เซมิคอนดักเตอร์ – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 28 Oct 2025 05:59:14 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 รมว.อุตสาหกรรม เผยลงนาม MOU แรร์เอิร์ธ ผ่านมติ ครม.แล้ว ไม่มีลักไก่ ย้ำเป็นเพียงการศึกษา มั่นใจนายกฯอนุทิน รับมือชาติมหาอำนาจได้ https://thestandard.co/thanakorn-rare-earth-mou-cabinet/ Tue, 28 Oct 2025 05:59:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1136473 รมว.อุตสาหกรรม เผย ลงนาม MOU แรร์เอิร์ธ ผ่านมติ ครม.แล้ว ไม่มีลักไก่ ย้ำ เป็นเพียงการศึกษา มั่นใจ นายกฯอนุทิน รับมือชาติมหาอำนาจได้

วันนี้ (28 ตุลาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล ธนกร วังบุญคงชนะ รั […]

The post รมว.อุตสาหกรรม เผยลงนาม MOU แรร์เอิร์ธ ผ่านมติ ครม.แล้ว ไม่มีลักไก่ ย้ำเป็นเพียงการศึกษา มั่นใจนายกฯอนุทิน รับมือชาติมหาอำนาจได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
รมว.อุตสาหกรรม เผย ลงนาม MOU แรร์เอิร์ธ ผ่านมติ ครม.แล้ว ไม่มีลักไก่ ย้ำ เป็นเพียงการศึกษา มั่นใจ นายกฯอนุทิน รับมือชาติมหาอำนาจได้

วันนี้ (28 ตุลาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล ธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ อนุทินชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างรัฐบาลสหรัฐอเมริกากับ รัฐบาลราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุสำคัญระดับโลก และส่งเสริมการลงทุนว่า เป็นไปตามที่นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจง ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมประชุมด้วย อีกทั้งเป็นข้อตกลงร่วมกันในการร่วมศึกษาพัฒนาแร่หายาก ทุกอย่างเป็นไปตามหลักกฎหมายไทยตามหลักธรรมาภิบาล แต่ตนบอกได้ว่า ไม่ผูกพันทางกฎหมายสามารถยกเลิกได้ และหากมองภาพรวมด้วยใจที่เป็นธรรม ตนคิดว่ามีประโยชน์ต่อประเทศเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการต่อยอดทางเทคโนโลยี

 

เมื่อถามว่า วันนี้หากถามว่าประเทศไทยมีแร่แรร์เอิร์ธหรือไม่นั้น ธนกรยอมรับว่า อาจมีบ้าง แต่กระจัดกระจายมีความเข้มข้นต่ำ ไม่คุ้มค่าในการลงทุนทำเหมือง ซึ่ง อดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ยืนยันอย่างชัดเจนแล้ว นอกจากนี้การส่งออกกว่า 13,000 ตันต่อปี เป็นการนำเข้ามาตกแต่งให้มีความเข้มข้นเพิ่มขึ้นก่อนที่จะมีการส่งออก พร้อมยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นความร่วมมือที่ประเทศชาติได้ประโยชน์ แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องรับฟังเสียงสะท้อนจากทุกภาคส่วน แต่ตอนนี้เชื่อว่านายกรัฐมนตรียึดประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก

 

เมื่อถามว่า มีการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมหรือไม่นั้น ธนกร ระบุว่า มีอยู่แล้ว เรื่องนี้เป็นการศึกษา และพัฒนา ดังนั้นผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมมีการดำเนินการอยู่แล้ว แต่ในวันนี้เราจะได้ประโยชน์ในเรื่องการเป็นศูนย์กลางของการลงทุน EV แบตเตอรี่ และ เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor)

 

เมื่อถามว่าในประเด็นนี้ประเทศจีนมีการกีดกันสหรัฐอเมริกา จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดสงครามการค้าหรือไม่ ธนกรกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีต้องคิดเรื่องการสร้างความสมดุลแล้ว ตนก็มองว่าประเทศไทยอยู่ตรงกลาง ดังนั้นจะบริหารประเทศอย่างไรเพื่อสร้างความสมดุลของอำนาจระหว่างสองประเทศ ซึ่งตรงนี้ถือเป็นความยอดเยี่ยมของนายกรัฐมนตรีที่ท่านคิดมาตลอด ว่าไม่ได้สร้างความเสียหายของประเทศไทยแต่เราจะได้ประโยชน์อย่างแน่นอน

 

เมื่อถามว่า หลายฝ่ายกังวลว่าประเทศไทยอาจจะเสียเปรียบ เพราะอาจต้องให้สหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าแรกในการเข้าไปสำรวจนั้น ธนกร กล่าวว่า เรื่องนี้เราเปิดกว้าง เราทำบันทึกข้อตกลง เราสามารถทำกับประเทศอื่นได้ ไม่แน่ว่าหลังจากนี้นายกรัฐมนตรีอาจจะทำความตกลงร่วมกับประเทศออสเตรเลีย เพราะวันนี้ประเทศไทยก็นำเข้าแร่จากประเทศออสเตรเลีย เข้ามาตกแต่งและส่งออกเป็นจำนวนมาก พร้อมย้ำว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญ ฉะนั้นไม่ต้องกังวล เพราะทุกฝ่ายมองอย่างละเอียดแล้ว ทั้งคณะกรรมการกฤษฎีกา และบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย อีกทั้งเรื่องนี้ได้มีการขอมติของคณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว

 

ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าไม่มีการรับรู้ในการลงนามดังกล่าว ทั้งที่มีการผ่านมติคณะรัฐมนตรีมาแล้วนั้น มองว่า เป็นเรื่องที่กระทรวงการต่างประเทศเพิ่งเสนอเข้ามา และเป็นสิ่งที่เราได้พิจารณาแล้วว่าสามารถทำได้ ส่วนที่ถูกมองว่าจะเป็นการลักไก่หรือไม่นั้น มองว่าคงไม่ใช่การลักไก่ หากเป็นจริงนายกรัฐมนตรีสามารถทำคนเดียวได้ แต่เรื่องนี้ผ่านคณะรัฐมนตรีมาแล้ว และหลังจากนี้จะต้องมีการชี้แจงให้ประชาชนได้เข้าใจ รับฟังเสียงสะท้อนของประชาชน และย้ำว่าเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น

The post รมว.อุตสาหกรรม เผยลงนาม MOU แรร์เอิร์ธ ผ่านมติ ครม.แล้ว ไม่มีลักไก่ ย้ำเป็นเพียงการศึกษา มั่นใจนายกฯอนุทิน รับมือชาติมหาอำนาจได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สีหศักดิ์ชี้ MOU ความร่วมมือแรร์เอิร์ธกับสหรัฐฯ จะดึงไทยเข้าซัพพลายเชนเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก ไม่มีข้อผูกมัด https://thestandard.co/rare-earth-mou-thailand-semiconductor/ Sun, 26 Oct 2025 06:58:04 +0000 https://thestandard.co/?p=1135697 สีหศักดิ์ชี้ MOU ความร่วมมือแรร์เอิร์ธกับ สหรัฐฯ จะดึงไทยเข้า ซัพพลายเชนเซมิคอนดักเตอร์ ระดับโลก ไม่มีข้อผูกมัด

สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเท […]

The post สีหศักดิ์ชี้ MOU ความร่วมมือแรร์เอิร์ธกับสหรัฐฯ จะดึงไทยเข้าซัพพลายเชนเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก ไม่มีข้อผูกมัด appeared first on THE STANDARD.

]]>
สีหศักดิ์ชี้ MOU ความร่วมมือแรร์เอิร์ธกับ สหรัฐฯ จะดึงไทยเข้า ซัพพลายเชนเซมิคอนดักเตอร์ ระดับโลก ไม่มีข้อผูกมัด

สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวที่ศูนย์การประชุมกัวลาลัมเปอร์วันนี้ (26 ตุลาคม) ถึงการลงนามในเอกสารถ้อยแถลงผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยและกัมพูชาว่า ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่กัมพูชามีการแสดงความจริงใจที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งและลดความตึงเครียดจนนำมาสู่การลงนามในวันนี้ นอกจากนี้รัฐมนตรียังเผยรายละเอียดเกี่ยวกับแถลงการณ์ร่วมด้านการเจรจาการค้า และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรร์เอิร์ธที่ไทยทำกับสหรัฐฯ ด้วย

 

รัฐมนตรีกล่าวว่า กัมพูชาจะเริ่มดำเนินการตามเงื่อนไขของข้อตกลงตามที่ไทยให้ความสำคัญ เช่น เรื่องการถอนอาวุธหนักออกจากชายแดน การเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการจัดระเบียบชายแดน ส่วนฝ่ายไทยจะเริ่มกระบวนการปล่อยตัวเชลยศึก 18 นาย ซึ่งมีขั้นตอนและใช้เวลา

 

ขณะเดียวกันรัฐมนตรีต่างประเทศย้ำว่า กัมพูชาต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขในถ้อยแถลงร่วมนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะนำไปสู่สันติภาพได้อย่างแท้จริง

 

ส่วนประเด็นคำเรียกข้อตกลงที่ไทยใช้คำว่า ‘ถ้อยแถลงผลการพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย’ ส่วนทรัมป์และมาเลเซียเรียกว่า ‘ข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์’ (Kuala Lumpur Peace Accord) นั้น รัฐมนตรีตอบว่า ไทยมองถ้อยแถลงร่วมฉบับนี้ว่าเป็น ‘แนวทางไปสู่สันติภาพ’

 

ผู้สื่อข่าว THE STANDARD ได้ถามถึงรายละเอียดเกี่ยวกับบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU ว่าด้วยความร่วมมือด้านแร่ธาตุสำคัญที่สหรัฐฯ ทำกับไทย ซึ่งนายกฯ ได้ประกาศในระหว่างพิธีลงนามด้วย รัฐมนตรีอธิบายเพิ่มเติมว่า MOU นี้ มีชื่อเต็มคือ ‘บันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุที่มีความสำคัญในระดับโลก และการส่งเสริมการลงทุน’

 

ซึ่งสีหศักดิ์ระบุว่า MOU นี้ ไม่มีข้อผูกมัดทางกฎหมายใดๆ โดยไทยจะได้ประโยชน์คือ การเข้าไปอยู่ในซัพพลายเชนเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก และไทยกับสหรัฐฯ จะได้แลกเปลี่ยนข้อมูล ซึ่งไทยจะได้องค์ความรู้และการถ่ายทอดเทคโนโลยีในเรื่องแร่ธาตุสำคัญจากสหรัฐฯ ด้วย นอกจากนี้บันทึกความเข้าใจดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในไทยด้วย

 

นอกจาก MOU ดังกล่าวแล้ว ไทยกับสหรัฐฯ ยังมีการประกาศแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยกรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศไทย (Joint Statement on a Framework for a United States – Thailand Agreement on Reciprocal Trade) ซึ่งจะเป็นกรอบการเจรจาเพิ่มเติมกับสหรัฐฯ เพื่อลดอุปสรรคทางการค้าและกำแพงภาษีระหว่างกัน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดของแถลงการณ์ร่วมนี้ 

 

ภาพ: กระทรวงการต่างประเทศ

The post สีหศักดิ์ชี้ MOU ความร่วมมือแรร์เอิร์ธกับสหรัฐฯ จะดึงไทยเข้าซัพพลายเชนเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก ไม่มีข้อผูกมัด appeared first on THE STANDARD.

]]>
สงครามชิปดุเดือด จีนสั่งระงับซื้อ ‘ชิป AI’ รุ่นพิเศษที่ Nvidia ผลิตเพื่อเลี่ยงมาตรการสหรัฐฯ https://thestandard.co/china-rtx-pro-6000d-nvidia-ai-chips/ Thu, 18 Sep 2025 03:00:12 +0000 https://thestandard.co/?p=1120117

หน่วยงานกำกับดูแลไซเบอร์สเปซของจีนได้สั่งให้บริษัทต่างๆ […]

The post สงครามชิปดุเดือด จีนสั่งระงับซื้อ ‘ชิป AI’ รุ่นพิเศษที่ Nvidia ผลิตเพื่อเลี่ยงมาตรการสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>

หน่วยงานกำกับดูแลไซเบอร์สเปซของจีนได้สั่งให้บริษัทต่างๆ รวมถึง Alibaba Group Holding Ltd. ระงับการสั่งซื้อ RTX Pro 6000D ของ Nvidia Corp. ซึ่งเป็นเซมิคอนดักเตอร์สำหรับเวิร์กสเตชันที่สามารถนำมาใช้ซ้ำสำหรับการใช้งานด้านปัญญาประดิษฐ์ได้ การตัดสินใจครั้งนี้ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่มีรายงานว่าหลายบริษัทเดิมมีแผนจะซื้อชิปจำนวนนับหมื่นตัว โดย Nvidia พัฒนารุ่นนี้ขึ้นมาเพื่อหลบเลี่ยงข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ ที่ห้ามขายชิป AI ระดับสูงให้จีน

 

ข่าวดังกล่าวส่งผลให้หุ้น Nvidia ร่วงลง 2.7% ในการซื้อขายที่สหรัฐฯ ขณะที่หุ้นคู่แข่งอย่าง AMD ก็ลดลงเกือบ 1% การเคลื่อนไหวของปักกิ่งครั้งนี้สะท้อนความพยายามลดการพึ่งพาฮาร์ดแวร์ต่างชาติ และเร่งส่งเสริมชิปภายในประเทศ ขณะเดียวกัน จีนยังคงประท้วงมาตรการคุมเข้มของสหรัฐฯ ที่ปิดกั้นไม่ให้บริษัทจีนเข้าถึงชิปขั้นสูงและอุปกรณ์การผลิต ซึ่งเป็นหัวข้อสำคัญในการเจรจาการค้าระหว่างสองประเทศ

 

อย่างไรก็ตาม ทำเนียบขาวปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจล่าสุดของจีน โดยการประชุมทางโทรศัพท์ระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง ซึ่งจะมีขึ้นในวันศุกร์นี้ถูกคาดว่าจะหารือหลายประเด็น รวมถึงดีล TikTok ในสหรัฐฯ เช่นกัน ซีอีโอของ Nvidia อย่าง เจนเซ่น หวง แสดงความผิดหวังต่อข้อสั่งห้ามดังกล่าว โดยกล่าวว่า “เราสามารถให้บริการตลาดได้ก็ต่อเมื่อประเทศนั้นยอมรับเรา”

 

ปัจจุบัน Nvidia ครองตลาดชิปที่จำเป็นต่อการพัฒนาและให้บริการ AI ซึ่งบริษัทชั้นนำอย่าง OpenAI และ Meta ใช้งานอยู่ แม้บริษัทจีนจะพยายามพัฒนาทางเลือกภายในประเทศ แต่ก็ยังคงต้องการฮาร์ดแวร์ของ Nvidia อย่างมาก บริษัทจึงกดดันรัฐบาลสหรัฐฯ ให้ผ่อนคลายข้อจำกัดที่เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2022 โดยมีเป้าหมายสกัดไม่ให้จีนได้เทคโนโลยี AI ที่อาจเพิ่มศักยภาพทางทหาร

 

ทั้งนี้ ชิป RTX Pro 6000D เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ Nvidia พัฒนาสำหรับตลาดจีน โดยไม่ใช่รุ่นหลัก จุดประสงค์หลักคือใช้กับงานกราฟิกและการออกแบบผลิตภัณฑ์ แต่ก็สามารถประยุกต์ใช้ในศูนย์ข้อมูล AI ได้ แม้จะด้อยประสิทธิภาพกว่าชิประดับสูง นอกจากนี้ยังมีรุ่นสำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่เหมาะกับห้องข้อมูลขนาดเล็ก ไม่ใช่ศูนย์ขนาดใหญ่เหมือนที่ใช้ชิปตระกูล Blackwell การสั่งห้ามของปักกิ่งจึงทำให้ตัวเลือกของบริษัทจีนแคบลงอีก

 

Nvidia ยังพัฒนา H20 ชิปสำหรับงาน AI โดยเฉพาะ ซึ่งแม้จะด้อยกว่ารุ่นท็อปแต่เหมาะกับการทำ inference (การตีความและสรุปผลของโมเดล AI) สหรัฐฯ เคยจำกัดการขาย H20 ให้จีน แต่ต่อมาก็อนุมัติการส่งออกในบางกรณี โดยแลกกับส่วนแบ่งรายได้ 15% อย่างไรก็ตาม จีนกลับแสดงท่าทีไม่สนับสนุนการใช้งาน H20 ทำให้ Nvidia แม้ได้รับอนุญาตแล้วก็ยังไม่สามารถส่งออกจริง CFO ของ Nvidia ยอมรับว่าบริษัทต้องรอให้รัฐบาลจีนแสดงท่าทีเชิงบวกก่อน

 

แรงกดดันต่อบริษัทสหรัฐฯ ไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ จีนเพิ่งตัดสินว่า Nvidia มีความผิดด้านการผูกขาดจากการเข้าซื้อ Mellanox Technologies มูลค่า 7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2020 และยังเปิดการสอบสวนการทุ่มตลาดต่อชิปบางชนิดที่ผลิตโดยบริษัทสหรัฐฯ เช่น Texas Instruments

 

ในอีกด้านหนึ่ง ความเชื่อมั่นต่อชิปในประเทศของจีนกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายงานระบุว่าทางการเริ่มเห็นว่าชิปภายในมีความก้าวหน้าพอ Huawei เป็นผู้นำในการพัฒนา AI ชิปสำหรับตลาดในประเทศ ขณะที่บริษัทใหม่อย่าง Cambricon ก็มีความก้าวหน้าไม่น้อย Alibaba และ Baidu ต่างก็เร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง Alibaba ถึงขั้นได้ลูกค้ารายใหญ่คือผู้ให้บริการเครือข่ายมือถืออันดับ 2 ของประเทศที่เลือกใช้ชิป “T-Head” ของตน แสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม

 

การสั่งห้ามซื้อชิป Nvidia รุ่น RTX Pro 6000D ของรัฐบาลจีนถือเป็นหมากสำคัญในสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน ไม่เพียงกระทบต่อยอดขายของ Nvidia และตลาดหุ้น แต่ยังตอกย้ำทิศทางที่ปักกิ่งต้องการผลักดันประเทศให้พึ่งพาเทคโนโลยีภายใน ขณะที่สหรัฐฯ ยังคงใช้มาตรการควบคุมการส่งออกเพื่อจำกัดความก้าวหน้าของจีนในด้าน AI ความเคลื่อนไหวนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของธุรกิจชิป แต่ยังเป็นเวทีเชิงยุทธศาสตร์ในความสัมพันธ์สองชาติมหาอำนาจ

 

ภาพ: Cylonphoto/Getty Images

 

อ้างอิง:

The post สงครามชิปดุเดือด จีนสั่งระงับซื้อ ‘ชิป AI’ รุ่นพิเศษที่ Nvidia ผลิตเพื่อเลี่ยงมาตรการสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
บีโอไอบุกสหรัฐฯ จีบ 10 บิ๊กคอร์ปชิป ขยายฐานผลิต “ชิปเมดอินไทยแลนด์” ลุยปั้นคนไทย 8 หมื่นคน ป้อนตลาดใน 5 ปี https://thestandard.co/boi-avu-us-semiconductor-investment/ Mon, 15 Sep 2025 08:38:16 +0000 https://thestandard.co/?p=1119453 boi-avu-us-semiconductor-investment

หัวข้อในเนื้อหานี้   เจาะอุตฯ เซมิคอนดักเตอร์ชั้นน […]

The post บีโอไอบุกสหรัฐฯ จีบ 10 บิ๊กคอร์ปชิป ขยายฐานผลิต “ชิปเมดอินไทยแลนด์” ลุยปั้นคนไทย 8 หมื่นคน ป้อนตลาดใน 5 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
boi-avu-us-semiconductor-investment

 

บีโอไอ-อว. เยือนสหรัฐฯ หารือบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำของโลก โชว์ศักยภาพไทยฐานการผลิต พร้อมลงนาม MOU กับมหาวิทยาลัยแอริโซนา ตั้งเป้าพัฒนาบุคลากรกว่า 80,000 คนใน 5 ปี รับอุตสาหกรรมชิปครบวงจร

 

นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอพร้อมด้วยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี เดินทางเยือนรัฐแอริโซนาและรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 8 – 12 กันยายน 2568 เพื่อหารือกับบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ พร้อมร่วมเป็นสักขีพยานในการ
ลงนามความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกระทรวงอว. และมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแอริโซนา (ASU) ซึ่งเป็นสถาบันหลักในการพัฒนาบุคลากรด้านเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ ขณะที่รัฐแอริโซนา ถือเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่มีบริษัทชั้นนำตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น บริษัท TSMC, Intel, NXP, Microchip และ Amkor 

 

การจัดโรดโชว์ครั้งนี้ เป็นการต่อยอดการเยือนสหรัฐฯ เมื่อเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งครั้งนั้นได้พบกับสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์สหรัฐฯ (SIA) สมาคมผู้ประกอบการเซมิคอนดักเตอร์นานาชาติ (SEMI) สภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน และบริษัทชั้นนำในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ 

 

โดยโรดโชว์ทั้งสองครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อผลักดันเป้าหมายของคณะกรรมการนโยบายอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงแห่งชาติ (บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์) ให้บรรลุผล 2 ประการคือ 1) ดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ไม่น้อยกว่า 5 แสนล้านบาทใน 5 ปี (2568 – 2572) โดยเฉพาะอุตสาหกรรมต้นน้ำที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และ 2) พัฒนาบุคลากรด้านเซมิคอนดักเตอร์ ไม่น้อยกว่า 80,000 คนใน 5 ปี เพื่อสร้างฐานกำลังคนรองรับอุตสาหกรรมอนาคต

 

เจาะอุตฯ เซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำสหรัฐฯ

 

“เซมิคอนดักเตอร์” กลายมาเป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของโลก เพราะเป็นหัวใจสำคัญของการผลิตหน่วยประมวลผล และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ระดับสูง ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดโลกกว่า 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะเพิ่มเป็นกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2030 

 

จากความต้องการชิปรุ่นใหม่ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น AI ดาต้าเซ็นเตอร์ ยานยนต์สมัยใหม่ สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ โดยสหรัฐอเมริกาถือเป็นผู้นำในเกือบทุกเซกเมนต์ ไม่ว่าจะเป็นชิปประมวลผล ชิปสำหรับ AI ชิปด้านการส่งสัญญาณต่างๆ ฯลฯ

 

ทั้งนี้ ในโรดโชว์ครั้งนี้ บีโอไอและทีมไทยแลนด์ได้พบกับบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลกกว่า 10 ราย ประกอบด้วย บริษัทที่มีฐานผลิตในไทยอยู่แล้ว โดยได้เชิญชวนให้ขยายการลงทุน โดยเฉพาะการผลิตในระดับต้นน้ำที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น

  • Microchip ผู้นำในตลาดชิปประเภทไมโครคอนโทรลเลอร์ (MCU) และระบบอัจฉริยะในยานยนต์ การสื่อสาร และอุตสาหกรรมอวกาศ โดยมีการลงทุนประกอบและทดสอบชิปในไทยมากว่า 30 ปี ได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอ 12 โครงการ
  • Analog Devices (ADI) ผู้นำด้านชิปอนาล็อก ชิปส่งสัญญาณ และเซนเซอร์อัจฉริยะที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ การสื่อสาร การแพทย์ และการควบคุมการผลิต มีการลงทุนทดสอบชิปในไทย และอยู่ระหว่างเตรียมจัดตั้งศูนย์วิจัยและออกแบบชิปต้นน้ำในไทย
  • Lumentum ผู้นำด้านการออกแบบ และผลิตชิปในกลุ่มสื่อสารด้วยแสงและเลเซอร์สำหรับงานอุตสาหกรรม ได้ลงทุนตั้งศูนย์ประกอบและทดสอบชิปที่ใหญ่ที่สุดในเครือในไทยตั้งแต่ปี 2558
  • NXP Semiconductors ผู้นำด้านชิปสำหรับยานยนต์ ความปลอดภัยดิจิทัล และการสื่อสารไร้สาย โดยลงทุนในไทยมากว่า 50 ปี ได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอ 6 โครงการและมีการขยายอย่างต่อเนื่อง จนเป็นหนึ่งในฐานการประกอบและทดสอบชิปที่ใหญ่ที่สุดในเครือ

 

นอกจากนี้ ยังได้พบหารือกับบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่ยังไม่มีการลงทุนด้านนี้ในไทย เพื่อเชิญชวนให้เข้ามาลงทุนในไทย เช่น 

  • Intel บริษัทชิปประมวลผลรายใหญ่ของโลก ผู้พัฒนาและผลิตชิปสำหรับคอมพิวเตอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ และระบบ AI
  • Qorvo ผู้ผลิตชิปสำหรับอุปกรณ์และระบบที่ต้องใช้การเชื่อมต่อไร้สาย ครอบคลุมอุตสาหกรรมหลากหลาย เช่น สมาร์ทโฟน โครงสร้างพื้นฐาน IoT และพลังงาน
  • Synopsys ผู้นำด้านการโปรแกรมออกแบบผลิตภัณฑ์ชิป ซึ่งให้บริการครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบชิปจนถึงกระบวนการผลิต (Electronic Design Automation: EDA) อันดับหนึ่งของโลก
  • Renesas หนึ่งในผู้ผลิตชิปประมวลผลประเภทไมโครคอนโทรลเลอร์ (MCU)สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
  • Bechtel บริษัทวิศวกรรมและก่อสร้างระดับโลก ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับโรงงานผลิตชิปและโครงการเมกะโปรเจกต์

 

อย่างไรก็ตาม จากการหารือ หลายบริษัทแสดงความสนใจ และจะเริ่มทำงานร่วมกับบีโอไอและกระทรวง อว. เพื่อศึกษารายละเอียดในการขยายกิจการด้านการวิจัยและพัฒนา การตั้งศูนย์ออกแบบชิป การประกอบและทดสอบชิปขั้นสูงในไทย โดยบริษัทต่างๆ ได้ย้ำถึงการสร้างกำลังคนให้เพียงพอ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่มีผลต่อการลงทุน

 

จับมือมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแอริโซนา (ASU) ปั้นกำลังคน 

 

เพื่อตอบโจทย์ด้านการพัฒนาบุคลากรไทย คณะได้เข้าหารือกับมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแอริโซนา (ASU) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยนวัตกรรมอันดับ 1 ของสหรัฐฯ และเป็น 1 ใน 3 สถาบันที่รัฐบาลสหรัฐฯ เลือกให้เป็นที่ตั้งศูนย์วิจัยเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ รวมทั้งเป็นมหาวิทยาลัยที่ได้รับเงินสนับสนุน
เพื่อพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ภายใต้ CHIPS Act มากที่สุดในสหรัฐฯ ทั้งนี้ บีโอไอเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม MOU ระหว่างกระทรวง อว. และ ASU ซึ่งครอบคลุมการพัฒนาหลักสูตร การวิจัยร่วม การแลกเปลี่ยนอาจารย์–นักศึกษา การฝึกอบรมเพื่อ Upskill/Reskill วิศวกรและแรงงานรวมถึงการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศ
ด้านเซมิคอนดักเตอร์ในไทย

 

“ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตอิเล็กทรอนิกส์มากว่า 50 ปี โดยเฉพาะในขั้นตอนการประกอบและทดสอบ และมีศักยภาพที่จะต่อยอดไปสู่ต้นน้ำที่มีเทคโนโลยีและมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวิจัยและพัฒนา การออกแบบชิป การผลิตแผ่นเวเฟอร์ หรือการประกอบและทดสอบชิปขั้นสูง ซึ่งจำเป็นต้องดึงดูดบริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเข้ามาลงทุน ควบคู่กับการสร้าง Ecosystem ให้พร้อม” นฤตม์ กล่าว

 

โดยเฉพาะการสร้างซัพพลายเชนในประเทศ และการพัฒนาบุคลากรไทยด้านเซมิคอนดักเตอร์ด้วยการทำงานอย่างใกล้ชิดของภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม ภาคการศึกษา รวมทั้งสถาบันชั้นนำจากต่างประเทศ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายให้ไทยสามารถสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ครบวงจรในประเทศ หรือ Made-in-Thailand Chip 

 

ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565 – 2567) มีการขอรับส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงถึง 406 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 6 แสนล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากสหรัฐฯญี่ปุ่น ยุโรป จีน และไต้หวัน

 

The post บีโอไอบุกสหรัฐฯ จีบ 10 บิ๊กคอร์ปชิป ขยายฐานผลิต “ชิปเมดอินไทยแลนด์” ลุยปั้นคนไทย 8 หมื่นคน ป้อนตลาดใน 5 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจาะทำเลทองหมื่นล้าน ‘นิคมอารยะ’ ศึก 3 เจ้าสัว ชิงฐานผลิตไฮเทคแรกของไทย รับยุคภาษีทรัมป์ https://thestandard.co/araya-industrial-estate-launch/ Wed, 03 Sep 2025 01:47:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1114848

หัวข้อในเนื้อหานี้   ‘ชิป’ ยักษ์ใหญ่เยอรมัน เลือกน […]

The post เจาะทำเลทองหมื่นล้าน ‘นิคมอารยะ’ ศึก 3 เจ้าสัว ชิงฐานผลิตไฮเทคแรกของไทย รับยุคภาษีทรัมป์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

 

หลังจากที่ 3 ทายาททุนใหญ่วงการอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มเจ้าสัวเจริญ-โสภณพนิช-โรจนะ จับมือ กนอ. ทุ่มกว่า 20,000 ล้านบาท ร่วมทุนสร้าง ‘นิคมอารยะ’ ซึ่งคว้าทำเลทอง กิโลเมตรที่ 32 ของถนนบางนา-ตราด จ.สมุทรปราการ 4,600 ไร่

 

เพื่อรองรับอุตสาหกรรมอัจฉริยะ หรือกลุ่มไฮเทคใกล้กรุงเทพฯ สนามบินสุวรรณภูมิ เชื่อมต่อจากถนนบางนา-ตราด สู่ทางพิเศษกรุงเทพ-ชลบุรีสายใหม่ (Motorway) ซึ่งคาดว่าจะมีการจ้างงานกว่า 14,560 อัตรา ที่เปิดตัวไปเมื่อช่วงต้นปี 2025 

 

วันนี้ (2 ก.ย.68) THE STANDARD WEALTH ได้เข้าชมโครงการ พร้อมสัมภาษณ์พิเศษผู้บริหารถึงความคืบหน้า 

 

กมลกาญจน์ คงคาทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท อารยะ แลนด์ ดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด กล่าวว่า นิคมนี้ไม่ได้เพียงพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ แต่กำลังสร้างระบบนิเวศ เพื่ออนาคตของอุตสาหกรรมไทย เป็นแคมปัสอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี, พื้นที่โลจิสติกส์, นิคมอุตสาหกรรมอารยะ และโซนไลฟ์สไตล์และบริการครบวงจรในที่เดียว เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจของนักลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ และเป็นโอกาสดึงดูดนักลงทุนเข้ามาตั้งฐานผลิตในไทย ท่ามกลางนโยบายภาษีสหรัฐฯ 2025

 

กมลกาญจน์ คงคาทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท อารยะ แลนด์ ดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด

 

ปัจจุบัน โครงการ อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์ มีความคืบหน้าก่อสร้างเฟส 1 ซึ่งปลายปีหน้าจะครบ 100% โดยขณะนี้ได้รับการประกาศเป็นพื้นที่ ‘นิคมอุตสาหกรรม’ อย่างเป็นทางการแล้ว และเพื่อสร้างจุดแข็งเชิงกลยุทธ์ โครงสร้างพื้นฐาน ได้ร่วมมือกับลูกค้า และพันธมิตร รายใหญ่ของไทยแล้ว 5 ราย

  • กลุ่ม ปตท. (PTT Group): ให้บริการโซลูชันด้านพลังงานผ่านการใช้ก๊าซธรรมชาติ เพื่อเสริมความมั่นคงด้านพลังงานและสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรม
  • เอไอเอส (AIS): พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร และเครือข่ายดิจิทัลด้วยระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (5G / Fiber Optic) เพื่อรองรับความต้องการของอุตสาหกรรมยุคใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยีอัจฉริยะ
  • การไฟฟ้านครหลวง (MEA): ให้บริการจำหน่ายไฟฟ้าทั้งในระบบ 115kV/24kV อย่างเสถียร และเพื่อรองรับภาคอุตสาหกรรมใหม่ 

 

นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการจัดการพื้นที่ด้วยแนวทางการพัฒนา โครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การพัฒนาอาคารประหยัดพลังงาน และการผสานพลังงานแสงอาทิตย์เข้ากับระบบไฟฟ้าหลัก โดยได้มีการติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาอาคารและพื้นที่โล่งในโครงการ ซึ่งส่วนใหญ่ลูกค้ารายใหญ่ๆมักจะมองหาทำเลที่มี Green Energy 

 

ทั้งนี้ อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์ นับเป็น นิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ (Smart Industrial Estate) แห่งแรกของประเทศไทย ที่พัฒนาภายใต้กรอบองค์ประกอบ หลัก 7 ด้าน ได้แก่ Smart Facilities, Smart IT, Smart Energy, Smart Economy, Smart Governance, Smart Living และSmart Workforce ผสานรวมผ่าน One-Stop Service Platform

 

‘ชิป’ ยักษ์ใหญ่เยอรมัน เลือกนิคมอารยะ ฐานผลิตใหม่ ‘แห่งแรกอาเซียน’ 

 

กมลกาญจน์ เผยอีกว่า จากศักยภาพด้านทำเล โครงสร้างพื้นฐาน และแนวคิด โครงการ ล่าสุด นักลงทุนต่างชาติยักษ์ใหญ่ อย่าง ผู้นำด้านเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก คือ บริษัท อินฟินีออน เทคโนโลยีส์ แมนูแฟคเชอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์เบอร์ 1 จากเยอรมนี เลือกที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งโรงงานผลิต Back End แห่งใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้ซื้อที่ดินไปแล้ว 125 ไร่ 

 

“อินฟินีออนจะพัฒนาเป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ (Back End Production) ซึ่งเป็นแผนขยายฐานการผลิตในเอเชีย รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของโมดูลพลังงาน ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้าง และมีแผนเปิดโรงงานต้นปี 2026”

 

ทั้งนี้ อินฟินีออน เป็นผู้นำระดับโลกด้านเซมิคอนดักเตอร์ในระบบพลังงาน และ IoT ที่ครองส่วนแบ่งการตลาด 21.3% และครองตำแหน่งผู้นำตลาดใน ตลาดไมโครคอนโทรลเลอร์ระดับโลกอีกด้วย โรงงานนี้จะเกิดการจ้างงานทักษะสูง ซึ่งจะมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับวิศวกรคนไทย และกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนใจด้านชิปเซมิคอนดักเตอร์

 

นอกจากนี้ ยังมี (IFMT) ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ระดับภูมิภาค อย่าง มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. (MR. D.I.Y.) (ประเทศไทย) รวมไปถึงผู้ให้บริการ Data Center ชั้นนำ ที่อยู่ระหว่างพิจารณาอีกหลายราย

 

“หากถามถึงสัญญาณการย้ายฐานผลิตมาไทยของทุนต่างชาติ ขณะนี้เห็นสัญญาณชัดเจนของผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมชิปเซมิคอนดักเตอร์ ที่สนใจติดต่อเข้ามามากที่สุด”

 

กมลกาญจน์ ระบุว่า ลูกค้าอุตสาหกรรมที่เป็นกลุ่มต่างชาติ ที่จะมาส่วนใหญ่จะสอดรับไปกับนโยบายอุตสาหกรรมใหม่ของ BOI ซึ่งมี 5 สาขาหลักที่เป็น Game Changer ของประเทศ เรียกได้ว่าเป็น New Growth Engine ของไทยในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น 

 

  1. Bio-based & Green Industries (BCG)
  2. EV+Battery
  3. Data Center
  4. Digital
  5. Semiconductor and Advanced Electronics

 

“อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์ ไม่ได้เป็นแค่พื้นที่อุตสาหกรรม แต่คือฟันเฟือง ดันอนาคตอุตสาหกรรมไทย ตั้งแต่เทคโนโลยีขั้นสูงไปจนถึงคุณภาพชีวิต ที่คาดว่าจะมีการจ้างงานคนไทยถึงหมื่นคน และพร้อมเป็นประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ให้กับนักลงทุนที่มองการลงทุนระยะยาว ซึ่งเฟสแรก ตั้งเป้าไว้ที่ 400 ไร่” กมลกาญจน์ กล่าว 

 

เผยภาษีทรัมป์-การเมืองไทย ‘นักลงทุนมองข้ามช็อต’

 

เมื่อถามว่ามองบรรยากาศการลงทุนท่ามกลางปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และภาษีสหรัฐฯ อย่างไรนั้น “แน่นอนว่า เราเห็นสัญญาณการย้ายฐานผลิต ซึ่งเรื่องนี้ก็ล้อไปกับนโยบายภาครัฐ ดังนั้น จึงมีทั้งลูกค้ารายเล็กและรายใหญ่สนใจ ทั้งจีน ไต้หวัน ยุโรป สหรัฐฯและไทยเองในสัดส่วนเท่าๆ กัน”

 

โรงงาน

 

เมื่อถามว่า หากเทียบแต้มต่อไทยและเพื่อนบ้าน อยู่ตรงไหนนั้น มองว่า เชื่อว่านักลงทุนมองโครงสร้างพื้นฐาน และลงทุนระยะยาว ประกอบกับความต่อเนื่องของนโยบาย ซึ่งไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนเข้ามาบริหาร ก็ต้องเดินหน้าอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเป็นอนาคต ซึ่งขณะนี้ก็เรียกได้ว่ามาถูกทาง 

 

ส่วน 4 เดือนที่เหลือจะเป็นอย่างไรนั้น “ไม่ว่าจะมีความท้าทายทั้งปัจจัยภายนอกและการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเชื่อว่า นักลงทุนมองข้ามช็อตนี้และต้องเดินหน้าลงทุนต่อ ซึ่งส่วนตัวมองว่าภาษีทรัมป์ท้าทายและยาก มากกว่าการเมืองภายใน” กมลกาญจน์ กล่าว 

 

สำหรับ อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์ (ARAYA-The Eastern Gateway) เปิดพื้นที่โครงการด้วยแนวคิด การเป็นนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ ครบวงจรแห่งแรกของไทย (Thailand’s First Industrial-Tech Ecosystem) โดยตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและอุตสาหกรรมระดับโลก ที่พร้อมรองรับเทคโนโลยีขั้นสูงและระบบนิเวศธุรกิจครบวงจร พร้อมผลักดันอุตสาหกรรม S-Curve ยกระดับสู่ ‘Township’ อุตสาหกรรมอัจฉริยะ ที่ผสานการบริหารจัดการนิคมฯ เทคโนโลยี

 

นิคมแห่งนี้เป็นการสร้างระบบนิเวศเมืองอุตสาหกรรมและนวัตกรรมครบวงจรรูปแบบใหม่ ที่ยังไม่มีในไทย ที่พัฒนาขึ้นภายใต้ Industrial-Tech Ecosystem จากการร่วมทุนของ 3 ยักษ์ใหญ่ ทายาทวงการอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ 

 

  1. บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) (กลุ่มเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี)
  2. บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) 
  3. บริษัท นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย จำกัด หรือเอเชีย อินดัสเตรียล เอสเตท (โสภณพนิช)

 

สำหรับสัดส่วนการถือหุ้น 

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (เจ้าของที่ดิน) ถือหุ้น 50% 

นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ถือหุ้น 25% 

และสวนอุตสาหกรรมโรจนะ ถือหุ้น 25% 

 

ที่มาของชื่อ ‘อารยะ’ คือสื่อถึงอารยธรรม ความเจริญรุ่งเรือง ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของนวัตกรรม การเติบโตทางธุรกิจ ส่วน “ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์” สื่อถึงทำเลของโครงการที่เชื่อมต่อสู่ภาคตะวันออก และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่จะเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมหลักแห่งใหม่ของประเทศ

The post เจาะทำเลทองหมื่นล้าน ‘นิคมอารยะ’ ศึก 3 เจ้าสัว ชิงฐานผลิตไฮเทคแรกของไทย รับยุคภาษีทรัมป์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สมาคมเซมิคอนดักเตอร์ ห่วงสหรัฐฯ คุมเกม Transshipment ชี้โจทย์ใหญ่แก้โครงสร้างส่งออกไทย https://thestandard.co/us-transshipment-rules-challenge/ Thu, 14 Aug 2025 13:47:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1107483

กลุ่มผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์ ‘สมาคมเซมิคอนดักเตอร์-เดลต้า […]

The post สมาคมเซมิคอนดักเตอร์ ห่วงสหรัฐฯ คุมเกม Transshipment ชี้โจทย์ใหญ่แก้โครงสร้างส่งออกไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>

กลุ่มผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์ ‘สมาคมเซมิคอนดักเตอร์-เดลต้า-สมาคมแผ่นวงจรพิมพ์ไทย (PCB)’ ห่วงสหรัฐคุมเข้ม ‘Transshipment’ เขย่าโครงสร้างส่งออกไทย ‘พาณิชย์’ รับส่งออกสินค้าไทยยังกระจุกตัว ฉุดขีดความสามารถทางการแข่งขัน ย้ำเร่งหาตลาดส่งออกใหม่ๆ ปรับโครงสร้างส่งออกด่วน

 

ดร.นัยวุฒิ วงษ์โคเมท อุปนายกสมาคมการค้าอุตสาหกรรมไทย เซมิคอนดักเตอร์ กล่าวในงานเสวนา ผลการศึกษา “โครงการศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างภาคการส่งออก เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยในตลาดโลกให้เติบโตอย่างยั่งยืน” ว่า ที่ผ่านมาไทยผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ส่งออกจำนวนมาก แต่ไทยเพิ่งก่อตั้งสมาคมชิปเซมิคอนดักเตอร์เมื่อไม่นาน ซึ่งสมาคมนี้กลับมีเกือบทุกประเทศในโลก

 

30 ปีที่แล้วในยุคต้มยำกุ้ง ได้สะท้อนบทความจาก Wall Street Journal เขียนถึงอุตสาหกรรมนี้ในประเทศไทย ผ่านไป 30 ปียังเหมือนเดิม หมายความว่าเรื่องนี้ไทยยังอยู่ที่เดิม หันมามองที่ TSMC 30 ปีผ่านไป ก้าวเป็นอันดับ 1 ของโลก

 

สิ่งที่น่าสนใจของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ คือไทยยังไม่มีแผนยุทธศาสตร์เซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติที่ชัดเจน ต่างจากมาเลเซีย ซึ่งเรายังล้าหลัง แม้ว่าไทยมีหน่วยงาน BOI ซึ่งอยู่ระหว่างก่อตั้งคณะทำงานและพัฒนาแผน

 

อย่างไรก็ตาม ชิปเซมิคอนดักเตอร์เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ 40% เป็นหัวใจของการส่งออก แต่หากดูหนังสือ ‘Chip War’ แทบไม่มีชื่อไทยแลนด์แม้แต่นิดเดียว

 

“สิ่งที่น่าห่วงของภาษีสหรัฐฯ จากนี้ คือประเด็น Transshipment จะกลายเป็น Uncertainty (ความไม่แน่นอน) ส่วนประเด็นการย้ายฐานผลิตไปยังสหรัฐฯ คงไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งต้องดูว่าตลาดในโลกนี้จะสามารถเพิ่มสัดส่วนส่งออกตลาดอื่นได้อีกหรือเปล่า ฉะนั้นการแก้โครงสร้างส่งออก ควรมองการแก้ปัญหาเป็นเรื่องๆ มากกว่า”

 

ทั้งนี้ อยากฝากถึงรัฐบาลว่างบสนับสนุนต่างๆ ควรวางมาสเตอร์แพลนระยะยาว รวมถึง Local Purchase (การจัดซื้อ) 2 มุม คือความต่อเนื่องของอุตสาหกรรม โดยการเพิ่มมาตรการ Local content ควรเพิ่ม Local Knowhow และ Local Chip ถ้าใครทำก็ควรได้สิทธิประโยชน์ ซึ่งเรื่องนี้ล้วนขึ้นอยู่กับนโยบาย

 

อย่างไรก็ตาม นอกจากหน่วยงานหลักอย่าง BOI ที่จะเดินหน้ามาสเตอร์แพลน ควรมีกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศเข้ามามีบทบาท ซึ่งยอมรับว่าอุตสาหกรรมนี้เป็นอุตสาหกรรมที่ยาก ต้องร่วมมือกันหลายหน่วยงาน

 

กิตติศักดิ์ เงินงอกงาม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน บริษัท เดลต้า อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เดลต้าทุ่มลงทุน R&D ถึง 8.3% เพื่อพัฒนาโปรดักต์โรงงานแต่ละประเทศ ดังนั้นกรณีภาษีทรัมป์จึงมอง ‘เกมระยะยาว’ มากกว่า ส่วนสำคัญที่ส่งออกไทยต้องปรับ คือการผลิตสินค้า ‘Made in Thailand’ รัฐต้องเจาะเฉพาะกลุ่มเชิงลึกที่มากกว่าการจัดงาน Business Matching ซึ่งเดลต้าเองก็อยากใช้ซัพพลายเออร์เมืองไทยที่ผลิตโดยคนไทย เพื่อสกัดการสวมสิทธิ์สินค้า

 

สอดคล้องกับ เสวก ประกิจฤทธานนท์ อุปนายกและเลขาธิการสมาคมแผ่นวงจรพิมพ์ไทย (PCB) มองว่าอุตสาหกรรมนี้เป็น ‘Long Term เกม’ ความเสี่ยงที่น่าห่วงจึงไม่ใช่แค่เรื่องภาษี 19% อย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของสงครามการค้าที่ไม่จบลงง่ายๆ และเห็นด้วยในประเด็นที่ต้องจับตาคือ สหรัฐฯ ต้องการเข้มงวดถิ่นกำเนิดสินค้ามาจากไทย

 

สหรัฐฯ อาจลงลึกไปถึง ‘ผู้ถือหุ้น’

 

นอกจากสินค้า อาจต้องลงลึกไปถึง ‘ผู้ถือหุ้น’ อยากฝากรัฐบาลให้ดูแลเพราะบางเรื่องละเอียดอ่อน และควรคิดวางแผนปรับโครงสร้างการผลิตอย่างจริงจัง เพราะเรื่องอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร (NTB) เป็นเรื่องที่แก้ยาก แต่ในทางกลับกัน ก็เป็นโอกาสปรับของอุตสาหกรรมไทยด้วย

 

“ภาษีตอบโต้ ทำให้คนอเมริกันซื้อของน้อยลง กระทบคนอเมริกันเอง ท้ายที่สุดการย้ายฐานการผลิตไปสหรัฐฯ คงไม่ใช่เรื่องง่าย เกมนี้เป็นเกมยาว เล่นทั้งซัพพลายเชน เราต้องเตรียมรับมือ ซึ่งไม่ใช่แต่เอกชนที่ทำ ทุกฝ่ายต้องค่อยๆ สร้าง เตรียมพร้อมระยะยาว เช่น พัฒนาขีดความสามารถคน แรงงานฝีมือ ลงทุนพลังงานสีเขียว”

 

ณิชชาภัทร กาญจนอุดมการ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์การพัฒนาความสามารถทางการแข่งขัน สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า หรือ สนค. กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ภาคการส่งออกที่เป็นกลไกหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมาอย่างยาวนาน กำลังเผชิญกับทั้งปัจจัยเชิงโครงสร้างการผลิตภายใน และความท้าทายจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่าสินค้าส่งออกยังกระจุกตัว โดยเฉพาะกลุ่มเกษตร และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ จึงต้องเร่งปรับโครงสร้าง ไทยต้องหาตลาดใหม่

 

รศ. ดร.อาชวัน เกาะไพบูลย์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยว่า จากผลการศึกษาอย่างเช่น กลุ่มยานยนต์ ไทยควรผลักดันการส่งออกและเป็น Last Man Standing ให้ ICEVs ต่อยอด HEV ควรต้องเร่งสร้างชิ้นส่วนในประเทศ เพิ่มและกระจายตลาด และต่อยอดจุดเด่นเดิม ต้องพยายามต่อยอดจากสิ่งที่ไทยไปลงทุนดึงดูดผู้ผลิต BEVs มาตั้งโรงงานในไทยผ่านการส่งออก

 

ส่วนข้อเสนอทางนโยบาย เช่น ควรดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางกระแสสงครามการค้า กำหนดยุทธศาสตร์ระดับชาติเกี่ยวกับการพัฒนา FTA เพื่อกระจายตลาด ปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพบังคับใช้ชิ้นส่วนในประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงถูกกล่าวหาสวมสิทธิ์

 

ภาพ: Ben Welsh / Getty Images

The post สมาคมเซมิคอนดักเตอร์ ห่วงสหรัฐฯ คุมเกม Transshipment ชี้โจทย์ใหญ่แก้โครงสร้างส่งออกไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
รัฐบาลเปิดทำเนียบต้อนรับ 31 บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ดึงลงทุนสร้างศูนย์วิจัย-เสริมทักษะบุคลากรไทย https://thestandard.co/govt-welcomes-31-global-giants/ Wed, 06 Aug 2025 05:16:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1104260

วันนี้ (6 สิงหาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล ภูมิธรรม เวชยชัย รอ […]

The post รัฐบาลเปิดทำเนียบต้อนรับ 31 บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ดึงลงทุนสร้างศูนย์วิจัย-เสริมทักษะบุคลากรไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (6 สิงหาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการหารือระหว่างผู้นำรัฐบาลกับผู้บริหารระดับสูงจากกลุ่มบริษัทชั้นนำของโลกที่มีการลงทุนขนาดใหญ่ในประเทศไทย ในงาน ‘Prime Minister Meets Investors: Confidence in Thailand’s Future-Prime Minister’s Dialogue with Global Investors’

 

มีผู้บริหาร 30 บริษัทชั้นนำระดับโลก เข้าร่วมจาก 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง แผงวงจรพิมพ์ (PCB), ยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่, ดิจิทัล และอุตสาหกรรมอาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ อาทิ บริษัท Sony, Samsung, Unimicron, BYD, Hyundai, Google, TikTok และ Nestlé โดยทุกบริษัทมีการลงทุน รวมถึงการขยายการลงทุนขนาดใหญ่ในไทยช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 5.5 แสนล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงานรวมกว่า 53,000 ตำแหน่ง

 

การหารือครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นของภาคเอกชนต่อศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย พร้อมยืนยันถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่ภาคเอกชนในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย

 

ภูมิธรรมกล่าวต้อนรับนักลงทุน โดยระบุว่า ประเทศไทยถูกเรียกเก็บในอัตรา 19% รัฐบาลไทยตระหนักถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและกติกาการค้าระหว่างประเทศ จึงใช้โอกาสนี้ในการปรับปรุงกลไกต่างๆ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจในประเทศไทยสอดคล้องกับมาตรฐานสากล และสามารถลดความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ รวมถึงรักษาและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจของทุกบริษัทสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

 

นอกจากนี้ ไทยจะเดินหน้าพัฒนากฎระเบียบที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ พัฒนาทักษะแรงงาน เตรียมความพร้อมด้านพลังงานสะอาด และเร่งเจรจาเปิดตลาดการค้ากับประเทศต่างๆ ทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน ประเทศไทยมีความตกลงทางการค้า 17 ฉบับ กับ 24 ประเทศ และอยู่ระหว่างการเจรจาเพิ่มเติมกับอีกหลายประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความได้เปรียบให้กับผู้ประกอบการไทยในการส่งออกไปยังกว่า 50 ประเทศทั่วโลก

 

ภูมิธรรมยังกล่าวถึงการเดินหน้ากลไกพลังงานสะอาด รองรับแนวทาง ESG ว่าได้เปิดให้บริการกลไก Utility Green Tariff (UGT1) ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดพร้อมเอกสารรับรองการใช้พลังงานหมุนเวียน มีบริษัทสนใจยื่นขอใช้บริการแล้วกว่า 40 ราย และมีแผนเปิดตัว UGT2 ซึ่งสามารถระบุแหล่งพลังงานที่มาได้อย่างชัดเจน

 

นอกจากนี้ รัฐบาลยังอยู่ระหว่างเตรียมเปิดกลไก Direct Power Purchase Agreement (Direct PPA) ที่ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถทำสัญญาซื้อพลังงานสะอาดโดยตรงจากผู้ผลิตผ่านสายส่งของรัฐ โดยในระยะแรกจะให้บริการกับกลุ่มธุรกิจ Data Center จำนวน 2,000 เมกะวัตต์ และหากประสบผลสำเร็จจะขยายไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยกลไกพลังงานเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการปรับแผน เพื่อเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดจาก 26% เป็น 51% ภายในปี 2580

 

ที่สำคัญ รัฐบาลจะเร่งพัฒนาบุคลากรไทยให้มีทักษะตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งมหาวิทยาลัย 15 แห่งร่วมมือกับภาคเอกชน 8 ราย เปิดหลักสูตรใหม่ 5 หลักสูตร พร้อมจัดตั้งศูนย์พัฒนากำลังคนเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติอีก 3 แห่ง ตั้งเป้าผลิตบุคลากรกว่า 80,000 คน ภายใน 5 ปี นอกจากนี้ ยังมีโครงการพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและดิจิทัลควบคู่กันไป

 

ด้าน นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่า วัตถุประสงค์สำคัญของการจัดงานนี้ คือ การที่ทีมไทยแลนด์ได้ประสบความสำเร็จในขั้นแรกที่ได้เจรจามาตรการภาษีกับสหรัฐอเมริกา รัฐบาลจึงจะใช้โอกาสนี้ในการสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน และเชิญชวนให้นักลงทุนกลุ่มเป้าหมายนี้ขยายการลงทุนต่อเนื่องประเทศไทย ซึ่งการลงทุนของบริษัทเหล่านี้ไม่เพียงมาตั้งโรงงานการผลิต แต่รัฐบาลได้เชิญชวนให้มาตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา มาช่วยพัฒนาบุคลากร รวมทั้งใช้ประเทศไทยเป็นสำนักงานประจำภูมิภาคหรือ Regional Headquarter อีกด้วย

 

ภายหลังการหารือกับนักลงทุนทั้ง 30 บริษัท ภูมิธรรมร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา BOI และผู้ผลิตแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ชั้นนำระดับโลก 6 ราย ซึ่งมีเงินลงทุนรวมกว่า 51,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนากำลังคนด้านอาชีวศึกษาให้ตอบโจทย์อุตสาหกรรม โดยความร่วมมือนี้จะก่อให้เกิดการจ้างงานทันที 1,880 อัตรา รวมกันไม่น้อยกว่า 3,000 อัตราภายใน 5 ปี เกิดการพัฒนาหลักสูตรร่วมกันระหว่างสถานศึกษาอาชีวศึกษาและภาคอุตสาหกรรม

 

The post รัฐบาลเปิดทำเนียบต้อนรับ 31 บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ดึงลงทุนสร้างศูนย์วิจัย-เสริมทักษะบุคลากรไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
Samsung ‘ติดหล่ม’ โรงงานชิปในเท็กซัส ทุ่ม 1.2 ล้านล้านบาทสร้างจนเกือบเสร็จ แต่เจอปัญหาใหญ่ ‘ไร้เงาลูกค้า’ https://thestandard.co/samsung-delaying-completion-of-us-chip-plant-due-to-lack-of-customers/ Sat, 05 Jul 2025 09:17:48 +0000 https://thestandard.co/?p=1093262 Samsung

Samsung Electronics กำลังเผชิญกับ ‘มรสุมรุมเร้า’ เมื่อโ […]

The post Samsung ‘ติดหล่ม’ โรงงานชิปในเท็กซัส ทุ่ม 1.2 ล้านล้านบาทสร้างจนเกือบเสร็จ แต่เจอปัญหาใหญ่ ‘ไร้เงาลูกค้า’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Samsung

Samsung Electronics กำลังเผชิญกับ ‘มรสุมรุมเร้า’ เมื่อโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์แห่งใหม่ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเม็ดเงินลงทุนกว่า 3.7 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท) และได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องเลื่อนกำหนดการแล้วเสร็จออกไปอย่างไม่มีกำหนด

 

ลึกลงไปสาเหตุกลับไม่ใช่ปัญหาการก่อสร้าง แต่เป็นเพราะยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีจากเกาหลีใต้รายนี้กำลังดิ้นรนอย่างหนักเพื่อหาลูกค้ามารองรับกำลังการผลิต

 

แหล่งข่าวที่คุ้นเคยกับเรื่องนี้เปิดเผยกับ Nikkei Asia ว่า “กระบวนการ (สร้างโรงงานให้เสร็จสมบูรณ์) ล่าช้าเพราะยังไม่มีลูกค้า ตอนนี้ Samsung ไม่อยู่ในสถานการณ์ที่จะทำอะไรได้ แม้จะนำเครื่องจักรเข้ามาติดตั้งในตอนนี้ก็ตาม” ปัญหานี้ตอกย้ำถึงภาวะที่น่าอึดอัดใจ เมื่อโรงงานที่ควรจะเป็นหัวหอกสำคัญกลับต้องหยุดชะงักเพราะ ‘ไร้เงาลูกค้า’ ที่จะมาใช้บริการ

 

ผู้บริหารในห่วงโซ่อุปทานชิปรายหนึ่งกล่าวว่า Samsung ซึ่งมีโรงงานอีกแห่งในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส อยู่แล้วนั้น ไม่ได้เร่งรีบที่จะติดตั้งเครื่องจักรผลิตชิปในโรงงานแห่งใหม่ “ความต้องการชิปในท้องถิ่นไม่ได้แข็งแกร่งเป็นพิเศษ และเทคโนโลยีกระบวนการผลิตที่ Samsung วางแผนไว้เมื่อหลายปีก่อนก็ไม่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันอีกต่อไป”

 

เขาเสริมว่า “อย่างไรก็ตาม การยกเครื่องโรงงานใหม่ทั้งหมดจะเป็นโครงการที่ใหญ่และมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นบริษัทจึงใช้แนวทาง ‘รอดูท่าที’ ไปก่อนในตอนนี้”

 

เดิมที Samsung วางแผนที่จะนำเสนอชิปเซ็ตขนาด 4 นาโนเมตร แต่ภายหลังได้เปลี่ยนแผนเพื่อรวมชิปขั้นสูงขนาด 2 นาโนเมตรเข้าไปด้วยเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป

 

แม้ว่าเอกสาราก Samsung C&T บริษัทในเครือที่รับผิดชอบการก่อสร้าง จะระบุว่าการก่อสร้างแล้วเสร็จไปแล้วถึง 91.8% ณ เดือนมีนาคม และกำหนดการเดิมจะเสร็จสิ้นในเดือนเมษายน 2024 ก่อนจะเลื่อนเป็นสิ้นเดือนตุลาคมปีนี้ แต่การติดตั้งเครื่องจักรสำคัญกลับยังไม่เกิดขึ้น

 

ทาง Samsung Electronics ยืนยันกับ Nikkei Asia ว่าบริษัทยังคงวางแผนที่จะเปิดโรงงานแห่งนี้ในปี 2026 และกล่าวว่าโครงการกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับปัญหาการหาลูกค้าหรือกรอบเวลาที่ชัดเจนในการติดตั้งเครื่องจักร

 

ความล่าช้านี้เกิดขึ้นในขณะที่ Samsung กำลังดิ้นรนเพื่อลดช่องว่างกับคู่แข่งตลอดกาลอย่าง Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. (TSMC) ซึ่งครองตลาดรับจ้างผลิตชิปด้วยส่วนแบ่งตลาดทั่วโลกถึง 67.6% ในไตรมาสแรก ขณะที่ Samsung มีส่วนแบ่งเพียง 7.7% ตามข้อมูลของ TrendForce

 

‘เงาของคู่แข่ง’ อย่าง TSMC ยิ่งทำให้สถานการณ์ของ Samsung ดูท้าทายมากขึ้น แม้โรงงานแห่งแรกของ TSMC ในรัฐแอริโซนาจะเผชิญกับความล่าช้าในการก่อสร้างและปัญหาการขาดแคลนแรงงานเช่นกัน แต่ในที่สุดโรงงานดังกล่าวก็สามารถเข้าสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ได้เมื่อปลายปีที่แล้ว

 

และยังสามารถคว้าลูกค้ารายใหญ่ในวงการชิป AI ได้ทั้ง Nvidia, AMD, Amazon และ Google ยิ่งไปกว่านั้น TSMC ยังได้ประกาศลงทุนเพิ่มอีก 1 แสนล้านดอลลาร์เมื่อต้นปีนี้เพื่อสร้างโรงงานผลิตและบรรจุชิปขั้นสูงในแอริโซนาอีกด้วย

 

Joanne Chiao นักวิเคราะห์จาก TrendForce กล่าวกับ Nikkei Asia ว่าธุรกิจรับจ้างผลิตชิปของ Samsung ประสบปัญหาสำคัญเรื่องคุณภาพ โดยมีสัดส่วนการผลิตชิปที่ได้มาตรฐาน (yield) ต่ำกว่าเกณฑ์ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของอุตสาหกรรมนี้

 

“โรงงานของ Samsung เผชิญกับอัตราผลผลิตที่ไม่แน่นอนและการสูญเสียคำสั่งซื้อ แม้ว่าอัตราผลผลิตจะดีขึ้นแล้ว แต่ข้อจำกัดของสหรัฐฯ ในการผลิตชิประดับไฮเอนด์สำหรับจีนก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อบริษัท ทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม”

 

อ้างอิง:

 

The post Samsung ‘ติดหล่ม’ โรงงานชิปในเท็กซัส ทุ่ม 1.2 ล้านล้านบาทสร้างจนเกือบเสร็จ แต่เจอปัญหาใหญ่ ‘ไร้เงาลูกค้า’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไมเวียดนามโตแรงและกำลังเบียดแซงเพื่อนบ้าน แม้แต่บิ๊กคอร์ปไทย อมตะ – WHA ยังเข้าไปบุกยึดหัวหาด https://thestandard.co/vietnam-economic-growth/ Fri, 07 Mar 2025 09:55:17 +0000 https://thestandard.co/?p=1049672 vietnam-economic-growth

ท่ามกลางสงครามการค้า เศรษฐกิจถดถอยในหลายๆ ประเทศ แต่เวี […]

The post ทำไมเวียดนามโตแรงและกำลังเบียดแซงเพื่อนบ้าน แม้แต่บิ๊กคอร์ปไทย อมตะ – WHA ยังเข้าไปบุกยึดหัวหาด appeared first on THE STANDARD.

]]>
vietnam-economic-growth

ท่ามกลางสงครามการค้า เศรษฐกิจถดถอยในหลายๆ ประเทศ แต่เวียดนามกลับไม่ได้ถดถอยลง โดยปีนี้น่าจะเป็นอีกปีที่น่าจับตา

ที่อาจเห็นการย้ายฐานผลิต FDI หลั่งไหลไปเวียดนามมากขึ้น แม้แต่บิ๊กคอร์ปไทย อมตะ-WHA ยังมุ่งขยายพอร์ต เข้าไปบุกยึดหัวหาด

 

อมตะซิตี้ ฮาลองรับดีมานด์ทุนจีนย้ายฐานผลิตอิเล็กทรอนิกส์-เซมิคอนดักเตอร์ เทคขั้นสูง

 

สมหะทัย พานิชชีวะ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ วีเอ็น จำกัด (มหาชน) หรือ AMATAV เปิดเผยว่า บริษัทจะผลักดันเวียดนามให้เป็นศูนย์กลางการผลิตและการลงทุนระดับโลก ด้วยพื้นที่รองรับการลงทุนกว่า 18,000 ไร่ สร้างเม็ดเงิน 200,000 ล้านบาท ผ่าน 4 นิคมอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ อมตะซิตี้ เบียนหัว, อมตะซิตี้ ลองถั่น, อมตะซิตี้ ฮาลอง และนิคมอุตสาหกรรมกว่างจิ 

 

โดยใกล้เมืองสำคัญและท่าเรือหลัก เป็นที่ตั้งของโรงงานจากบริษัทระดับโลกใน Global Fortune 500 (2023) อาทิ Nestlé, PepsiCo, Swarovski, Shiseido, Brother, Tiger, Kao, Jinko Solar, Autoliv, Foxconn, YKK และ Kingfa

 

สมหะทัย ระบุว่า ในปี 2567 บริษัทมีรายได้รวม 5,379.40 ล้านบาท จากยอดขายที่ดินส่วนใหญ่มาจากนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ฮาลอง ซึ่งเป็นทำเลที่ลูกค้ามีความต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ และขณะนี้อมตะวีเอ็นมียอดขายที่ดินรอโอน (Backlog) อีกประมาณ 130 ไร่ คาดว่าจะทยอยโอนกรรมสิทธิ์ภายในปี 68 

 

“ปี 2568 บริษัทตั้งเป้าการขายที่ดินในนิคมเวียดนามเติบโตเพิ่มขึ้น 30-40% โดยสัดส่วนหลักของการขายที่ดินจะมาจากนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ฮาลอง (ภาคเหนือของเวียดนาม) ซึ่งมีลูกค้าจำนวนมากที่ต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ คิดเป็น 60-70% ของยอดขายทั้งหมด”

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

โรงงานเวียดนาม

 

“ปัจจัยบวกในการลงทุนในเวียดนาม มาจากการปรับตัวภายในประเทศที่ช่วยลดต้นทุนและระยะเวลาในการขออนุญาตต่างๆ รวมถึงสิทธิทางภาษีที่เอื้อต่อการผลิตเพื่อการส่งออก ต้นทุนการผลิตที่ต่ำ และการเป็นจุดศูนย์กลางการค้าของภูมิภาคทำให้เวียดนามยังคงเป็นหมุดหมายปลายทางหลักของนักลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อขยายการลงทุนใหม่”

 

ทั้งนี้ อมตะ วีเอ็น ยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ ขณะนี้ได้มีการศึกษาโครงการนิคมใหม่ที่คาดว่าจะไม่ได้ใบอนุญาตภายในปี 2568 ซึ่งหากได้รับใบอนุญาตในปีนี้ คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 15-20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

ขณะที่ในปี 2569 บริษัทจะลงทุนทั้งในเรื่องที่ดินและค่าก่อสร้าง โดยมีแผนจะพัฒนานิคมใหม่ขนาดประมาณ 500 เฮกเตอร์ หรือประมาณ 3,000 ไร่ การย้ายฐานการผลิตและผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก 

 

ศึกษาพัฒนานิคมฯ ใหม่จ.ฟู้เถาะ ตอนเหนือเวียดนาม ใกล้ชายแดนจีน

 

สมหะทัย ระบุอีกว่า แม้เศรษฐกิจโลกจะเผชิญกับความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศ แต่เวียดนามยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีน โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ ที่มีการใช้เทคโนโลยีสูงขึ้น และต้องการพื้นที่ที่มีความสะดวกในการขนส่ง 

 

วิกรม กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ปีนี้จะเป็นก้าวใหม่ของบริษัทอมตะที่นอกเหนือจากในไทยแล้วยังมีฐานการลงทุนที่สำคัญที่เวียดนามและ สปป.ลาว

 

“โดยเฉพาะ ล่าสุด อมตะอยู่ระหว่างการศึกษาพัฒนานิคมฯ ใหม่ในจังหวัดฟู้เถาะ ทางตอนเหนือของเวียดนาม ใกล้ชายแดนจีน ซึ่งตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญเชื่อมเส้นทางรถไฟจากเวียดนามสู่จีน”

 

WHA สร้างโลจิสติกส์ เซ็นเตอร์แห่งแรกเวียดนามเหนือ จ่อพัฒนาทำเลทองอีก 4,000 ไร่

 

ขณะเดียวกัน อีกหนึ่งบริษัทไทย ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA จับมือ บริษัท ไดวะ เฮ้าส์ อินดัสทรี จำกัด เปิดศูนย์โลจิสติกส์ดีพีแอลเวียดนามมินห์กวาง (DPL Vietnam Minh Quang) บนพื้นที่โครงการ 70,109 ตร.ม. ภายในนิคมอุตสาหกรรมมินห์กวาง จังหวัด ฮึงเอียน (ห่างจากกรุงฮานอยไปทางทิศตะวันออกราว 40 กิโลเมตร) 

 

โครงการนี้ถือเป็นโครงการโลจิสติกส์ เซ็นเตอร์แห่งแรกของ WHA ในเวียดนามตอนเหนือ นับว่าเป็นส่วนหนึ่งในกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ที่เน้นการรองรับอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง เช่น อีคอมเมิร์ซ สินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก 

 

โดย จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ย้ำว่า WHA Group ตั้งเป้าหมายรายได้รวม 5 ปีที่ 1.5 แสนล้านบาท โดยวางกลยุทธ์หลักในการขยายความเป็นผู้นำธุรกิจโลจิสติกส์อาเซียน

 

ซึ่งล่าสุดได้อัดงบลงทุนกว่า 1.19 แสนล้านบาท วางแผนสร้างรายได้ให้เติบโตประมาณ 2.9 เท่า โดยหนึ่งในธุรกิจหลักคือโอกาสในการขยายการลงทุนในเวียดนามที่อยู่ระหว่างการขออนุมัติใบอนุญาตลงทุนเพิ่มกับรัฐบาลท้องถิ่นทัญฮว้า (Thanh Hoa) พัฒนาเขตอุตสาหกรรม 2 แห่ง 4,000 ไร่

 

เวียดนามทุ่ม 1.5 พันล้านดอลลาร์ สร้าง Data Center ดึงลงทุนเทค ใหญ่สุดในประเทศ

 

รายงานข่าวระบุอีกว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 มี.ค.2568 กองทุนในเวียดนามเปิดตัวโครงการ Data center มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งหากแล้วเสร็จจะเป็นแห่งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยมีกำลังการผลิต 150 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสร้างเสร็จภายใน 2 ปี

 

โดยได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุน Saigon Asset Management (SAM) ซึ่งโครงการนี้มีชื่อว่า SAM DigitalHub โดย SAM ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ Vietnam Singapore Industrial Park (VSIP) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาเขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ได้รับการสนับสนุนจากทั้งสองรัฐบาล โดยได้ซื้อที่ดินขนาด 50 เฮกตาร์ในจังหวัด Binh Duong ทางตอนใต้ภายใน VSIP 

 

นอกจากนี้ SAM ยังวางแผนที่จะจัดตั้งกองทุนมูลค่า 300 ล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล และตั้งเป้าดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามามากขึ้น

 

ทั้งนี้ ตามข้อมูลของนักวิเคราะห์ DC Byte ระบุ หากเทียบการลงทุนเทคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาเลเซียได้กลายมาเป็นผู้นำ Data center โดยมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 80 เมกะวัตต์ในปี 2019 เป็น 3,279 เมกะวัตต์ในปี 2023 

 

จับตาปี 2025 FDI หลั่งไหลไปเวียดนาม

 

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสงครามการค้า (Trade War) เวียดนามได้กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตอาเซียน และมีเป้าหมายที่จะดึงดูดการลงทุนด้านเทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้น ไม่แพ้มาเลเซียและไทย 

 

โดยเวียดนามได้วางนโยบายปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมาย และหวังให้มีการลงทุน Data Center เพิ่มขึ้น กระตุ้นการลงทุนด้านเทคโนโลยีมากขึ้น โดยปีที่ผ่านมา มีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) สูงถึง 25,350 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ เพิ่มขึ้น 9.4% จากปีก่อนหน้า

 

สำหรับปีนี้ ข้อมูลจากหน่วยงานการลงทุนจากต่างประเทศ ภายใต้กระทรวงการคลังเวียดนามระบุว่า ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 มูลค่าเงินลงทุนจากต่างประเทศในเวียดนามสูงถึงมากกว่า 6.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 35.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

 

“การเพิ่มขึ้นของจำนวนโครงการลงทุนใหม่เป็นเครื่องยืนยันอย่างต่อเนื่องว่าเวียดนามเป็นตลาดการลงทุนที่นักลงทุนต่างชาติให้ความไว้วางใจ รวมถึงมีการขยายโครงการลงทุนที่มีอยู่ ซึ่งปัจจุบันพันธมิตรรายใหญ่ที่สุดของเวียดนามยังคงเป็นเอเชีย โดยอันดับ1 เป็นนักลงทุนเกาหลีใต้”

 

ในช่วง 2 เดือนแรกของปี นักลงทุนชาวเกาหลีได้ลงทุนในเวียดนามมากกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นมากกว่า 21.7% ของเงินลงทุนทั้งหมด เพิ่มขึ้น 5.4 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน จากเงินลงทุนเพิ่มเติมของ Samsung Display 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

ตามด้วยสิงคโปร์ มูลค่าการลงทุนกว่า 1.48 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 21.4% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด ลดลง 32.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน รองลงมาคือลงทุนจีน ญี่ปุ่น ไทย ตามลำดับ

 

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า ในบรรดาเศรษฐกิจในกลุ่ม 11 ประเทศอาเซียน หากพูดถึงคู่แข่งทางการค้าที่สำคัญ หลักๆ ของไทยนั้น มาจาก 6 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย 

 

ทว่า แม้เวียดนามจะมีความเสี่ยงด้านภาษีสูงที่สุดในอาเซียน แต่ปัจจัยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง โดยคาดว่าจีดีพีเวียดนามปี 68 จะโตถึง 6.5% สูงสุดในอาเซียน จากการย้ายฐานการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) การลงทุนเทคขั้นสูงเข้ามาในประเทศอย่างต่อเนื่อง บวกกับอานิสงส์สงครามการค้า ทรัมป์ 2.0 ปีนี้ 2025 จึงเป็นอีกปีที่น่าจับตาเวียดนาม ว่าที่เสือตัวใหม่แห่งเอเชีย! 

 

ภาพ: Huy thuai, Mongolian chuewong / Getty Images 

 

อ้างอิง:

The post ทำไมเวียดนามโตแรงและกำลังเบียดแซงเพื่อนบ้าน แม้แต่บิ๊กคอร์ปไทย อมตะ – WHA ยังเข้าไปบุกยึดหัวหาด appeared first on THE STANDARD.

]]>
TSMC ทุบสถิติรอบ 3 ทศวรรษ โกยรายได้ทั้งปี 2024 ทะลุ 3 ล้านล้านบาท รับเทรนด์ AI แรงไม่แผ่ว https://thestandard.co/tsmc-record-revenue-2024/ Sat, 11 Jan 2025 03:46:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1029262

ปี 2024 ถือเป็นอีกหนึ่งปีประวัติศาสตร์ของ Taiwan Semico […]

The post TSMC ทุบสถิติรอบ 3 ทศวรรษ โกยรายได้ทั้งปี 2024 ทะลุ 3 ล้านล้านบาท รับเทรนด์ AI แรงไม่แผ่ว appeared first on THE STANDARD.

]]>

ปี 2024 ถือเป็นอีกหนึ่งปีประวัติศาสตร์ของ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) เมื่อบริษัทสามารถสร้างรายได้ทั้งปีสูงสุดตลอดกาลนับตั้งแต่จดทะเบียนในตลาดหุ้นเมื่อปี 1994 ที่ 2.9 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวันใหม่ หรือราว 3.04 ล้านล้านบาท

 

TSMC ผู้รับจ้างผลิตชิปรายใหญ่และล้ำหน้าที่สุดของโลก เปิดเผยตัวเลขรายได้ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 ซึ่งออกมาเกินเป้าที่ถูกคาดการณ์ไว้ เนื่องจากบริษัทยังคงได้รับอานิสงส์จากความร้อนแรงของเทคโนโลยี AI

 

ในไตรมาสที่ผ่านมา TSMC โกยรายได้กว่า 8.67 แสนล้านดอลลาร์ไต้หวันใหม่ (TWD) หรือประมาณ 9.09 แสนล้านบาท โดย CNBC ประเมินว่ารายได้ในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันในปีก่อนหน้าถึง 38.3%

 

ตัวเลขรายได้ 8.67 แสนล้านดอลลาร์ไต้หวันใหม่ ถือว่าสูงกว่าที่ Refinitiv บริษัทเทคโนโลยีด้านการเงินและประเมินความเสี่ยงประเมินไว้ที่ 8.50 แสนล้านดอลลาร์ไต้หวันใหม่

 

TSMC เป็นพาร์ตเนอร์ที่ผลิตชิปให้กับลูกค้ารายใหญ่อย่าง Apple, NVIDIA, Google, รวมทั้ง Microsoft ซึ่งตัวเลขรายได้ที่ออกมาดีเกินคาด ก็สะท้อนเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มของนักลงทุนคือพวกเขายังเชื่อว่าการเติบโตของ AI จะยังคงไปได้ต่อในปี 2025

 

Brady Wang ผู้อำนวยการร่วมที่บริษัท Counterpoint Research กล่าวกับ CNBC ว่า ‘กำลังการผลิต’ ชิปที่ก้าวหน้าที่สุดขนาด 3 และ 5 นาโนเมตรของ TSMC ตอนนี้เกินกว่า 100% อย่างต่อเนื่อง

 

หุ้นของ TSMC ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไต้หวันปรับตัวเพิ่มขึ้น 88% ใน 12 เดือนที่ผ่านมา

 

ขณะเดียวกัน Microsoft ก็เพิ่งประกาศเดือนนี้ว่าบริษัทมีแผนจะใช้เงิน 8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลที่สามารถรองรับงานด้านปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งการอัปเกรดศูนย์ข้อมูลก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจสนับสนุน TSMC ต่อในปีนี้

 

อ้างอิง:

The post TSMC ทุบสถิติรอบ 3 ทศวรรษ โกยรายได้ทั้งปี 2024 ทะลุ 3 ล้านล้านบาท รับเทรนด์ AI แรงไม่แผ่ว appeared first on THE STANDARD.

]]>