เงินสด – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 30 Sep 2025 11:05:09 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 สัดส่วนการใช้เงินสดในไทยจ่อลดเหลือ 10-20% ใน 3-5 ปีข้างหน้า แบงก์ชาติเปิดทิศทางยกระดับ Digital Payment รองรับบริบทที่เปลี่ยนไป https://thestandard.co/cash-usage-decline-thailand/ Tue, 30 Sep 2025 11:05:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1124816 Digital Payment

ธปท. เปิดตัว Payment Directional Paper ฉบับใหม่ ปี 2568 […]

The post สัดส่วนการใช้เงินสดในไทยจ่อลดเหลือ 10-20% ใน 3-5 ปีข้างหน้า แบงก์ชาติเปิดทิศทางยกระดับ Digital Payment รองรับบริบทที่เปลี่ยนไป appeared first on THE STANDARD.

]]>
Digital Payment

ธปท. เปิดตัว Payment Directional Paper ฉบับใหม่ ปี 2568 โดยเตรียม ยกระดับ Digital Payment มุ่งสู่ความสะดวก ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ประชาชน-ธุรกิจ หลังคาดว่า คาดว่า ในระยะ 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า สัดส่วนการใช้เงินสดของไทยน่าจะลดลงเหลือประมาณ 10-20%  

 

วันนี้ (30 กันยายน) ดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้เผยแพร่ ‘ทิศทางการพัฒนาระบบการชำระเงินภายใต้ภูมิทัศน์ใหม่ภาคการเงินไทยฉบับใหม่’ ปี 2568  เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า 

 

โดยมีเป้าหมายมุ่งเน้นการพัฒนาระบบการชำระเงินให้สอดคล้องกับพัฒนาการข้างต้นและบริบทไทยมากขึ้น โดยเฉพาะโจทย์และความท้าทายเชิงนโยบาย ได้แก่

  1. โครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่มีสัดส่วนของเศรษฐกิจนอกระบบสูง หลายกิจกรรมยังอาศัยเงินสดเป็นหลัก ทำให้ไม่ถูกบันทึกเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
  2. การปรับตัวกับเทคโนโลยีใหม่ อย่าง Distributed Ledger Technology (DLT) tokenization และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งอาจสร้างความเสี่ยงรูปแบบใหม่ขึ้นมา
  3. ภัยทุจริตและธุรกรรมผิดกฎหมาย จากการที่ระบบการชำระเงินอาจถูกใช้เป็นช่องทางในการกระทำความผิด รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น 

 

 

เปิดสถานการณ์ Digital Payment ไทย

 

ดารณี ยังคาดว่า ในระยะ 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า สัดส่วนการใช้เงินสดในไทยน่าจะลดลงเหลือประมาณ 10 ถึง 20%  หลังจาก ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปี 2560-2567) การชำระเงินดิจิทัล (Digital Payment) ของประเทศไทยมีความก้าวหน้าและขยายตัวอย่างมากโดยตัวเลขการใช้ Digital Payment อยู่ที่ประมาณ 650 ครั้งต่อคนต่อปีในปี 2567 นอกจากนี้ ประเทศไทยมีสัดส่วนการใช้ Fast Payment หรือ PromptPay เป็นอันดับ 1 เมื่อเทียบกับนานาชาติ

 

 

โดยปัจจุบัน ปริมาณการทำธุรกรรมผ่าน Mobile Banking เพิ่มขึ้นถึง 25 เท่า และ PromptPay มียอดทำธุรกรรมสูงสุดต่อวันประมาณ 95 ล้านรายการ (เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ประมาณ 70 ล้านรายการ) 

 

นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ธปท. ได้ยกระดับมาตรฐาน Mobile Banking Security เพื่อให้เกิดความปลอดภัย ส่งผลให้กรณี Unauthorized Payment Fraud (ที่ผู้ใช้ไม่ได้โอนเอง) เหลือศูนย์ 0 ตั้งแต่ต้นปีนี้ เป็นการสร้างความมั่นใจให้ผู้คนในการใช้ Digital Payment.

 

ท่ามกลางความก้าวหน้าของการชำระเงินดิจิทัล (Digital Payment) ซึ่งทำให้การใช้เงินสดในประเทศจะลดลงจริง โดยจากการสำรวจพบว่า คนไทยใช้เงินสดลดลงจากประมาณ 63% ในปี 2564 เหลือ 54% ในปี 2566 ตามข้อมูลจากธปท.

 

Screenshot

 

แต่สัดส่วนการใช้เงินสดของคนไทยในรายงาน The global payment report ของ Worldpay by FIS

ในปี 2567 ยังอยู่ที่  31% ซึ่งถือว่า ยังอยู่ในระดับที่สูง และใกล้เคียงกับประเทศญี่ปุ่น

 

ธปท. จึงตั้งเป้าให้ประชาชนใช้ Digital Payment เป็นทางเลือกหลักมากขึ้น ‘แบบมีคุณภาพ’ โดยเฉพาะ กลุ่มที่ได้รับประโยชน์ แต่ไม่ได้ใช้อย่างเต็มที่ เช่น ธุรกิจ SME อย่างไรก็ตาม ธปท. ชี้ว่ามีบางกลุ่มที่ไม่ควรจะถูกกระตุ้นให้ใช้ Digital Payment เช่น กลุ่มผู้สูงวัยที่การใช้อาจมีความเสี่ยงมากกว่าประโยชน์

 

เปิด 3 กรอบทิศทางนโยบายหลัก

 

ดารณีระบุอีกว่า ภายใต้ทิศทางการพัฒนาระบบการชำระเงินไทย ฉบับใหม่นี้ มี กรอบการพัฒนาระบบการชำระเงิน 3 กรอบหลัก ดังนี้ 

 

  1. การต่อยอดจากระบบการชำระเงินปัจจุบัน โดยยกระดับระบบพร้อมเพย์ให้มีนวัตกรรมและบริการใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานทุกกลุ่มมากขึ้น เช่น การพัฒนาบริการชำระเงินที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการซื้อสินค้าออนไลน์และบริการที่ทดแทนเช็ค การส่งเสริมการใช้ข้อมูลการชำระเงิน (digital footprint) เพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงบริการทางการเงิน โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs การเพิ่มความยืดหยุ่นของหลักเกณฑ์การกำกับดูแลให้เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรม และการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเงินสดให้สอดรับกับบทบาทที่ลดลง
  2. การยกระดับระบบบาทเนต (BAHTNET) โดยวางรากฐานของระบบบาทเนตให้สามารถปรับตัว ยืดหยุ่น และเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความเสี่ยงในโลกอนาคต รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับนวัตกรรมด้านการชำระเงิน 
  3. การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับนวัตกรรมการชำระเงินในอนาคต ผ่านการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี DLT และ tokenization ควบคู่กับการป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้ใช้งานและระบบการเงิน โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความเป็นเอกภาพของเงิน การป้องกันการถูกใช้เป็นเครื่องมือฟอกเงินหรือฉ้อโกง และการคุ้มครองผู้ใช้งาน โดยมีแนวทางกำกับดูแลเพื่อรองรับการพัฒนาบริการด้วย tokenized money ภายใต้กรอบการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม รวมถึงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับการชำระเงินรูปแบบใหม่และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป 

 

Screenshot

 

ภาพ: Accogliente Design/Shutterstock

The post สัดส่วนการใช้เงินสดในไทยจ่อลดเหลือ 10-20% ใน 3-5 ปีข้างหน้า แบงก์ชาติเปิดทิศทางยกระดับ Digital Payment รองรับบริบทที่เปลี่ยนไป appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปริศนา 12 ล้านข้างถังขยะ โยงใยถึงเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง https://thestandard.co/key-messages-12-million-baht/ Tue, 10 Jun 2025 13:37:08 +0000 https://thestandard.co/?p=1083782

การพบลังเงินสดมูลค่ากว่า 12 ล้านบาท ถูกทิ้งไว้ข้างถังขย […]

The post ปริศนา 12 ล้านข้างถังขยะ โยงใยถึงเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>

การพบลังเงินสดมูลค่ากว่า 12 ล้านบาท ถูกทิ้งไว้ข้างถังขยะในคอนโดมิเนียมย่านเมืองทองธานี กลายเป็นประเด็นร้อนที่สังคมจับตา เมื่อชายผู้แสดงตนเป็นเจ้าของเงินคืออดีตทนายความที่ดำรงตำแหน่งในหน่วยงานรัฐระดับสูง

 

ความสงสัยต่อที่มาของทรัพย์สินมหาศาลนี้นำไปสู่การเข้าตรวจสอบอย่างเข้มข้นจาก 3 หน่วยงานหลักด้านปราบปรามการทุจริต ทั้ง ป.ป.ช., ป.ป.ท. และ ปปป.

 

ลังเงินสดข้างถังขยะ จุดเริ่มต้นปริศนา

 

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 5 มิถุนายน 2568 เมื่อ อุษา และเพื่อน ได้พบ ลังพลาสติกสีเทา วางอยู่ข้างถังขยะบริเวณจุดทิ้งขยะหน้าลิฟต์ ชั้น 4 ตึก P2 คอนโดเมืองทองธานี ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เมื่อเปิดออก จึงพบธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท จำนวนมาก รวมเป็นเงิน 12 ล้านบาท บรรจุอยู่ภายใน

 

นอกจากนี้ยังพบเอกสารสำคัญหลายอย่าง เช่น หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย และซองจดหมายที่เกี่ยวข้องกับสำนักงาน กสทช. ซึ่งมีชื่อ ทวีวัฒน์ เส้งแก้ว ระบุอยู่ ซึ่งกลายเป็นเบาะแสสำคัญในการตามหาเจ้าของเงิน

 

พลเมืองดีไม่รอช้า รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปากเกร็ด เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุทันที

 

อดีตทนาย ในเงาอนุกรรมการ ป.ป.ช.

 

หลังจากข่าวการพบเงินแพร่ออกไปวันต่อมา 6 มิถุนายน 2568 ทวีวัฒน์ เส้งแก้ว ซึ่งปรากฏชื่อบนเอกสารในกล่องเงิน ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.ปากเกร็ด เพื่อแสดงตนเป็นเจ้าของเงิน 12 ล้านบาทดังกล่าว

 

ทวีวัฒน์ ชี้แจงเบื้องต้นว่าเงินจำนวนนี้เป็น เงินเก็บสะสมที่ได้มาจากการทำงานเป็นทนายความและที่ปรึกษาให้กับบริษัทเอกชนหลายแห่งมานานกว่า 15 ปี โดยเงินได้ถูกเบิกมาจากธนาคารตั้งแต่ปี 2563 ส่วนสาเหตุที่นำเงินไปทิ้งไว้ ทวีวัฒน์ระบุว่า ‘ห้องพักเกิดน้ำรั่วซึม’ ทำให้ต้องรีบขนของออกจากห้อง รวมถึงกล่องใส่เงินสดนี้ด้วย ซึ่งตนเองลืมทิ้งไว้ที่จุดทิ้งขยะ

 

อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ทวีวัฒน์ ไม่ใช่แค่เพียงอดีตทนายความ แต่ยังมีตำแหน่งเป็น คณะอนุกรรมการในสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) หลายคณะ ตั้งแต่ปี 2565 และที่สำคัญยังเป็น อนุกรรมการไต่สวนในสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ด้วย

 

ทำให้เกิดคำถามและข้อสงสัยถึงที่มาของเงิน และความโปร่งใสในการดำเนินงานของบุคคลที่มีตำแหน่งในหน่วยงานรัฐ

 

3 หน่วยงานรัฐจับมือคลี่คลายปม เงิน 12 ล้าน

 

วันที่ 9 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา สุขสันต์ ประสาระเอ ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), อรณิช สุขบาล ผู้อำนวยการกองปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และ พล.ต.ต. ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ผบก.ปปป.) ได้เข้าร่วมประชุมเพื่อติดตามที่มาของเงิน 12 ล้านบาท

 

ภายหลังการประชุมกว่า 1 ชั่วโมง สุขสันต์ เปิดเผยว่า ป.ป.ช. จะแบ่งการตรวจสอบออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือการเสนอเรื่องไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหญ่ เพื่อให้มีมติในการตรวจสอบการยื่นบัญชีทรัพย์สินของภรรยาของทวีวัฒน์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการในหน่วยงาน ป.ป.ช. เอง

 

โดยตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ต้องยื่นแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินทั้งของตัวเอง คู่สมรส และครอบครัวทุก 3 ปี หากพบว่ามีการปกปิดบัญชีทรัพย์สิน จะมีโทษทั้งทางอาญาและทางวินัย คาดว่าจะมีมติภายใน 1-2 วันนี้

 

อีกส่วนหนึ่งคือการร่วมตรวจสอบที่มาที่ไปของเงิน 12 ล้านบาท โดยทั้ง 3 หน่วยงานจะรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของพื้นที่ (สภ.ปากเกร็ด) พิสูจน์ทราบก่อนว่าเงินดังกล่าวเป็นของผู้ใด และมีที่มาที่ไปอย่างไร ซึ่งขณะนี้ตำรวจได้ส่งหลักฐานไปยังกองพิสูจน์หลักฐานแล้ว หากได้ข้อสรุปเรื่องเงินแล้ว จึงจะเป็นอำนาจหน้าที่ของ 3 หน่วยงาน ในการพิสูจน์ว่าเป็นเงินอะไร และได้มาจากอาชีพสุจริตหรือไม่

 

หากเป็นเงินที่ได้มาโดยมิชอบ ก็จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป สุขสันต์ย้ำว่า ตอนนี้ยังต้องรอผลสอบของตำรวจในพื้นที่ก่อน

 

ด้าน พล.ต.ต. ประสงค์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 11 มิถุนายน ทั้ง 3 หน่วยงานจะเดินทางไปประสานและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ซึ่งเป็นผู้ดูแลพื้นที่ สภ.ปากเกร็ด เพื่อกำหนดแนวทางการสอบสวนต่อไป ส่วน อรณิช ตั้งข้อสังเกตว่า เส้นทางการเงินอาจไม่ได้มีแค่ 12 ล้านบาท แต่จะต้องร่วมประชุมกับตำรวจพื้นที่อีกครั้งเพื่อรวบรวมข้อมูล

 

ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ ป.ป.ช. เตรียมสอบลึกบัญชีทรัพย์สิน

 

คดีนี้ได้ยกระดับการสอบสวนให้เข้มข้นขึ้น โดย พล.ต.ต. กิตติ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี (ผบก.ภ.จว.นนทบุรี) ได้เข้ามาควบคุมการสอบสวนอย่างใกล้ชิด และล่าสุด (10 มิถุนายน) ตำรวจยังคง ไม่ปักใจเชื่อคำให้การทั้งหมดของทวีวัฒน์

 

และกำลังเร่งรวบรวมหลักฐาน ตรวจสอบเส้นทางการเงินอย่างละเอียด เพื่อยืนยันที่มาของเงิน และความเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดกฎหมายหรือการฟอกเงินหรือไม่ รวมถึงการตรวจสอบลายนิ้วมือแฝงที่พบในลังพลาสติกด้วย

 

คดีนี้ยังคงเป็นประเด็นที่สาธารณชนให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเกี่ยวข้องกับเงินจำนวนมาก และบุคคลที่มีตำแหน่งในหน่วยงานรัฐ ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความโปร่งใสและธรรมาภิบาล

The post ปริศนา 12 ล้านข้างถังขยะ โยงใยถึงเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>
Berkshire ถือเงินสดเพิ่มเป็น 12.8 ล้านล้านบาท ทุบสถิติใหม่ บัฟเฟตต์ชี้ ‘ความไม่แน่นอน’ กีดขวางการลงทุน https://thestandard.co/berkshire-cash-reserve-128-trillion/ Sun, 04 May 2025 03:56:18 +0000 https://thestandard.co/?p=1071007

Berkshire Hathaway Inc. อาณาจักรการลงทุนของตำนานนักลงทุ […]

The post Berkshire ถือเงินสดเพิ่มเป็น 12.8 ล้านล้านบาท ทุบสถิติใหม่ บัฟเฟตต์ชี้ ‘ความไม่แน่นอน’ กีดขวางการลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>

Berkshire Hathaway Inc. อาณาจักรการลงทุนของตำนานนักลงทุน วอร์เรน บัฟเฟตต์ รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2025 โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Earnings) ลดลงประมาณ 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สู่ระดับ 9.6 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่เงินสดของบริษัทพุ่งสูงขึ้นทำสถิติใหม่เป็นประวัติการณ์ถึง 3.477 แสนล้านดอลลาร์ หรือราว 12.8 ล้านล้านบาท ท่ามกลางความยากลำบากในการตัดสินใจนำเงินไปลงทุน เนื่องจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การค้าโลกและกำแพงภาษี

 

ในแถลงการณ์ผลประกอบการที่เผยแพร่เมื่อวันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม Berkshire Hathaway ระบุว่า “ยังคงมีความไม่แน่นอนอย่างมากเกี่ยวกับผลลัพธ์สุดท้ายของเหตุการณ์เหล่านี้” โดยอ้างถึงนโยบายการค้าระหว่างประเทศและมาตรการกำแพงภาษีที่กำลังดำเนินอยู่

 

ในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีที่เมืองโอมาฮาเมื่อวันเสาร์ บัฟเฟตต์ได้กล่าวถึงประเด็นภาษีโดยตรงมากขึ้น โดยมีมุมมองที่น่าสนใจว่า “ผมคิดว่าคุณสามารถให้เหตุผลที่ดีมากๆ ว่าการค้าที่สมดุลนั้นดีต่อโลก” แต่ในขณะเดียวกันก็เตือนว่า “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการค้าสามารถเป็นการแสดงออกของสงครามได้” พร้อมทั้งแสดงความเห็นว่า สหรัฐฯ “ควรจะมองหาการค้ากับส่วนอื่นๆ ของโลก”

 

สัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัว? – งดซื้อหุ้นคืน 3 ไตรมาสติด

 

รายงานระบุว่า ธุรกิจส่วนใหญ่ภายใต้อาณาจักร Berkshire มีรายได้และกำไรลดลงในไตรมาสแรก ซึ่ง แคธี ไซเฟิร์ต นักวิเคราะห์จาก CFRA Research มองว่าอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมกำลังชะลอตัวลง “สิ่งที่เราเห็นคือผลกระทบต่อ Berkshire จากเศรษฐกิจในวงกว้างซึ่งกำลังชะลอตัว” ไซเฟิร์ตกล่าว

 

นอกจากนี้ Berkshire Hathaway ยัง ไม่ได้ดำเนินการซื้อหุ้นคืน (Share Repurchase) เป็นไตรมาสที่สามติดต่อกัน ซึ่งไซเฟิร์ตให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า อาจเป็นสัญญาณว่าราคาหุ้นของ Berkshire ในปัจจุบัน “มีมูลค่าสูงเกินไปในมุมมองของ Berkshire”

 

พอร์ตลงทุน-ธุรกิจประกัน

 

  • ณ สิ้นเดือนมีนาคม หุ้น 5 อันดับแรกที่ Berkshire ถือครองในสัดส่วนมากที่สุดยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ได้แก่ American Express Co., Apple Inc., Bank of America Corp., Coca-Cola Co. และ Chevron Corp.

 

  • อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสแรก บริษัทเป็นผู้ขายสุทธิ ในตลาดหุ้น โดยขายหุ้นออกไปมากกว่าซื้อเข้า คิดเป็นมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ 

 

  • รายได้จากการลงทุน (Investment Income) ของกลุ่มธุรกิจประกันภัย เพิ่มขึ้น 11% เป็น 2.9 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับแรงหนุนหลักจากรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นถึง 31% จากการที่บริษัทถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Treasury Bills) มากขึ้นในภาวะดอกเบี้ยสูง

 

  • Geico ซึ่งเป็นธุรกิจประกันภัยรถยนต์ มีกำไรเพิ่มขึ้นจากการได้ลูกค้าใหม่ แต่ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกันจากการพยายามแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด

 

  • กำไรจากการรับประกันภัย (Underwriting Earnings) โดยรวมของกลุ่มธุรกิจประกัน ลดลงเกือบครึ่งหนึ่งในไตรมาสนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากผลขาดทุนหลังหักภาษีราว 860 ล้านดอลลาร์ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ไฟป่าครั้งใหญ่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย

 

มูลค่าตลาดของ Berkshire Hathaway ยังคงยืนอยู่เหนือระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐนับตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม โดยมีอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (Price-to-Book Ratio) อยู่ที่ 1.79 เท่า ณ ราคาปิดตลาดวันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมา

 

อ้างอิง:

The post Berkshire ถือเงินสดเพิ่มเป็น 12.8 ล้านล้านบาท ทุบสถิติใหม่ บัฟเฟตต์ชี้ ‘ความไม่แน่นอน’ กีดขวางการลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เงินสด’ ไม่ใช่ ‘หลุมหลบภัย’ ที่ดีที่สุดเสมอไป อย่าเลียนแบบปู่ Buffett กูรูชี้ หุ้น-พันธบัตร ชนะเงินสดระยะยาว แม้ตลาดผันผวนก็ต้องลงทุน https://thestandard.co/stocks-bonds-cash-long-term/ Tue, 29 Apr 2025 03:23:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1069307

เงินสดมหาศาลถึง 334,000 ล้านดอลลาร์ที่ Warren Buffett ส […]

The post ‘เงินสด’ ไม่ใช่ ‘หลุมหลบภัย’ ที่ดีที่สุดเสมอไป อย่าเลียนแบบปู่ Buffett กูรูชี้ หุ้น-พันธบัตร ชนะเงินสดระยะยาว แม้ตลาดผันผวนก็ต้องลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>

เงินสดมหาศาลถึง 334,000 ล้านดอลลาร์ที่ Warren Buffett สำรองไว้ในบริษัท Berkshire Hathaway กำลังสร้างความฮือฮาในวงการการเงิน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านักลงทุนทั่วไปควรเลียนแบบกลยุทธ์นี้โดยไม่ไตร่ตรอง

 

ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มหาเศรษฐีผู้มีสมญาว่า ‘เทพพยากรณ์แห่งโอมาฮา’ ยังคงยืนยันว่า “แม้บางคนจะมองว่าเรามีเงินสดมากผิดปกติ” แต่ความจริงแล้วสินทรัพย์ส่วนใหญ่ของ Berkshire ยังคงอยู่ในรูปของหุ้น และ Berkshire จะ “ไม่มีวัน” เลือกถือเงินสดแทนการเป็นเจ้าของธุรกิจที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน

 

ย้อนดูแล้ว กลยุทธ์การถือเงินสดก้อนใหญ่ของ Buffett ดูชาญฉลาด โดยเฉพาะในช่วงที่นโยบายภาษีนำเข้าของรัฐบาล Trump ก่อให้เกิดความปั่นป่วนในตลาด แต่สำหรับนักลงทุนทั่วไป การมีเงินสดมากเกินไปอาจไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีที่สุดในระยะยาว

 

นักลงทุนทั่วโลกกำลังกักตุนเงินสดมหาศาลถึง 6.88 ล้านล้านดอลลาร์ในกองทุนตลาดเงิน (ข้อมูล ณ 16 เมษายน) แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการถือเงินสดมากเกินไปอาจทำให้พลาดโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า

 

Jack Manley นักกลยุทธ์จาก JPMorgan ชี้ให้เห็นว่าการลงทุนแบบผสมผสานระหว่างหุ้น 60% และพันธบัตร 40% ให้ผลตอบแทนดีกว่าการถือเงินสดในระยะยาวอย่างชัดเจน จากการศึกษาย้อนหลังตั้งแต่ปี 1995 ถึง 2024 พบว่ายิ่งระยะเวลาลงทุนนานขึ้น โอกาสที่พอร์ตแบบนี้จะชนะเงินสดยิ่งสูงขึ้น

 

ตัวเลขน่าสนใจคือ ในระยะสั้นแค่หนึ่งเดือน พอร์ตแบบนี้ชนะเงินสด 65% แต่เมื่อขยายเวลาลงทุนเป็น 12 ปี พอร์ตแบบ 60/40 ชนะเงินสด 100% โดยไม่มีข้อยกเว้น นั่นหมายความว่า หากใครอดทนลงทุนยาวนานพอ การถือหุ้นและพันธบัตรจะให้ผลดีกว่าการถือเงินสดเสมอ

 

“เวลาที่นักลงทุนใช้อารมณ์นำเหตุผล มักตัดสินใจผิดพลาด โดยเฉพาะเมื่อตื่นตระหนก พวกเขามักจะวิ่งไปหาเงินสดเป็นที่พึ่ง” Manley อธิบาย

 

ปี 2024 เป็นปีทองของพอร์ตแบบ 60/40 ที่ทำผลตอบแทนได้ถึง 15% ตามข้อมูลจาก Morningstar ซึ่งดีกว่าพอร์ตที่กระจายลงทุนใน 11 สินทรัพย์ต่างๆ ที่ทำได้เพียง 10%

 

แต่ภาพนี้เริ่มเปลี่ยนในปี 2025 เมื่อนโยบายภาษีใหม่ของสหรัฐฯ เข้ามามีบทบาท Amy Arnott จาก Morningstar ชี้ว่า พอร์ตที่กระจายการลงทุนกลับมาแซงหน้า โดยทองคำพุ่งสูงถึง 32% ขณะที่สินค้าโภคภัณฑ์ พันธบัตรทั่วโลก และอสังหาริมทรัพย์ ก็เอาชนะหุ้นสหรัฐฯ ได้อย่างชัดเจน

 

สำหรับเงินสด Morningstar พบว่า ในช่วงดอกเบี้ยสูงเช่นนี้ เงินสดกลายเป็นเครื่องมือกระจายความเสี่ยงที่ดีกว่าพันธบัตรรัฐบาล แต่มีข้อแนะนำว่า ควรแยกเงินสดไว้นอกพอร์ตการลงทุนหลัก ใช้เป็นเงินฉุกเฉินหรือรองรับค่าใช้จ่ายใหญ่ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะผู้เกษียณควรสำรองเงินสดไว้สำหรับค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 1-2 ปี

 

“แม้ตลาดจะผันผวนในตอนนี้ แต่อย่าเพิ่งรีบปรับเปลี่ยนการลงทุนแบบหักด้ามพร้า เพราะการตัดสินใจแบบเร่งรีบมักให้ผลลัพธ์แย่กว่าเดิม” Arnott กล่าว “หากคุณมีการจัดสรรสินทรัพย์ที่เหมาะกับกรอบเวลาและเป้าหมายการลงทุนของคุณก่อนหน้านี้ การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงเพียงเพราะความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในตอนนี้อาจไม่ใช่ความคิดที่ดี” Arnott กล่าว

 

Adrianna Adams ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการเงินจาก Domain Money สังเกตว่า คนที่มีเงินสำรองพอดีมักรู้สึกสบายใจในช่วงตลาดผันผวน แต่เธอเตือนว่า หากคุณมีเงินฉุกเฉินเพียงพอแล้ว เงินส่วนที่เหลือควรนำไปลงทุนในตลาดจะดีกว่าปล่อยไว้เฉยๆ

 

“เงินที่ตั้งใจเก็บไว้ใช้ระยะยาว ไม่ควรปล่อยให้เป็นเงินสด” Adams ให้คำแนะนำ “แต่ถ้าเป็นเงินที่ต้องใช้ภายในสองปีนี้ ควรเก็บเป็นเงินสดไว้จะดีกว่า”

 

“คนส่วนใหญ่นิยมเก็บเงินฉุกเฉินในบัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง” Adams กล่าว “แต่สำหรับคนที่เสียภาษีในอัตราสูง ควรพิจารณาลงทุนในกองทุนพันธบัตรท้องถิ่นแทน เพราะดอกเบี้ยที่ได้รับจะได้รับการยกเว้นภาษี”

 

ในขณะที่ Buffett อาจมีเหตุผลเฉพาะในการถือเงินสดมหาศาล นักลงทุนทั่วไปควรระมัดระวังในการหาความสมดุลที่เหมาะสมระหว่างความปลอดภัยของเงินสดและโอกาสในการเติบโตจากการลงทุนในตลาด 

 

เพราะในท้ายที่สุด ศิลปะของการลงทุนไม่ได้อยู่ที่การเลียนแบบกลยุทธ์ของผู้เชี่ยวชาญอย่างไม่ไตร่ตรอง แต่อยู่ที่การปรับใช้หลักการให้เข้ากับสถานการณ์เฉพาะของตัวเอง

 

ภาพ: Roman Samborskyi / Shutterstock

อ้างอิง:

The post ‘เงินสด’ ไม่ใช่ ‘หลุมหลบภัย’ ที่ดีที่สุดเสมอไป อย่าเลียนแบบปู่ Buffett กูรูชี้ หุ้น-พันธบัตร ชนะเงินสดระยะยาว แม้ตลาดผันผวนก็ต้องลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ปฏิรูปภาษี’ แม้จะทำให้รายได้รัฐเพิ่มเกือบ 8 แสนล้านบาท แต่อาจแลกด้วยเศรษฐกิจที่หดตัว -2.4% https://thestandard.co/tax-reform-impact-thailand-economy/ Mon, 09 Dec 2024 09:05:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1017676 ‘ปฏิรูปภาษี’

The post ‘ปฏิรูปภาษี’ แม้จะทำให้รายได้รัฐเพิ่มเกือบ 8 แสนล้านบาท แต่อาจแลกด้วยเศรษฐกิจที่หดตัว -2.4% appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ปฏิรูปภาษี’

The post ‘ปฏิรูปภาษี’ แม้จะทำให้รายได้รัฐเพิ่มเกือบ 8 แสนล้านบาท แต่อาจแลกด้วยเศรษฐกิจที่หดตัว -2.4% appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: สัญญาณเตือน! Warren Buffett ตุนเงินสดทะลุ 3.25 แสนล้านดอลลาร์ | THE STANDARD WEALTH https://thestandard.co/morning-wealth-22112024-3/ Fri, 22 Nov 2024 08:39:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1011633

Berkshire Hathaway รายงานการถือครองหุ้นรายไตรมาส แต่ล่า […]

The post ชมคลิป: สัญญาณเตือน! Warren Buffett ตุนเงินสดทะลุ 3.25 แสนล้านดอลลาร์ | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>

Berkshire Hathaway รายงานการถือครองหุ้นรายไตรมาส แต่ล่าสุดกลับถือครองเงินสดมูลค่า 3.25 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นจำนวนเงินสดสะสมมากที่สุดที่เคยมีมาของ Warren Buffett อาจเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าของสถานการณ์ในตลาดลงทุน

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 น. ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: สัญญาณเตือน! Warren Buffett ตุนเงินสดทะลุ 3.25 แสนล้านดอลลาร์ | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
นิด้าโพลเปิดผลสำรวจประชาชนหลังรับเงินหมื่น ส่วนมากนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน-ยังไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจสนับสนุนรัฐบาล https://thestandard.co/nida-poll-10000-baht-handout-impact/ Sun, 06 Oct 2024 03:36:05 +0000 https://thestandard.co/?p=992185 นิด้าโพล

วันนี้ (6 ตุลาคม) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น นิด้าโพล สถาบัน […]

The post นิด้าโพลเปิดผลสำรวจประชาชนหลังรับเงินหมื่น ส่วนมากนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน-ยังไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจสนับสนุนรัฐบาล appeared first on THE STANDARD.

]]>
นิด้าโพล

วันนี้ (6 ตุลาคม) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น นิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘รับเงินสด 10,000 บาท แล้วจะสนับสนุนรัฐบาลไหม’

 

ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 1-3 ตุลาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่ทั้งตนเอง และ/หรือ คนในครอบครัว ได้รับเงิน 10,000 บาทจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 กระจายทุกภูมิภาค, ระดับการศึกษา, อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง

 

จากการสำรวจเมื่อถามถึงการนำเงินไปใช้จ่ายของผู้ที่ได้รับเงิน 10,000 บาท ไม่ว่าจะเป็นตนเอง และ/หรือ คนในครอบครัวได้รับเงิน พบว่า

 

  • ร้อยละ 86.79 ระบุว่า ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน (รวมค่าน้ำ ค่าไฟ และน้ำมันเชื้อเพลิง)
  • ร้อยละ 16.49 ระบุว่า เก็บออมไว้สำหรับอนาคต
  • ร้อยละ 14.35 ระบุว่า ใช้หนี้
  • ร้อยละ 13.59 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อสุขภาพ (เช่น ซื้อยารักษาโรคและหาหมอ)
  • ร้อยละ 8.24 ระบุว่า ใช้ลงทุนการค้า
  • ร้อยละ 7.48 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการศึกษา
  • ร้อยละ 1.37 ระบุว่า ใช้ซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
  • ร้อยละ 1.07 ระบุว่า ใช้ซื้อหวยหรือสลากกินแบ่งรัฐบาล
  • ร้อยละ 0.99 ระบุว่า ใช้ซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มือถือ และเครื่องมือสื่อสาร
  • ร้อยละ 0.69 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการบันเทิง (เช่น เลี้ยงสังสรรค์และซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือยาสูบ)
  • ร้อยละ 0.31 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการเดินทางท่องเที่ยว
  • ร้อยละ 0.15 ระบุว่า ใช้ซื้อทองคำ, เพชร, พลอย และอัญมณี
  • ร้อยละ 0.99 ระบุว่า ไม่ตอบ

 

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการสนับสนุนรัฐบาลของผู้ที่ได้รับเงิน 10,000 บาท ไม่ว่าจะเป็นตนเอง และ/หรือ คนในครอบครัว ได้รับผลประโยชน์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 พบว่า

 

  • ร้อยละ 34.35 ระบุว่า ยังไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจอย่างไร
  • ร้อยละ 30.31 ระบุว่า มีส่วนทำให้สนับสนุนรัฐบาล
  • ร้อยละ 20.38 ระบุว่า จะมีหรือไม่มีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ก็สนับสนุนรัฐบาลอยู่แล้ว
  • ร้อยละ 13.13 ระบุว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สนับสนุนรัฐบาล
  • ร้อยละ 1.83 ระบุว่า ไม่ตอบ / ไม่สนใจ

The post นิด้าโพลเปิดผลสำรวจประชาชนหลังรับเงินหมื่น ส่วนมากนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน-ยังไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจสนับสนุนรัฐบาล appeared first on THE STANDARD.

]]>
เงินสดอาจไม่ใช่ราชาอย่างที่คิด ผู้เชี่ยวชาญแนะ โยกส่วนที่ไม่ต้องใช้อีก 5 ปีไปลงทุน https://thestandard.co/money-expert-dont-load-up-on-cash/ Wed, 10 Jul 2024 07:00:11 +0000 https://thestandard.co/?p=955956 เงินสด

แม้ว่าตลาดหุ้นหลายแห่งจะไต่ขึ้นสู่ระดับสูงสุดตลอดกาล (A […]

The post เงินสดอาจไม่ใช่ราชาอย่างที่คิด ผู้เชี่ยวชาญแนะ โยกส่วนที่ไม่ต้องใช้อีก 5 ปีไปลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เงินสด

แม้ว่าตลาดหุ้นหลายแห่งจะไต่ขึ้นสู่ระดับสูงสุดตลอดกาล (All-Time High) อย่างต่อเนื่อง แต่การออมเงินสดก็ยังคงเป็นวิธีการเก็บเงินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในรอบหลายปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่นักลงทุนรุ่นใหม่ แต่รู้หรือไม่ว่าการถือเงินสดมากเกินไปอาจทำให้คนเราพลาดโอกาสมากกว่าที่คิด

 

การถือเงินสด (บ้าง) เป็นเรื่องดี 

 

ในโลกของการลงทุน เงินสดมีข้อดีมากกว่าหุ้นและพันธบัตรอยู่หลายอย่าง ประการแรกคือ เรื่องสภาพคล่อง เราสามารถใช้เงินสดเพื่อซื้อสินค้าและบริการได้อย่างสะดวกและง่ายดายโดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนก่อนใช้จ่าย ประการต่อมาคือ เงินสดจะยังมีปริมาณเท่าเดิมถ้าเรายังคงถือครองไว้ หมายความว่า พันธบัตร 100 บาท จะยังคงเป็นพันธบัตร 100 บาทเท่าเดิม 

 

อย่างไรก็ตาม มีบางเหตุผลที่การถือเงินสดของคุณจะมีมูลค่าลดลงนั่นคืออัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจะค่อยๆ กัดเซาะอำนาจการใช้จ่ายของเงินของคุณ ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนจึงควรนำเงินบางส่วนเก็บไว้ในสินทรัพย์ที่สามารถชดเชยอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นได้

 

Amy Arnott นักยุทธศาสตร์ด้านพอร์ตโฟลิโอของ Morningstar Research Services กล่าวว่า “ผู้คนจำนวนมากถูกล่อลวงให้พกเงินสด และพวกเขาเหล่านั้นมีค่าเสียโอกาสค่อนข้างมากในแง่ของการเติบโตในระยะยาว แทนที่จะเก็บเงินอย่างเดียว นักลงทุนควรนึกถึงการใช้เงินสดอย่างเหมาะสม สำหรับเงินทุนฉุกเฉินและเป้าหมายการใช้จ่ายระยะสั้น”

 

การมีเงินสดมากเกินไปอาจทำให้พลาดโอกาสทำกำไรอย่างมหาศาล

 

แม้ว่าการถือเงินสดจะไม่ได้ทำให้นักลงทุนสูญเสียเงิน แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนกำลังเตือนว่า การรู้สึกสบายใจเกินไปกับผลตอบแทนที่ปลอดภัยมากเป็นพิเศษ อาจทำให้พลาดโอกาสได้รับผลตอบแทนจากตลาดที่มากกว่า

 

Callie Cox หัวหน้านักยุทธศาสตร์การตลาดของ Ritholtz Wealth Management มองว่า ผู้คนหมกมุ่นอยู่กับเงินสดมากเกินไป และนักลงทุนอายุน้อย ซึ่งมีระยะเวลาการลงทุนที่ยาว และมีความสามารถในการรับความเสี่ยงที่สูง กำลังจัดสรรไว้ในรูปเงินสดเป็นส่วนใหญ่ในเวลานี้

 

ผลการวิจัยล่าสุดจาก Bank of America พบว่า ขณะนี้นักลงทุนอายุน้อยที่มีความมั่งคั่งอายุ 21-43 ปี มากกว่า 55% เลือกถือเงินสดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เทียบกับบุคคลที่มีอายุ 44 ปีขึ้นไป อยู่ที่ 46% นอกจากนี้ แพลตฟอร์มการซื้อขาย eToro เปิดเผยเมื่อต้นปีนี้ว่า นักลงทุนอายุน้อยมีแนวโน้มเพิ่มสินทรัพย์เงินสดมากกว่ารุ่นพ่อแม่ถึง 2 เท่า 

 

บัญชีออมทรัพย์ของธนาคารในประเทศไทยให้ผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 0.25-0.35% ส่วนอัตราดอกเบี้ยฝากประจำ 12 เดือน ให้ผลตอบแทนที่ 1.55-1.95% ในขณะเดียวกัน บัญชีเงินฝากดิจิทัลอาจให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า โดยบางแห่งให้ผลตอบแทนสูงถึง 5.55% อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 5% อาจต่ำกว่าผลกำไรที่นักลงทุนจะได้รับจากการลงทุนในหุ้น

 

การจัดสรรพอร์ตการลงทุนเชิงรุกในหุ้นอาจทำให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 7% แม้ว่าในบางปีจะสูงกว่าและต่ำกว่านี้บ้าง หากดัชนี S&P 500 ไต่ขึ้นไปที่ 5,800 ภายในสิ้นปีนี้ อาจทำให้ผลตอบแทนรวมในปีนี้มากกว่า 20% เลยทีเดียว หลังจากที่ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 24% เมื่อปี 2023 นั่นหมายความว่าอัตราผลตอบแทนของ 2 ปี นับตั้งแต่ปี 2023-2024 อยู่ที่ประมาณ 50% ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายสำหรับนักลงทุนที่ถือเงินสดและออมเงินสดที่พลาดโอกาสทำผลกำไรมหาศาลเหล่านั้น เนื่องจากพวกเขาต้องใช้เวลา 10 ปีกว่าจะได้ผลลัพธ์เดียวกัน 

 

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่น่าประทับใจเสมอไป บริษัทวิจัย BCA Research คาดการณ์ว่าดัชนี S&P 500 อาจร่วงลงมากกว่า 30% ในปลายปีนี้ หากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย การมีเงินสดยังคงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มักจะแนะนำว่า นักลงทุนทุกคนควรมีเงินสดไว้ เพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 3-6 เดือน ในกรณีฉุกเฉิน

 

‘Cash is King’ อาจไม่จริงเสมอไป

 

การถือเงินสดไม่ใช่กลยุทธ์การสร้างความมั่งคั่งและคงมูลค่าของเงินไว้ตามกาลเวลาอย่างที่หลายคนเข้าใจ จากรายงานของ The Wall Street Journal นับตั้งแต่ปี 1928 เป็นต้นมา เงินสดทำผลตอบแทนได้ดีกว่าทั้งตลาดหุ้นและพันธบัตรในรอบปีปฏิทินเพียง 12 ครั้งเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ อีก 87% ที่เหลือของช่วงเวลาที่ผ่านมา เงินสดไม่ได้เป็น ‘ราชา’ ดังที่หลายคนเชื่อ 

 

หากออมเงิน 1 ล้านบาท ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีต่ำกว่า 1% พอร์ตการลงทุนของคุณจะได้ผลตอบแทนเพียง 92,000 บาทในช่วงหนึ่งทศวรรษ อีกตัวอย่างหนึ่งคือ หากเราย้อนกลับไปถึงเดือนพฤษภาคม 1997 ซึ่งรวมช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตดอทคอม วิกฤตซับไพรม์ และวิกฤตโควิด ตลาดหุ้นทำผลตอบแทนโดยเฉลี่ยประมาณ 8.3% ต่อปี เทียบกับเงินสดที่ให้ผลตอบแทน 1.9%

 

ฉะนั้นแล้ว คำถามสำคัญคือ เราควรจะถือเงินสดไว้มากน้อยเพียงใด หนึ่งในคำแนะนำที่น่าสนใจจากผู้เชี่ยวชาญคือ สำหรับเงินที่จำเป็นจะต้องใช้จ่ายในช่วง 1-2 ปี หรือแม้แต่ 3-5 ปี เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลที่จะเก็บเงินไว้เป็นเงินสด หรือเก็บไว้ในที่ที่เราสามารถเข้าถึงได้ทันทีเมื่อต้องการ 

 

แต่สำหรับเงินที่เราไม่มีแผนจะใช้ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เราควรพิจารณานำเงินเหล่านี้ไปลงทุนในหุ้นหรือในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น แต่ก็แลกมาด้วยโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนมากขึ้นเช่นกัน

 

อ้างอิง:

 

The post เงินสดอาจไม่ใช่ราชาอย่างที่คิด ผู้เชี่ยวชาญแนะ โยกส่วนที่ไม่ต้องใช้อีก 5 ปีไปลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักลงทุนกดดันให้ ‘Hanesbrands’ ลดหนี้สิน-บริหารเงินสด จนต้องเล็งขาย Champion แบรนด์เสื้อผ้าให้ WHP Global https://thestandard.co/hanesbrands-pressured-to-sell-champion/ Thu, 06 Jun 2024 10:35:00 +0000 https://thestandard.co/?p=942178 Hanesbrands

รายได้ที่ลดลงเริ่มกระทบ Hanesbrands ถูกนักลงทุนส่งจดหมา […]

The post นักลงทุนกดดันให้ ‘Hanesbrands’ ลดหนี้สิน-บริหารเงินสด จนต้องเล็งขาย Champion แบรนด์เสื้อผ้าให้ WHP Global appeared first on THE STANDARD.

]]>
Hanesbrands

รายได้ที่ลดลงเริ่มกระทบ Hanesbrands ถูกนักลงทุนส่งจดหมายกดดันให้ลดหนี้สิน-บริหารกระแสเงินสด จนต้องเล็งขาย Champion แบรนด์เสื้อผ้ายอดฮิตให้กับ WHP Global และ Authentic Brands Group บริษัทจัดการแบรนด์ระดับโลกที่ต่างสนใจซื้อแบรนด์เข้าเสริมพอร์ตโฟลิโอ

 

สำนักข่าว CNBC รายงานว่า Hanesbrandsเป็นบริษัทเครื่องแต่งกายสัญชาติอเมริกัน เจ้าของ Champion แบรนด์เสื้อผ้าที่ใครหลายคนรู้จักกันดี ด้วยจุดเด่นของแบรนด์คือดีไซน์ที่เรียบง่าย ใส่สบาย และมีคุณภาพ จนเริ่มได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว

 

กระทั่งไม่นานมานี้ Hanesbrandsประกาศว่าบริษัทเริ่มถูกนักลงทุนกดดันให้ลดต้นทุน ลดหนี้สิน และบริหารกระแสเงินสดให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างมูลค่าระยะยาวให้กับผู้ถือหุ้น และแรงกดดันเหล่านี้ทำให้บริษัทพิจารณาขายแบรนด์ Champion

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

เรียกได้ว่าได้รับความสนใจจาก WHP Global และ Authentic Brands Group ซึ่งเป็นบริษัทจัดการแบรนด์ระดับโลกอย่างมาก และสนใจที่จะซื้อแบรนด์ Champion จากบริษัทแม่ Hanesbrandsแต่ยังไม่มีรายละเอียดถึงข้อตกลงในการซื้ออย่างเป็นทางการ แต่คาดว่ายังไม่มีการซื้อขายกันในปี 2024

 

“เราอยู่ในช่วงเริ่มต้นประเมินกลยุทธ์และวางแผนทิศทางการดำเนินงานของ Champion ทั่วโลก ถ้ามีการขายแบรนด์ก็ต้องอยู่ในข้อตกลงแบบสมเหตุสมผล ที่ผ่านมาบริษัทพยายามขยายช่องทางการตลาดใหม่เพื่อกระตุ้นแบรนด์ ควบคู่กับการออกแบบผลิตภัณฑ์ตามแนวทางที่เราวางไว้ จนทำให้ Champion มียอดขายอยู่ที่ 2,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี” โฆษกของ Hanesbrandsกล่าว

 

สำหรับ WHP Global ถือเป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง เพราะมีแบรนด์อยู่ในพอร์ตหลากหลายมาก ที่ผ่านมาบริษัทพยายามเดินหน้ากว้านซื้อแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่การซื้อ Bonobos จาก Walmart ซื้อ Toys R Us และ Anne Klein และตอนนี้ยังสนใจซื้อ Sperry จากบริษัทแม่ Wolverine Worldwide สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่แบรนด์ Champion มีโอกาสที่จะเข้าไปอยู่ในพอร์ตโฟลิโอของ WHP Global ด้วยเช่นกัน

 

Neil Saunders นักวิเคราะห์ด้านค้าปลีกกล่าวว่า ในช่วงไตรมาสล่าสุด สิ้นสุดวันที่ 1 กรกฎาคม ยอดขายแบรนด์ Champion ลดลง 16% ซึ่งเมื่อเทียบเป็นรายปีถือว่าลดลง 25% โดยรายได้จากกลุ่มเสื้อฮู้ด ชุดออกกำลังกาย และเครื่องแต่งกายลดลงทั่วโลก 

 

ถึงกระนั้นยอดขายที่ซบเซาของ Champion มีส่วนทำให้บริษัทแม่ Hanesbrands มีรายได้ลดลงประมาณ 8.5% เนื่องจากช่องทางร้านค้าส่งยกเลิกคำสั่งซื้อ เสื้อยืด เสื้อชั้นใน และกางเกงชั้นใน และยังทำให้หุ้นลดลงประมาณ 34% ในปีนี้ โดยรวมประเมินว่าทั้งปีก็ยังท้าทายจากแรงกดดันเศรษฐกิจ ทำให้ผู้บริโภคในอเมริกามีกำลังซื้อลดลง

 

แต่ทำไมบริษัท WHP Global และ Authentic Brands Group ถึงยังสนใจซื้อแบรนด์ Champion ก็เพราะเป็นแบรนด์กีฬาที่หลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดี และสอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทที่ต้องการซื้อแบรนด์ที่เคยประสบความสำเร็จเข้ามาเสริมทัพธุรกิจ และจากนั้นก็จะพยายามปรับกลยุทธ์พัฒนาแบรนด์ให้เติบโตขึ้น

 

อ้างอิง:

The post นักลงทุนกดดันให้ ‘Hanesbrands’ ลดหนี้สิน-บริหารเงินสด จนต้องเล็งขาย Champion แบรนด์เสื้อผ้าให้ WHP Global appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘อินโดรามา’ ปรับแผนครั้งใหญ่ ‘ปั๊มเงินสด-ลดหนี้’ หลังมาร์เก็ตแคปหาย 1 แสนล้านบาท https://thestandard.co/ivl-adjust-plan/ Mon, 01 Apr 2024 13:00:50 +0000 https://thestandard.co/?p=917813 อินโดรามา

ช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ บมจ.อินโดรามา เวนเจอ […]

The post ‘อินโดรามา’ ปรับแผนครั้งใหญ่ ‘ปั๊มเงินสด-ลดหนี้’ หลังมาร์เก็ตแคปหาย 1 แสนล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
อินโดรามา

ช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส หรือ IVL ร่วงจาก 50 บาท มาแตะระดับ 22 บาท ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดตั้งแต่ปลายปี 2563 ส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ที่เคยสูงเกือบ 3 แสนล้านบาท ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 1.3 แสนล้านบาทในปัจจุบัน 

 

แม้ IVL จะยังมีสถานะเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเม็ดพลาสติก (PET) รายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และยังคงเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 30 อันดับแรกของไทย แต่จากความท้าทายของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งบริบทของเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ IVL จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจครั้งใหญ่

 

“What got us here, is not the way forward.” หรือ “อะไรที่เคยพาเรามาถึงจุดนี้ไม่ใช่หนทางเพื่อมุ่งสู่อนาคต” เป็นประโยคที่ อาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท IVL กล่าวไว้ระหว่างการสัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH 

 

อาลกเล่าถึงความท้าทายของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี รวมทั้งความท้าทายของ IVL ในปัจจุบันให้ฟังว่ามาจากทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงเฉลี่ยเพียงประมาณ 1% ต่อไตรมาส ขณะที่อุปสงค์ต่อน้ำมันที่ใกล้ถึงจุดพีคในยุโรปจะทำให้วัตถุดิบตั้งต้นของบริษัทบางส่วนสูงขึ้น 

 

ขณะเดียวกัน หนึ่งในกลยุทธ์ที่ IVL ใช้มาตลอดหลายปีที่ผ่านมาคือการเพิ่มกำลังการผลิตและขยายขอบเขตธุรกิจออกไปผ่านการซื้อกิจการ แต่ปัจจุบันต้นทุนการเงินทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นมา 2-3 เท่าจากในอดีต 

 

ทำให้กลยุทธ์สร้างการเติบโตของ IVL ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา จนทำให้บริษัทมีรายได้ถึง 6.65 แสนล้านบาท และมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ราว 7.6 หมื่นล้านบาท เมื่อปี 2565 อาจใช้ไม่ได้อีกแล้ว 

 

สิ่งที่บริษัทจะมุ่งทำหลังจากนี้คือการลดหนี้ โดยตั้งเป้าลดหนี้สินสุทธิที่มีอยู่ราว 2.4 แสนล้านบาท ให้ลงมาเหลือ 1.5 แสนล้านบาทภายในปี 2569 ซึ่งจะช่วยให้หนี้สินต่อ EBITDA ลดลงต่ำกว่า 3 เท่า การลดหนี้จะมาจากทั้งการปรับการดำเนินงาน และการบริหารสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อเพิ่มกระแสเงินสดอิสระให้กับบริษัท 

 

การเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ส่วนหนึ่งจะมาจากการนำบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เบื้องต้นมี 2 ธุรกิจที่บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณา คือ 1. ธุรกิจ IOD downstream หรือธุรกิจผลิตสารลดแรงตึงผิว ซึ่งมีแผนนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคอเมริกา และ 2. ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นขวดพลาสติก (PET) จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคเอเชีย โดยทั้งสองธุรกิจนี้คาดว่าจะระดมทุนได้ราว 3.5 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปี 2568

 

“การปรับกลยุทธ์ครั้งนี้ทำให้เราต้องคอยถามตัวเองอยู่ตลอดว่า เงินทุกดอลลาร์ที่จะจ่ายออกไปนั้นคุ้มค่า และมั่นใจได้ว่าจะสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้” 

 

นอกจากนี้ บริษัทจะปรับลดงบลงทุนจากราว 2.6 หมื่นล้านบาท เมื่อปี 2566 ลงมาเหลือประมาณ 1.9-2.3 หมื่นล้านบาท 

 

หลังการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ บริษัทตั้งเป้าหมาย EBITDA ในปี 2569 ว่าจะอยู่ที่ราว 2.1 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 7.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 60% จากปีก่อน 

 

มุมมองนักวิเคราะห์

 

บล.ทิสโก้ ระบุว่า การกำหนดเป้าหมายการขายสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-core Assets) ของ IVL ผู้บริหารตั้งเป้าที่จะสร้างมูลค่ารวม 300 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1 หมื่นล้านบาท จากการขายสินทรัพย์ที่ไม่เติบโต 

 

โดยสินทรัพย์หลักในแผนการขายเงินลงทุนนี้ ได้แก่ โครงการคอร์ปัส คริสตี ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเพิ่งได้รับความเสียหายเมื่อเร็วๆ นี้ นอกเหนือจากนี้ เราเชื่อว่าสินทรัพย์ส่วนใหญ่ที่ได้รับการจัดสรรสำหรับการขายออกไปนั้นอยู่ในโรงงานผลิต PTA ของ EMEA รวมถึงโรงงานผลิต PTA แบบ Mothballed ในโปรตุเกส เมื่อพิจารณาถึงศักยภาพสำหรับความท้าทายระยะยาวในตลาด PTA จากกำลังการผลิต การเพิ่มเติมและต้นทุนพาราไซลีน (PX) ที่สูงขึ้นเชิงโครงสร้าง

 

อย่างไรก็ตาม บล.กรุงศรี พัฒนสิน มีมุมมองในเชิงลบต่อ IVL ในระยะสั้น โดยประเมินว่ากลยุทธ์ระยะยาวของบริษัทที่มุ่งลดต้นทุนจะเห็นประโยชน์ในระยะกลางถึงยาว แต่ระยะสั้นต้องเผชิญต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากทำให้สินทรัพย์เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงโอกาสตั้งด้อยค่าสินทรัพย์บางส่วน 

 

ขณะที่การ Spin-off ธุรกิจ IOD และ CPET บางส่วนยังไม่ได้เกิดขึ้นเร็ว คาดว่าจะคืบหน้าในปี 2568-2569 และช่วงต้นของการแปลงบริษัทเป็นมหาชนอาจทำให้ดอกเบี้ยจ่ายที่ประหยัดได้ไม่เพียงพอที่จะชดเชยกำไรที่ต้องปันส่วนออกไป

The post ‘อินโดรามา’ ปรับแผนครั้งใหญ่ ‘ปั๊มเงินสด-ลดหนี้’ หลังมาร์เก็ตแคปหาย 1 แสนล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>