จีนวางแผนจำกัดการใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าของธุรกิจต่างๆ เพื่อสนับสนุนวิธีการระบุตัวตนที่ไม่ใช่ไบโอเมตริกซ์ ตามกฎหมายฉบับใหม่ของหน่วยงานไซเบอร์สเปซของจีนที่เพิ่งเผยแพร่ในวันนี้ (8 สิงหาคม) โดยระบุว่าการจดจำใบหน้าจะต้องได้รับความยินยอมเป็นรายบุคคลและมีวัตถุประสงค์เฉพาะเท่านั้น

ร่างกฎหมายระบุว่า หากมีเทคโนโลยีการยืนยันตัวตนที่ไม่ใช่ไบโอเมตริกแล้วสามารถบรรลุวัตถุประสงค์หรือข้อกำหนดทางธุรกิจได้คล้ายคลึงกัน ควรใช้วิธีการยืนยันตัวตนแบบที่ไม่ใช่ไบโอเมตริกเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม การยินยอมส่วนบุคคลอาจถูกยกเว้นได้ในกรณีด้านการบริหารบางอย่าง หากจำเป็นต้องใช้การจดจำใบหน้า กฎหมายเสนอให้ใช้ระบบของราชการ 

นอกจากนี้ การติดตั้งอุปกรณ์เก็บภาพและอุปกรณ์ระบุตัวตนในสถานที่สาธารณะควรมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความปลอดภัยสาธารณะ และต้องมีป้ายที่ระบุไว้ชัดเจน

มาตรการดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากมีรายงานว่าบริษัทต่างๆ ได้ช่วยเหลือทางการจีนในการใช้การจดจำใบหน้าและ AI ในการกำหนดเป้าหมายใบหน้าของชนกลุ่มน้อยชาวอุยกูร์ในประเทศ

กระทรวงการต่างประเทศของจีนกล่าวกับ CNBC ในเวลานั้นว่า ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีสมัยใหม่และข้อมูลขนาดใหญ่ถูกใช้เพื่อปรับปรุงการจัดการทางสังคม และปฏิเสธรายงานดังกล่าวว่าเป็นการใส่ร้ายอย่างแท้จริง

ที่ผ่านมา การใช้งานเทคโนโลยีจดจำใบหน้าถูกใช้อย่างแพร่หลายในจีน ตัวอย่างเช่น ธุรกิจบางแห่งได้ทดลองใช้การจดจำใบหน้าเพื่อชำระเงินที่ร้านสะดวกซื้อ อพาร์ตเมนต์บางแห่งได้ติดตั้งระบบจดจำใบหน้าเพื่อให้ผู้เช่าเข้ามาในห้องผ่านการสแกนใบหน้า ขณะที่สถานีรถไฟความเร็วสูง ผู้ถือบัตรประชาชนจีนสามารถรูดบัตรประจำตัวที่เชื่อมโยงกับตั๋วเพื่อเข้าสู่สถานีรถไฟและชานชาลาได้ โดยบางครั้งอาจใช้ระบบจดจำใบหน้า

กฎหมายระบุว่า สนามบิน โรงแรม สถานี ธนาคาร สนามกีฬา ฮอลล์นิทรรศการ และสถานประกอบการธุรกิจอื่นๆ ไม่ควรใช้การจดจำใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตน เว้นแต่กฎหมายกำหนดไว้

นอกจากนี้ ฝ่ายบริหารอาคารไม่สามารถใช้การจดจำใบหน้าเป็นช่องทางเดียวในการเข้าออกของผู้คนได้ พร้อมระบุว่า หากบุคคลไม่เห็นด้วยกับการจดจำใบหน้า ฝ่ายบริหารควรจัดหาวิธีการอื่นที่เหมาะสมและสะดวก ขณะที่ห้องพักในโรงแรม ห้องน้ำสาธารณะ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า และห้องน้ำ ห้ามติดตั้งอุปกรณ์สำหรับเก็บภาพหรือข้อมูลส่วนบุคคล

อ้างอิง:

• https://www.cnbc.com/2023/08/08/china-releases-plans-to-restrict-facial-recognition-technology.html

The post จีนเตรียมออกมาตรการจำกัดเทคโนโลยีจดจำใบหน้า แนะให้ใช้ระบบของราชการแทนหากจำเป็น appeared first on THE STANDARD.

• Facebook ประกาศปิดระบบจดจำใบหน้า (Face Recognition) ที่ใช้ในสื่อสังคมออนไลน์ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะกระทบต่อผู้ใช้งานกว่า 1,000 ล้านบัญชี หลังเกิดกระแสความกังวลในสังคมวงกว้าง ที่เทคโนโลยีดังกล่าวจะส่งผลต่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ใช้งาน

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 น. ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: Facebook สั่งถอดระบบจดจำใบหน้า กระทบผู้ใช้งาน 1,000 ล้านบัญชีทั่วโลก appeared first on THE STANDARD.

แพลตฟอร์ม Facebook จากบริษัทแม่อย่าง Meta จะไม่ใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าสำหรับรูปภาพและวิดีโอที่แชร์บนแพลตฟอร์มอีกต่อไป โดยกล่าวว่าบริษัทจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักระหว่าง ผลประโยชน์ที่ได้จากเทคโนโลยีนี้ กับความกังวลที่เพิ่มขึ้นของผู้ใช้ต่อเทคโนโลยีนี้

Facebook ได้มีการใช้ระบบจดจำใบหน้ามาตั้งแต่ปี 2010 แล้ว เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้แท็กเพื่อนหรือสมาชิกครอบครัวในรูปภาพและวิดีโอ รวมถึงสามารถเตือนผู้ใช้หากมีผู้ใช้รายอื่นอัปโหลดรูปภาพที่มีพวกเขาอยู่ และในปี 2017 Facebook ผู้ใช้เริ่มสามารถตั้งค่าระบบจดจำใบหน้าด้วยตัวเองได้ ซึ่งผู้ใช้สามารถปิดการใช้ระบบจดจำใบหน้าได้ และล่าสุดในปี 2019 Facebook ได้ปิดฟีเจอร์นี้เป็นค่าเริ่มต้น แต่ผู้ใช้ก็สามารถเลือกเปิดใช้ได้ในส่วนตั้งค่า

Facebook กล่าวในวันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน ว่าจะเลิกใช้ระบบจดจำใบหน้านี้ด้วยเหตุผลด้านความเป็นส่วนตัว และจะลบข้อมูลใบหน้าที่ได้จดจำไว้จำนวนมากกว่า 1 พันล้านใบหน้า ที่รวบรวมไว้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งในปัจจุบันมีผู้ใช้มากกว่า 1 ใน 3 ของผู้ใช้งาน Facebook ที่ใช้งานอยู่ทุกวันนี้กำลังใช้ระบบจดจำใบหน้านี้

การจดจำใบหน้าโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์เป็นที่ถกเถียงกันทั่วทั้งอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่บน Facebook เท่านั้น นอกจากนั้นในปี 2020 Facebook ต้องเสียเงินเป็นจำนวนกว่า 650 ล้านดอลลาร์ หรือ 2.1 หมื่นล้านบาท เพื่อยุติคดีทางกฎหมายที่ Facebook ถูกกล่าวหาว่าเก็บรวบรวมข้อมูลทางชีวภาพของผู้ใช้ หรือข้อมูล Biometric อย่างผิดกฎหมาย ซึ่งเก็บข้อมูลของผู้ใช้โดยที่ไม่ได้รับความยินยอม

“เทคโนโลยีใหม่ทุกๆ อย่าง นำมาซึ่งประโยชน์และความกังวลทั้งนั้น ซึ่งเราต้องการที่จะหาจุดสมดุลที่เหมาะสม” Meta เขียนไว้ในโพสต์ “ในกรณีของระบบจดจำใบหน้า บทบาทระยะยาวของมันในสังคมจะต้องมานั่งถกเถียงกันอย่างเปิดเผย และต้องถกเถียงในหมู่ผู้ที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากสิ่งนี้ด้วย”

นอกจาก Facebook แล้ว Amazon.com Inc., Microsoft Corp. และ Google ของ Alphabet Inc. ก็ถูกฟ้องในข้อหาใช้ซอฟต์แวร์จดจำใบหน้าเช่นกัน อย่าง Amazon ที่จำหน่ายอุปกรณ์กล้องรักษาความปลอดภัยอย่าง Ring และผลิตภัณฑ์รักษาความปลอดภัยในบ้านตัวอื่นๆ ก็มีการหยุดใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าจากการถูกบังคับใช้กฎหมาย หลังจากพบว่าระบบมีปัญหาในการระบุใบหน้าของบุคคลผิวสี

บริษัท Clearview AI Inc. ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าอีกรายหนึ่ง ได้รับการร้องเรียนจากองค์กรด้านความเป็นส่วนตัว ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป โดยกล่าวหา Clearview ว่าทำการคัดลอกรูปภาพจากโปรไฟล์บนโซเชียลมีเดียและอินเทอร์เน็ต ซึ่งอาจละเมิดต่อเงื่อนไขการใช้งานของเว็บไซต์นั้นๆ

การเคลื่อนไหวของ Meta เกิดขึ้นหลังจากหลายปีในการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากหน่วยงานกำกับดูแล และผู้สนับสนุนด้านความเป็นส่วนตัว ซึ่งกล่าวว่าบริษัทมีความประมาทในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้ นอกจากนั้น Meta ได้มีชื่อเสียงที่ไม่ดีในฐานะบริษัทที่ไม่ให้ความสำคัญกับการปกป้องข้อมูลผู้ใช้อย่างจริงจัง 

โดยภาพลักษณ์ที่ไม่ดีนี้ถูกเน้นให้ชัดขึ้นไปอีก จากการเสียค่าปรับเป็นจำนวน 5 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.6 แสนล้านบาท ฐานละเมิดข้อตกลงด้านความเป็นส่วนตัว กับคณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหพันธรัฐของสหรัฐอเมริกาในปี 2019 นอกจากนั้นผู้บริหารของบริษัทมักจะถูกเรียกเข้าพบต่อหน้าฝ่ายนิติบัญญัติอยู่บ่อยๆ เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจและการรวบรวมข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้

ซึ่งในขณะนี้ Meta กำลังพยายามสร้างแพลตฟอร์มโลกเสมือน อันเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า Metaverse เพื่อให้โครงการประสบความสำเร็จ Meta จะต้องสร้างความมั่นใจให้กับทั้งหน่วยงานกำกับดูแล บริษัทพาร์ตเนอร์ในอุตสาหกรรม และผู้ใช้เอง ซึ่งการละทิ้งเทคโนโลยีจดจำใบหน้านี้ อาจเป็นก้าวแรกไปสู่การโน้มน้าวให้นักวิจารณ์ เชื่อว่าบริษัทให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวอย่างจริงจังมากขึ้น 

แต่ก็ยังกล่าวว่าจะยังคงพิจารณาการใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้า ในกรณีที่ผู้คนจำเป็นต้องยืนยันตัวตน หรือเพื่อป้องกันการฉ้อโกงและการแอบอ้างโดยบุคคลอื่น แต่ Meta จะยังคงเปิดเผยต่อสาธารณะเกี่ยวกับการใช้งานระบบจดใบหน้าในอนาคต รวมถึงจะทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมระบบเหล่านี้ และข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขาได้

กระนั้น Meta ก็ได้กล่าวถึงผลเสียในการยกเลิกระบบจดจำใบหน้านี้เช่นกัน คือ Facebook จะไม่สามารถระบุตัวบุคคลเพื่ออ่านออกเสียงโดยการใช้โค้ด Alt Text เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ที่มีความบกพร่องทางสายตา ฟังคำอธิบายของรูปภาพหรือวิดีโอบนแพลตฟอร์มได้

อ้างอิง:

• https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-11-02/facebook-to-shut-down-use-of-facial-recognition-technology
• https://www.cnbc.com/2021/11/02/facebook-will-shut-down-program-that-automatically-recognizes-people-in-photos-and-videos-delete-data.html 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

The post ไม่มีอีกแล้ว ‘ระบบจดจำใบหน้า’ Facebook ยกเลิกฟีเจอร์ พร้อมลบข้อมูลใบหน้าที่เก็บไว้ทั้งหมด เหตุจากผู้ใช้งานกังวลด้านความเป็นส่วนตัวเพิ่มมากขึ้น appeared first on THE STANDARD.

สำนักข่าว Xinhua รายงานว่าเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (20 กันยายน) ตามเวลาท้องถิ่นประเทศจีน บริษัทรถไฟใต้ดินท้องถิ่นในเซินเจิ้น เมืองทางตอนใต้ของประเทศจีน ได้เริ่มนำระบบจดจำใบหน้ามาใช้ภายในสถานีรถไฟใต้ดินแล้ว เพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและลดขั้นตอนความวุ่นวายในการเข้าใช้บริการรถไฟใต้ดินให้กับกลุ่มพลเมืองที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป

เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าที่นำเข้ามาใช้กับจุดสแกนบัตรรถไฟใต้ดินจะช่วยให้ผู้สูงอายุในจีนสามารถผ่านเข้าสถานีได้ด้วยการมองแค่หน้าจอ และไม่จำเป็นต้องพกบัตรโดยสารอีกต่อไป

รายงานจาก Xinhua ยังระบุอีกด้วยว่าระบบดังกล่าวได้นำไปติดตั้งและเริ่มใช้กับสถานีรถไฟใต้ดินในเซินเจิ้นรวม 18 สถานีแล้ว ประกอบด้วยการติดตั้งบริเวณประตูอัตโนมัติทั้งหมด 28 บาน และเครื่องประมวลตั๋วรถไฟอัตโนมัติ 60 ตู้

ทังนี้บริษัทผู้ให้บริการสถานีรถไฟใต้ดินเผยว่าจะเริ่มดำเนินการขยายจุดใช้งานที่รองรับการสแกนใบหน้าให้ครอบคลุมกลุ่มผู้โดยสารอื่นๆ ที่ขึ้นรถไฟใต้ดินโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เช่น ผู้พิการ ในเร็วๆ นี้

หมายเหตุ: ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าวแต่อย่างใด

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง: Xinhua 

The post จีนติดตั้งระบบจดจำใบหน้าที่รถไฟใต้ดินเซินเจิ้น ลดความยุ่งยาก ช่วยผู้สูงอายุไม่ต้องพกบัตรสแกน appeared first on THE STANDARD.

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา (9 ก.ย.) นครกวางโจว (กวางเจา) ทางตอนใต้ของจีน ได้เริ่มใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้า ในสถานีรถไฟใต้ดิน 2 แห่ง ซึ่งช่วยให้การเข้าสู่สถานีรวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น 

โดยผู้โดยสารต้องลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันของการรถไฟใต้ดินกวางโจว หรือในโปรแกรมย่อยบนแอปฯ WeChat เพื่อใช้เทคโนโลยีดังกล่าวปลดล็อกประตูไฟฟ้า เพื่อเข้าสู่สถานีภายในเวลา ‘ครึ่งวินาที’ ตามการรายงานของซินหัว

ค่าโดยสารจะถูกหักลบด้วยวิธีชำระเงินที่ผู้โดยสารเคยลงทะเบียนและยืนยันข้อมูลผ่านหมายเลขโทรศัพท์มือถือไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้ไม่ต้องพกบัตรโดยสารหรือหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาสแกนเหมือนก่อนหน้านี้

รายงานระบุว่า เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าถูกติดตั้งที่สถานีกวางโจวถ่าของรถไฟใต้ดินสาย 3 และสถานีเทียนเหอจื้อฮุ้ยเฉิงของสาย 21 โดยอนาคตจะขยายไปยังสถานีอื่นๆ ทั่วเมือง

ช่ายฉางจวิน รองผู้จัดการทั่วไปของบริษัท กว่างโจว เมโทร กรุ๊ป กล่าวว่า สถานีนำร่องทั้ง 2 แห่ง จะช่วยส่งเสริมการใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีอัจฉริยะขนานใหญ่ในระบบขนส่งทางรางของจีน

พร้อมเสริมว่า มีการประยุกต์ใช้จุดตรวจเช็กความปลอดภัยอัจฉริยะ ประตูกั้นชานชาลาอัจฉริยะ และการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงระดับอัลตรา ซึ่งช่วยยกระดับการจัดการและการดำเนินงานของสถานีรถไฟใต้ดิน

อนึ่ง โครงข่ายรถไฟใต้ดินของนครกวางโจวมีความยาว 478 กิโลเมตร และปริมาณผู้โดยสารเฉลี่ยเกือบ 9 ล้านคนต่อวัน

ปัจจุบันเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าถูกใช้งานในสถานีรถไฟใต้ดินของนครจี่หนาน เมืองเอกของมณฑลซานตง รวมถึงสนามบินหลายแห่งในเซี่ยงไฮ้ กวางโจว และฉางซา เพื่อช่วยให้การตรวจเช็กความปลอดภัยรวดเร็วยิ่งขึ้น

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

The post รถไฟใต้ดินกวางโจวเริ่มใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้า เข้าสถานีได้ในครึ่งวินาที appeared first on THE STANDARD.