า ทีมสืบสวนสัมภาษณ์บุคคลกว่า 250 คน และเรียกพยานเข้าให้การต่อคณะลูกขุนใหญ่กว่า 55 คน โดยระบุว่า การทำงานของคณะกรรมาธิการรัฐสภาที่สืบสวนเหตุการณ์โจมตีรัฐสภา เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของข้อมูลการสืบสวนทั้งหมด

 

นอกจากนี้ รายงานยังอธิบายถึงอุปสรรคสำคัญที่ทีมสืบสวนต้องเผชิญ เช่น การฟ้องร้องเรื่องสิทธิพิเศษทางบริหารและภูมิคุ้มกันของประธานาธิบดี รวมถึงการคุกคามพยานผ่านโซเชียลมีเดีย สมิธระบุว่า คดีนี้มีความจำเป็นต่อการดำเนินการ เพราะเป็นความพยายามอย่างไม่เคยมีมาก่อนในการล้มล้างผลการเลือกตั้งที่ชอบธรรมเพื่อรักษาอำนาจของทรัมป์

 

ถึงแม้ว่ารายงานฉบับนี้จะสรุปการทำงานของสมิธในฐานะที่ปรึกษาพิเศษแล้ว แต่ก็สะท้อนถึงความท้าทายของกระบวนการยุติธรรมเมื่อต้องจัดการกับประธานาธิบดีผู้ทรงอิทธิพล และส่งสัญญาณเตือนถึงภัยคุกคามต่อประชาธิปไตยในอนาคต

 

ภาพ: Mike Segar / File Photo / Reuters

 

อ้างอิง:

The post รายงานของที่ปรึกษาพิเศษสหรัฐฯ ชี้ชัดหลักฐานมัด “ทรัมป์น่าจะถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีเลือกตั้งปี 2020” appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: วิเคราะห์เกมเศรษฐกิจโลกภายใต้อำนาจ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ | WEALTH IN DEPTH #125 https://thestandard.co/wealth-in-depth-ep-125/ Thu, 21 Nov 2024 11:05:18 +0000 https://thestandard.co/?p=1011164

วิเคราะห์เกมเศรษฐกิจและการค้าโลกภายใต้อำนาจ ‘โดนัลด์ ทร […]

The post ชมคลิป: วิเคราะห์เกมเศรษฐกิจโลกภายใต้อำนาจ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ | WEALTH IN DEPTH #125 appeared first on THE STANDARD.

]]>

วิเคราะห์เกมเศรษฐกิจและการค้าโลกภายใต้อำนาจ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ในฐานะประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งหวนคืนสู่ตำแหน่งเป็นสมัยที่ 2

 

ทันทีที่ทรัมป์คว้าชัย ทั่วโลกต่างจับตานโยบายบริหารประเทศที่ถูกเรียกจนติดหูว่า Trump 2.0 ว่าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นคู่แข่งด้านเศรษฐกิจและการค้าโลกรายสำคัญ

 

ติดตามการวิเคราะห์เชิงลึกจาก ชาตรี โรจนอาภา CFA, FRM Head of Investment Consultant SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์

The post ชมคลิป: วิเคราะห์เกมเศรษฐกิจโลกภายใต้อำนาจ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ | WEALTH IN DEPTH #125 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: เศรษฐกิจไทยภายใต้ทรัมป์ 2.0 สงครามการค้าจะเกิดเร็วขึ้นหรือไม่? | THE STANDARD WEALTH https://thestandard.co/morning-wealth-19112024-3/ Tue, 19 Nov 2024 09:06:17 +0000 https://thestandard.co/?p=1010430

เศรษฐกิจไทย ภายใต้ ทรัมป์ 2.0 มีประเด็นไหนที่ต้องจับตา […]

The post ชมคลิป: เศรษฐกิจไทยภายใต้ทรัมป์ 2.0 สงครามการค้าจะเกิดเร็วขึ้นหรือไม่? | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>

เศรษฐกิจไทย ภายใต้ ทรัมป์ 2.0 มีประเด็นไหนที่ต้องจับตา พูดคุยกับ ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ Head of Economic Research หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: เศรษฐกิจไทยภายใต้ทรัมป์ 2.0 สงครามการค้าจะเกิดเร็วขึ้นหรือไม่? | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
เงินบาท ‘อ่อนค่าเร็ว’ หลังทรัมป์ชนะเลือกตั้ง หวั่น Trade War กระทบแรง https://thestandard.co/thai-baht-rapid-depreciation/ Mon, 18 Nov 2024 07:31:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1009987 ค่าเงินบาทอ่อนค่า

The post เงินบาท ‘อ่อนค่าเร็ว’ หลังทรัมป์ชนะเลือกตั้ง หวั่น Trade War กระทบแรง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ค่าเงินบาทอ่อนค่า

The post เงินบาท ‘อ่อนค่าเร็ว’ หลังทรัมป์ชนะเลือกตั้ง หวั่น Trade War กระทบแรง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปรากฏการณ์คริปโตหลังเลือกตั้ง: จุดเปลี่ยนของระบบการเงินโลกยุคใหม่ https://thestandard.co/crypto-post-election-global-finance/ Sat, 16 Nov 2024 08:21:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1009422

การทะยานของราคาบิทคอยน์สู่ระดับสูงสุดใหม่ที่เกินระดับ 9 […]

The post ปรากฏการณ์คริปโตหลังเลือกตั้ง: จุดเปลี่ยนของระบบการเงินโลกยุคใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>

การทะยานของราคาบิทคอยน์สู่ระดับสูงสุดใหม่ที่เกินระดับ 92,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูล ณ วันที่ 14 พฤศจิกายน) หลังการเลือกตั้งขั้นต้นในสหรัฐอเมริกา ไม่เพียงสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ยังเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบการเงินโลก ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนทางการเมืองและนโยบายที่กำลังส่งผลกระทบในวงกว้าง

 

จุดเปลี่ยนสำคัญของนโยบายและการยอมรับ

 

การเคลื่อนไหวของตลาดในครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของราคา แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่จะกำหนดอนาคตของระบบการเงินโลก เราเห็นการหลอมรวมระหว่างการเงินแบบดั้งเดิมและดิจิทัลที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยมีแรงขับเคลื่อนจากนโยบายและการยอมรับในระดับสถาบัน

 

การปรับเปลี่ยนทีมงานด้านนโยบายคริปโตเคอร์เรนซีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ล่าสุดสะท้อนวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนต่ออนาคตของสินทรัพย์ดิจิทัล

 

การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ส่งสัญญาณถึงการยอมรับบทบาทของคริปโตในระดับนโยบาย เราคาดว่าจะเห็นการพัฒนากรอบกฎหมายและกฎระเบียบที่เอื้อต่อนวัตกรรมมากขึ้น โดยยังคงให้ความสำคัญกับการคุ้มครองนักลงทุนและเสถียรภาพของระบบ

 

การเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศการเงิน

 

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ราคาของสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ยังรวมถึงการปรับตัวครั้งใหญ่ของสถาบันการเงินทั่วโลก เราเห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นเต้นในระบบนิเวศการเงิน สถาบันการเงินกำลังปรับตัวครั้งใหญ่ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าและโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น

 

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี การสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ รวมถึงการพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญด้านสินทรัพย์ดิจิทัล กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในภาคการเงิน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในระบบการเงินโดยรวม

 

ผลกระทบต่อตลาดทุนโลก

 

การเปลี่ยนแปลงของตลาดคริปโตกำลังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อโครงสร้างตลาดทุนโลก การทะยานของราคาบิทคอยน์ไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ราคา แต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในระบบการเงินโลก เราเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งในพฤติกรรมของนักลงทุนสถาบันที่เริ่มมองคริปโตเป็นส่วนสำคัญของพอร์ตการลงทุนระยะยาว

 

ในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน เราเห็นการเติบโตของเครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ETF ที่อิงกับสินทรัพย์ดิจิทัล การพัฒนาตราสารอนุพันธ์ และ Structured Products ที่ผสมผสานระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัลกับสินทรัพย์แบบดั้งเดิม นวัตกรรมทางการเงินเหล่านี้จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องและประสิทธิภาพของตลาด

 

อนาคตของตลาดการเงินดิจิทัล

 

การบูรณาการระหว่างตลาดการเงินแบบดั้งเดิมและดิจิทัลกำลังเร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการชำระเงิน และการบริหารความเสี่ยง สถาบันการเงินชั้นนำทั่วโลกกำลังลงทุนอย่างมหาศาลในเทคโนโลยีบล็อกเชนและระบบดิจิทัล เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล

 

อนาคตของตลาดทุนจะเป็นการผสมผสานระหว่างระบบดั้งเดิมและดิจิทัลอย่างไร้รอยต่อ การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการจัดสรรเงินทุนทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ที่อาจได้รับประโยชน์จากการเข้าถึงแหล่งเงินทุนง่ายขึ้น การลดต้นทุนธุรกรรม และการเพิ่มประสิทธิภาพในการระดมทุน

 

บทสรุป: จุดเปลี่ยนของระบบการเงินโลก

 

การทะยานของราคาคริปโตหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ เป็นมากกว่าปรากฏการณ์ทางตลาด แต่เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบการเงินโลก การผสมผสานระหว่างนโยบายที่เอื้อประโยชน์ การยอมรับจากสถาบัน และการพัฒนาเทคโนโลยี กำลังสร้างรากฐานสำหรับระบบการเงินยุคใหม่

 

เรากำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนที่สำคัญ การเติบโตของตลาดคริปโตไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของราคา แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในวิธีที่เราจัดการและเข้าถึงบริการทางการเงิน การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจโลก และจะกำหนดอนาคตของระบบการเงินในทศวรรษหน้า

 

จากสถานการณ์ในตอนนี้มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งสัญญาณว่าอาจมีโอกาสที่ราคาบิทคอยน์จะสูงกว่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ไม่ว่าจะเป็น Crypto Cycles หรือนโยบายแม้กระทั่งความเคลื่อนไหวที่รัฐบาลสหรัฐฯ หรือสถาบันทางการเงินต่างๆ ประกาศออกมา

 

อย่างไรก็ตาม การลงทุนทุกรูปแบบมีความเสี่ยง และตลาดเองก็มีความผันผวนอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นนักลงทุนควรจะมองหาการลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ในแต่ละบุคคล และมองเป็นการลงทุนในระยะยาว ควรศึกษาและวางแผนการลงทุนอย่างรอบคอบ ซึ่ง Binance TH ย้ำเสมอว่าคริปโตและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน

 

โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

The post ปรากฏการณ์คริปโตหลังเลือกตั้ง: จุดเปลี่ยนของระบบการเงินโลกยุคใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรัมป์ประกาศตั้ง ‘กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล’ ดึง ‘อีลอน มัสก์’ และ ‘วิเวก รามาสวามี’ คุมทีม https://thestandard.co/musk-ramaswamy-efficiency-department/ Thu, 14 Nov 2024 10:56:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1008668

โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ประกาศ […]

The post ทรัมป์ประกาศตั้ง ‘กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล’ ดึง ‘อีลอน มัสก์’ และ ‘วิเวก รามาสวามี’ คุมทีม appeared first on THE STANDARD.

]]>

โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ประกาศเมื่อวานนี้ (13 พฤศจิกายน) ว่าได้แต่งตั้ง อีลอน มัสก์ และ วิเวก รามาสวามี รับหน้าที่เป็นผู้นำ ‘กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล’ ในรัฐบาลสมัยที่ 2 ของเขา โดยทรัมป์กล่าวว่า “2 คนนี้จะช่วยนำรัฐบาลของผมไปสู่การรื้อระบบราชการ ลดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น ตัดงบประมาณที่สิ้นเปลือง และปรับโครงสร้างหน่วยงานรัฐบาล”

 

การแต่งตั้งรามาสวามีและโดยเฉพาะมัสก์ที่เป็นผู้บริหารบริษัทที่มีสัญญากับรัฐบาลอยู่แล้ว ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความขัดแย้งทางผลประโยชน์ทันที โดยยังไม่ชัดเจนว่ากระทรวงใหม่นี้จะดำเนินการอย่างไร และจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภาที่มีพรรครีพับลิกันควบคุมทั้งหมดหรือไม่

 

นอกจากนี้ทรัมป์ยังเสนอแผนการสร้างคณะกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพรัฐบาลนี้มาตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยมัสก์ตกลงที่จะนำทีมนี้หากทรัมป์กลับเข้าสู่ทำเนียบขาว และยังกล่าวอีกว่า “สิ่งนี้จะสร้างแรงกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบ”

 

ขณะที่รามาสวามีซึ่งเป็นคู่แข่งของทรัมป์ในช่วงเลือกตั้งขั้นต้นในพรรครีพับลิกัน ก่อนที่เขาจะหันมาสนับสนุนทรัมป์ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยโพสต์ข้อความว่า “SHUT IT DOWN” เพื่อสนับสนุนแนวคิดในการปิดหน่วยงานรัฐบาลที่สิ้นเปลือง

 

ทั้งนี้ ทรัมป์ชี้ว่า คณะกรรมการนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายรัฐบาล โดยเขากล่าวว่าจะพัฒนางานเพื่อกำจัดการฉ้อโกงและการจ่ายเงินที่ไม่เหมาะสมภายใน 6 เดือน ซึ่งจะช่วยประหยัดเงินนับล้านล้านดอลลาร์ ด้านรามาสวามียังเคยนำเสนอแนวทางทางกฎหมายที่อาจช่วยให้ประธานาธิบดีสามารถกำจัดหน่วยงานรัฐบาลบางแห่งได้ รวมถึง FBI กรมการศึกษา และคณะกรรมการกำกับดูแลนิวเคลียร์

 

ส่วนมัสก์ที่สนับสนุนทรัมป์มาตลอดเสนอให้มีการลดกฎระเบียบของรัฐบาลและเสนอระบบการประเมินที่อาจเลิกจ้างพนักงานที่ไม่จำเป็น รวมถึงเสนอการจ่ายค่าชดเชยสำหรับพนักงานรัฐบาลที่ถูกปลดออก

 

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ประกาศว่า กระทรวงนี้จะสิ้นสุดการทำงานภายในวันที่ 4 กรกฎาคม 2026 “รัฐบาลที่เล็กลงและมีประสิทธิภาพจะเป็นของขวัญที่สมบูรณ์แบบสำหรับสหรัฐฯ ในวันครบรอบ 250 ปีของการประกาศอิสรภาพ”

 

ภาพ: Carlos Barria / Reuters, ALLISON ROBBERT / Pool via REUTERS

อ้างอิง:

The post ทรัมป์ประกาศตั้ง ‘กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล’ ดึง ‘อีลอน มัสก์’ และ ‘วิเวก รามาสวามี’ คุมทีม appeared first on THE STANDARD.

]]>