เทรนด์ความงาม – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 20 Nov 2025 07:27:53 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 Olive Young เตรียมเปิดร้านแรกในสหรัฐอเมริกา เดือนพฤษภาคมปี 2026 https://thestandard.co/olive-young-first-store-usa/ Thu, 20 Nov 2025 07:27:53 +0000 https://thestandard.co/?p=1145446 Olive Young เตรียมเปิดร้านแรกในสหรัฐอเมริกา เดือนพฤษภาคมปี 2026

Olive Young ร้านรีเทลที่ครอบคลุมโปรดักต์เครื่องสำอางกับ […]

The post Olive Young เตรียมเปิดร้านแรกในสหรัฐอเมริกา เดือนพฤษภาคมปี 2026 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Olive Young เตรียมเปิดร้านแรกในสหรัฐอเมริกา เดือนพฤษภาคมปี 2026

Olive Young ร้านรีเทลที่ครอบคลุมโปรดักต์เครื่องสำอางกับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและสุขภาพสัญชาติเกาหลีใต้ชื่อดัง ประกาศเตรียมเปิดร้านแห่งแรกในสหรัฐอเมริกา ในเดือนพฤษภาคม ปี 2026 นับว่าเป็นการขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดโลกก้าวสำคัญของบริษัท

 

Olive Young แห่งแรกในสหรัฐอเมริกาจะตั้งอยู่ที่แพซาดีนา แคลิฟอร์เนีย โดยการประกาศเปิดร้านครั้งนี้เกิดขึ้นหลังการเปิดบริษัทย่อยสาขาอเมริกาในนาม CJ Olive Young USA เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยทางบริษัทเผยว่า พวกเขาจะบุกตลาดที่อเมริกาในโลเคชั่นที่มีคนพลุกพล่าน เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าอายุน้อยผู้ติดตามเทรนด์ความงาม เริ่มต้นจากแพซาดีนา อันเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของลอสแอนเจลิส ก่อนที่จะเปิดสาขาเพิ่มในแคลิฟอร์เนีย รวมไปถึงในห้างสรรพสินค้า Westfield ทั่วพื้นที่แอลเอ

 

แน่นอนว่าสโตร์ Olive Young ในอเมริกาจะมาพร้อมกับโปรดักต์ K-Beauty มากกว่า 400 แบรนด์ โดยมีทั้งเครื่องสำอางค์และสกินแคร์สัญชาติเกาหลีอันเป็นที่เลื่องลือในเรื่องของเทรนด์และคุณภาพอยู่แล้ว ทางบริษัทจะนำเสนอทั้งบริการและผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการคัดสรรมาแล้วอย่างดีภายใต้คอนเซ็ปต์เทรนด์ความงามฉบับเกาหลีที่กำลังได้รับความนิยมอย่างไม่ตกกระแส นอกจากนั้นยังมีแบรนด์ที่ได้รับเลือกสัญชาติอื่นๆ ที่จะวางจำหน่ายในร้าน Olive Young ด้วยเช่นกัน และยังมีการเพิ่มสินค้าหมวดหมู่อื่น อย่างผลิตภัณฑ์ด้าน Wellness อีกด้วย

 

ในโอกาสที่ Olive Young ขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดในสหรัฐอเมริกา พร้อมกันนั้นทางบริษัทยังได้ตั้งฐานสำหรับการปฏิบัติงานของร้าน ตั้งแต่การจัดหาทรัพยากรในพื้นที่ท้องถิ่นไปจนถึงการพัฒนาศักยภาพด้านการตลาด โดยมีเป้าหมายในการเชื่อมโยงการทำงานของสโตร์และช่องทางออนไลน์เข้าด้วยกันอย่างครบวงจร ตามโมเดลธุรกิจแบบ Omni Channel ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อกระตุ้นยอดขายของทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์

 

ภาพ: Olive Young

 

อ้างอิง: https://m.koreaherald.com/article/10619455

The post Olive Young เตรียมเปิดร้านแรกในสหรัฐอเมริกา เดือนพฤษภาคมปี 2026 appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จัก Self-Soothing Beauty เทรนด์ใหม่แทนที่ Lipstick Effect https://thestandard.co/self-soothing-beauty/ Tue, 17 Jun 2025 10:13:53 +0000 https://thestandard.co/?p=1086019

บริษัทวิเคราะห์เทรนด์ Circana เพิ่งออกรายงานสุดน่าสนใจ […]

The post รู้จัก Self-Soothing Beauty เทรนด์ใหม่แทนที่ Lipstick Effect appeared first on THE STANDARD.

]]>

บริษัทวิเคราะห์เทรนด์ Circana เพิ่งออกรายงานสุดน่าสนใจ เผยว่าสาวๆ ยุโรปเปลี่ยนพฤติกรรมซื้อความงามแบบสุดๆ จากเดิมที่เน้น ‘ซื้อลิปเพื่อให้อารมณ์ดี’ ตอนนี้กลายเป็น ‘ซื้อเพื่อปลอบใจตัวเอง’ แทน แม้จะยังต้องดูเรื่องเงินเพราะเศรษฐกิจไม่ค่อยดี แต่ถึงอย่างไรก็ ‘ยอมจ่ายเพื่อความสุข’ โดยเลือกซื้อของที่ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น ลดเครียด และดูแลจิตใจ

 

เทรนด์นี้ทำให้เห็นว่าคนยุโรปเริ่มจะเลือกซื้อมากขึ้น มองหาแบรนด์และผลิตภัณฑ์ที่ให้มากกว่าแค่ความสวย แต่ต้องมีคุณค่าและความหมายทางอารมณ์ด้วย โดยเฉพาะน้ำหอมที่กลายเป็นดาวเด่น เพราะกลิ่นหอมช่วยยกอารมณ์ เพิ่มความมั่นใจ และทำให้รู้สึกดีได้จริงๆ ดูได้จากตัวเลขเลย น้ำหอมราคาแพงตั้งแต่ 150 ยูโรขึ้นไปขายดีขึ้น 32% ส่วนตลาดน้ำหอมทั่วไปเติบโตแค่ 8%

 

สิ่งที่เปลี่ยนไปอีกอย่างคือ ‘Lipstick Effect’ ที่เคยเป็นปรากฏการณ์ช่วงเศรษฐกิจแย่ คนจะซื้อลิปสติกเยอะ ตอนนี้กลายเป็นว่าสาวๆ โดยเฉพาะเจนใหม่ หันไปชอบทินต์ที่มีมอยส์เจอไรเซอร์ คอนซีลเลอร์ สเปรย์กันเหงื่อ และแป้งที่มีสกินแคร์ผสมอยู่ เพื่อให้ได้ลุค ‘เปล่งประกาย’ แถมยังมีเทรนด์บิวตี้ชื่อจากอาหารมาแรง อย่างผิว ‘โดนัทเคลือบน้ำตาล’ เล็บ ‘สีเนย’ หรือสีปากสไตล์ ‘โคลา-เชอร์รี’ ที่เล่นกับความทรงจำและความรู้สึกดีๆ ที่มีต่ออาหารและเครื่องดื่ม 

 

ผู้เชี่ยวชาญจาก Circana บอกว่า ตอนนี้การซื้อเครื่องสำอางไม่ใช่เรื่องแค่ความสวยแล้ว แต่กลายเป็น ‘ยาบำรุงใจประจำวัน’ ไปเลย การมุ่งเน้นเรื่องสุขภาพจิตและการรักตัวเองนี้กำลังเปลี่ยนกฎเกมความงามยุโรปไปเลย และจะยังคงแรงต่อไปจนถึงปี 2025 ส่วนแบรนด์ที่จะรอดในยุคนี้ต้องเข้าใจว่าลูกค้าต้องการทั้งความใช้งานได้จริงและความอบอุ่นใจ ต้องเป็นทั้งระมัดระวังและผ่อนคลายไปพร้อมกัน

 

ภาพ: Courtesy of Glossier 

The post รู้จัก Self-Soothing Beauty เทรนด์ใหม่แทนที่ Lipstick Effect appeared first on THE STANDARD.

]]>
พีพี กฤษฏ์ และ บิวกิ้น พุฒิพงศ์ ชวนอัปลุคความงามกับเทรนด์ Natural Beauty ที่มาแรง https://thestandard.co/pp-krit-billkin-natural-beauty/ Thu, 29 May 2025 02:02:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1079764

บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล และ พีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร […]

The post พีพี กฤษฏ์ และ บิวกิ้น พุฒิพงศ์ ชวนอัปลุคความงามกับเทรนด์ Natural Beauty ที่มาแรง appeared first on THE STANDARD.

]]>

บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล และ พีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร ในฐานะพรีเซนเตอร์ Oligio ปรากฏตัวในงาน The Way of Lift with Oligio เพื่อร่วมถ่ายทอดแนวคิดการสะท้อนตัวตนสู่ The Best Version ผ่านนวัตกรรมด้านความงามใหม่ที่ตอบโจทย์ลุคธรรมชาติกับเทรนด์ Natural Beauty ที่มาแรง

 

โดยในปี 2025 เทรนด์ความงามเน้น Personalized Beauty หรือการดูแลแบบเฉพาะบุคคล คำนึงถึงผิวพรรณ รูปร่าง หน้าตา อายุ รวมถึงไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ไม่เพียงเน้นผลลัพธ์ สวยหรือหล่อขึ้น แต่เป็นการทำให้เป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุด ซึ่งด้านของ พญ.วรนรี วินะยานุวัติคุณ กล่าวว่า ความงามของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การดูแลต้องออกแบบเฉพาะบุคคล สอดคล้องกับเทรนด์ The Ordinary Natural Look ที่เน้นการปรับปรุงให้ตรงจุด เสริมจุดเด่นเฉพาะตัว ให้ดูดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ปัญหาที่คนไทยปรึกษาบ่อย ได้แก่ ริ้วรอย รูขุมขนกว้าง รูปหน้าหย่อนคล้อย และไขมันส่วนเกินบริเวณใบหน้า ซึ่งการใช้เครื่องมือยกกระชับกระตุ้นคอลลาเจนจากผิวชั้นในจะช่วยให้ผิวกระชับและอ่อนเยาว์

 

จึงแนะนำให้ดูแลผิวด้วยสกินแคร์ที่เหมาะสม ทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ เลือกหัตถการที่เหมาะกับปัญหาของแต่ละคน พร้อมปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจ และดูแลสุขภาพกาย-ใจควบคู่กัน เพราะความงามไม่ใช่แค่เรื่องภายนอก แต่เป็นการดูแลสุขภาพโดยรวม ผู้บริโภคควรศึกษาข้อมูลก่อนเข้ารับบริการ เลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรอง เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด สำหรับโปรแกรม Oligio ที่พีพีกับบิวกิ้นเป็นพรีเซนเตอร์นั้น ได้รับความนิยมทั้งในประเทศเกาหลีใต้และในไทยจนกลายเป็นกระแสร้อนแรง ด้วยเทคโนโลยีคลื่นวิทยุแบบขั้วเดี่ยวที่ลงลึกถึงชั้นไขมัน กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างล้ำลึก ให้ผิวกระชับและดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

 

ภาพ: Courtesy of Brand

The post พีพี กฤษฏ์ และ บิวกิ้น พุฒิพงศ์ ชวนอัปลุคความงามกับเทรนด์ Natural Beauty ที่มาแรง appeared first on THE STANDARD.

]]>
5 เหตุผลที่เทรนด์ Clean Girl สร้างความกดดันให้คนที่ไม่ได้เกิดมาผิวดี https://thestandard.co/5-trends-clean-girl/ Thu, 10 Apr 2025 04:54:12 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1062772 5 เทรนด์ Clean Girl

เทรนด์ Clean Girl เป็นสไตล์ความงามที่เริ่มได้รับความนิย […]

The post 5 เหตุผลที่เทรนด์ Clean Girl สร้างความกดดันให้คนที่ไม่ได้เกิดมาผิวดี appeared first on THE STANDARD.

]]>
5 เทรนด์ Clean Girl

เทรนด์ Clean Girl เป็นสไตล์ความงามที่เริ่มได้รับความนิยมอย่างมากบน TikTok และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ลักษณะเด่นของลุคนี้คือมีการแต่งหน้าที่ดูมินิมัล เน้นผิวที่สวยอยู่แล้วดูเปล่งปลั่งและเป็นธรรมชาติ ใช้ทินต์มอยส์เจอไรเซอร์แทนรองพื้นเต็มหน้า คอนซีลเลอร์ก็ทาเพียงเล็กน้อย แต้มบลัชเบาๆ เพื่อความสดใส

 

แต่ไปๆ มาๆ เทรนด์ Clean Girl กลับดูเหมือนถอยหลังกลับไปสู่อุดมคติความงามแบบเดิมที่เข้าถึงได้ยากสำหรับคนส่วนใหญ่ ซึ่งเว็บไซต์ Popsugar มีบทความที่เขียนถึงประเด็นนี้ว่า มันอาจลดทอนความก้าวหน้าที่ขบวนการ Skin Positivity และ Body Positivity สร้างไว้ ซึ่งการเข้าใจผลกระทบเชิงลบของเทรนด์นี้ไม่ได้หมายความว่าคนที่ชอบสไตล์ Clean Girl มีความผิด แต่เป็นการตระหนักว่าเราควรส่งเสริมการยอมรับความหลากหลายในความงาม และลดการตัดสินผู้อื่นจากมาตรฐานที่เฉพาะเจาะจงเกินไป ความงามที่แท้จริงควรเป็นการยอมรับในสิ่งที่เราเป็น ไม่ใช่พยายามบีบให้ทุกคนเข้ากรอบเดียวกัน

 

และนี่คือเหตุผลที่เราวิเคราะห์ว่าทำไมเทรนด์ความงาม Clean Girl กลายเป็นความกดดันไปซะอย่างนั้น  

 

1. Clean Girl เป็นเทรนด์ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานผิวสมบูรณ์แบบที่คนส่วนใหญ่ไม่มีตามธรรมชาติ ต้องยอมรับว่าไม่ใช่ทุกคนที่ผิวดีแบบ Hailey Bieber ที่ใช้อะไรแตะนิดหน่อยบนผิวก็ดูดีและสวยได้ง่ายๆ เลย แต่สำหรับผู้ที่มีสิว รอยดำ หรือรอยแดงจึงอาจรู้สึกว่าตัวเองเข้าไม่ถึงเทรนด์นี้ การใช้เมกอัพเพียงเล็กน้อยจึงไม่สามารถปกปิดปัญหาผิวที่หลายคนมี

 

2. คำว่า Clean มีนัยที่สื่อว่าคนที่ทำตามเทรนด์ไม่ได้คือ ‘ไม่สะอาด’ ซึ่งอาจสร้างการตีตราที่รุนแรงและกระทบต่อความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง

 

3. เทรนด์นี้เอื้อประโยชน์ต่อคนผิวดีอยู่แล้ว และมีโครงหน้าแบบตะวันตก กีดกันความงามของผู้หญิงเชื้อชาติอื่นๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ บีบให้หลายคนต้องปรับเปลี่ยนลักษณะทางชาติพันธุ์เพื่อเข้าถึงความงามกระแสหลัก

 

4. ลุคที่ดูเรียบง่ายแท้จริงแล้วต้องลงทุนในสกินแคร์ราคาแพงจำนวนมาก สร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในวงการความงาม ทำให้คนที่มีรายได้น้อยรู้สึกว่าไม่สามารถเข้าถึงมาตรฐานความงามที่สังคมยอมรับได้

 

5. ผลักดันแนวคิด ‘ดูดีแบบไม่ต้องพยายาม’ สร้างความคาดหวังผิดๆ ว่าความงามควรมาโดยง่ายแทนที่จะยอมรับความแตกต่างให้เปิดกว้างกว่านี้ 

 

แม้เทรนด์ Clean Girl จะสร้างมาตรฐานความงามที่เข้าถึงได้ยากสำหรับหลายคน แต่เราสามารถนำแง่มุมที่ดีของเทรนด์นี้มาปรับใช้โดยไม่ทำร้ายตัวเอง ความจริงแล้วแก่นแท้ของความงามไม่ได้อยู่ที่การทำตามเทรนด์ได้สมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่การยอมรับและรักในตัวตนที่แท้จริงของเราต่างหาก จริงไหมสาวๆ?

 

ภาพ: Shutterstock

The post 5 เหตุผลที่เทรนด์ Clean Girl สร้างความกดดันให้คนที่ไม่ได้เกิดมาผิวดี appeared first on THE STANDARD.

]]>
น้ำหอมกลิ่น ‘วานิลลา’ คาดว่าจะเป็นกลิ่นที่มาแรงข้ามปี https://thestandard.co/vanilla-perfume-trend-forecasted/ Thu, 26 Dec 2024 10:37:38 +0000 https://thestandard.co/?p=1024208

วงการความงามและน้ำหอมกำลังจับตามองเทรนด์กลิ่นวานิลลาที่ […]

The post น้ำหอมกลิ่น ‘วานิลลา’ คาดว่าจะเป็นกลิ่นที่มาแรงข้ามปี appeared first on THE STANDARD.

]]>

วงการความงามและน้ำหอมกำลังจับตามองเทรนด์กลิ่นวานิลลาที่กำลังกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งตั้งแต่ช่วงโค้งสุดท้ายของปี ที่มีการจัดอันดับน้ำหอมกลิ่นวานิลลามากมายโดยกูรูความงามและเหล่าบิวตี้อินฟลูเอ็นเซอร์ โดยเฉพาะในรูปแบบที่ได้รับการพัฒนาให้มีความทันสมัยและซับซ้อนมากขึ้น

 

จากการสำรวจตลาดน้ำหอมในปัจจุบัน พบว่าแบรนด์ชั้นนำหลายแบรนด์เริ่มหันมาให้ความสนใจกับการพัฒนาน้ำหอมที่มีกลิ่นวานิลลาเป็นส่วนประกอบหลัก แต่มีการผสมผสานกับกลิ่นอื่นๆ เพื่อสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น การผสมกับกลิ่นไม้หอม ดอกไม้ หรือกลิ่นมัสก์ เพื่อให้ได้กลิ่นที่ลึกซึ้งและน่าสนใจมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Allegra Magnifying Vanilla จาก Bulgari, Billie Eilish Fragrances, Tom Ford Vanilla Sex, D.S. & Durga Deep Dark Vanilla Eau de Parfum และอื่นๆ อีกมากมาย

 

ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำหอมหลายท่านคาดการณ์ว่าในปี 2025 จะเห็นการเปิดตัวน้ำหอมกลิ่นวานิลลาจากแบรนด์ต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะในรูปแบบที่ทันสมัย ไม่หวานจนเกินไป และสามารถใช้ได้ทั้งชายและหญิง นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่ากลิ่นวานิลลาจะถูกนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์ความงามอื่นๆ มากขึ้น เช่น ครีมบำรุงผิว เจลอาบน้ำ และผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม เนื่องจากกลิ่นวานิลลามีคุณสมบัติในการสร้างความรู้สึกผ่อนคลายและความอบอุ่น การกลับมาของกลิ่นวานิลลาในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคที่มองหากลิ่นที่คุ้นเคยแต่มีความแปลกใหม่ และสามารถสร้างความรู้สึกสบายใจในชีวิตประจำวันได้

The post น้ำหอมกลิ่น ‘วานิลลา’ คาดว่าจะเป็นกลิ่นที่มาแรงข้ามปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
สำรวจ 7 เทรนด์ความงามที่อาจมาแรงแห่งปี 2025 https://thestandard.co/life/future-beauty-trends-in-2025/ Mon, 23 Dec 2024 08:07:15 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1022558

ถ้าให้สรุปเกี่ยวกับเทรนด์สกินแคร์ตลอดปี 2024 ต้องบอกว่า […]

The post สำรวจ 7 เทรนด์ความงามที่อาจมาแรงแห่งปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>

ถ้าให้สรุปเกี่ยวกับเทรนด์สกินแคร์ตลอดปี 2024 ต้องบอกว่าค่อนข้างเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน แม้ที่ผ่านมาจะมีกระแสของครีมฟื้นฟูผิวดังๆ มากมายในเชิงเสริมเกราะป้องกันผิว (Barrier Cream) และอุปกรณ์ดูแลผิวสำหรับใช้ที่บ้านซึ่งมาแรง แต่โดยรวมแล้วก็ยังไม่มีอะไรที่สั่นสะเทือนวงการความงามมากนัก

 

แต่ปี 2025 เราคาดว่าจะแตกต่างออกไป เพราะจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิธีการดูแลและพูดคุยเกี่ยวกับผิวหน้าและร่างกายของเรา มาดูกันว่าอะไรกำลังจะ ‘อิน’ และอะไรกำลังจะ ‘เอาต์’ ในปีหน้าที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้

 


 

สิ่งที่กำลังจะ ‘เอาต์’ ในปี 2025

 

1. การฉีดฟิลเลอร์จนเกินงาม หากสังเกตจากกระแสในปี 2024 จะพบว่าไม่ใช่ปีทองของการฉีดสารเติมเต็มในแง่ของผลลัพธ์ที่แนบเนียน โดยเฉพาะหลังจากมีกระแส ‘การเคลื่อนที่ของฟิลเลอร์ที่ไม่ได้รูปทรง’ และ ‘การสลายฟิลเลอร์’ ที่ระบาดใน TikTok ซึ่ง David Shafer ศัลยแพทย์ตกแต่ง ออกมาให้ความเห็นว่า “ถ้าเห็นชัดว่ามีการฉีดฟิลเลอร์นั่นหมายถึงงานที่ไม่ดี” ปี 2025 จะเป็นปีแห่งความพอดีในการเสริมความงาม จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ดูเกินจริงอีกต่อไป เพราะนวัตกรรมฟีลเลอร์จะล้ำและแนบเนียนยิ่งขึ้น

 

2. การใช้สกินแคร์มากเกินจำเป็น ต้องยอมรับว่าไม่มีใครจำเป็นต้องใช้สกินแคร์ถึง 12 ขั้นตอนตามเทรนด์เดิมๆ ที่เป็นกระแส Heather Rogers แนะนำว่า ผู้คนยุคใหม่กำลังมองหาความเรียบง่ายในการดูแลผิว เน้นเลือกผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการในระยะยาวมากกว่าการตามกระแส

 

3. การโฆษณาสกินแคร์เกินจริง สกินแคร์ที่ดีเป็นกุญแจสำคัญสู่ผิวที่เปล่งปลั่งและแข็งแรง แต่ไม่ได้หมายความว่าสกินแคร์เพียงอย่างเดียวจะทำให้คุณมีการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโฉม เซเลบริตี้และศัลยแพทย์เริ่มเปิดเผยมากขึ้นว่า ใบหน้าที่สมบูรณ์แบบนั้นต้องพึ่งพาการรักษาแบบมืออาชีพหลากหลายวิธี รวมถึงการเข้าคลินิกเสริมความงามด้วย

 

สิ่งที่กำลังจะ ‘อิน’ ในปี 2025

 

1. ความโปร่งใสเรื่องศัลยกรรม ปี 2025 จะเป็นปีที่ทุกคนเปิดเผยเรื่องศัลยกรรมมากขึ้น ผู้บริโภคจะเข้าใจแล้วว่าลำพังสกินแคร์อย่างเดียวไม่อาจเปลี่ยนแปลงใบหน้าได้ทุกมิติ จำเป็นต้องพึ่งพาการรักษาแบบมืออาชีพหลากหลายวิธี และการพูดคุยเรื่องความงามไม่ใช่เรื่องต้องห้ามอีกต่อไป

 

2. การสะสมคอลลาเจนจะกลายเป็นเทรนด์หลักในวงการความงาม ทั้งการทำทรีตเมนต์กระตุ้นคอลลาเจนอย่าง Morpheus8 และ Emface รวมถึงการใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของเปปไทด์ เพื่อเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับอนาคต

 

3. สกินแคร์จาก DNA แซลมอน เตรียมทำความรู้จักกับ PDRN (Polydeoxyribonucleotide) สารสกัดจาก DNA แซลมอน โดยแบรนด์ REJURAN กำลังเป็นที่จับตามอง ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปรับปรุงความยืดหยุ่นของผิว เพิ่มความชุ่มชื้น และลดริ้วรอย

 

4. การยกระดับการดูแลผิวกาย การดูแลผิวกายจะได้รับความสนใจมากขึ้นในปี 2025 โดยเฉพาะจากแบรนด์ใหม่ๆ ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ในบรรจุภัณฑ์สวยงาม มีส่วนผสมจากธรรมชาติ และกลิ่นหอม ที่ช่วยให้การอาบน้ำเป็นช่วงเวลาที่พิเศษมากขึ้น

 

5. ผลิตภัณฑ์กันแดดจะถูกยกระดับ โดยสูตรกันแดดในปี 2025 จะพัฒนาให้เนื้อสัมผัสบางเบา ใช้งานง่าย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งตอนนี้แบรนด์ต่างๆ กำลังพัฒนาเนื้อสัมผัสให้เหมือนเซรั่มและมอยส์เจอไรเซอร์มากขึ้น นอกจากนี้จะมีกันแดดเฉดสีที่หลากหลายขึ้นสำหรับผู้มีสีผิวเข้ม รวมถึงสูตรไฮบริดที่ผสมผสานการปกปิดและการป้องกันแสงแดดเข้าด้วยกัน

 

6. นวัตกรรม Exosome ที่ยังคงเป็นที่ถกเถียง Exosome หรืออนุภาคนาโนที่ปล่อยออกมาจากเซลล์ในร่างกายมนุษย์ กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในวงการความงาม แม้จะยังไม่มีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจาก FDA แต่คาดว่าจะมีผลิตภัณฑ์ที่ได้แรงบันดาลใจจาก Exosome วางจำหน่ายในปี 2025 อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของ Exosome โดย Corey L. Hartman เผยว่า “ยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณาอีกมากเกี่ยวกับการใช้ Exosome ก่อนที่ผู้คนจะรู้สึกสบายใจที่จะใช้” นอกจากนี้ Ava Perkins นักเคมีเครื่องสำอาง ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับจริยธรรมในการใช้ส่วนผสมที่มาจากมนุษย์ในผลิตภัณฑ์สกินแคร์ และยังต้องการหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือมากขึ้น

 

7. วงการความงามในปี 2025 จะเห็นการนำ AI มาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านการวิเคราะห์สภาพผิวแบบเฉพาะบุคคล เช่น เทคโนโลยี AI-Powered Skin Analysis จะช่วยวิเคราะห์สภาพผิวได้แม่นยำมากขึ้น โดยสามารถระบุปัญหาผิว ประเมินความชุ่มชื้น วัดระดับความยืดหยุ่น และติดตามการเปลี่ยนแปลงของผิวได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังช่วยพัฒนาสูตรสกินแคร์ที่ตอบโจทย์ผิวของแต่ละบุคคล รวมถึงการติดตามและปรับปรุงผลลัพธ์ของผิวด้วย

 

ภาพ: Courtesy of Shutterstock 

The post สำรวจ 7 เทรนด์ความงามที่อาจมาแรงแห่งปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
รวบตึง เทรนด์ความงาม มาแรง บน TikTok ในโค้งสุดท้ายของปี 2024 https://thestandard.co/top-beauty-trends-tiktok-2024/ Tue, 17 Dec 2024 11:40:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1020650

หลังจากกระแส ‘Strawberry Makeup’ มาแรง ก็ตามมาด้วยเทรนด […]

The post รวบตึง เทรนด์ความงาม มาแรง บน TikTok ในโค้งสุดท้ายของปี 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>

หลังจากกระแส ‘Strawberry Makeup’ มาแรง ก็ตามมาด้วยเทรนด์ ‘Egg White Facial’ ที่ยอดวิวพุ่งสูงถึง 1.5 ล้านเปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะจากคอนเทนต์ของ Jaime Nicole ที่แนะนำการทำมาสก์ด้วยไข่ขาวและ Rice Paper เพื่อผิวกระชับและเรียบเนียน โดยมีขั้นตอนคร่าวๆ คือแยกไข่ขาวออกจากไข่แดง จุ่มแผ่น Rice Paper ในไข่ขาว แล้ววางทับลงบนใบหน้า รอให้แห้ง แล้วลอกออก

 

การใช้ Rice Paper ร่วมกับไข่ขาวจะช่วยให้มาสก์ยึดเกาะกับผิวได้ดี และเมื่อลอกออกจะช่วยให้รู้สึกว่าผิวตึงกระชับขึ้น คล้ายกับการใช้มาสก์แผ่นทั่วไป แต่เป็นวิธีทำเองที่ประหยัดกว่า

 

ด้านเมกอัพ ‘Lavender Blush’ มาแรงด้วยยอดวิวเพิ่มขึ้น 13,557 เปอร์เซ็นต์ นำโดยผลิตภัณฑ์จาก Yves Saint Laurent Beauté, Peripera และ TONYMOLY แม้จะได้คะแนนความพึงพอใจ 8.1 แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าอาจไม่เหมาะกับผิวสีเข้ม

 

เทรนด์เล็บก็มาแรงไม่แพ้กัน ทั้ง ‘Beetlejuice Nails’ สีเขียว ดำ และม่วง ที่ได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่อง Beetlejuice Nails ที่ออกฉายในเดือนกันยายน 2024 นำแสดงโดย Jenna Ortega และเทรนด์ ‘Crelly Nail Polish’ ที่ผสมผสานระหว่างครีมและเจลลี่

 

ส่วนด้านสุขภาพและเวลเนส ‘Vitamin E Gummies’ มาแรงสุดด้วยยอดวิวเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านเปอร์เซ็นต์ รวมถึง ‘Bright Light Therapy’ และ ‘Okinawa Diet’ ที่เน้นลดอาหารแปรรูป ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงตอบโจทย์การใช้งาน แต่ยังต้องมอบประสบการณ์ที่ดีควบคู่ไปด้วย

 

ภาพ: Shutterstock

The post รวบตึง เทรนด์ความงาม มาแรง บน TikTok ในโค้งสุดท้ายของปี 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่องเทรนด์ Chrome Blush ของเล่นใหม่ในวงการเมกอัพที่แค่ฉีดสเปรย์แก้มก็ฉ่ำวาวแบบไม่ต้องปัด https://thestandard.co/tiktoks-chrome-blush-trend/ Mon, 09 Dec 2024 04:09:39 +0000 https://thestandard.co/?p=1017501

ตอนนี้เทรนด์ Chrome Blush กำลังมาแรงบน TikTok ด้วยผลิตภ […]

The post ส่องเทรนด์ Chrome Blush ของเล่นใหม่ในวงการเมกอัพที่แค่ฉีดสเปรย์แก้มก็ฉ่ำวาวแบบไม่ต้องปัด appeared first on THE STANDARD.

]]>

ตอนนี้เทรนด์ Chrome Blush กำลังมาแรงบน TikTok ด้วยผลิตภัณฑ์ตัวดังอย่าง Shimmer Bomb Spray จาก Rabanne Beauty ที่กำลังเป็นไวรัลในโซเชียลมีเดีย จุดเด่นของเทรนด์นี้คือการผสมผสานระหว่างผิวฉ่ำวาวแบบ Glass Skin กับ Chrome Blush ให้พวงแก้มดูมีมิติและสว่างเป็นประกาย โดยเทคนิคที่นิยมใน TikTok คือการทาบลัชหรือไฮไลต์แบบฉ่ำๆ เป็นเบส แล้วเพิ่มความวิงก์ด้วย Shimmer Bomb ทับอีกที ซึ่งเป็นของเล่นใหม่น่าลองสุดๆ ในตอนนี้

 

Rabanne Beauty Shimmer Bomb มีให้เลือก 3 เฉดสี เป็นสเปรย์กลิตเตอร์สำหรับใบหน้าและลำตัวที่ติดทนนานถึง 12 ชั่วโมง สามารถเบลนด์ได้ตามต้องการ ตั้งแต่ลุคประกายมุกบางๆ ไปจนถึงลุคฉ่ำวาวจัดเต็ม โดยเฉดที่กำลังฮิตใน TikTok คือ Rose Doré สีโรสโกลด์ที่ช่วยให้ได้ลุค Chrome Blush สวยปัง 

 

โดยเจ้าของแอ็กเคานต์ TikTok @daniellemarcan เป็นหนึ่งในคนที่ลองใช้สเปรย์ยอดฮิตนี้ และเธอก็พบว่าผลลัพธ์ที่ฉีดลงบนแก้มมันเริ่ดมากๆ เพราะแทบไม่ต้องเบลนด์หรือไปแตะต้องมันเลย แค่นี้ก็สวยฉ่ำวาวแล้ว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระยะห่างระหว่างการฉีดสเปรย์ รวมถึงปริมาณที่ฉีดอย่างพอดีด้วย ไม่อย่างนั้นก็มีสิทธิ์ได้ผลลัพธ์เป็นแก้มลิงได้สำหรับคนที่มือหนักเกินไป

 

ภาพ: Courtesy of Daniellemarcan

The post ส่องเทรนด์ Chrome Blush ของเล่นใหม่ในวงการเมกอัพที่แค่ฉีดสเปรย์แก้มก็ฉ่ำวาวแบบไม่ต้องปัด appeared first on THE STANDARD.

]]>
เครื่องยกกระชับตัวไหนดีที่สุดในโลก เคลียร์คัตกับ หมอบาส เฉลิมชัย WIND Clinic https://thestandard.co/life/wind-clinic/ Mon, 23 Sep 2024 01:17:28 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=986723 WIND Clinic

ดูเหมือนว่าวงการความงามในปัจจุบันจะมีแต่อะไรใหม่ๆ มาสร้ […]

The post เครื่องยกกระชับตัวไหนดีที่สุดในโลก เคลียร์คัตกับ หมอบาส เฉลิมชัย WIND Clinic appeared first on THE STANDARD.

]]>
WIND Clinic

ดูเหมือนว่าวงการความงามในปัจจุบันจะมีแต่อะไรใหม่ๆ มาสร้างความตื่นเต้นอยู่เสมอ โดยเฉพาะกับหัตถการเครื่องที่ช่วยเรื่องยกกระชับหน้าและฟื้นฟูงานผิว ซึ่งล่าสุดก็มีนวัตกรรมน้องใหม่จากเกาหลีอย่าง Volnewmer ลงสังเวียนไปอีกตัว

 

เมื่อลองเสิร์ชข้อมูลก็พบว่านอกเหนือจาก Volnewmer ยังมี Volformer ที่เป็นการรวมตัวกันของ Volnewmer + Ultraformer MPT ไปอีก ซึ่งเราเชื่อว่าต่อให้เราจะเสพข้อมูลในโลกอินเทอร์เน็ตมากแค่ไหน สุดท้ายเราก็ยังตอบตัวเองได้ไม่เต็มร้อยว่า ‘หัตถการใดที่เหมาะกับปัญหาผิวและรูปหน้าของตัวเองที่สุด’

 

งานนี้เราเลยบุกไปที่คลินิกที่มีเครื่องยกกระชับเด่นครบครันอย่าง WIND Clinic พร้อมล้วงลึกตั้งแต่เทรนด์ความงามในปัจจุบัน ปัญหาผิวระดับท็อปของแต่ละช่วงวัย ไขทุกเรื่องสำคัญที่ต้องรู้เกี่ยวกับการทำหัตถการเครื่อง

 

 

รวมถึงพิสูจน์นวัตกรรมตัวใหม่ที่ใครหลายคนเล็งไว้อย่าง Volnewmer และ Volformer กับแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านเวชศาสตร์ความงามมากว่า 18 ปีอย่าง นพ.เฉลิมชัย ศรีอัครพงศ์ (หมอบาส) Medical Director of WIND Clinic และแพทย์ AMI Trainer Thailand หนึ่งเดียวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ได้รับเลือกเป็นแพทย์ 1 ใน 3 ของไทยและเอเชียให้เป็น Mentee ของศัลยแพทย์ชื่อดังระดับโลกอย่าง Dr.Mauricio de Maio ผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘บิดาแห่งวงการฟิลเลอร์’

 

 

เชื่อว่าคำแนะนำของหมอบาสจะเป็นประโยชน์สำหรับใครที่กำลังสนใจนวัตกรรมยกกระชับหน้า รวมถึงมือใหม่ที่สนใจอยากก้าวเข้าสู่วงการฝากหน้าไว้กับมือหมออย่างแน่นอน

 

 

เทรนด์ความงามรูปหน้าในปัจจุบันเป็นอย่างไร

หมอบาส: ลองย้อนกลับไปเมื่อประมาณสัก 5 ปีก่อนหน้านี้ เรามักจะบอกว่าเทรนด์ความงามที่จะมาคือการที่เราเน้นเรื่องการปรับโครงสร้างใบหน้าโดยที่ไม่ต้องผ่าตัด เราคิดว่าน่าจะเป็นเทรนด์ความงามที่ Less Invasive คือมี Minimal Invasive (แผลเล็ก) เท่านั้น แต่ ณ ปัจจุบันพิสูจน์แล้วครับว่าถ้าดูตลาดจริงๆ ดูยอดการเจริญเติบโตจริงๆ โรงพยาบาลศัลยกรรมความงามก็โตเช่นกัน

 

นั่นหมายถึงว่าอะไรก็ตามที่ทำให้ผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด หรือว่ามีประสิทธิภาพการรักษาที่ดี คนไข้ล้วนเปิดใจที่จะทำครับ ไม่ว่าจะเป็น Minimal Invasive หรือเป็นการรักษาด้วยการทำ Surgical Procedure ก็ตาม

 

 

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว การเสริมจมูกเป็นเรื่องน่ากลัว เป็นเรื่องต้องหลบต้องซ่อน ตอนนี้การเสริมจมูกเป็นเรื่องปกติแล้ว เพราะฉะนั้นเทรนด์มันเปลี่ยนไปมาก แล้วเปลี่ยนไปในทิศทางที่เราคิดว่าไม่น่าจะเป็นแบบนี้ด้วยซ้ำ ในสมัยก่อนเราคิดว่ามันควรจะเป็น Minimal Invasive ไปเรื่อยๆ แต่ในทางกลับกันคือ คนไข้ยอมรับที่จะทำอะไรบางอย่างที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน โดยเฉพาะเจเนอเรชันใหม่ๆ, Gen X หรือรุ่นคุณพ่อคุณแม่เราก็ตาม หลายๆ คนก็เปิดใจที่จะทำ Face Lift กันมากขึ้น

 

ความกังวลอันดับหนึ่งของคนไข้ที่หมอบาสพบมากที่สุดคืออะไร

หมอบาส: ถ้าเป็นคนกลุ่มอายุมากขึ้น สิ่งที่เขากังวลมากก็คือการรู้สึกว่าผิวดูไม่กระชับ รู้สึกว่าหน้ามีการเปลี่ยนแปลงไป ปัญหายอดฮิตเลยคือความกังวลจุดไหนรู้ไหมครับ ตรงนี้ครับ Jowls (ชี้บริเวณแก้ม) บริเวณแก้มที่มันห้อย อันนี้จะเป็นกลุ่มคนไข้ที่อายุมากกว่า 40 ปีเป็นต้นไป เขาไม่ได้อยากหน้าเรียว แต่เขาอยากให้หน้าดูกระชับขึ้นแค่นั้นเอง

 

 

ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มคนไข้วัยรุ่น โดยคนไข้อายุประมาณ 20-30 กว่าปีจะไม่ได้กังวลเรื่องความไม่กระชับ แต่กังวลว่ารูปหน้าดูกาง ดูหน้าไม่เรียว ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทรนด์ K-Pop ในบ้านเราค่อนข้างที่จะมาแรง เพราะฉะนั้นเขาก็จะปรับทำให้โครงหน้าดู Contour ดูหน้าเรียวขึ้น อยากให้หน้าดูมีมิติมากขึ้น คนอายุน้อยเลยมักจะฉีดโบท็อกซ์ลดกราม ยิงเลเซอร์ยกกระชับ แต่ไม่ได้หวังผลยกกระชับหรอกครับ หวังปรับโครงหน้าให้ดูเล็กลง หรือการทำ Augmentation บางจุดที่ทำให้หน้าดูมีมิติขึ้น เพราะอย่าลืมว่าเอเชียแบบเราขมับแบน จมูกแบน คางไม่ยืด ปากก็เรียกว่าไม่สมส่วน การทำให้หน้าผากดูโหนกขึ้น จมูกดูโด่งขึ้น งานริมฝีปาก การทำคางให้ยื่น มันเลยมา

 

วัย 30 ปีถือว่ามีความกังวลเรื่องความหย่อนคล้อยด้วยไหม

หมอบาส: วัย 30 ปีถือเป็นวัยเปลี่ยนผ่าน เรารู้สึกว่าหน้าเริ่มมีความไม่กระชับแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็ยังรู้สึกว่าหน้าดูไม่มีมิติอยู่ดี ถ้ายังไม่ถูกแก้มาก่อนในวัย 20 ปีนะ วัย 30 ปีบางส่วนยังกังวลเรื่องนี้อยู่ครับ

 

เชื่อว่าประสบการณ์ของหมอบาสตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมาคงได้เจอมาหลากหลายเคส มีเคสไหนที่หมอบาสภาคภูมิใจมากที่สุดไหม

หมอบาส: ถ้ามากที่สุดก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว ตอนจบหมอมาเราไม่ได้อยากเป็น Aesthetic Physician เราอยากเป็น Pediatrician หมอรักษาโรคหัวใจเด็ก แต่ตอนนั้นมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เราทำตามความฝันเราไม่ได้ เราก็เลยมาทำ Aesthetic แล้วเป็นช่วง Suffer เพราะหลังทำมาสัก 3 ปี เริ่มรู้สึกว่าเราใช้ความรู้ความสามารถของเรามารักษาสิว ฝ้า กระ เหรอ ทำไมถึงไม่เอาไปรักษาคนไข้ที่ควรจะต้องทำการรักษานะ นั่นคือความคิดของหมอในตอนนั้น

 

แต่ ณ ตอนนั้นมีน้องคนหนึ่งที่เดินเข้ามาช่วยชีวิตแล้วก็เปลี่ยนมุมมองของหมอ น้องเป็น LGBTQIA+ มารักษาสิว เขาสิวเยอะมาก เราก็รักษาไปตามปกติครับ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามีปัญหาอะไรอยู่บ้าง เรารู้สึกว่าเรารักษาด้าน Physical กับเขา แต่วันที่สิวเขาหายเป็นวันที่เปลี่ยนชีวิตหมอ เขาเดินมาขอบคุณหมอ ยังจำคำพูดได้เลย เขาบอกหมอว่า “พี่หมอ หนูขอบคุณนะคะ สิวหนูหายแล้ว หนูกล้าไปมหาวิทยาลัยแล้ว” เป็นเรื่องที่หมอประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะก่อนหน้านี้เขาดร็อปเรียน เขาเป็น LGBTQIA+ แล้วรู้สึกว่าเขาไม่สวย และเขาเพิ่งขึ้นปีหนึ่ง เขาไม่อยากไปเจอเพื่อน เพราะฉะนั้นมันเตือนสติว่าการรักษาด้าน Aesthetic ไม่ได้รักษาแค่ Disease แต่ยังรักษาบางอย่างที่อยู่ในนี้ (ชี้ที่หัวใจ)

 

 

เพราะฉะนั้นปัจจุบันการรักษาของหมอคือเมื่อไรก็ตามที่คนไข้เดินเข้ามาในคลินิก ต้องมี Something Somewhere Broken แล้วสิ่งนั้นก็มักจะอยู่ตรงนี้ (ชี้ที่หัวใจ) มันเลยกลายเป็นคอนเซปต์ของคลินิกเราครับ

 

เราจะเสิร์ฟสิ่งที่คนไข้ต้องการ ความกังวลที่เขามี คุ้ยปัญหา เขี่ยมันออกว่าจริงๆ กังวลอะไร หมอมองว่ามันคือ Quality of Life ไม่ใช่แค่รักษาเรื่องใบหน้าให้สวยขึ้น แต่ทำให้เขามี Quality of Life ที่ดีขึ้น เหตุการณ์นั้นเลยทำให้เราทำงานในสายนี้ได้แฮปปี้ขึ้นมากเพราะเราเห็นคุณค่าในงานที่เราทำ

 

 

พูดถึงนวัตกรรมใหม่ของเรากันหน่อย ด้วยความที่ตัวเลือกหัตถการเครื่องมีเยอะมาก ในปัจจุบัน Volnewmer ถือว่าอยู่ในจุดไหนในท้องตลาด

หมอบาส: ถ้าพูดถึงเรื่องเทคโนโลยีของ Energy-Based Device นั้น Volnewmer ไม่ได้เป็นเทคโนโลยีใหม่ Volnewmer เป็นการใช้คลื่น Monopolar-RF หรือคลื่นวิทยุขั้วเดียว ซึ่งเจ้าตลาดที่มีมาก่อนคือ Thermage แต่สิ่งที่ทำให้การใช้ Monopolar-RF สะดวกและง่ายขึ้นคือเทคโนโลยีอื่นที่มากับเครื่องครับ

 

 

อย่าง Thermage เวลายิงจะมี Gas Cooling ดังปุดๆ โดยจังหวะแรกที่ปล่อยพลังงานจะมีแก๊สออกมาให้ผิวเย็น และหลังจากปล่อยคลื่นออกไปแล้ว แก๊สจะปล่อยอีกครั้งตอนสุดท้าย ช่วงที่ปล่อยพลังงานจะไม่มีความเย็นเลย คนไข้เลยเริ่มรู้สึกร้อน แล้วอาจจะมีความรู้สึก Discomfort ครับ

 

แต่สำหรับ Volnewmer นั้นมาพร้อม Cooling Mode ที่เป็น Hydro Continuous Cooling นั่นหมายความว่ามีความเย็นตลอดที่เราปล่อยพลังงาน คนไข้เลยจะรู้สึกสบายกว่า อาจจะรู้สึก Discomfort น้อยกว่า

 

ตัวเครื่องแก้ Pain Point ด้วยการทำให้หัวทิปมีการยกขอบขึ้นมา ซึ่งปกติเวลายิง Monopolar-RF บางทีตรงขอบอาจทำให้เกิดอาการเบิร์นได้ง่าย แต่อันนี้เขายกขอบขึ้น ช่วยลดการเกิด Complication ได้ด้วยครับ

 

สิ่งที่ Volnewmer แตกต่างจาก Thermage มากๆ คือเรื่องระดับความลึกของการปล่อยพลังงาน Thermage จะปล่อยได้ลึกกว่าที่ 4.3 มิลลิเมตร ส่วน Volnewmer ปล่อยเพียงแค่ 3 มิลลิเมตร เพราะฉะนั้นจะเรียกว่าเป็นจุดด้อยก็ได้หรือจุดเด่นก็ได้เหมือนกัน

 

จุดด้อยคือไม่สามารถทำลายไขมันชั้นลึกได้เพราะยิงแค่ 3 มิลลิเมตร แต่สิ่งที่ทำได้มากกว่าคือเรื่องของงานผิว ช่วยให้ผิวแน่นขึ้นได้ ลดริ้วรอยเล็กๆ ได้ ยกกระชับหน้าจากการเกิด Skin Tightening ได้ดี เลยเป็นจุดเด่นของ Volnewmer และที่สำคัญคือ Volnewmer มาพร้อมกับหัวทิปที่ไม่มี Time Limit

 

ถ้าเรากลับไปดู Thermage เวลายิงหนึ่งหัวต้องยิงให้หมดภายใน 4-6 ชั่วโมง เพราะไม่อย่างนั้นหัวจะถูกตัดทิ้งไปเลย อย่าง Thermage FLX หนึ่งหัวจะมี 900 ช็อต ซึ่งเป็นหัวใหญ่ จะยิงได้แค่บริเวณใบหน้ากับคอ แต่ Volnewmer ไม่ใช่ Volnewmer มาพร้อมหัวทิปหลายแบบ ไม่มี Time Limit

 

นั่นหมายความว่าถ้าคนไข้หนึ่งคนยิง Thermage อยากยกเปลือกตาบนพร้อมหน้าก็ต้องเปิดสองหัว คือหัวหน้าและหัวขนาดเล็กที่ยิงรอบดวงตาได้ แต่ Volnewmer ไม่ต้องเปิดหัวใหม่ สามารถใช้ Applicator สลับหัวยิงทั้งหน้าและตาได้เลย ดังนั้นเรื่อง Budget ก็จะน่ารักกว่า สบายกระเป๋าขึ้น เลยทำให้ Volnewmer น่าจะเข้ามาตอบโจทย์การรักษาคนไข้ได้สะดวกสบายมากขึ้นครับ

 

ถ้าเทียบกับมวยคู่เดียวกันก็จะมี Thermage และ Oligio อีกนวัตกรรมจากเกาหลีด้วยเช่นกัน

 

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเหมาะกับเครื่องไหน

หมอบาส: หมอเชื่อว่าตอนนี้การ Serving ข้อมูลเยอะแยะไปหมด เรารับข้อมูลข่าวสารได้จากหลายที่หลายทางมาก ถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองเหมาะกับตัวไหน ต้องบอกอย่างนี้ครับ ต่อให้เราอ่านข้อมูลมาเยอะแยะด้าน Medical มาหมด เราจะวินิจฉัยตัวเองได้ไหมว่าเป็นโรคอะไร… คำตอบคือคงต้องใช้ความสามารถของคุณหมอในการตรวจร่างกาย คลำ ทำการวินิจฉัย แล้วค่อยแนะนำการรักษา เหมือนกับ Traditional Medicine เลยครับ

 

เพราะฉะนั้นคุณหมอก็คงต้องขอตรวจก่อนว่าจริงๆ ปัญหาที่ผิวดูคล้อยนั้นเกิดที่ชั้นไหน แฟตคนไข้หนาไหม เลเยอร์ผิวชั้นไหนที่มีปัญหา แล้วค่อยทำการรักษาที่ชั้นนั้น อย่าลืมว่าผิวเรามีหลายชั้น แต่ละชั้นรักษาด้วยเครื่องมือไม่เหมือนกัน

 

 

เช่น คนไข้มุมปากตก ต้องมาตรวจว่าเกิดจากไขมันที่คล้อยลงมาแล้วทำให้มุมปากตก หรือเกิดจากกล้ามเนื้อยกมุมปากที่ตก

 

สรุปว่าจะรู้แน่นอนได้อย่างไรว่าเราเหมาะกับเครื่องไหน คงรู้ได้คร่าวๆ ครับ ท้ายที่สุดแล้วการได้รับคำแนะนำจากคุณหมอยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นในการวินิจฉัยให้แน่นอนว่าเราควรจะเอา Budget ที่มีไปรักษาที่เลเยอร์ไหนมากกว่า

 

แปลว่าคนไข้ที่มองหาตัวช่วยลดแฟตและงานผิวก็สามารถเล็งๆ Volnewmer ไว้ก่อนได้

หมอบาส: เล็งๆ ไว้ได้ แต่ต้องมาดูนะว่าแฟตหนาขนาดไหน ถ้าแฟตหนามากอาจต้องทำร่วมกับเครื่องอื่นอย่าง Volformer จากที่อธิบายไปเมื่อครู่นี้คือ Volnewmer อีกเครื่องหนึ่งที่ใช้คู่กันจากบริษัทเดียวกันของเกาหลีเรียกว่า Ultraformer MPT ซึ่งเป็นการใช้คลื่นอัลตราซาวด์ มวยที่ต้องมาเทียบกันคือ Ulthera เพราะฉะนั้น Volformer คือการที่เราใช้ MPT ร่วมกับ Volnewmer

 

 

MPT มีประโยชน์อย่างไร MPT เป็นการใช้อัลตราซาวด์เพื่อหวังผลในการยกกระชับชั้นผิว SMAS แต่ก็ต้องเรียนตามตรงว่าไม่ได้มี Realtime Scanner เหมือน Ulthera เวลาที่ยิงชั้น SMAS จะเห็นว่ามีชั้นไขมัน มีชั้น SMAS แนวนอน คำถามคือบนหน้าเรา ไขมันแต่ละจุดหนาไม่เท่ากัน จะรู้ได้อย่างไรว่ายิงแล้วโดน SMAS ดังนั้น Ulthera เลยมีหัวที่ใช้ในการดู Realtime Scanner ที่หน้าจอก่อนว่า SMAS คนไข้อยู่ตรงไหนแล้วค่อยยิง เลยโดนหมดเกือบ 100%

 

ในทางกลับกัน Ultraformer III หรือ Ultraformer MPT มองไม่เห็น ต้องใช้ประสบการณ์ของแพทย์ในการเดา แต่สิ่งที่พิเศษกว่าคือมีเทคโนโลยีที่เรียกว่า Micro-Pulse Technology

 

 

Ulthera จำนวน 1 ไลน์ หรือ 1 ช็อต จะสามารถปล่อยพลังงานได้ 17-21 ดอต แล้วแต่หัว แต่ MPT Mode นั้น 1 ไลน์สามารถปล่อยพลังงานได้ 417 ดอต เพราะฉะนั้นเลยเอา Ultraformer MPT มาใช้ร่วมกับ Volnewmer เพราะ Ultraformer MPT เหมาะกับการยิงไขมันชั้นลึกให้หายไป แล้วคอนเน็กต์กับ Volnewmer ก็จะทำให้พลังงานสอดคล้องกันทุกชั้นของผิว

 

 

เพราะฉะนั้นการใช้ Volformer เหมาะสำหรับการเปลี่ยนไซส์หน้าหรือคนแก้มใหญ่ เพราะยิงสลายไขมันด้วย MPT และเก็บไขมันชั้นตื้นด้วย Volnewmer คนไข้ที่ไขมันขยายขนาดออกหรืออ้วนขึ้น สกินก็ถูกยืดขึ้น มีความไม่กระชับ Volnewmer จะมาช่วยสิ่งนี้ด้วย ทำให้เกิด Skin Tightening ไปด้วยเลย โดยเฉพาะกับเหนียง

 

แบบนี้ถ้าจับ Thermage มาคู่กับ Ulthera ก็ยังถือเป็น Gold Standard อยู่ไหม

หมอบาส: ถูกต้อง ทั้งสองอย่างยังเป็น Gold Standard อยู่ แต่อย่าลืมว่า Ulthera ไม่มีหัว MP Mode เพราะฉะนั้นการสลายไขมันด้วยการใช้อัลตราซาวด์อาจจะสู้กับ MPT ไม่ได้ ถ้าเราใช้ Ulthera อยู่แล้ว สแกนเห็นแล้วว่าคนไข้มีไขมันเยอะพอสมควร เรายิง Ulthera ไปยกกระชับนะครับ แต่เราเอาหัว MP Mode ไปยิงสลายไขมัน

 

สุดท้ายแล้วเราพูดไม่ได้ว่าหนึ่งเครื่องจะจบได้ทุกโซลูชัน

หมอบาส: ไม่มีเครื่องไหนดีที่สุดในโลก มีเพียงแค่ว่าหัตถการหรือ Procedure ไหนเหมาะกับเรา ซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกัน นั่นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไม WIND Clinic ต้องมีทุกเครื่อง การเลือกเครื่องที่เหมาะกับปัญหาคนไข้จะทำให้การรักษาคนไข้ดีที่สุด ไม่มีเครื่องที่ดีที่สุด มีแต่เครื่องที่เหมาะกับเราแค่นั้น

 

สมมติบ้านเรามีปัญหาแต่ผนัง ซ่อมผนังก็หาย แต่บางบ้านที่มีปัญหาผนังแตก แต่บางทีอาจเกิดจากเสาที่ทรุดด้วย แก้แต่ผนังเลยไม่จบ เพราะฉะนั้นปัญหาแต่ละคนไม่ได้เกิดที่เลเยอร์เดียวกัน ความรุนแรงต่อเลเยอร์สกินก็ไม่เหมือนกัน วิธีการคิด การวางแผนกับคุณหมอแต่ละท่านก็ไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะรู้สึกว่าสกินสำคัญกว่า รักษาสกินก่อน อย่างหมออาจจะรู้สึกว่าโครงสร้างสำคัญกว่า ก็แล้วแต่สไตล์ครับ เลยทำให้มีความเห็นหลากหลายแบบในการรักษาคนไข้ครับ

 

 

แล้ว Volformer ของ WIND Clinic มีความพิเศษอย่างไร

หมอบาส: Volformer เป็นการใช้ MP Mode ซึ่งเป็นการใช้อัลตราซาวด์ร่วมกับ Volnewmer เราอาจจะคิดว่าก็ยิงเหมือนกันแหละ แต่สิ่งที่ต่างคือ ข้อแรก คนไข้คนไหนต้องยิงอะไรเท่าไร เรามีวิธีการวัดและมีการกำหนดชัดเจนเป็น Criteria ในคลินิกของคุณหมอทุกท่านว่าไขมันไซส์ประมาณไหนต้องแบ่งยิง MP Mode เพื่อสลายไขมันเท่าไร

 

 

สมมติยิง 1,000 ช็อตเท่ากัน หมออาจจะใช้สลายไขมัน 800 ยกกระชับผิวแค่ 200 ก็ได้ หรือไปอีกที่หนึ่งอาจจะยิง 600/600 เท่ากันก็ได้ แต่ถามว่าผลลัพธ์ที่ได้จะต่างกันไหม (ต่าง) เพราะเราทาร์เก็ตเลเยอร์ต่างกัน

 

อย่างที่หนึ่งคือมั่นใจว่าเรามี Specific Diagnosis วินิจฉัยให้ว่าจริงๆ แล้วคนไข้ต้องการอะไร และเราดีไซน์การรักษาให้โดยที่ไม่ได้กำหนดชัดเจนว่า 1,000 ช็อตต้องยิงเท่านั้นเท่านี้ 1,000 ช็อตเราฟรีสไตล์เลย เราดีไซน์ได้เลยว่าต้องใช้หัวไหน อะไรเท่าไร เพื่อให้ได้รับการรักษาที่ดีที่สุด

 

 

สองคือการยิง Energy-Based Device ซึ่งหมอจะพูดเสมอว่ายิงเครื่องเดียวกัน ยิงจำนวนช็อตเท่ากัน หน้าเดียวกัน คนไข้คนเดียวกัน แต่หมอสองคนยิงกันคนละครึ่งหน้า ผลรักษาไม่เหมือนกันนะ เพราะ Direction การวางแผนทรีตเมนต์ไม่เหมือนกัน

 

ยกตัวอย่างเช่นคุณหมอยิงพลังงานแนวขวาง อีกคนยิงแนวตะแคง หน้าก็ออกมาไม่เหมือนกันแล้ว เพราะฉะนั้นเรามีดีไซน์โครงหน้าคนไข้ตามโครงหน้าแต่ละคนด้วย คนไข้หน้าเหลี่ยมต้องยิงแบบไหนให้เล็กลง คนไข้หน้ากลมต้องยิงแบบไหนให้เล็กลง คนไข้หน้าแหลมอยู่แล้วจะต้องยิงแบบไหนให้หน้ามีมิติขึ้น

 

 

ที่ WIND Clinic ค่อนข้างที่จะมี Fluidity ครับ สามารถวางแผนการรักษาให้เหมาะกับคนไข้ได้แบบเฉพาะเจาะจงโดยที่ไม่มีกำหนดชัดเจนว่าแต่ละคนต้องทำอะไร อย่างน้อยเท่าไร เพราะเราเชื่อว่าคนไข้ปัญหาไม่เหมือนกัน และเชื่อว่าเราค่อนข้างที่จะมีประสบการณ์ในการดีไซน์โครงหน้าคนไข้ครับ

 

 

พูดถึงเรื่องช็อต โดยเฉลี่ยแล้วหน้ารวมเหนียงจะใช้ประมาณกี่ช็อต

หมอบาส: ขึ้นอยู่กับไซส์หน้า แบ่งเป็น S/M/L แล้วกัน ถ้า Volformer เริ่มต้นสัก 600 หน้าใหญ่ขึ้นมาหน่อยเป็นไซส์ M อาจจะสัก 900 หน้าไซส์ L อาจจะสัก 1,200 อันนี้คือรวมหน้าเหนียงนะครับ

 

 

 

แล้วถ้าเป็น Volnewmer เฉยๆ

หมอบาส: อันนี้เหมาะกับคนไข้ที่ไม่ต้องการสลายไขมันชั้นลึกถูกต้องไหมครับ ถ้า Volnewmer อย่างเดียวก็จะเหมาะกับไซส์ S และ M เริ่มต้นที่ 400 ครับ ประมาณ 600 หรือ 900 ก็พอแล้ว

 

 

Volnewmer ไม่เหมาะกับใคร

หมอบาส: แทบจะไม่มีเลย ยกเว้นคนที่มีโรคประจำตัว ข้อห้ามเลยคือคนไข้ที่มีโลหะ เช่น คนไข้ไปผ่าตัดมีดามเหล็กหรือไทเทเนียมอยู่ หรือคนไข้ที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ อันนี้ไม่แนะนำให้ใช้นะครับ เพราะเป็น Monopolar-RF ส่วน Thermage ก็ไม่ได้เหมือนกัน ส่วนหญิงตั้งครรภ์ไม่ให้ทำอยู่แล้วครับ

 

นอกจากนี้คนที่ยังไม่ต้องทำก็จะเป็นคนอายุน้อย เพราะเท็กซ์เจอร์ผิวก็ดี ไซส์หน้าไม่ได้ใหญ่ ไขมันไม่มี ผิวยังดูตึงกระชับอยู่ ริ้วรอยไม่มี ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าวัย 30 ปีขึ้นไปเริ่มมีริ้วเล็กๆ เริ่มมีความไม่กระชับของผิว เริ่มมีไขมันชั้นตื้น อันนี้ทำได้หมดเลย นอกจากหน้าแล้วยังทำที่บอดี้ได้ด้วยนะ ความไม่กระชับของแขน หน้าท้อง เป็นต้น

 

 

มีส่วนไหนที่ห้ามทำไหม

หมอบาส: ห้ามยิงเข้าไปในเบ้าตา Energy-Based ทุกอย่างห้ามยิงเปลือกตาบนถ้าไม่ได้ใส่เครื่องมือป้องกัน ไม่อย่างนั้นจะทำให้ตาบาดเจ็บ ถ้าจะยิงต้องยิงบนกระดูกเสมอ

 

 

นอกจากหัตถการเครื่องแล้วก็จะมีเรื่องของเข็ม ถ้าเทียบกับการฉีดสลายด้วยเมโสแฟต สิ่งนี้ให้ผลลัพธ์เหมือนกันไหม

หมอบาส: เอาความจริงไหมครับ หมอไม่มีประสบการณ์การฉีดแฟตเลย เพราะไม่มีเมโสแฟตแบบฉีดตัวไหนที่ผ่านสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในไทย คลินิกหมอเลยไม่ใช้ แต่เดี๋ยวจะมีตัวยาสลายแฟตแบบฉีดที่ผ่าน อย. ตัวแรก Launch ในไทยครับ

 

ผลลัพธ์ของ Volnewmer อยู่ได้นานแค่ไหน

หมอบาส: ตามงานวิจัยของบริษัทบอกว่าทำหนึ่งครั้งอยู่ได้นานประมาณ 9 เดือนถึงหนึ่งปี

 

ถ้าเทียบกับ Volformer

หมอบาส: Volformer ยิงเครื่องมากกว่า Volnewmer ถ้าคิดตามหลักการแล้วควรจะอยู่ดีกว่า

 

ตอนทำต้องแปะยาชาไหม

หมอบาส: ควรแปะครับ จะได้รู้สึกสบายหน่อย แต่ก็ยังให้ความรู้สึกบนผิวอยู่ดี

 

แล้วเราควรมาทำบ่อยแค่ไหน

หมอบาส: ทุกเครื่อง Energy-Based Device บางเครื่องหวังผลในการสลายแฟตเซลล์ บางเครื่องหวังผลในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนบนชั้นผิว ปกติแล้วการเกิดคอลลาเจนรีโมเดลลิ่งเห็นผลเต็มที่สักประมาณ 6 เดือนหลังจากทำ แต่คนไข้จะเริ่มเห็นชัด คนเริ่มทัก ในช่วง 1-3 เดือนแรก

 

หมายความว่าถ้าเราจะยิงพลังงานไว้ในชั้นเดิม สมมติเรายิง SMAS ไปแล้วเรายังจะยิง SMAS เหมือนเดิม แนะนำให้เว้นห่างกัน 6 เดือน แต่ถ้าเกิดยิง SMAS ไปแล้วอยากยิงชั้นอื่น เช่น อยากยิงสกิน อันนี้อยู่คนละเลเยอร์ ผ่านไป 2 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน ก็ยิงได้แล้ว เพราะยิงทาร์เก็ตกันคนละเลเยอร์

 

 

และสิ่งที่แนะนำมากกว่านั้นคือ สมมติว่าคนไข้มาทำการรักษากับหมอ หมอยิง SMAS ไปแล้ว ผ่านไป 6 เดือน คนไข้บอกหมอว่ามันดีแต่อยากยิงให้หน้าเล็กกว่านี้อีก เป็นหมอ หมอไม่ทำ SMAS แล้วนะ หมอทำเลเยอร์อื่น เหตุผลเพราะหน้าเราเหมือนบ้าน เรามีเสาบ้าน คานบ้าน ฝาบ้าน หลังคาบ้าน เรารักษาฝาบ้านไปแล้ว รักษาไปแล้ว 6 เดือน มันยังไม่เสื่อมเลย ก็เปลี่ยนไปรักษาส่วนอื่นแทน เป็น Multi-Layer Technique เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องมีเครื่องมือทุกเครื่องทุกเลเยอร์

 

ในสมัยก่อนเราไม่มีทางเลือกนะครับ สมัยก่อนมีแค่ Ulthera และ Thermage คนไข้ยิง Ulthera ไปแล้วอยากเล็กอีกก็ต้องยิง Thermage ถ้าอยากเล็กอีกก็กลับมายิง Ulthera เพราะไม่มีเลเยอร์อื่นให้เรายิง แต่ตอนนี้มีเครื่องทุกเลเยอร์เลย สกินใช้ Sofwave ได้, Thermage ยิงไขมันชั้นลึกได้, Volnewmer ยิงชั้นตื้นได้, SMAS ยิง MPT ได้ ยิง Ulthera ได้, กล้ามเนื้อใช้ EMFACE ได้, กระดูกเราใช้ฟิลเลอร์ในการดูแลได้ เพราะฉะนั้นมีหลายเลเยอร์ที่ต้องทำการรักษา ไม่ได้หมายความว่าต้องกลับมาทำเครื่องเดิมซ้ำๆ

 

สังเกตไหมยิง Ulthera มาทุกปี หลังๆ จะเริ่มรู้สึกว่ายิง Ulthera แล้วเห็นผลน้อยลงเรื่อยๆ เพราะรักษาเลเยอร์ที่รักษาไปแล้ว ก็ต้องไปรักษาเลเยอร์อื่นที่ไม่เคยทำการรักษาครับ

 

การถูกรักษาด้วยเครื่องมือซ้ำๆ และเห็นผลลัพธ์น้อยอาจเกิดจากแพทย์ที่ไม่เชี่ยวชาญในการวางแผนการรักษาด้วยหรือเปล่า

หมอบาส: อาจจะเป็นเรื่องข้อจำกัดด้วยครับ อย่างหมอเองสมัยก่อนเรามีแค่ 2 เครื่อง เราไม่มีเครื่องอื่นให้ทำ แต่เราหวังดีกับคนไข้ก็คงต้องทำแค่นั้น หมอยังมีความเชื่อว่าคุณหมอไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือไม่เชี่ยวชาญ ไม่มีใครไม่หวังดีกับคนไข้ เรียกว่าเป็นจรรยาบรรณข้อหนึ่งที่เราทุกคนต้องยึดถือ แต่ทรัพยากรที่คุณหมอแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน เขาก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดที่เขามีให้คนไข้เสมอ

 

 

ก่อนรับบริการ Volnewmer ต้องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษไหม

หมอบาส: ไม่เลยครับ สบายๆ แปะยาชาแล้วทำได้เลย

 

กรณีที่คนไข้ไปผลัดเซลล์ผิวมาก่อน มีผลต่อการรับบริการไหม

หมอบาส: เป็นคำถามที่ดีเลย ถ้าเกิดคนไข้มีผิวที่แห้งมาก ระคายเคืองง่าย อาจจะแนะนำให้หลีกเลี่ยง เนื่องจากว่าหนึ่งคือต้องมีการทายาชา ไม่ต้องไปถึง Volnewmer หรอก ถ้าคนไข้มี Chemical Burn มาแล้วทายาชาไปก็อาจจะเบิร์นมากกว่าเดิม

 

อย่างที่สองคือ Volnewmer เกิดความร้อน Accumulation ผิวคนไข้จะยิ่งแห้งลง อาจจะต้องเพิ่มความระมัดระวังครับ แต่ถ้าผลัดเซลล์ผิวมาไม่ได้แห้งก็สามารถทำได้นะครับ

 

อย่างคนที่ทาเรตินอล

หมอบาส: ทำได้ตามปกตินะครับ แต่ต้องมาตรวจก่อนว่าไม่มีอาการระคายเคืองจากเรตินอลนะ สิ่งที่ต้องพึงระวังในการทำเลเซอร์ Energy-Based Device ทั้งหมดคือห้ามทำตรงไหนก็ตามที่มีการติดเชื้อรุนแรง เช่น คนไข้ที่มีสิวอักเสบมากๆ เราก็ไม่แนะนำให้ทำ ห้ามทำในบริเวณผิวคนไข้ที่มีการอักเสบ อันนี้เป็นกฎพื้นฐานอยู่แล้วครับ

 

หลังทำ Volnewer มีข้อห้ามอะไรไหม ต้องดูแลตัวเองอย่างไร

หมอบาส: หลังทำหน้าคนไข้ก็จะแห้งลงนิดหน่อยครับ ให้ทามอยส์เจอไรเซอร์เยอะขึ้น แล้วก็งดการใช้ Energy-Based Device หรือเครื่องมือที่ใช้ในการนวดหน้าหรือเลเซอร์สักประมาณหนึ่งสัปดาห์ให้ผิวกลับมาปกติก่อน แล้วค่อยกลับไปทำครับ

 

กัวซาก็ด้วยใช่ไหม

หมอบาส: ไม่ควรเลยครับ เลี่ยงสักหนึ่งสัปดาห์ครับ

 

ออกกำลังกายได้ตามปกติไหม

หมอบาส: ออกกำลังกายได้หมดครับ ทากันแดดด้วย

 

ข้อจำกัด ความเสี่ยง หรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้จาก Volnewmer คืออะไร

หมอบาส: เครื่องมือทุกตัวมี Pros & Cons อย่าง Volnewmer เป็น Monopolar-RF เพราะฉะนั้นเวลาปล่อยพลังงานลงไปที่ผิวชั้นบน 3 มิลลิเมตร สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือการใช้วิธียิงซ้ำๆ จุดเดิมบ่อยๆ โดยที่ไม่สังเกตอาการ เพราะอาจจะเบิร์นได้ อันนี้ก็อาศัยความสามารถของคุณหมอในการดูแลคนไข้ครับ

 

ซึ่งถ้ามีการใช้ Ultraformer MPT ด้วย การดูแลตัวเองก่อน-หลังก็เหมือนกัน

หมอบาส: ถูกต้องเหมือนกันเลย

 

คนไข้สามารถรับหัตถการอย่างอื่นไปด้วยได้ไหม เช่น จิ้มหน้า

หมอบาส: ก่อนรับบริการ Volformer, Volnewmer, Ulthera, MPT หรืออะไรก็ตาม คนไข้สามารถทำทรีตเมนต์สบายๆ ได้หมด แต่ไม่ให้มีหัตถการฉีดอื่นก่อนนะครับ ยกตัวอย่างเช่น คนไข้จะมาฉีดฟิลเลอร์แล้วทำ Volnewmer เลย อันนี้ไม่ควร อย่างที่เรารู้ ไม่อย่างนั้นฟิลเลอร์ที่เราทำก็หายครับ

 

 

แต่หลังจากทำเสร็จถามว่าจะทำหัตถการอื่นอย่างการฉีดเพิ่มเติมได้ไหม ทำได้นะครับ แต่อาจจะต้องให้ความระมัดระวังและทิ้งระยะเวลาหน่อย เพราะอย่าลืมว่าหลังจากที่ทำ Volnewmer เสร็จจะมีความร้อนสะสมบนผิว ถ้าเราฉีดฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ หรืออะไรก็ตามเข้าไป ความร้อนที่สะสมอยู่อาจจะทำให้ผลการรักษาด้วยฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์ลดลงก็ได้ครับ หรือเพิ่มโอกาสการเกิดรอยเขียวช้ำหลังจากยิงได้เพราะเส้นเลือดขยายขนาดอยู่

 

ถ้าคนไข้สามารถนะครับ คือเว้นสัก 1-2 สัปดาห์แล้วค่อยมาทำน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ในคนไข้บางกลุ่มที่มาจากต่างประเทศ ไม่มีเวลา หลังจากทำเลเซอร์เสร็จก็อาจจะเว้นสัก 30 นาทีก่อนทำหัตถการอื่นครับ

 

Result

หมอบาสวิเคราะห์ปัญหารูปหน้าของเราในวัยเลข 3 แล้วสรุปได้ว่าแก้มเริ่มหย่อน และมีปัญหาเหนียงคล้อยที่เกิดจากการยืดหดของผิวหลังลดน้ำหนัก ทำให้ดูไม่กระชับ เลยแนะนำให้ทำการรักษาด้วย Volformer โดยการยิงชั้น SMAS ด้วย MPT จำนวน 700 ช็อต และยิงงานผิวด้วย Volnewmer จำนวน 600 ช็อต โดยประมาณ

 

หลังยิงด้วย Ultraformer MPT เพียงอย่างเดียว ก็เห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนแล้วว่าใบหน้าฝั่งที่ยิงยกขึ้นทันที โดยเฉพาะคิ้ว

 

 

หลังจากที่ยิงต่อด้วย Volnewmer ในข้างเดียวกันจะเห็นได้ว่าบริเวณแก้มดูเรียวขึ้นอีกเล็กน้อย

 

 

เมื่อเทียบกับใบหน้าก่อนทำ Volformer แล้วจะเห็นได้ว่าร่องแก้มดูตื้นขึ้น รูปหน้าจากที่มีความตอบดูเต็มและได้รูปยิ่งขึ้น ซึ่งหมอบาสเสริมว่าหลังทำเสร็จจะเห็นผลลัพธ์เพียง 10% เท่านั้น

 

หลังผ่านไปวันสองวันเราสังเกตได้ว่าใบหน้ายังมีความบวมตุ่ยบริเวณแก้มอยู่เล็กน้อย และมีความรู้สึกระบมบริเวณกรามเล็กน้อยประมาณ 1 สัปดาห์ จากนั้นสังเกตได้ว่าใบหน้าเริ่มค่อยๆ เข้าที่ กรอบหน้าเริ่มชัดขึ้น สภาพผิวดูกระชับและอิ่มเอิบยิ่งขึ้น

 

 

Good for

Volnewmer ถือเป็นหัตถการเครื่องที่ค่อนข้างตอบโจทย์คนที่อยากลดแฟตและช่วยงานผิวในราคาที่สบายกระเป๋าขึ้น ส่วน Volformer ที่มีการใช้ Ultraformer MPT ร่วมด้วยนั้นเหมาะกับคนที่อยากเปลี่ยนไซส์และยกหน้าในราคาที่สบายกระเป๋าขึ้นอีกเช่นกัน แต่สุดท้ายแล้วการวินิจฉัยโดยแพทย์จะให้คำตอบที่แม่นยำและตอบโจทย์ความต้องการของคุณที่สุด

 


 

WIND Clinic

Open: ทุกวัน เวลา 10.00-20.00 น.

Address:

  • สาขากรุงเทพฯ (เลียบทางด่วนรามอินทรา) 29, 592 ถ.ประดิษฐ์มนูธรรม แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม
  • สาขาอุบลราชธานี (สี่แยกกองบิน 21) 154 ถ.ชยางกูร ต.ในเมือง อ.เมืองอุบลราชธานี

Budget: อัตราค่าบริการเคสหมอบาส

  • Volnewmer

หน้า คอ: 49,000 บาท / 1,200 ช็อต

หน้า: 25,900 บาท / 300 ช็อต

  • Volformer

หน้า คอ: 49,900 บาท / 1,200 ช็อต

หน้า: 19,900 บาท / 200 ช็อต

Tel.: สาขากรุงเทพฯ 09 1796 2323, สาขาอุบลราชธานี 06 4665 2465

Instagram: https://www.instagram.com/windclinic/

Facebook: https://www.facebook.com/profile.php?id=100089998215353

Website: https://www.windclinic.com/

Map: https://maps.app.goo.gl/xQTrfnhaZ4itBAWp8

 

The post เครื่องยกกระชับตัวไหนดีที่สุดในโลก เคลียร์คัตกับ หมอบาส เฉลิมชัย WIND Clinic appeared first on THE STANDARD.

]]>
Potenza 4-Mode RF Microneedling: นวัตกรรมที่คนยุคใหม่ต้องรู้เพื่อผิวหน้ากระชับ ลืมปัญหาริ้วรอยไปได้เลย! [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/potenza-4-mode-rf-microneedling/ Thu, 04 Jul 2024 03:30:31 +0000 https://thestandard.co/?p=952332 Potenza 4-Mode RF Microneedling

ในยุคที่ความงามเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคน การดูแลตัวเอง […]

The post Potenza 4-Mode RF Microneedling: นวัตกรรมที่คนยุคใหม่ต้องรู้เพื่อผิวหน้ากระชับ ลืมปัญหาริ้วรอยไปได้เลย! [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
Potenza 4-Mode RF Microneedling

ในยุคที่ความงามเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคน การดูแลตัวเองจึงกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนไทยยุคใหม่ที่หันมาใส่ใจในรายละเอียดการเสริมความงามอย่างถูกต้อง ให้ความสำคัญกับมาตรฐาน โดยมีความรู้ความเข้าใจมากยิ่งขึ้น

 

นอกจากการดูแลตัวเองโดยพื้นฐาน ปัจจุบันคนไทยหันมาให้ความสนใจกับเทรนด์การทำหัตถการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการฉีด Botulinum Toxin A, ฟิลเลอร์ หรือการทำเลเซอร์ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของคนยุคใหม่ที่ใส่ใจในการดูแลตัวเอง โดยเฉพาะเทรนด์ความงามด้านผิวกระชับ เรียบเนียน มากกว่า Beauty Standard ยุคก่อนที่ให้ความสำคัญในเรื่องของความขาวกระจ่างใสเพียงอย่างเดียว

 

ด้วยความที่เทคโนโลยีความงามมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การติดตามข่าวสารและนวัตกรรมใหม่ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้เราไม่พลาดโอกาสในการดูแลตัวเองด้วยวิธีที่ดีที่สุด

 

เพื่อตอบสนองความต้องการของสาวไทยยุคใหม่ที่ใส่ใจในความงามและต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง งาน Potenza™ ‘Unlocking Next-Level RF Microneedling in Aesthetics – Unveiling The New Technique’ จึงจัดขึ้นเพื่ออัปเดตเทรนด์ความงามและการใช้เทคโนโลยี ‘Potenza 4-Mode RF Microneedling’ จากแบรนด์ Cynosure ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก ให้แพทย์ด้านความงามและคนในอุตสาหกรรมกว่า 150 คน ได้รับการถ่ายทอดเทคนิค และความรู้ความเข้าใจ จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง รวมถึงมีการอัปเดตผลการวิจัยการใช้ Potenza ในการแก้ปัญหาผิวและการผลักยา จากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ภายในงานอีกด้วย

 

Potenza 4-Mode RF Microneedling

 

Potenza 4-Mode RF Microneedling: นวัตกรรมเพื่อผิวเรียบเนียนอ่อนเยาว์ที่คนยุคใหม่ต้องรู้จัก

นพ.วิชัย หงส์จารุ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเลเซอร์และความงามชั้นนำของประเทศไทย ได้ให้เกียรติมาบรรยายในงานนี้ โดยระบุว่า Potenza 4-Mode RF Microneedling ถือเป็น RF Microneedling ชนิดหนึ่งที่จริงๆ เป็นเทคโนโลยีที่มีมานานแล้ว แต่เครื่องดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นอีกเพราะเป็นครั้งแรกที่สามารถปล่อยคลื่น RF หลายชนิด ทั้ง Monopolar และ Bipolar รวมถึงความถี่  1&2 MHz มาไว้ด้วยกันในเครื่องเดียว

 

Potenza 4-Mode RF Microneedling

 

ถ้าพูดถึง Monopolar หลายคนที่คุ้นเคยกับการทำหัตถการความงามน่าจะรู้จัก เพราะเป็นการปล่อยคลื่นวิทยุผ่านผิวชั้นหนังกำพร้า ซึ่งบางครั้งทำให้ผลการรักษาไม่แน่นอน ไม่สม่ำเสมอ ฉะนั้นการที่จะนำพลังงานผ่านชั้นหนังกำพร้าเข้าไปโดยใช้เข็มนำอย่าง RF Microneedling น่าจะได้ผลที่เสมอต้นเสมอปลายมากกว่า และการมีเข็มเองก็ไม่ได้เจ็บมากอย่างที่คิด

 

ขณะเดียวกันในการรักษาที่ต้องใช้พลังงานเฉพาะจุดก็สามารถเลือก Bipolar มาใช้ ไม่ว่าจะเป็นกรณีหลุมสิวที่เป็นมากๆ การรักษาฝ้า หน้าแดงจากเส้นเลือดฝอย หรือการรักษาที่ต้องการเน้นในเรื่องงานผิว การปล่อยคลื่นแบบ Bipolar จึงมีความสำคัญ ทำให้แพทย์สามารถเลือกใช้คลื่น Monopolar ในด้านการกระชับผิว หรือหากต้องการใช้รักษาฝ้า หลุมสิว ก็สามารถเลือกใช้ Bipolar ได้ จึงเกิดเป็นความหลากหลายในการรักษา เหมาะสมกับคนไข้แต่ละคน สิ่งนี้แตกต่างจากในอดีตที่ตัวเครื่องในเทคโนโลยีกลุ่มนี้ก็จะมีแค่คลื่น Bipolar เพียงอย่างเดียว  

 

“การที่รวบรวมทั้ง Monopolar และ Bipolar ความถี่ 1&2 MHz เอาไว้ภายในเครื่องเดียว ทำให้แพทย์สามารถเลือกได้ว่าอยากให้พลังงานที่ปล่อยออกมาอยู่เฉพาะที่หรือกระจายออกไป เปรียบเหมือนจิตรกรรมที่แพทย์สามารถเลือกเองได้ว่าอยากวาดภาพออกมาแบบไหน” 

 

นพ.วิชัย ขยายความต่อว่า การที่มี Monopolar เข้ามาทำให้ผลข้างเคียงในระยะยาวแทบจะไม่มีเลย โดยจะมีรอยแดงหลังทำหัตถการแค่ 2-3 ชั่วโมง ไม่เกิน 24 ชั่วโมง ต่างจากในอดีตที่มีรอยแดงอยู่นานกว่าและมีสะเก็ดแผลด้วยอยู่ราว 1 สัปดาห์ แต่ตอนนี้เหลือเพียง 1 วัน ส่วนความเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำนั้นแทบไม่เกิดขึ้นเลย 

 

 

หลังจากได้ใช้เครื่องมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ในภาพรวม นพ.วิชัย พบว่าดีมากสำหรับการกระชับผิวในบริเวณเหนียงที่มีขนาดใหญ่ ห้อยและย่น รวมถึงตัวเครื่องยังสามารถนำตัวยาเข้าไปในผิวได้ลึกและกระจายตัวได้ดียิ่งขึ้นผ่านเข็ม ทำให้ได้ผลลัพธ์ในเรื่องผิวและผลักตัวยาเข้าไปในผิวด้วย 

 

หรือการปลูกผมก็ทำให้โอกาสการเกิดใหม่ของผมมีมากขึ้น แสดงให้เห็นว่าตัวเครื่องสามารถใช้ได้กับแทบทุกส่วนของร่างกาย แม้กระทั่งกระชับหน้าท้องที่มีความหย่อนคล้อยได้เช่นกัน 

 

เมื่อมองไปยังพฤติกรรมของผู้บริโภคพบว่า คนไทยแทบทุกวัยต้องการให้หน้าเข้าไปอยู่ในกรอบหรือทรงที่ต้องการ ส่วนในคนที่อายุมากขึ้นด้วยไลฟ์สไตล์ก็ต้องการภาพลักษณ์ที่ดี ซึ่งอย่างน้อยๆ ก็อยากให้ลูกหลานเห็นว่าหน้าไม่เศร้า ดังนั้นการยกกระชับทำให้ลักษณะบางอย่างเช่นร่องแก้มหรือมุมปากที่ดูดุตลอดเวลาทำให้ดูดีขึ้นได้  

  

“การดูแลหลังทำ ด้วยความที่เครื่องมีเข็มอยู่ทำให้หน้าเกิดเป็นรูเล็กๆ ในวันแรกก็อยากให้ล้างมือก่อนที่จะจับที่ใบหน้า ส่วนครีมก็สามารถทาได้ปกติ ยกเว้นการแต่งหน้าที่ควรเว้นไปประมาณ 3-4 วัน” นพ.วิชัย กล่าวแนะนำ 

 

Potenza 4-Mode RF Microneedling

 

ศาสตร์และศิลป์แห่งการปรับแต่งรูปหน้าด้วย Potenza 4-Mode RF Microneedling 

นพ.สมิทธิ์ อารยะสกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามอีกท่านหนึ่งที่มาร่วมบรรยายในงาน ได้กล่าวถึง Potenza 4-Mode RF Microneedling ที่สนใจในเทคโนโลยีของ RF Microneedling ถึงแม้จะมีมาราวๆ 10 ปี แต่ก็มีการพัฒนามาเรื่อยๆ คือตัวพลังงานที่ออกมามีความลึก ความแม่นยำดีขึ้น ส่วนตัวหัวปล่อยพลังงานก็มีการดีไซน์ที่ช่วยโฟกัสความลึกในแต่ละชั้นของผิวหนังได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ผิวหนังและความงามให้การติดตามมาโดยตลอดว่าจะมีอะไรใหม่ๆ มาบ้าง  

 

อย่าง Potenza 4-Mode RF Microneedling มีจุดที่แตกต่างคือสามารถปรับได้ทั้งความถี่ของคลื่น 1&2 MHz ทำให้มีการเลือกใช้ได้ทั้ง 2 ระดับจะลึกมากๆ โฟกัสมากๆ ใหญ่มากๆ หรือโฟกัสเป็นจุดๆ ก็ได้ ขึ้นอยู่กับผู้ใช้เครื่อง อีกจุดคือเรื่องของการมีประเภทของ RF ที่มีทั้ง Monopolar และ Bipolar จะทำให้แพทย์สามารถโฟกัสที่ชั้นผิวเป็นชั้นๆ ก็ได้ หรือลงลึกกวาดลงไปด้านล่างสำหรับการยกกระชับก็ได้ กลายเป็นจุดเด่นของเครื่องที่มีความหลากหลายที่ปรับได้ทั้งความถี่และการส่งพลังงาน  

  

“ปกติแล้วคนไข้ 1 คน ไม่ได้มีความต้องการอย่างเดียว สังเกตได้ว่าในยุคนี้ที่เข้ามาเพื่อยกกระชับหน้าแล้วกลับไป แต่ตอนนี้เราเข้าสู่ยุค Customization คนไข้และแพทย์มีความเข้าใจมากขึ้น จะเห็นได้ว่าคนไข้ 1 คน มีปัญหาผสมผสานกันทั้งความหย่อนคล้อย คุณภาพผิว รูขุมขน รอยสิว ริ้วรอยต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถ้าเราปรับได้ถูกต้องจะสามารถจบได้ในเครื่องเดียว”

 

 

นพ.สมิทธิ์ ขยายความต่อว่า แต่ก่อนอาจจะจำเป็นที่ทำให้คนไข้จ่ายเงินเพิ่มเพื่อทำหลายๆ อุปกรณ์ Potenza จึงเข้ามาตอบโจทย์คนไทยที่ต้องการยกกระชับ การปรับปรุงคุณภาพผิว การแก้ไขริ้วรอย รวมไปถึงล่าสุด การผลักยาบางอย่างเข้าไปในผิวด้วย ดังนั้นคนไข้จะคุ้มค่ามากขึ้นถ้าแพทย์สามารถปรับให้คนไข้แก้ไขโจทย์ต่างๆ ในการทำหัตถการในครั้งเดียว  

 

อีกอันที่เป็นเสน่ห์ของเครื่องตระกูลนี้คือการหวังผลในการฟื้นฟูโครงสร้างผิวหน้ากลับมาอีกครั้ง ผลที่ได้เป็นการฟื้นฟูผิวระยะยาว ซึ่งทำไปแล้วเกิดโครงสร้างคอลลาเจนใหม่ จึงไม่ใช่การทำที่หวังให้เกิดผลในระยะสั้น แต่ต้องทำต่อเนื่องเพื่อคงไว้ซึ่งผลการรักษา และพัฒนาต่อยอดเพื่อยกระดับผลลัพธ์ขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งถ้าใช้ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ผลของการทำ 1 ครั้งก็จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงและให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้ยาวนานขึ้นกว่าปกติแล้ว แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับว่าต้องการแก้ไขปัญหาผิวในเรื่องใด ซึ่งจะมีจำนวนครั้งที่ทำและระยะเวลาที่แตกต่างกัน

  

นพ.สมิทธิ์ ได้กล่าวถึงประสิทธิภาพของ Potenza เพิ่มเติมว่า สามารถใช้ในเรื่องของการปรับรูปหน้าที่เกิดจากผิวไม่กระชับ การลดชั้นไขมันในบางส่วน ซึ่งก็มีงานวิจัยมารองรับ การปรับคุณภาพผิว เช่น ลดเลือนริ้วรอย ผิวเรียบเนียน หรือลดรอยแผลเป็นก็ทำได้ และคาบเกี่ยวไปถึงการกระตุ้นคอลลาเจน อิลาสติน และ Hyaluronic Acid ที่ทำให้ผิวเกิดความชุ่มชื่น จึงเป็นเครื่องที่ทำงานได้ค่อนข้างหลากหลาย แล้วตัวซอฟต์แวร์ก็นำมาตอบโจทย์แพทย์ มีทั้งโหมดเบสิกสำหรับผู้เริ่มต้น และสามารถเรียนรู้ไปกับเครื่องได้

 

“ส่วนตัวได้เรียนรู้หลายเรื่องจากการใช้เครื่อง โดยเฉพาะการที่ไม่ได้เข้าใจเฉพาะการใช้เครื่องมืออย่างเดียว แต่เป็นการเข้าใจปัญหาของคนไข้ สิ่งที่เกิดขึ้นใต้ผิว และการใช้พลังงานได้ดีขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นจึงเป็นตัวที่เปิดประตูสู่ RF Microneedling ที่สามารถนำไปปรับใช้ในการทำงานได้ตลอดชีวิต”

 

Potenza 4-Mode RF Microneedling

 

นพ.สมิทธิ์ ย้ำว่า RF Microneedling เป็นการรักษาแบบหนึ่งที่ค่อนข้างคาดเดาผลลัพธ์ได้ ซึ่งงานวิจัยก็แสดงตัวเลข 30-50% ถือว่าค่อนข้างมาก เหมาะสมที่จะนำมาใช้กับคนไข้ในประเทศไทยที่มีสีผิวที่หลากหลาย เนื่องจากคลื่น RF ใช้น้ำในผิวเป็นตัวกลางในการส่งผ่านพลังงาน และพลังงานจะไม่ถูกดูดซับด้วยเม็ดสีในผิวของคนไข้ จึงทำให้เป็นข้อได้เปรียบกว่าเทคโนโลยีหรือเครื่องมือประเภทอื่นที่จะมีข้อจำกัดในเรื่องการนำมารักษาในคนที่มีผิวสีเข้ม เนื่องจากอาจเกิดความเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำหลังการรักษาได้ 

 

“ส่วนตัวมองเทคโนโลยีเป็นแค่เครื่องมือเท่านั้น ประสบการณ์ของผู้ยิงและผู้บริโภคเองมีความสำคัญมากเหมือนกัน ตัวคนไข้เองก็ต้องเข้าใจว่าเครื่องมีไว้ทำอะไรบ้าง ทั้งดีไซน์ยกกระชับ และปรับปรุงคุณภาพผิว” 

 

อีกทั้งการที่น้ำเป็นตัวกลางในการส่งผ่านพลังงาน ถ้าไม่ได้มีอุปนิสัยที่ดูแลผิวให้ชุ่มชื่นหรือมีปัญหาผิวแห้งมากๆ อาจจะไม่เหมาะกับเครื่องนี้ หากจะทำต้องปรับปรุงเรื่องความชุ่มชื่นของผิวก่อน อีกกลุ่มที่ไม่เหมาะคือคนที่สูบบุหรี่ เพราะกลไกการฟื้นฟูผิวจะช้ากว่าเมื่อเทียบกับคนทั่วไป หรือผู้หญิงที่อยู่ในวัยทองอาจจะต้องมาปรับปรุงคุณภาพผิวด้วยวิธีอื่นๆ ร่วมด้วย  

 

สมัยก่อนเครื่องมือที่เกี่ยวกับคุณภาพผิวคนไทยมักมองไปด้านเดียวคือเม็ดสี มุ่งไปที่ความกระจ่างใสเป็นหลัก แต่ตอนนี้มีมากกว่านั้น สีเป็นแค่ด้านเดียวเท่านั้น อีก 3 ด้านคือความเรียบ ความกระชับ และสุขภาพดี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างยากและต้องมีเครื่องมือเฉพาะในการเข้ามาดูแล  

 

“ยิ่งเราคิดเยอะก็จะทำได้มหาศาล เปรียบเหมือนสีถาดเดียวกัน พู่กันเหมือนกัน แต่วาดออกมาได้ต่างกันขึ้นอยู่กับทักษะของแพทย์ด้วย” 

 

 

นพ.สมิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันอุปกรณ์พัฒนาขึ้นมาก เราล้วนแล้วแต่ต้องพัฒนาทั้ง 2 ฝั่ง อย่างแพทย์ตอนนี้เจอความซับซ้อนของเครื่องมือเยอะขึ้น เราจึงยิ่งต้องพัฒนาทักษะอย่างมากในด้านความรู้ความเข้าใจพื้นฐาน พัฒนาตัวเองตลอด ส่วนผู้บริโภคเองก็ควรจะมีความรู้ความเท่าทันด้วย ที่ต้องคิดและวิเคราะห์ว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ พัฒนาขึ้นมานั้นตอบโจทย์สำหรับเราเองหรือเปล่า 

 

ด้วยเหตุนี้ “การพบแพทย์ทางด้านความงามไม่ใช่เรื่องฉาบฉวย เราสามารถคุยกันและวิเคราะห์ให้ลึกซึ้งอย่างเป็นเหตุเป็นผลและวิทยาศาสตร์ เพื่อทำให้เกิดการปรับปรุงแก้ไขได้จริง ซึ่งอาจจะส่งผลไปยังการป้องกันโรคหรือป้องกันปัญหาอื่นในอนาคตได้เลย”  

 

Potenza 4-Mode RF Microneedling: นวัตกรรมความงามที่ตอบโจทย์เทรนด์ความงามในปี 2024

สำหรับ Potenza เป็นเทคโนโลยีความงาม RF Microneedling ด้วยนวัตกรรม 4-Mode RF Microneedling ที่รวบรวมทั้ง Monopolar และ Bipolar RF ความถี่ 1&2 MHz ไว้ภายในเครื่องเดียว 

 

Potenza 4-Mode RF Microneedling ถือเป็นเทคโนโลยีความงามเครื่องแรกของโลก ที่เข้ามายกระดับนวัตกรรม Microneedling ที่มีความหลากหลายของระบบการทำงาน สามารถปรับการตั้งค่าและออกแบบการรักษาทุกปัญหาผิว ทุกส่วนของร่างกาย เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของคนไข้แต่ละคน 

 

นอกจากนั้นยังมาพร้อมหัว Tip ที่หลากหลาย รวมถึง Fusion Tip สำหรับใช้ในการผลักยา ทั้ง CP-21 ที่เป็นตัวต้นแบบ และ CP-25 ซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น 280% ทำการรักษาได้เร็วกว่าเดิม 250% และมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม 100%

 

Potenza 4-Mode RF Microneedling

 

ด้วย 4 โหมดการทำงาน และหัว Tip ต่างๆ เช่น Tiger Tip, Fushion Tip, Insulated Needles และ Single Insulated Needles ทำให้ Potenza สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างตรงจุดและครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอย ความหย่อนคล้อย รูขุมขนกว้าง หรือแม้แต่ปัญหาสิว 

 

ด้วยเหตุนี้ Potenza 4-Mode RF Microneedling จึงเป็นนวัตกรรมความงามที่สาวไทยยุคใหม่ไม่ควรพลาด ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ประสิทธิภาพที่เหนือกว่า และความยืดหยุ่นในการปรับใช้ของ 4-Mode RF Microneedling จะช่วยปลดล็อกผิวอ่อนเยาว์และความงามที่แท้จริงให้กับคุณ 

 

สอดคล้องกับแนวคิดหลักของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองท่านที่ถ่ายทอดในงาน Potenza™ ‘Unlocking Next-Level RF Microneedling in Aesthetics – Unveiling The New Technique’ ว่าการยิงพลังงานที่สูงเพื่อเน้นการลงไปสลายชั้นไขมัน เน้นให้หน้าผอม หน้าตอบ โครงหน้าซูบเรียว ไม่มีแก้ม เป็นเทรนด์ความงามที่ตกยุค และไม่ใช่ Beauty Standard ที่ถูกต้องอีกต่อไป เพราะไขมันก็มีประโยชน์กับความสวยงามของผิวหน้าในแบบที่เป็นธรรมชาติ อยู่ที่การดีไซน์ให้เหมาะสมและพอดีกับแต่ละคน ซึ่ง Potenza ตอบโจทย์การสร้างเอกลักษณ์ด้านความงามที่เหมาะสมกับแต่ละคนโดยเฉพาะได้เป็นอย่างดี

 

รวมถึงบอกต่ออีกหนึ่งเทรนด์ความงามในปี 2024 ว่าการยิงพลังงานด้วย RF Microneedling ไม่ได้จำเป็นต้องใช้พลังงานสูงมาก ผลลัพธ์ถึงจะออกมาดีอย่างที่หลายคนเข้าใจ แนวคิดที่ว่าการยิงต้องใช้พลังงานเยอะ ยิ่งเจ็บ ยิ่งแรง ยิ่งดี ถือเป็นชุดความคิดที่ผิด เพราะความสำคัญที่สุดคือการปรับใช้ให้ถูกต้องกับชั้นผิว เหมาะสมกับสภาพผิว และปัญหาผิวของแต่ละบุคคล เลือกใช้พลังงานให้เหมาะสมกับปัญหาของคนไข้ ปรับใช้ให้พอดี ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป เพื่อสร้างสรรค์ความงามอย่างเป็นเอกลักษณ์และไม่ทำร้ายผิว ซึ่งเป็นเทรนด์การรักษาที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้ความสำคัญกันเป็นอย่างมากในปัจจุบัน

 

The post Potenza 4-Mode RF Microneedling: นวัตกรรมที่คนยุคใหม่ต้องรู้เพื่อผิวหน้ากระชับ ลืมปัญหาริ้วรอยไปได้เลย! [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>